ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 40 จากทั้งหมด 74 หน้า แสดงรายการที่ 781 - 800 จากข้อมูลทั้งหมด 1462 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
781 | การลักลอบตัดไม้ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ จังหวัดพิษณุโลก | ทส | 07/09/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. รับทราบความก้าวหน้าของผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับการลักลอบตัดไม้ในเขตป่า สงวนแห่งชาติ จังหวัดพิษณุโลก และเห็นชอบให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาดำเนินการ ตามที่กระทรวงทรัพยากร ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้ 1.1 สำนักงานตำรวจแห่งชาติพิจารณาดำเนินการกับเจ้าหน้าที่ของรัฐที่มีส่วนร่วมหรือรู้เห็น หรือเป็น ตัวการในการกระทำผิดอย่างเคร่งครัด โดยให้โยกย้ายเจ้าหน้าที่ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีออกนอกพื้นที่ และกำชับ เจ้าหน้าที่ในสังกัดมิให้มีส่วนเกี่ยวข้อง หรือสนับสนุนการกระทำผิดเกี่ยวกับการบุกรุกตัดไม้ทำลายป่าอย่างเด็ดขาด 1.2 กระทรวงมหาดไทยพิจารณาแจ้งผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัดกำชับเจ้าหน้าที่ในสังกัด กำนัน ผู้ ใหญ่บ้านและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมิให้เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องหรือสนับสนุนการลักลอบตัดไม้ทำลายป่าในพื้น ที่ที่รับผิดชอบ เข้มงวดกวดขัน และเร่งรัดการดำเนินคดีให้เสร็จสิ้นโดยเร็ว 1.3 หน่วยงานภาครัฐทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการส่งเสริมและพัฒนาการเกษตรกำชับเจ้าหน้าที่ ให้สนับสนุน ส่งเสริมเฉพาะพื้นที่ที่มีเอกสารสิทธิ์ สิทธิครอบครอง และพื้นที่ที่ได้รับอนุญาตโดยชอบด้วยกฎหมาย เท่านั้น 2. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงกลาโหม และ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เป็นต้น รับข้อสังเกตของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารที่ เห็นว่า ด่านตรวจของเจ้าหน้าที่ตำรวจและของเจ้าหน้าที่ป่าไม้ที่ตั้งอยู่ตามเส้นทางเข้า-ออกพื้นที่ป่า รวมทั้งจุดผ่าน ต่าง ๆ ควรมีการติดตั้งกล้องวงจรปิด (CCTV) ให้พร้อมใช้งานตลอดเวลา และควรให้ฝ่ายทหารเข้าร่วมดำเนินการ ด้วยเพื่อให้การดำเนินการดังกล่าวมีความเข้มแข็งและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
782 | ร่างกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น รวม 4 ฉบับ | นร | 07/09/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. เห็นชอบร่างกฎหมาย จำนวน 4 ฉบับ ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่ สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ ดังนี้ 1.1 ร่างพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. .... มีสาระสำคัญ คือ รวบรวมกฎหมายว่าด้วยการกำหนดแผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กฎ หมายรายได้ท้องถิ่น กฎหมายจัดตั้งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กฎหมายเกี่ยวกับข้าราชการส่วนท้องถิ่น และกฎ หมายอื่นตามหมวด 14 การปกครองส่วนท้องถิ่น จัดทำเป็นประมวลกฎหมายองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อ ประโยชน์ในการอ้างอิงและใช้กฎหมายที่จะรวมอยู่ในฉบับเดียวกัน และปรับปรุงบทบัญญัติในกฎหมายดังกล่าวให้ เหมาะสมกับสภาพปัจจุบัน 1.2 ร่างประมวลกฎหมายองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น มีสาระสำคัญคือ รวมบทบัญญัติเกี่ยวกับการ จัดตั้ง การบริหาร อำนาจหน้าที่ รายได้ และการกำกับดูแลองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น อันได้แก่ องค์การบริหาร ส่วนจังหวัด เทศบาล และองค์การบริหารส่วนตำบล เข้าไว้ด้วยกัน (ยกเว้นกรุงเทพมหานครและการปกครองท้อง ถิ่นรูปแบบอื่น) รวมทั้งประมวลบทบัญญัติเกี่ยวกับการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทั้งหมด เข้าไว้ด้วยกัน 1.3 ร่างพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการส่วนท้องถิ่น พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ปรับปรุงกฎหมาย ว่าด้วยระเบียบบริหารงานบุคคลส่วนท้องถิ่นให้เหมาะสมกับการบริหารงานบุคคลส่วนท้องถิ่นในปัจจุบันและสอด คล้องกับหลักการตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย 1.4 ร่างพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ แก้ไข เพิ่มเติมพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม พ.ศ. 2545 โดยจัดตั้งสำนักงานคณะกรรมการการกระจาย อำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และจัดตั้งสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการส่วนท้องถิ่นในสังกัดสำนัก นายกรัฐมนตรี 2. ให้สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีแก้ไขในส่วนของร่างประมวลกฎหมายองค์กรปกครองส่วน ท้องถิ่นเกี่ยวกับการกำหนดให้ผู้บริหารท้องถิ่นวาระอยู่ในตำแหน่งคราวละสี่ปี และดำรงตำแหน่งติดต่อกันเกิน สองวาระไม่ได้ ไม่สอดคล้องกับกฎหมายจัดตั้งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่ใช้บังคับอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งไม่ได้จำกัด วาระการดำรงตำแหน่งของผู้บริหาร จึงสมควรแก้ไขให้สอดคล้องกัน ตามความเห็นของคณะรัฐมนตรี และให้ส่ง คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
783 | รายงานความคืบหน้าการทบทวนระบบบริหารจัดการนมโรงเรียนตามมติคณะรัฐมนตรี | กษ | 07/09/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รายงานความคืบหน้าการทบทวนระบบ
บริหารจัดการนมโรงเรียน ตามมติคณะรัฐมนตรี ดังนี้ 1. คณะกรรมการโคนมและผลิตภัณฑ์นม ในการประชุมครั้งที่ 1/2553 เมื่อวันที่ 9 เมษายน 2553 มี มติเห็นชอบหลักเกณฑ์ และแนวทางปฏิบัติโครงการอาหารเสริม (นม) โรงเรียน ภาคเรียนที่ 1/2553 และให้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องถือปฏิบัติ ซึ่งมีสาระสำคัญได้แก่ 1.1 หลักเกณฑ์การคัดเลือกผู้ประกอบการที่เข้าร่วมโครงการ 1.2 หลักเกณฑ์การจัดสรรสิทธิและพื้นที่จำหน่ายนมโรงเรียนให้กับผู้ประกอบการที่เข้าร่วมโครงการ 1.3 แนวปฏิบัติในการจัดซื้อนมโรงเรียนขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) และโรงเรียนเอกชน 1.4 แนวปฏิบัติการในการขนส่งและเก็บรักษานมโรงเรียน 1.5 มาตรการควบคุม กำกับ ดูแลการจำหน่ายนมในโครงการอาหารเสริม (นม) โรงเรียน 1.6 ราคาจัดซื้อนมโรงเรียน กำหนดให้ลดจากราคากลางเดิมที่กำหนดไว้ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวัน ที่ 13 พฤษภาคม 2552 โดยนมพาสเจอร์ไรส์ลดลงถุงล ะ 0.20 บาท และ นม ยู.เอช.ที. ลดลงกล่อง/ซองละ 0.25 บาท ยกเว้นพื้นที่ 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้แก่ จังหวัดนราธิวาส ปัตตานี ยะลา และสงขลา เฉพาะ 4 อำเภอ ได้แก่ อำเภอสะบ้าย้อย นาทวี เทพา และจะนะ เฉพาะนม ยู.เอช.ที. ให้จัดซื้อในราคากลางเดิม 2. ผลการดำเนินงาน ได้คัดเลือกผู้ประกอบการที่เข้าร่วมโครงการฯ สำหรับภาคเรียนที่ 1/2553 รวม ทั้งสิ้น 68 ราย และสามารถจัดสรรสิทธิและพื้นที่การจำหน่ายนมโรงเรียนในระดับพื้นที่จังหวัดทั้ง 76 จังหวัด โดย แยกประเภทผู้ซื้อเป็น อปท. จำนวน 7,851 แห่ง จำนวนนักเรียน 6,712,737 คน และเป็นโรงเรียนเอกชนสังกัด สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (สช.) จำนวนนักเรียน 1,411,450 คน ทั้งนี้ ผู้ประกอบการนม โรงเรียนทั้ง 68 ราย รับซื้อน้ำนมดิบจากเกษตรกรตามบันทึกข้อตกลง (MOU) รวม 1,211 ตันต่อวัน
|
||||||||||||||||||||||||
784 | ผลการประชุมคณะทำงานแก้ไขปัญหาเร่งด่วนของมาบตาพุด ครั้งที่ 3/2553 | นร | 24/08/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอผล
การประชุมคณะทำงานแก้ไขปัญหาเร่งด่วนของมาบตาพุด ครั้งที่ 3/2553 และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับ ไปดำเนินการตามมติที่ประชุม ดังนี้ 1. รับทราบความก้าวหน้าโครงการแก้ไขปัญหาเร่งด่วนของมาบตาพุดและบริเวณใกล้เคียง จังหวัดระยอง โดยมอบหมายหน่วยงานดำเนินการ ดังนี้ 1.1 ให้เทศบาลเมืองมาบตาพุดเร่งรัดหารือกับสำนักงบประมาณ เพื่อจัดทำรายละเอียดค่าใช้จ่ายโครง การขนถ่ายขยะมูลฝอยออกจากบ่อฝังกลบขยะเพื่อขอรับจัดสรรงบประมาณดำเนินงานต่อไป 1.2 ให้เทศบาลเมืองมาบตาพุดจัดทำรายละเอียดแผนปฏิบัติการโครงการขนถ่ายขยะมูลฝอยภายหลัง จากลงนามในสัญญาจ้างแล้ว และพิจารณาการแต่งตั้งคณะกรรมการร่วมซึ่งมีภาคประชาชนเข้าร่วมเป็นกรรมการ 1.3 ให้การประปาส่วนภูมิภาคจัดทำรายชื่อชุมชนที่จะได้รับประโยชน์จากโครงการพัฒนาระบบประปา ประกอบด้วยโครงการก่อสร้างขยายเขตจำหน่ายน้ำประปา พื้นที่อำเภอเมืองระยอง และโครงการสร้างปรับปรุงท่อ และขยายเขตจำหน่ายน้ำพื้นที่เทศบาลเมืองมาบตาพุด และเทศบาลเมืองบ้านฉาง เพื่อประชาสัมพันธ์ให้ชุมชนทราบ และติดตาม/ตรวจสอบความก้าวหน้าโครงการได้ 2. เห็นชอบในรายละเอียดการดำเนินงานโครงการแก้ไขปัญหาเร่งด่วนมาบตาพุด ระยะต่อเนื่อง ประกอบ ด้วยโครงการติดตั้งชุดตรวจวัดสารอินทรีย์ระเหยง่ายแบบต่อเนื่องและป้ายแสดงผลคุณภาพสิ่งแวดล้อม ของกรมควบ คุมมลพิษ โครงการก่อสร้างสถานีตรวจวัดคุณภาพน้ำและติดตั้งระบบตรวจวัดคุณภาพน้ำแบบอัตโนมัติ และโครงการ จัดตั้งศูนย์เฝ้าระวังคุณภาพสิ่งแวดล้อมในชุมชน ของเทศบาลเมืองมาบตาพุด และให้นำเสนอคณะกรรมการพัฒนา พื้นที่บริเวณชายฝั่งทะเลตะวันออกเพื่อพิจารณาต่อไป ทั้งนี้ ในการบริหารจัดการศูนย์เฝ้าระวังฯ ให้มีภาคประชาชน ร่วมเป็นคณะกรรมการไตรภาคี ประกอบด้วยองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น/หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ภาคประชาชน และ โรงงานอุตสาหกรรม 3. มอบหมายให้เทศบาลเมืองมาบตาพุดเป็นหน่วยงานหลักประสานการแก้ปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งและ ที่ดินงอกในพื้นที่มาบตาพุดให้กับชุมชนร่วมกับจังหวัดระยอง และหากมีปัญหาในการดำเนินงาน ให้นำเสนอในการ ประชุมครั้งต่อไป 4. รับทราบผลการประชุมหารือเรื่อง การจัดตั้งกองทุนในพื้นที่มาบตาพุด จังหวัดระยอง และแผนการยก ระดับศูนย์อาชีวเวชศาสตร์และเวชศาสตร์สิ่งแวดล้อมระยอง เป็นสถาบันภายใต้กระทรวงสาธารณสุข
|
||||||||||||||||||||||||
785 | ร่างพระราชบัญญัติวิชาชีพการสาธารณสุข พ.ศ. .... | สธ | 13/07/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติวิชาชีพการสาธารณสุข พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ให้มีกฎหมายว่าด้วย วิชาชีพการสาธารณสุข ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา 2. ให้กระทรวงสาธารณสุขรับความเห็นของส่วนราชการที่เกี่ยวข้องที่เห็นว่า การจัดสรรเงินอุดหนุนจากงบ ประมาณแผ่นดินควรพิจารณาจากความเหมาะสมตามความจำเป็นในแต่ละปีและเป็นไปตามกระบวนการและวิธีการจัด ทำงบประมาณรายจ่ายตามที่กฎหมายกำหนด และควรระวังมิให้มีการจำกัดสิทธิของประชาชนหรือองค์กรภาคเอกชน ในการที่จะช่วยพัฒนาการสาธารณสุขและสิ่งแวดล้อมจากการที่ต้องขึ้นทะเบียนและขอรับใบอนุญาต รวมทั้งควรมีบท บัญญัติส่งเสริมและสนับสนุนให้บุคลากรขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นซึ่งปฏิบัติงานด้านสาธารณสุขได้มีโอกาสเป็น ผู้มีสิทธิประกอบวิชาชีพการสาธารณสุข ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วให้ส่งคณะกรรมการประสานงานด้านนิติ บัญญัติพิจารณา ก่อนนำเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
786 | แนวทางให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นสมทบงบประมาณแก่กองทุนสวัสดิการชุมชน | พม | 29/06/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. เห็นชอบในหลักการแนวทางให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) สมทบงบประมาณแก่กองทุนสวัสดิ การชุมชน ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ โดยมีรายละเอียดดังนี้ 1.1 อปท. ได้แก่ องค์การบริหารส่วนจังหวัด เทศบาล องค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) กรุงเทพมหา นคร เมืองพัทยา สามารถจัดตั้งงบประมาณสนับสนุนการดำเนินงานและสมทบกองทุนสวัสดิการชุมชนซึ่งเป็นภารกิจ ของ อปท. ในการสนับสนุนกิจกรรมของกลุ่มต่าง ๆ ในชุมชนที่มีเป้าหมาย เพื่อการพัฒนาคุณภาพชีวิตของสมาชิกกลุ่ม 1.2 การสมทบงบประมาณ โดย อปท. แก่กองทุนฯ เป็นการยึดหลักความเป็นหุ้นส่วนการพัฒนา โดย ประชาชนออม 1 ส่วน อปท. สมทบงบประมาณ 1 ส่วน และรัฐบาล 1 ส่วน โดย อปท. พิจารณาสมทบงบประมาณได้ ตามฐานะการคลังของแต่ละ อปท. 1.3 องค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) สามารถให้การสนับสนุนงบประมาณให้กับเทศบาล อบต. เพื่อ การสมทบงบประมาณแก่กองทุนสวัสดิการชุมชนได้ โดยปฏิบัติตามระเบียบ หนังสือสั่งการ ตามประกาศคณะกรรม การการกระจายอำนาจให้แก่ อปท. ที่เกี่ยวข้อง 2. ทั้งนี้ การสนับสนุนหรือการสมทบงบประมาณให้แก่กองทุนฯ ให้เป็นไปตามความสมัครใจของ อปท. แต่ ละแห่ง และให้กระทรวงการคลัง กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และกระทรวงมหาดไทยรับความ เห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีที่เห็น ควรจัดระบบความสัมพันธ์ของการจัดสวัสดิการทางสังคมต่าง ๆ ให้เชื่อมโยงและเกื้อกูลกันทั้งระบบสวัสดิการในระดับ ชาติ ระดับท้องถิ่น และระดับชุมชน พร้อมทั้งจัดให้มีกลไกในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้และพัฒนาต่อยอดการดำเนินงาน ระหว่างชุมชนเพื่อให้การดำเนินงานของกองทุนฯ เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และควรร่วมกันพิจารณาบูรณาการการ ดำเนินงานของกองทุนฯ และกองทุนฯ เพื่อให้เกิดการส่งเสริมเกื้อหนุนเอื้อประโยชน์ซึ่งกันและกัน นอกจากนี้ ให้ อบจ. สามารถสมทบงบประมาณแทน อปท. อื่นในจังหวัด ให้กระทำได้ในกรณีที่ อปท. อื่นไม่สามารถให้การสมทบได้ เนื่อง จากมีข้อจำกัดด้านงบประมาณ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องด้วย |
||||||||||||||||||||||||
787 | ร่างพระราชบัญญัติจัดระเบียบบริหารหมู่บ้านอาสาพัฒนาและป้องกันตนเอง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | มท | 22/06/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
1. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติจัดระเบียบบริหารหมู่บ้านอาสาพัฒนาและป้องกันตนเอง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ แก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติจัดระเบียบบริหารหมู่บ้านฯ พ.ศ. 2522 โดยกำหนดคำนิยาม ให้มีความชัดเจนขึ้น และแก้ไขเพิ่มเติมเกี่ยวกับการกำหนดหมู่บ้านอาสาพัฒนาและป้องกันตนเอง โครงสร้างหมู่บ้าน องค์ประกอบของคณะกรรมการกลาง อำนาจหน้าที่ การจัดสรรรายได้ การจัดทำงบประมาณ และการควบคุม ตาม ที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของสำนัก งานสภาความมั่นคงแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงาน ก.พ.ร. และ กระทรวงสาธารณสุขเกี่ยวกับการให้คณะกรรมการกลางบริหารหมู่บ้านให้สอดคล้องกับแนวทางดำเนินงานในกรอบ นโยบายความมั่นคงแห่งชาติ รวมทั้งให้คณะทำงานด้านการปกครองและรักษาความสงบเรียบร้อยของหมู่บ้านอาสา พัฒนาและป้องกันตนเอง (อพป.) เพิ่มเติมหน้าที่เกี่ยวกับการเสริมสร้างจิตสำนึกด้านความมั่นคงของคนและชุมชนใน หมู่บ้าน อพป. และกำหนดบทบาท ภารกิจและอำนาจหน้าที่ของกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ให้มีระบบและกลไกการบริหารงานที่ประสานสัมพันธ์กันและไม่ให้ซ้ำซ้อนกัน นอกจากนี้ เห็นควรให้คณะกรรมการ กลางของแต่ละหมู่บ้านต้องมีการประชุมและเตรียมความพร้อมอยู่ตลอดเวลาโดยสนับสนุนค่าใช้จ่ายทั้งในการประชุม และการเตรียมความพร้อมของชุมชนอย่างน้อยปีละ 2-3 ครั้ง และปรับเพิ่มงบประมาณในพื้นที่เสี่ยง ไปประกอบการ พิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานด้านนิติบัญญัติพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรต่อไป 2. ส่วนค่าใช้จ่ายในการจัดประชุมคณะกรรมการกลาง (ร่างมาตรา 13) ให้กระทรวงมหาดไทยไปพิจารณา กำหนดหลักเกณฑ์ โดยความเห็นชอบของกระทรวงการคลังต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
788 | ร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการมีส่วนร่วมของประชาชนในการบริหารงานขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. .... | นร | 08/06/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีการับร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการมีส่วนร่วมของประชาชนในการ บริหารงานขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. .... ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ ไปพิจารณาว่า จะสมควรรวมกับร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการเข้าชื่อเสนอข้อบัญญัติท้องถิ่น (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ที่อยู่ระหว่างการ พิจารณาของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการลงคะแนนเสียงเพื่อถอดถอนสมาชิก สภาท้องถิ่น หรือผู้บริหารท้องถิ่น (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ที่อยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมการประสานงาน ด้านนิติบัญญัติ และร่างพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. .... ที่อยู่ระหว่าง การพิจารณาของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ได้หรือไม่ เพียงใด เนื่องจากร่างพระราชบัญญัติฯ ที่สำนักงาน ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอมีหลักการบางเรื่องทำนองเดียวกับร่างพระราชบัญญัติทั้ง 3 ฉบับดังกล่าว เช่น การ เข้าชื่อเสนอข้อบัญญัติท้องถิ่นและการลงคะแนนเสียงเพื่อถอดถอนสมาชิกสภาท้องถิ่น หรือผู้บริหารท้องถิ่น และ บางเรื่องเป็นสาระใหม่ที่ไม่มีกำหนดไว้ในร่างพระราชบัญญัติทั้ง 3 ฉบับ เช่น การรายงานการดำเนินงานต่อประชา ชนในการจัดทำงบประมาณ การใช้จ่าย และผลการดำเนินงานในรอบปี 2. ให้สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีรับข้อสังเกตของสำนักงบประมาณที่เห็นว่าในการรายงานการ ดำเนินงานที่เกี่ยวกับงบประมาณควรกำหนดขอบเขตของรายรับที่จะรายงานให้ชัดเจน เนื่องจากรายรับขององค์กร ปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ประกอบด้วยรายได้จาก 3 แหล่ง คือ รายได้ที่ อปท. จัดเก็บเอง รายได้ที่รัฐจัดเก็บให้ และแบ่งให้ และเงินอุดหนุนที่รัฐบาลจัดสรรให้ ส่วนการให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมตามร่างพระราชบัญญัติฯ อาจ มีค่าใช้จ่าย จึงควรกำหนดให้ใช้จ่ายจากเงินรายได้ของ อปท. ไปพิจารณา แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีอีกครั้งหนึ่ง |
||||||||||||||||||||||||
789 | ขอความเห็นชอบแผนพัฒนาสุกรทั้งระบบและแผนปฏิบัติงาน พ.ศ. 2553 - 2557 | กษ | 02/06/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. เห็นชอบในหลักการแผนการพัฒนาสุกรทั้งระบบและแผนปฏิบัติงาน พ.ศ. 2553-2557 เพื่อเป็น กรอบในการดำเนินงานพัฒนาสุกรทั้งระบบของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยสาระสำคัญของแผนฯ เป็นการพัฒนา และควบคุมคุณภาพการผลิตสุกรตั้งแต่การจัดการฟาร์มที่ถูกสุขลักษณะ การเลี้ยงสุกรให้ปลอดจากโรค ตรวจสอบ คุณภาพอาหารสัตว์ปัจจัยการผลิต และการปรับปรุงพัฒนาโรงฆ่าสัตว์ การฆ่าชำแหละ รวมถึงการขนส่งซากสุกร ที่ถูกสุขอนามัย โดยให้สำนักงบประมาณพิจารณาจัดสรรงบประมาณของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ตามที่กระทรวง เกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้ปรับแก้ไขถ้อยคำในหนังสือกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ที่ กษ 0614/2560 ลง วันที่ 9 เมษายน 2553 หน้า 5 ข้อ 2.4 บรรทัดที่ 3 จากเดิม "...ซึ่งมีทั้งหมด 4 แผนงาน 16 โครงการ" เป็น "...ซึ่งมีทั้งหมด 4 แผนงาน 18 โครงการ" ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอเพิ่มเติม 2. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นและข้อสังเกตของกระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐ กิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงบประมาณ เกี่ยวกับการกำหนดให้มีมาตรการช่วยเหลือผู้เลี้ยงสุกรที่ขึ้นทะเบียน เช่น การตั้งศูนย์ช่วยเหลือเกษตรกรในระดับจังหวัด การกำหนดแนวทางการส่งเสริมและพัฒนาที่ครอบคลุมการ สร้างมูลค่าและคุณค่าเพิ่มให้กับสินค้าโดยเฉพาะการแปรรูปผลิตภัณฑ์จากสุกรประเภทต่าง ๆ การประสานความ ร่วมมือกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ผู้ประกอบการ และผู้เลี้ยงสุกรในพื้นที่เพื่อร่วมมือกันขับเคลื่อนแผนฯ ให้ บรรลุตามเป้าหมาย รวมทั้งควรมีมาตรการสร้างแรงจูงใจให้ผู้ประกอบการ เช่น มาตรการลดหย่อนภาษีหรือจัด หาแหล่งเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||||||||
790 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์การแบ่งส่วนราชการของสถาบันการอาชีวศึกษา สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ พ.ศ. .... และร่างกฎกระทรวงกำหนดคุณสมบัติผู้ดำรงตำแหน่งนายกสภาสถาบัน กรรมการสภาสถาบัน หลักเกณฑ์และวิธีการเลือกหรือสรรหากรรมการสภาสถาบัน พ.ศ. .... | ศธ | 25/05/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวง รวม 2 ฉบับ ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะ กรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา ดังนี้ 1.1 ร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์การแบ่งส่วนราชการของสถาบันการอาชีวศึกษา สำนักงานคณะ กรรมการการอาชีวศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดหลักเกณฑ์การแบ่งส่วนราชการ ของสถาบันอาชีวศึกษา สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ 1.2 ร่างกฎกระทรวงกำหนดคุณสมบัติผู้ดำรงตำแหน่งนายกสภาสถาบัน กรรมการสภาสถาบัน หลัก เกณฑ์และวิธีการเลือกหรือสรรหากรรมการสภาสถาบัน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดคุณสมบัติผู้ดำรงตำแหน่ง นายกสภาสถาบัน กรรมการสภาสถาบัน หลักเกณฑ์และวิธีการเลือกหรือสรรหากรรมการสภาสถาบัน 2. สำหรับร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์การแบ่งส่วนราชการฯ ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เพิ่มนิยามของส่วนราชการในร่างข้อ 2 ตามความเห็นของสำนักงาน ก.พ.ร. และรับความเห็นของสำนักงบประมาณ ที่เห็นควรมีการประสานความร่วมมือให้เกิดประโยชน์สูงสุดในการใช้ทรัพยากรร่วมกันของสถานศึกษาอาชีวศึกษาที่ จะรวมกันจัดตั้งเป็นสถาบันการอาชีวศึกษาไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ 3. ให้กระทรวงศึกษาธิการรับความเห็นของสำนักงาน ก.พ.ร. เกี่ยวกับการกำหนดมาตรฐานขั้นต่ำที่ใช้เป็น องค์ประกอบสำคัญของหลักเกณฑ์ในการพิจารณาการแบ่งส่วนราชการตามที่ได้กำหนดในพระราชบัญญัติการอาชีว ศึกษา พ.ศ. 2551 เพื่อให้การแบ่งส่วนราชการของสถาบันการอาชีวศึกษาเป็นมาตรฐานเดียวกันในลักษณะเดียวกับ หลักเกณฑ์การแบ่งส่วนราชการของสถาบันอุดมศึกษาของรัฐ ที่คณะกรรมการการอุดมศึกษาได้ใช้เป็นเกณฑ์สำหรับ แบ่งส่วนราชการสถานศึกษาของรัฐที่จัดการศึกษาระดับปริญญา และความเห็นของสำนักงบประมาณเกี่ยวกับแนว ทางประสานความร่วมมือเพื่อรับการสนับสนุนจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และสถานประกอบการเอกชน ไป พิจารณาดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||||||||
791 | ร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการพัฒนาพื้นที่โดยรอบท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ พ.ศ. .... | มท | 18/05/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติให้ส่งร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการพัฒนาพื้นที่โดยรอบท่าอากาศยาน
สุวรรณภูมิ พ.ศ. .... ให้คณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (กกถ.) พิจารณา แล้ว นำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง เนื่องจากเห็นว่าการแก้ไขเพิ่มเติมองค์ประกอบของคณะกรรมการพัฒนา พื้นที่โดยรอบท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนออาจกระทบบทบาทและการมี ส่วนร่วมขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ตลอดจนหลักการกระจายอำนาจ
|
||||||||||||||||||||||||
792 | ขอผ่อนผันการใช้พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 บี เพื่อต่ออายุประทานบัตรทำเหมืองแร่ของห้างหุ้นส่วนจำกัด ชุติวรรณ ที่จังหวัดนครศรีธรรมราช | อก | 11/05/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. เห็นชอบการผ่อนผันการใช้พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 บี เพื่อต่ออายุประทานบัตรทำเหมืองแร่หินอุตสาหกรรม ชนิดหินปูน (เพื่ออุตสาหกรรมก่อสร้าง) ของห้างหุ้นส่วนจำกัด ชุติวรรณ ที่จังหวัดนครศรีธรรมราช ตามคำขอที่ 3/ 2548 ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน 2532 และวันที่ 15 พฤศจิกายน 2533 ตามที่กระทรวงอุตสาห กรรมเสนอ 2. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ที่เห็นควรระมัดระวังเรื่องคุณภาพ น้ำ โดยต้องปฏิบัติตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมอย่างเคร่งครัด และรับความเห็นของกระทรวง ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และประธานกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เกี่ยว กับขั้นตอนการอนุญาตประทานบัตรให้นำมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมและมาตรการติดตามตรวจ สอบคุณภาพสิ่งแวดล้อมที่กำหนดไว้ในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม โครงการเหมืองแร่หินอุตสาหกรรม ชนิดหินปูน (เพื่ออุตสาหกรรมก่อสร้าง) ของห้างหุ้นส่วนจำกัด ชุติวรรณฯ ซึ่งคณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณาราย งานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมด้านโครงการเหมืองแร่ให้ความเห็นชอบแล้ว ไปกำหนดเป็นเงื่อนไขแนบท้ายใบ อนุญาตต่ออายุประทานบัตรเหมืองแร่ด้วย และให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) เจ้าของพื้นที่หรือนอกเขตพื้น ที่ที่อาจมีผลกระทบต่อคุณภาพสิ่งแวดล้อมหรือสุขอนามัยของประชาชนได้เข้ามามีส่วนร่วมในขั้นตอนหรือกระบวนการ พิจารณาเพื่อประโยชน์ในการบำรุงรักษาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ตลอดจนเป็นสื่อกลางในการสร้างความ เข้าใจที่ถูกต้องต่อโครงการที่ขอประทานบัตรในการทำเหมืองแร่ในพื้นที่ลุ่มน้ำกับประชาชนในพื้นที่ ไปดำเนินการด้วย
|
||||||||||||||||||||||||
793 | ข้อเสนอแนวทางให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นดำเนินการจัดการที่อยู่อาศัยและที่ดินทำกิน | นร | 11/05/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. เห็นชอบตามมติคณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ครั้งที่ 1/2553 เมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2553 ซึ่งพิจารณาแนวทางในการให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ดำเนินการจัด การที่อยู่อาศัยและที่ดินทำกินซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบของส่วนราชการต่าง ๆ โดยเห็นว่าเป็นนโยบายที่สำคัญเร่ง ด่วนของรัฐบาล สมควรที่ส่วนราชการซึ่งมีที่ดินสามารถสนับสนุนการดำเนินการดังกล่าวได้ให้ความสำคัญและเร่ง รัดพิจารณาการขอใช้ที่ดินเมื่อ อปท. ร้องขอ ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ 2. ให้สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีรับความเห็นเพิ่มเติมของรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย) ที่เห็นว่า อาจนำเรื่องนี้รวมพิจารณากับประเด็นกฎหมายภาษีและที่ดิน โฉนดชุมชน การแก้ปัญหาที่ดินหวงห้าม โดยการมอบหน่วยงาน รัฐมนตรี หรือกระทรวงที่รับผิดชอบ จัดสัมมนาเชิงนโยบาย ด้านที่ดิน แล้วกำหนดวันนำเสนอต่อสาธารณะพร้อมกันต่อไป ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||||||||
794 | (ร่าง) แผนจัดการเพื่อคุ้มครองสมุนไพรในพื้นที่เขตอนุรักษ์ พ.ศ. 2553 - 2555 (แผนระยะสั้น) ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองและส่งเสริมภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย พ.ศ. 2542 | สธ | 11/05/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. เห็นชอบในหลักการร่างแผนจัดการเพื่อคุ้มครองสมุนไพรในพื้นที่เขตอนุรักษ์ พ.ศ. 2553-2555 (แผน ระยะสั้น) ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองและส่งเสริมภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย พ.ศ. 2542 โดยสาระสำคัญของร่าง แผนฯ เพื่อคุ้มครองสมุนไพรและบริเวณถิ่นกำเนิดของสมุนไพร ที่มีระบบนิเวศตามธรรมชาติ หรือมีความหลากหลาย ทางชีวภาพ หรืออาจได้รับผลกระทบจากการกระทำของมุนษย์ในพื้นที่ที่กำหนดให้เป็นเขตอนุรักษ์ โดยมุ่งการสร้าง กระบวนการมีส่วนร่วมระหว่างองค์กร ชุมชน และภาครัฐ ในการอนุรักษ์ สืบทอด และการบริหารจัดการสมุนไพรให้ เกิดความยั่งยืน และได้รับประโยชน์สูงสุด โดยกำหนดพื้นที่คุ้มครองสมุนไพรในพื้นที่เขตอนุรักษ์ 4 แห่ง ได้แก่ พื้น ที่ป่าชุมชนบ้านหัวทุ่ง เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเชียงดาว อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าซับลังกา อำเภอลำสนธิ จังหวัดลพบุรี เขตอุทยานแห่งชาติภูจองนายอย อำเภอนาจะหลวย จังหวัดอุบลราชธานี และพื้นที่ป่า เขาสลัดได อุทยานแห่งชาติทับลาน จังหวัดนครราชสีมา ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ 2. สำหรับกรอบวงเงินในการดำเนินการในปีงบประมาณ พ.ศ. 2553 จำนวน 2,105,000 บาท และปีงบ ประมาณ พ.ศ. 2554 จำนวน 3,030,000 บาท ให้ใช้จ่ายจากเงินกองทุนภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย กรมพัฒนา การแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก ซึ่งได้รับการจัดสรรงบประมาณ และได้เสนอตั้งงบประมาณรองรับไว้แล้ว ส่วนค่าใช้จ่ายในปีงบประมาณ พ.ศ. 2555 ให้เสนอขอตั้งงบประมาณตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป แต่เนื่อง จากแผนจัดการเพื่อคุ้มครองสมุนไพรในพื้นที่เขตอนุรักษ์ 4 แห่งดังกล่าวได้กำหนดเป้าหมาย กลยุทธ์ มาตรการ ตัว ชี้วัดที่ใกล้เคียงกัน และมีกิจกรรมการดำเนินงานที่ส่งผลให้เกิดความสำเร็จแตกต่างกัน จึงเห็นควรให้กรมพัฒนาการ แพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือกทบทวนแผนฯ โดยพิจารณากำหนดเป้าหมาย กลยุทธ์ มาตรการ ตัวชี้วัด และ แนวทางการดำเนินงานให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ 3. ให้กระทรวงสาธารณสุขรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงศึกษาธิการ สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะ กรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรส่งเสริมสนับสนุนให้มีการนำองค์ความรู้เรื่องสมุนไพรและ ภูมิปัญญาท้องถิ่นเข้าเป็นส่วนหนึ่งของบทเรียน และ/หรือหลักสูตรการเรียนการสอน และจัดให้มีกิจกรรมส่งเสริม การมีส่วนร่วมของเยาวชนในการอนุรักษ์และคุ้มครองสมุนไพรในเขตพื้นที่อนุรักษ์ นอกจากนี้ ควรประสานความร่วม มือให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นขยายบทบาทการมีส่วนร่วมในการจัดการอนุรักษ์ ฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติ และ ส่งเสริมการสร้างประชาคม สร้างเครือข่ายการอนุรักษ์ การจัดการทรัพยากรร่วมกับชุมชนให้มากขึ้น รวมทั้งให้ ความสำคัญกับการจัดทำฐานข้อมูลทรัพยากรของท้องถิ่นชุมชน สร้างระบบการเรียนรู้ ถ่ายทอดยกระดับภูมิปัญญา ท้องถิ่นในการจัดการทรัพยากรร่วมกับความรู้สมัยใหม่ ตลอดจนร่วมกันกำหนดกติกา หลักเกณฑ์การใช้ประโยชน์ จากทรัพยากรของชุมชนร่วมกันควบคู่กับการกำหนดมาตรการในการควบคุมกิจกรรมที่คุกคามทำลายระบบนิเวศน์ เพื่อให้เกิดการรักษาฐานทรัพยากรและความสมดุลของระบบนิเวศน์อย่างยั่งยืน ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||||||||
795 | ขอความร่วมมือในการรณรงค์ประชาสัมพันธ์การลดใช้ถุงพลาสติก (วันที่ 22 เมษายน - 5 มิถุนายน 2553) | ทส | 27/04/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอขอความร่วมมือ
จากประชาชน และหน่วยงานทุกหน่วยงาน โดยเฉพาะองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และจังหวัด ในการรณรงค์ ประชาสัมพันธ์ส่งเสริมการลดปริมาณขยะ ภายใต้แนวความคิด ลดถุงพลาสติก ลดโลกร้อน และการใช้ถุงผ้า หรือตระกร้า เพื่อลดปริมาณขยะจากถุงพลาสติก ลดมลภาวะทางสิ่งแวดล้อมและลดภาวะโลกร้อน
|
||||||||||||||||||||||||
796 | กรอบแผนบูรณาการงบประมาณการจัดการป้องกันและแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งทะเล 23 จังหวัด ปีงบประมาณ พ.ศ. 2554 - 2559 | ทส | 20/04/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. เห็นชอบในหลักการตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้ 1.1 กรอบแผนบูรณาการงบประมาณการจัดการป้องกันและแก้ไขปัญหาการกัดเซาะในพื้นที่จังหวัดชาย ฝั่งทะเล 23 จังหวัด ปีงบประมาณ พ.ศ. 2554-2559 รวมระยะเวลา 6 ปี วงเงิน 19,580.8 ล้านบาท จำนวน 933 โครงการ จำแนกเป็นปีงบประมาณ พ.ศ. 2544 วงเงิน 4,436.9 ล้านบาท จำนวน 202 โครงการ ปีงบประมาณ พ.ศ. 2555-2559 วงเงิน 15,143.9 ล้านบาท จำนวน 731 โครงการ โดยเป็นโครงการที่มีความสำคัญต้องดำเนิน การเร่งด่วนในปีงบประมาณ พ.ศ. 2554 วงเงิน 2,490.5 ล้านบาท จำนวน 31 โครงการ 1.2 ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง เป็นหน่วย งานรับผิดชอบประสานการดำเนินงานให้เป็นไปตามกรอบแผนบูรณาการงบประมาณฯ 1.3 ให้สำนักงบประมาณพิจารณาดำเนินการจัดสรรงบประมาณให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อดำเนินการ ให้เป็นไปตามกรอบแผนบูรณาการงบประมาณฯ 2. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของกระทรวงกลาโหม กระทรวงเกษตรและ สหกรณ์ และกระทรวงคมนาคม เกี่ยวกับโครงการแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งทะเลที่อยู่ในกรอบแผนบูรณาการงบ ประมาณฯ หน่วยงานผู้รับผิดชอบสามารถเปลี่ยนแปลงลำดับความสำคัญเพื่อดำเนินการได้ตามความเหมาะสม ส่วน โครงการที่ไม่ปรากฎในกรอบแผนบูรณาการงบประมาณฯ หากมีความจำเป็นต้องดำเนินการและเป็นโครงการที่สอด คล้องกับยุทธศาสตร์ และ/หรือแผนปฏิบัติการของกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งหน่วยงานผู้รับผิดชอบสามารถ พิจารณาดำเนินการได้ตามความเหมาะสม นอกจากนี้ แผนบูรณาการงบประมาณฯ ควรปรับปรุงเป็นระยะตามความ เหมาะสมและสอดคล้องกับสภาพปัญหาที่เกิดขึ้นและเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา เป็นต้น รวมทั้งความเห็นของสำนักงาน คณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรมีการศึกษาความเหมาะสมเชิงเทคนิคในส่วนโครงการ ที่ยังไม่มีแผนแม่บทรองรับก่อน และจัดลำดับความสำคัญของโครงการเพื่อมิให้การดำเนินโครงการเกิดผลกระทบต่อ เนื่องต่อการเปลี่ยนแปลงระบบนิเวศทางทะเล และการเปลี่ยนแปลงทางสมุทรศาสตร์ในภาพรวมได้ในภายหลัง นอก จากนี้ ควรประเมินผลกระทบของระบบนิเวศทางทะเลต่อการสร้างสิ่งก่อสร้างเพื่อป้องกันการกัดเซาะชายฝั่งทะเลให้มี ความชัดเจนก่อนดำเนินโครงการที่ระบุไว้ในแผนปฏิบัติการ ตลอดจนเร่งติดตามประเมินประสิทธิภาพโครงสร้างป้อง กันและแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งที่ผ่านมา และในระยะยาวควรให้ความสำคัญกับแผนงานฟื้นฟูพื้นที่เสื่อมโทรม และระบบนิเวศโดยเฉพาะการปลูกป่าชายเลน ไปพิจารณาดำเนินการด้วย 3. ให้กระทรวงมหาดไทยแจ้งประสานไปยังจังหวัดและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ที่เกี่ยวข้องเพื่อ ให้แจ้งข้อมูลเกี่ยวกับแผนงาน/โครงการ เกี่ยวกับการจัดการป้องกันและแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งทะเลที่จังหวัด หรือ อปท. จะดำเนินการ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมทราบ เพื่อประโยชน์ในการบูรณาการการ ดำเนินการป้องกันและแก้ไขปัญหาในภาพรวมต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
797 | ขออนุมัติหลักการก่อสร้างสนามกีฬาจังหวัด อำเภอและตำบล | กก | 20/04/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. อนุมัติในหลักการให้ก่อสร้างสนามกีฬาระดับจังหวัด 6 จังหวัด คือ จังหวัดมหาสารคาม จังหวัดสระแก้ว จังหวัดสมุทรปราการ จังหวัดอำนาจเจริญ จังหวัดสกลนคร และจังหวัดเพชรบูรณ์ ตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและ กีฬาเสนอ และให้ก่อสร้างสนามกีฬาจังหวัดนราธิวาสเพิ่มเติมอีกหนึ่งจังหวัด โดยให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ประสานงานกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) เกี่ยวกับการจัดทำรายละเอียดเกี่ยวกับขนาด สถานที่ และงบ ประมาณในการก่อสร้าง ทั้งนี้ ให้รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่ ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาประสานคณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อ จัดทำแผนการถ่ายโอนสนามกีฬาที่ก่อสร้างแล้วเสร็จในระดับจังหวัด อำเภอ และตำบล ให้ อปท. บริหารจัดการและ ใช้ประโยชน์ เพื่อแบ่งเบาภาระในการดูแลบำรุงรักษา ไปดำเนินการ และให้จัดทำแผนขอรับการจัดสรรงบประมาณ ร่วมกับสำนักงบประมาณต่อไป 2. สำหรับสนามกีฬาระดับอำเภอและระดับตำบลให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาจัดทำแผนการดำเนิน งาน ตลอดจนงบประมาณเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
798 | ขออนุมัติดำเนินการโครงการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำแบบบูรณาการ | ทส | 07/04/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (พลตรี สนั่น ขจรประศาสน์) ประธานกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ รับเรื่อง ขออนุมัติดำเนินการโครงการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำแบบบูรณาการ ไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงเกษตร และสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอีกครั้งหนึ่ง 2. ให้รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่ให้กระทรวงทรัพยา กรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมศึกษาความเป็นไปได้เบื้องต้นของโครงการฯ (Feasibility Study) ควบคู่ไปกับการดำเนิน โครงการสำรวจ ออกแบบ โดยพิจารณาถึงความสอดคล้องเชื่อมโยงกับแผนงานลงทุนด้านน้ำของหน่วยงานอื่นที่เกี่ยว ข้อง และแผนงานภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 ด้วย และจัดทำประมาณการงบประมาณปี พ.ศ. 2553 ที่ เหลือจ่ายของกรมทรัพยากรน้ำที่สามารถนำไปใช้กับโครงการฯ ส่วนแผนงานที่ยังไม่ได้จัดสรรเงินให้ขอใช้งบประมาณ ปกติ ปี พ.ศ. 2554 ต่อไป สำหรับโครงการอนุรักษ์ฟื้นฟูแหล่งน้ำ และโครงการปรับปรุงสิ่งก่อสร้างด้านแหล่งน้ำภาย ใต้โครงการฯ ควรมีการจัดลำดับความสำคัญของโครงการฯ ศึกษาความพร้อมด้านต่าง ๆ และประสานกับหน่วยงานที่ เกี่ยวข้องโดยเฉพาะองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและความต้องการของประชาชนในพื้นที่ก่อนการดำเนินการเพื่อให้เกิด ความชัดเจนและยอมรับร่วมกัน รวมทั้งความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นควรกำหนดให้มีการศึกษาความเหมาะสม ของโครงการฯ การวิเคราะห์ทางเลือกในเชิงเปรียบเทียบต้นทุน ความคุ้มค่าในการดำเนินงาน และการศึกษาถึงผล กระทบสิ่งแวดล้อมแยกเป็นรายโครงการ และกำหนดระยะเวลาดำเนินงานในแต่ละโครงการ/รายการให้เหมาะสมและ สอดคล้องตามสภาพปัญหาและความจำเป็นเร่งด่วนโดยให้หน่วยงานที่รับผิดชอบเรื่องน้ำมาร่วมพิจารณาในเชิงบูรณา การเพื่อให้ได้ข้อสรุปในรายละเอียด ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีโดยเร็วต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
799 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดจำนวนกรรมการ คุณสมบัติ หลักเกณฑ์การสรรหา การเลือกประธานกรรมการและกรรมการ การประชุม วาระการดำรงตำแหน่งและการพ้นจากตำแหน่งของคณะกรรมการวิทยาลัย พ.ศ. .... | ศธ | 30/03/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงกำหนดจำนวนกรรมการ คุณสมบัติ หลักเกณฑ์การสรรหา
การเลือกประธานกรรมการและกรรมการ การประชุม วาระการดำรงตำแหน่งและการพ้นจากตำแหน่งของคณะ กรรมการวิทยาลัย พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงศึกษาธิการ เสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้ โดยร่างกฎกระทรวง ฯ มีสาระสำคัญดังนี้ 1. กำหนดคำนิยาม ผู้ปกครอง ครูหรือคณาจารย์ วิทยาลัย องค์กรชุมชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ศิษย์เก่า ผู้บริหารสถานศึกษา คณะกรรมการและกรรมการ 2. กำหนดให้มีคณะกรรมการวิทยาลัยและกำหนดองค์ประกอบของคณะกรรมการ 3. กำหนดคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของกรรมการ 4. กำหนดหลักเกณฑ์การสรรหาและการเลือกกรรมการ 5. กำหนดวาระการดำรงตำแหน่ง การพ้นจากตำแหน่งของกรรมการ วิธีการประชุม และองค์ประชุม 6. กำหนดให้ผู้บริหารสถานศึกษาดำเนินการสรรหา เลือก และเสนอรายชื่อประธานกรรมการและ กรรมการให้แล้วเสร็จภายในเก้าสิบวันนับแต่วันที่กฎกระทรวงนี้ใช้บังคับ 7. กำหนดให้เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษามีอำนาจวินิจฉัยปัญหาเกี่ยวกับการปฏิบัติหรือ การดำเนินการเลือกประธานกรรมการและกรรมการตามที่กำหนดไว้ในกฎกระทรวงนี้
|
||||||||||||||||||||||||
800 | ขอรับการสนับสนุนงบกลางสำหรับ โครงการพัฒนาศูนย์เด็กเล็กในชุมชนด้านสุขภาพอนามัยและการพัฒนาการของเด็ก | สธ | 23/03/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. เห็นชอบในหลักการโครงการพัฒนาศูนย์เด็กเล็กในชุมชนด้านสุขภาพอนามัยและการพัฒนาของเด็ก โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้เด็กปฐมวัยในศูนย์พัฒนาเด็กเล็กมีสุขภาพอนามัย พัฒนาการ และการเจริญเติบโตเต็ม ตามศักยภาพของเด็ก เพื่อพัฒนาศักยภาพครูผู้ดูแลเด็กให้มีความรู้ ทักษะการดูแลสุขภาพอนามัยอย่างรอบด้าน เพื่อพัฒนาการมีส่วนร่วมของชุมชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและหน่วยงานต่าง ๆ เพื่อการพัฒนาเด็ก และเพื่อ พัฒนาให้ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กเป็นศูนย์การเรียนรู้ เพื่อการพัฒนาเด็กปฐมวัย ระยะเวลาดำเนินการ ปีงบประมาณ พ.ศ. 2553-2555 ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ โดยรับข้อเสนอแนะของกระทรวงศึกษาธิการที่เห็นควรให้มี ทางเลือกวิธีการบริหารจัดการศูนย์ที่เหมาะสมกับสภาพทางภูมิศาสตร์และศักยภาพของพื้นที่และใช้ประโยชน์ให้ คุ้มค่า รวมทั้งส่งเสริมสนับสนุนให้ประชาชนและคลังสมอง (ผู้เกษียณอายุที่มีความรู้และประสบการณ์) ในพื้นที่ ที่มีส่วนร่วมในการจัดการดูแลเด็กเพื่อให้มีการพัฒนาการรอบด้านเหมาะสมกับวัยหรือสูงกว่าเป้าหมาย นอกจาก นี้ ควรเตรียมการเพื่อสร้างกระบวนการมีส่วนร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่มีแนวดำเนินงานได้จริง และอย่างต่อ เนื่อง การให้ข้อมูลที่ถูกต้อง สร้างการยอมรับจากประชาชนและชุมชนโดยมีองค์กรอื่น ๆ เป็นผู้ส่งเสริม สนับสนุน และการสร้างแรงจูงใจในการพัฒนาศูนย์เด็กเล็ก 2. สำหรับค่าใช้จ่ายเพื่อการดังกล่าวให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2553 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น วงเงินไม่เกิน 94,508,000 บาท โดยรายละเอียด ให้ขอทำความตกลงกับสำนักงบประมาณ ส่วนงบประมาณค่าใช้จ่ายในปีงบประมาณ พ.ศ. 2554 และ พ.ศ. 2555 ให้กรมอนามัย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ ตามความเหมาะสม กับความจำเป็นต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ |
.....