ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 22 จากทั้งหมด 102 หน้า แสดงรายการที่ 421 - 440 จากข้อมูลทั้งหมด 2031 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
421 | โครงการเพื่อการพัฒนาปี 2559 ของการประปาส่วนภูมิภาค | มท | 12/04/2559 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการดำเนินโครงการเพื่อการพัฒนา ปี ๒๕๕๙ ของการประปาส่วนภูมิภาค (กปภ.) จำนวน ๖ โครงการ กรอบวงเงิน ๒,๔๕๗.๙๔๘ ล้านบาท (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) ประกอบด้วย (๑) โครงการที่ขอรับเงินอุดหนุนร้อยละ ๗๕ เงินรายได้ร้อยละ ๒๕ จำนวน ๔ โครงการ วงเงินลงทุนรวม ๒,๒๑๘.๓๗๒ ล้านบาท ได้แก่ โครงการก่อสร้างปรับปรุงขยาย กปภ. สาขาชัยภูมิ (บ้านเขว้า) และโครงการก่อสร้างปรับปรุงขยายเพื่อรองรับเขตเศรษฐกิจพิเศษ กปภ. สาขาแม่สอด (ระยะที่ ๒) กปภ. สาขาอรัญประเทศ และ กปภ. สาขาสะเดา และ (๒) โครงการที่ขอรับเงินอุดหนุนร้อยละ ๑๐๐ จำนวน ๒ โครงการ วงเงินลงทุนรวม ๒๓๙.๕๗๖ ล้านบาท ซึ่งเป็นโครงการปรับปรุงระบบประปาหลังรับโอน ได้แก่ กปภ. สาขาชุมแพ (ห้วยยาง) และ กปภ. สาขากบินทร์บุรี (หนองกี่) ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ๒. ส่วนงบประมาณในการดำเนินโครงการที่ยังไม่มีแหล่งเงินงบประมาณรองรับ จำนวน ๓ โครงการ วงเงินลงทุนรวม ๗๖๖.๖๑๖ ล้านบาท ซึ่ง กปภ. เสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ แล้ว ได้แก่ โครงการก่อสร้างปรับปรุงขยาย กปภ. สาขาชัยภูมิ (บ้านเขว้า) และโครงการปรับปรุงกิจการประปาภายหลังรับโอน กปภ. สาขาชุมแพ (ห้วยยาง) และสาขากบินทร์บุรี (หนองกี่) เห็นควรให้ กปภ. จัดทำรายละเอียดแบบรูปรายการ ประมาณการค่าใช้จ่าย และแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อประกอบการพิจารณาตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปี ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๓. ให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของกระทรวงการคลัง คณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และประธานกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจเกี่ยวกับการพิจารณาใช้เงินรายได้ในการดำเนินโครงการเป็นอันดับแรกและประสานสำนักงบประมาณเพื่อเสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณต่อไป การประสานความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องก่อนเริ่มดำเนินโครงการและติดตามประเมินผลการดำเนินโครงการเพื่อให้เป็นไปตามเป้าหมายและจัดทำแผนพัฒนาแหล่งน้ำดิบเพื่อรองรับการขาดแคลนในช่วงฤดูแล้ง รวมถึงวางแผนบริหารน้ำสูญเสียโดยเฉพาะพื้นที่ที่มีปริมาณน้ำสูญเสียสูง การควบคุมค่าใช้จ่ายในการผลิตและบริหารจัดการโครงการ การจัดทำแผนการพัฒนาน้ำต้นทุนอย่างเป็นระบบ การมีส่วนร่วมกับรัฐบาลในการวางแผนแก้ไขปัญหาภัยแล้ง รวมทั้งวางแผนป้องกันและลดความเสี่ยงจากการขาดแคลนแหล่งน้ำดิบของประปาสาขาทุกแห่ง การพิจารณาเกณฑ์การให้เงินอุดหนุนที่เหมาะสมโดยจัดลำดับความสำคัญของโครงการ การพิจารณาให้เอกชนเข้าร่วมลงทุนเพื่อลดภาระทางการเงินและความเสี่ยงในการดำเนินงาน การกำกับดูแลการดำเนินโครงการให้เป็นไปตามแผนงาน ระยะเวลา และงบประมาณที่กำหนดไว้ การจัดตั้งหน่วยงานกำกับดูแล การบริหารจัดการน้ำในภาพรวมตั้งแต่การจัดหาแหล่งน้ำดิบ การผลิตน้ำประปา และการบริหารจัดการน้ำเสีย ตลอดจนการจัดทำแผนยุทธศาสตร์บริหารจัดการน้ำให้เกิดความชัดเจน โดยให้มีการบูรณาการโครงการที่เกี่ยวข้องอย่างเป็นระบบเพื่อประชาชนได้รับการจัดสรรน้ำอย่างเป็นธรรมและเท่าเทียมกัน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๔. ให้กระทรวงมหาดไทยบูรณาการร่วมกับสำนักงบประมาณ กระทรวงคมนาคม กระทรวงพลังงาน กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อตรวจสอบแผนงานโครงการที่เกี่ยวกับระบบสาธารณูปโภค เช่น ไฟฟ้า ประปา ถนน โทรศัพท์ ท่อระบายน้ำ เป็นต้น เพื่อวางแผนบริหารจัดการใช้พื้นที่สาธารณประโยชน์ในภาพรวมให้กระทบกับประชาชนน้อยที่สุด หากมีพื้นที่ดำเนินโครงการเป็นพื้นที่เดียวกันหรือใกล้เคียงกันควรดำเนินการไปพร้อมกัน เว้นแต่กรณีที่มีงานเดียว ทั้งนี้ หน่วยงานเจ้าของโครงการต้องรับผิดชอบการฝังกลบหรือซ่อมบำรุงพื้นที่ดังกล่าวให้อยู่ในสภาพเดิมด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
422 | ขอให้คณะรัฐมนตรีสั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ข้อมูล | ปช | 12/04/2559 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบตามที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (สำนักงาน ป.ป.ช.) เสนอขอให้คณะรัฐมนตรีสั่งการให้หัวหน้าหน่วยงานราชการ รัฐวิสาหกิจ และปลัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองและเจ้าหน้าที่ของรัฐที่มีหน้าที่ยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินส่งข้อมูลหรือคำสั่งทางราชการในการบริหารบุคคลที่เกี่ยวข้องกับผู้มีหน้าที่ยื่นบัญชีดังกล่าว ให้ สำนักงาน ป.ป.ช. ทราบทุกครั้งที่มีการแต่งตั้ง โยกย้าย สับเปลี่ยนตำแหน่ง ออกจากราชการ และเกษียณอายุราชการ และแจ้งให้ผู้มีหน้าที่ยื่นบัญชีรายการทรัพย์สินและหนี้สินยื่นบัญชีรายการทรัพย์สินและหนี้สินให้สำนักงาน ป.ป.ช. ภายในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด ตามมติคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (คณะกรรมการ ป.ป.ช.) ในการประชุมครั้งที่ ๗๒๕-๙๗/๒๕๕๘ เมื่อวันที่ ๒๔ ธันวาคม ๒๕๕๘ และครั้งที่ ๗๓๔-๐๘/๒๕๕๙ เมื่อวันที่ ๒๘ มกราคม ๒๕๕๙ ๒. ให้หัวหน้าหน่วยงานราชการ รัฐวิสาหกิจ และปลัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นของผู้ดำรงตำแหน่งการเมืองและเจ้าหน้าที่ของรัฐที่มีหน้าที่ยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินให้ความร่วมมือในการดำเนินการตามมติคณะกรรมการ ป.ป.ช. ครั้งที่ ๗๒๕-๙๗/๒๕๕๘ เมื่อวันที่ ๒๔ ธันวาคม ๒๕๕๘ และครั้งที่ ๗๓๔-๐๘/๒๕๕๙ เมื่อวันที่ ๒๘ มกราคม ๒๕๕๙ |
|||||||||||||||||||||||||||
423 | ขอความเห็นชอบต่อ (ร่าง) แผนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และ (ร่าง) แผนพัฒนารัฐบาลดิจิทัล ระยะ 3 ปี (พ.ศ. 2559 - 2561) | ทก | 05/04/2559 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบ (ร่าง) แผนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และ (ร่าง) แผนพัฒนารัฐบาลดิจิทัลระยะ ๓ ปี (พ.ศ. ๒๕๕๙-๒๕๖๑) เพื่อเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศที่ยั่งยืนโดยใช้เทคโนโลยีดิจิทัล ๑.๒ มอบหมายให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเป็นหน่วยงานหลักในการขับเคลื่อนแผนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และแผนพัฒนารัฐบาลดิจิทัลระยะ ๓ ปี (พ.ศ. ๒๕๕๙-๒๕๖๑) รวมทั้งจัดทำแผนปฏิบัติการเพื่อขับเคลื่อนการพัฒนารายยุทธศาสตร์ และ/หรือรายวาระ (agenda-based) ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ๑.๓ ให้ทุกกระทรวง กรม รัฐวิสาหกิจ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หน่วยงานของรัฐ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำแผนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และแผนพัฒนารัฐบาลดิจิทัลระยะ ๓ ปี และแผนปฏิบัติการที่จะจัดทำขึ้น ไปพิจารณาประกอบการจัดทำแผนปฏิบัติราชการและคำของบประมาณรายจ่ายประจำปีของหน่วยงานให้สอดคล้องกัน ๑.๔ ให้ทุกกระทรวง กรม รัฐวิสาหกิจ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หน่วยงานของรัฐ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำแผนปฏิบัติการดิจิทัลระยะ ๓ ปี ของหน่วยงานแทนการจัดทำแผนแม่บทเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเดิม และให้ยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๙ มิถุนายน ๒๕๔๑ ที่ให้ทุกกระทรวง ทบวง และหน่วยงานอิสระจัดทำแผนแม่บทเทคโนโลยีสารสนเทศอย่างเป็นระบบโดยจัดทำแผน ๓ ปี และปรับทุกปีตามความเหมาะสม และให้เสนอแผนของหน่วยงานควบคู่ไปกับการของบประมาณด้านเทคโนโลยีสารสนเทศในงบประมาณรายจ่ายประจำปีทุกปี ๑.๕ มอบหมายให้สำนักงบประมาณ สำนักงาน ก.พ. สำนักงาน ก.พ.ร. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้การสนับสนุนงบประมาณ บุคลากร การทบทวนโครงสร้างของส่วนราชการ การปรับปรุงกฎระเบียบ และการกำหนดตัวชี้วัด รวมทั้งการติดตามประเมินผลการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพและเป็นไปตามแผนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และแผนพัฒนารัฐบาลดิจิทัล ๒. ให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงกลาโหม กระทรวงการคลัง กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงคมนาคม กระทรวงยุติธรรม กระทรวงแรงงาน กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงสาธารณสุข สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงาน ก.พ. สำนักงาน ก.พ.ร. สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ และธนาคารแห่งประเทศไทย อาทิ แผนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ควรพิจารณาเรื่องการลดภาษีด้านเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อเป็นการส่งเสริมและเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินธุรกิจ ตลอดจนพัฒนาไปสู่การแข่งขันเชิงธุรกิจในระยะยาว ส่วนแผนพัฒนารัฐบาลดิจิทัลระยะ ๓ ปี ควรมีหน่วยงานที่รับผิดชอบด้านการรักษาความมั่นคงปลอดภัยคอมพิวเตอร์ในระดับประเทศ เพื่อเพิ่มความเชื่อมั่นให้กับภาคธุรกิจและภาคประชาชน และควรส่งเสริมให้มีการพัฒนาระบบปฏิบัติการ (Operating System) รวมทั้งโปรแกรมด้านงานเอกสาร เช่น Word Processing, Spread Sheet ที่พัฒนาโดยประเทศไทย และส่งเสริมให้เกิดอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ขึ้นในประเทศ นอกจากนี้ การจัดทำแผนปฏิบัติการเพื่อขับเคลื่อนการพัฒนารายยุทธศาสตร์ควรระบุถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง วิธีการดำเนินงานตามโครงการ ระยะเวลาที่จะใช้ในการดำเนินงาน และกรอบวงเงินงบประมาณให้มีความชัดเจน โดยจะต้องไม่ทับซ้อนกับภารกิจที่แต่ละส่วนราชการกำลังดำเนินการอยู่แล้ว ควรมีการสร้างความรู้ความเข้าใจในแผนดังกล่าวกับทุกภาคส่วนทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาค มีการติดตามและประเมินผลอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการพัฒนาระบบและการเชื่อมโยงข้อมูลตามแผนรัฐบาลดิจิทัล ต้องดำเนินการตามกรอบมาตรฐานการเชื่อมโยงข้อมูลภาครัฐ (TH e-GIF) เพื่อให้การเชื่อมโยงข้อมูลของภาครัฐเป็นมาตรฐานเดียวกันทั้งระบบ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
424 | ร่างบัญชีราคามาตรฐานการออกแบบอาคารที่ทำการ อาคารอยู่อาศัยรวม และบ้านพัก | นร07 | 05/04/2559 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่สำนักงบประมาณเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ยกเลิกมาตรฐานอาคารประเภทที่ทำการของทางราชการ พ.ศ. ๒๕๒๑ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๕ สิงหาคม ๒๕๒๑ แจ้งตามหนังสือสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ที่ สร ๐๒๐๓/ว ๑๒๐ ลงวันที่ ๒๒ สิงหาคม ๒๕๒๑ เรื่อง การกำหนดมาตรฐานอาคารประเภทที่ทำการของทางราชการ ๑.๒ ให้หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และองค์การอิสระ ใช้ร่างบัญชีราคามาตรฐานการออกแบบอาคารที่ทำการ อาคารอยู่อาศัยรวม และบ้านพัก เพื่อกำหนดรูปแบบในการก่อสร้างอาคารให้มีความเหมาะสมกับภารกิจที่รับผิดชอบ และมีราคาค่าก่อสร้างต่อเนื้อที่ใช้สอยของอาคารเฉลี่ยต่อตารางเมตรไม่เกินราคาที่สำนักงบประมาณกำหนด ทั้งนี้ หากมีปัญหาในทางปฏิบัติหรือสภาวะทางเศรษฐกิจเปลี่ยนแปลงไป สมควรมอบหมายให้สำนักงบประมาณวินิจฉัยปัญหาข้อหารือ และกำหนดบัญชีราคามาตรฐานการออกแบบอาคารที่ทำการ อาคารอยู่อาศัยรวม และบ้านพัก ได้ตามความจำเป็น ๒. ให้ยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๕ สิงหาคม ๒๕๒๑ (เรื่อง การกำหนดมาตรฐานอาคารประเภทที่ทำการของทางราชการ) ๓. ให้ยกเว้นการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี)
|
|||||||||||||||||||||||||||
425 | ขอให้คณะรัฐมนตรีมีมติเกี่ยวกับแนวทางการปฏิบัติในการออกเสียงประชามติ | ลต | 05/04/2559 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแนวทางปฏิบัติในการออกเสียงประชามติตามมติคณะกรรมการการเลือกตั้ง ครั้งที่ ๑๐/๒๕๕๙ เมื่อวันที่ ๑๔ มีนาคม ๒๕๕๙ ตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ และให้กระทรวง ทบวง กรม รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นของรัฐถือปฏิบัติต่อไป ดังนี้
๑. สั่งข้าราชการ พนักงาน เจ้าหน้าที่ และลูกจ้าง รวมทั้งขอความร่วมมือกลุ่มอาสาสมัครหรือกลุ่มเครือข่ายต่าง ๆ ในสังกัดทุกประเภท และทุกระดับ ทั้งในส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค และส่วนท้องถิ่น ให้ความร่วมมือ ช่วยเหลือ และสนับสนุนในการดำเนินการออกเสียงประชามติ รวมทั้งการจัดบุคลากรทำหน้าที่เกี่ยวกับการออกเสียงประชามติเพี่อให้เกิดความถูกต้อง โปร่งใส และดำเนินการอื่นใดที่จำเป็น เมื่อเจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบโดยตรงหรือคณะกรรมการการเลือกตั้งร้องขอ โดยให้ถือเป็นงานในหน้าที่ของข้าราชการ พนักงาน เจ้าหน้าที่ และลูกจ้างนั้น ๆ ด้วย ๒. ให้ข้าราชการ พนักงาน เจ้าหน้าที่ และลูกจ้างในสังกัดทุกประเภท และทุกระดับ ทั้งในส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค และส่วนท้องถิ่น วางตัวเป็นกลางในการออกเสียงประชามติอย่างเคร่งครัด ไม่ปฏิบัติการใด ๆ ในลักษณะเป็นการชี้นำให้ผู้มีสิทธิออกเสียงไปลงคะแนนออกเสียงเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบร่างรัฐธรรมนูญ ๓. ให้ข้าราชการ พนักงาน เจ้าหน้าที่ และลูกจ้างในสังกัดทุกประเภท และทุกระดับ ทั้งในส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค และส่วนท้องถิ่น ไปใช้สิทธิออกเสียงประชามติให้เป็นตัวอย่างแก่ประชาชนทั่วไป และให้คำแนะนำ ชักชวนบุคคลผู้มีสิทธิในครอบครัว ญาติ และมิตรสหาย ไปใช้สิทธิออกเสียงโดยพร้อมเพรียงกัน รวมทั้งให้ทุกหน่วยงานอำนวยความสะดวกแก่ผู้มีสิทธิออกเสียงในสังกัดในการไปใช้สิทธิออกเสียงด้วย ๔. ให้การสนับสนุนสถานที่เพื่อใช้เป็นสถานที่ในการจัดการออกเสียงประชามติ ๕. ให้กระทรวงแรงงานกำหนดแนวทางหรือมาตรการการดำเนินงานที่มีความชัดเจนและมีผลในทางปฏิบัติระหว่างกระทรวงแรงงานกับภาคเอกชนต่าง ๆ เพื่อให้ผู้ใช้แรงงาน และลูกจ้างสามารถไปใช้สิทธิออกเสียงประชามติได้ โดยไม่ถือเป็นวันลาหรือวันหยุด อีกทั้งเพื่อมิให้มีผลกระทบต่อภาคเอกชน ๖. ให้หน่วยงานด้านสื่อต่าง ๆ ของรัฐ ทั้งสื่อวิทยุ และโทรทัศน์ เผยแพร่ข่าวสารการออกเสียงประชามติอย่างต่อเนื่อง และทั่วถึง เพื่อเชิญชวนให้ประชาชนไปใช้สิทธิออกเสียงให้มากที่สุด ๗. ให้หน่วยงานต่าง ๆ พิจารณาความเหมาะสมในการจัดให้มีการฝึกอบรม หรือประชุมสัมมนา โดยให้คำนึงถึงผลกระทบที่จะเกิดกับการปฏิบัติงานในการออกเสียงประชามติ รวมทั้งการไปใช้สิทธิออกเสียงของบุคลากรในสังกัดเป็นสำคัญ ๘. ให้กระทรวงมหาดไทยสั่งการให้เจ้าหน้าที่ที่มีหน้าที่และความรับผิดชอบเกี่ยวกับการจัดทำและตรวจสอบทะเบียนราษฎร ดำเนินการสำรวจและตรวจสอบพร้อมทั้งดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ในการปรับปรุงข้อมูลทะเบียนราษฎรในส่วนของผู้มีสิทธิออกเสียงประชามติในเขตพื้นที่ความรับผิดชอบให้ถูกต้องตามข้อเท็จจริง และเป็นปัจจุบัน ทั้งนี้ เพื่อให้สถิติของผู้มาใช้สิทธิออกเสียงมีความสอดคล้อง และถูกต้องตามข้อเท็จจริง
|
|||||||||||||||||||||||||||
426 | รายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง "การปฏิรูปรูปแบบการปกครองท้องถิ่นของเมืองท่องเที่ยว" ของคณะกรรมาธิการการปกครองท้องถิ่น สภานิติบัญญัติแห่งชาติ | สว | 05/04/2559 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานและข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการการปกครองท้องถิ่น สภานิติบัญญัติแห่งชาติ เรื่อง “การปฏิรูปรูปแบบการปกครองท้องถิ่นของเมืองท่องเที่ยว” ซึ่งมีข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการบริหารงานและการพัฒนาประสิทธิภาพการบริหารงานขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในเมืองท่องเที่ยว ตามที่สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติเสนอ ๒. มอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยเป็นหน่วยงานหลักรับข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการฯ ไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงศึกษาธิการ และสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี (สำนักงานคณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น) เพื่อพิจารณาศึกษาแนวทางและความเหมาะสมของข้อเสนอแนะดังกล่าว และสรุปผลการพิจารณาหรือผลการดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวในภาพรวม แล้วส่งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีภายใน ๓๐ วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่งเพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||
427 | รายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง การตรวจสอบการใช้จ่ายเงินขององค์กรปกครอง ส่วนท้องถิ่นโดยสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน | สว | 29/03/2559 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาการตรวจสอบการใช้จ่ายเงินขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดยสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน ซึ่งมีข้อเสนอแนะเป็นการส่งเสริมให้การทำงานขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นสามารถจัดบริการสาธารณะได้อย่างถูกต้อง สอดคล้องกับหลักธรรมาภิบาลและเกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชน โดยให้ความสำคัญต่อการปรับปรุงแก้ไขกฎหมาย กฎ หรือระเบียบที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งการพัฒนาปรับปรุงระบบการบริหารจัดการขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในด้านต่าง ๆ เพื่อลดปัญหาการทักท้วง และเพิ่มความคล่องตัวในการทำงานขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นตามหลักการกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น ตามที่สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติเสนอ ๒. มอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยเป็นหน่วยงานหลักรับข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ ไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงการคลัง สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี สำนักงบประมาณ สำนักงาน ก.พ.ร. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อพิจารณาศึกษาแนวทางและความเหมาะสมของข้อเสนอแนะดังกล่าว และสรุปผลการพิจารณาหรือผลการดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวในภาพรวม แล้วส่งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีภายใน ๓๐ วันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่งเพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ๓. แจ้งข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ ให้สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินทราบ
|
|||||||||||||||||||||||||||
428 | การดำเนินการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนในช่วงเทศกาลสงกรานต์ พ.ศ. 2559 | มท | 29/03/2559 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบแผนบูรณาการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนในช่วงเทศกาลสงกรานต์ พ.ศ. ๒๕๕๙ โดยใช้ชื่อในการรณรงค์ว่า “สงกรานต์ปลอดภัย ส่งเสริมวัฒนธรรมไทย สร้างวินัยจราจร” มีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมวัฒนธรรมความปลอดภัยทางถนนในช่วงเทศกาลสงกรานต์ พ.ศ. ๒๕๕๙ และเพื่อให้จำนวนการเกิดอุบัติเหตุทางถนน จำนวนผู้เสียชีวิต และจำนวนผู้บาดเจ็บ (Admit) ลดลงให้เหลือน้อยที่สุด โดยให้จังหวัด อำเภอ และองค์กรปกครอง ส่วนท้องถิ่น เป็นผู้กำหนดเป้าหมายการดำเนินงานด้วยตนเอง ช่วงเวลาดำเนินการ แบ่งออกเป็น ๒ ช่วง คือ ช่วงการรณรงค์และเสริมสร้างวินัย ระหว่างวันที่ ๑๕ กุมภาพันธ์-๑๗ เมษายน ๒๕๕๙ และดำเนินการอย่างต่อเนื่องจนถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๙ และช่วงควบคุมเข้มข้น ระหว่างวันที่ ๑๑-๑๗ เมษายน ๒๕๕๙ ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ประธานกรรมการและผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนนเสนอ ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยและสำนักงานตำรวจแห่งชาติรับความเห็นของกระทรวงสาธารณสุขและกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเกี่ยวกับคดีผู้ขับขี่ขับรถขณะมึนเมาสุรา ให้ศาลใช้ดุลยพินิจสั่งผู้ถูกคุมประพฤติดังกล่าวไปบำเพ็ญประโยชน์ช่วยเหลือเจ้าหน้าที่ในโรงพยาบาล หรือดูแลผู้บาดเจ็บจากอุบัติเหตุทางถนน เพื่อเป็นการกระตุ้นให้เกิดจิตสำนึก เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการขับขี่ให้มีความปลอดภัยทางถนนมากขึ้น และในการทำประชาคมเพื่อกำหนดกติกาหรือธรรมนูญชุมชน หมู่บ้าน และมาตรการองค์กร ให้มีบทลงโทษและโทษทางวินัยหากเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ เพื่อเป็นการกำกับ ทำให้เกิดความเกรงกลัวต่อโทษ และปฏิบัติตามธรรมนูญชุมชน หรือมาตรการองค์กรอย่างเคร่งครัด รวมทั้งเข้มงวดไม่ให้ยานพาหนะ โดยเฉพาะรถบรรทุกขนาดใหญ่จอดบนไหล่ทางที่มีทัศนวิสัยไม่ดี โดยเฉพาะในเวลากลางคืน ลดความเสี่ยงต่อการเฉี่ยวชน หรือชนท้าย และให้จัดตั้งหน่วยเฉพาะกิจ “ศูนย์สร่างเมา” ในด่านชุมชน โดยมีกิจกรรมคัดกรองผู้ขับขี่ที่มีอาการหรือพฤติกรรม สงสัยว่าเมา หรืออาจดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์เมื่อพบให้กักตัว หรือนำส่งที่ศูนย์สร่างเมา เพื่อบำบัดอาการเมาให้สร่างโดยเร็ว นอกจากนี้ ให้หน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคมมีการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนรับทราบอย่างทั่วถึง รวมทั้งมีการกำหนดมาตรการบทลงโทษอย่างเคร่งครัด ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||
429 | การลงนามในร่างบันทึกข้อตกลงโครงการ "Domestication of Endangered, Endemic and Threatened Plant Species in Disturbed Terrestrial Ecosystem in Malaysia and Thailand" | ทส | 29/03/2559 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบการลงนามในร่างบันทึกข้อตกลงโครงการปรับปรุงสภาพพันธุ์พืชที่ใกล้สูญพันธุ์ พืชเฉพาะถิ่น และพืชที่ถูกคุกคาม ในระบบนิเวศพื้นดินที่ถูกรบกวนในประเทศมาเลเซียและประเทศไทย (Domestication of Endangered, Endemic and Threatened Plant Species in Disturbed Terrestrial Ecosystem in Malaysia and Thailand) ของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยโครงการฯ มีวัตถุประสงค์หลักในการศึกษาวิจัยเพื่อปรับสภาพพันธุ์พืชที่ใกล้สูญพันธุ์ พืชเฉพาะถิ่น และพืชที่ถูกคุกคาม ในระบบนิเวศพื้นดินที่ถูกรบกวนในประเทศมาเลเซียและประเทศไทย เพื่อเป็นการศึกษา วิจัยความรู้ และบทเรียนในวิธีการที่ดีที่สุดในการฟื้นฟูสภาพแวดล้อมและการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพในภูมิภาค โดยสำนักงานเลขานุการ ASEAN-Korea Forest Cooperation จะสนับสนุนงบประมาณในการดำเนินการ จำนวน ๑,๒๐๐,๐๐๐ ดอลลาร์สหรัฐ ระยะเวลาในการดำเนินโครงการ ๖ ปี นับจากวันลงนาม ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่ควรเน้นย้ำในการให้ความสำคัญและการปฏิบัติตามอนุสัญญาว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ (Convention on Biological Diversity : CBD) ที่ไทยเป็นภาคีและอนุวัติในการดำเนินโครงการ ควรมีการจัดทำข้อตกลงการจัดส่งวัสดุชีวภาพ (Material Transfer Agreement) ในกรณีที่มีการเคลื่อนย้ายเชื้อพันธุกรรมทั้งพืช สัตว์ และจุลินทรีย์ ควรมีการจัดทำลายพิมพ์ดีเอ็นเอของพันธุ์พืชที่ทำการศึกษาในโครงการเพื่อเป็นหลักฐานในการระบุอัตลักษณ์พันธุ์พืชนั้น ๆ ของประเทศไทย ควรสนับสนุนให้ชุมชนท้องถิ่น องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และสถาบันการศึกษาในท้องถิ่นมีส่วนร่วมในการฟื้นฟูระบบนิเวศ และการปรับปรุงสภาพพันธุ์พืชที่ใกล้สูญพันธุ์ พืชเฉพาะถิ่น และพืชที่ถูกคุกคามอย่างยั่งยืน รวมทั้งควรนำระบบการบริหารจัดการ “สะแกราชโมเดล” ของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ซึ่งได้รับการรับรองจาก UNESCO ให้เป็นแหล่งสงวนชีวมณฑล (Biosphere Reserve) มาปรับใช้เพื่อขยายผลในระดับภูมิภาค และเป็นแบบอย่างที่ดีในการบริหารจัดการพื้นที่ป่าไม้ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
430 | แผนพัฒนาจังหวัด แผนพัฒนากลุ่มจังหวัด (พ.ศ. 2557 - 2560) ฉบับทบทวนใหม่ (รอบปี พ.ศ. 2560) แผนปฏิบัติราชการประจำปีของจังหวัด แผนปฏิบัติราชการประจำปีของกลุ่มจังหวัด และคำของบประมาณของจังหวัดและกลุ่มจังหวัด ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 | นร12 | 29/03/2559 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบในหลักการตามที่คณะกรรมการนโยบายการบริหารงานจังหวัดและกลุ่มจังหวัดเสนอ ดังนี้ ๑.๑ แผนพัฒนาจังหวัด จำนวน ๗๖ จังหวัด และแผนพัฒนากลุ่มจังหวัด จำนวน ๑๘ กลุ่มจังหวัด (พ.ศ. ๒๕๕๗-๒๕๖๐) ฉบับทบทวนใหม่ (รอบปี พ.ศ. ๒๕๖๐) ๑.๒ แผนปฏิบัติราชการประจำปีของจังหวัด ๗๖ จังหวัด และแผนปฏิบัติราชการประจำปีของกลุ่มจังหวัด ๑๘ กลุ่มจังหวัด และคำของบประมาณของจังหวัดและกลุ่มจังหวัด ๗๖ จังหวัด ๑๘ กลุ่มจังหวัด ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ ๒. ในส่วนโครงการของกระทรวง กรม และโครงการขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นตามแผนพัฒนาจังหวัด/กลุ่มจังหวัด และแผนปฏิบัติราชการประจำปีของจังหวัด/กลุ่มจังหวัด ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ ให้ส่วนราชการและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นพิจารณาความจำเป็นและเหมาะสมของโครงการเพื่อเสนอสำนักงบประมาณพิจารณาตามขั้นตอนต่อไป ๓. ให้สำนักงาน ก.พ.ร. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นควรให้จังหวัดและกลุ่มจังหวัดพิจารณานำแนวนโยบายของนายกรัฐมนตรี เกี่ยวกับการเชื่อมโยงยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศ โดยใช้ “ห่วงโซ่คุณค่า” มาเป็นกรอบในการแสดงให้เห็นถึงความเชื่อมโยงของแผนงาน/โครงการภายใต้แผนปฏิบัติราชการประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ ตั้งแต่ต้นทาง กลางทาง ปลายทาง โดยอาจปรับลำดับโครงการที่อยู่ในส่วนเห็นชอบสนับสนุนภายในกรอบวงเงิน และเห็นชอบสนับสนุนเกินกรอบวงเงินให้สอดคล้องตามแนวนโยบายของนายกรัฐมนตรีภายใต้กรอบวงเงินเดิมได้ อย่างไรก็ตามจังหวัดและกลุ่มจังหวัดควรให้ความสำคัญกับการดำเนินโครงการตามแผน ให้แล้วเสร็จตามระยะเวลาที่กำหนด รวมทั้งกระทรวง กรม และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นควรให้ความสำคัญกับการพัฒนาในเชิงพื้นที่ โดยพิจารณาจัดทำคำของบประมาณโครงการที่สอดคล้องกับศักยภาพและโอกาสการพัฒนาของจังหวัดและกลุ่มจังหวัด ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||
431 | หลักเกณฑ์และแนวทางการจัดทำร่างพระราชบัญญัติโอนงบประมาณรายจ่าย พ.ศ. .... | นร07 | 29/03/2559 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบหลักเกณฑ์และแนวทางการจัดทำร่างพระราชบัญญัติโอนงบประมาณรายจ่าย พ.ศ. ....ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รายการที่นำงบประมาณมาจัดทำร่างพระราชบัญญัติโอนงบประมาณ พ.ศ. .... เป็นรายการในลักษณะงบลงทุนในทุกงบรายจ่ายตามพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ ที่ไม่สามารถลงนามจัดซื้อจัดจ้างได้ภายในวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๕๙ ไม่รวมงบกลาง ๑.๒ รายการที่ไม่นำงบประมาณมาจัดทำร่างพระราชบัญญัติโอนงบประมาณ พ.ศ. .... ๑.๒.๑ เป็นรายการในลักษณะงบลงทุนที่เป็นงานดำเนินการเอง ค่าจัดกรรมสิทธิ์ที่ดิน งบลงทุนที่มีคุณลักษณะพิเศษต้องใช้เทคโนโลยีหรือข้อเทคนิคพิเศษชั้นสูง หรือต้องจัดหาจากต่างประเทศ รายการที่คณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบในการขยายระยะเวลา และเงินงบประมาณเหลือจ่าย ๑.๒.๒ เป็นรายการในลักษณะงบลงทุนที่เข้าสู่กระบวนการจัดซื้อจัดจ้างแล้ว ภายในวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๕๙ และพิจารณาแล้วว่าจะสามารถลงนามจัดซื้อจัดจ้างได้ภายในวันที่ ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๕๙ ทั้งนี้ เพื่อให้การใช้จ่ายงบประมาณมีความต่อเนื่อง และเป็นประโยชน์ต่อทางราชการ ๑.๒.๓ เป็นรายการในลักษณะงบลงทุนจากการโอนเปลี่ยนแปลงเงินเหลือจ่ายจากรายจ่ายลงทุนหรือรายจ่ายประจำ ซึ่งได้รับความเห็นชอบจากรองนายกรัฐมนตรีที่กำกับดูแลหรือรัฐมนตรีเจ้าสังกัดให้ดำเนินการได้โดยต้องลงนามจัดซื้อจัดจ้างได้ภายในวันที่ ๓๑ สิงหาคม ๒๕๕๙ ๑.๓ ในกรณีที่ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่น ได้เสนอแผนการก่อหนี้ผูกพันงบประมาณพร้อมชี้แจงเหตุผลและความจำเป็นให้รองนายกรัฐมนตรีที่กำกับดูแลหรือรัฐมนตรีเจ้าสังกัดให้ความเห็นชอบส่งให้สำนักงบประมาณภายในวันที่ ๒๕ มีนาคม ๒๕๕๙ ตามหนังสือสำนักงบประมาณ ด่วนที่สุด ที่ นร ๐๗๑๖/ว ๖๒ ลงวันที่ ๓ มีนาคม ๒๕๕๙ เรื่อง การเร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ แล้วนั้น สำนักงบประมาณจะนำแผนดังกล่าวมาประกอบการพิจารณา และหากไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์ดังกล่าวข้างต้นก็จะดึงงบประมาณคืน และจัดทำร่างพระราชบัญญัติโอนงบประมาณรายจ่าย พ.ศ. .... ต่อไป ๑.๔ สำหรับกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น กระทรวงมหาดไทย ให้รวบรวมรายการที่ไม่สามารถก่อหนี้ผูกพันงบประมาณได้ทันขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นส่งให้สำนักงบประมาณภายในวันที่ ๕ เมษายน ๒๕๕๙ ๒. ให้ยกเว้นการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี)
|
|||||||||||||||||||||||||||
432 | รายงานผลการดำเนินการตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | มท | 22/03/2559 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ซึ่งประเด็นต่าง ๆ ตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ เช่น ปัญหาการเข้าถึงและการใช้ประโยชน์สิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับผู้พิการ ผู้ทุพพลภาพ คนชรา หรือผู้สูงอายุ อยู่ระหว่างดำเนินการพิจารณาแก้ไขปรับปรุงกฎกระทรวงกำหนดสิ่งอำนวยความสะดวกในอาคารสำหรับผู้พิการหรือทุพพลภาพ และคนชรา พ.ศ. ๒๕๔๘ กระบวนการรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมได้ทำแนวทางการจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมโครงการด้านอาคาร การจัดสรรที่ดิน และบริการชุมชนเพื่อให้หน่วยงานใช้ประกอบการจัดทำรายงาน ส่วนประเด็นการกำหนดวิธีการขออนุญาต และอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการควบคุมอาคารตามพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. ๒๕๒๒ อยู่ระหว่างการทบทวนและพิจารณาแก้ไขปรับปรุงพระราชบัญญัติและกฎกระทรวงที่เกี่ยวข้องให้สอดคล้องเหมาะสมกับสภาวการณ์ปัจจุบัน สำหรับข้อสังเกตเกี่ยวกับการสนับสนุนการทำงานแก่ราชการส่วนท้องถิ่นในการดำเนินการตามกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมจังหวัด นั้น จะได้จัดฝึกอบรมสัมมนาและให้ความรู้เกี่ยวกับกฎหมายว่าด้วยการควบคุมอาคารและกฎหมายว่าด้วยการผังเมือง ในปีงบประมาณ ๒๕๕๙ และปีต่อ ๆ ไป ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติทราบต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
433 | สรุปผลการดำเนินการเรื่องร้องทุกข์/เสนอความคิดเห็นจากประชาชน ไตรมาสที่ 1 ของปีงบประมาณ พ.ศ. 2559 | นร | 15/03/2559 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอสรุปผลการดำเนินการเรื่องร้องทุกข์/เสนอความคิดเห็นจากประชาชน ไตรมาสที่ ๑ ของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ โดยสถิติการแจ้งเรื่องร้องทุกข์/เสนอความคิดเห็นที่ยื่นเรื่องผ่านช่องทางการร้องทุกข์ ๑๑๑๑ และคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ทั้งสิ้น ๔๑,๖๘๖ ครั้ง รวมจำนวน ๒๖,๕๕๐ เรื่อง สามารถดำเนินการจนได้ข้อยุติ คิดเป็นร้อยละ ๘๑.๗๒ และอยู่ระหว่างการดำเนินการของส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง คิดเป็นร้อยละ ๑๘.๒๘ สำหรับประเด็นเรื่องที่ประชาชนร้องทุกข์/เสนอความคิดเห็นมากที่สุด ได้แก่ เหตุเดือดร้อนรำคาญ รองลงมาคือ แจ้งเบาะแสการลักลอบเปิดบ่อนและเล่นการพนัน แจ้งเบาะแสการลักลอบจำหน่ายและเสพยาเสพติด เสนอความคิดเห็นเกี่ยวกับนโยบายและโครงการของรัฐในประเด็นที่หลากหลาย และปัญหาหนี้สินนอกระบบ ตามลำดับ ๒. มอบหมายให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นให้ความสำคัญกับการเร่งรัดการดำเนินการเรื่องร้องทุกข์ให้มีผลเป็นที่ยุติด้วยความเป็นธรรมภายในระยะเวลาที่เหมาะสม
|
|||||||||||||||||||||||||||
434 | ข้อเสนอแนะเพื่อการปฏิรูปตามมาตรา 31 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (เรื่อง ระบบบริการสาธารณสุข ระบบการส่งเสริมสุขภาพและการป้องกันโรค และระบบบริหารจัดการและการเงินการคลังด้านสุขภาพ) | สธ | 15/03/2559 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบผลการพิจารณาเกี่ยวกับข้อเสนอแนะเพื่อการปฏิรูปตามมาตรา ๓๑ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ (เรื่อง ระบบบริการสาธารณสุข ระบบการส่งเสริมสุขภาพและการป้องกันโรค และระบบบริหารจัดการและการเงินการคลังด้านสุขภาพ) ของสภาปฏิรูปแห่งชาติ ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ การปฏิรูประบบบริการสาธารณสุข ควรกำหนดกรอบให้ชัดเจนก่อนแก้ไขกฎหมาย ควรเพิ่มจำนวนแพทย์ และควรคำนึงถึงการย้ายถิ่นฐานของผู้ประกันตน ๑.๒ การปฏิรูประบบการส่งเสริมสุขภาพและการป้องกันโรค องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องมีความเข้าใจบทบาทหน้าที่ คณะกรรมการสาธารณสุขระดับจังหวัด/ชุมชน/ท้องถิ่นควรร่วมกำหนดทิศทางและเป้าหมายการทำงานร่วมกัน และควรให้ความสำคัญกับการประเมินผล ๑.๓ การปฏิรูประบบการบริหารจัดการและการเงินการคลังด้านสุขภาพ ควรติดตามและประเมินผลการใช้จ่ายงบประมาณด้านสุขภาพอย่างเป็นระบบ ควรพิจารณาว่ากระทรวงสาธารณสุขจะมีบทบาทหน้าที่เป็นผู้กำกับดูแลระบบสุขภาพ หรือเป็นผู้ให้บริการ ควรบูรณาการข้อมูลสารสนเทศประกันสุขภาพและการเบิกจ่ายงบประมาณเข้ากับระบบฐานข้อมูลทะเบียนราษฎร การจัดตั้งหน่วยงานกลางในการบริหารจัดการกองทุนสุขภาพไม่ควรรวมกองทุนนอกเหนือจากการประกันสุขภาพ การเพิ่มภาษีผลิตภัณฑ์ที่เป็นภัยต่อสุขภาพไม่เกิดผลเป็นรูปธรรม และการตั้งหน่วยงานใหม่อาจเกิดความซ้ำซ้อนไม่ควรสร้างสถานพยาบาลใหม่สำหรับแรงงานต่างด้าว ๒. ให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีส่งรายงานผลการพิจารณาของกระทรวงสาธารณสุขให้คณะกรรมการประสานงาน รวม ๓ ฝ่าย (คณะรัฐมนตรี สภานิติบัญญัติแห่งชาติ และสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ) เพื่อพิจารณาความสอดคล้องและความเหมาะสมกับการปฏิรูปประเทศต่อไป และแจ้งสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ในฐานะฝ่ายเลขานุการร่วมคณะกรรมการจัดทำยุทธศาสตร์ชาติ เพื่อดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||
435 | ร่างพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. .... | นร07 | 15/03/2559 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. .... ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ และอนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา ๒. ให้รับข้อสังเกตของคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับการกำหนดสัดส่วนงบประมาณรายการต่าง ๆ เช่น งบประมาณเพื่อการชำระหนี้ภาครัฐ งบประมาณรายจ่ายงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น รวมทั้งงบประมาณของโครงการตามนโยบายของรัฐบาลนอกเหนือจากภารกิจตามปกติไว้ในร่างพระราชบัญญัติการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. .... นั้น เนื่องจากกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และธนาคารแห่งประเทศไทย ได้มีการพิจารณาในเรื่องดังกล่าวในกระบวนการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีอยู่แล้ว เพื่อให้เกิดความยืดหยุ่นในการดำเนินงานของฝ่ายบริหาร จึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องกำหนดประเด็นดังกล่าวไว้ในร่างกฎหมายฉบับนี้ และข้อสังเกตของสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ในส่วนของร่างพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. .... ควรมีการปรับปรุงรูปแบบการทำงานของสำนักงบประมาณเพื่อให้เป็นไปในลักษณะของคณะกรรมการที่มีความรู้ความชำนาญ และมีองค์ประกอบจากหน่วยงานที่มีหน้าที่รับผิดชอบครอบคลุมภารกิจที่กำหนดไว้ในร่างพระราชบัญญัติฯ และให้สำนักงบประมาณพิจารณาศึกษาและทบทวนขอบเขตความรับผิดชอบและแนวการทำงานที่เกี่ยวข้องกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอย่างรอบคอบและสอดคล้องกับแนวทางการกระจายอำนาจที่มุ่งเน้นการเสริมสร้างศักยภาพและประสิทธิภาพให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เป็นต้น สำหรับร่างพระราชบัญญัติการเงินการคลัง พ.ศ. .... ควรกำหนดให้มีคณะกรรมการเพื่อทำหน้าที่ในการกำกับ ติดตามการดำเนินการและการบริหารงานของหน่วยงานของรัฐให้เป็นไปตามบทบัญญัติที่กำหนดไว้ในร่างพระราชบัญญัติฯ และจากผลการบังคับใช้พระราชบัญญัติฯ ควรนำไปสู่การจัดทำบัญชีสาธารณะ (Consolidated Public Account) โดยรวม ที่มีความครอบคลุมสมบูรณ์ สามารถใช้เป็นเครื่องมือในการบริหารความเสี่ยงด้านการคลังในระยะยาว และผลักดันให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีการปรับตัว เพิ่มสมรรถนะในการบริหารจัดการด้านการเงินการคลังได้อย่างมีประสิทธิภาพและโปร่งใส เป็นต้น ไปพิจารณาด้วย แล้วส่งร่างพระราชบัญญัติทั้ง ๒ ฉบับให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณาก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๓. ให้สำนักงบประมาณรับข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีไปดำเนินการเกี่ยวกับการบูรณาการในการใช้จ่ายงบประมาณของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ องค์การมหาชน (หน่วยงานของรัฐ) เพื่อให้เกิดความคุ้มค่าในการใช้จ่ายงบประมาณของรัฐ |
|||||||||||||||||||||||||||
436 | ร่างพระราชบัญญัติการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. .... | กค | 15/03/2559 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. .... ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ และอนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา ๒. ให้รับข้อสังเกตของคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับการกำหนดสัดส่วนงบประมาณรายการต่าง ๆ เช่น งบประมาณเพื่อการชำระหนี้ภาครัฐ งบประมาณรายจ่ายงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น รวมทั้งงบประมาณของโครงการตามนโยบายของรัฐบาลนอกเหนือจากภารกิจตามปกติไว้ในร่างพระราชบัญญัติการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. .... นั้น เนื่องจากกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และธนาคารแห่งประเทศไทย ได้มีการพิจารณาในเรื่องดังกล่าวในกระบวนการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีอยู่แล้ว เพื่อให้เกิดความยืดหยุ่นในการดำเนินงานของฝ่ายบริหาร จึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องกำหนดประเด็นดังกล่าวไว้ในร่างกฎหมายฉบับนี้ และข้อสังเกตของสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ในส่วนของร่างพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. .... ควรมีการปรับปรุงรูปแบบการทำงานของสำนักงบประมาณเพื่อให้เป็นไปในลักษณะของคณะกรรมการที่มีความรู้ความชำนาญ และมีองค์ประกอบจากหน่วยงานที่มีหน้าที่รับผิดชอบครอบคลุมภารกิจที่กำหนดไว้ในร่างพระราชบัญญัติฯ และให้สำนักงบประมาณพิจารณาศึกษาและทบทวนขอบเขตความรับผิดชอบและแนวการทำงานที่เกี่ยวข้องกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอย่างรอบคอบและสอดคล้องกับแนวทางการกระจายอำนาจที่มุ่งเน้นการเสริมสร้างศักยภาพและประสิทธิภาพให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เป็นต้น สำหรับร่างพระราชบัญญัติการเงินการคลัง พ.ศ. .... ควรกำหนดให้มีคณะกรรมการเพื่อทำหน้าที่ในการกำกับ ติดตามการดำเนินการและการบริหารงานของหน่วยงานของรัฐให้เป็นไปตามบทบัญญัติที่กำหนดไว้ในร่างพระราชบัญญัติฯ และจากผลการบังคับใช้พระราชบัญญัติฯ ควรนำไปสู่การจัดทำบัญชีสาธารณะ (Consolidated Public Account) โดยรวม ที่มีความครอบคลุมสมบูรณ์ สามารถใช้เป็นเครื่องมือในการบริหารความเสี่ยงด้านการคลังในระยะยาว และผลักดันให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีการปรับตัว เพิ่มสมรรถนะในการบริหารจัดการด้านการเงินการคลังได้อย่างมีประสิทธิภาพและโปร่งใส เป็นต้น ไปพิจารณาด้วย แล้วส่งร่างพระราชบัญญัติทั้ง ๒ ฉบับให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณาก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๓. ให้สำนักงบประมาณรับข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีไปดำเนินการเกี่ยวกับการบูรณาการในการใช้จ่ายงบประมาณของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ องค์การมหาชน (หน่วยงานของรัฐ) เพื่อให้เกิดความคุ้มค่าในการใช้จ่ายงบประมาณของรัฐ
|
|||||||||||||||||||||||||||
437 | ข้อเสนอแนะเพื่อการปฏิรูปตามมาตรา 31 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (เรื่อง การอยู่ร่วมกันอย่างยั่งยืนระหว่างภาคอุตสาหกรรมและชุมชนด้วยแนวคิดเมืองนิเวศ) | อก | 08/03/2559 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการพิจารณาตามข้อเสนอแนะเพื่อการปฏิรูปตามมาตรา ๓๑ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ เรื่อง การอยู่ร่วมกันอย่างยั่งยืนระหว่างภาคอุตสาหกรรมและชุมชนด้วยแนวคิดเมืองนิเวศ ของสภาปฏิรูปแห่งชาติ ซึ่งกระทรวงอุตสาหกรรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเห็นด้วยกับการจัดตั้งคณะกรรมการบริหารจัดการเมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศแห่งชาติ แต่ไม่จำเป็นต้องจัดตั้งองค์กรใหม่ เนื่องจากกระทรวงอุตสาหกรรม โดยกรมโรงงานอุตสาหกรรมและการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยมีการดำเนินการตามภารกิจเพื่อให้มีการอยู่ร่วมกันอย่างยั่งยืนระหว่างภาคอุตสาหกรรมและชุมชนด้วยแนวคิดเมืองนิเวศอยู่แล้ว นอกจากนี้ เห็นชอบกับข้อเสนอการปรับปรุงและพัฒนากฎหมายที่มีอยู่ให้เอื้อต่อการพัฒนาเมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ โดยต้องมีการรับฟังข้อคิดเห็นจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกภาคส่วน ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ ๒. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงบประมาณ และสำนักงาน ก.พ. ที่เห็นควรเพิ่มความชัดเจนในดัชนีชี้วัดความสำเร็จเมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศในมิติทางด้านเศรษฐกิจ การนำแนวทางประชารัฐและวิสาหกิจเพื่อสังคมมาปรับใช้ในการจัดทำแผนขับเคลื่อนการพัฒนาพื้นที่เมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ การเผยแพร่ประชาสัมพันธ์กรอบแนวคิดและความหมายของเมืองนิเวศเชิงอุตสาหกรรม รวมทั้งการกำหนดมาตรการสนับสนุนและผลักดันในเรื่อง (๑) การสร้างมูลค่าเพิ่มเชิงเศรษฐกิจจากผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมให้แก่ชุมชนโดยรอบนิคมอุตสาหกรรม (๒) การกำหนดที่ตั้งและการดูแลพื้นที่กันชนอุตสาหกรรม (Industrial buffer Zone) (๓) การป้องกันผลกระทบสิ่งแวดล้อมจากนิคมอุตสาหกรรมที่ตั้งขึ้นใหม่ (๔) การดำเนินการด้านบรรษัทภิบาลหรือความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม และควรมีแผนการบริหารจัดการน้ำที่ชัดเจน เช่น การไม่ทิ้งน้ำเสียออกนอกเขตอุตสาหกรรม (Zero Discharge) การจัดทำรายละเอียดเพิ่มเติมเพื่อเปรียบเทียบบทบาทและหน้าที่ขององค์กรนิเวศอุตสาหกรรมกับหน่วยงานที่มีอยู่ภายในกระทรวงอุตสาหกรรม และหน่วยงานภายนอกที่มีลักษณะการทำงานใกล้เคียงกับประเภทขององค์กร การพิจารณาให้เครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ที่เรียกว่าการประเมินวัฏจักรชีวิต (Life Cycle Assessment : LCA) เป็นส่วนหนึ่งของเกณฑ์การพิจารณาในตัวชี้วัดการอยู่ร่วมกันอย่างยั่งยืนระหว่างภาคอุตสาหกรรมและชุมชนในทุกมิติ การบูรณาการกฎหมาย/กฎระเบียบที่เกี่ยวข้องให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน การปรับปรุงและพัฒนากลไกการบริหารจัดการความร่วมมือและการบังคับใช้กฎหมายที่มีอยู่ให้มีประสิทธิภาพ การบูรณาการและกำหนดแผนการทำงานที่ชัดเจนร่วมกันระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งภาครัฐ เอกชน และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น รวมทั้งเปิดโอกาสให้ประชาชนในพื้นที่อุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบเข้ามามีส่วนร่วม ๓. ให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีส่งรายงานผลการพิจารณาดังกล่าวของกระทรวงอุตสาหกรรมให้คณะกรรมการประสานงาน รวม ๓ ฝ่าย (คณะรัฐมนตรี สภานิติบัญญัติแห่งชาติ และสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ) เพื่อพิจารณาความสอดคล้องและความเหมาะสมกับการปฏิรูปประเทศต่อไป และแจ้งสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติในฐานะฝ่ายเลขานุการร่วมคณะกรรมการจัดทำยุทธศาสตร์ชาติเพื่อดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||
438 | หลักเกณฑ์การประเมินค่ารายปีภาษีโรงเรือนและที่ดินของรัฐวิสาหกิจ | กค | 08/03/2559 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบหลักเกณฑ์การประเมินค่ารายปีภาษีโรงเรือนและที่ดินของรัฐวิสาหกิจ โดยให้กระทรวงมหาดไทยออกประกาศกำหนดหลักเกณฑ์การประเมินค่ารายปีเครื่องจักรที่เป็นส่วนควบ และออกประกาศกำหนดหลักเกณฑ์การประเมินค่ารายปีทรัพย์สินประเภทโรงเรือนหรือสิ่งปลูกสร้างอย่างอื่นกับที่ดินซึ่งใช้ต่อเนื่องกับโรงเรือนหรือสิ่งปลูกสร้างอย่างอื่น ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และเห็นชอบตามความเห็นของกระทรวงพลังงานว่า ในระหว่างที่รอกระทรวงมหาดไทยออกประกาศกำหนดหลักเกณฑ์การประเมินค่ารายปีทรัพย์สินประเภทโรงเรือนหรือสิ่งปลูกสร้างอย่างอื่นกับที่ดินซึ่งใช้ต่อเนื่องกับโรงเรือนหรือสิ่งปลูกสร้างอย่างอื่น จะยังคงขอใช้บัญชีราคาค่าเช่ามาตรฐานกลางเฉลี่ยต่อตารางเมตรต่อเดือนของแต่ละโรงไฟฟ้าตามที่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เสนอ และคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้ลดหย่อนค่ารายปีและค่าภาษีโรงเรือนและที่ดินที่คำนวณจากบัญชีราคาค่าเช่าที่ กฟผ. เสนอแล้ว ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยเร่งดำเนินการออกประกาศกำหนดหลักเกณฑ์ตามข้อเสนอของกระทรวงการคลังให้แล้วเสร็จโดยเร็ว โดยให้รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงบประมาณ และประธานกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ ที่เห็นควรเร่งทำความเข้าใจและกำกับให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทุกแห่งนำหลักเกณฑ์การประเมินค่ารายปีไปปฏิบัติอย่างเคร่งครัด โดยค่ารายปีที่จะลดหย่อนให้แก่รัฐวิสาหกิจต่าง ๆ นอกจากการคำนึงถึงรายได้ของท้องถิ่นและความเป็นธรรมกับผู้เสียภาษีทั่วไปรายอื่น ๆ แล้ว จะต้องพิจารณาความเหมาะสมและสถานะของรัฐวิสาหกิจบางแห่งที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และมีผู้ถือหุ้นบางส่วนเป็นเอกชนและชาวต่างชาติด้วย เพื่อมิให้ส่งผลกระทบต่อการแข่งขันที่เป็นธรรม และสำหรับในอนาคตต่อไปหากรัฐวิสาหกิจมีความจำเป็นต้องเสนอขอลดหย่อนค่ารายปีภาษีโรงเรือนและที่ดิน เห็นควรมอบหมายให้คณะกรรมการพิจารณาคำร้องขอให้พิจารณาการประเมินใหม่ในท้องถิ่นนั้นร่วมกับกระทรวงเจ้าสังกัดของรัฐวิสาหกิจพิจารณาอย่างรอบคอบให้ได้ข้อยุติก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณา ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการต่อไปด้วย ๓. ในกรณีที่รัฐวิสาหกิจมีเหตุผลความจำเป็นที่จะต้องขอลดหย่อนค่ารายปี โดยอาศัยอำนาจตามนัยมาตรา ๓๑ วรรคสาม แห่งพระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดิน พุทธศักราช ๒๔๗๕ เนื่องจากประสบปัญหาทางการเงินหรือการดำเนินกิจการ เมื่อกระทรวงเจ้าสังกัดของรัฐวิสาหกิจนั้นเสนอเรื่องไปยังสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีส่งเรื่องดังกล่าวให้กระทรวงการคลังรับไปพิจารณาร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจนได้ข้อยุติก่อน และให้กระทรวงการคลังนำผลการพิจารณาดังกล่าวเสนอคณะรัฐมนตรีภายใน ๓๐ วัน |
|||||||||||||||||||||||||||
439 | ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | นร | 08/03/2559 | ||||||||||||||||||||||||
ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการ ดังนี้
๑. ด้านเศรษฐกิจ ให้กระทรวงมหาดไทยเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงกลาโหม กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นพิจารณากำหนดแนวทางการจัดกิจกรรมเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในระดับท้องถิ่น กระตุ้นการใช้จ่ายในชุมชน ส่งเสริมการประกอบอาชีพนอกภาคการเกษตร รวมทั้งสร้างความสุขให้แก่ประชาชนในแต่ละพื้นที่ เช่น การจัดงานในวัด ทั้งนี้ ให้นำเสนอแนวทางดังกล่าวต่อคณะรัฐมนตรีภายในสัปดาห์หน้า ๒. ด้านกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) พิจารณาจัดกลุ่มกฎหมายเพื่อให้ง่ายต่อการรับรู้ของประชาชน เช่น กลุ่มกฎหมายเกี่ยวกับการป้องกันและปราบปรามการทุจริต กลุ่มกฎหมายด้านกระบวนการยุติธรรม กลุ่มกฎหมายการปฏิรูประบบราชการ เพื่อสร้างการรับรู้ให้ประชาชนเข้าใจถึงวัตถุประสงค์ การบังคับใช้กฎหมาย และประโยชน์ที่จะได้รับจากกฎหมายนั้น ๓. ด้านการบริหารราชการแผ่นดินและอื่น ๆ ๓.๑ ตามที่ได้มีข้อสั่งการให้กระทรวงมหาดไทยเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงกลาโหม สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรักษาความสงบเรียบร้อยในแต่ละพื้นที่ให้มีความปลอดภัยและความสงบสุข รวมทั้งปราบปรามผู้มีอิทธิพล นั้น มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามนโยบายดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีการร้องเรียนจากประชาชน เช่น ตลาดโบ๊เบ๊ ๓.๒ ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำหนดประเด็นการขับเคลื่อนการดำเนินการในช่วงระยะเวลาที่เหลือของการบริหารราชการแผ่นดินของคณะรัฐมนตรี (ถึงเดือนกรกฎาคม ๒๕๖๐) ภายใต้หลักธรรมาภิบาล โดยเฉพาะในเรื่องที่มีความจำเป็นเร่งด่วน เช่น การแก้ไขปัญหาภัยแล้ง การปรับโครงสร้างการเกษตร การสร้างความเข้มแข็งและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ การรักษาความสงบเรียบร้อยภายในประเทศในทุกมิติ การสร้างคุณธรรม และจริยธรรมของสังคมเพื่อลดความขัดแย้ง การบริหารจัดการด้านการท่องเที่ยวเชิงคุณภาพ การพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่ง รวมทั้งกำหนดหน่วยงานรับผิดชอบการบูรณาการในแต่ละประเด็น ทั้งนี้ ให้เสนอนายกรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป ๓.๓ ให้กระทรวงอุตสาหกรรมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาแนวทางในการสนับสนุนรถหรือเครื่องมือให้แก่เกษตรกรชาวไร่อ้อย เพื่อใช้ในการกำจัดใบอ้อยและตออ้อย รวมทั้งประสานให้โรงงานที่จะรับซื้ออ้อยจากเกษตรกรร่วมรับผิดชอบในการกำจัดใบอ้อยและตออ้อยด้วย ๓.๔ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งกำหนดรูปแบบการใช้ประโยชน์จากที่ดินให้เหมาะสมกับสภาพพื้นที่ทั้งในระดับภูมิภาค ระดับกลุ่มจังหวัด และระดับจังหวัด โดยให้มีกลไกการสนับสนุนเงินทุนให้แก่ชุมชนและให้มีการเชื่อมโยงด้านการผลิตและการตลาดในระยะต่อไป เพื่อให้การจัดที่ดินทำกินให้ชุมชนตามนโยบายของรัฐบาลเกิดผลสำเร็จเป็นรูปธรรม ภายในปี ๒๕๖๐ ๓.๕ ให้ทุกส่วนราชการร่วมดำเนินการให้ “ปี ๒๕๕๙ เป็นปีแห่งธรรมาภิบาล” โดยให้การปฏิบัติภารกิจในความรับผิดชอบอยู่ภายใต้หลักธรรมาภิบาล รวมทั้งจัดกิจกรรมเพื่อรณรงค์และสร้างเสริมให้สังคมไทยเป็นสังคมแห่งธรรมาภิบาล เช่น การจัดกิจกรรมร่วมกันระหว่าง ๓ ศาสนา เพื่อปลูกฝังคุณธรรม จริยธรรม และจิตสำนึกให้แก่คนในชาติเพื่อเป็นพลังให้สังคมมีความเข้มแข็ง
|
|||||||||||||||||||||||||||
440 | รายงานการพิจารณาศึกษาข้อเสนอเชิงนโยบาย "การพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากด้วยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม" ของคณะกรรมาธิการการสื่อสารมวลชน การวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี และสารสนเทศ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ | สว | 01/03/2559 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานพร้อมทั้งข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการการสื่อสารมวลชน การวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสารสนเทศ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ เกี่ยวกับเรื่อง “การพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากด้วยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม” ซึ่งเห็นว่าในการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากด้วยฐานความรู้วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม ควรเชื่อมโยงองค์ความรู้อันอาศัยกลไกหลักที่เป็นความร่วมมือระหว่างเครือข่ายมหาวิทยาลัย ชุมชนท้องถิ่น ผู้ประกอบการ หน่วยงานราชการ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเข้าด้วยกัน เพื่อให้เกิดกลุ่มเครือข่ายการดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรมที่ยั่งยืน ตามที่สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติเสนอ ๒. มอบหมายให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเป็นหน่วยงานหลักรับข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการฯ ไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงมหาดไทย กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงสาธารณสุข และกระทรวงอุตสาหกรรมเพื่อพิจารณาศึกษาแนวทางและความเหมาะสมของข้อเสนอแนะดังกล่าว และสรุปผลการพิจารณาหรือผลการดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวในภาพรวม แล้วส่งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีภายใน ๓๐ วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่งเพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
|
.....