ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 26 จากทั้งหมด 102 หน้า แสดงรายการที่ 501 - 520 จากข้อมูลทั้งหมด 2031 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
501 | โครงการปรับปรุงขยายการประปาส่วนภูมิภาคสาขาพระนครศรีอยุธยา และเพชรบุรี ปี 2558 | มท | 16/06/2558 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการให้การประปาส่วนภูมิภาค (กปภ.) ดำเนินโครงการปรับปรุงขยาย กปภ. สาขาพระนครศรีอยุธยา และเพชรบุรี ปี ๒๕๕๘ วงเงินลงทุนรวม ๒,๙๙๗.๖๓๙ ล้านบาท (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ กปภ. กู้เงินภายในประเทศ โดยกระทรวงการคลังไม่ค้ำประกัน รวมทั้งให้กระทรวงการคลังเป็นผู้พิจารณาการกู้เงิน วิธีการกู้เงิน เงื่อนไข และรายละเอียดต่าง ๆ ของการกู้เงินตามความเหมาะสมและความจำเป็นต่อไป โดยให้ กปภ. ใช้เงินรายได้ชำระคืนการกู้เงินดังกล่าว ๒. ให้ กปภ. ไปหารือกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในการดำเนินการตรวจสอบพื้นที่ดำเนินการทั้งหมดว่าอยู่ในเขตพื้นที่ที่ใช้มาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมตามประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมในบริเวณพื้นที่อำเภอบ้านแหลม อำเภอเมืองเพชรบุรี อำเภอท่ายาง และอำเภอชะอำ จังหวัดเพชรบุรี อำเภอหัวหิน และอำเภอปราณบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ พ.ศ. ๒๕๕๓ และกิจกรรมที่ดำเนินการเข้าข่ายห้ามกระทำการตามข้อ ๑๐ ในประกาศดังกล่าวหรือไม่ ก่อนดำเนินการต่อไป ๓. ให้กระทรวงมหาดไทย โดย กปภ. รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม คณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ คณะกรรมการกำหนดนโยบายและการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ และคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐที่เห็นควรติดตามและประเมินผลการดำเนินโครงการพร้อมจัดทำแผนรองรับปัญหาขาดแคลนน้ำดิบ ภัยพิบัติ การลดอัตราน้ำสูญเสีย และการบริหารจัดการแรงดันน้ำ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการของ กปภ. และจัดทำแผนการตลาดในการเพิ่มผู้ใช้น้ำรายใหม่ให้เป็นไปตามเป้าหมายและควบคุมค่าใช้จ่ายด้านการผลิตและบริหารจัดการให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม และประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กระทรวงอุตสาหกรรม และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เพื่อจัดทำแผนบริหารความเสี่ยงด้านแหล่งน้ำดิบเพื่อให้สามารถแก้ไขปัญหาคุณภาพน้ำดิบและน้ำประปา รวมทั้งจัดทำแผนการดำเนินงานเพื่อลดอัตราน้ำสูญเสียขององค์กร โดยแสดงรายละเอียด เป้าหมาย ตัวชี้วัด วงเงินลงทุน และผลลัพธ์เป็นรายปี เพื่อใช้ประกอบการพิจารณาโครงการปรับปรุงขยายการประปาที่จะเสนอใหม่ต่อไป ตลอดจนประสานงานระหว่างส่วนราชการ/หน่วยงานที่เกี่ยวข้องในระดับส่วนกลาง อาทิ กรมชลประทาน กรมทรัพยากรน้ำ กรมทรัพยากรน้ำบาดาล และหน่วยงานผู้ปฏิบัติในพื้นที่เพื่อบูรณาการเรื่องการใช้ประโยชน์แหล่งน้ำในพื้นที่มาเป็นแหล่งต้นทุนน้ำดิบในกระบวนการให้เป็นไปด้วยความคุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชน นอกจากนี้ เห็นควรเร่งรัดการดำเนินการให้เป็นไปตามกรอบระยะเวลาดำเนินการด้วยความโปร่งใส พร้อมรับการตรวจสอบจากหน่วยงานและองค์กรต่าง ๆ และให้มีการพิจารณาการจ้าง ดำเนินการโดยแรงงานท้องถิ่นในส่วนที่สามารถดำเนินการได้ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
502 | มาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยว | กก | 09/06/2558 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ดำเนินการจัดการประชุม อบรม สัมมนา ในต่างจังหวัดเพิ่มมากขึ้น โดยให้ใช้บริการโรงแรมที่จดทะเบียนถูกต้องตามกฎหมาย รวมทั้งกรณีมีการคาดหมายที่จะใช้สถานที่ในการจัดประชุมในเขตภาคเหนือ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในจังหวัดเชียงใหม่ ขอให้พิจารณาความเหมาะสมในการเลือกใช้ศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติเฉลิมพระเกียรติ ๗ รอบ พระชนมพรรษา เป็นทางเลือกประกอบการตัดสินใจในลำดับต้น ตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอ ๒. ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬารับความเห็นของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นควรประชาสัมพันธ์ข้อมูลโรงแรมหรือศูนย์การประชุมสัมมนา ให้ส่วนราชการต่าง ๆ ได้ทราบ พร้อมทั้งจัดบริการเสริมในรูปแบบต่าง ๆ เพื่ออำนวยความสะดวกและสร้างแรงจูงใจแก่หน่วยงานผู้จัดการประชุม อบรม สัมมนา ให้ใช้บริการสถานที่ดังกล่าวมากขึ้น และควรรวบรวมรายชื่อโรงแรมที่สามารถรองรับการจัดประชุม อบรม สัมมนา ในต่างจังหวัด เพื่อให้หน่วยงานสามารถค้นหาได้สะดวก รวมทั้งกำหนดอัตราค่าที่พัก ค่าอาหาร ค่าอาหารว่างและเครื่องดื่มในอัตราพิเศษสำหรับส่วนราชการที่อยู่ในเกณฑ์อัตราการเบิกจ่ายตามระเบียบของกระทรวงการคลัง นอกจากนี้ ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาร่วมกับสำนักงานพัฒนาพิงคนคร (องค์การมหาชน) เร่งจัดทำแผนบริหารธุรกิจจัดการศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติเฉลิมพระเกียรติ ๗ รอบ พระชนมพรรษา จังหวัดเชียงใหม่ โดยกำหนดรูปแบบการบริหารให้มีความชัดเจน และสอดคล้องกับระยะเวลามาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยว ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
503 | รายงานผลการดำเนินงานของกรมการขนส่งทางบก เรื่อง การยกระดับการบริการประชาชนรถโดยสารสาธารณะ (รถแท็กซี่ไทย DLT Check in) และการยกระดับมาตรฐานห้องน้ำ สถานีขนส่งทั่วประเทศ | คค | 26/05/2558 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบตามที่กระทรวงคมนาคมรายงานผลการดำเนินงานของกรมการขนส่งทางบก เรื่อง การยกระดับการบริการประชาชน รถโดยสารสาธารณะ (รถแท็กซี่ไทp DLT Check in) และการยกระดับมาตรฐานห้องน้ำสถานีขนส่งทั่วประเทศ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ การยกระดับการบริการประชาชน รถโดยสารสาธารณะ (รถแท็กซี่ไทย DLT Check in) กรมการขนส่งทางบกได้เร่งพัฒนาการให้บริการด้วยรถแท็กซี่ โดยให้ภาคประชาชนมีส่วนร่วมในการยกระดับคุณภาพมาตรฐานการให้บริการด้วยการประเมินผ่านแอปพลิเคชัน DLT Check in ร่วมประเมินความพึงพอใจในการใช้บริการรถแท็กซี่ โดยตั้งแต่เปิดใช้บริการวันที่ ๒๐ กุมภาพันธ์-๑๔ เมษายน ๒๕๕๘ มีผู้ดาวน์โหลดรวมกว่า ๒๐,๐๐๐ ราย ในจำนวนนี้มีการแสดงความคิดเห็นและเรื่องร้องเรียนที่ได้ดำเนินการไปแล้วทั้งหมด ๙๘๖ เรื่อง และจากข้อมูลพบว่าค่าเฉลี่ยความพึงพอใจของผู้โดยสารอยู่ที่ ๒.๘ จากคะแนนเต็ม ๔ นอกจากนี้ ยังมีการวิเคราะห์เชื่อมโยงความสัมพันธ์ระหว่างข้อมูล DLT Check in กับฐานข้อมูลทะเบียนและเรื่องร้องเรียนของกรมการขนส่งทางบกเพื่อวิเคราะห์ถึงความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยที่มีผลกระทบในการประเมินความพึงพอใจการให้บริการรถแท็กซี่ พร้อมจัดกลุ่มรถแท็กซี่ที่มีปัญหาเพื่อทำการปรับปรุงแก้ไขต่อไป ทั้งนี้ ศูนย์คุ้มครองผู้โดยสารรถสาธารณะ ๑๕๘๔ ของกรมการขนส่งทางบกได้ดำเนินการตอบรับและจัดการเรื่องร้องเรียนทุกเรื่องที่เป็นปัญหาเกี่ยวกับการปฏิเสธผู้โดยสารมากที่สุดถึงร้อยละ ๒๖ ซึ่งข้อมูลทั้งหมดจะถูกนำมาใช้เพื่อพัฒนาแท็กซี่และสร้างแรงจูงใจยกระดับมาตรฐานแท็กซี่ที่ทำดี โดยให้ภาคประชาชนมีส่วนร่วมอย่างเต็มที่ เพื่อกำหนดทิศทางการจัดระเบียบการให้บริการด้วยรถแท็กซี่อย่างมีมาตรฐานเทียบเท่าสากล ๑.๒ การยกระดับมาตรฐานห้องน้ำสถานีขนส่งทั่วประเทศ กรมการขนส่งทางบกได้ยกระดับมาตรฐานการให้บริการด้วยการพัฒนาห้องน้ำตามสถานีขนส่งผู้โดยสารทั่วประเทศให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน โดยการออกแบบห้องน้ำตัวอย่างมาตรฐานสำหรับสถานีขนส่งผู้โดยสารเพื่อใช้เป็นแนวทางในการซ่อมแซม ปรับปรุง หรือก่อสร้างห้องน้ำใหม่ภายในสถานีขนส่งผู้โดยสารทั่วประเทศ พร้อมทั้งกำหนดให้จำนวนห้องน้ำมาตรฐานประเภทต่าง ๆ มีเพียงพอกับผู้ใช้บริการในสถานีทุกระดับ และสามารถให้ผู้ป่วยที่นั่งรถเข็นใช้งานได้สะดวกปลอดภัย นอกจากนี้ สุขภัณฑ์และวัสดุก่อสร้างเป็นไปตามมาตรฐานที่กำหนด พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกโดยต้องอยู่ภายใต้เกณฑ์มาตรฐานส้วมสาธารณะระดับประเทศ (Healthy Accessibility Safety : HAS) ของกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข โดยเปิดให้ใช้บริการฟรี และมีมาตรฐานการดูแลและบำรุงรักษาห้องน้ำในสถานีขนส่งผู้โดยสารทั่วประเทศให้อยู่ในสภาพดี ตอบสนองความพึงพอใจต่อผู้ใช้บริการ ปัจจุบันสถานีขนส่งผู้โดยสารในการควบคุมดูแลของกรมการขนส่งทางบก จำนวน ๖๐ แห่ง พร้อมกับสถานีขนส่งผู้โดยสารที่บริหารงานโดยบริษัท ขนส่ง จำกัด และเอกชนอีก ๙ แห่ง จะปรับปรุงเสร็จสมบูรณ์ภายในวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๘ ส่วนสถานีขนส่งผู้โดยสารที่บริหารโดยองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จำนวน ๔๘ แห่ง อยู่ระหว่างรอการพิจารณางบประมาณ ทั้งนี้ เป้าหมายของกรมการขนส่งทางบก คือ สถานีขนส่งผู้โดยสารต้องมีห้องน้ำที่สะอาดถูกสุขลักษณะ พร้อมใช้งานตลอดเวลา มีความพร้อมสามารถรองรับประชาชนผู้ใช้บริการ รวมทั้งนักท่องเที่ยวชาวไทยและชาวต่างชาติอย่างเต็มภาคภูมิ เพื่อก้าวเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ๒. ให้กระทรวงคมนาคมดำเนินการจัดหาสถานที่พักรอผู้โดยสาร ณ จุดรับส่งผู้โดยสารรถโดยสารสาธารณะ (รถแท็กซี่) ในสถานีขนส่งผู้โดยสารต่าง ๆ เพื่อให้บริการประชาชนในระหว่างที่รอรถและจัดให้มีรถแท็กซี่ให้บริการประชาชนอย่างเพียงพอ รวมทั้งจัดให้มีเจ้าหน้าที่อำนวยความสะดวกให้แก่ประชาชนในช่วงเทศกาลต่าง ๆ และให้ประชาสัมพันธ์ช่องทางในการร้องเรียนการให้บริการ แนะนำการให้บริการผ่านศูนย์คุ้มครองผู้โดยสารรถสาธารณะ ๑๕๘๔ ให้ประชาชนทราบ ทั้งนี้ ในกรณีที่ได้รับเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับการให้บริการหรือการปฏิเสธผู้โดยสารของรถแท็กซี่ ให้กระทรวงคมนาคมตรวจสอบและดำเนินการบังคับใช้กฎหมายเพื่อลงโทษผู้กระทำผิดอย่างจริงจัง เช่น การยึดใบอนุญาตขับรถ เป็นต้น
|
|||||||||||||||||||||||||||
504 | การแก้ไขปัญหาทัวร์ศูนย์เหรียญของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา | กก | 26/05/2558 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬารายงานว่า ในช่วง ๑๐ ปีที่ผ่านมาเศรษฐกิจของสาธารณรัฐประชาชนจีนเติบโตจนเป็นเศรษฐกิจที่มีขนาดใหญ่ระดับหนึ่งในสิบของโลก ส่งผลให้จำนวนนักท่องเที่ยวจากสาธารณรัฐประชาชนจีนที่เดินทางไปต่างประเทศเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยประเทศไทยเป็นประเทศหนึ่งที่มีนักท่องเที่ยวจากสาธารณรัฐประชาชนจีนนิยมเข้ามาท่องเที่ยว ซึ่งจากสถานการณ์ดังกล่าวส่งผลให้เกิดการแข่งขันและแย่งชิงส่วนแบ่งตลาดจากประเทศต่าง ๆ และมีแนวโน้มที่จะทวีความรุนแรงมากขึ้น ส่งผลให้ผู้ประกอบธุรกิจนำเที่ยวในประเทศไทยยกเว้นการเก็บค่าใช้จ่ายเพื่อการท่องเที่ยวแบบเหมาจ่ายจากนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาจากสาธารณรัฐประชาชนจีน และผู้ประกอบธุรกิจนำเที่ยวจากสาธารณรัฐประชาชนจีนบางรายเสนอค่าใช้จ่ายเพื่อการท่องเที่ยวแบบเหมาจ่ายในรูปแบบซื้อบริการนำเที่ยวเสริมและนำเที่ยวในราคาที่ต่ำกว่าต้นทุนที่เรียกว่า ทัวร์ศูนย์เหรียญ สำหรับปัญหานักท่องเที่ยวแสดงพฤติกรรมไม่เหมาะสม ไม่ได้เกิดเพียงในกลุ่มนักท่องเที่ยวจากสาธารณรัฐประชาชนจีนเท่านั้น แต่เกิดได้กับนักท่องเที่ยวทุกเชื้อชาติที่เดินทางมาท่องเที่ยวในประเทศไทยเป็นครั้งแรก เนื่องจากนักท่องเที่ยวเหล่านั้นยังไม่ทราบและไม่คุ้นเคยกับวัฒนธรรมและประเพณีไทย ส่งผลให้เกิดผลกระทบต่อภาพลักษณ์การท่องเที่ยวของประเทศไทย กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาจึงได้แก้ปัญหาดังกล่าวอย่างเร่งด่วน โดยได้ดำเนินการ ดังนี้ ๑.๑ จัดทำคู่มือ “Useful Tips for a Happy Holiday in Thailand” เพื่อประชาสัมพันธ์ข้อมูลประเพณีและวัฒนธรรมอันดีของไทยแจกจ่ายผ่านหลายช่องทางสำคัญ อาทิ สถานทูต สำนักงานการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ณ สาธารณรัฐประชาชนจีน สำนักงานการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยทั่วประเทศ ศูนย์การค้า และโรงแรมต่างๆ ให้แก่นักท่องเที่ยวจากสาธารณรัฐประชาชนจีนได้รับทราบ ๑.๒ ออกตรวจการปฏิบัติตามกฎหมายของผู้ประกอบการธุรกิจนำเที่ยวและตรวจการปฏิบัติหน้าที่ของมัคคุเทศก์ตามแหล่งต่าง ๆ เพื่อให้เป็นไปตามมาตรฐานการบริการ ๑.๓ จัดสัมมนาให้ความรู้แก่มัคคุเทศก์เกี่ยวกับสิ่งที่นักท่องเที่ยวควรทำและไม่ควรทำ หรือ Do and Don’t ๑.๔ จัดอาสาสมัครนักท่องเที่ยวใน ๕ จังหวัด ได้แก่ กรุงเทพมหานคร เชียงใหม่ เชียงราย ชลบุรี และภูเก็ต เพื่อให้คำแนะนำช่วยเหลือนักท่องเที่ยวแก่หน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ๑.๕ จัดอบรมสร้างเครือข่ายแก่ผู้ประกอบธุรกิจนำเที่ยวมัคคุเทศก์ โดยจัดให้มีการสร้างเครือข่ายสอดส่องผู้ประกอบธุรกิจนำเที่ยว ๑.๖ ดำเนินการเพื่อแก้ปัญหาการประกอบธุรกิจนำเที่ยวโดยให้คนไทยเป็นตัวแทน (nominee) ร่วมกับกรมพัฒนาธุรกิจการค้าและกรมสอบสวนคดีพิเศษ ให้ความสำคัญกับความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน หากนักท่องเที่ยวพบปัญหาสามารถโทรแจ้งสายด่วนตำรวจท่องเที่ยว ๑๑๕๕ ได้ตลอด ๒๔ ชั่วโมง ๒. ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาพิจารณาดำเนินการ ๒.๑ จัดให้มีสถานที่จอดรถโดยสารท่องเที่ยวบริเวณชานเมืองเพื่อแก้ปัญหาการจราจร และโบราณสถานชำรุดเสื่อมโทรมอันเนื่องมาจากแรงสั่นสะเทือนของรถโดยสาร และจัดให้มีรถโดยสารขนาดเล็กรับส่งนักท่องเที่ยวไปยังสถานที่ต่าง ๆ ซึ่งจะก่อให้เกิดการสร้างงานแก่ประชาชนที่อยู่ในท้องที่นั้น ๆ ด้วย ๒.๒ รณรงค์และผลักดันให้เกิดความตื่นตัวในการปรับปรุง พัฒนา และสร้างมาตรฐานห้องน้ำสะอาด ปลอดภัยในแหล่งท่องเที่ยวต่าง ๆ ทั่วประเทศ เพื่อสร้างความประทับใจให้แก่นักท่องเที่ยว ๒.๓ พิจารณาจัดสรรเงินรายได้ที่ได้จากการจำหน่ายบัตรเข้าชมสถานที่ท่องเที่ยวให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีงบประมาณเพียงพอในการดูแลบริเวณโดยรอบโบราณสถานหรือแหล่งท่องเที่ยวนั้น ๆ ด้วย ๓. โดยที่ปัจจุบันธุรกิจการท่องเที่ยวประสบปัญหาสำคัญ คือ การขาดแคลนมัคคุเทศก์ที่มีความรู้ความสามารถเกี่ยวกับสถานที่ท่องเที่ยวต่าง ๆ และมีทักษะภาษาอังกฤษที่สามารถสื่อสารกับนักท่องเที่ยวต่างชาติได้ จึงเห็นควรให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาร่วมกับกระทรวงแรงงาน กระทรวงศึกษาธิการ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดจัดเตรียมหลักสูตรฝึกอบรมมัคคุเทศก์ให้แก่ผู้ที่จบการศึกษาแล้วและยังไม่มีงานทำเป็นเป้าหมายแรก และกลุ่มผู้ที่มีความสนใจพัฒนาทักษะ ความรู้ ความสามารถเพื่อพัฒนาเป็นมัคคุเทศก์มืออาชีพต่อไป และให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบความก้าวหน้าในการดำเนินการภายในเดือนกันยายน ๒๕๕๘ ๔. ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติร่วมกับกระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดฝึกอบรมบุคลากรในท้องถิ่นให้เป็นอาสาสมัครตำรวจท่องเที่ยว เพื่อสนับสนุนการให้บริการและดูแลความปลอดภัยให้แก่นักท่องเที่ยวอย่างทั่วถึงและมีประสิทธิภาพ
|
|||||||||||||||||||||||||||
505 | รายงานการพิจารณาศึกษาของคณะกรรมาธิการการปกครองท้องถิ่น รวม 3 เรื่อง (การยกฐานะเทศบาลนครแม่สอดเป็นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นรูปแบบพิเศษ พร้อมทั้งข้อเสนอแนะ ปัญหาและอุปสรรคในการบริหารงานของเมืองพัทยาและแนวทางการแก้ไข พร้อมทั้งข้อเสนอแนะ และกรณีให้กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน เป็นสมาชิกองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นระดับตำบลโดยตำแหน่ง พร้อมทั้งข้อสังเกต) | สว | 26/05/2558 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานการพิจารณาศึกษาของคณะกรรมาธิการการปกครองท้องถิ่น พร้อมข้อสังเกตและข้อเสนอแนะ ได้แก่ เรื่อง การยกฐานะเทศบาลนครแม่สอดเป็นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นรูปแบบพิเศษ เรื่อง ปัญหาและอุปสรรคในการบริหารงานของเมืองพัทยาและแนวทางการแก้ไข และกรณีให้กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน เป็นสมาชิกองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นระดับตำบลโดยตำแหน่ง รวม ๓ เรื่อง มีสาระสำคัญเกี่ยวกับการจัดระเบียบบริหารราชการส่วนท้องถิ่น การจัดระเบียบบริหารราชการเมืองพัทยา และลักษณะการปกครองท้องที่ ตามที่สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติเสนอ ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยและสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีรับรายงานของคณะกรรมาธิการฯ พร้อมทั้งข้อสังเกตและข้อเสนอแนะไปพิจารณาว่าสมควรจะดำเนินการในเรื่องใดได้หรือไม่ประการใดก่อน โดยให้กระทรวงมหาดไทยเป็นหน่วยงานกลางในการรวบรวมผลการดำเนินการ แล้วแจ้งผลการดำเนินการดังกล่าวให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีทราบภายใน ๓๐ วันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่งเพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
506 | การพิจารณาแผนงาน/โครงการ ตามความต้องการของกลุ่มเกษตรกร 7 กลุ่ม จังหวัดนครราชสีมา ตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | มท | 12/05/2558 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการแผนงาน/โครงการของจังหวัดนครราชสีมา จำนวน ๕ โครงการ ประกอบด้วย (๑) โครงการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต รวบรวม และแปรรูปข้าวหอมมะลิทุ่งสัมฤทธิ์ (๒) โครงการเพิ่มศักยภาพการผลิตข้าวหอมมะลิทุ่งสัมฤทธิ์ในเขตพื้นที่นำร่อง (ระยะสั้น) (๓) โครงการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตมันสำปะหลัง (๔) โครงการพัฒนาศักยภาพการผลิตอ้อย และ (๕) โครงการเพิ่มศักยภาพโรงพยาบาลบัวใหญ่ ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ส่วนงบประมาณในการดำเนินการโครงการตาม (๑) (๒) (๓) และ (๕) ให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน ๑๕๗,๑๙๐,๒๗๕ บาท โดยให้หน่วยงานที่รับผิดชอบในแต่ละโครงการจัดทำรายละเอียดค่าใช้จ่ายและขอทำความตกลงกับสำนักงบประมาณอีกครั้งหนึ่ง สำหรับโครงการตาม (๔) ให้ใช้จ่ายจากกองทุนอ้อยและน้ำตาลทรายหรือปรับแผนจากงบปกติของสำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทรายดำเนินการก่อน ซึ่งตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีรองรับภารกิจดังกล่าวไว้แล้ว จำนวน ๓๒,๐๐๐,๐๐๐ บาท ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ และหากเป็นแผนงาน/โครงการที่จะต้องขอรับการจัดสรรจากเงินงบประมาณเนื่องจากการถ่ายโอนภารกิจจากส่วนกลาง ให้เสนอคณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นพิจารณาก่อนดำเนินการต่อไป ๒. ให้กระทรวงมหาดไทย กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ โดยให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์บูรณาการการทำงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งด้านการผลิตและการตลาดเพื่อลดความซ้ำซ้อนและมีความเชื่อมโยงกัน และควรคำนึงถึงความเชื่อมโยงสอดคล้องกับสถานการณ์ด้านการตลาดเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาราคาตกต่ำ ควรส่งเสริมการปลูกในเขตที่เหมาะสมกับพืชนั้น ๆ ควรกำหนดพื้นที่เป้าหมาย จำนวนเกษตรกร/กลุ่มเกษตรกร/สหกรณ์ที่จะเข้าร่วมโครงการ รวมทั้งภาคเอกชนที่จะรับซื้อผลผลิต ควรมีการเพิ่มศักยภาพการผลิตทั้งการเพิ่มผลผลิตต่อไร่ การลดต้นทุนการผลิต การพัฒนาคุณภาพ และสร้างมูลค่าเพิ่ม และควรให้ความสำคัญกับคุณภาพดินและปริมาณเมล็ดพันธุ์ดีที่เพียงพอกับความต้องการของเกษตรกร และให้กระทรวงมหาดไทยหารือในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณเพื่อพิจารณาแหล่งเงินงบประมาณที่เหมาะสมและไม่ก่อให้เกิดเป็นภาระด้านงบประมาณให้กับรัฐบาล และขอความร่วมมือภาคเอกชนในพื้นที่ที่จะรับซื้อผลผลิต อาทิ อ้อย มันสำปะหลังจากเกษตรกรในโครงการและให้การสนับสนุนเงินทุนแก่เกษตรกรด้วย รวมถึงมอบหมายจังหวัดนครราชสีมาร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ดำเนินการติดตามประเมินผลความก้าวหน้าของโครงการและรายงานผลให้คณะรัฐมนตรีทราบ และพิจารณาขยายผลโครงการในพื้นที่อื่น ๆ โดยบรรจุเป็นแผนงานโครงการในแผนพัฒนาจังหวัด ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องด้วย ๓. อนุมัติให้กรมชลประทานเข้าไปดำเนินการในพื้นที่กิจกรรมขุดลอกแหล่งน้ำเพื่อการผลิต จำนวน ๔๓ แห่ง ของโครงการเพิ่มศักยภาพการผลิตข้าวหอมมะลิทุ่งสัมฤทธิ์ในเขตพื้นที่นำร่อง (ระยะสั้น) ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ทั้งนี้ ในการดำเนินการดังกล่าว ให้กรมชลประทาน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ และหลักเกณฑ์วิธีการที่กฎหมายกำหนด ๔. ให้กระทรวงมหาดไทย กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และหน่วยงานที่รับผิดชอบแผนงาน/โครงการตามความต้องการของกลุ่มเกษตรกร ๗ กลุ่ม จังหวัดนครราชสีมา ดำเนินการอย่างละเอียด รอบคอบ และรัดกุม เนื่องจากเป็นการใช้จ่ายเงินงบประมาณของแผ่นดิน ทั้งนี้ เพื่อให้แผนงาน/โครงการดังกล่าวบรรลุวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ และให้เกษตรกร กลุ่มเกษตรกร สหกรณ์ หรือชุมชนเข้ามามีส่วนร่วมในการดำเนินการเพื่อเป็นการสร้างความเข้มแข็งให้กับชุมชนต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||
507 | รายงานผลการดำเนินงานตามแผนยุทธศาสตร์อนามัยสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ฉบับที่ 2 พ.ศ. 2555 - 2559 ระยะครึ่งแผน | สธ | 12/05/2558 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินงานตามแผนยุทธศาสตร์อนามัยสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ฉบับที่ ๒ พ.ศ. ๒๕๕๕-๒๕๕๙ ระยะครึ่งแผน ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ยุทธศาสตร์ที่ ๑ การพัฒนาระบบบริหารจัดการอนามัยสิ่งแวดล้อม มีความก้าวหน้าการดำเนินงานด้านพัฒนากฎหมาย กฎระเบียบ มาตรฐาน มาตรการและแนวทางปฏิบัติในการบริหารจัดการด้านอนามัยสิ่งแวดล้อม รวม ๕ ด้าน ได้แก่ ด้านคุณภาพอากาศ ด้านน้ำ การสุขาภิบาล และสุขอนามัย ด้านสารเคมีเป็นพิษและสารอันตราย ด้านการประเมินผลกระทบต่อสุขภาพ และด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ทั้งนี้ อยู่ระหว่างการพัฒนามาตรการทางกฎหมายด้านขยะมูลฝอยและแนวทางปฏิบัติในการจัดการอนามัยสิ่งแวดล้อมในภาวะฉุกเฉินและสาธารณภัย รวมทั้งพัฒนาระบบการเฝ้าระวัง ติดตามตรวจสอบ การรายงานผล และแจ้งเตือนสถานการณ์ด้านอนามัยสิ่งแวดล้อม ๔ ด้าน คือ ด้านคุณภาพอากาศ ด้านน้ำ สุขาภิบาล และสุขอนามัย ด้านการดำเนินงานอนามัยสิ่งแวดล้อมในภาวะฉุกเฉิน และด้านขยะมูลฝอยและของเสียอันตราย ๒. ยุทธศาสตร์ที่ ๒ การป้องกันและลดความเสี่ยงจากปัจจัยด้านอนามัยสิ่งแวดล้อม ด้านคุณภาพอากาศ ผลการตรวจวัดมลพิษทางอากาศในบรรยากาศของพื้นที่เสี่ยงในบางพื้นที่ ส่วนใหญ่มีฝุ่นละออง สารเบนซีน และสาร ๑,๓-บิวตาไดอีนในบรรยากาศเกินค่ามาตรฐาน การเข้าถึงน้ำบริโภคอุปโภคอย่างเพียงพอของครัวเรือนไทยและคุณภาพน้ำบริโภค ปี พ.ศ. ๒๕๕๖ ครัวเรือนมีน้ำบริโภคอุปโภคเพียงพอตลอดปีร้อยละ ๙๙.๕๕ การพัฒนาสถานประกอบการอาหารได้มาตรฐานสุขาภิบาลอาหาร มีการดำเนินโครงการพัฒนาตลาดและโครงการสนับสนุนและติดตามการดำเนินงานด้านสุขาภิบาลอาหารและน้ำอย่างต่อเนื่อง ปี พ.ศ. ๒๕๕๖ มีสถานประกอบการอาหารได้มาตรฐานมากกว่าร้อยละ ๘๐ ด้านการจัดการขยะมูลฝอย ของเสียอันตราย และมูลฝอยติดเชื้อ ในปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ขยะมูลฝอยได้รับการกำจัดถูกต้องตามหลักวิชาการร้อยละ ๒๓.๕๗ นำไปใช้ประโยชน์ร้อยละ ๒๑.๓๕ มูลฝอยติดเชื้อถูกกำจัดในเตาเผาร้อยละ ๗๘.๗๕ และ ปี พ.ศ. ๒๕๕๖ ขยะมูลฝอยได้รับการจัดการอย่างถูกต้องเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ ๒๘ แต่การนำไปใช้ประโยชน์ลดลงเหลือร้อยละ ๑๙ และมูลฝอยติดเชื้อถูกกำจัดด้วยวิธีที่เหมาะสมลดลงเหลือร้อยละ ๗๕ ๓. ยุทธศาสตร์ที่ ๓ การเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างหน่วยงานภาคีเครือข่าย และการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนและประชาชนในการจัดการอนามัยสิ่งแวดล้อม ปี พ.ศ. ๒๕๕๕-๒๕๕๗ มีแผนงานโครงการที่ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของภาคีเครือข่ายในการจัดการอนามัยสิ่งแวดล้อมทั้ง ๖ ด้านเพิ่มขึ้น ด้านส่งเสริมพฤติกรรมอนามัยสิ่งแวดล้อม พบว่า มีการดำเนินการโครงการส่งเสริมพฤติกรรมอนามัยสิ่งแวดล้อมที่เกี่ยวข้อง เช่น กินร้อน ช้อนกลาง ล้างมือ เพื่อลดการสัมผัสเชื้อโรคต่าง ๆ รณรงค์การคัดแยกขยะ ๔. ยุทธศาสตร์ที่ ๔ การส่งเสริมบทบาทขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในการจัดการอนามัยสิ่งแวดล้อม ด้านการบริหารจัดการเพื่อรองรับการดำเนินงานด้านอนามัยสิ่งแวดล้อม หน่วยงานต่าง ๆ รวมทั้งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พบว่า มีการดำเนินงานทั้งด้านการบริหารจัดการ การพัฒนาศักยภาพบุคลากร การพัฒนาระบบงานอนามัยสิ่งแวดล้อม เกิดความร่วมมือและเชื่อมโยงการดำเนินงานร่วมกันระหว่างส่วนกลางและส่วนภูมิภาค ทั้งในรูปแบบที่เป็นทางการและไม่เป็นทางการ ๕. ยุทธศาสตร์ที่ ๕ การพัฒนาองค์ความรู้และเทคโนโลยีด้านอนามัยสิ่งแวดล้อม ปี พ.ศ. ๒๕๕๖ มีงานวิจัยและองค์ความรู้ใหม่หรือการประยุกต์ใช้องค์ความรู้เดิมและเทคโนโลยีด้านอนามัยสิ่งแวดล้อมเพิ่มขึ้นทุกด้าน ทั้งนี้ การพัฒนาศูนย์การเรียนรู้ด้านอนามัยสิ่งแวดล้อมอย่างน้อยภาคละ ๑ แห่ง พบว่า ภาคเหนือ มีศูนย์การเรียนรู้ด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ด้านการสุขาภิบาล และด้านขยะมูลฝอย และของเสียอันตราย ภาคกลาง มีศูนย์การเรียนรู้ด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และด้านการสุขาภิบาล ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีศูนย์การเรียนรู้ด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ด้านการสุขาภิบาล และด้านขยะมูลฝอยและของเสียอันตราย และภาคใต้ มีศูนย์การเรียนรู้ด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และด้านการสุขาภิบาล |
|||||||||||||||||||||||||||
508 | มาตรการในการกำกับดูแลการใช้ดุลยพินิจของเจ้าหน้าที่ของรัฐ | นร09 | 07/05/2558 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบมาตรการในการกำกับดูแลการใช้ดุลยพินิจของเจ้าหน้าที่ของรัฐ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอ ดังนี้ ๑.๑ คณะรัฐมนตรีอาจมีมติให้ทุกกระทรวงดำเนินการให้เจ้าหน้าที่ต้องบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัดและกำหนดแนวทางในการใช้อำนาจดุลยพินิจโดยประกาศให้ประชาชนทราบ และหากเจ้าหน้าที่มิได้ดำเนินการใช้ดุลยพินิจตามแนวทางที่กำหนดไว้โดยไม่มีเหตุผลให้ถือเป็นความผิดทางวินัย ๑.๒ เมื่อมีมติคณะรัฐมนตรีแล้ว นายกรัฐมนตรีอาจใช้อำนาจตามมาตรา ๑๑ แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. ๒๕๓๔ ยับยั้งการปฏิบัติราชการใด ๆ ที่ขัดต่อมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าว และมีอำนาจสั่งสอบสวนข้อเท็จจริงที่เกี่ยวกับการปฏิบัติราชการของราชการส่วนกลาง ราชการส่วนภูมิภาค และราชการส่วนท้องถิ่น ๑.๓ ในกรณีที่เป็นเรื่องที่มีความสำคัญและจำเป็นจะต้องใช้อำนาจพิเศษเหนือกว่าอำนาจตามข้อ ๑.๑ และข้อ ๑.๒ หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติอาจใช้อำนาจตามมาตรา ๔๔ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ กำหนดมาตรการในการกวดขันการบังคับใช้กฎหมาย การแก้ไขหรือยกเลิกการใช้อำนาจดุลยพินิจที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายได้ แต่วิธีการนี้จำเป็นจะต้องกำหนดรายละเอียดให้ชัดเจน และมีข้อจำกัดหรือมีความไม่เหมาะสมอยู่บ้าง กล่าวคือ เมื่อมีคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติในกรณีนี้แล้ว คำสั่งดังกล่าวจะก่อให้เกิดภาระหน้าที่แก่หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติในการบังคับการให้เป็นไปตามคำสั่งนั้น ไม่ว่าจะเป็นการสอดส่องดูแลหรือการแก้ไขการใช้ดุลยพินิจของเจ้าหน้าที่ของรัฐเพื่อให้มีการปฏิบัติการตามคำสั่งนั้นได้อย่างทั่วถึง ๒. ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการให้เป็นไปตามแนวทางดังกล่าว โดยเลือกใช้มาตรการให้เหมาะสมกับสภาพปัญหาและระยะเวลา
|
|||||||||||||||||||||||||||
509 | ผลการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนการดำเนินการตามนโยบายสำคัญและเร่งด่วนของรัฐบาล (กขน.) ครั้งที่ 2/2558 | นร11 | 07/05/2558 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบผลการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนการดำเนินการตามนโยบายสำคัญและเร่งด่วนของรัฐบาล (กขน.) ครั้งที่ ๒/๒๕๕๘ เมื่อวันที่ ๑ เมษายน ๒๕๕๘ ที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานกรรมการ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ โดยที่ประชุมมีมติและข้อสั่งการ ดังนี้ ๑.๑ มอบหมายรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ) และศูนย์ปฏิบัติการนายกรัฐมนตรี (PMOC) ในการสร้างความเข้าใจกับทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชน เพื่อให้เกิดความเข้าใจและสนับสนุนการทำงานของรัฐบาลในระยะที่สองเพื่อแก้ไขปัญหาของประเทศทั้งด้านเศรษฐกิจและสังคม (โดยเฉพาะการสร้างความเป็นธรรม ลดความเหลื่อมล้ำ สร้างรายได้ สร้างความเข้มแข็ง และสร้างความเชื่อมโยงกับต่างประเทศ) โดยยึดหลักการสร้างความเข้าใจร่วมกัน ลดความขัดแย้ง และการดำเนินการตามกรอบกฎหมาย รวมทั้งการสร้างความเข้าใจแก่ประชาชนในเรื่องการบังคับใช้มาตรา ๔๔ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ ๑.๒ มอบหมายรองนายกรัฐมนตรี (หม่อมราชวงศ์ปรีดิยาธร เทวกุล) แก้ไขปัญหาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) โดยเร่งขึ้นทะเบียน SMEs ให้ครอบคลุมและครบถ้วนโดยเร็ว และส่งเสริมการเข้าถึงแหล่งเงินทุน รวมทั้งพิจารณาขยายเพดานวงเงินกู้ให้เหมาะสม โดยแบ่งกลุ่มเป้าหมายเป็น ๔ กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มธุรกิจใหม่ กลุ่มส่งออก กลุ่มที่ต้องการขยายการผลิตในประเทศ และกลุ่มที่ต้องการฟื้นฟูศักยภาพ ๑.๓ มอบหมายรองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) และรองนายกรัฐมนตรี (หม่อมราชวงศ์ปรีดิยาธร เทวกุล) ร่วมกันเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณให้เป็นไปตามแผนการเบิกจ่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเบิกจ่ายงบประมาณขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดยให้กระทรวงมหาดไทยสนับสนุนการดำเนินการเพื่อการเร่งรัดเบิกจ่ายงบประมาณขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ๑.๔ มอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษสนับสนุนและผลักดันการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษ ๖ แห่ง (๕+๑) ให้สำเร็จในปีนี้ รวมทั้งดำเนินการให้สิทธิการเช่าพื้นที่การลงทุนสำหรับเอกชนเป็นไปตามพระราชบัญญัติการเช่าอสังหาริมทรัพย์เพื่อพาณิชยกรรมและอุตสาหกรรม พ.ศ. ๒๕๔๒ (กำหนดเวลาเช่าไม่เกิน ๓๐ ปี แต่ไม่เกิน ๕๐ ปี และสามารถต่อระยะเวลาการเช่าออกไปอีกได้ไม่เกิน ๔๙ ปี) ๑.๕ มอบหมายคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐตรวจสอบการรับซื้อยางพาราในโครงการสร้างมูลภัณฑ์กันชนเพื่อรักษาเสถียรภาพยางพาราให้มีความเป็นธรรมและทั่วถึง ๑.๖ มอบหมายกระทรวงการคลังตรวจสอบปัญหาความล่าช้าของโครงการสนับสนุนสินเชื่อสถาบันเกษตรกรแปรรูปยางพาราที่ดำเนินการโดยธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ๒. ในส่วนที่มอบหมายให้คณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐตรวจสอบการรับซื้อยางพาราในโครงการสร้างมูลภัณฑ์กันชนเพื่อรักษาเสถียรภาพยางพาราให้มีความเป็นธรรมและทั่วถึง นั้น ให้คณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐประสานการดำเนินการกับคณะกรรมการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (กขย.) เพื่อดำเนินการให้เป็นไปตามความเห็นของคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||
510 | รายงานผู้ตรวจการแผ่นดิน ประจำปี 2556 | ผผ | 07/05/2558 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผู้ตรวจการแผ่นดิน ประจำปี ๒๕๕๖ ซึ่งมีสาระสำคัญเกี่ยวกับผลการพิจารณาสอบสวนข้อเท็จจริงในเรื่องต่างๆ พร้อมข้อสังเกตหรือข้อเสนอแนะที่เสนอต่อหน่วยงานราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ หรือราชการส่วนท้องถิ่น ผลการปฏิบัติของหน่วยงานราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจหรือราชการส่วนท้องถิ่นหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ได้ดำเนินการหรือไม่ดำเนินการตามข้อสังเกตหรือข้อเสนอแนะของผู้ตรวจการแผ่นดิน ความร่วมมือของหน่วยงานในการชี้แจงข้อเท็จจริงและแก้ไขปัญหาเรื่องร้องเรียน ผลการดำเนินงานด้านจริยธรรมของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองและเจ้าหน้าที่ของรัฐ ผลการดำเนินงานด้านการติดตามประเมินผลการปฏิบัติงานตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ และแนวทางการพัฒนาดำเนินงานของผู้ตรวจการแผ่นดิน ตามที่สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดินเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||
511 | การจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2559 | นร07 | 28/04/2558 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ วงเงิน ๒.๗๒ ล้านล้านบาท และการปรับปรุงปฏิทินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ ตามมติคณะกรรมการรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ ครั้งที่ ๖/๒๕๕๘ เมื่อวันที่ ๒๔ เมษายน ๒๕๕๘ โดยปรับปรุงรายละเอียดงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ ดังนี้ ๑.๑ ปรับปรุงงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพิ่มขึ้น จำนวน ๘,๒๗๕.๐๔ ล้านบาท และปรับเพิ่มให้สภากาชาดไทยเป็นค่าก่อสร้างอาคารศูนย์ก้าวหน้าทางวิชาการ จำนวน ๒๖๔.๙๖ ล้านบาท ๑.๒ ปรับปรุงรายละเอียดงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ ในส่วนของสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ภายในกรอบวงเงินที่ได้รับจัดสรร เพื่อดำเนินโครงการก่อสร้างและปรับปรุงอาคาร จำนวน ๒ โครงการ จำนวน ๒๐ ล้านบาท ๑.๓ โครงสร้างงบประมาณ มีการปรับปรุงในส่วนรายจ่ายประจำและรายจ่ายลงทุนภายในวงเงินเดิม ๑.๔ การจำแนกยุทธศาสตร์การจัดสรรงบประมาณ โดยปรับปรุงวงเงินใน ๔ ยุทธศาสตร์ ได้แก่ ยุทธศาสตร์เร่งรัดวางรากฐานการพัฒนาที่ยั่งยืนของประเทศ ยุทธศาสตร์การศึกษา สาธารณสุข คุณธรรม จริยธรรม และคุณภาพชีวิต ยุทธศาสตร์การสร้างความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืนและเป็นธรรม และรายการค่าดำเนินการภาครัฐภายในกรอบวงเงินงบประมาณ ๒.๗๒ ล้านล้านบาท ๒. เห็นชอบการทบทวนค่าใช้จ่ายด้านการวิจัย ซึ่งมีงบประมาณของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการวิจัยและพัฒนา อีกจำนวน ๑,๐๖๘.๐๙ ล้านบาท (กระทรวงกลาโหมและสภากาชาดไทย) รวมเป็นเงินงบประมาณด้านการวิจัย จำนวน ๒๕,๓๗๓.๑๙ ล้านบาท และยังมีเงินรายได้ด้านการวิจัยของหน่วยงานภาครัฐอื่น ๆ ได้แก่ รัฐวิสาหกิจ มหาวิทยาลัยของรัฐต่าง ๆ อีกจำนวน ๗,๘๕๑.๓๙ ล้านบาท รวมทุกแหล่งเงิน เป็นจำนวน ๓๓,๒๒๔.๖๐ ล้านบาท (ไม่รวมภาคเอกชน) คิดเป็นสัดส่วนต่อ GDP ร้อยละ ๐.๒๕ ๓. เห็นชอบให้กระทรวงมหาดไทยกำกับดูแลให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บรายได้ให้มีจำนวนเพิ่มขึ้นอีก จำนวน ๘,๕๔๐ ล้านบาท โดยลดงบประมาณรายการเงินอุดหนุนให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นให้สอดคล้องด้วย ๔. เห็นชอบให้สำนักงบประมาณนำมติคณะรัฐมนตรี (ตามข้อ ๑-๓) ไปจัดทำร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ และเอกสารประกอบงบประมาณ และให้ส่งร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ ดังกล่าว ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน และแจ้งผลการพิจารณาให้สำนักงบประมาณทราบโดยตรง ก่อนไปจัดพิมพ์เป็นร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ และเอกสารประกอบ และนำเสนอให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบภายในวันที่ ๑๒ พฤษภาคม ๒๕๕๘ และนำเสนอต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๕. ให้ทุกส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่น เตรียมการให้เกิดความพร้อมในการจัดซื้อจัดจ้าง สำหรับงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ เพื่อให้สามารถดำเนินการก่อหนี้ผูกพันได้เมื่อพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ มีผลใช้บังคับเป็นกฎหมายแล้ว
|
|||||||||||||||||||||||||||
512 | ร่างกฎกระทรวงว่าด้วยอัตราค่าธรรมเนียมการให้บริการในการจัดการสิ่งปฏิกูลหรือมูลฝอย พ.ศ. .... | สธ | 20/04/2558 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงว่าด้วยอัตราค่าธรรมเนียมการให้บริการในการจัดการสิ่งปฏิกูลหรือมูลฝอย พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดอัตราค่าธรรมเนียมในการจัดการสิ่งปฏิกูลหรือมูลฝอยที่ราชการส่วนท้องถิ่นมีอำนาจออกข้อกำหนดของท้องถิ่นได้ไม่เกินอัตราค่าธรรมเนียมที่กำหนดในกฎกระทรวงนี้ ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||
513 | รายงานผู้ตรวจการแผ่นดิน ประจำปี 2557 | ตผ | 20/04/2558 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินเสนอรายงานผู้ตรวจการแผ่นดิน ประจำปี ๒๕๕๗ โดยรายงานดังกล่าวมีสาระสำคัญเกี่ยวกับผลการพิจารณาสอบสวนข้อเท็จจริงตามคำร้องเรียนพร้อมข้อสังเกตหรือข้อเสนอแนะที่เสนอต่อหน่วยงานราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ หรือราชการส่วนท้องถิ่น ผลการปฏิบัติของหน่วยงานราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ หรือราชการส่วนท้องถิ่นหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ได้ดำเนินการหรือไม่ดำเนินการตามข้อสังเกตหรือข้อเสนอแนะของผู้ตรวจการแผ่นดิน ความร่วมมือของหน่วยงานในการชี้แจงข้อเท็จจริงและการแก้ไขปัญหาเรื่องร้องเรียน ผลการดำเนินงานด้านจริยธรรมของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของรัฐ ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ ผลการดำเนินงานด้านการติดตามประเมินผลการปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ การประสานความร่วมมือกับหน่วยงานและภาคส่วนต่าง ๆ และแนวทางการพัฒนาดำเนินงานของผู้ตรวจการแผ่นดิน
|
|||||||||||||||||||||||||||
514 | สรุปผลการดำเนินงานของคณะกรรมาธิการและคณะอนุกรรมาธิการของสภาปฏิรูปแห่งชาติ (วันที่ 16 - 20 มีนาคม 2558) | สผ | 20/04/2558 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบสรุปผลการดำเนินงานของคณะกรรมาธิการ จำนวน ๒๕ คณะ และคณะอนุกรรมาธิการของสภาปฏิรูปแห่งชาติ (วันที่ ๑๖-๒๐ มีนาคม ๒๕๕๘) ตามที่สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภาปฏิรูปแห่งชาติเสนอ ๒. สำหรับประเด็นข้อเสนอของคณะกรรมาธิการการปฏิรูปการปกครองท้องถิ่นเกี่ยวกับการกระจายอำนาจหน้าที่ให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น นั้น เพื่อให้การบริหารขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเกิดประสิทธิภาพได้อย่างแท้จริง ให้กระทรวงมหาดไทยพิจารณาผลดำเนินการในงานรับผิดชอบขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่ผ่านมา เพื่อนำมาวิเคราะห์และจัดแบ่งอำนาจหน้าที่หรือความรับผิดชอบให้เหมาะสม แล้วรายงานให้คณะรัฐมนตรีทราบต่อไป ๓. ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการพิจารณาดำเนินการด้านการปฏิรูปการศึกษาและทรัพยากรมนุษย์ เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพแก่เด็ก นักเรียน นักศึกษา ครู และบุคลากรทางการศึกษา โดยปฏิรูปในส่วนของสำนักงานปลัดกระทรวง สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน และสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา ให้เกิดความก้าวหน้าเพิ่มขึ้น และเร่งรัดดำเนินการให้เกิดผลสัมฤทธิ์ภายใน ๓-๖ เดือน ๔. ให้รองนายกรัฐมนตรี (หม่อมราชวงศ์ปรีดิยาธร เทวกุล) กำกับและติดตามให้กระทรวงพลังงานพิจารณาดำเนินการเจรจากับประเทศเพื่อนบ้านเกี่ยวกับการดำเนินการเพื่อสร้างความมั่นคงด้านพลังงาน โดยการดำเนินการดังกล่าวต้องพิจารณาวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมประกอบด้วย ทั้งนี้ ให้หารือหน่วยงานฝ่ายความมั่นคงก่อนดำเนินการเจรจาด้วย ตลอดจนให้พิจารณาแนวทางการดำเนินการเกี่ยวกับการเปิดสัมปทานปิโตรเลียมรอบที่ ๒๑ และแนวทางการบริหารจัดการสัมปทานปิโตรเลียมที่กำลังจะหมดอายุ แล้วรายงานให้คณะรัฐมนตรีทราบต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
515 | แผนการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ พ.ศ. 2558 | มท | 31/03/2558 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามที่รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) ประธานกรรมการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติเสนอ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติแผนการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๕๘ ประกอบด้วยยุทธศาสตร์การจัดการความเสี่ยงสาธารณภัย ๔ ยุทธศาสตร์ ได้แก่ ยุทธศาสตร์ที่ ๑ การมุ่งเน้นการลดความเสี่ยงจากสาธารณภัย ยุทธศาสตร์ที่ ๒ การบูรณาการจัดการในภาวะฉุกเฉิน ยุทธศาสตร์ที่ ๓ การเพิ่มประสิทธิภาพการฟื้นฟูอย่างยั่งยืน และยุทธศาสตร์ที่ ๔ การส่งเสริมความร่วมมือระหว่างประเทศในการจัดการสาธารณภัย ๑.๒ มอบหมายให้กระทรวง กรม องค์กรและหน่วยงานภาครัฐ รัฐวิสาหกิจ จังหวัด อำเภอ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ภาคเอกชน และภาคส่วนอื่น ๆ ปฏิบัติการให้เป็นไปตามแผนการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๕๘ ๑.๓ มอบหมายให้สำนักงบประมาณ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พิจารณาให้ความสำคัญในการจัดสรรงบประมาณเพื่อการป้องกันและลดผลกระทบการเตรียมความพร้อมการเผชิญเหตุและการจัดการในภาวะฉุกเฉิน รวมถึงการฟื้นฟูอย่างยั่งยืน ๑.๔ มอบหมายให้หน่วยงานแต่ละระดับจัดทำแผนปฏิบัติการรองรับยุทธศาสตร์และบรรจุแผนงานและโครงการที่เกี่ยวข้องกับการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยไว้ในแผนปฏิบัติราชการประจำปีด้วย ๒. ให้รับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กระทรวงพลังงาน กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงสาธารณสุข สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ เกี่ยวกับการสร้างความตระหนักรู้ องค์ความรู้ในการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศซึ่งมีผลกระทบอย่างมากต่อการเกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติให้แก่ประชาชนและชุมชนเพื่อเตรียมรับมือกับสาธารณภัยต่าง ๆ ได้อย่างถูกต้อง เหมาะสม และให้มีกระบวนการรับรู้ถึงภัยหรือแจ้งเตือนภัยที่จะเกิดขึ้นก่อนล่วงหน้า (Early warning) ให้นานที่สุดตามแต่ลักษณะของภัย เพื่อเป็นการป้องกันและลดผลกระทบ (Prevention and Mitigation) ที่จะก่อให้เกิดความสูญเสียจากสาธารณภัย ลดภาระด้านงบประมาณ การจัดการในภาวะฉุกเฉินไม่ว่าจะเป็นการเผชิญเหตุ (Response) การบรรเทาทุกข์ (Relief) และการฟื้นฟู (Recovery) การกำหนดให้ทุกหน่วยงานในสังกัดกระทรวงต่าง ๆ และหน่วยงานที่เป็นส่วนสนับสนุนต้องมีผู้รับผิดชอบประจำและประสานงานตามแผนการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๕๘ การสนับสนุนให้หน่วยงานในระดับจังหวัดและท้องถิ่นจัดทำแผนปฏิบัติการรองรับยุทธศาสตร์ในแผนการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๕๘ และการจัดทำแผนที่เสี่ยงจากภัยพิบัติเพื่อประโยชน์ต่อการวางแผนและการพัฒนาระบบการบริหารจัดการสาธารณภัยในระดับท้องถิ่น ชุมชน รวมทั้งภาคเอกชน เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๓. เห็นชอบโครงสร้างการปฏิบัติงานระบบการแจ้งเตือนภัยที่ควรมีการเชื่อมโยงการทำงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้การรายงานข้อมูลเพื่อการแจ้งเตือนไปสู่ระดับนโยบายได้อย่างรวดเร็วและมีเอกภาพ รวมทั้งให้กระบวนการแจ้งเตือนภัยสามารถดำเนินการได้ตลอด ๒๔ ชั่วโมง ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยเสนอ โดยให้มีการเชื่อมโยงระบบระหว่างระดับนโยบายที่ศูนย์ปฏิบัติการนายกรัฐมนตรี (Prime Minister’s Operation Centre : PMOC) กับระดับปฏิบัติที่กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยและศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ เพื่อให้การสั่งการของนายกรัฐมนตรีเป็นไปอย่างมีเอกภาพยิ่งขึ้น |
|||||||||||||||||||||||||||
516 | แผนยุทธศาสตร์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย - ศรีสัชนาลัย - กำแพงเพชร | อพท | 27/03/2558 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบแผนแม่บทบูรณาการบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษ อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย-ศรีสัชนาลัย-กำแพงเพชร เมืองเก่าน่าน เลย และเมืองโบราณอู่ทอง ตามที่องค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (องค์การมหาชน) (อพท.) เสนอ ๒. เห็นชอบในหลักการแผนยุทธศาสตร์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษ อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย-ศรีสัชนาลัย-กำแพงเพชร เมืองเก่าน่าน เลย และเมืองโบราณอู่ทอง โดยให้จังหวัดเลยเป็นโครงการนำร่องก่อน และเพื่อให้การยกระดับการพัฒนาพื้นที่พิเศษต่าง ๆ มีการบูรณาการและมีความเชื่อมโยงทุกพื้นที่ เห็นควรให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการ ดังนี้ ๒.๑ ให้กระทรวงมหาดไทยเป็นเจ้าภาพหลักในการดำเนินการการฟื้นฟูและพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะในเรื่องการจัดระเบียบพื้นที่แหล่งท่องเที่ยวและการจัดหาสิ่งอำนวยความสะดวก เช่น ที่พัก ที่จอดรถ ทางเดิน และสุขา เป็นต้น ๒.๒ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นเจ้าภาพหลักในการดำเนินโครงการเกี่ยวกับการอนุรักษ์ฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมบริเวณพื้นที่แหล่งท่องเที่ยว และให้กระทรวงวัฒนธรรมเป็นเจ้าภาพหลักในการดำเนินโครงการด้านการอนุรักษ์วัฒนธรรมของชุมชนในพื้นที่ ๒.๓ ให้กระทรวงคมนาคมเป็นเจ้าภาพหลักร่วมกับกระทรวงพลังงานและกระทรวงมหาดไทยในการบูรณาการด้านการพัฒนาและเชื่อมโยงโครงสร้างพื้นฐานในพื้นที่พิเศษให้สอดคล้องกับแผนยุทธศาสตร์ด้านคมนาคมขนส่งของไทย พ.ศ. ๒๕๕๘-๒๕๖๕ แผนยุทธศาสตร์ด้านพลังงาน ทั้งนี้ การก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานที่เกิดขึ้นจะต้องไม่รุกล้ำพื้นที่เขตป่าสงวนหรือเขตอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติโดยเด็ดขาด ๒.๔ ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเป็นเจ้าภาพหลักในด้านการประชาสัมพันธ์และการตลาด โดยเน้นการบูรณาการให้สอดคล้องกับนโยบายด้านการท่องเที่ยวของรัฐบาล ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๑๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๗ (เรื่อง แนวทางการดำเนินงานปีท่องเที่ยววิถีไทย ๒๕๕๘ และขออนุมัติให้ปี ๒๕๕๘ เป็นปีท่องเที่ยววิถีไทยและเป็นวาระแห่งชาติ) ที่เห็นชอบให้ปี ๒๕๕๘ เป็นปี “ท่องเที่ยววิถีไทย” (2015 Discover Thainess) ๓. ให้ อพท. รับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงวัฒนธรรม สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ คณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการนโยบายการท่องเที่ยวแห่งชาติ ที่เห็นควรพิจารณาทบทวนกรอบระยะเวลาของแผนแม่บทการบูรณาการการบริหารพื้นที่พิเศษอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย-ศรีสัชนาลัย-กำแพงเพชร ที่กำหนดกรอบระยะเวลาดำเนินการ ๑๐ ปี (ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖-๒๕๖๕) ให้สอดคล้องกับกรอบระยะเวลาของแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และพิจารณาทบทวนจัดลำดับความสำคัญของโครงการที่นำเสนอในแผนยุทธศาสตร์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย-ศรีสัชนาลัย-กำแพงเพชร ให้เหมาะสม รวมทั้งจัดทำรายละเอียดแผนปฏิบัติการที่จะดำเนินการในช่วงระยะเวลา ๓ เดือน ๖ เดือน และ ๑ ปี และกำหนดเป้าหมาย ผลสัมฤทธิ์ และตัวชี้วัดที่ชัดเจน รวมถึงแผนการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ที่กำหนดเพื่อขอรับการจัดสรรงบประมาณในลักษณะปีต่อปี โดยคำนึงถึงความคุ้มค่าของโครงการ และประโยชน์สูงสุดต่อภาระงบประมาณของประเทศ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๔. มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) และคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการเร่งรัดการพิจารณาทบทวนความจำเป็นในการมีอยู่ขององค์การมหาชนในปัจจุบัน โดยคำนึงถึงประสิทธิภาพในการปฏิบัติหน้าที่ที่สอดคล้องและเหมาะสมกับงบประมาณที่ได้รับการจัดสรรตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๖ มกราคม ๒๕๕๘ (เรื่อง ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี) โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนของการพัฒนาและปรับปรุง อพท. ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้เคยมีมติไว้เมื่อวันที่ ๒๐ พฤษภาคม ๒๕๕๕ (เรื่อง รายงานการประเมินผลองค์การมหาชนที่จัดตั้งตามพระราชบัญญัติองค์การมหาชน พ.ศ. ๒๕๔๒) และเมื่อวันที่ ๗ สิงหาคม ๒๕๕๕ [เรื่อง การดำเนินงานตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๐ พฤษภาคม ๒๕๕๕ กรณี องค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (องค์การมหาชน)] ต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
517 | แผนยุทธศาสตร์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเมืองโบราณอู่ทอง | อพท | 27/03/2558 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบแผนแม่บทบูรณาการบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษ อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย-ศรีสัชนาลัย-กำแพงเพชร เมืองเก่าน่าน เลย และเมืองโบราณอู่ทอง ตามที่องค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (องค์การมหาชน) (อพท.) เสนอ ๒. เห็นชอบในหลักการแผนยุทธศาสตร์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษ อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย-ศรีสัชนาลัย-กำแพงเพชร เมืองเก่าน่าน เลย และเมืองโบราณอู่ทอง โดยให้จังหวัดเลยเป็นโครงการนำร่องก่อน และเพื่อให้การยกระดับการพัฒนาพื้นที่พิเศษต่าง ๆ มีการบูรณาการและมีความเชื่อมโยงทุกพื้นที่ เห็นควรให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการ ดังนี้ ๒.๑ ให้กระทรวงมหาดไทยเป็นเจ้าภาพหลักในการดำเนินการการฟื้นฟูและพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะในเรื่องการจัดระเบียบพื้นที่แหล่งท่องเที่ยวและการจัดหาสิ่งอำนวยความสะดวก เช่น ที่พัก ที่จอดรถ ทางเดิน และสุขา เป็นต้น ๒.๒ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นเจ้าภาพหลักในการดำเนินโครงการเกี่ยวกับการอนุรักษ์ฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมบริเวณพื้นที่แหล่งท่องเที่ยว และให้กระทรวงวัฒนธรรมเป็นเจ้าภาพหลักในการดำเนินโครงการด้านการอนุรักษ์วัฒนธรรมของชุมชนในพื้นที่ ๒.๓ ให้กระทรวงคมนาคมเป็นเจ้าภาพหลักร่วมกับกระทรวงพลังงานและกระทรวงมหาดไทยในการบูรณาการด้านการพัฒนาและเชื่อมโยงโครงสร้างพื้นฐานในพื้นที่พิเศษให้สอดคล้องกับแผนยุทธศาสตร์ด้านคมนาคมขนส่งของไทย พ.ศ. ๒๕๕๘-๒๕๖๕ แผนยุทธศาสตร์ด้านพลังงาน ทั้งนี้ การก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานที่เกิดขึ้นจะต้องไม่รุกล้ำพื้นที่เขตป่าสงวนหรือเขตอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติโดยเด็ดขาด ๒.๔ ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเป็นเจ้าภาพหลักในด้านการประชาสัมพันธ์และการตลาด โดยเน้นการบูรณาการให้สอดคล้องกับนโยบายด้านการท่องเที่ยวของรัฐบาล ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๑๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๗ (เรื่อง แนวทางการดำเนินงานปีท่องเที่ยววิถีไทย ๒๕๕๘ และขออนุมัติให้ปี ๒๕๕๘ เป็นปีท่องเที่ยววิถีไทยและเป็นวาระแห่งชาติ) ที่เห็นชอบให้ปี ๒๕๕๘ เป็นปี “ท่องเที่ยววิถีไทย” (2015 Discover Thainess) ๓. ให้ อพท. รับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ คณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการนโยบายการท่องเที่ยวแห่งชาติ เกี่ยวกับการดำเนินกิจกรรม/โครงการใด ๆ ในบริเวณเมืองโบราณอู่ทอง ให้คำนึงถึงความกลมกลืนและสอดคล้องกับความเป็นเมืองเก่าด้วย และเห็นควรพิจารณาทบทวนกรอบระยะเวลาของแผนแม่บทและแผนปฏิบัติการพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนเมืองโบราณอู่ทองที่กำหนดกรอบระยะเวลาดำเนินการ ๑๐ ปี (ปี พ.ศ. ๒๕๕๗-๒๕๖๖) ให้สอดคล้องกับกรอบระยะเวลาของแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และให้ความสำคัญกับกิจกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยวที่เกี่ยวเนื่องเชื่อมโยงกับแหล่งประวัติศาสตร์ และโบราณสถาน เน้นบทบาทการมีส่วนร่วมของชุมชนทั้งในฐานะของผู้ให้และผู้รับ รวมถึงให้ความสำคัญลำดับแรกกับการดำเนินงานโครงการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวที่เป็นสินค้าหลักของพื้นที่พิเศษ และการแก้ไขปัญหาพื้นฐานของการส่งเสริมท่องเที่ยวในพื้นที่ ได้แก่ การพัฒนาเส้นทางคมนาคมเพื่อการเข้าถึงพื้นที่เมืองโบราณอู่ทอง และการส่งเสริมประชาสัมพันธ์ด้านการตลาด นอกจากนี้ ควรพิจารณาทบทวนจัดลำดับความสำคัญของโครงการให้เหมาะสม โดยจัดทำรายละเอียดแผนปฏิบัติการที่จะดำเนินการในช่วงระยะเวลา ๓ เดือน ๖ เดือน และ ๑ ปี และกำหนดเป้าหมาย ผลสัมฤทธิ์ และตัวชี้วัดที่ชัดเจน รวมทั้งแผนการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ที่กำหนด เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๔. มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) และคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการเร่งรัดการพิจารณาทบทวนความจำเป็นในการมีอยู่ขององค์การมหาชนในปัจจุบัน โดยคำนึงถึงประสิทธิภาพในการปฏิบัติหน้าที่ที่สอดคล้องและเหมาะสมกับงบประมาณที่ได้รับการจัดสรรตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๖ มกราคม ๒๕๕๘ (เรื่อง ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี) โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนของการพัฒนาและปรับปรุง อพท. ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้เคยมีมติไว้เมื่อวันที่ ๒๐ พฤษภาคม ๒๕๕๕ (เรื่อง รายงานการประเมินผลองค์การมหาชนที่จัดตั้งตามพระราชบัญญัติองค์การมหาชน พ.ศ. ๒๕๔๒) และเมื่อวันที่ ๗ สิงหาคม ๒๕๕๕ [เรื่อง การดำเนินงานตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๐ พฤษภาคม ๒๕๕๕ กรณีองค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (องค์การมหาชน)] ต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
518 | แผนยุทธศาสตร์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเมืองเก่าน่าน | อพท | 27/03/2558 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบแผนแม่บทบูรณาการบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษ อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย-ศรีสัชนาลัย-กำแพงเพชร เมืองเก่าน่าน เลย และเมืองโบราณอู่ทอง ตามที่องค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (องค์การมหาชน) (อพท.) เสนอ ๒. เห็นชอบในหลักการแผนยุทธศาสตร์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษ อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย-ศรีสัชนาลัย-กำแพงเพชร เมืองเก่าน่าน เลย และเมืองโบราณอู่ทอง โดยให้จังหวัดเลยเป็นโครงการนำร่องก่อน และเพื่อให้การยกระดับการพัฒนาพื้นที่พิเศษต่าง ๆ มีการบูรณาการและมีความเชื่อมโยงทุกพื้นที่ เห็นควรให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการ ดังนี้ ๒.๑ ให้กระทรวงมหาดไทยเป็นเจ้าภาพหลักในการดำเนินการการฟื้นฟูและพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะในเรื่องการจัดระเบียบพื้นที่แหล่งท่องเที่ยวและการจัดหาสิ่งอำนวยความสะดวก เช่น ที่พัก ที่จอดรถ ทางเดิน และสุขา เป็นต้น ๒.๒ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นเจ้าภาพหลักในการดำเนินโครงการเกี่ยวกับการอนุรักษ์ฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมบริเวณพื้นที่แหล่งท่องเที่ยว และให้กระทรวงวัฒนธรรมเป็นเจ้าภาพหลักในการดำเนินโครงการด้านการอนุรักษ์วัฒนธรรมของชุมชนในพื้นที่ ๒.๓ ให้กระทรวงคมนาคมเป็นเจ้าภาพหลักร่วมกับกระทรวงพลังงานและกระทรวงมหาดไทยในการบูรณาการด้านการพัฒนาและเชื่อมโยงโครงสร้างพื้นฐานในพื้นที่พิเศษให้สอดคล้องกับแผนยุทธศาสตร์ด้านคมนาคมขนส่งของไทย พ.ศ. ๒๕๕๘-๒๕๖๕ แผนยุทธศาสตร์ด้านพลังงาน ทั้งนี้ การก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานที่เกิดขึ้นจะต้องไม่รุกล้ำพื้นที่เขตป่าสงวนหรือเขตอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติโดยเด็ดขาด ๒.๔ ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเป็นเจ้าภาพหลักในด้านการประชาสัมพันธ์และการตลาด โดยเน้นการบูรณาการให้สอดคล้องกับนโยบายด้านการท่องเที่ยวของรัฐบาล ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๑๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๗ (เรื่อง แนวทางการดำเนินงานปีท่องเที่ยววิถีไทย ๒๕๕๘ และขออนุมัติให้ปี ๒๕๕๘ เป็นปีท่องเที่ยววิถีไทยและเป็นวาระแห่งชาติ) ที่เห็นชอบให้ปี ๒๕๕๘ เป็นปี “ท่องเที่ยววิถีไทย” (2015 Discover Thainess) ๓. ในส่วนของแผนยุทธศาสตร์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเมืองเก่าน่าน ให้ อพท. รับความเห็นของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ คณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการนโยบายการท่องเที่ยวแห่งชาติ เกี่ยวกับการดำเนินกิจกรรมใด ๆ ในพื้นที่เมืองเก่า ควรคำนึงถึงการรักษาคุณ ค่าความสำคัญดั้งเดิมของโบราณสถาน อาคาร สถาปัตยกรรม ศิลปกรรม และสภาพแวดล้อมโดยรอบที่เหมาะสมสอดคล้องกับวิถีชีวิต วัฒนธรรม ประเพณี และศักยภาพในการรองรับการท่องเที่ยวของพื้นที่ และเห็นควรพิจารณาทบทวนกรอบระยะเวลาของแผนแม่บทและแผนปฏิบัติการพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนเมืองเก่าน่าน ที่กำหนดกรอบระยะเวลาดำเนินการ ๕ ปี (ปี พ.ศ. ๒๕๕๖-๒๕๖๐) ให้สอดคล้องกับกรอบระยะเวลาของแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ รวมทั้งควรพิจารณาให้ความสำคัญกับการดำเนินกิจกรรมเพื่อการอนุรักษ์และพัฒนาชุมชนท้องถิ่นเมืองน่านให้เป็นเมืองแห่งการเรียนรู้เชิงอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรมล้านนาตะวันออกเป็นดินแดนมรดกน่าน มรดกไทย และมรดกโลก มุ่งเน้นการรักษาเอกลักษณ์ และอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมท้องถิ่น นำต้นทุนทางวัฒนธรรมมาสร้างสรรค์ใช้ประโยชน์ด้านการส่งเสริมการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน นอกจากนี้ ควรพิจารณาทบทวนจัดลำดับความสำคัญของโครงการให้เหมาะสมโดยจัดทำรายละเอียดแผนปฏิบัติการที่จะดำเนินการในช่วงระยะเวลา ๓ เดือน ๖ เดือน และ ๑ ปี และกำหนดเป้าหมาย ผลสัมฤทธิ์ และตัวชี้วัดที่ชัดเจน รวมถึงแผนการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ที่กำหนดเพื่อขอรับการจัดสรรงบประมาณในลักษณะปีต่อปี โดยคำนึงถึงความคุ้มค่าของโครงการ และประโยชน์สูงสุดต่อภาระงบประมาณของประเทศ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๔. มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) และคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการเร่งรัดการพิจารณาทบทวนความจำเป็นในการมีอยู่ขององค์การมหาชนในปัจจุบัน โดยคำนึงถึงประสิทธิภาพในการปฏิบัติหน้าที่ที่สอดคล้องและเหมาะสมกับงบประมาณที่ได้รับการจัดสรรตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๖ มกราคม ๒๕๕๘ (เรื่อง ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี) โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนของการพัฒนาและปรับปรุง อพท. ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้เคยมีมติไว้เมื่อวันที่ ๒๐ พฤษภาคม ๒๕๕๕ (เรื่อง รายงานการประเมินผลองค์การมหาชนที่จัดตั้งตามพระราชบัญญัติองค์การมหาชน พ.ศ. ๒๕๔๒) และเมื่อวันที่ ๗ สิงหาคม ๒๕๕๕ [เรื่อง การดำเนินงานตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๐ พฤษภาคม ๒๕๕๕ กรณี องค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (องค์การมหาชน)] ต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
519 | แผนยุทธศาสตร์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเลย | อพท | 27/03/2558 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบแผนแม่บทบูรณาการบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษ อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย-ศรีสัชนาลัย-กำแพงเพชร เมืองเก่าน่าน เลย และเมืองโบราณอู่ทอง ตามที่องค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (องค์การมหาชน) (อพท.) เสนอ ๒. เห็นชอบในหลักการแผนยุทธศาสตร์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษ อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย-ศรีสัชนาลัย-กำแพงเพชร เมืองเก่าน่าน เลย และเมืองโบราณอู่ทอง โดยให้จังหวัดเลยเป็นโครงการนำร่องก่อน และเพื่อให้การยกระดับการพัฒนาพื้นที่พิเศษต่าง ๆ มีการบูรณาการและมีความเชื่อมโยงทุกพื้นที่ เห็นควรให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการ ดังนี้ ๒.๑ ให้กระทรวงมหาดไทยเป็นเจ้าภาพหลักในการดำเนินการการฟื้นฟูและพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะในเรื่องการจัดระเบียบพื้นที่แหล่งท่องเที่ยวและการจัดหาสิ่งอำนวยความสะดวก เช่น ที่พัก ที่จอดรถ ทางเดิน และสุขา เป็นต้น ๒.๒ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นเจ้าภาพหลักในการดำเนินโครงการเกี่ยวกับการอนุรักษ์ฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมบริเวณพื้นที่แหล่งท่องเที่ยว และให้กระทรวงวัฒนธรรมเป็นเจ้าภาพหลักในการดำเนินโครงการด้านการอนุรักษ์วัฒนธรรมของชุมชนในพื้นที่ ๒.๓ ให้กระทรวงคมนาคมเป็นเจ้าภาพหลักร่วมกับกระทรวงพลังงานและกระทรวงมหาดไทยในการบูรณาการด้านการพัฒนาและเชื่อมโยงโครงสร้างพื้นฐานในพื้นที่พิเศษให้สอดคล้องกับแผนยุทธศาสตร์ด้านคมนาคมขนส่งของไทย พ.ศ. ๒๕๕๘-๒๕๖๕ แผนยุทธศาสตร์ด้านพลังงาน ทั้งนี้ การก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานที่เกิดขึ้นจะต้องไม่รุกล้ำพื้นที่เขตป่าสงวนหรือเขตอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติโดยเด็ดขาด ๒.๔ ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเป็นเจ้าภาพหลักในด้านการประชาสัมพันธ์และการตลาด โดยเน้นการบูรณาการให้สอดคล้องกับนโยบายด้านการท่องเที่ยวของรัฐบาล ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๑๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๗ (เรื่อง แนวทางการดำเนินงานปีท่องเที่ยววิถีไทย ๒๕๕๘ และขออนุมัติให้ปี ๒๕๕๘ เป็นปีท่องเที่ยววิถีไทยและเป็นวาระแห่งชาติ) ที่เห็นชอบให้ปี ๒๕๕๘ เป็นปี “ท่องเที่ยววิถีไทย” (2015 Discover Thainess) ๓. ให้ อพท. รับความเห็นของกระทรวงคมนาคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงวัฒนธรรม สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ คณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการนโยบายการท่องเที่ยวแห่งชาติ ที่เห็นควรพิจารณาทบทวนกรอบระยะเวลาของแผนแม่บทและแผนปฏิบัติการพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนเลยที่กำหนดกรอบระยะเวลาดำเนินการ ๑๐ ปี (ปี พ.ศ. ๒๕๕๖-๒๕๖๕) ให้สอดคล้องกับระยะเวลาของแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และในการดำเนินการขับเคลื่อนแผนแม่บทและแผนปฏิบัติการพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนเลย ควรคำนึงถึงขีดความสามารถในการรองรับของแหล่งท่องเที่ยว (Carrying Capacity) โอกาสและความเสี่ยงที่จะเกิดจากการขยายตัวของนักท่องเที่ยว กลุ่มเป้าหมายที่จะต้องเน้นกลุ่มนักท่องเที่ยวที่มีคุณภาพมากขึ้น และมีความสนใจเฉพาะด้าน รวมถึงการพัฒนายกระดับมาตรฐานบริการและการส่งเสริมกิจกรรมการท่องเที่ยวที่สอดคล้องกับความต้องการของนักท่องเที่ยว เช่น การท่องเที่ยวเชิงนิเวศ การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ และการพำนักระยะยาว (Long Stay) นอกจากนี้ ควรพิจารณาทบทวนจัดลำดับความสำคัญโครงการให้เหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบัน และสอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาในแต่ละระยะและบทบาทของแต่ละกลุ่มพื้นที่ที่สะท้อนถึงศักยภาพของแหล่งท่องเที่ยวหลักและความต้องการของนักท่องเที่ยว รวมทั้งควรใช้โอกาสความได้เปรียบด้านทำเลที่ตั้งของจังหวัดเลยเพื่อพัฒนาเป็นประตูเชื่อมโยงสู่ภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๔. มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) และคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการเร่งรัดการพิจารณาทบทวนความจำเป็นในการมีอยู่ขององค์การมหาชนในปัจจุบัน โดยคำนึงถึงประสิทธิภาพในการปฏิบัติหน้าที่ที่สอดคล้องและเหมาะสมกับงบประมาณที่ได้รับการจัดสรรตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๖ มกราคม ๒๕๕๘ (เรื่อง ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี) โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนของการพัฒนาและปรับปรุง อพท. ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้เคยมีมติไว้เมื่อวันที่ ๒๐ พฤษภาคม ๒๕๕๕ (เรื่อง รายงานการประเมินผลองค์การมหาชนที่จัดตั้งตามพระราชบัญญัติองค์การมหาชน พ.ศ. ๒๕๔๒) และเมื่อวันที่ ๗ สิงหาคม ๒๕๕๕ [เรื่อง การดำเนินงานตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๐ พฤษภาคม ๒๕๕๕ กรณี องค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (องค์การมหาชน)] ต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
520 | แผนแม่บทป้องกันและบรรเทาภัยแล้ง | มท | 17/03/2558 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติแผนแม่บทป้องกันและบรรเทาภัยแล้ง (ระยะ ๕ ปี) ประกอบด้วย ๔ ยุทธศาสตร์ ได้แก่ ยุทธศาสตร์ที่ ๑ การเตรียมการป้องกันและลดผลกระทบ ยุทธศาสตร์ที่ ๒ การเตรียมพร้อมรับภัย ยุทธศาสตร์ที่ ๓ การจัดการในภาวะฉุกเฉิน และยุทธศาสตร์ที่ ๔ การจัดการหลังการเกิดภัย เพื่อใช้เป็นกรอบแนวทางในการป้องกันแก้ไขปัญหาและบริหารจัดการภัยแล้ง และเป็นแผนสนับสนุนแผนการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๕๘ และให้กระทรวง กรม จังหวัด อำเภอ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ภาคเอกชน มูลนิธิ และองค์กรการกุศล ถือปฏิบัติตามแผนแม่บทป้องกันและบรรเทาภัยแล้ง ตามที่คณะกรรมการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติเสนอ ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยสร้างการรับรู้เกี่ยวกับแผนแม่บทป้องกันและบรรเทาภัยแล้งควบคู่ไปกับแผนยุทธศาสตร์การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ เพื่อให้ประชาชนมีความเข้าใจเกี่ยวกับความเชื่อมโยงของแผนทั้งสองและมีส่วนร่วมในการดำเนินการของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตามแผนต่อไป |
.....