ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 21 จากทั้งหมด 102 หน้า แสดงรายการที่ 401 - 420 จากข้อมูลทั้งหมด 2031 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
401 | แนวทางเพื่อสนับสนุนการดำเนินการตามแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานระบบการชำระเงินแบบอิเล็กทรอนิกส์แห่งชาติ | กค | 28/06/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบแนวทางสนับสนุนการดำเนินการตามแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานระบบการชำระเงินแบบอิเล็กทรอนิกส์แห่งชาติ (National e-Payment) และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามแนวทางดังกล่าว ดังนี้ ๑.๑ ให้หน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องที่มีการรับเงินจากประชาชน เช่น ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ติดตั้งอุปกรณ์ชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ให้เพียงพอต่อความต้องการให้บริการกับประชาชน โดยเริ่มดำเนินการติดตั้งภายในเดือนกันยายน ๒๕๕๙ และติดตั้งให้แล้วเสร็จภายในเดือนกันยายน ๒๕๖๐ ทั้งนี้ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องปรับปรุงระเบียบและหลักเกณฑ์เพื่อรองรับการชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์โดยเร็ว และให้ดำเนินการตามแนวทางที่คณะกรรมการขับเคลื่อนตามแผนยุทธศาสตร์ National e-Payment กำหนด ๑.๒ การดำเนินการเกี่ยวกับการออกเลขประจำตัว (๑) ให้กรมพัฒนาธุรกิจการค้าดำเนินการแก้ไขปัญหาเลขประจำตัวที่ปัจจุบันมีการซ้ำ ๑๓๘ ราย ในส่วนของนิติบุคคลที่มีเลขประจำตัวที่ซ้ำกับเลขประจำตัวประชาชน โดยการออกเลขประจำตัวให้กับนิติบุคคลใหม่ที่ไม่ซ้ำกับเลขที่ออกโดยกรมการปกครอง (๒) เพื่อป้องกันปัญหาการออกเลขประจำตัวซ้ำกันระหว่างหน่วยงานในอนาคต ให้กรมพัฒนาธุรกิจการค้าขอจัดสรรเลขประจำตัวของนิติบุคคลจำนวน ๒ ล้านเลขหมาย ส่งให้กรมการปกครองเพื่อกันไว้ไม่ให้ใช้ออกเลขประจำตัวประชาชนในส่วนของกรมการปกครอง (๓) กำหนดภารกิจการออกเลขประจำตัว ๑๓ หลัก โดยกรมการปกครองออกเลขประจำตัว ๑๓ หลัก ให้แก่บุคคลธรรมดา กรมพัฒนาธุรกิจการค้าออกเลขประจำตัว ๑๓ หลัก ให้แก่นิติบุคคล และกรมสรรพากรออกเลขให้กับบุคคลหรือนิติบุคคลบางประเภท เช่น กองมรดกเฉพาะที่ยังไม่ได้แบ่ง คณะบุคคล และผู้จ่ายเงินได้ ที่มีหน้าที่ต้องเสียภาษีตามกฎหมายของกรมสรรพากร ๒. ให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงแรงงาน สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และธนาคารแห่งประเทศไทยเกี่ยวกับการติดตั้งอุปกรณ์ชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ที่จะเริ่มดำเนินการภายในเดือนกันยายน ๒๕๕๙ ควรเริ่มจากหน่วยงานที่มีประชาชนมาใช้บริการเป็นจำนวนมากก่อน และประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนได้รับทราบอย่างทั่วถึง รวมทั้งต้องมีการพัฒนาระบบให้มีความง่ายต่อการใช้งาน และสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชน ตลอดจนมีมาตรการในการจูงใจให้ประชาชนมาใช้ระบบการชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อให้การใช้จ่ายงบประมาณของประเทศเกิดประโยชน์สูงสุด และให้กรมพัฒนาธุรกิจการค้าพิจารณาขอจัดสรรเลขประจำตัวของนิติบุคคลที่ไม่ซ้ำกับเลขประจำตัวประชาชนมากขึ้นจาก ๒ ล้านหมายเลข เป็น ๒๐ ล้านหมายเลข เพื่อรองรับความต้องการใช้งานในอนาคต ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||
402 | มาตรการป้องกันการทุจริตเชิงนโยบายขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น | ปช | 21/06/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบมาตรการป้องกันการทุจริตเชิงนโยบายขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นของคณะกรรมการ ป.ป.ช. เพื่อให้มีการปรับปรุงการปฏิบัติราชการหรือวางแผนงานโครงการขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อป้องกันและปราบปรามการทุจริตต่อหน้าที่ หรือการกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการตามนัยแห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๙ (๑๑) ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๔ ประกอบด้วยมาตรการ ๔ ด้าน ได้แก่ (๑) มาตรการด้านกฎหมายเกี่ยวกับการเลือกตั้งและการจัดตั้งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (๒) มาตรการด้านการบริหาร (๓) มาตรการด้านการตรวจสอบ กำกับดูแล และการมีส่วนร่วมของประชาชน และ (๔) มาตรการด้านคุณธรรม จริยธรรม ตามที่สำนักงาน ป.ป.ช. เสนอ ๒. มอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยเป็นหน่วยงานหลักรับข้อเสนอของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงศึกษาธิการ สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงาน ก.พ. สำนักงาน ก.พ.ร. สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี คณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อพิจารณาศึกษาแนวทางและความเหมาะสมของมาตรการดังกล่าว และให้กระทรวงมหาดไทยจัดทำรายงานผลการพิจารณาหรือผลการดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องนี้ในภาพรวมส่งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีภายใน ๓๐ วัน นับตั้งแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่ง เมื่อคณะรัฐมนตรีพิจารณาและมีมติแล้ว สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีจะได้แจ้งผลการพิจารณาหรือผลการดำเนินการของคณะรัฐมนตรีต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. ต่อไป |
|||||||||||||||||||||
403 | ขออนุมัติแผนยุทธศาสตร์ทศวรรษกำจัดปัญหาพยาธิใบไม้ตับและมะเร็งท่อน้ำดี ปี 2559 - 2568 | สธ | 21/06/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ ดังนี้ ๑.๑ แผนยุทธศาสตร์ทศวรรษกำจัดปัญหาพยาธิใบไม้ตับและมะเร็งท่อน้ำดี ปี ๒๕๕๙-๒๕๖๘ เพื่อให้ส่วนราชการ หน่วยงาน องค์กรต่าง ๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และภาคประชาชน ใช้เป็นกรอบการดำเนินงานที่เกี่ยวข้อง ประกอบด้วย ๕ ยุทธศาสตร์ ได้แก่ (๑) มาตรการเชิงนโยบายและการควบคุมกำกับอย่างเข้มข้น (๒) เสริมสร้างความเข้มแข็งและขยายความครอบคลุมของมาตรการเชิงป้องกันทั้งในประเทศและภูมิภาคลุ่มน้ำโขง (๓) พัฒนาคุณภาพการคัดกรองวินิจฉัย การดูแลรักษา การส่งต่อทั้งระบบอย่างบูรณาการ (๔) ส่งเสริม สนับสนุนการมีส่วนร่วมและพัฒนาศักยภาพของชุมชนและองค์กรท้องถิ่นในการป้องกันควบคุมและจัดการสิ่งแวดล้อมโรคพยาธิใบไม้ตับ มะเร็งท่อน้ำดี และการดูแลผู้ป่วยมะเร็งท่อน้ำดีอย่างเป็นระบบ และ (๕) การศึกษาวิจัยและพัฒนาระบบฐานข้อมูลและการบูรณาการที่มีประสิทธิภาพ ๑.๒ แนวทางการขับเคลื่อนแผนยุทธศาสตร์ ๒ ระยะ โดยระยะเริ่มต้น ๓ ปี (๒๕๕๙-๒๕๖๑) เป็นโครงการรณรงค์การกำจัดปัญหาโรคพยาธิใบไม้ตับและมะเร็งท่อน้ำดีถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จขึ้นครองราชย์ครบ ๗๐ ปี ในปีพุทธศักราช ๒๕๕๙ พร้อมทั้งสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ จะทรงเจริญพระชนมพรรษา ๘๔ พรรษา ตลอดจนในปีพุทธศักราช ๒๕๖๐ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จะทรงเจริญพระชนมพรรษา ๙๐ พรรษา และระยะที่ ๒ เป็นการขับเคลื่อนตามมาตรการของแผนยุทธศาสตร์ในระยะเวลาที่เหลือ (๒๕๖๒-๒๕๖๘) เพื่อให้บรรลุเป้าหมายของแผนยุทธศาสตร์ ส่งผลให้การกำจัดปัญหาพยาธิใบไม้ตับและมะเร็งท่อน้ำดีเกิดความยั่งยืน และผลักดันให้เป็นการดำเนินงานในแผนงานปกติในอนาคตต่อไป ๑.๓ สนับสนุนงบประมาณการขับเคลื่อนตามมาตรการของแผนยุทธศาสตร์เพื่อให้สามารถดำเนินการกำจัดปัญหาพยาธิใบไม้ตับและมะเร็งท่อน้ำดีได้อย่างมีประสิทธิภาพและมีความยั่งยืนในอนาคต ๒. ให้กระทรวงสาธารณสุขรณรงค์ให้ประชาชนรับประทานอาหารปรุงสุกเพื่อลดโอกาสการติดเชื้อพยาธิใบไม้ตับ และให้รับความเห็นของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการขับเคลื่อนแผนยุทธศาสตร์ไปสู่การปฏิบัติในระดับพื้นที่ ควรดำเนินการในลักษณะสอดประสานไปกับการดำเนินการยุทธศาสตร์อื่น ๆ ที่ดำเนินการอยู่แล้วในพื้นที่ในลักษณะการบูรณาการประเด็นด้านสุขอนามัยและโภชนาการของปัญหาสุขภาพของชุมชน ทั้งในการขับเคลื่อนเชิงนโยบาย การสร้างความตระหนัก การให้ความรู้และการส่งเสริมการมีส่วนร่วมของชุมชน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสิทธิผลของการขับเคลื่อนแผนยุทธศาสตร์ไปสู่การปฏิบัติในระดับประเทศ และควรเพิ่มเติมตัวชี้วัดการดำเนินงานที่มีเป้าหมายร่วมกันระหว่างหน่วยงาน (Joint KPI) เพื่อนำไปสู่การเกิดผลลัพธ์ในการดำเนินงานได้อย่างเป็นรูปธรรม รวมทั้งควรพิจารณาเชื่อมโยงกิจกรรมและพื้นที่ดำเนินงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้เกิดการใช้ทรัพยากรร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๓. สำหรับงบประมาณในการดำเนินการให้เป็นไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณ โดยค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานที่จะเกิดขึ้นในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ ภายใต้แผนดังกล่าว จำนวน ๒๖๑,๓๓๔,๘๐๐ บาท ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณตามมาตรการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ ส่วนค่าใช้จ่ายในปีงบประมาณต่อไป ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อดำเนินการและเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีให้สอดคล้องกับแผนยุทธศาสตร์ดังกล่าวตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป ๔. มอบหมายให้กระทรวงสาธารณสุขนำแผนดังกล่าวมาจัดทำเป็นแผนปฏิบัติการตามกรอบระยะเวลาการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาล (ถึงเดือนกรกฎาคม ๒๕๖๐) ทั้งนี้ กิจกรรมใดที่เป็นการดำเนินการซึ่งเกินกว่ากรอบระยะเวลาการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาล ให้นำเรื่องดังกล่าวบรรจุไว้ในแผนปฏิรูป เพื่อให้รัฐบาลชุดต่อไปที่จะเข้ามาบริหารราชการแผ่นดินพิจารณาดำเนินการต่อไป เพื่อให้เป็นไปตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๙ มกราคม ๒๕๕๙ (เรื่อง การเสนอโครงการที่ต้องขออนุมัติงบประมาณจากคณะรัฐมนตรีหรือนายกรัฐมนตรี) |
|||||||||||||||||||||
404 | ข้อคิดเห็นของรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรี | อื่นๆ | 21/06/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร) และรองนายกรัฐมนตรี (พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง) รายงานข้อคิดเห็นเกี่ยวกับการขับเคลื่อนนโยบายรัฐบาลและการบริหารราชการแผ่นดิน ดังนี้
๑. รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) รายงานว่า ๑.๑ กระทรวงกลาโหม กระทรวงมหาดไทย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ และกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักรได้ร่วมกันพิจารณาจัดทำฐานข้อมูลด้านความมั่นคง โดยจำแนกข้อมูลตามประเด็นภัยคุกคามด้านความมั่นคง รวม ๗ ด้าน ได้แก่ (๑) การเตรียมพร้อมแห่งชาติ (๒) การบริหารจัดการชายแดน (๓) การรักษาผลประโยชน์แห่งชาติทางทะเล (๔) อาชญากรรมข้ามชาติและการก่อการร้าย (๕) ปัญหาผู้หลบหนีเข้าเมือง (๖) การเป็นประชาคมอาเซียน และ (๗) ด้านอื่น ๆ และได้มีการกำหนดชั้นความลับและผู้ใช้งานทั้งในระดับนโยบายและระดับปฏิบัติเพื่อให้สอดคล้องและเชื่อมโยงกับการจัดทำฐานข้อมูลภาครัฐ ๑.๒ กระทรวงมหาดไทยได้ดำเนินการแก้ไขระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยหลักเกณฑ์การจ่ายเงินเบี้ยความพิการให้คนพิการขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. ๒๕๕๓ แล้ว โดยมีผลใช้บังคับตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ เป็นต้นไป และได้กำชับให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องปฏิบัติตามระเบียบ กฎหมาย และหนังสือสั่งการอย่างเคร่งครัด รวมทั้งจะดำเนินการทบทวนและแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายว่าด้วยการกำหนดแผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อให้จังหวัดสามารถปรับเกลี่ยงบประมาณที่เหลือจากเงินส่งคืนขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในจังหวัดเพื่อนำไปใช้ในเรื่องดังกล่าวได้อย่างรวดเร็วต่อไปด้วย ๒. รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร) รายงานผลการเยือนสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม ระหว่างวันที่ ๑๖-๑๙ มิถุนายน ๒๕๕๙ ว่า มีวัตถุประสงค์เพื่อเฉลิมฉลองการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างไทย-เวียดนาม ครบรอบ ๔๐ ปี โดยได้เข้าเยี่ยมคารวะนายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม รองประธานสภาแห่งชาติ รองนายกรัฐมนตรีด้านวัฒนธรรม กีฬา และการท่องเที่ยว เพื่อหารือการเป็นหุ้นส่วนยุทธศาสตร์และกระชับความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศในด้านต่าง ๆ โดยเฉพาะด้านการท่องเที่ยวและวัฒนธรรมให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น โดยฝ่ายไทยได้หยิบยกประเด็นส่งเสริมการเชื่อมโยงการท่องเที่ยวระหว่างไทยและเวียดนามในรูปแบบ ๒ ประเทศ ๑ จุดหมาย (Two Countries, One Destination) นอกจากนี้ ยังได้เป็นประธานร่วมในงานแสดงหุ่นละครเล็กของไทย และการแสดงหุ่นของเวียดนามด้วย ๓. รองนายกรัฐมนตรี (พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง) รายงานว่า ตามที่ได้รับมอบหมายให้ดำเนินการรวบรวมผลการปฏิบัติงานตามนโยบายของรัฐบาล นั้น ขณะนี้อยู่ระหว่างการดำเนินการแต่งตั้งคณะกรรมการติดตามการปฏิบัติงานตามนโยบายของรัฐบาล ประกอบด้วย ผู้แทนจากส่วนราชการต่าง ๆ เพื่อดำเนินการตามภารกิจ ๓ ประการ คือ (๑) การติดตามการปฏิบัติงานตามนโยบายของรัฐบาล (๒) การจัดทำรายงานผลงานรัฐบาลครบรอบ ๒ ปี และ (๓) การสนับสนุนการทำงานของโฆษกรัฐบาล ทั้งนี้ คณะกรรมการดังกล่าวจะมีการประชุมเพื่อติดตามการดำเนินงานทุกวันพุธและพฤหัสบดี เวลา ๑๖.๐๐ น.
|
|||||||||||||||||||||
405 | รายงานผลการพิจารณาตามข้อเสนอแนะเพื่อการปฏิรูปตามมาตรา 31 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (เรื่อง การปฏิรูปกลไกการบริหารจัดการ ทรัพยากรน้ำและร่างพระราชบัญญัติบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ พ.ศ. ....) | กษ | 07/06/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานผลการพิจารณาตามข้อเสนอแนะเพื่อการปฏิรูปตามมาตรา ๓๑ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (เรื่อง การปฏิรูปกลไกการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ และร่างพระราชบัญญัติบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ พ.ศ. ....) ซึ่งกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยกรมทรัพยากรน้ำและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาข้อเสนอแนะดังกล่าวแล้วมีความเห็นสอดคล้องกันที่จะให้มีกฎหมายระดับพระราชบัญญัติเพื่อให้เป็นกฎหมายกลางในการบูรณาการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำของประเทศเป็นไปในทิศทางเดียวกัน มีความเป็นเอกภาพและมีประสิทธิภาพ โดยในส่วนของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกามีความเห็นว่า ควรผลักดันร่างพระราชบัญญัติทรัพยากรน้ำ พ.ศ. .... ประกาศใช้บังคับเป็นกฎหมายโดยเมื่อใช้บังคับในระยะหนึ่ง หากเห็นว่ากลไกในกฎหมายมีข้อบกพร่องส่วนใด กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมสามารถเสนอแก้ไขเพิ่มเติมในภายหลังได้ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ๒. ให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีส่งรายงานผลการพิจารณาของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และสำนักงบประมาณ เกี่ยวกับการกำหนดบทบัญญัติให้หน่วยงานของรัฐที่มีภารกิจตามกฎหมายในการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำด้านต่าง ๆ สามารถดำเนินการตามภารกิจและอำนาจหน้าที่ที่กฎหมายเฉพาะนั้นได้ให้ไว้ การกำหนดบทบัญญัติเพิ่มเติมในกรณีแหล่งน้ำสาธารณะที่มีการเชื่อมโยงหรือติดต่อกับแหล่งน้ำที่มีหน่วยงานของรัฐหรือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นดูแล ก่อนการอนุญาตให้ใช้น้ำจากแหล่งน้ำสาธารณะจะต้องได้รับความเห็นชอบจากหน่วยงานของรัฐหรือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นดังกล่าว การพิจารณารายได้จากการเก็บค่าน้ำเพื่อเข้ากองทุนแยกเป็นในเขตชลประทานและนอกเขตชลประทาน การกำหนดคำจำกัดความของ “พนักงานเจ้าหน้าที่” ให้มีความชัดเจน การควบคุมและตรวจตราทรัพยากรน้ำตามมาตรา ๘๓ ๘๔ และ ๘๖ การมอบหมายให้ผู้มีอำนาจสูงสุดในพื้นที่ลุ่มนำสาขานั้น ๆ เป็นประธานในคณะกรรมการลุ่มน้ำสาขาควรมอบหมายให้ผู้มีอำนาจสูงสุดในพื้นที่ลุ่มน้ำสาขานั้น ๆ และกรณีที่สภาปฏิรูปแห่งชาติเสนอให้มีการจัดตั้งสำนักงานคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติเป็นหน่วยงานของรัฐระดับกรมจะต้องปฏิบัติตามหลักการและขั้นตอนตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ กรกฎาคม ๒๕๕๐ ที่ต้องเสนอเรื่องต่อคณะกรรมการพัฒนาโครงสร้างระบบราชการของกระทรวงและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ เพื่อพิจารณาความเหมาะสมของการจัดตั้งสำนักงาน ก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรี รวมทั้งกรณีการจัดตั้งกองทุนหมุนเวียนของหน่วยงานของรัฐจะต้องดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๗ ธันวาคม ๒๕๕๔ และระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการขอจัดตั้ง การดำเนินงาน และการประเมินผลการดำเนินงานทุนหมุนเวียน พ.ศ. ๒๕๕๗ และมีความสอดคล้องกับระบบการจัดตั้งกองทุนในปัจจุบัน รวมถึงบทบัญญัติตามพระราชบัญญัติการบริหารทุนหมุนเวียน พ.ศ. ๒๕๕๘ ให้คณะกรรมการประสานงาน รวม ๓ ฝ่าย (คณะรัฐมนตรี สภานิติบัญญัติแห่งชาติ และสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ) เพื่อพิจารณาความสอดคล้องและความเหมาะสมกับการปฏิรูปประเทศต่อไป และให้แจ้งสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ในฐานะฝ่ายเลขานุการร่วมคณะกรรมการจัดทำยุทธศาสตร์ชาติเพื่อดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป |
|||||||||||||||||||||
406 | รายงานผลการปฏิบัติงานตามแผนการกำจัดผักตบชวา ประจำปี 2559 | มท | 07/06/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบตามที่กระทรวงมหาดไทยรายงานผลความก้าวหน้าการปฏิบัติงานตามแผนการกำจัดผักตบชวา ประจำปี ๒๕๕๙ โดยผลการกำจัดผักตบชวา ตั้งแต่วันที่ ๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๙ ถึงวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๕๙ พื้นที่ลุ่มน้ำภาคกลางตอนล่าง กรมโยธาธิการและผังเมือง กำจัดได้ปริมาณ ๑๒๐,๘๐๐ ตัน กรมเจ้าท่า กำจัดได้ปริมาณ ๗๙,๑๐๘ ตัน สำหรับพื้นที่บริเวณประตูระบายน้ำในแม่น้ำสายหลัก แม่น้ำป่าสัก และคลองในระบบชลประทาน กรมชลประทาน กำจัดได้ปริมาณ ๑,๒๑๔,๗๖๔ ตัน และในส่วนของแหล่งน้ำขนาดเล็กและแหล่งน้ำเชื่อมโยงในพื้นที่ขนาดเล็ก กรมการปกครอง องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หน่วยงานทหาร และภาคประชาชน กำจัดได้ปริมาณ ๒,๒๓๙,๕๐๑ ตัน สรุปผลการปฏิบัติงานตามแผนการกำจัดผักตบชวาประจำปี ๒๕๕๙ ณ วันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๕๙ สามารถกำจัดได้จำนวน ๓,๖๕๔,๑๗๓ ตัน คิดเป็นร้อยละ ๖๔.๗๑ ๒. ให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีพิจารณาดำเนินการศึกษา ค้นคว้า และวิจัยวิธีการในการกำจัดวัชพืชในแหล่งน้ำโดยเฉพาะผักตบชวา เพื่อยับยั้งไม่ให้มีการแพร่พันธุ์เพิ่มขึ้นต่อไป ทั้งนี้ จะต้องไม่ส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศของแหล่งน้ำด้วย
|
|||||||||||||||||||||
407 | ข้อคิดเห็นของรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรี | อื่นๆ | 07/06/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบข้อคิดเห็นเกี่ยวกับการขับเคลื่อนนโยบายรัฐบาลและการบริหารราชการแผ่นดินของรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรี ดังนี้
๑. รองนายกรัฐมนตรี (พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง) รายงานว่า คณะกรรมการขับเคลื่อนและปฏิรูปการบริหารราชการแผ่นดิน คณะที่ ๑ (ด้านการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์และระบบการศึกษา) ได้จัดทำแผนการขับเคลื่อนและปฏิรูปด้านการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์และระบบการศึกษา ได้แก่ ๑.๑ ด้านการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ทุกช่วงวัย มีเป้าหมายให้คนไทยในอนาคตต้องมีศักยภาพเพียงพอ มีความมั่นคงในชีวิต มีครอบครัวที่อยู่ดีมีสุข ทุกภาคส่วนร่วมมือและรับผิดชอบต่อสังคม มีตัวชี้วัดในการประเมินและติดตาม ครอบคลุมเด็กและเยาวชน สตรีและครอบครัว คนพิการ ผู้สูงอายุ คนไร้ที่พึ่ง/ขอทาน/ผู้ด้อยโอกาส ๑.๒ ด้านการศึกษา มีเป้าหมายพัฒนาระบบการศึกษาที่มีคุณภาพและประสิทธิภาพ ประชากรทุกช่วงวัยเข้าถึงโอกาสและความเสมอภาค ผู้เรียนแต่ละระดับได้รับการพัฒนาขีดความสามารถ มีทรัพยากรและทุนเพียงพอ มีระบบบริหารและจัดการที่มีประสิทธิภาพ ๑.๓ ด้านแรงงาน มีเป้าหมายในการจัดหา คุ้มครอง พัฒนา และสร้างหลักประกันให้แก่แรงงาน เพื่อให้คนไทยมีงานทำ มีทักษะฝีมือ มีรายได้สูง ได้รับการคุ้มครองและมีหลักประกัน ๑.๔ ด้านปัจจัยแวดล้อม ประกอบด้วยด้านสังคม เช่น การเข้าสู่สังคมสูงวัยของโลก การพัฒนาศักยภาพและระดับคุณภาพชีวิตให้สอดคล้องกับทิศทางการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมฐานความรู้ ด้านเศรษฐกิจ เช่น การค้ามีแนวโน้มเปลี่ยนแปลงไปสู่การค้าเสรีมากขึ้น มีการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจ ด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยี เช่น การเข้าสู่ยุคอุตสาหกรรม ๔.๐ ด้านการบริหารจัดการภาครัฐ เช่น บทบาทประเทศมหาอำนาจในภูมิภาคอาเซียน การสรรหาและพัฒนาข้าราชการที่มีคุณภาพทดแทนข้าราชการที่เกษียณอายุ เป็นต้น ๒. รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) รายงานเกี่ยวกับการขับเคลื่อนงานด้านกฎหมาย ระบบราชการ กระบวนการยุติธรรม ได้แก่ ๒.๑ ด้านกฎหมาย ได้ดำเนินการเร่งรัดการออกกฎหมายโดยสภานิติบัญญัติแห่งชาติให้ความเห็นชอบแล้ว จำนวน ๑๗๒ ฉบับ และดำเนินการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าหรือเร่งด่วนทางบริหารหรือนิติบัญญัติ โดยออกเป็นคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติซึ่งใช้อำนาจตามความในมาตรา ๔๔ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ รวมทั้งขับเคลื่อนกฎหมายสำคัญทางด้านกฎหมายเศรษฐกิจ กฎหมายที่ออกตามพันธกรณีระหว่างประเทศ กฎหมายที่ลดความเหลื่อมล้ำ กฎหมายเกี่ยวกับสวัสดิการ มนุษยธรรมและแก้ปัญหาสังคม กฎหมายเกี่ยวกับการรักษาความสงบเรียบร้อย ๒.๒ ด้านระบบราชการ ได้ดำเนินการแก้ไขปัญหาระบบราชการ โดยให้มีการพิจารณาทบทวนความเหมาะสมของกฎหมายทุก ๕ ปีที่กฎหมายใช้บังคับ ตามพระราชกฤษฎีกาการทบทวนความเหมาะสมของกฎหมาย พ.ศ. ๒๕๕๘ รวมทั้งวางหลักเกณฑ์ในการจัดทำแบบตรวจสอบความจำเป็นในการตราพระราชบัญญัติ (Checklist) รวม ๑๐ ประการ และเพิ่มประสิทธิภาพในระบบราชการ โดยออกพระราชบัญญัติอำนวยความสะดวกในการพิจารณาอนุญาตของทางราชการ พ.ศ. ๒๕๕๘ ๒.๓ ด้านกระบวนการยุติธรรม ได้มีการเร่งรัดนำคดีที่คั่งค้างเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม แก้ไขปัญหาด้านวิธีพิจารณาคดีให้รวดเร็วขึ้น โดยแก้ไขให้มีการโอนคดีได้ การให้คดีแพ่งสิ้นสุดในศาลอุทธรณ์ ให้มีการจัดตั้งแผนกคดีค้ามนุษย์ ยาเสพติด และให้มีการจัดตั้งศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ รวมทั้งให้มีกองทุนยุติธรรมขึ้นเพื่อเป็นแหล่งเงินทุนสำหรับใช้จ่ายเกี่ยวกับการช่วยเหลือประชาชนในการดำเนินคดี ๓. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยรายงานว่า ตามที่ได้เกิดเหตุเพลิงไหม้อาคารในพื้นที่ต่าง ๆ เช่น กรณีการเกิดเพลิงไหม้อาคาร ๗ ชั้น บริเวณซอยนราธิวาสราชนครินทร์ ๑๘ กรุงเทพมหานคร และกรณีเพลิงไหม้ที่พักนักเรียนหญิง โรงเรียนพิทักษ์เกียรติวิทยา อำเภอเวียงป่าเป้า จังหวัดเชียงราย ก่อให้เกิดความเสียหายต่อร่างกาย ชีวิต และทรัพย์สินของประชาชนเป็นจำนวนมาก จากการตรวจสอบพบว่า อาคารที่เกิดเพลิงไหม้ส่วนใหญ่ไม่มีระบบป้องกันหรือระงับอัคคีภัย ซึ่งกระทรวงมหาดไทยได้มีมาตรการด้านต่าง ๆ เกี่ยวกับความปลอดภัยด้านอัคคีภัยในอาคาร ได้แก่ ๓.๑ มีกฎหมายเกี่ยวกับการควบคุมอาคารซึ่งจะบังคับใช้ในพื้นที่ที่กฎหมายกำหนด ๓.๒ การกำหนดประเภทของอาคารที่ต้องตรวจสอบ ๙ ประเภท เช่น อาคารสูง อาคารขนาดใหญ่พิเศษ อาคารชุมนุมคน ซึ่งจะต้องจัดให้มีการตรวจสอบอาคารทุกปีและตรวจสอบใหญ่ในทุก ๕ ปี ตลอดอายุการใช้งาน หากผลการตรวจสอบไม่ผ่านหลักเกณฑ์จะต้องปรับปรุงแก้ไขอาคารเพื่อให้มีความปลอดภัยต่อการใช้งานได้ตามเกณฑ์มาตรฐานต่อไป กรณีมีการฝ่าฝืนกฎหมายได้กำหนดบทลงโทษไว้ ๓.๓ พื้นที่นอกเขตควบคุมอาคารที่ต้องตรวจสอบมี ๔ ประเภท ได้แก่ อาคารสูง อาคารขนาดใหญ่พิเศษ อาคารชุมนุมคน และโรงมหรสพ ไม่ว่าจะตั้งอยู่ที่ใดให้ถือว่าเป็นพื้นที่บังคับใช้กฎหมายควบคุมอาคารด้วย ๓.๔ กระทรวงมหาดไทยได้สั่งการให้ทุกจังหวัดและกรุงเทพมหานครให้แจ้งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทุกแห่งให้สำรวจและแจ้งให้เจ้าของอาคารที่เข้าข่ายต้องตรวจสอบตามกฎหมายดำเนินการตรวจสอบอาคารให้แล้วเสร็จทั้งหมดโดยเร็ว และรายงานผลให้กระทรวงมหาดไทยทราบภายในเดือนกรกฎาคม ๒๕๕๙ ๓.๕ กรณีอาคารอื่น ๆ ที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง ดัดแปลงหรือรื้อถอนอาคาร ให้เจ้าพนักงานท้องถิ่นติดตามตรวจสอบให้เป็นไปตามกฎหมาย หากพบการกระทำฝ่าฝืนกฎหมายให้ดำเนินการตามอำนาจหน้าที่อย่างเคร่งครัดต่อไป ๓.๖ กรณีอาคารเก่าที่เป็นอาคารสาธารณะ หรืออาคารที่มีผู้ใช้สอยจำนวนมาก ให้เจ้าพนักงานท้องถิ่นสำรวจและตรวจสอบอาคาร หากพบว่ามีสภาพไม่ปลอดภัยให้สั่งให้แก้ไขอาคารหรือระบบอุปกรณ์ให้มีความปลอดภัยหรือห้ามใช้อาคารได้ ๓.๗ ให้กระทรวงมหาดไทยสั่งการทุกจังหวัดกำชับเจ้าพนักงานท้องถิ่นตรวจสอบอาคารอย่างสม่ำเสมอทุกปี โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลต่าง ๆ ที่อาจเกิดเหตุสาธารณภัย เช่น อัคคีภัยและวาตภัย ทั้งนี้ เพื่อให้การปฏิบัติงานเกิดประสิทธิภาพและเป็นไปในทิศทางเดียวกัน
|
|||||||||||||||||||||
408 | การเข้าร่วมโครงการ The ratification and early implementation of the Minamata Convention on Mercury | ทส | 31/05/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบในหลักการของบันทึกข้อตกลงโครงการ The ratification and early implementation of the Minamata Convention on Mercury ซึ่งเป็นการดำเนินการเพื่อประเมินกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการจัดการปรอท และการเข้าร่วมเป็นภาคีอนุสัญญามินามาตะว่าด้วยปรอท การประเมินผลกระทบและผลประโยชน์ รวมทั้งการวิเคราะห์กฎหมายที่จำเป็นสำหรับการเข้าร่วมเป็นภาคีอนุสัญญาฯ การจัดเตรียมแผนการเข้าร่วมเป็นภาคีอนุสัญญาฯ และการจัดประชุมหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับการเข้าร่วมเป็นภาคีอนุสัญญาฯ โดยหน่วยงาน United Nation Institute for Training and Research (UNITAR) จะให้การสนับสนุนงบประมาณในการดำเนินโครงการ ๒๐,๐๐๐ ดอลลาร์สหรัฐ ๑.๒ เห็นชอบให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเข้าร่วมดำเนินโครงการฯ และมอบหมายให้อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ เป็นผู้ลงนามฝ่ายไทยในบันทึกข้อตกลงโครงการฯ ๑.๓ หากมีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขร่างเอกสารดังกล่าวที่ไม่ใช่สาระสำคัญหรือไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของประเทศไทย และไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว ตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่เห็นควรพิจารณาเพิ่มหน่วยงานระดับชาติและองค์กรที่เกี่ยวข้องกับโครงการในภาคผนวก ๑ ให้ครอบคลุมหน่วยงานที่จะมีส่วนสำคัญในช่วงปฏิบัติการตามอนุสัญญาฯ เช่น องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ซึ่งมีหน้าที่บริหารจัดการขยะที่สามารถเป็นแหล่งปลดปล่อยปรอทที่สำคัญ ทั้งจากซากผลิตภัณฑ์ที่เติมปรอทที่หมดอายุแล้ว และนำมาทิ้งปะปนกับขยะชุมชน ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่เติมปรอทตามที่ระบุในข้อ ๔ และภาคผนวก A และจากการเผาไหม้ขยะชุมชน ตามที่ระบุในข้อ ๘ การปลดปล่อย และภาคผนวก D ของอนุสัญญาฯ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||
409 | ร่างแผนบริหารจัดการชายแดนด้านความมั่นคง (พ.ศ. 2559 - 2564) | นร08 | 31/05/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบร่างแผนบริหารจัดการชายแดนด้านความมั่นคง (พ.ศ. ๒๕๕๙-๒๕๖๔) ตามที่สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติเสนอ โดยมีสาระสำคัญสรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ วิสัยทัศน์ “พื้นที่ชายแดนเป็นพื้นที่ที่มีความมั่นคง ปลอดภัย และสามารถพัฒนาได้อย่างยั่งยืน” ๑.๒ แนวทางการดำเนินงานตามแผนฯ ได้แก่ (๑) จัดระบบป้องกันพื้นที่ชายแดน (๒) พัฒนาระบบการแจ้งเตือนภัยความมั่นคง (๓) จัดทำการเชื่อมโยงฐานข้อมูลการสัญจรข้ามแดนประกอบด้วยสินค้า และยานพาหนะ (๔) พัฒนาระบบการสัญจรข้ามแดนให้สามารถป้องกันและควบคุมการลักลอบเข้าเมือง และปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติ (๕) จัดระบบแรงงานต่างด้าวข้ามแดน (๖) พัฒนาระบบการตรวจโรคระบาดและระบบส่งต่อผู้ป่วยข้ามพรมแดน (๗) ดำเนินการจัดระเบียบพื้นที่ที่มีเงื่อนไขของปัญหาความมั่นคงหรือควบคุมการใช้พื้นที่ที่มีปัญหาเส้นเขตแดนทับซ้อน (๘) พัฒนาระบบการข่าว (๙) สนับสนุนและพัฒนาปฏิบัติการจิตวิทยาในพื้นที่ชายแดน และ (๑๐) จัดเฝ้าตรวจพื้นที่ชายฝั่งทะเล ๑.๓ กลไกการบริหารจัดการ ได้แก่ (๑) ระยะปีแรก (ปี ๒๕๕๙) ให้คณะอนุกรรมการพิจารณาแนวทางการบริหารจัดการชายแดนเพื่อรองรับการรวมเป็นประชาคมอาเซียนภายใต้คณะกรรมการร้อยกรองงานของสภาความมั่นคงแห่งชาติ เป็นหน่วยขับเคลื่อนการดำเนินการ และ (๒) ระยะตั้งแต่ปี ๒๕๖๐ เป็นต้นไป สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ โดยคณะกรรมการร้อยกรองงานของสภาความมั่นคงแห่งชาติ ประสานงานกระทรวง กรม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันกำหนดองค์ประกอบและอำนาจหน้าที่ของคณะทำงาน นำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบ/มอบหมายให้หน่วยรับผิดชอบดำเนินการต่อไป ๒. ให้สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติรับความเห็นของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรขยายการเชื่อมโยงฐานข้อมูลการสัญจรข้ามแดนไปยังฐานข้อมูลบุคคลข้ามแดน และควรพัฒนาระบบการตรวจโรคระบาดและระบบส่งต่อผู้ป่วยข้ามพรมแดนให้มีความครอบคลุมไปถึงการเก็บข้อมูลของบุคคลและอาการต่าง ๆ ที่อาจสงสัยว่าจะเป็นโรคระบาด รวมทั้งควรกำหนดหน่วยงานรับผิดชอบหลักที่มีความพร้อมทั้งบทบาท ภารกิจ บุคลากรและงบประมาณ เพื่อให้การดำเนินงานระหว่างหน่วยงานรับผิดชอบหลักและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งในระดับส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค และส่วนท้องถิ่น เป็นไปตามแผนดังกล่าวอย่างมีประสิทธิภาพ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||
410 | แผนปฏิบัติการเฝ้าระวัง ป้องกัน และควบคุมโรคติดต่อหรือโรคระบาด พ.ศ. 2559 - 2561 ตามพระราชบัญญัติโรคติดต่อ พ.ศ. 2558 | สธ | 24/05/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบแผนปฏิบัติการเฝ้าระวัง ป้องกัน และควบคุมโรคติดต่อหรือโรคระบาด พ.ศ. ๒๕๕๙-๒๕๖๑ ตามพระราชบัญญัติโรคติดต่อ พ.ศ. ๒๕๕๘ ประกอบด้วย วิสัยทัศน์ ประเทศไทยปลอดภัยจากโรคติดต่อด้วยระบบป้องกันและควบคุมโรคติดต่อที่มีประสิทธิภาพ ทันต่อสถานการณ์ และเป็นที่ยอมรับในระดับนานาชาติ ภายใต้ความร่วมมือของทุกภาคส่วนเพื่อนำไปสู่คุณภาพชีวิตที่ดีของประชาชนอย่างยั่งยืน และเป้าประสงค์ กวาดล้าง กำจัด ควบคุมโรคติดต่อสำคัญของประเทศด้วยระบบและเครือข่ายการทำงานที่เข้มแข็ง รวมทั้งการมีส่วนร่วมของประชาชน โดยมีแผนปฏิบัติการ ๔ ระบบหลัก คือ ระบบป้องกันโรคติดต่อ (Prevention) ระบบตรวจจับภัยจากโรคติดต่อ (Detection) ระบบควบคุมโรคติดต่อและตอบสนองต่อปัญหา (Response) และระบบสนับสนุนการดำเนินงานด้านโรคติดต่อ (Support) ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ ๒. ส่วนงบประมาณในการดำเนินการให้เป็นไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณ โดยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องบูรณาการการดำเนินงานและนำแผนปฏิบัติการดังกล่าวไปใช้เป็นกรอบในการจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ โดยคำนึงถึงหลักความประหยัดและความคุ้มค่า ตลอดจนสนับสนุนการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน ซึ่งรวมถึงภาคเอกชน ภาคประชาชน และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อร่วมแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายและเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินการตามแผนปฏิบัติการดังกล่าว สำหรับค่าใช้จ่ายที่อาจเกิดขึ้นในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ ภายใต้แผนปฏิบัติการดังกล่าว ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องใช้จ่ายจากการปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ ไปดำเนินการ ส่วนค่าใช้จ่ายในปีงบประมาณต่อ ๆ ไป ให้เสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป ๓. ให้กระทรวงสาธารณสุขพิจารณาถึงความเชื่อมโยงสอดคล้องกับแผนงานและโครงการภายใต้แผนยกระดับความมั่นคงและความเป็นเลิศด้านควบคุมโรค พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๔ ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบในหลักการเมื่อวันที่ ๑๒ มกราคม ๒๕๕๙ เพื่อลดความซ้ำซ้อนในการดำเนินงานและการใช้งบประมาณ ตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ |
|||||||||||||||||||||
411 | สรุปผลการพิจารณาดำเนินการตามรายงานผลการพิจารณาคำร้องเพื่อเสนอแนะนโยบายหรือข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมาย เรื่อง สิทธิของแรงงานข้ามชาติ | รง | 16/05/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการพิจารณาดำเนินการตามรายงานผลการพิจารณาคำร้องเพื่อเสนอแนะนโยบายหรือข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมาย เรื่อง สิทธิของแรงงานข้ามชาติ ของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ซึ่งกระทรวงแรงงานได้มีการจัดทำแผนการจ้างแรงงานในรายสาขาการผลิตหรือบริการ การประสานความร่วมมือและอำนวยความสะดวกเพื่อหางานใหม่ให้แรงงานข้ามชาติทำ การบูรณาการร่วมกับส่วนราชการอื่นในระดับจังหวัด และจัดบริการร่วมกับศูนย์ดำรงธรรมของจังหวัดในการแก้ไขปัญหาแรงงานต่างด้าวหรือแรงงานข้ามชาติ เพื่อดูแลแรงงานให้ครอบคลุมทุกมิติ โดยไม่เลือกปฏิบัติ การประสานกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเพื่อช่วยเหลือในเรื่องส่งแรงงานต่างด้าวหรือแรงงานข้ามชาติกลับออกไปนอกราชอาณาจักร การประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อร่วมมือในการช่วยเหลือด้านที่พักพิง การเดินทางไปศาลหรือความจำเป็นอื่นสำหรับแรงงานข้ามชาติ การจัดทำสื่อ Digital แผ่นพับ สื่อสิ่งพิมพ์ต่าง ๆ ในการประชาสัมพันธ์บทบาท ภารกิจ และอำนาจหน้าที่ของกระทรวงแรงงาน กฎหมายที่เกี่ยวข้องสำหรับแรงงานข้ามชาติในปัจจุบัน และสิทธิประโยชน์ที่พึงมีพึงได้ การให้บริการสายด่วนสำหรับการจดทะเบียนต่างด้าวหรือแรงงานข้ามชาติ รวมทั้งศึกษาข้อดีข้อเสียต่าง ๆ ในบริบทของไทย โดยเฉพาะผลกระทบและสถานการณ์การให้ความคุ้มครองสิทธิแรงงานข้ามชาติ ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ และแจ้งให้สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติทราบต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
412 | รายงานผลการพิจารณาศึกษาข้อเสนอแนะเพื่อการปฏิรูปตามมาตรา 31 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (เรื่อง แนวทางการปฏิรูป การกระจายอำนาจและการปกครองท้องถิ่น) | มท | 16/05/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการพิจารณาตามข้อเสนอแนะเพื่อการปฏิรูปตามมาตรา ๓๑ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย เรื่อง แนวทางการปฏิรูปการกระจายอำนาจและการปกครองท้องถิ่น ซึ่งกระทรวงมหาดไทย โดยกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นได้จัดประชุมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้ว ส่วนใหญ่เห็นด้วยกับข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการปฏิรูปการกระจายอำนาจ การปฏิรูปโครงสร้างและอำนาจหน้าที่ของการปกครองท้องถิ่น การปฏิรูปการกำกับ ตรวจสอบ และการมีส่วนร่วมของประชาชนในการปกครองท้องถิ่น การปฏิรูปการเงินการคลังท้องถิ่น และการปฏิรูปการบริหารงานบุคคลท้องถิ่น ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของสำนักงาน ก.พ.ร. ที่เห็นควรมีการศึกษาและพิจารณาโครงสร้าง บทบาทและภารกิจของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในภาพรวมทั้งระบบอย่างรอบด้าน รวมทั้งพัฒนาและส่งเสริมให้ประชาชน ชุมชน และภาคประชาสังคมเข้ามามีส่วนร่วมในการดำเนินงานและตรวจสอบการทำงานขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในทุกระดับอย่างแท้จริง เพื่อให้การกระจายอำนาจและส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นสำเร็จผลเป็นรูปธรรม องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีความเข้มแข็ง มีธรรมาภิบาล โดยสามารถบริหารงานและทำหน้าที่เป็นหน่วยงานหลักในการจัดทำบริการสาธารณะแก่ประชาชนได้อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการต่อไปด้วย ๒. ให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีส่งรายงานผลการพิจารณาดังกล่าวของกระทรวงมหาดไทยให้คณะกรรมการประสานงาน รวม ๓ ฝ่าย (คณะรัฐมนตรี สภานิติบัญญัติแห่งชาติ และสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ) เพื่อพิจารณาความสอดคล้องและความเหมาะสมกับการปฏิรูปประเทศต่อไป และแจ้งสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติในฐานะฝ่ายเลขานุการร่วมคณะกรรมการจัดทำยุทธศาสตร์ชาติเพื่อดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป |
|||||||||||||||||||||
413 | ข้อคิดเห็นของรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรี | นร | 16/05/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) และรองนายกรัฐมนตรี (พลเรือเอก ณรงค์ พิพัฒนาศัย) รายงานข้อคิดเห็นเกี่ยวกับการขับเคลื่อนนโยบายรัฐบาลและการบริหารราชการแผ่นดิน ดังนี้
๑. รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) รายงานการลงพื้นที่เพื่อตรวจติดตามการปฏิบัติราชการในภูมิภาค เขตตรวจราชการที่ ๒ (จังหวัดลพบุรี ชัยนาท สิงห์บุรี และอ่างทอง) เมื่อวันที่ ๑๓ พฤษภาคม ๒๕๕๙ สรุปได้ว่า ๑.๑ ได้ตรวจพื้นที่ป่าจำปีสิรินธรตามโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี พบว่า ประสบปัญหาภัยแล้งส่งผลให้ต้นไม้ล้มตายจำนวนมาก จึงได้สั่งการให้ขุดเจาะบ่อบาดาลพร้อมติดตั้งระบบสูบน้ำด้วยพลังงานแสงอาทิตย์เพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าวแล้ว ๑.๒ พบปะและทำความเข้าใจกับประชาชนให้รับทราบความตั้งใจของรัฐบาลในการสร้างความสงบสุขและการช่วยเหลือประชาชนให้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นตามนโยบายประชารัฐ ๑.๓ กรมทรัพยากรน้ำได้บูรณาการร่วมกับกรมทรัพยากรน้ำบาดาล กรมชลประทาน กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อสูบน้ำจากเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ส่งไปยังอ่างเก็บน้ำในพื้นที่ ๖ ตำบลของอำเภอท่าหลวง จังหวัดลพบุรี และป่าจำปีสิรินธร โดยไม่ส่งผลกระทบต่อผู้ใช้น้ำเดิม จากการดำเนินการดังกล่าวทำให้ป่าจำปีสิรินธรสามารถกลับมาสมบูรณ์มากขึ้นและสามารถนำน้ำช่วยเหลือประชาชนที่ขาดแคลน รวมทั้งช่วยเพิ่มพื้นที่การปลูกพืชใช้น้ำน้อยของประชาชนได้ไม่น้อยกว่า ๔๐,๐๐๐ ไร่ ๒. รองนายกรัฐมนตรี (พลเรือเอก ณรงค์ พิพัฒนาศัย) รายงานการลงพื้นที่เพื่อตรวจติดตามการปฏิบัติราชการในภูมิภาค เขตตรวจราชการที่ ๗ (จังหวัดพังงา) เมื่อวันที่ ๑๑-๑๒ พฤษภาคม ๒๕๕๙ สรุปได้ว่า ๒.๑ ปัญหาภัยแล้งที่อำเภอเกาะยาวและอำเภอคุระบุรี ทางจังหวัดได้มีการดำเนินการบรรเทาปัญหา โดยใช้พื้นที่ขุมเหมืองเป็นแหล่งกักเก็บน้ำ ๒.๒ ปัญหาการทำประมงพื้นบ้าน ซึ่งชาวประมงในพื้นที่เกาะยาวใหญ่และเกาะยาวน้อยได้รับผลกระทบจากพระราชกำหนดการประมง พ.ศ. ๒๕๕๘ ที่บัญญัติให้การทำการประมงโดยใช้เรือประมงที่มีขนาดเกิน ๑๐ ตันกรอสขึ้นไป ให้เดินเรือห่างฝั่งนับจากแนวชายฝั่งทะเลออกไปสามไมล์ทะเล ทำให้ไม่สามารถจับปลากะตักในเขตทะเลชายฝั่งได้ จึงได้ขอให้กรมประมงพิจารณากำหนดเขตทะเลชายฝั่งบริเวณพื้นที่เกาะยาวใหญ่และเกาะยาวน้อยให้เป็นเขตพิเศษ เพื่อให้สามารถทำประมงพื้นบ้านและจับปลากะตักได้ต่อไป ๒.๓ ปัญหาชาวประมงใช้เครื่องมือประมงผิดกฎหมาย เช่น โป๊ะน้ำตื้น ซึ่งเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องได้ทำการรื้อถอนทำลายจนเหลือเพียง ๕๐ ปาก และได้หาเครื่องมือชนิดอื่นเพื่อเยียวยาชาวประมงแล้ว ๒.๔ การเก็บค่าธรรมเนียมเข้าอุทยานแห่งชาติ ซึ่งเดิมกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืชจะต้องนำรายได้จากการเก็บค่าธรรมเนียมร้อยละ ๕ ส่งให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และที่ผ่านมานักท่องเที่ยวได้เข้าชมอุทยานแห่งชาติทางทะเลเป็นจำนวนมากส่งผลให้รายได้จากการเก็บค่าธรรมเนียมเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจึงขอให้มีการแบ่งค่าธรรมเนียมดังกล่าวในสัดส่วนที่เพิ่มขึ้นเพื่อนำมาใช้แก้ปัญหาต่าง ๆ เช่น บำบัดน้ำเสีย กำจัดขยะมูลฝอย ปรับปรุงท่าเรือ
|
|||||||||||||||||||||
414 | ข้อคิดเห็นของรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรี | นร | 10/05/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบตามที่รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร) รองนายกรัฐมนตรี (พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง) รองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศรายงานข้อคิดเห็นเกี่ยวกับการขับเคลื่อนนโยบายรัฐบาลและการบริหารราชการแผ่นดิน ดังนี้ ๑.๑ รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) รายงานว่า ๑.๑.๑ การแก้ไขปัญหาการซื้อขายข้าวโพดบนภูเขาหัวโล้น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ร่วมกันตรวจสอบและกำกับดูแลไม่ให้มีการซื้อขายข้าวโพดบนภูเขาแต่ละแห่ง เพื่อเป็นการแก้ไขปัญหาการบุกรุกพื้นที่ป่า ซึ่งเป็นการสนับสนุนนโยบายของรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาภูเขาหัวโล้นอีกทางหนึ่งด้วย ๑.๑.๒ การจัดการขยะมูลฝอยและของเสียอันตราย กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ร่วมกันบูรณาการจัดการขยะมูลฝอยและของเสียอันตราย ประกอบด้วย (๑) รณรงค์และสนับสนุนการลดการใช้ถุงพลาสติก (๒) จัดทำโครงการความร่วมมือ “บัตรเดียวเที่ยวทั่วไทย” ที่เป็นระบบการสะสมคะแนนสำหรับซื้อสินค้าที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมในร้านค้าหรือห้างสรรพสินค้านำร่อง (๓) การสร้างระบบการจัดการขยะเพื่อผลิตเป็นเชื้อเพลิงขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (๔) คัดเลือกพื้นที่เป็นศูนย์รวบรวมของเสียอันตรายชุมชนของจังหวัด (๕) การจัดนิทรรศการภายใต้โครงการ “เมืองสะอาดคนในชาติมีสุข” (๖) การกลั่นกรองแผนปฏิบัติการเพื่อจัดการคุณภาพสิ่งแวดล้อมในระดับจังหวัด ประจำปี พ.ศ. ๒๕๖๐ และ (๗) การเตรียมการทำโครงการสร้างโรงไฟฟ้าจากระบบการจัดการขยะเพื่อผลิตเป็นเชื้อเพลิงในพื้นที่ทหาร ๑.๒ รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร) รายงานเกี่ยวกับการส่งเสริมการท่องเที่ยวทางน้ำ โดยเฉพาะโรงแรม ร้านอาหาร และสถานที่ท่องเที่ยวที่ตั้งอยู่บริเวณริมแม่น้ำเจ้าพระยา ซึ่งปัจจุบันได้มีการฟื้นฟูสภาพลำน้ำให้กลับมาเป็นที่นิยม โดยเฉพาะในกลุ่มนักท่องเที่ยวต่างชาติ รวมทั้งได้รับความชื่นชมจากสื่อสิ่งพิมพ์ต่างประเทศเป็นอย่างมาก จึงเป็นโอกาสอันดีที่หน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องจะร่วมกันส่งเสริมประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยวทางน้ำบริเวณลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาให้ขยายตัวมากยิ่งขึ้น ๑.๓ รองนายกรัฐมนตรี (พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง) รายงานว่า ในวันจันทร์ที่ ๒๓ พฤษภาคม ๒๕๕๙ จะมีการประชุมสัมมนา “การขับเคลื่อนและปฏิรูปประเทศไทยแบบบูรณาการ” ณ โรงแรมเซ็นทารา ศูนย์ประชุมวายุภักดิ์ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ โดยในงานดังกล่าวจะมีการปาฐกถาพิเศษ ได้แก่ (๑) การขับเคลื่อนและปฏิรูปประเทศไทยแบบบูรณาการเพื่อคนไทยทุกคน โดยนายกรัฐมนตรี (๒) การขับเคลื่อนและปฏิรูปประเทศไทยด้วยรากฐานความมั่นคง โดยรองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) และ (๓) การขับเคลื่อนและปฏิรูปประเทศไทยด้วยกลไก “ประชารัฐ” โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีจะได้มอบนโยบายเรื่อง “บูรณาการเพื่อนำประเทศไทยสู่ความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน” ทั้งนี้ งานดังกล่าวจัดขึ้นโดยความร่วมมือระหว่างสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และกระทรวงมหาดไทย ๑.๔ รองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) รายงานว่า ในปี ค.ศ. ๒๐๑๖ รายงานดัชนีความมั่นใจในการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (Foreign Direct Investment Confidence Index) ซึ่งเผยแพร่โดยบริษัทที่ปรึกษา A.T. Kearney ได้จัดประเทศไทยให้อยู่ในอันดับที่ ๒๑ ของโลก และอันดับที่ ๗ ของทวีปเอเชีย ซึ่งเป็นผลมาจากนโยบายของรัฐบาลที่เปิดรับการลงทุนจากต่างประเทศ แนวโน้มเศรษฐกิจที่มีเสถียรภาพจากภาคการท่องเที่ยวที่แข็งแกร่ง และมาตรการจูงใจนักลงทุนในอุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีสูง ๑.๕ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ รายงานว่า ได้เดินทางเยือนเมียนมาอย่างเป็นทางการระหว่างวันที่ ๘-๙ พฤษภาคม ๒๕๕๙ โดยได้เข้าพบกับประธานาธิบดี อู ถิ่น จ่อ ณ ทำเนียบประธานาธิบดี และได้เข้าพบนางออง ซาน ซูจี ที่ปรึกษาแห่งรัฐและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของเมียนมาด้วย โดยได้หารือถึงความร่วมมือของทั้งสองประเทศเพื่อประโยชน์แก่ประชาชนของทั้งสองประเทศและภูมิภาค นอกเหนือจากโครงการเขตเศรษฐกิจพิเศษทวายแล้ว เมียนมายังให้ความสนใจกับความร่วมมือไตรภาคีในด้านต่าง ๆ เช่น การศึกษา ทั้งนี้ ได้เชิญนายอู ถิ่น จ่อ และนางออง ซาน ซูจี มาเยือนไทยอย่างเป็นทางการด้วย โดยคาดว่าจะมีกำหนดการเยือนไทยในเดือนมิถุนายน ๒๕๕๙ ๒. รับทราบตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) รายงานเกี่ยวกับการจัดงานสำคัญ เนื่องในโอกาสมหามงคล รวม ๒ งาน ในปีนี้ ซึ่งนายกรัฐมนตรีเป็นประธานคณะกรรมการอำนวยการจัดงานดังกล่าว และให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการตามกรอบระยะเวลาที่กำหนดต่อไป ได้แก่ ๒.๑ งานฉลองสิริราชสมบัติ ๗๐ ปี กำหนดขอบเขตงานระหว่างวันที่ ๙ มิถุนายน ๒๕๕๙-๙ มิถุนายน ๒๕๖๐ โดยงานดังกล่าวไม่มีพระราชพิธี แต่มีรัฐพิธี ศาสนพิธี และพิธีทั่วไป รวมทั้งมีการจัดกิจกรรม เช่น กิจกรรมของกระทรวงวัฒนธรรม นิทรรศการเจริญพระราชไมตรี พัฒนาแหล่งน้ำเฉลิมพระเกียรติ และการจัดทำจดหมายเหตุ เป็นต้น ๒.๒ งานเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๗ รอบ ๑๒ สิงหาคม ๒๕๕๙ ขอบเขตงานระหว่างวันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๙-๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๙ โดยมีพระราชพิธี รัฐพิธี ศาสนพิธี และพิธีทั่วไป รวมทั้งมีการจัดกิจกรรม เช่น ปรับปรุงศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ และจัดสร้างสวนป่าในพื้นที่โรงงานยาสูบเดิม สร้างพระพุทธรูปประจำพระชนมพรรษาทองคำปางลีลา (ยกพระหัตถ์ขวา) ถวาย โครงการเฉลิมพระเกียรติอาคารสถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี ถวายหุ่นจำลองพิพิธภัณฑ์ไม้มีค่า และการจัดทำจดหมายเหตุ เป็นต้น ทั้งนี้ จะมีการจัดกิจกรรมร่วมสำหรับ ๒ งาน เช่น บรรพชาอุปสมบท ๗๗๐ รูป คณะรัฐมนตรีตักบาตรรอบวัดพระศรีรัตนศาสดาราม การเจริญพระพุทธมนต์ทั่วประเทศ การถวายพระพรของทุกศาสนา การวางศิลาฤกษ์พิพิธภัณฑ์ไม้มีค่า การสร้างเรือนยอดบรมมังคลานุสรณีย์ นิทรรศการ ๔ ภาค “บัวบาทยาตรา” (เปิดแห่งแรกที่พระราชนิเวศน์มฤคทายวัน) ภาพยนตร์สั้น “ค่าของแผ่นดิน” และโครงการเยาวชนอาเซียนเรียนรู้ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง เป็นต้น รวมทั้งจะเชิญชวนหน่วยงานภาครัฐ เอกชน และประชาชนประดับธงและตราสัญลักษณ์ของงานสำคัญทั้งสองงานดังกล่าวคู่กันด้วย
|
|||||||||||||||||||||
415 | แผนแม่บทการบริหารจัดการขยะมูลฝอยของประเทศ (พ.ศ. 2559 - 2564) | ทส | 03/05/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบผลการดำเนินงานตาม Road Map การจัดการขยะมูลฝอยและของเสียอันตราย โดยมีสาระสำคัญเกี่ยวกับการกำจัดขยะมูลฝอยตกค้างสะสมในสถานที่กำจัดขยะมูลฝอย การสร้างรูปแบบการจัดการขยะมูลฝอยและของเสียอันตรายที่เหมาะสม การวางระเบียบมาตรการการบริหารจัดการขยะมูลฝอยและของเสียอันตราย และการสร้างวินัยของคนในการจัดการขยะมูลฝอย ๑.๒ เห็นชอบแผนแม่บทการบริหารจัดการขยะมูลฝอยของประเทศ (พ.ศ. ๒๕๕๙-๒๕๖๔) โดยมีกรอบแนวคิดในการลดการเกิดขยะมูลฝอยหรือของเสียอันตรายที่แหล่งกำเนิด การนำของเสียกลับมาใช้ซ้ำและใช้ประโยชน์ใหม่ ณ แหล่งกำเนิดตามหลักการ 3Rs (Reduce, Reuse, Recycle) เพื่อให้เกิดการจัดการขยะมูลฝอยอย่างยั่งยืน การส่งเสริมการกำจัดขยะมูลฝอยและของเสียอันตรายแบบศูนย์รวม โดยใช้เทคโนโลยีแบบผสมผสานและการแปรรูปผลิตพลังงานอย่างเหมาะสม และความรับผิดชอบและการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนในการจัดการขยะมูลฝอยและของเสียอันตราย ๑.๓ มอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยกำกับดูแลให้จังหวัดและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจัดทำแผนการบริหารจัดการขยะมูลฝอยของจังหวัดให้สอดคล้องกับแผนแม่บทการบริหารจัดการขยะมูลฝอยของประเทศ (พ.ศ. ๒๕๕๙-๒๕๖๔) และจัดทำแผนปฏิบัติการเพื่อการจัดการคุณภาพสิ่งแวดล้อมในระดับจังหวัด เพื่อขอตั้งงบประมาณรายปีในการจัดการขยะมูลฝอยและของเสียอันตรายต่อไป ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรมีการบูรณาการการดำเนินงานร่วมกันของหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชน เพื่อขับเคลื่อนแผนไปสู่การปฏิบัติได้อย่างเป็นรูปธรรม และให้มีการติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผลสัมฤทธิ์ของการดำเนินงานจัดการขยะมูลฝอยของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง สำหรับในส่วนที่เกี่ยวกับการงบประมาณ ให้จัดทำงบประมาณในลักษณะบูรณาการเชิงยุทธศาสตร์ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ กรณีการบริหารจัดการขยะและสิ่งแวดล้อมให้ครอบคลุมครบถ้วน ทั้งหน่วยงานเจ้าภาพและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งงบประมาณของแต่ละแนวทาง ตลอดจนมีความสอดคล้องกับปฏิทินงบประมาณอย่างเคร่งครัด และให้ความสำคัญกับการส่งเสริมให้ประชาชนและชุมชนเข้ามามีส่วนร่วมดำเนินการควบคู่ไปกับการสร้างความตระหนักและจิตสำนึกในการจัดการขยะมูลฝอย การติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์ของการดำเนินงานตามแผนแม่บทฯ โดยการกำหนดตัวชี้วัดความสำเร็จทั้งในระดับประเทศและในระดับจังหวัดเพื่อให้ทราบถึงการบรรลุเป้าหมายการดำเนินงานการจัดการขยะมูลฝอยและของเสียอันตราย ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมหารือร่วมกับกระทรวงมหาดไทยจัดทำแผนแม่บทการบริหารจัดการขยะมูลฝอยของประเทศระยะสั้น (พ.ศ. ๒๕๕๙-๒๕๖๐) และให้เร่งรัดการดำเนินการโครงการเกี่ยวกับการบริหารจัดการขยะมูลฝอยทั้งในพื้นที่นำร่องและในระดับชุมชนและหมู่บ้านภายใต้ Road Map การจัดการขยะมูลฝอยและของเสียอันตรายที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติได้มีมติเห็นชอบเมื่อวันที่ ๒๖ สิงหาคม ๒๕๕๗ ให้เกิดผลเป็นรูปธรรมโดยเร็ว โดยเฉพาะในพื้นที่ของส่วนราชการเป็นลำดับแรก เพื่อให้ประชาชนในพื้นที่รับรู้ถึงผลสัมฤทธิ์และตระหนักถึงความสำคัญเกี่ยวกับการบริหารจัดการขยะมูลฝอย รวมทั้งให้รับความเห็นของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยเกี่ยวกับการดำเนินการเพื่อให้เป็นไปตามเป้าหมายของแผนแม่บทดังกล่าวมีความจำเป็นต้องใช้งบประมาณในการดำเนินการเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก ซึ่งปัจจุบันเงินรายได้ที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจัดเก็บและเงินอุดหนุนจากรัฐบาลไม่เพียงพอ และจำเป็นที่จะต้องได้รับการสนับสนุนงบประมาณเพิ่มขึ้น ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||
416 | รายงานผลการดำเนินการตามข้อสังเกตและข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการการเศรษฐกิจ การเงินและการคลัง สภานิติบัญญัติแห่งชาติ เรื่อง แนวทางการเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บรายได้ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น | มท | 03/05/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการตามข้อสังเกตและข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการการเศรษฐกิจการเงินและการคลัง สภานิติบัญญัติแห่งชาติ เรื่อง แนวทางการเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บรายได้ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดยมีผลการพิจารณาในประเด็นต่าง ๆ เช่น การพิจารณาปรับฐานราคาปานกลางที่ดินและลดการใช้ดุลพินิจของเจ้าหน้าที่ลง การปรับปรุงอัตราภาษีป้ายให้ทันสมัย การพัฒนาและปรับปรุงการจัดเก็บภาษีให้ท้องถิ่นใด้มีสัดส่วนที่สูงขึ้น และการปรับปรุงภาษีและค่าธรรมเนียมอื่น ๆ ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติทราบต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
417 | การให้สิทธิพิเศษประเภทไม่บังคับแก่กรมวิชาการเกษตร ในการจำหน่ายพันธุ์พืชและปัจจัยการผลิต | กค | 26/04/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้กรมวิชาการเกษตรได้รับสิทธิพิเศษประเภทไม่บังคับ ในการจำหน่ายเมล็ดพันธุ์พืชและปัจจัยการผลิต โดยให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หน่วยงานตามกฎหมายว่าด้วยการบริหารราชการส่วนท้องถิ่น หน่วยงานอื่นซึ่งมีกฎหมายบัญญัติให้มีฐานะเป็นราชการบริหารส่วนท้องถิ่น หรือหน่วยงานอื่นของรัฐที่ประสงค์จะจัดซื้อเมล็ดพันธุ์พืชหรือปัจจัยการผลิต สามารถติดต่อขอซื้อจากกรมวิชาการเกษตรได้โดยตรง ทั้งนี้ สิทธิพิเศษในการจำหน่ายเมล็ดพันธุ์พืชและปัจจัยการผลิต นั้น มีความหมายครอบคลุม ดังนี้
๑. พันธุ์พืช หมายถึง พันธุ์พืชไร่ พืชสวน และปัจจัยการผลิตที่ได้จากผลงานวิจัยของกรมวิชาการเกษตร ซึ่งพันธุ์พืช หมายความถึง ส่วนที่ใช้ในการขยายพันธุ์ เช่น เมล็ดพันธุ์ ท่อนพันธุ์ ต้นพันธุ์ หัวพันธุ์ หน่อพันธุ์ เป็นต้น ๒. ปัจจัยการผลิต หมายถึง ผลิตภัณฑ์ชีวินทรีย์ป้องกันกำจัดศัตรูพืช ปุ๋ยชีวภาพ ชุดตรวจสอบเชื้อชีวินทรีย์ เป็นต้น |
|||||||||||||||||||||
418 | ขออนุมัติแผนยุทธศาสตร์การควบคุมยาสูบแห่งชาติ ฉบับที่สอง พ.ศ. 2559 - 2562 | สธ | 19/04/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติแผนยุทธศาสตร์การควบคุมยาสูบแห่งชาติ ฉบับที่สอง พ.ศ. ๒๕๕๙-๒๕๖๒ ประกอบด้วย ๖ ยุทธศาสตร์ ได้แก่ (๑) สร้างเสริมความเข้มแข็งและพัฒนาขีดความสามารถในการควบคุมยาสูบของประเทศ (๒) ป้องกันมิให้เกิดผู้เสพยาสูบรายใหม่และเฝ้าระวังธุรกิจยาสูบที่มุ่งเป้าไปยังเด็ก เยาวชน และนักสูบหน้าใหม่ (๓) ช่วยผู้เสพให้เลิกใช้ยาสูบ (๔) ควบคุมและเปิดเผยส่วนประกอบผลิตภัณฑ์ยาสูบ (๕) ทำสิ่งแวดล้อมให้ปลอดควันบุหรี่ และ (๖) ใช้มาตรการทางภาษีและปราบปรามเพื่อควบคุมยาสูบ ๑.๒ เห็นชอบให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องถือปฏิบัติตามแผนยุทธศาสตร์ฯ และให้จัดทำแผนปฏิบัติการและงบประมาณรองรับแผนยุทธศาสตร์ฯ ไว้ในแผนปฏิบัติราชการประจำปี ๑.๓ เห็นชอบให้สำนักงบประมาณและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาให้ความสำคัญในการจัดสรรงบประมาณเพื่อดำเนินงานและบริหารจัดการเพื่อให้เป็นไปตามแผนยุทธศาสตร์ฯ ๒. ให้กระทรวงสาธารณสุขรับความเห็นของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงมหาดไทย และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการจัดทำความตกลงเพื่อการส่งเสริมและคุ้มครองการลงทุนระหว่างไทยกับประเทศต่าง ๆ ในระยะแรกไม่มีการระบุถึงข้อยกเว้นที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพสาธารณะไว้อย่างชัดเจน ดังนั้น การออกนโยบายหรือมาตรการเกี่ยวข้องกับการควบคุมยาสูบ จึงต้องระมัดระวังเพื่อมิให้กระทบสิทธิของนักลงทุนที่ได้รับภายใต้ความตกลงเหล่านั้น ในส่วนของแผนดังกล่าวต้องได้รับความร่วมมือกับทั้งภาครัฐและเอกชนเพื่อให้เกิดการบูรณาการหลาย ๆ ด้านจากทุกภาคส่วน และการแก้ไขชื่อหน่วยงานที่ระบุไว้ในแผนจาก “สำนักงานส่งเสริมสวัสดิภาพและพิทักษ์เด็ก เยาวชน ผู้ด้อยโอกาส และผู้สูงอายุ (สท.)” เป็น “กรมกิจการเด็กและเยาวชน (ดย.)” เนื่องจากกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ได้มีการปรับโครงสร้างใหม่ รวมทั้งการเพิ่มหน่วยงานของกระทรวงมหาดไทย ประกอบด้วย กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นไว้ในยุทธศาสตร์ที่ ๒ และกรมการพัฒนาชุมชนไว้ในยุทธศาสตร์ที่ ๕ ตลอดจนการปรับกรอบระยะเวลาของ (ร่าง) แผนยุทธศาสตร์ฯ ให้สอดคล้องกับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ ๑๒ พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๔ และการขยายสาระในเรื่องการทำสิ่งแวดล้อมให้ปลอดควันบุหรี่ภายใต้ยุทธศาสตร์ที่ ๕ ให้ครอบคลุมผลิตภัณฑ์ยาสูบไร้ควัน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||
419 | รายงานผลการดำเนินการตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (แบ่งส่วนราชการในกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์) | สว | 19/04/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (แบ่งส่วนราชการในกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์) ซึ่งมีข้อสังเกตเกี่ยวกับการส่งเสริมสนับสนุนหรือกระจายงานด้านการให้บริการแก่ประชาชนไปยังองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นหรือภาคประชาชนได้อย่างทั่วถึงและมีประสิทธิภาพ รวมทั้งการบรรจุและแต่งตั้งคนพิการเข้าเป็นบุคลากรเช่นเดียวกับสถานประกอบการของเอกชน ๒. รับทราบรายงานผลการดำเนินการตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ ว่า ทุกส่วนราชการได้ดำเนินการส่งเสริมการจัดสวัสดิการสังคม การพัฒนาสังคม และการสังคมสงเคราะห์แก่ประชาชนกลุ่มเป้าหมาย โดยการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน และมีกองทุนตามกฎหมายที่มีวัตถุประสงค์ส่งเสริม สนับสนุน การจัดบริการสังคมแก่ประชาชน ตลอดจนมีกลไกการทำงานที่ประกอบด้วยองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และผู้แทนภาคประชาชนร่วมเป็นคณะกรรมการ คณะอนุกรรมการ และคณะทำงานขับเคลื่อน รวมทั้งมีการส่งเสริมการจัดตั้งศูนย์บริการคนพิการประจำจังหวัด และการกระจายบริการไปยังท้องถิ่นให้ประชาชนสามารถเข้าถึงบริการได้สะดวกยิ่งขึ้น มีการจ้างงานคนพิการ และจัดสิ่งอำนวยความสะดวกแก่คนพิการ สำหรับการบรรจุและแต่งตั้งคนพิการเข้าทำงานส่วนราชการ นั้น สามารถดำเนินการได้ ๒ แนวทาง คือ การบรรจุเข้ารับราชการเป็นข้าราชการพลเรือนสามัญ และการจ้างเป็นพนักงานราชการ ซึ่ง สำนักงาน ก.พ. ได้ปรับปรุงหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการสรรหาและเลือกสรรคนพิการเข้าทำงานในส่วนราชการเสร็จเรียบร้อยแล้ว ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติทราบต่อไป |
|||||||||||||||||||||
420 | ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | นร | 19/04/2559 | ||||||||||||||||||
ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการ ดังนี้
๑. ด้านเศรษฐกิจ ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๑๒ มกราคม ๒๕๕๙ รับทราบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอเกี่ยวกับการสนับสนุนการขับเคลื่อนนโยบายที่จะใช้กลไกประชารัฐในการขับเคลื่อนการบริหารราชการแผ่นดินโดย ๑๒ คณะภาคธุรกิจ และให้ทุกส่วนราชการขับเคลื่อนการดำเนินนโยบายต่าง ๆ โดยใช้กลไกประชารัฐในการขับเคลื่อนตามแนวทางที่นายกรัฐมนตรีเสนอ นั้น เพื่อเป็นการสนับสนุนการขับเคลื่อนการดำเนินงานของคณะภาคธุรกิจทั้ง ๑๒ คณะ ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ๑.๑ มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) ร่วมกับทุกส่วนราชการรวบรวมกิจกรรมที่ต้องดำเนินการและพิจารณาจัดลำดับความสำคัญของกิจกรรมดังกล่าวโดยจัดทำเป็นแผนการดำเนินการให้ชัดเจน ทั้งนี้ โครงการที่มีความสำคัญเร่งด่วนให้เริ่มดำเนินการภายในปี ๒๕๕๙-๒๕๖๐ ส่วนที่เหลือให้ส่งต่อให้สภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศเพื่อให้เกิดความต่อเนื่องเชื่อมโยงในระยะยาวต่อไป ๑.๒ ให้กระทรวงมหาดไทยสร้างความเข้าใจกับภาคส่วนต่าง ๆ ในพื้นที่ เช่น ผู้ว่าราชการจังหวัด กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อร่วมขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานราก โดยเน้นหลักการสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจระหว่างกันในภาคส่วนต่าง ๆ ๒. ด้านการบริหารราชการแผ่นดินและอื่น ๆ ๒.๑ ตามที่นายกรัฐมนตรีได้มีข้อสั่งการให้กระทรวงมหาดไทยรายงานผลการดำเนินการตามแผนอำนวยความสะดวกและดูแลความปลอดภัยของประชาชนในช่วงเทศกาลสงกรานต์ โดยให้วิเคราะห์สาเหตุของอุบัติเหตุที่เกิดขึ้น พร้อมทั้งแนวทางที่จะสามารถแก้ไขปัญหาดังกล่าวได้อย่างยั่งยืนให้คณะรัฐมนตรีทราบภายหลังเทศกาลสงกรานต์ นั้น ให้กระทรวงมหาดไทยร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงคมนาคมและกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารศึกษาแนวทางการแก้ไขปัญหาดังกล่าวของต่างประเทศเพื่อนำมาปรับใช้ในประเทศไทย รวมทั้งนำระบบเทคโนโลยีมาใช้ในการเก็บข้อมูลการก่ออุบัติเหตุของผู้ขับขี่เพื่อนำข้อมูลดังกล่าวไปใช้ประโยชน์ เช่น การต่อใบอนุญาตขับขี่รถ ๒.๒ ตามที่นายกรัฐมนตรีได้มีข้อสั่งการให้ทุกหน่วยงานให้ความสำคัญกับการประชาสัมพันธ์เพื่อให้ประชาชนได้รับทราบข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้อง โดยให้เขียนข่าวประชาสัมพันธ์ (press release) เน้นประเด็นที่ประชาชนให้ความสนใจหรือประเด็นที่สื่อมวลชนนำเสนอข้อมูลไม่ถูกต้อง รวมถึงประโยชน์โดยตรงที่ประชาชนจะได้รับ โดยให้ส่งข่าวประชาสัมพันธ์ดังกล่าวให้สื่อมวลชนเผยแพร่เป็นประจำทุกวัน นั้น ให้ทุกหน่วยงานดำเนินการตามข้อสั่งการดังกล่าวและสำเนาข่าวประชาสัมพันธ์ส่งให้กรมประชาสัมพันธ์เพื่อรวบรวมนำเสนอนายกรัฐมนตรีทราบทุกสัปดาห์ด้วย ๒.๓ มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) ในฐานะรองประธานกรรมการขับเคลื่อนและปฏิรูปการบริหารราชการแผ่นดิน คณะที่ ๕ (ด้านความมั่นคง ลดความเหลื่อมล้ำ การเกษตร ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และเรื่องที่เป็นวาระเร่งด่วนและการแก้ไขปัญหาการดำเนินการตามพันธกรณีระหว่างประเทศ) จัดทำคำสั่งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการเพิ่มเติม ๓ คณะ เพื่อขับเคลื่อนภารกิจสำคัญ ๓ ประการ ได้แก่ ด้านการแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์และแรงงานผิดกฎหมาย โดยให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานเป็นประธาน ด้านการแก้ไขปัญหาการทำประมงผิดกฎหมาย โดยให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นประธาน และด้านการปรับปรุงมาตรฐานการบินพลเรือน โดยให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมเป็นประธาน ทั้งนี้ ให้นำเสนอคำสั่งให้นายกรัฐมนตรีลงนามโดยด่วน ๒.๔ ตามที่นายกรัฐมนตรีได้มีข้อสั่งการให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาศึกษากำหนดแนวทางการใช้ประโยชน์พื้นที่ก่อสร้างโครงการออกแบบรวมก่อสร้างระบบรวบรวมและบำบัดน้ำเสียเขตควบคุมมลพิษ จังหวัดสมุทรปราการ (คลองด่าน) นั้น ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเร่งดำเนินการตามข้อสั่งการดังกล่าวให้แล้วเสร็จโดยเร็ว ทั้งนี้ อาจพิจารณาปรับลดพื้นที่การดำเนินโครงการลงเพื่อใช้ในการบำบัดน้ำเสียเฉพาะในเขตพื้นที่ดังกล่าว และนำพื้นที่ส่วนที่เหลือไปใช้ประโยชน์อย่างอื่น เช่น การจัดทำแหล่งท่องเที่ยว การจัดทำศูนย์เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ ต่อไป ๒.๕ ให้กระทรวงมหาดไทย (กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย) ร่วมกับกระทรวงกลาโหมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณากำหนดมาตรการเพื่อรองรับเหตุอัคคีภัยในอาคารสูง เช่น การจัดให้มีลานจอดเฮลิคอปเตอร์บนอาคาร การเตรียมรถกระเช้าที่ใช้ในการดับเพลิงให้อยู่ในสภาพพร้อมใช้งาน และการให้มีช่องทางติดต่อสื่อสารเฉพาะระหว่างหน่วยงานที่รับผิดชอบการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย
|
.....