ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 28 จากทั้งหมด 102 หน้า แสดงรายการที่ 541 - 560 จากข้อมูลทั้งหมด 2031 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
541 | แผนงานทันตสุขภาพสำหรับผู้สูงอายุประเทศไทย พ.ศ. 2558 - 2565 | สธ | 06/01/2558 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการของแผนงานทันตสุขภาพสำหรับผู้สูงอายุประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๕๘-๒๕๖๕ มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ผู้สูงอายุเข้าถึงการบริการส่งเสริม ป้องกัน รักษาและฟื้นฟูสภาพช่องปากเพิ่มขึ้น สนับสนุนให้ประชาชนมีส่วนร่วมในกิจกรรมการดูแลสุขภาพช่องปากด้วยตนเอง พัฒนาเทคโนโลยีหรือนวัตกรรมด้านทันตสุขภาพที่จำเป็นสำหรับผู้สูงอายุ พัฒนาศักยภาพบุคลากรด้านทันตกรรมผู้สูงอายุ รวมทั้งพัฒนาระบบบริหารจัดการ งบประมาณ การสนับสนุน การกำกับติดตาม และการประเมินผลการดำเนินงานที่มีประสิทธิภาพ ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ ๒. ให้กระทรวงสาธารณสุขพิจารณาปรับปรุงแผนงานทันตสุขภาพสำหรับผู้สูงอายุให้เน้นการดำเนินงานในเชิงป้องกันมากกว่าการแก้ไขปัญหาสุขภาพในช่องปาก โดยควรขยายกลุ่มเป้าหมายหลักให้ครอบคลุมถึงผู้มีอายุต่ำกว่า ๖๐ ปีด้วย โดยในการดำเนินงานในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ให้กระทรวงสาธารณสุขกำหนดแผนปฏิบัติงาน เป้าหมาย และผลที่คาดว่าจะได้รับให้ชัดเจน เพื่อให้สามารถนำไปปฏิบัติได้อย่างเป็นรูปธรรม สามารถชี้ให้เห็นชัดเจนว่า ประชาชนจะได้รับผลประโยชน์อย่างไรจากโครงการดังกล่าว ทั้งนี้ ให้จัดทำแผนปฏิบัติการ กำหนดตัวชี้วัดของผลสัมฤทธิ์เป็นรายไตรมาส รวมทั้งงบประมาณที่เกี่ยวข้องเสนอคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบก่อนการดำเนินการ ๓. ให้กระทรวงสาธารณสุขรับความเห็นของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงศึกษาธิการ สำนักงาน ก.พ. สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงาน ก.พ.ร. เกี่ยวกับการมีส่วนร่วมขององค์กรเครือข่ายภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน เพื่อร่วมกันพัฒนาและยกระดับคุณภาพสาธารณสุขและสุขภาพประชาชน การจัดทำแผนทันตกรรมทุกช่วงวัย ตั้งแต่วัยเด็กจนถึงวัยผู้สูงอายุ การเพิ่มมาตรการ/กลไก การติดตามและการประเมินผล การรายงานผล การกำหนดเป้าหมาย/งบประมาณตามแผนปฏิบัติการที่กำหนดไว้ตามยุทธศาสตร์ โดยคำนึงถึงความเป็นไปได้ในการดำเนินงาน จำนวนบุคลากรที่เพียงพอต่อการให้บริการ รวมทั้งมีแผนการผลิต การพัฒนา และการใช้บุคลากรด้านทันตกรรมและทันตสาธารณสุขที่สอดคล้องกับการดำเนินการแผนงานดังกล่าว การให้ความสำคัญกับการพัฒนารูปแบบการมีส่วนร่วมในการจัดบริการด้านทันตสุขภาพ การกำหนดตัวชี้วัดในเชิงคุณภาพควบคู่กับตัวชี้วัดเชิงปริมาณ การสนับสนุนให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีส่วนร่วมในการดำเนินงาน รวมทั้งการให้ความสำคัญกับการส่งเสริมป้องกันในแผนระยะที่สองเพิ่มมากขึ้น เป็นต้น ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
542 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเจ้าหน้าที่ของรัฐและผู้มีอำนาจออกบัตรประจำตัวเจ้าหน้าที่ของรัฐตามพระราชบัญญัติบัตรประจำตัวเจ้าหน้าที่ของรัฐ พ.ศ. 2542 (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | นร01 | 06/01/2558 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเจ้าหน้าที่ของรัฐและผู้มีอำนาจออกบัตรประจำตัวเจ้าหน้าที่ของรัฐตามพระราชบัญญัติบัตรประจำตัวเจ้าหน้าที่ของรัฐ พ.ศ. ๒๕๔๒ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้ประธานกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรม กรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรม กรรมการวินิจฉัยอุทธรณ์ และกรรมการวินิจฉัยร้องทุกข์ ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการกรุงเทพมหานครและบุคลากรกรุงเทพมหานคร เพื่อมีบัตรประจำตัวเจ้าหน้าที่ของรัฐตามกฎหมายว่าด้วยบัตรประจำตัวเจ้าหน้าที่ของรัฐ รวมทั้งกำหนดผู้มีอำนาจออกบัตรประจำตัว ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
543 | รายงานผลการดำเนินโครงการสร้างความปรองดองสมานฉันท์โดยใช้หลักธรรมทางพระพุทธศาสนา "หมู่บ้านรักษาศีล 5" | พศ | 06/01/2558 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินโครงการสร้างความปรองดองสมานฉันท์โดยใช้หลักธรรมทางพระพุทธศาสนา “หมู่บ้านรักษาศีล ๕ ” และให้ทุกภาคส่วนมีส่วนร่วมสนับสนุนการดำเนินงานต่อไป ตามที่สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. สรุปผลการดำเนินงานในช่วง ๔ เดือนแรก (มิถุนายน-กันยายน ๒๕๕๗) มีหมู่บ้านที่สมัครเข้าร่วมโครงการฯ จำนวน ๙,๖๗๑ หมู่บ้าน ประชาชนเข้าร่วมโครงการฯ จำนวน ๒,๕๓๕,๙๒๔ คน ทุกจังหวัดได้ประสานความร่วมมือในการดำเนินงานกับภาคส่วนต่าง ๆ โดยมีการแต่งตั้งคณะกรรมการดำเนินงานในแต่ละจังหวัด จัดทำข้อตกลงความร่วมมือ ประชาสัมพันธ์โครงการฯ และเชิญชวนให้ประชาชนประพฤติตามหลักศีล ๕ ครอบคลุมทุกจังหวัดแล้ว ทั้งนี้ สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติได้ประเมินผลโครงการฯ ครั้งแรกพบว่า ประชาชนส่วนใหญ่มีความพึงพอใจต่อโครงการฯ ที่เสริมสร้างความเข้าใจ ความปรองดองสมานฉันท์ และการนำหลักธรรมทางพระพุทธศาสนามาใช้ปฏิบัติต่อตนเองและสังคมในระดับดีมาก ๒. การดำเนินงานตามโครงการ “หมู่บ้านรักษาศีล ๕” เน้นการรณรงค์ส่งเสริมและปลูกฝังให้เยาวชนและประชาชนทุกคนรักษาศีล ๕ ขยายไปในพื้นที่ทั่วประเทศ ภายในระยะเวลา ๔ ปี (พ.ศ. ๒๕๕๗-๒๕๖๐) จำนวน ๗,๒๕๕ ตำบล ๗๔,๖๙๓ หมู่บ้าน ๖๑,๕๖๑,๙๓๓ คน โดยแบ่งระยะการดำเนินงานเป็น ๒ ระยะ คือ ๒.๑ ระยะเร่งด่วน มอบหมายให้สำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดดำเนินการประชุมชี้แจงคณะสงฆ์ หัวหน้าส่วนราชการ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ผู้นำองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ในการนำหลักธรรมทางพระพุทธศาสนาไปแก้ปัญหาความขัดแย้ง ความแตกแยกในสังคม ให้ประชาชนปรับเปลี่ยนทัศนคติ ให้เกิดจิตสำนึกรักถิ่นฐานของตนเอง หันหน้ามาพูดคุยกันอย่างมีเหตุผล ยอมรับความคิดเห็นซึ่งกันและกัน มีความตระหนัก รักเทิดทูนสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ผ่านกลไกทางพระพุทธศาสนา คือ หลักศีล ๕ ให้ครอบคลุมทั้ง ๗๗ จังหวัดทั่วประเทศ ๒.๒ การดำเนินงานปกติ สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติได้กำหนดแผนงานในการขับเคลื่อนโครงการ “หมู่บ้านรักษาศีล ๕” ในระยะ ๔ ปีงบประมาณ คือ เริ่มตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗-๒๕๖๐ เพื่อเทิดทูนสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ อย่างยั่งยืน โดยเน้นการประชาสัมพันธ์ รณรงค์ เชิญชวน ให้พุทธศาสนิกชนสมัครเป็นสมาชิกครอบครัวรักษาศีล ๕ หมู่บ้านรักษาศีล ๕ สถานศึกษารักษาศีล ๕ และหน่วยงานรักษาศีล ๕
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
544 | รายงานสถานภาพ ภาพรวมด้านงบประมาณ ปีงบประมาณ พ.ศ. 2558 | นร07 | 30/12/2557 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานสถานภาพ ภาพรวมด้านงบประมาณ ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ประกอบด้วย เงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ เงินกันไว้เบิกเหลื่อมปี เงินตามมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะ ๓ เดือนแรก เงินลงทุนของรัฐวิสาหกิจ (ที่ไม่ได้เบิกจ่ายจากเงินงบประมาณ) เงินทุนหมุนเวียน (ที่ไม่ได้เบิกจ่ายจากเงินงบประมาณ) และเงินอื่น ๆ (เงินไทยเข้มแข็งเดิม และเงิน พ.ร.ก. น้ำ ๓๕๐,๐๐๐ ล้านบาท) สำหรับปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม-๒๖ ธันวาคม ๒๕๕๗ มีการเบิกจ่ายเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจแล้วทั้งสิ้น ๘๕๖,๗๐๒ ล้านบาท (ไม่รวมเงินลงทุนรัฐวิสาหกิจ และเงินทุนหมุนเวียนที่ไม่เบิกจ่ายจากงบประมาณ) โดยคาดการณ์ว่าไตรมาสที่ ๑ (ตุลาคม-ธันวาคม ๒๕๕๗) จะมีการเบิกจ่ายเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ จำนวน ๙๘๔,๒๕๖ ล้านบาท ตามที่กระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณเสนอ ๒. เห็นชอบตามมติคณะกรรมการติดตามเร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ ในคราวประชุมเมื่อวันที่ ๒๖ ธันวาคม ๒๕๕๗ ได้แก่ ๒.๑ มาตรการเร่งรัดการใช้จ่ายเงินปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ เพิ่มเติม ๒.๑.๑ รายการที่ลงนามในสัญญาแล้ว ให้เร่งรัดการดำเนินงานเพื่อให้สามารถตรวจรับงานและเบิกจ่ายเงินได้ก่อนสิ้นงวดงานแต่ละงวดงาน หรือก่อนระยะเวลาสัญญาสิ้นสุด ๒.๑.๒ รายการที่ไม่สามารถก่อหนี้ได้ภายในไตรมาสที่ ๓ แต่อยู่ในกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างแล้ว (ตั้งแต่ขั้นตอนการประกาศเชิญชวน) ให้เร่งรัดการดำเนินงาน เพื่อให้สามารถลงนามในสัญญาได้ภายในเดือนมกราคม ๒๕๕๘ ๒.๑.๓ รายการที่ยังไม่ดำเนินการ (ยังไม่เริ่มขั้นตอนการประกาศเชิญชวน) ให้เร่งรัดการประกาศจัดซื้อจัดจ้างภายในเดือนมกราคม ๒๕๕๘ เพื่อให้สามารถลงนามในสัญญาได้ภายในเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๘ กรณีมีรายการที่ต้องแก้ไขเปลี่ยนแปลงรายละเอียดรายการ หรือเปลี่ยนแปลงงบประมาณ ให้ลงนามในสัญญาภายในเดือนมีนาคม ๒๕๕๘ หากหน่วยงานใดไม่สามารถดำเนินการได้ภายในเดือนมีนาคม ๒๕๕๘ ให้กรมบัญชีกลางรวบรวมรายชื่อหน่วยงานพร้อมปัญหาอุปสรรคของหน่วยงานดังกล่าวเสนอคณะกรรมการติดตามเร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐพิจารณาภายในเดือนเมษายน ๒๕๕๘ ๒.๑.๔ รายการที่มีวงเงินเกิน ๑,๐๐๐ ล้านบาท ที่อยู่ในกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างแล้ว (ตั้งแต่ขั้นตอนการประกาศเชิญชวน) ให้ลงนามในสัญญาภายในเดือนมีนาคม ๒๕๕๘ สำหรับรายการที่ยังไม่เริ่มกระบวนการจัดซื้อจัดจ้าง ให้เร่งรัดดำเนินการประกาศจัดซื้อจัดจ้างภายในเดือนมกราคม ๒๕๕๘ รวมทั้งให้เสนอหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาภายในเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๘ เพื่อให้สามารถลงนามในสัญญาได้ภายในเดือนมีนาคม ๒๕๕๘ ๒.๑.๕ การเบิกจ่ายงบฝึกอบรมและประชุมสัมมนา ให้หน่วยงานเร่งรัดการดำเนินการให้เป็นไปตามแผนการฝึกอบรมและประชุมสัมมนาที่ได้กำหนดไว้โดยเคร่งครัด ๒.๒ มาตรการกระตุ้นการเบิกจ่ายเงินของท้องถิ่นโดยเฉพาะงบเงินอุดหนุนเฉพาะกิจ ๒.๒.๑ ให้กระทรวงมหาดไทยสั่งการให้ผู้ว่าราชการจังหวัดกำกับดูแลเร่งรัดการเบิกจ่ายเงินของท้องถิ่นให้เป็นไปตามมาตรการเร่งรัดการใช้จ่ายเงิน รวมทั้งมอบหมายให้คลังจังหวัดร่วมกับท้องถิ่นจังหวัดติดตามเร่งรัดการก่อหนี้และการเบิกจ่ายเงินอุดหนุนเฉพาะกิจของท้องถิ่น และรวบรวมปัญหาอุปสรรคที่ทำให้ไม่สามารถดำเนินการได้ให้กรมบัญชีกลาง เพื่อเสนอคณะกรรมการติดตามเร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐพิจารณา ๒.๒.๒ ให้กระทรวงมหาดไทยสั่งการให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นรายงานผลการจัดซื้อจัดจ้างและการเบิกจ่ายผ่านเว็บไซต์ www.dla.go.th หัวข้อ ระบบสารสนเทศเพื่อการวางแผนและประเมินผลขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (e-Plan) ให้แล้วเสร็จภายในวันที่ ๕ ของทุกเดือน ไปจนกว่าการดำเนินการจะสิ้นสุด โดยให้กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นรายงานให้คณะกรรมการติดตามเร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐทราบภายในวันที่ ๑๐ ของทุกเดือน ๓. ให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีเจ้าสังกัดกำกับดูแลให้ส่วนราชการในกำกับ เร่งรัดการเบิกจ่ายเงินให้เป็นไปตามเป้าหมาย โดยให้นำผลการเบิกจ่ายงบประมาณไปใช้ประกอบการพิจารณาในการประเมินผลการปฏิบัติราชการของหัวหน้าส่วนราชการตั้งแต่ระดับอธิบดีขึ้นไป ๔. ให้สำนักงบประมาณนำผลการเบิกจ่ายงบประมาณปี ๒๕๕๙ ของแต่ละส่วนราชการไปใช้ประกอบการพิจารณาในการจัดสรรงบประมาณปี ๒๕๕๙ ของแต่ละส่วนราชการต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
545 | สรุปผลการจัดงานสานเสวนาการปฏิรูป "On the Path to Reform" | กต | 30/12/2557 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการต่างประเทศรายงานสรุปผลการจัดงานสานเสวนาการปฏิรูป “On the Path to Reform” เมื่อวันที่ ๓ ธันวาคม ๒๕๕๗ ณ โรงแรมแชงกรีลา กรุงเทพมหานคร โดยสาระสำคัญของงานสานเสวนาฯ ในครั้งนี้ ผู้เชี่ยวชาญจากต่างประเทศ ได้แก่ สหรัฐอเมริกา โปรตุเกส ญี่ปุ่น เกาหลี ออสเตรเลีย สวิตเซอร์แลนด์ และเยอรมนี และ ๑ องค์กร ได้แก่ Centre for Humanitarian Dialogue ร่วมแลกเปลี่ยนประสบการณ์และบทเรียนด้านการปฏิรูปใน ๓ สาขา ได้แก่ การปฏิรูปด้านการเมือง การบริหารราชการแผ่นดิน และการปกครองส่วนท้องถิ่น โดยได้มีการนำเสนอบทเรียนจากต่างประเทศ อาทิ ระบบที่มาของนายกรัฐมนตรีและความเชื่อมโยงกับอำนาจของฝ่ายนิติบัญญัติของประเทศต่าง ๆ การเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ความเป็นประชาธิปไตยโดยอาศัยการจัดทำรัฐธรรมนูญและการประนีประนอมระหว่างกลุ่มการเมืองและกลุ่มทหารในโปรตุเกส พัฒนาการทางการเมืองในอินโดนีเซียและฟิลิปปินส์เทียบเคียงกับไทย การพัฒนาประสิทธิภาพของระบบราชการโดยยึดหลักคุณธรรมในเกาหลี การปรับปรุงกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการบริหารราชการแผ่นดินของออสเตรเลีย รวมถึงตัวอย่างของการปกครองส่วนท้องถิ่นและการกระจายอำนาจในสวิตเซอร์แลนด์และเยอรมนี ทั้งนี้ ผู้เชี่ยวชาญจากต่างประเทศทั้งหมดมีความเห็นร่วมกันว่า ปัจจัยสำคัญที่จะช่วยให้การขับเคลื่อนการปฏิรูปสำเร็จได้จำเป็นต้องเปิดให้ทุกฝ่ายสามารถมีส่วนร่วม รวมทั้งส่งเสริมความปรองดองเพื่อให้ผลของการปฏิรูปเป็นที่ยอมรับ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
546 | โครงการของขวัญปีใหม่แก่ประชาชน พ.ศ. 2558 | นร | 30/12/2557 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบโครงการของขวัญปีใหม่แก่ประชาชน พ.ศ. ๒๕๕๘ ของหน่วยงานต่าง ๆ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) เสนอ ดังนี้
๑. กระทรวงยุติธรรม จำนวน ๕ โครงการ/กิจกรรม ได้แก่ ๑.๑ สำนักงาน ป.ป.ส จัดทำแผนการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดในช่วงเทศกาลปีใหม่ ๒๕๕๘ ๑.๒ กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ เปิดจุดบริการ One Stop Service ช่วยเหลือเยียวยาเหยื่ออาชญากรรม ณ สถานีตำรวจภูธรและนครบาลทั่วประเทศ ๑.๓ กรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน จัดตั้งคลินิกให้คำปรึกษาเด็กและครอบครัวอบอุ่น ๑.๔ กรมบังคับคดี จัดทำโครงการ/กิจกรรมเพื่อเป็นของขวัญปีใหม่แก่ประชาชน ประกอบด้วย กิจกรรมการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทชั้นบังคับคดี โครงการเร่งรัดผลักดันทรัพย์สินออกจากกระบวนการบังคับคดี กิจกรรมขายทอดตลาดในวันเสาร์ และโครงการเพิ่มประสิทธิภาพในการให้บริการแก่คู่ความและประชาชน ๑.๕ กรมราชทัณฑ์ จัดโครงการเยี่ยมญาติแบบใกล้ชิดเป็นกรณีพิเศษ ๒. สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี จำนวน ๔ โครงการ/กิจกรรม ได้แก่ ๒.๑ การคัดเลือกองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่ดี ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ๒.๒ โครงการ “ปลูกไทย... ในแบบพ่อ” ๒.๓ ศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ของรัฐบาล ๒.๔ โครงการขับเคลื่อนการพัฒนาตามปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ๓. กรมประชาสัมพันธ์ จำนวน ๒ โครงการ/กิจกรรม ได้แก่ ๓.๑ โครงการกรมประชาสัมพันธ์คืนความสุขให้ประชาชน “ดนตรีในสวน” ๓.๒ โครงการ “ช่วยเหลือประชาชนในภาคเหนือ” ๔. สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค จำนวน ๔ โครงการ/กิจกรรม ได้แก่ ๔.๑ โครงการตรวจกระเช้าของขวัญปีใหม่ ๔.๒ โครงการตรวจการให้บริการ ณ ท่าเรือ ในจังหวัดพังงา กระบี่ และตรัง ๔.๓ โครงการตรวจการให้บริการ ณ สถานีขนส่ง ๔.๔ โครงการจัดทำระบบ Mobile Application ๕. สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ จำนวน ๑ โครงการ คือ โครงการสวดมนต์เพื่อความเป็นสิริมงคล เนื่องในโอกาสวันขึ้นปีใหม่ ๖. สำนักงาน ก.พ.ร. จำนวน ๓ โครงการ/กิจกรรม ได้แก่ ๖.๑ โครงการ "คืนความสะดวกให้ประชาชน" ๖.๒ โครงการจัดตั้งศูนย์บริการภาครัฐในห้างสรรพสินค้า (Government Plaza) ๖.๓ การเพิ่มประสิทธิภาพการบริการของหน่วยงานภาครัฐเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการประกอบธุรกิจของประเทศไทย ตามรายงานการจัดอันดับความยาก-ง่ายในการประกอบธุรกิจของธนาคารโลก (Ease of Doing Business Report) ๗. บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) จำนวน ๔ โครงการ/กิจกรรม ได้แก่ ๗.๑ กิจกรรมเอ็มคอทเรดิโอสโมสร (MCOT RADIO SAMOSORN) ๗.๒ โครงการเวทีความคิด ช่วง ๙๖๕ เดินหน้าปฏิรูป ๗.๓ โครงการ SEED คสช คืนความสุขให้ชาวซี้ด ๗.๔ กิจกรรม MET is Every Where
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
547 | รายงานผลการดำเนินการตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติมาตราชั่งตวงวัด (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | สว | 23/12/2557 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติมาตราชั่งตวงวัด (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และรายงานผลการดำเนินการของกระทรวงพาณิชย์ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ แล้วแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติทราบต่อไป โดยคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ มีข้อสังเกตว่า กรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ ในฐานะหน่วยงานรับผิดชอบ ควรกำหนดมาตรการและหลักเกณฑ์ในการพิจารณาเพื่อควบคุมกำกับการใช้ดุลพินิจในการตรวจสอบของนายตรวจ ชั่งตวงวัด พนักงานเจ้าหน้าที่ และผู้ผลิตหรือผู้ซ่อมที่ได้รับใบอนุญาตตามมาตรา ๔๑ ดังนี้
๑. กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการตรวจสอบเครื่องชั่งตวงวัด รวมทั้งจัดให้มีการฝึกอบรมนายตรวจชั่งตวงวัด และผู้ที่เกี่ยวข้อง เพื่อการควบคุมกำกับดูแลการใช้ดุลพินิจของนายตรวจชั่งตวงวัดและผู้ตรวจสอบให้ถูกต้องตามกฎหมาย ๒. การกระจายอำนาจให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเป็นผู้ตรวจสอบเครื่องชั่งตวงวัดมีการกำกับดูแลอย่างเข้มงวด ๓. การกระจายอำนาจให้ผู้ผลิตหรือผู้ซ่อมที่ได้รับใบอนุญาตตามมาตรา ๔๑ เป็นผู้ตรวจสอบและให้คำรับรองเครื่องชั่งตวงวัดที่ตนผลิตหรือซ่อม ต้องมีการกำกับดูแลอย่างเข้มงวดเช่นเดียวกัน
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
548 | การโอนเปลี่ยนแปลงเงินอุดหนุนเฉพาะกิจ ปีงบประมาณ พ.ศ. 2558 เป็นเงินอุดหนุนทั่วไป | มท | 09/12/2557 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการโอนเปลี่ยนแปลงงบประมาณเงินอุดหนุนปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ จากเงินอุดหนุนเฉพาะกิจ รายการเงินอุดหนุนสำหรับสนับสนุนการก่อสร้างถนน จำนวน ๒๐,๖๘๐,๗๘๖,๘๐๐ บาท มาจัดสรรเป็นเงินอุดหนุนทั่วไปสำหรับดำเนินการตามอำนาจหน้าที่และภารกิจถ่ายโอน จำนวน ๒๐,๖๘๐,๗๘๖,๘๐๐ บาท ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ๒. ให้กระทรวงมหาดไทย (กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น) รับความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นควรแจ้งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจัดทำรายละเอียดแผนงาน/โครงการ เพื่อขอรับการจัดสรรงบประมาณลักษณะงบลงทุนที่เป็นภารกิจในอำหนาจหน้าที่ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ไปดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
549 | การจัดงานสานเสวนาการปฏิรูป "On the Path to Reform" | กต | 02/12/2557 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบการจัดงานสานเสวนาการปฏิรูป “On the Path to Reform” ซึ่งจะจัดขึ้นในวันพุธที่ ๓ ธันวาคม ๒๕๕๗ ณ โรงแรมแชงกรีลา กรุงเทพมหานคร โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อนำผู้ทรงคุณวุฒิจากต่างประเทศมาร่วมแลกเปลี่ยนประสบการณ์และบทเรียนด้านการปฏิรูปของประเทศต่าง ๆ ทั้งในภาพรวม และประเด็นเฉพาะใน ๓ สาขา ได้แก่ (๑) การปฏิรูปด้านการเมือง (๒) การบริหารราชการแผ่นดิน และ (๓) การปกครองส่วนท้องถิ่น ร่วมกับภาคส่วนที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการปฏิรูปของไทย อาทิ สภาปฏิรูปแห่งชาติ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ และหน่วยราชการที่เกี่ยวข้อง มาร่วมแลกเปลี่ยนประสบการณ์และความเห็นกับผู้เชี่ยวชาญด้านการปฏิรูปจากต่างประเทศ ใน ๓ สาขา และภาควิชาการ ตลอดจนคณะทูตานุทูต และผู้แทนองค์การระหว่างประเทศประจำประเทศไทย ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศประสานกับทุกส่วนราชการในการเข้าร่วมงานสานเสวนาฯ ดังกล่าว เพื่อร่วมแลกเปลี่ยนประสบการณ์และความเห็นกับผู้เชี่ยวชาญด้านการปฏิรูปจากต่างประเทศ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
550 | ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | นร | 25/11/2557 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการ ดังนี้
๑. ด้านความมั่นคง ๑.๑ ให้รองนายกรัฐมนตรีด้านความมั่นคงกำกับให้หน่วยงานด้านความมั่นคงดูแลเกี่ยวกับการนำเสนอความเห็นต่อสาธารณะของประชาชน กลุ่มนักศึกษา นักวิชาการต่าง ๆ โดยความเห็นหรือข้อเสนอแนะควรเป็นประโยชน์ต่อการปฏิรูปประเทศและเสริมสร้างความปรองดองและสมานฉันท์ ๑.๒ ตามที่รัฐบาลได้เปิดศูนย์บริการจดทะเบียนแรงงานต่างด้าวแบบเบ็ดเสร็จ (One Stop Service) เพื่อทำหน้าที่พิจารณาออกใบอนุญาตทำงานชั่วคราวให้แก่แรงงานต่างด้าวสัญชาติเมียนมา ลาว และกัมพูชา ในเขตกรุงเทพมหานครและจังหวัดต่าง ๆ ทั่วประเทศแล้วนั้น ในระยะต่อไปให้ศูนย์บริการจดทะเบียนแรงงานต่างด้าวแบบเบ็ดเสร็จขยายการดำเนินการออกใบอนุญาตทำงานชั่วคราวให้ครอบคลุมถึงแรงงานต่างด้าวสัญชาติเวียดนามด้วย ๒. ด้านเศรษฐกิจ ๒.๑ ให้ทุกส่วนราชการติดตามการเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์ภายนอกประเทศ ซึ่งมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจและการค้าการลงทุนของไทยอย่างใกล้ชิด เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการดำเนินงานให้เหมาะสมสอดคล้องกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป ๒.๒ ให้กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงอุตสาหกรรม และสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับภาคเอกชนของไทยที่มีความประสงค์และมีความพร้อมในการลงทุนในประเทศต่าง ๆ แล้วจัดทำเป็นข้อมูลส่งให้กระทรวงการต่างประเทศเพื่อใช้ประกอบการหารือทวิภาคีร่วมกับประเทศต่าง ๆ ต่อไป ๒.๓ ให้กระทรวงพลังงานเร่งดำเนินการตรวจสอบรายละเอียดข้อมูลเกี่ยวกับแนวทางการส่งเสริมการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทดแทน และโครงการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนที่ได้มีการทำสัญญาซื้อขายไฟฟ้าแล้วให้แล้วเสร็จภายใน ๑๕ วัน แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีในวันที่ ๑๖ ธันวาคม ๒๕๕๗ ๒.๔ ให้กระทรวงพลังงานและกระทรวงอุตสาหกรรมศึกษาเกี่ยวกับ Bloom Energy Server (Bloom Box) เพื่อพิจารณานำมาเป็นทางเลือกหนึ่งของการผลิตพลังงานเพื่อใช้ในประเทศไทยต่อไป ๒.๕ ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างการรับรู้แก่ประชาชนและสาธารณะเกี่ยวกับสถานการณ์การท่องเที่ยวของไทยในขณะนี้ และเร่งกำหนดมาตรการเพื่อรักษาความปลอดภัยให้แก่นักท่องเที่ยว ๒.๖ ให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณากฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการดูแลหรือคุ้มครองการดำเนินการทางพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ทั้งระบบ แล้วเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป และให้สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคพิจารณากำหนดมาตรการในการตรวจสอบและควบคุมคุณภาพของสินค้าหรือบริการที่มีการซื้อขายโดยตรงต่อผู้บริโภคโดยทั่วไป และซื้อขายโดยผ่านช่องทางในตลาดอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อคุ้มครองความปลอดภัยของผู้บริโภค ๓. ด้านสังคม ๓.๑ ให้กระทรวงสาธารณสุขประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างการรับรู้เกี่ยวกับแนวทางการจัดการโรคเอดส์ของไทยที่ประสบความสำเร็จ รวมทั้งให้ดำเนินการตามแนวทางดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง ๓.๒ ให้กระทรวงคมนาคมและกระทรวงมหาดไทย (กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย) เตรียมความพร้อมเพื่อป้องกันและลดอุบัติเหตุในช่วงวันหยุดเทศกาลปีใหม่ ๒๕๕๘ ให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ๓.๓ ให้กระทรวงสาธารณสุขและกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมปศุสัตว์) ติดตามสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคไข้หวัดนกอย่างใกล้ชิด เฝ้าระวังโรคทั้งในคนและในสัตว์ และแจ้งเตือนประชาชนให้รับทราบสถานการณ์และสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการปฏิบัติตนเพื่อป้องกันโรค ๓.๔ ให้กระทรวงอุตสาหกรรมกำหนดมาตรการกำจัดขยะอิเล็กทรอนิกส์และสร้างการรับรู้กับประชาชนเกี่ยวกับภัยของขยะอิเล็กทรอนิกส์ ความรู้เกี่ยวกับการแยกประเภทขยะและวิธีการจำกัดขยะประเภทดังกล่าว ๔. ด้านการบริหารราชการแผ่นดินและอื่น ๆ ๔.๑ ให้ทุกส่วนราชการจัดทำเอกสารเพื่อเผยแพร่ข้อมูลผลการดำเนินงานของรัฐบาลเฉพาะเรื่องที่มีผลสัมฤทธิ์แล้วและเรื่องที่อยู่ระหว่างการดำเนินการเฉพาะเท่าที่จำเป็นให้ประชาชนรับทราบอย่างทั่วถึง ๔.๒ ให้กระทรวงมหาดไทยและสำนักงบประมาณร่วมกับศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ คณะกรรมการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจสอบแผนงาน/โครงการที่จะดำเนินการในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ โดยนำข้อมูลที่กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักรได้ดำเนินการสำรวจไว้มาใช้ประกอบการพิจารณา แล้วกำหนดเป็นแผนปฏิบัติการที่ระบุเป้าหมายและผลสัมฤทธิ์ในช่วงเวลา ๓ เดือน ๖ เดือน และ ๑๒ เดือน รวมทั้งให้ขับเคลื่อนการดำเนินการตามแผนปฏิบัติการให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรมภายใน ๓-๖ เดือน และเสนอผลความคืบหน้าต่อคณะรัฐมนตรีภายใน ๒ สัปดาห์ ๔.๓ ให้ทุกส่วนราชการควบคุมการก่อสร้างโครงการลงทุนขนาดใหญ่ต่าง ๆ ให้แล้วเสร็จภายในกรอบระยะเวลาที่กำหนดไว้ โดยให้ศึกษาสภาพแวดล้อมและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างละเอียดรอบคอบและเหมาะสมกับสภาพทางกายภาพของพื้นที่ก่อสร้าง ๔.๔ ให้รองนายกรัฐมนตรีด้านความมั่นคงกำกับให้กระทรวงมหาดไทยและสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาจัดทำข้อเสนอเกี่ยวกับการบริหารงานขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นให้เกิดประสิทธิภาพต่อคณะรักษาความสงบแห่งชาติพิจารณา โดยเฉพาะในประเด็นการคงอยู่ของประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ฉบับที่ ๘๕/๒๕๕๗ เรื่อง การได้มาซึ่งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่นเป็นการชั่วคราวด้วย ๔.๕ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์พิจารณาดำเนินการเร่งรัดเพื่อให้ได้มาซึ่งกรรมการกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร ในส่วนของผู้ทรงคุณวุฒิและผู้แทนเกษตรกรตามกฎหมายว่าด้วยกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร หากมีประเด็นปัญหาในข้อกฎหมาย ให้เสนอสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาพิจารณา แล้วจัดทำเป็นข้อเสนอต่อคณะรักษาความสงบแห่งชาติต่อไป ๔.๖ ให้สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีและทุกส่วนราชการเชิญชวนให้พสกนิกรชาวไทยร่วมเฉลิมพระเกียรติเนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ๘๗ พรรษา ๕ ธันวาคม ๒๕๕๗ และมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษาสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ๕ รอบ ๒ เมษายน ๒๕๕๘ ด้วยการตั้งปณิธานที่จะทำความดีอย่างน้อย ๑ อย่างที่เป็นประโยชน์ทั้งแก่ตนเองและสังคมโดยรวมให้ดีขึ้น
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
551 | รายงานการสร้างหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ประจำปี 2556 (1 ตุลาคม 2555 - 30 กันยายน 2556) | สธ | 25/11/2557 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติมีมติ
๑. รับทราบรายงานการสร้างหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ประจำปี ๒๕๕๖ (๑ ตุลาคม ๒๕๕๕-๓๐ กันยายน ๒๕๕๖) ตามที่สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ ภาพรวมการบริหารกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ งบกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติที่ได้รับจัดสรรรวม ๒,๙๒๑.๖๖ บาทต่อประชากรผู้มีสิทธิหลักประกัน (ไม่รวมเงินเดือน) คิดเป็นวงเงิน ๑๐๘,๗๔๔ ล้านบาท ประชากรผู้มีสิทธิหลักประกันสุขภาพ ปี ๒๕๕๖ มีจำนวน ๔๘.๑ ล้านคน มีหน่วยบริการที่ให้บริการสุขภาพในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติทั้งสิ้น ๑๓,๕๕๑ แห่ง โดยร้อยละ ๙๒.๒๗ เป็นหน่วยบริการสังกัดกระทรวงสาธารณสุข ๑.๒ ด้านการเข้าถึงบริการสุขภาพ ประสิทธิภาพ คุณภาพและประสิทธิผลของบริการ จำนวนและอัตราการใช้บริการผู้ป่วยนอก จำนวน ๑๕๑.๘๖ ล้านครั้ง และผู้ป่วยใน จำนวน ๕.๗๙ ล้านครั้ง โดยผู้ป่วยนอกร้อยละ ๔๗.๖๘ ใช้บริการสถานีอนามัย/ศูนย์บริการ ผู้ป่วยในร้อยละ ๔๘ ใช้บริการที่โรงพยาบาลชุมชน อัตราป่วยตายของผู้ป่วยที่รับไว้รักษาในโรงพยาบาล ร้อยละ ๒.๘๒ ส่วนใหญ่ป่วยตายจากกลุ่มโรคติดเชื้อ รองลงมาคือ กลุ่มโรคมะเร็ง และโรคจากพฤติกรรม โดยเฉพาะกลุ่มผู้สูงอายุ ส่วนผู้ป่วยเด็กพบมีแนวโน้มการป่วยตายลดลงเรื่อย ๆ ๑.๓ ด้านการมีส่วนร่วม การคุ้มครองสิทธิ ความพึงพอใจของผู้ใช้และผู้ที่ให้บริการ โดยการมีส่วนร่วมระดับท้องถิ่นดีขึ้น จำนวนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อบต. และเทศบาล) เข้าร่วมกองทุนหลักประกันสุขภาพระดับท้องถิ่นถึงร้อยละ ๙๙.๖๘ (๗,๗๕๑ แห่ง จาก ๗,๗๗๖ แห่ง) โดยมีเงินจากกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ จำนวน ๒,๒๘๑ ล้านบาท และเงินสมทบจากท้องถิ่นวงเงิน ๙๕๖ ล้านบาท มีการจัดตั้งกองทุนฟื้นฟูสมรรถภาพที่จำเป็นต่อสุขภาพระดับจังหวัด ๒๓ จังหวัด ด้านการคุ้มครองสิทธิ ได้จัดให้มีการรับเรื่องร้องเรียนให้เสร็จภายใน ๓๐ วันทำการ ร้อยละ ๙๗.๑ และมีผู้รับบริการยื่นคำร้องขอรับการชดเชยความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการรักษาพยาบาลของหน่วยบริการ จำนวน ๑,๑๘๒ คน ได้รับการชดเชย จำนวน ๙๙๕ คน รวมวงเงินชดเชยทั้งหมด จำนวน ๑๙๑.๕๘ ล้านบาท ส่วนความพึงพอใจ ประชาชนที่เคยใช้บริการมีความพึงพอใจร้อยละ ๙๕.๔๙ คะแนนความพึงพอใจเฉลี่ย ๘.๕๘ ๒. ให้กระทรวงสาธารณสุขมุ่งเน้นการดำเนินการในเชิงป้องกันและส่งเสริมการรักษาสุขภาพของประชาชนให้มากยิ่งขึ้นเพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายในด้านการรักษาพยาบาล รวมทั้งให้พิจารณาแนวทางและมาตรการการดำเนินการเพื่อให้ประชาชนโดยเฉพาะในกลุ่มผู้มีรายได้น้อยเข้าถึงระบบประกันสุขภาพได้อย่างทั่วถึงมากยิ่งขึ้น ๓. ให้กระทรวงสาธารณสุขและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้การสนับสนุนการค้นคว้าวิจัยและประชาสัมพันธ์เผยแพร่ข้อมูลข่าวสารและผลการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับนวัตกรรมยาสมุนไพรไทยชนิดต่าง ๆ ที่ได้รับการตรวจสอบอย่างชัดเจนแล้วว่ามีสรรพคุณในการรักษาโรคต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพให้เป็นที่เข้าใจอย่างถูกต้องโดยทั่วกัน เพื่อให้เกิดการใช้ประโยชน์จากสมุนไพรไทยอย่างแพร่หลายมากยิ่งขึ้นอันจะเป็นผลดีต่อทั้งตัวผู้ป่วยโรคนั้น ๆ และต่อเกษตรกรผู้ปลูกสมุนไพรที่จะมีรายได้เพิ่มมากขึ้นด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
552 | การเสนอเรื่องจากมติการประชุมคณะกรรมการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการแห่งชาติ | พม | 25/11/2557 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติในหลักการตามมติคณะกรรมการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการแห่งชาติ ในการประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๕๗ เมื่อวันที่ ๗ สิงหาคม ๒๕๕๗ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติในหลักการให้เพิ่มอัตราเบี้ยความพิการให้แก่คนพิการ จากเดิมรายละ ๕๐๐ บาทต่อเดือน เป็นรายละ ๘๐๐ บาทต่อเดือน ตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ เป็นต้นไป โดยมีผลครอบคลุมทั้งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กรุงเทพมหานคร และเมืองพัทยา เพื่อใช้เป็นแนวทางในการเบิกจ่ายเบี้ยความพิการให้เป็นอัตราเดียวกันทั้งประเทศ สำหรับภาระงบประมาณเพื่อการนี้ รวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๑๓,๓๕๓,๖๒๘,๘๐๐ บาท โดยภาระงบประมาณส่วนที่เพิ่มขึ้น จำนวน ๓,๓๓๘,๔๐๗,๒๐๐ บาท ให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กรุงเทพมหานคร และเมืองพัทยา ดำเนินการตามความเห็นของสำนักงบประมาณในการใช้เงินเหลือจ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ และพิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ภายใต้มาตรการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ มาดำเนินการเป็นลำดับแรกก่อน หากไม่เพียงพอ ก็ให้ขอรับการสนับสนุนงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป ๑.๒ อนุมัติการถอนถ้อยแถลงตีความข้อ ๑๘ ของอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิคนพิการ และให้กระทรวงการต่างประเทศรับไปดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๑.๓ มอบให้กระทรวงคมนาคมรับไปพิจารณาดำเนินการในการจัดหารถยนต์โดยสารสาธารณะที่เหมาะสมและสามารถอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ใช้บริการทุกกลุ่ม เพื่อตอบสนองความต้องการที่หลากหลายของคนในสังคม โดยเฉพาะผู้สูงอายุ คนพิการหรือทุพพลภาพ เพื่อให้เป็นไปตามหลักมาตรฐานสากล ทั้งนี้ ต้องคำนึงถึงข้อจำกัดทางด้านสภาพของถนนด้วย ๒. สำหรับการขออนุมัติในหลักการอัตรากำลังข้าราชการประจำศูนย์บริการคนพิการระดับจังหวัดทั่วประเทศ ศูนย์ละ ๒ อัตรา รวมจำนวน ๑๕๔ อัตรา นั้น ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์รับไปพิจารณาเหตุผลความจำเป็นของการกำหนดอัตรากำลังข้าราชการเพิ่มใหม่ในกรณีดังกล่าว โดยอาจพิจารณาจ้างบุคลากรประเภทอื่นทดแทน และหากมีความจำเป็นอันไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๕ ตุลาคม ๒๕๕๖ [เรื่อง มาตรการบริหารและพัฒนากำลังคนภาครัฐ (พ.ศ. ๒๕๕๗-๒๕๖๑)] โดยให้ อ.ก.พ. กระทรวง พิจารณาเกลี่ยอัตรากำลังให้สอดคล้องกับความจำเป็นตามภารกิจของแต่ละส่วนราชการ หากไม่เพียงพอ ให้ดำเนินการจัดทำรายละเอียดเกี่ยวกับภารกิจ อัตรากำลังทุกประเภทและค่าใช้จ่ายด้านบุคคล พร้อมทั้งเหตุผลความจำเป็น เสนอคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐพิจารณาตามขั้นตอนก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
553 | การพิจารณาให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการก่อสร้างที่ได้รับผลกระทบจากการขาดแคลนแรงงานอันเนื่องมาจากการปรับค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาท เพิ่มเติมจากมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน 2556 | กค | 18/11/2557 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการพิจารณาให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการก่อสร้างที่ได้รับผลกระทบจากการขาดแคลนแรงงานอันเนื่องมาจากการปรับค่าจ้างขั้นต่ำ ๓๐๐ บาท เพิ่มเติมจากมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๕ พฤศจิกายน ๒๕๕๖ ที่คณะกรรมการว่าด้วยการพัสดุ (กวพ.) ได้พิจารณาแล้วในการประชุมครั้งที่ ๘/๒๕๕๗ เมื่อวันที่ ๙ กรกฎาคม ๒๕๕๗ และการประชุมครั้งที่ ๙/๒๕๕๗ เมื่อวันที่ ๒๑ กรกฎาคม ๒๕๕๗ ๑.๑.๑ การเพิ่มระยะเวลาในการดำเนินงานให้กับผู้ประกอบการก่อสร้าง เนื่องจากการปรับค่าจ้างขั้นต่ำ ๓๐๐ บาท เห็นควรเพิ่มระยะเวลาในการดำเนินงานดังกล่าวออกไปอีก เพื่อเร่งรัดให้งานก่อสร้างภาครัฐดำเนินการให้แล้วเสร็จ และเป็นการสร้างแรงจูงใจให้ผู้ประกอบการก่อสร้างเร่งรัดดำเนินการก่อสร้างให้แล้วเสร็จตามสัญญาโดยเร็ว และเพื่อเป็นการช่วยเหลือและเยียวยาผู้ประกอบการก่อสร้างที่เป็น SME ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุดังกล่าว ๑.๑.๒ การพิจารณาไม่ลงโทษเป็นผู้ทิ้งงาน (เพิ่มเติม) เห็นควรพิจารณาให้ความช่วยเหลือฯ เพิ่มเติม หากในกรณีที่หน่วยงานได้มีการบอกเลิกสัญญาจ้างก่อสร้างไปแล้ว สืบเนื่องจากผู้รับจ้างได้รับผลกระทบจากการขาดแคลนแรงงานอันเนื่องมาจากการปรับค่าจ้างขั้นต่ำ ๓๐๐ บาท ซึ่งได้บอกเลิกสัญญาในช่วงระหว่างวันที่ ๒๓ เมษายน ๒๕๕๖ จนถึงวันที่คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ ๒๕ พฤศจิกายน ๒๕๕๖ ให้ถือว่าไม่เป็นผู้ทิ้งงาน ๑.๒ เห็นชอบให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นของรัฐนำหลักเกณฑ์และเงื่อนไขในการพิจารณาให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการก่อสร้างที่ได้รับผลกระทบจากการขาดแคลนแรงงานอันเนื่องมาจากการปรับค่าจ้างขั้นต่ำ ๓๐๐ บาท เพิ่มเติมจากมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๕ พฤศจิกายน ๒๕๕๖ ที่ กวพ. ได้พิจารณาแล้วไปถือปฏิบัติในแนวทางเดียวกัน และมอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยนำหลักเกณฑ์และเงื่อนไขดังกล่าวไปใช้บังคับในการจัดจ้างก่อสร้างขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นด้วยโดยอนุโลม ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรพิจารณาแนวทางการพัฒนาเพื่อส่งเสริมภาคก่อสร้างและวิชาชีพที่เกี่ยวข้อง โดยปรับปรุงกฎระเบียบทั้งด้านการจัดซื้อจัดจ้างและการประเมินราคาก่อสร้างที่เกี่ยวข้องกับงานก่อสร้าง และแรงงานเพื่อพัฒนาอุตสาหกรรมก่อสร้าง ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
554 | แผนสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ฉบับที่ 3 (พ.ศ. 2557 - 2561) นำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณา | ยธ | 12/11/2557 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบและประกาศใช้แผนสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ฉบับที่ ๓ (พ.ศ. ๒๕๕๗-๒๕๖๑) พร้อมทั้งสั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำแผนสิทธิมนุษยชนแห่งชาติไปสู่การปฏิบัติด้วยการแปลงแผนสิทธิมนุษยชนแห่งชาติไปสู่แผนบริหารราชการแผ่นดิน แผนปฏิบัติราชการกระทรวง กรม แผนพัฒนาจังหวัด แผนพัฒนาองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ตลอดจนแผนพัฒนาองค์กรต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง แล้วจัดทำเป็นโครงการ/กิจกรรม เพื่อรองรับการดำเนินงานตามแผนสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ โดยใช้งบประมาณของหน่วยงานมาดำเนินการในการพิจารณานำมิติด้านสิทธิมนุษยชนมาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของหน่วยงาน ๑.๒ กำหนดให้หน่วยงานต่าง ๆ รายงานผลการปฏิบัติงานตามแผนสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ฉบับที่ ๓ เมื่อสิ้นปีงบประมาณ ปีละ ๑ ครั้ง ภายในเดือนพฤศจิกายนของทุกปี และมอบหมายให้กระทรวงยุติธรรมรับผิดชอบการกำหนดแนวทาง วิธีการรายงานผลและแบบรายงานผลการดำเนินงาน พร้อมแจ้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับทราบและถือปฏิบัติ ๑.๓ มอบหมายให้กระทรวงยุติธรรม โดยกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ จัดทำคำแปลบทสรุปแผนสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ฉบับที่ ๓ เป็นภาษาอังกฤษ สำหรับเผยแพร่นานาประเทศ โดยการจัดทำคำแปล จะประสานผู้ทรงคุณวุฒิและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมพิจารณา ๒. ให้กระทรวงยุติธรรมชี้แจงทำความเข้าใจกับทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับการจัดทำแผนปฏิบัติการ (Action Plan) และการรายงานผลตามแผนสิทธิมนุษยชนแห่งชาติดังกล่าวให้ถูกต้องชัดเจนต่อไป ๓. ให้กระทรวงยุติธรรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดดำเนินการตามข้อสั่งการของหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติและของนายกรัฐมนตรี รวมทั้งมติคณะรักษาความสงบแห่งชาติและมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องกับการแก้ไขปัญหาสิทธิมนุษยชน เช่น มติคณะรักษาความสงบแห่งชาติเมื่อวันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๕๕๗ (เรื่อง ข้อสั่งการของหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ) ด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ เกี่ยวกับปัญหาการค้ามนุษย์ มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๘ ตุลาคม ๒๕๕๗ (เรื่อง สถานการณ์การค้ามนุษย์และการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ของประเทศไทย) และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๗ (เรื่อง รายงานการประเมินสถานการณ์สิทธิมนุษยชนในประเทศไทย และรายงานผลการปฏิบัติงานประจำปี ๒๕๕๕) เป็นต้น เพื่อสนับสนุนให้การดำเนินการตามแผนสิทธิมนุษยชนแห่งชาติบังเกิดผลเป็นรูปธรรมต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
555 | รายงานการเงินรวมภาครัฐ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2556 | กค | 21/10/2557 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบและเห็นชอบรายงานการเงินภาครัฐ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ประกอบด้วยงบแสดงฐานะทางการเงิน งบรายได้และค่าใช้จ่ายของรัฐบาลกลางและหน่วยงานภาครัฐ (ส่วนราชการ มหาวิทยาลัยของรัฐ จังหวัด กลุ่มจังหวัด หน่วยงานอิสระ องค์การมหาชน และมหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐ) กองทุนและเงินทุนหมุนเวียน รัฐวิสาหกิจ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) จำนวน ๘,๑๘๘ หน่วยงาน จากทั้งหมด ๘,๓๘๘ หน่วยงาน คิดเป็นร้อยละ ๙๗.๘๐ ซึ่งผลการวิเคราะห์พบว่า กลุ่มรัฐวิสาหกิจมีสินทรัพย์รวมมากที่สุด มูลค่ารวม ๑๑.๘๑ ล้านล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นสถาบันการเงินและธุรกิจพลังงาน สำหรับรัฐบาลกลางและหน่วยงานภาครัฐมีสินทรัพย์รวม ๙.๑๒ ล้านล้านบาท ส่วนใหญ่อยู่ในรูปที่ดินราชพัสดุ เงินกู้ในภาพรวม ๗.๔๓ ล้านล้านบาท เป็นของรัฐบาลกลาง ๓.๗๒ ล้านล้านบาท รองลงมาเป็นของรัฐวิสาหกิจ ๓.๖๗ ล้านล้านบาท รายได้ในภาพรวมเป็นของรัฐวิสาหกิจ ๔.๙๘ ล้านล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นรายได้ของธุรกิจพลังงานและการไฟฟ้า รองลงมาเป็นรายได้ของรัฐบาลกลางและหน่วยงานภาครัฐ ๒.๘๐ ล้านล้านบาท ค่าใช้จ่ายส่วนใหญ่เป็นค่าใช้จ่ายต้นทุนขายและบริการในภาครัฐวิสาหกิจและค่าใช้จ่ายบุคลากรของรัฐบาลกลางและหน่วยงานภาครัฐ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการพิจารณาปรับปรุงลักษณะการวิเคราะห์ให้สามารถสะท้อนถึงประสิทธิภาพการบริหารจัดการ และความเสี่ยงทางการคลังของภาครัฐในภาพรวม การให้ความรู้ในด้านการบันทึกข้อมูลทางบัญชีให้กับเจ้าหน้าที่ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเพื่อให้สามารถจัดทำบัญชีได้อย่างถูกต้องตามมาตรฐานที่กำหนด รวมทั้งให้มีการแยกการรายงานในส่วนของรัฐวิสาหกิจที่เป็นสถาบันการเงินและไม่ใช่สถาบันการเงินออกจากกัน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๒. เนื่องจากการรายงานฐานะของกองทุนและทุนหมุนเวียนเป็นองค์ประกอบหนึ่งของรายงานการเงินรวมภาครัฐ ซึ่งที่ผ่านมาหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติได้เคยมีข้อสั่งการ (๒๙ กรกฎาคม ๒๕๕๗ และ ๑๙ สิงหาคม ๒๕๕๗) เกี่ยวกับเรื่องกองทุนต่าง ๆ โดยมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรวบรวมผลการดำเนินงานของกองทุนต่าง ๆ ที่อยู่ในความรับผิดชอบ และส่งให้กระทรวงการคลัง (กรมบัญชีกลาง) วิเคราะห์ และเสนอแนวทางการปรับปรุงพัฒนา หรือยกเลิกกองทุนเพื่อเสนอคณะรักษาความสงบแห่งชาติ รวมทั้งคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๗ (เรื่อง ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี) มอบหมายให้กระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเป็นผู้รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับงบประมาณของกองทุนหมุนเวียนที่อยู่ภายใต้การดูแลของกระทรวงการคลังและกองทุนอื่น ๆ ของทุกหน่วยงานเพื่อนำเสนอรองนายกรัฐมนตรี (นายยงยุทธ ยุทธวงศ์) พิจารณาประกอบการจัดทำยุทธศาสตร์การวิจัยและการพัฒนาก่อนเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ดังนั้น จึงให้กระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเร่งรัดดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องตามข้อสั่งการของหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติและมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าวต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
556 | ร่างพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. .... | อก | 21/10/2557 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการนำกฎหมายว่าด้วยแร่ และกฎหมายว่าด้วยพิกัดอัตราค่าภาคหลวงแร่มาบัญญัติไว้ในฉบับเดียวกัน และปรับปรุงแก้ไขให้เหมาะสมกับสภาวการณ์ปัจจุบัน เช่น การบริหารจัดการทรัพยากรแร่ หลักเกณฑ์การอนุญาตและการควบคุมกำกับดูแลการทำเหมือง การส่งเสริมให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและชุมชนมีส่วนร่วมในการบริหารจัดการแร่ กลไกการรองรับในการที่ประเทศไทยจะเข้าสู่ประชาคมอาเซียนและการกำหนดวิธีการจัดเก็บค่าภาคหลวงแร่ เป็นต้น ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน ๒. ให้รับความเห็นของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขเกี่ยวกับการทำเหมืองแร่ที่อาจมีผลกระทบต่อแหล่งต้นน้ำและแหล่งน้ำใต้ดิน กับผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในพื้นที่ที่เป็นแหล่งต้นน้ำหรือป่าน้ำซึมซับ เพื่อรักษาระบบนิเวศและความอุดมสมบูรณ์ของแหล่งน้ำธรรมชาติ และให้รับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงยุติธรรม สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงานศาลยุติธรรม เกี่ยวกับค่าธรรมเนียมในการออกใบอาชญาบัตรและประทานบัตรควรกำหนดให้เป็นรายได้ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นนั้นทั้งจำนวน การดำเนินการศึกษาถึงความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจของการทำเหมืองแร่แต่ละประเภทเพื่อเป็นแนวทางในการออกประกาศกฎกระทรวงเกี่ยวกับหลักเกณฑ์ของการทำเหมืองแร่ประเภทต่าง ๆ การกำหนดนโยบายที่ชัดเจนให้พื้นที่ลุ่มน้ำชั้น ๑ เอ เป็นพื้นที่ห้ามมิให้ใช้ประโยชน์ในการทำเหมืองแร่ การผลักดันให้เกิดการพัฒนาเหมืองสีเขียวอย่างเป็นรูปธรรม โดยสร้างกระบวนการมีส่วนร่วมของภาคประชาชนและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียให้เกิดผลสัมฤทธิ์ตั้งแต่ระดับนโยบายจนถึงระดับปฏิบัติ รวมถึงสนับสนุนให้ภาคเอกชนนำแนวคิดความรับผิดชอบต่อสังคมและหลักการของผู้ก่อมลพิษเป็นผู้จ่ายมาใช้ในการประกอบธุรกิจ เป็นต้น ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งร่างพระราชบัญญัติฯ ให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณาต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
557 | ร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ พ.ศ. .... | ทส | 14/10/2557 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว และให้ดำเนินการต่อไปได้ มีสาระสำคัญ ดังนี้ ๑.๑ กำหนดนิยามคำว่า “การบริหารจัดการ” “ที่ดิน” และ “ทรัพยากรดิน” ๑.๒ กำหนดให้มีคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ เรียกโดยย่อว่า คทช. ประกอบด้วย นายกรัฐมนตรี เป็นประธานกรรมการ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง เป็นรองประธานกรรมการ คนที่ ๑ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นรองประธานกรรมการ คนที่ ๒ มีกรรมการโดยตำแหน่งอีก ๙ คน และมีกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิจำนวนไม่เกิน ๑๐ คน ซึ่งนายกรัฐมนตรีแต่งตั้งจากผู้แทนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ผู้แทนองค์กรเอกชนที่มีฐานะเป็นนิติบุคคลตามกฎหมายไทย โดยมีเลขาธิการสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นกรรมการและเลขานุการ และข้าราชการในสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่ได้รับมอบหมายจากเลขาธิการสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จำนวนไม่เกิน ๒ คน เป็นผู้ช่วยเลขานุการ ๑.๓ กำหนดให้กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิมีวาระการดำรงตำแหน่งคราวละ ๔ ปี นับแต่วันที่ได้รับแต่งตั้ง และอาจได้รับแต่งตั้งอีกได้แต่ต้องไม่เกิน ๒ วาระติดต่อกัน ๑.๔ กำหนดอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ ๑.๕ กำหนดค่าใช้จ่ายสำหรับเบี้ยประชุม ค่าตอบแทน รวมทั้งค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการดำเนินงานของคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติและคณะอนุกรรมการ ๒. อนุมัติให้ยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๒ มิถุนายน ๒๕๒๕ (เรื่อง นโยบายการใช้และกรรมสิทธิ์ที่ดิน และนโยบายเกี่ยวกับการจัดตั้งธนาคารที่ดิน) เฉพาะในส่วนของข้อ ฉ (ที่กำหนดให้การจัดที่ดินซึ่งหน่วยงานต่าง ๆ ที่กำลังดำเนินการอยู่ในปัจจุบันให้ดำเนินการต่อไป แต่ไม่ให้ขยายพื้นที่ดำเนินการ และให้หน่วยงานที่รับผิดชอบทำแผนปฏิบัติการ หรือโครงการในการจัดที่ดินที่เหลืออยู่ให้เสร็จสิ้นภายใน ๕ ปี) ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
558 | ข้อสั่งการของหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติและนายกรัฐมนตรี | นร | 07/10/2557 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ในคราวประชุมร่วมคณะรักษาความสงบแห่งชาติและคณะรัฐมนตรี หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติและนายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการ ดังนี้
๑. ด้านการบริหารราชการแผ่นดินและอื่น ๆ ๑.๑ ให้ทุกส่วนราชการเร่งดำเนินโครงการที่มีประโยชน์ต่อประชาชนอย่างทั่วถึงให้เกิดเป็นรูปธรรมโดยเร็ว เพื่อมอบให้เป็นของขวัญปีใหม่แก่ประชาชน เช่น การจัดหารถเมล์ NGV ใหม่ โรงงานกำจัดขยะ เป็นต้น ๑.๒ ให้ทุกส่วนราชการพิจารณาเรื่องสำคัญที่ต้องดำเนินการและจัดทำเป็นแผนปฏิบัติการระยะ ๓ เดือน ๖ เดือน ๙ เดือน และ ๑ ปี พร้อมทั้งกำหนดผลสัมฤทธิ์และระยะเวลาแต่ละกิจกรรมเพื่อให้มีความชัดเจนในการปฏิบัติ รวมทั้งสามารถติดตามและประเมินผลการดำเนินการได้ แล้วส่งให้นายกรัฐมนตรีภายในวันที่ ๑๕ ตุลาคม ๒๕๕๗ ๑.๓ ให้ทุกส่วนราชการจัดเตรียมข้อมูลในความรับผิดชอบเพื่อชี้แจงประชาชนผ่านรายการเดินหน้าประเทศไทยที่ออกอากาศทุกวันทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย เพื่อสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องและเป็นประโยชน์ต่อประชาชน ทั้งนี้ หากส่วนราชการใดมีเรื่องจำเป็นจะต้องชี้แจงอย่างเร่งด่วนสามารถส่งเรื่องที่ต้องการชี้แจงให้คณะรักษาความสงบแห่งชาติพิจารณาก่อนได้ ๑.๔ ให้ทุกส่วนราชการติดตามข้อมูลข่าวสารและความคิดเห็นจากสื่อต่าง ๆ เกี่ยวกับภารกิจหรือการดำเนินงานในความรับผิดชอบ เพื่อใช้ประกอบการปรับปรุงแก้ไขให้การดำเนินงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น และหากข้อมูลใดที่ไม่ตรงกับข้อเท็จจริงให้ส่วนราชการนั้นชี้แจงให้ประชาชนได้รับทราบข้อมูลที่ถูกต้องด้วย ๑.๕ ตามที่มีข่าวแพร่หลายอยู่ในขณะนี้ว่า จะมีการยุบเลิกองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นนั้น ให้กระทรวงมหาดไทยเร่งชี้แจงสร้างความเข้าใจให้ส่วนราชการในสังกัดและประชาชนว่า รัฐบาลไม่มีนโยบายในเรื่องดังกล่าว ๒. ด้านเศรษฐกิจ ๒.๑ ให้ส่วนราชการที่มีหน้าที่ในการพิจารณาอนุญาตเกี่ยวกับการกำหนดมาตรฐานของสินค้า บริการ และอื่น ๆ เช่น สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม หาแนวทางการลดขั้นตอนในการพิจารณาอนุญาตเพื่อให้มีความสะดวก รวดเร็ว และสนับสนุนให้ผู้ประกอบการสามารถแข่งขันกับต่างประเทศได้ ๒.๒ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมดำเนินการแต่งตั้งคณะกรรมการแก้ไขปัญหาเรื่องที่ดินทำกินขึ้น โดยให้มีผู้แทนส่วนราชการที่เกี่ยวข้องร่วมเป็นกรรมการ รวมทั้งให้มีผู้แทนจากภาคเอกชนและภาคประชาชนในพื้นที่เข้ามามีส่วนร่วมในคณะกรรมการด้วย ๒.๓ โดยที่ปัจจุบันประชาชนนิยมสัญจรด้วยรถจักรยานส่งผลให้มีความต้องการซื้อรถจักรยานสูงขึ้น แต่เนื่องจากรถจักรยานที่มีประสิทธิภาพมักจะมีราคาแพงและประเทศไทยยังมีช่องทางเดินรถสำหรับรถจักรยานน้อย จึงให้กระทรวงพาณิชย์และกระทรวงอุตสาหกรรมพิจารณาหาแนวทางการผลิตรถจักรยานที่มีมาตรฐานและจำหน่ายในราคาถูก และให้กระทรวงคมนาคมและกระทรวงมหาดไทยพิจารณาจัดช่องทางเดินรถที่มีความปลอดภัยสำหรับรถจักรยานในทุกจังหวัดด้วย ๓. ด้านสังคม ๓.๑ ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีนโยบายในการจัดระเบียบสังคม เช่น การจัดระเบียบทางเท้า การจัดระเบียบชายหาด การจัดระเบียบพื้นที่เกษตรกรรมที่บุกรุกป่าสงวน นั้น ส่งผลให้ประชาชนผู้มีรายได้น้อยที่เคยใช้ประโยชน์ในพื้นที่เหล่านั้นได้รับผลกระทบเป็นจำนวนมาก จึงให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาหาแนวทางการจัดพื้นที่ทำกินหรือใช้ประกอบอาชีพให้แก่ผู้ที่ได้รับผลกระทบดังกล่าว เช่น การจัดตลาดนัดถนนคนเดินเพื่อให้ผู้ได้รับผลกระทบมีพื้นที่ในการค้าขายเป็นการชั่วคราว ๓.๒ ให้ทุกหน่วยงานนำข้อมูลโครงการในพระราชดำริต่าง ๆ แนวคิดเกษตรทฤษฎีใหม่ ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง เป็นต้น เผยแพร่ต่อสาธารณชนในสื่อต่าง ๆ ทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ โดยเฉพาะทางสื่อออนไลน์ เพื่อให้สะดวกในการเข้าถึงข้อมูล นอกจากนี้ ให้ห้องสมุดของสถานศึกษาจัดให้มีข้อมูลดังกล่าวเพื่อเป็นแหล่งความรู้ในสถานศึกษาด้วย ๔. ด้านการต่างประเทศ ๔.๑ ในการให้ความช่วยเหลือตามที่ต่างประเทศหรือองค์กรนานาชาติร้องขอ โดยการส่งบุคลากรเข้าร่วมปฏิบัติภารกิจต่าง ๆ เช่น การฟื้นฟูภัยพิบัติ การระงับภัยจากโรคระบาด นั้น ให้หน่วยงานที่รับผิดชอบพิจารณาความจำเป็น เหมาะสม โดยคำนึงถึงความพร้อมของบุคลากร ความปลอดภัยและการป้องกันความเสี่ยงสำหรับบุคลากรที่จะต้องไปปฏิบัติหน้าที่ในต่างประเทศ ๔.๒ ให้กระทรวงการต่างประเทศประชาสัมพันธ์ชี้แจงการดำเนินงานของคณะรักษาความสงบแห่งชาติและคณะรัฐมนตรีที่มุ่งเน้นการสร้างความสมานฉันท์ปรองดอง ความสงบเรียบร้อยของประเทศ โดยให้ความสำคัญอย่างยิ่งต่อการคุ้มครองสิทธิมนุษยชน เพื่อให้ต่างชาติมีความเข้าใจที่ถูกต้องในแนวทางการทำงานข้างต้น ๔.๓ ในการเตรียมประเด็นเพื่อใช้ในการเจรจาระหว่างประเทศ ให้หน่วยงานที่รับผิดชอบพิจารณานำ ๔ ประเด็นหลักที่ทุกเวทีโลกให้ความสำคัญ ประกอบด้วย ๑) การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) ๒) การแพร่ระบาดของโรคร้ายแรง (Pandemics) ๓) การก่อการร้ายของกลุ่มอิสลามหัวรุนแรง (ISIS/ISIL) และ ๔) การพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development) รวมในประเด็นการเจรจา รวมทั้งให้มุ่งนำเสนอประเด็นเกี่ยวกับการดำเนินการของรัฐบาลเพื่อเดินหน้าประเทศไทยตาม Roadmap ของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
559 | ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | นร | 01/10/2557 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการ ดังนี้
๑. ด้านเศรษฐกิจ ๑.๑ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงการคลัง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการตรวจสอบสต็อกผลผลิตทางการเกษตรที่อยู่ในความรับผิดชอบให้แล้วเสร็จโดยเร็ว ทั้งนี้ ให้คณะอนุกรรมการจัดทำบัญชีข้าวคงเหลือของรัฐเร่งดำเนินการตรวจสอบปริมาณและคุณภาพข้าวสารในสต็อกของรัฐบาลให้แล้วเสร็จภายในวันที่ ๑๕ ตุลาคม ๒๕๕๗ ๑.๒ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงอุตสาหกรรมพิจารณาหาแนวทางการบริหารจัดการผลผลิตทางการเกษตรทุกชนิดอย่างเป็นระบบให้ครอบคลุมตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ ทั้งนี้ ให้ทุกส่วนราชการส่งเสริมการใช้ผลิตภัณฑ์ซึ่งผลิตจากวัตถุดิบในประเทศ เช่น ที่นอนยางพารา ๑.๓ ให้กระทรวงการคลังเร่งดำเนินการศึกษาหาแนวทางและมาตรการในการลดภาระหนี้สินครัวเรือนและหนี้นอกระบบที่เพิ่มสูงขึ้นในปัจจุบันให้เกิดเป็นรูปธรรมและเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาโดยเร็ว ๑.๔ ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาและกระทรวงมหาดไทยประสานงานองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นดำเนินการพิจารณากำหนดพื้นที่ท่องเที่ยวสำคัญที่สมควรจัดให้มีมาตรการดูแลรักษาความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินเป็นการเร่งด่วน ๑.๕ มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (หม่อมราชวงศ์ปรีดิยาธร เทวกุล) จัดให้มีเวทีการพบปะพูดคุยกับนักธุรกิจชั้นนำจากสาขาต่าง ๆ เพื่อสร้างความเข้าใจและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นที่เป็นประโยชน์ต่อการขับเคลื่อนนโยบายของรัฐบาล ๒. ด้านการต่างประเทศ ๒.๑ ในโอกาสที่นายกรัฐมนตรีจะเดินทางเยือนสาธารณรัฐประชาชนจีน สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา และสาธารณรัฐอิตาลี ให้ทุกส่วนราชการที่เกี่ยวข้องดำเนินการจัดเตรียมข้อมูลให้ครอบคลุมทั้งมิติเศรษฐกิจ สังคม และความมั่นคง รวมถึงความคืบหน้าในการดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องสิทธิมนุษยชนเสนอนายกรัฐมนตรีด้วย ๒.๒ ในการเข้าร่วมประชุมระหว่างประเทศในโอกาสต่าง ๆ ขอให้ทุกส่วนราชการบูรณาการการทำงานกันอย่างใกล้ชิด เพื่อให้การดำเนินการกำหนดท่าที การเจรจา และการเสนอความเห็นของประเทศไทยในเวทีต่าง ๆ มีความเป็นเอกภาพและเกิดประโยชน์สูงสุด ๓. ด้านการบริหารราชการ ๓.๑ ให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีกำชับให้ส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐในกำกับดูแลทำความเข้าใจและปฏิบัติตามแนวทางการทำงานของรัฐบาล ที่มุ่งเน้นการทำงานเชิงรุกเพื่อขับเคลื่อนนโยบายให้บังเกิดผลเป็นรูปธรรม โดยยึดมั่นในหลักความโปร่งใสและปราศจากการทุจริตในการปฏิบัติราชการทุกระดับ และมุ่งเดินหน้าสร้างความปรองดองควบคู่ไปกับการปฏิรูป ๓.๒ ให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารประสานงานกับทุกหน่วยงานในการบูรณาการการใช้ประโยชน์ร่วมกันจากฐานข้อมูลที่มีอยู่ โดยปรับปรุงฐานข้อมูลที่อยู่ในความรับผิดชอบให้ทันสมัยและพร้อมใช้งานทุกเวลา โดยเฉพาะฐานข้อมูลที่ใช้รองรับการให้บริการประชาชน เมื่อดำเนินการปรับปรุงแล้วเสร็จ ให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารแจ้งศูนย์ดำรงธรรมทราบ เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ในการให้บริการประชาชนแบบเบ็ดเสร็จ (One-Stop Service) ต่อไป ๔. ด้านสังคม ๔.๑ ให้รองนายกรัฐมนตรี (นายยงยุทธ ยุทธวงศ์) ประสานงานกับทุกส่วนราชการเพื่อจัดทำยุทธศาสตร์การวิจัยและพัฒนาซึ่งครอบคลุมใน ๓ มิติ คือ การวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยี การพัฒนาคน และการพัฒนาเศรษฐกิจ โดยให้บูรณาการงบประมาณในการดำเนินการจากกองทุนหมุนเวียนที่อยู่ภายใต้การดูแลของกระทรวงการคลังและกองทุนอื่น ๆ ของทุกหน่วยงาน และให้กระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเป็นผู้รวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวข้องข้างต้น เพื่อนำเสนอรองนายกรัฐมนตรี (นายยงยุทธ ยุทธวงศ์) พิจารณาก่อนเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ๔.๒ ให้ทุกส่วนราชการพิจารณากำหนดแนวทางในการเตรียมความพร้อมของบุคลากรเพื่อรองรับการก้าวเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนในปี ๒๕๕๘ โดยเน้นการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน นอกจากนี้ ให้ทุกส่วนราชการพิจารณาถึงการดูแลให้ความช่วยเหลือบุตรธิดาของเจ้าหน้าที่ที่เสียชีวิตจากการปฏิบัติงานในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ให้สามารถศึกษาต่อจนจบหลักสูตรการศึกษาและมีโอกาสในการทำงานที่ดีด้วย ๔.๓ ให้กระทรวงมหาดไทยกำหนดแนวทางการจัดระเบียบสังคมตามนโยบายของรัฐบาลในเรื่องต่าง ๆ เช่น การจัดระเบียบรถตู้และรถจักรยานยนต์โดยสารสาธารณะให้มีความต่อเนื่องและยั่งยืน โดยใช้กลไกเครือข่ายภาคประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการดำเนินการ ๕. ด้านกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม ๕.๑ ตามที่ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาประสานทุกส่วนราชการเพื่อจัดทำแผนการเสนอร่างกฎหมายในระยะ ๑ ปี นั้น ให้ทุกส่วนราชการเร่งเสนอร่างกฎหมายที่มีความจำเป็นเร่งด่วนโดยเร็ว และให้เร่งรัดจัดกลุ่มกฎหมาย แล้วส่งไปยังสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเพื่อรวบรวมเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ทั้งนี้ สำหรับกฎหมายเร่งด่วนหรือกฎหมายที่มีลักษณะพิเศษซึ่งอาจต้องใช้ระยะเวลาในการพิจารณานาน เช่น ภาษีมรดก อย่างน้อยให้ประกาศใช้บังคับก่อนไตรมาสที่ ๓ ๕.๒ ให้รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) ร่วมกับฝ่ายกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมพิจารณาหาแนวทางในการดำเนินการเพื่อให้รัฐบาลสามารถขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาเร่งด่วนหรือนโยบายสำคัญตามแนวทางที่สอดคล้องกับร่างกฎหมายต่าง ๆ ที่รัฐบาลเสนอและอยู่ในระหว่างการพิจารณาในขั้นตอนทางนิติบัญญัติซึ่งอาจต้องใช้ระยะเวลานาน เพื่อบรรเทาผลกระทบจากปัญหาเร่งด่วนได้อย่างรวดเร็ว ๕.๓ ให้สำนักงานศาลยุติธรรมแจ้งข้อมูลเกี่ยวกับแผนการจัดตั้งศาลแขวงและศาลจังหวัดในภาพรวมทั่วประเทศในระยะ ๕ ปี ไปยังรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ๖. ด้านอื่น ๆ ให้กระทรวงมหาดไทย (กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย) ติดตามการรายงานและการพยากรณ์เกี่ยวกับสภาพภูมิอากาศและระดับน้ำอย่างใกล้ชิด เพื่อเตรียมการประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ ให้ดำเนินการวิเคราะห์ข้อมูลว่า ภัยแล้งจะส่งผลกระทบต่อประชาชนในแต่ละพื้นที่อย่างไร โดยเฉพาะผลกระทบด้านการเกษตร
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
560 | รายงานผลการปฏิบัติงานของคณะกรรมการวิธีการปฏิบัติราชการทางปกครองตามพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539 ประจำปี 2556 | นร09 | 23/09/2557 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบรายงานผลการปฏิบัติงานของคณะกรรมการวิธีปฏิบัติราชการทางปกครองตามพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ ประจำปี ๒๕๕๖ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอ โดยมีผลงานในรอบปีสรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ ให้คำแนะนำปรึกษาแก่เจ้าหน้าที่เกี่ยวกับการปฏิบัติตามพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ โดยคณะกรรมการวิธีปฏิบัติราชการทางปกครองได้ให้คำปรึกษาแก่เจ้าหน้าที่เกี่ยวกับการปฏิบัติตามพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ โดยตอบข้อหารือแก่หน่วยงานของรัฐ ๑.๒ การเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ความรู้เกี่ยวกับกฎหมายว่าด้วยวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง โดยสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาซึ่งทำหน้าที่เป็นสำนักงานเลขานุการของคณะกรรมการวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง ได้จัดฝึกอบรมข้าราชการของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เพื่อเป็นวิทยากรออกไปเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับกฎหมายว่าด้วยวิธีปฏิบัติราชการทางปกครองตามที่หน่วยงานของรัฐต่าง ๆ ร้องขอ ทั้งในส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค และส่วนท้องถิ่น นอกจากนี้ ได้จัดเจ้าหน้าที่ไว้ให้คำปรึกษาทางโทรศัพท์แก่เจ้าหน้าที่ในหน่วยงานต่าง ๆ ของรัฐ และประชาชนที่ต้องการปรึกษาปัญหาเกี่ยวกับกฎหมายว่าด้วยวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง อีกทั้งได้เผยแพร่เอกสารที่จัดพิมพ์ขึ้นเพื่อเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับกฎหมายว่าด้วยวิธีปฏิบัติราชการทางปกครองให้แก่หน่วยงานต่าง ๆ ของรัฐ และประชาชนที่สนใจ ๒. ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาและหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องดำเนินการจัดกิจกรรมต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง เช่น การจัดอบรม สัมมนา เป็นต้น เพื่อเผยแพร่ความรู้ความเข้าใจในสาระสำคัญและการปฏิบัติตามกฎหมายว่าด้วยวิธีปฏิบัติราชการทางปกครองให้เจ้าหน้าที่ของรัฐและประชาชนผู้สนใจทราบโดยทั่วกันด้วย
|
.....