ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 68 จากทั้งหมด 137 หน้า แสดงรายการที่ 1341 - 1360 จากข้อมูลทั้งหมด 2735 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
1341 | การนำเสนอข้อมูลสภาวะอากาศ | ทก | 18/03/2551 | |||||||||||||||||||||||||||
สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอข้อมูลสภาวะอากาศ ของกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อ
สาร โดยกรมอุตุนิยมวิทยารายงานลักษณะอากาศในช่วง 7 วันที่ผ่านมา (10-16 มีนาคม 2551) ประเทศไทย ตอนบนมีอากาศร้อน กับมีฝนฟ้าคะนองและลมกระโชกแรงในบางพื้นที่ ปริมาณฝนสูงสุดวัดได้ 54.5 มิลลิเมตร ที่ อำเภอสนามชัยเขต จังหวัดฉะเชิงเทรา ส่วนคลื่นลมในอ่าวไทย ตั้งแต่จังหวัดสุราษฎร์ธานีลงไปถึงนราธิวาสมีกำลัง ค่อนข้างแรงโดยทะเลมีคลื่นสูง 2-3 เมตร สำหรับลักษณะอากาศในช่วง 7 วันข้างหน้า (17-23 มีนาคม 2551) ทุกภาคของประเทศจะมีอากาศร้อนถึงร้อนจัดในตอนกลางวัน และอาจเกิดพายุฤดูร้อน โดยจะมีพายุฝนฟ้าคะนอง ลมกระโชกแรง และลูกเห็บตกในบางพื้นที่โดยเฉพาะในภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
|
||||||||||||||||||||||||||||||
1342 | การนำเสนอข้อมูลสภาวะอากาศ | ทก | 11/03/2551 | |||||||||||||||||||||||||||
สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอข้อมูลสภาวะอากาศ ของกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อ
สาร โดยกรมอุตุนิยมวิทยารายงานลักษณะอากาศในช่วง 7 วันที่ผ่านมา (3-9 มีนาคม 2551) ภาคเหนือและภาค ตะวันออกเฉียงยังคงมีอากาศหนาวเย็น ภาคตะวันออกและภาคใต้มีฝนตกหนักบางแห่ง โดยปริมาณฝนสูงสุดวัดได้ 59.2 มิลลิเมตร ที่อำเภอขลุง จังหวัดจันทบุรี และ 98.3 มิลลิเมตร ที่อำเภอสุไหงโก-ลก จังหวัดนราธิวาส ส่วน คลื่นลมในอ่าวไทย ตั้งแต่จังหวัดสุราษฎร์ธานีลงไปถึงนราธิวาสมีกำลังค่อนข้างแรง นอกจากนี้ สภาวะหมอกควัน บริเวณภาคเหนือตอนบนยังคงปกคลุมอยู่บางพื้นที่ของจังหวัดแม่ฮ่องสอน เชียงใหม่ และเชียงราย สำหรับลักษณะ อากาศในช่วง 7 วันข้างหน้า (10-16 มีนาคม 2551) อุณหภูมิจะสูงขึ้น เว้นแต่ในภาคเหนือและภาคตะวันออก เฉียงเหนือยังคงมีอากาศเย็นกับมีหมอกในตอนเช้า ภาคใต้จะมีฝนฟ้าคะนองเป็นแห่ง ๆ ถึงกระจาย คลื่นลมในอ่าว ไทยตั้งแต่จังหวัดนครศรีธรรมราชลงไปยังคงมีกำลังค่อนข้างแรง
|
||||||||||||||||||||||||||||||
1343 | รายงานสถานการณ์เศรษฐกิจอุตสาหกรรม ประจำเดือนมกราคม 2551 | อก | 04/03/2551 | |||||||||||||||||||||||||||
สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอข้อมูลสถานการณ์เศรษฐกิจอุตสาหกรรม ประจำเดือนมกราคม
2551 ของกระทรวงอุตสาหกรรม สรุปได้ดังนี้ อุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม การผลิตและการส่งออกจะ เพิ่มขึ้น เนื่องจากมีการสนับสนุนให้ผู้ประกอบการภายในประเทศปรับเปลี่ยนการผลิต โดยเน้นการผลิตสินค้า ที่มีคุณภาพสูงขึ้นและมีการใช้เทคโนโลยีการผลิตที่สูงขึ้น อุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ การผลิตและการจำหน่ายใน ประเทศจะเพิ่มขึ้นเนื่องจากเริ่มเข้าสู่ฤดูกาลก่อสร้าง ประกอบกับความเชื่อมั่นในการบริโภคและการลงทุนที่ฟื้น ตัวขึ้น ในด้านการส่งออกจะยังขยายตัวได้ดี โดยเฉพาะในประเทศเพื่อนบ้านในแถบอาเซียนและเอเซียใต้ รวมทั้ง ตลาดใหม่ เช่น ตะวันออกกลาง ยุโรป ละตินอเมริกา และแอฟริกา อุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ ภาวะ อุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าจะปรับตัวสูงขึ้นเล็กน้อย เช่น เครื่องปรับอากาศ ตู้เย็น เป็นต้น ในขณะที่สินค้าบาง ชนิด เช่น เครื่องรับโทรทัศน์ ปรับตัวลดลงเนื่องจากสินค้าดังกล่าวไทยส่งออกไปยังประเทศสหรัฐอเมริกาเป็น ตลาดหลัก ประกอบกับการถูกตัดจีเอสพีจนถึงเดือนมิถุนายน 2551 ทำให้คำสั่งซื้อในตลาดนี้ลดลง
|
||||||||||||||||||||||||||||||
1344 | การนำเสนอข้อมูลสภาวะอากาศ | ทก | 04/03/2551 | |||||||||||||||||||||||||||
สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอข้อมูลสภาวะอากาศ ของกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการ
สื่อสาร โดยกรมอุตุนิยมวิทยา รายงานลักษณะอากาศในช่วง 7 วันที่ผ่านมา (26 กุมภาพันธ์-3 มีนาคม 2551) ภาคเหนือมีฝนฟ้าคะนองกับมีพายุลมแรง และลูกเห็บตกในบางพื้นที่ของภาคเหนือตอนบน ส่วนภาคใต้มีฝนตก กระจายและมีฝนตกหนักถึงหนักมากในหลายพื้นที่ของจังหวัดนครศรีธรรมราช พัทลุง ปัตตานี และนราธิวาส สำหรับลักษณะอากาศในช่วง 7 วันข้างหน้า (4-10 มีนาคม 2551) ภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ของประเทศไทยมีอากาศหนาวเย็นและมีหมอกในช่วงเช้า โดยจังหวัดเชียงรายและเชียงใหม่จะมีฝนฟ้าคะนองและ ลมกระโชกแรงในบางพื้นที่ ส่วนภาคใต้มีฝนตกกระจาย และมีฝนตกหนักบางแห่ง รวมถึงคลื่นลมในอ่าวไทยตอน ล่างจะมีกำลังแรงขึ้น
|
||||||||||||||||||||||||||||||
1345 | สรุปภาวะเศรษฐกิจไตรมาส 4/2550 และแนวโน้มเศรษฐกิจปี 2551 | นร | 26/02/2551 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติราย
งานสรุปภาวะเศรษฐกิจไตรมาส 4/2550 และแนวโน้มเศรษฐกิจปี พ.ศ. 2551 โดยผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ไตรมาสที่ 4/2550 ขยายตัวร้อยละ 5.7 สูงกว่าขยายตัวร้อยละ 4.2 ในไตรมาสแรก ร้อยละ 4.3 ในไตร มาสสอง และร้อยละ 4.8 ในไตรมาสสาม และรวมทั้งปีเศรษฐกิจไทยขยายตัวร้อยละ 4.8 โดยไตรมาสที่สี่ปริมาณ การส่งออกสุทธิยังคงขยายตัวดีและสนับสนุนการขยายตัวของเศรษฐกิจได้มากกว่าในช่วง 3 ไตรมาสแรก การลง ทุนภาคเอกชนปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่อง รวมทั้งการเบิกจ่ายงบประมาณรัฐบาลเป็นไปตามเป้าหมาย และเบิกจ่ายได้ สูงกว่าในช่วงเดียวกันของปีงบประมาณ พ.ศ. 2549 ขณะที่การใช้จ่ายครัวเรือนยังอ่อนแอ สำหรับแนวโน้มเศรษฐ กิจไทยปี พ.ศ. 2551 มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นทั้งการใช้จ่ายและการลงทุนภาคเอกชน การใช้จ่ายและการลงทุน ภาครัฐ รวมทั้งการดำเนินนโยบายรัฐบาลเพื่อฟื้นฟูและสร้างความเข้มแข็งของเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตามรัฐบาลจะ ต้องบริหารความเสี่ยงและลดผลกระทบจากปัจจัยเสี่ยงเรื่องราคาน้ำมันที่สูงขึ้น และเศรษฐกิจโลกที่อาจจะชะลอ ตัวรุนแรงกว่าที่คาดไว้
|
||||||||||||||||||||||||||||||
1346 | รายงานการดำเนินงานของคณะกรรมการกำหนดนโยบายการดำเนินงานพัฒนาและส่งเสริมผู้มีความสามารถพิเศษทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี | ศธ | 22/01/2551 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการดำเนินงานคณะกรรมการกำหนดนโยบายการดำเนินงานพัฒนาและส่งเสริมผู้มีความสามารถพิเศษทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม) ประธานกรรมการกำหนดนโยบายการดำเนินงานพัฒนาและส่งเสริมผู้มีความสามารถพิเศษทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
๑. การประชุมคณะกรรมการกำหนดนโยบายฯ ครั้งที่ ๒๕/๑/๒๕๕๐ เมื่อวันที่ ๒๘ มิถุนายน ๒๕๕๐ ที่ประชุมมีมติ ๑.๑ เห็นชอบให้ฝ่ายเลขานุการฯ จัดทำคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการกำหนดนโยบายฯ และคณะอนุกรรมการชุดต่าง ๆ ที่อยู่ภายใต้โครงการพัฒนาและส่งเสริมผู้มีความสามารถพิเศษทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (โครงการ พสวท.) และโครงการส่งเสริมการผลิตครูที่มีความสามารถพิเศษทางวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ (โครงการ สควค.) เพื่อให้สอดคล้องกับมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๙ เมษายน ๒๕๔๘ เกี่ยวกับโครงการส่งเสริมการผลิตครูที่มีความสามารถพิเศษทางวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ (สควค.) ระยะที่ ๒ (พ.ศ. ๒๕๔๘-๒๕๔๙) โดยให้ทบทวนโครงสร้างของคณะอนุกรรมการฯ ในแต่ละคณะเพื่อให้ดำเนินภารกิจให้บรรลุเป้าหมาย ๑.๒ รับทราบการประสานงานกับศูนย์ส่งเสริมผู้มีความสามารถพิเศษแห่งชาติ โดยมีข้อสังเกตว่าการประสานงานกับศูนย์ส่งเสริมผู้มีความสามารถพิเศษฯ เป็นเรื่องของฝ่ายบริหาร คือ สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) ซึ่งมีหน้าที่ติดตาม ดูแล อย่างต่อเนื่อง และให้ สสวท. ดำเนินการตามมติที่ประชุมคณะกรรมการกำหนดนโยบายฯ ครั้งที่ ๒๔/๑/๒๕๔๗ ต่อไป ๑.๓ รับทราบรายงานผลการดำเนินงานโครงการ พสวท. โครงการโอลิมปิกวิชาการ และโครงการ สควค. โดยมีข้อเสนอแนะว่า สสวท. ควรเตรียมแผนที่จะรองรับผู้สำเร็จการศึกษา โดยกำหนดให้มีหน่วยงานรองรับก่อนที่จะเดินทางไปศึกษา เมื่อสำเร็จกลับมาแล้วมีงานทำได้ทันที และควรกำหนดอัตราเงินเดือน เพิ่มค่าตอบแทนให้สูงขึ้น เพื่อดึงดูดให้ผู้สำเร็จการศึกษากลับมาทำงานตอบแทนทุนการศึกษาในภาครัฐให้มากที่สุด ๑.๔ เห็นชอบให้แต่งตั้งคณะกรรมการเฉพาะกิจ เพื่อพิจารณาหลักเกณฑ์ใหม่ที่จะอนุญาตให้ผู้สำเร็จการศึกษา พสวท. ทำงานภาคเอกชนได้ โดยเปิดรับฟังความคิดจากหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง หรืออดีตนักเรียนทุน ๑.๕ เห็นชอบให้ปรับเงินทุนการศึกษาโครงการ พสวท. ให้เทียบเท่ากับทุนอื่นที่มีเป้าหมายเดียวกัน เช่น ทุนโครงการพัฒนาอัจฉริยภาพทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสำหรับเด็กและเยาวชน (JSTP) และให้คณะกรรมการเฉพาะกิจพิจารณากำหนดรายละเอียดเงินทุน แล้วนำเสนอที่ประชุมในเดือนตุลาคม ๒๕๕๐ ๑.๖ อนุมัติให้เพิ่มจำนวนทุนการศึกษาต่างประเทศสำหรับผู้รับทุนโครงการ พสวท. รวมจำนวน ๔๐ ทุน คือ ทุนปริญญาโท-เอก ปีละ ๓๐ ทุน ทุนปริญญาเอก ปีละ ๑๐ ทุน และเห็นชอบให้กำหนดสัดส่วนสาขาวิชาที่จะให้ทุนการศึกษาระดับปริญญาโท-เอก และปริญญาเอก ศึกษา ณ ต่างประเทศ คือ คณิตศาสตร์(๒๐) : เคมี(๒๐) : ชีววิทยา(๒๐) : ธรณีวิทยา/ดาราศาสตร์/และคอมพิวเตอร์(๒๐) ทั้งนี้ ให้ดำเนินการตั้งแต่ปีงบประมาณ ๒๕๕๒ เป็นต้นไป ๑.๗ เห็นชอบให้ดำเนินงานโครงการ สควค. ระยะที่ ๓ ทั้งนี้ ให้วิเคราะห์ผลการดำเนินงานของโครงการ สควค. ระยะที่ ๑ และระยะที่ ๒ และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๘ พฤษภาคม ๒๕๕๐ เกี่ยวกับการขออัตราข้าราชการครูเพิ่มใหม่เพื่อแก้ปัญหาการบรรจุนักเรียนทุนรัฐบาล โครงการส่งเสริมการผลิตครูที่มีความสามารถพิเศษทางวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ (สควค.) มาพิจารณากำหนดแนวทางการดำเนินโครงการ สควค. ระยะที่ ๓ ด้วย ๒. การประชุมคณะกรรมการกำหนดนโยบายฯ ครั้งที่ ๒๖/๒/๒๕๕๐ เมื่อวันที่ ๒๐ ธันวาคม ๒๕๕๐ ที่ประชุมมีมติ ๒.๑ รับทราบการแต่งตั้งคณะกรรมการจัดทำแผนกลยุทธ์การพัฒนาและส่งเสริมผู้มีความสามารถพิเศษทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ของประเทศ ๒.๒ อนุมัติให้ปรับอัตราเงินทุนการศึกษาตามภาวะเศรษฐกิจปัจจุบัน โดยใช้การคำนวณจากวุฒิการศึกษาขั้นต่ำของสำนักงาน ก.พ. พ.ศ. ๒๕๔๘ และอนุมัติในหลักการให้ปรับอัตราเงินทุนการศึกษาได้ ถ้ามีการปรับเปลี่ยนอัตราการบรรจุข้าราชการขั้นต่ำของสำนักงาน ก.พ. ๒.๓ เห็นชอบในหลักเกณฑ์ที่จะอนุญาตให้ผู้สำเร็จการศึกษาโครงการ พสวท. สามารถปฏิบัติงานชดใช้ทุนในหน่วยงานของรัฐตำแหน่งลูกจ้างชั่วคราวรายปี หรือลูกจ้างโครงการวิจัยที่มีแผนปฏิบัติงานไม่น้อยกว่า ๒ ปี ให้นับเป็นเวลาปฏิบัติงานชดใช้ทุนได้ ๒.๔ เห็นชอบแผนกลยุทธ์การพัฒนาผู้มีความสามารถพิเศษทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (พ.ศ. ๒๕๕๑-๒๕๖๐) และเห็นชอบให้ สสวท. ร่วมกับกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เป็นหน่วยงานหลักในการประสานงานการพัฒนาและส่งเสริมผู้มีความสามารถพิเศษทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ของประเทศ ไปก่อนเบื้องต้น
|
||||||||||||||||||||||||||||||
1347 | รายงานสถานการณ์เศรษฐกิจอุตสาหกรรม ประจำเดือนธันวาคม 2550 | อก | 22/01/2551 | |||||||||||||||||||||||||||
สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอข้อมูลสถานการณ์เศรษฐกิจอุตสาหกรรม ประจำเดือนธันวาคม 2550
สรุปได้ดังนี้ อุตสาหกรรมอาหาร การผลิตและส่งออกเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน จากปริมาณคำสั่งซื้อจากต่างประเทศที่ เพิ่มขึ้น การจำหน่ายสินค้าในประเทศมีแนวโน้มดีขึ้น อุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม การผลิตและการส่งออก เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน การจำหน่ายสินค้าในประเทศมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น อุตสาหกรรมเหล็กและเหล็กกล้า คาดว่าจะ ทรงตัวเมื่อเทียบกับเดือนก่อนโดยการผลิตเหล็กทรงยาวยังคงทรงตัวเนื่องจากการทรงตัวของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ขณะที่เหล็กทรงแบนจะขยายตัวขึ้นเล็กน้อย อุตสาหกรรมยานยนต์ จะขยายตัวเมื่อเทียบกับเดือนก่อน เนื่องจากเป็น ฤดูกาลการจำหน่าย ประกอบกับค่ายรถยนต์ได้มีการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายเพื่อกระตุ้นตลาดภายในประเทศ อุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ การผลิตและจำหน่ายในประเทศจะเพิ่มขึ้น เนื่องจากเริ่มเข้าสู่ฤดูกาลก่อสร้าง และอุตสาห กรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ การผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าปรับตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากภาวะการผลิตที่ เพิ่มสูงขึ้นของเครื่องปรับอากาศ และตู้เย็น ภาวะผลิตอิเล็กทรอนิกส์ปรับตัวเพิ่มขึ้นเนื่องจากภาวะความต้องการของ ตลาดไอที รวมทั้งภาวะการส่งออกเครื่องใช้ไฟฟ้าจะปรับตัวสูงขึ้น
|
||||||||||||||||||||||||||||||
1348 | รายงานผลการดำเนินงานคณะกรรมการผู้สูงอายุแห่งชาติ ประจำปี 2550 สรุปผลการวิจัยในข้อเสนอการจัดตั้ง "ระบบบำนาญแห่งชาติ" และรายงานสถานการณ์ผู้สูงอายุไทย พ.ศ. 2549 | พม | 22/01/2551 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม) รายงานผลการดำเนิน
งานของคณะกรรมการผู้สูงอายุแห่งชาติ (กผส.) ประจำปี พ.ศ. 2550 สรุปผลการวิจัยในข้อเสนอการจัดตั้ง "ระบบ บำนาญแห่งชาติ" และรายงานสถานการณ์ผู้สูงอายุไทย พ.ศ. 2549 โดยในส่วนของผลการดำเนินงานที่สำคัญของ กผส. ในปี พ.ศ. 2550 ได้แก่ การติดตามผลด้านสิทธิของผู้สูงอายุตามพระราชบัญญัติผู้สูงอายุ พ.ศ. 2546 การจัด ทำโครงการนำร่องจัดตั้งศูนย์อเนกประสงค์สำหรับผู้สูงอายุในชุมชน จำนวน 8 พื้นที่ ได้แก่ ขอนแก่น สกลนคร พิษณุโลก พัทลุง เชียงใหม่ ชลบุรี เพชรบุรี และกรุงเทพ ฯ การถวายประกาศเกียรติคุณผู้สูงอายุแห่งชาติ ประจำปี พ.ศ. 2550 แด่พระพรหมมังคลาจารย์ (ปัญญา นันทภิกขุ) และกำหนดนโยบายด้านการคุ้มครองสถานการณ์ผู้ สูงอายุ โดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรีขยายผลโครงการอาสาสมัครดูแลผู้สูงอายุที่บ้านครอบคลุมทุกตำบลใน ระยะเวลา 5 ปี (พ.ศ. 2551-พ.ศ. 2555) ส่วนผลการวิจัยในข้อเสนอการจัดตั้ง "ระบบบำนาญแห่งชาติ" โดยผู้ช่วย ศาสตราจารย์วรเวศม์ สุวรรณระดา คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งเห็นว่า น่าจะพิจารณาระบบ บำนาญแบบผู้รับต้องสมทบร่วมจ่ายเงินสมทบเป็นระยะหนึ่งจึงจะมีสิทธิรับเงินบำนาญ และควรใช้ระบบบังคับออม รวมทั้งสร้างระบบบำนาญแบบบังคับในระดับประเทศ หรือเป็น "ระบบบำนาญแห่งชาติ" สำหรับสถานการณ์ผู้สูง อายุไทย ในปี พ.ศ. 2549 จากข้อมูลของมูลนิธิสถาบันวิจัยและพัฒนาผู้สูงอายุไทย สรุปได้ดังนี้ ด้านภาวะสุขภาพ ผู้สูงอายุมีโรคเรื้อรังหรือโรคประจำตัวสูงสุด ร้อยละ 48.0 ซึ่งโรคเรื้อรังที่ผู้สูงอายุเป็นกันมาก ได้แก่ โรคหัวใจและ หลอดเลือด มีร้อยละ 31.1 และโรคของต่อมไร้ท่อ มีร้อยละ 19.7 และมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นในทุกปี ด้านการดูแลผู้ สูงอายุ (Caring) จากการสำรวจสถานภาพของผู้สูงอายุในการอยู่อาศัยในครัวเรือน พบว่าอยู่ในสถานภาพหัวหน้า ครัวเรือน ร้อยละ 58.9 ของจำนวนผู้สูงอายุทั้งหมด และจากข้อมูลจำนวนผู้สูงอายุที่อยู่คนเดียว พบว่า สัดส่วนผู้สูง อายุที่อยู่คนเดียว มีเพียงร้อยละ 7.8 ของผู้สูงอายุทั้งหมด ด้านการมีงานทำ รายได้ และการออมของผู้สูงอายุ พบ ว่าผู้สูงอายุที่ทำงานมีแนวโน้มเพิjมขึ้นเป็นร้อยละ 34.1 โดยผู้สูงอายุทำงานภาคใต้มีสัดส่วนการทำงานสูงสุด คือ ร้อยละ 41.2 ด้านการเข้าถึงข้อมูลข่าวสาร การศึกษา และการเรียนรู้ตลอดชีวิต พบว่า จำนวนผู้สูงอายุที่เข้ารับ การศึกษาในระดับปริญญาตรี มีแนวโน้มสูงขึ้น ด้านความต้องการของผู้สูงอายุ (Need assessment) พบว่า ผู้สูง อายุร้อยละ 37.8 ต้องการให้บุคคลในครอบครัวถามไถ่ทุกข์/สุข และร้อยละ 32.4 ต้องการให้มาเยี่ยมเยียนใน โอกาสสำคัญ
|
||||||||||||||||||||||||||||||
1349 | รายงานผลการศึกษาเรื่อง สภาวะการขาดแคลนครู คณาจารย์ และบุคลากรทางการศึกษาและข้อเสนอแนวทางแก้ไข | ศธ | 15/01/2551 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการเสนอให้นำรายงานผลการศึกษา
เรื่อง สภาวะการขาดแคลนครู คณาจารย์ และบุคลากรทางการศึกษาและข้อเสนอแนวทางแก้ไข เสนอคณะกรรม การกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 2 พิจารณาอีกครั้งหนึ่ง เนื่องจากเกณฑ์การคำนวณอัตรากำลังครู และบุคลากรทางการศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการและหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องยังมีความแตกต่างกัน ทำให้ อัตราการขาดแคลนครูและบุคลากรทางการศึกษาที่คำนวณได้แตกต่างกันไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||
1350 | ดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปและดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานของประเทศเดือนธันวาคม และปี 2550 | พณ | 15/01/2551 | |||||||||||||||||||||||||||
สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอข้อมูลความเคลื่อนไหวดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปและดัชนีราคาผู้บริโภค
พื้นฐานของประเทศเดือนธันวาคม 2550 และปี พ.ศ. 2550 ของกระทรวงพาณิชย์ สรุปได้ดังนี้ ดัชนีราคาผู้บริโภค ทั่วไปของประเทศเดือนธันวาคม 2550 เท่ากับ 119.0 เทียบกับเดือนพฤศจิกายน 2550 (118.9) สูงขึ้นร้อยละ 0.1 โดยดัชนีหมวดอื่น ๆ ไม่ใช่อาหารและเครื่องดื่ม ดัชนีสูงขึ้นร้อยละ 0.3 จากการสูงขึ้นของราคาน้ำมันเชื้อเพลิง อุปกรณ์รถยนต์ (ยางรถยนต์ และแบตเตอรี่) ค่าโดยสารรถจักรยานยนต์รับจ้าง และค่าโดยสารเครื่องบิน ในขณะที่ ดัชนีหมวดอาหารและเครื่องดื่ม ดัชนีลดลงร้อยละ 0.2 จากการลดลงของดัชนีหมวดผักและผลไม้ ร้อยละ 2.4 ไข่ลด ลงร้อยละ 1.7 และข้าวสารเหนียวลดลงร้อยละ 6.2 ส่วนดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปและดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานของ ประเทศเฉลี่ยทั้งปี พ.ศ. 2550 เทียบกับปี พ.ศ. 2549 สูงขึ้นร้อยละ 2.3 ซึ่งเป็นอัตราที่ชะลอตัวเมื่อเทียบกับปีที่ผ่าน มา (ปี พ.ศ. 2549 สูงขึ้นร้อยละ 4.7) เนื่องจากในช่วง 9 เดือนแรก ราคาเฉลี่ยน้ำมันเชื้อเพลิงในประเทศมีแนวโน้ม ลดลง และมีแนวโน้มสูงขึ้นในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีตามภาวะราคาตลาดโลก ส่งผลให้มีการปรับอัตราค่าโดยสาร สาธารณะ รวมทั้งสินค้าต่าง ๆ มีต้นทุนการผลิตสูงขึ้น นอกจากนี้ มีการปรับภาษีสรรพสามิตบุหรี่และสุราสูงขึ้น ทำ ให้ดัชนีหมวดอื่น ๆ ไม่ใช่อาหารและเครื่องดื่มสูงขึ้นร้อยละ 1.2 สำหรับสินค้าประเภทอาหารและเครื่องดื่ม ในส่วน ของผักและผลไม้ราคามีแนวโน้มลดลง แต่ถ้าเทียบกับปีที่ผ่านมาดัชนียังคงสูงขึ้นร้อยละ 11.9 และในครึ่งหลังของปี เครื่องประกอบอาหาร เช่น น้ำมันพืช น้ำปลา รวมถึงกาแฟ ปรับราคาสูงขึ้นตามต้นทุนการผลิต ส่งผลให้ดัชนีหมวด อาหารและเครื่องดื่มสูงขึ้นค่อนข้างมากร้อยละ 4.0
|
||||||||||||||||||||||||||||||
1351 | แผนแม่บทป้องกันและบรรเทาภัยจากคลื่นสึนามิ (ระยะ 5 ปี) | มท | 15/01/2551 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามคำสั่งของนายกรัฐมนตรีที่ให้กระทรวงมหาดไทยเสนอแผนแม่บทป้องกัน
และบรรเทาภัยจากคลื่นสึนามิ (ระยะ 5 ปี) ซึ่งประกอบด้วย 4 ยุทธศาสตร์ 27 กลยุทธ์ 127 กิจกรรมหลัก มีหน่วย งานร่วมบูรณาการ จำนวน 66 หน่วยงาน เพื่อเป็นกรอบและแนวทางในการเตรียมความพร้อมและการปฏิบัติงาน ระหว่างหน่วยงานต่าง ๆ เพื่อลดความสูญเสียที่อาจเกิดจากภัยคลื่นสึนามิ และมอบหมายกระทรวงมหาดไทย (กรม ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย) เป็นหน่วยงานประสานหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำแผนปฏิบัติการและ แผนงบประมาณระยะ 3 ปี (ปี พ.ศ. 2552-พ.ศ. 2554) ภายใต้แผนแม่บทดังกล่าว โดยรับความเห็นของหน่วยงาน ที่เกี่ยวข้องอาทิ ความเห็นของกระทรวงกลาโหมเกี่ยวกับการแปลงแผนไปสู่การปฏิบัติให้เป็นรูปธรรมและมีประสิทธิ ภาพ โดยให้ความสำคัญในประเด็นการสร้างองค์ความรู้และเผยแพร่เกี่ยวกับธรรมชาติของคลื่นสึนามิ การพิจารณา แนวทางการป้องกันพื้นที่ของชุมชนด้วยตนเอง การฝึกซ้อมการเตือนภัยและการหนีภัยอย่างสม่ำเสมอ การประกาศ เตือนภัยที่ถูกต้องชัดเจน และบูรณาการด้านการสื่อสาร รวมทั้งความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการ เศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นควรกำหนดเป้าหมายให้มีลักษณะเป็นรูปธรรม หรือเป้าหมายเชิงปริมาณมากขึ้น เพื่อให้เกิดความชัดเจนในขั้นตอนการแปลงแผนไปสู่การปฏิบัติ และกระบวนการจัดทำงบประมาณ ส่วนยุทธศาสตร์ การจัดการในภาวะฉุกเฉินและการจัดการหลังเกิดภัย ควรปรับกิจกรรมให้มีลักษณะเป็นการเสริมสร้างศักยภาพเพื่อ รับมือกับสถานการณ์อย่างทันท่วงทีเพื่อให้การกำหนดเป้าหมาย การดำเนินการ และการประเมินผลมีความชัดเจน เป็นต้น ไปประกอบการพิจารณา และดำเนินการตามบทบัญญัติของกฎหมายที่เกี่ยวข้อง (หากจำเป็น) แล้วให้นำ เสนอคณะรัฐมนตรีชุดต่อไปพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง |
||||||||||||||||||||||||||||||
1352 | รายงานสรุปสภาวะของประเทศ ปี 2550 | นร | 15/01/2551 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติรายงาน
สรุปสภาวะของประเทศ ปี พ.ศ. 2550 ดังนี้ สภาวะเศรษฐกิจ ณ ปลายปี พ.ศ. 2550 ขยายตัวได้ร้อยละ 4.2 ร้อยละ 4.3 และร้อยละ 4.9 ในไตรมาสที่ 1 ไตรมาสที่ 2 และไตรมาสที่ 3 ตามลำดับ การบริโภคและการลงทุนของเอกชนมี แน้วโน้มดีขึ้นในไตรมาสที่ 3 เสถียรภาพทางเศรษฐกิจมีความมั่นคง การจ้างงานเพิ่มขึ้น โดยคาดว่าเศรษฐกิจจะขยาย ตัวไม่ต่ำกว่าร้อยละ 4.2 ในปี พ.ศ. 2550 ส่วนสภาวะสังคม สัดส่วนประชากรวัยสูงอายุ (60 ปีขึ้นไป) จะเพิ่มขึ้นอย่าง ต่อเนื่อง ส่งผลให้ต้องเตรียมความพร้อมของคนและระบบต่าง ๆ อาทิ บริการทางการแพทย์ และการสร้างหลัก ประกันทางเศรษฐกิจและสังคมสำหรับอนาคตเพื่อการชราภาพ เป็นต้น ด้านกำลังแรงงาน การจ้างงานยังคงเพิ่มขึ้น ต่อเนื่อง แต่แรงงานไทยยังคงมีปัญหาการทำงานต่ำระดับ และมีสมรรถนะค่อนข้างต่ำ ด้านการศึกษา ภาพรวมคน ไทยมีศักยภาพและโอกาสด้านการศึกษาเพิ่มขึ้น แต่คุณภาพการศึกษาที่วัดจากคะแนนเฉลี่ยของการทดสอบ 3 วิชา หลัก ได้แก่ ภาษาไทย ภาษาอังกฤษ และคณิตศาสตร์ ลดต่ำกว่าร้อยละ 50 ด้านคุณภาพชีวิต คนไทยมีสถานะทาง สุขภาพดีขึ้นแต่ต้องเร่งป้องกันโรคที่เกิดจากพฤติกรรมเสี่ยงทางสุขภาพอาทิ การมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ปลอดภัย แอลกอ ฮอล์ บุหรี่ ภาวะน้ำหนักเกินและโรคอ้วน เป็นต้น สำหรับปัญหายาเสพติดยังคงเป็นปัญหาหลักของสังคมและมีแนว โน้มเพิ่มขึ้น
|
||||||||||||||||||||||||||||||
1353 | สรุปผลการประชุมรัฐมนตรีด้านอนามัยและสิ่งแวดล้อมของประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และเอเชียตะวันออก | ทส | 15/01/2551 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรายงานสรุปผลการประชุม
รัฐมนตรีด้านอนามัยและสิ่งแวดล้อมของประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และเอเชียตะวันออก ระหว่างวันที่ 8-9 สิงหาคม 2550 โดยประเทศไทยเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมในครั้งนี้ สำหรับสาระสำคัญของการประชุมมีดังนี้ การประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโลด้านอนามัยและสิ่งแวดล้อม ฯ ที่ประชุมได้ให้ความเห็นชอบในร่างกรอบแผนการดำเนิน งานความร่วมมือด้านอนามัยและสิ่งแวดล้อม ฯ และกรอบความร่วมมือด้านอนามัยและสิ่งแวดล้อม ฯ ใน 6 สาขา คือ (1) คุณภาพอากาศ (2) น้ำ สุขอนามัย และการสุขาภิบาล (3) ขยะมูลฝอย และของเสียอันตราย (4) สารเคมีเป็น พิษและสารอันตราย (5) การเปลี่ยนแปลงภาวะอากาศโลก การลดลงของชั้นโอโซน และการเปลี่ยนแปลงระบบ นิเวศน์ และ (6) การวางแผนรองรับภาวะฉุกเฉินด้านอนามัยสิ่งแวดล้อม และการประชุมรัฐมนตรีด้านอนามัยและ สิ่งแวดล้อม ฯ ที่ประชุมได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นและรับรองร่างกฎบัตรความร่วมมือด้านอนามัยและสิ่งแวดล้อม ฯ และมีการเสนอความก้าวหน้าแผนการดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของแต่ละประเทศ การดำเนินการจัด ทำร่างแผนด้านอนามัยและสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ (National Environmental Health Action Plans : NEHAP) การจัด ตั้งคณะทำงานวิชาการระดับประเทศสำหรับ 6 สาขาเพื่อพิจารณาแนวทางที่เหมาะสมในการนำแผนไปสู่การปฏิบัติ รวมทั้งร่วมกันพิจารณารับรองกฎบัตรความร่วมมือด้านอนามัยและสิ่งแวดล้อม ฯ และรับรองปฏิญญากรุงเทพด้าน สิ่งแวดล้อมและสุขภาพ (Bangkok Declaration on Environment and Health)
|
||||||||||||||||||||||||||||||
1354 | ข้อเสนอผลการสัมมนาหอการค้าทั่วประเทศ ครั้งที่ 25 ของหอการค้าไทย | นร | 08/01/2551 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้
๑. ข้อเสนอแนะของหอการค้าไทย จากการสัมมนาหอการค้าทั่วประเทศ ครั้งที่ ๒๕ เมื่อวันที่ ๑๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๐ และผลการพิจารณาของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติต่อข้อเสนอแนะของหอการค้าไทยในเรื่องที่ดำเนินการแล้ว สำหรับข้อเสนอแนะของหอการค้าไทย มีดังนี้ ๑.๑ แนวทางการพัฒนาเศรษฐกิจภูมิภาค ประกอบด้วย ๔ ด้าน ได้แก่ ด้านการขับเคลื่อนเศรษฐกิจพอเพียง ด้านการมีส่วนร่วมของภาคเอกชนในระดับภูมิภาค ด้านการพัฒนาเศรษฐกิจของภูมิภาคที่ยั่งยืน และด้านการเสริมสร้างความเข้มแข็งขององค์กรภาคเอกชน ๑.๒ การเสริมสร้างภูมิคุ้มกันของภาคธุรกิจและเศรษฐกิจไทย ภายใต้รัฐธรรมนูญ ๒๕๕๐ ประกอบด้วย ๓ ด้าน ได้แก่ ด้านอัตราแลกเปลี่ยน ด้านผลกระทบจากรัฐธรรมนูญและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง และด้านผลกระทบจากพลวัตของโลก การค้า และสิ่งแวดล้อม ๑.๓ มาตรการภาครัฐและเอกชนเพื่อการกระตุ้นเศรษฐกิจ ประกอบด้วย ๓ ด้าน ได้แก่ ด้านมาตรการเพิ่มรายได้ให้กับประเทศ ด้านมาตรการลดต้นทุนในการผลิต และด้านมาตรการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ๑.๔ ยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศในมุมมองของหอการค้าไทย ได้กำหนดวิสัยทัศน์ “ประเทศไทยเป็นประเทศชั้นนำของภูมิภาคเอชีย ที่มีความแข็งแกร่ง มีภูมิคุ้มกันทางเศรษฐกิจ มีระบบการเมือง และการปกครองที่มั่นคง และมุ่งขจัดคอร์รัปชั่น” ประกอบด้วย ๖ กลยุทธ์ คือ การปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน การพัฒนาทักษะและองค์ความรู้ การส่งเสริมจริยธรรมและธรรมาภิบาล การรักษาสิ่งแวดล้อมและคุณภาพชีวิต และการป้องกันและเฝ้าระวังรักษา โดยมาแนวทางการฟื้นเศรษฐกิจไทยในปี พ.ศ. ๒๕๕๑ ดังนี้ ๑.๔.๑ การดำเนินการโดยภาครัฐ ได้แก่ การเพิ่มความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและผู้ประกอบการ การส่งเสริมบุคคลที่มีความสามารถและมีคุณธรรม การเร่งรัดการเบิกจ่ายเงินงบประมาณ การเร่งรัดการลงทุนโดยเฉพาะโครงการสาธารณูปโภค การขยายการค้าระหว่างประเทศและการค้าชายแดน และการเข้าถึงแหล่งเงินทุนโดยสะดวก ๑.๔.๒ การดำเนินการของหอการค้าไทย ได้แก่ การร่วมสร้างความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและผู้ประกอบการ การสนับสนุนการปรับโครงสร้างการผลิตและเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน การผลักดันให้มีการรวมกลุ่มวิสาหกิจ (Cluster) และการสนับสนุนการประยุกต์ใช้ทฤษฎีใหม่ขั้นที่ ๒ และ ๓ ๒. ให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณาข้อเสนอแนะการดำเนินงานในระยะต่อไป และเสนอบรรจุไว้ในรายงานสรุปสภาวะของประเทศที่จะเสนอต่อรัฐบาลใหม่ และแจ้งให้หอการค้าไทยทราบต่อไป |
||||||||||||||||||||||||||||||
1355 | การแก้ไขปัญหามลพิษทางเสียงบริเวณท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (ขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน 2549 และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม 2550) | คค | 02/01/2551 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 1 ครั้งที่ 24/
2550 วันพฤหัสบดีที่ 27 ธันวาคม 2550 ดังนี้ 1. รับทราบตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอแนวทางการแก้ไขปัญหาผู้ได้รับผลกระทบมลพิษทางเสียงตาม มติที่ประชุมคณะกรรมการร่วม 3 ฝ่าย ฯ เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2550 2. เห็นควรให้บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) เร่งรัดดำเนินการชดเชยให้แก่ประชาชนผู้ได้รับ ผลกระทบด้านเสียงที่เกิดขึ้นจริงและชัดเจนโดยการจัดทำกรอบระยะเวลาในการดำเนินการให้แล้วเสร็จโดยเร็ว รวม ทั้งพิจารณาปรับปรุงหาวิธีการบริหารที่มีประสิทธิภาพในการดำเนินการชดเชยผลกระทบด้านเสียงให้เห็นผลอย่าง เป็นรูปธรรมมากกว่าที่ผ่านมา 3. เห็นควรให้กระทรวงคมนาคม กระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ และบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) ดำเนินการศึกษาการใช้ประโยชน์ที่ดินรอบสนามบินให้เกิดความชัดเจน โดยประสานกับกรมโยธา ธิการและผังเมือง เพื่อให้การใช้ที่ดินรอบสนามบินเกิดประโยชน์สูงสุด โดยคำนึงถึงผลกระทบต่อประชาชน การจัด วางผังเมือง พร้อมทั้งพิจารณาการวางผังจัดรูปที่ดินให้มีการใช้ประโยชน์ที่เหมาะสม คุ้มค่า และสอดคล้องกับสิ่งแวด ล้อมและชุมชนซึ่งอาจนำพระราชบัญญัติจัดรูปที่ดินเพื่อพัฒนาพื้นที่ พ.ศ. 2547 มาปรับใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดและ เป็นธรรมต่อทุกฝ่าย โดยให้กระทรวงคมนาคมรับแนวทางการแก้ไขปัญหาผู้ได้รับผลกระทบมลพิษทางเสียงบริเวณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิตามมติคณะกรรมการร่วม 3 ฝ่าย ฯ ไปพิจารณาในรายละเอียดประกอบ แล้วนำเสนอคณะ รัฐมนตรีชุดใหม่พิจารณาต่อไป 4. ให้กระทรวงคมนาคมติดตามผลการดำเนินการแก้ไขปัญหาผู้ได้รับผลกระทบทางเสียงและมลภาวะทาง อากาศอื่น ๆ ตลอดจนการใช้ประโยชน์ที่ดินให้เหมาะสม โดยบูรณาการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
|
||||||||||||||||||||||||||||||
1356 | โครงการก่อสร้างโรงงานผลิตยาสูบแห่งใหม่ของโรงงานยาสูบ | นร | 25/12/2550 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามความเห็นของคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เมื่อวันที่ 3 ธันวาคม 2550 เกี่ยวกับโครงการก่อสร้างโรงงานผลิตยาสูบแห่งใหม่ของโรงงานยาสูบ ดังนี้ ให้โรงงานยาสูบดำเนิน โครงการก่อสร้างโรงงานผลิตยาสูบแห่งใหม่ต่อไปได้ ภายใต้กรอบวงเงิน 16,200 ล้านบาท ระยะเวลาดำเนินการ 5 ปี (พ.ศ. 2551-พ.ศ. 2555) โดยให้นำปัจจัยด้านค่าใช้จ่ายดำเนินงานมาประกอบการพิจารณาคัดเลือกที่ดินเพื่อก่อ สร้างโรงงานแห่งใหม่ร่วมกับการพิจารณาในด้านกายภาพ และให้ความสำคัญการจัดทำมาตรการควบคุมมลภาวะ ทางอากาศของโรงงานแห่งใหม่ รวมทั้งพิจารณาความเหมาะสมในการใช้แหล่งเงินลงทุนอื่นแทนเงินนำส่งรัฐที่จะขอ กันเพิ่มเติม จำนวน 9,350 ล้านบาท และให้โรงงานยาสูบสนับสนุนกิจการเพื่อสังคมในด้านต่าง ๆ เช่น การศึกษา การวิจัยพัฒนา และการดูแลรักษาสภาพแวดล้อม เป็นต้น และให้จัดสรรงบประมาณเพื่อการประชาสัมพันธ์และการ รณรงค์เพื่องดการสูบบุหรี่ นอกจากนี้ ให้โรงงานยาสูบพิจารณาแนวทางการปรับองค์กรให้สามารถดำเนินกิจการ ในเชิงธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีความคล่องตัวในการดำเนินงาน และการระดมทุน โดยเร่งแปลงสภาพเป็นนิติ บุคคลให้แล้วเสร็จโดยเร็ว รวมทั้งพิจารณาแนวทางการลดบทบาทภาครัฐในกิจการยาสูบในระยะต่อไป และให้โรง งานยาสูบนำเสนอแนวทาง และรายงานผลการดำเนินงานตามความเห็นของคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและ สังคมแห่งชาติให้คณะรัฐมนตรีทราบ
|
||||||||||||||||||||||||||||||
1357 | ร่างพระราชกฤษฎีกาให้นำราคาปานกลางของที่ดินที่ใช้อยู่ในการประเมินภาษีบำรุงท้องที่ประจำปี พ.ศ. 2521 ถึง พ.ศ. 2524 มาใช้ในการประเมินภาษีบำรุงท้องที่สำหรับปี พ.ศ. 2551 พ.ศ. .... | มท | 25/12/2550 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอร่างพระราชกฤษฎีกาให้นำราคาปาน
กลางของที่ดินที่ใช้อยู่ในการประเมินภาษีบำรุงท้องที่ประจำปี พ.ศ. 2521 ถึง พ.ศ. 2524 มาใช้ในการประเมินภาษี บำรุงท้องที่สำหรับปี พ.ศ. 2551 พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ให้นำราคาปานกลางของที่ดินที่ใช้อยู่ในการประเมิน ภาษีบำรุงท้องที่ประจำปี พ.ศ. 2521 ถึง พ.ศ. 2524 ซึ่งใช้ในการประเมินภาษีบำรุงท้องที่สำหรับปี พ.ศ. 2550 มา ใช้ในการประเมินภาษีบำรุงท้องที่สำหรับปี พ.ศ. 2551 โดยให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2551 เป็นต้นไป และ ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ และให้กระทรวงมหาดไทยรับข้อสังเกต ของกระทรวงการคลังที่ว่า ราคาปานกลางของที่ดินประจำปี พ.ศ. 2521 ถึง พ.ศ. 2524 ได้ใช้ในการประเมินภาษี บำรุงท้องที่มาเป็นเวลา 25 ปีแล้ว จึงไม่เหมาะสมกับสภาพเศรษฐกิจปัจจุบัน เนื่องจากสภาวะราคาตลาดของที่ดินมี การปรับตัวสูงขึ้นมาก จึงน่าที่จะปรับปรุงราคาปานกลางของที่ดินหรืออัตราภาษีบำรุงท้องที่ตามสมควรเพื่อให้องค์ กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีรายได้จากการจัดเก็บภาษีดังกล่าวเพิ่มขึ้น ขณะเดียวกันก็ไม่เป็นการเพิ่มภาระแก่ประชาชน มากเกินไป ไปพิจารณาดำเนินการแก้ไขปรับปรุงกฎหมายต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||
1358 | สรุปรายงานภาวะสังคมไตรมาสสาม ปี 2550 | นร | 25/12/2550 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติรายงาน
สรุปภาวะสังคมไตรมาสสาม ปี พ.ศ. 2550 (กรกฎาคม-กันยายน 2550) สรุปได้ดังนี้ มิติด้านคุณภาพคน การมีงาน ทำมีการขยายตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องในภาคอุตสาหกรรม การค้า โรงแรมและภัตตาคาร อัตราผู้ว่างงานเพียงร้อยละ 1.2 โดยกลุ่มผู้จบการศึกษาระดับปริญญาตรีมีอัตราการว่างงานสูงกว่าระดับอื่น ด้านสุขภาพอนามัย ประชาชนเจ็บป่วย ด้วยโรคเฝ้าระวังในภาพรวมลดลง แต่โรคที่เป็นปัญหาในช่วงไตรมาสนี้ ได้แก่ ไข้เลือดออก และโรค มือ เท้า ปาก มิติ ด้านความมั่นคงทางสังคม ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินลดลง ในขณะที่การกระทำผิดของเด็กและเยาวชนเพิ่ม ขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มผู้ชายอายุ 15-18 ปี สาเหตุสำคัญมาจากการคบเพื่อนในกลุ่มติดสารเสพติด ด้านความเสียหาย ของทรัพย์สินจากอุบัติเหตุมีมูลค่าสูงถึง 1,265 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว ส่วนการประสบอันตรายและ การเจ็บป่วยจากการทำงานมีแนวโน้มลดลงในทุกกรณี มิติด้านพฤติกรรมและความเป็นอยู่ของคน ค่าใช้ภายในการ บริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เพิ่มขึ้น โดยเด็กและเยาวชนมีการดื่มแอลกอฮอล์เพิ่มขึ้น ส่วนค่าใช้จ่ายในการบริโภคยา สูบเพิ่มขึ้นเล็กน้อย และมิติด้านสิ่งแวดล้อม ปริมาณฝุ่นทั้งในกรุงเทพมหานครและต่างจังหวัดลดความรุนแรงลง โดย จุดที่ต้องเฝ้าระวังคือ บริเวณถนนพระราม 4 พระราม 6 และดินแดง ในขณะที่การร้องเรียนปัญหามลพิษทางเสียงใน เขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล มีร้อยละ 17 โดยแหล่งกำเนิดเสียงดังมาจากยานพาหนะ ผับ เธค คาราโอเกะ และโรงงานอุตสาหกรรม
|
||||||||||||||||||||||||||||||
1359 | มติการประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ | พน | 18/12/2550 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงพลังงานเสนอมติการประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงาน
แห่งชาติ (กพช.) เมื่อวันที่ 28 กันยายน 2550 เกี่ยวกับแนวทางการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง โดยที่ประชุม กพช. มีมติเห็นชอบแนวทางบริหารกองทุนน้ำมัน ฯ ภายหลังการใช้หนี้หมด โดยให้โอนอัตราเงินกองทุนน้ำมัน ฯ ให้แก่กองทุนสำหรับส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายตามแผนงานปกติในระดับ 0.18 บาท/ลิตร ค่า ใช้จ่ายสนับสนุนโครงการพัฒนาระบบขนส่ง 0.50 บาท/ลิตร และเพื่อลดราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิง 0.50 บาท /ลิตร และเมื่อกองทุนน้ำมัน ฯ ได้สะสมเงินไว้สำหรับเป็นค่าใช้จ่ายในภาวะฉุกเฉิน และเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะ ขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิงได้เพียงพอแล้ว ก็ให้เพิ่มการโอนอัตราเงินกองทุนน้ำมัน ฯ ไปยังกองทุนเพื่อส่งเสริมการ อนุรักษ์พลังงานสำหรับโครงการพัฒนาระบบขนส่งอีก 0.20 บาท/ลิตร และมติการประชุม กพช. เมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน 2550 เกี่ยวกับแนวทาง หลักเกณฑ์ เงื่อนไขและลำดับความสำคัญของการใช้จ่ายเงินกองทุนเพื่อส่ง เสริมการอนุรักษ์พลังงานสำหรับการลงทุนในโครงการการพัฒนาระบบการขนส่ง แนวทางการส่งเสริมการผลิต ไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน และการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก (Small Power Producer : SPP) ระบบ Cogeneration โดยที่ประชุม กพช. ได้มีมติเห็นชอบให้ปรับปรุงการกำหนดส่วนเพิ่มราคารับซื้อไฟฟ้าสำหรับผู้ผลิต ไฟฟ้ารายเล็กสำหรับโครงการพลังงานลมและพลังงานแสงอาทิตย์ โดยกำหนดให้เท่ากับ 3.50 บาทต่อหน่วย และ 8.00 บาทต่อหน่วย ตามลำดับ และระยะเวลาสนับสนุนจาก 7 ปี เป็น 10 ปี นับจากวันเริ่มต้นจำหน่ายไฟฟ้าเข้า ระบบ ทั้งนี้ โครงการในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ยังคงได้รับส่วนเพิ่มพิเศษตามมติ กพช. เมื่อวันที่ 4 มิถุนายน 2550 กับเห็นชอบการกำหนดเงื่อนไขการรับซื้อไฟฟ้าจาก SPP และ Very Small Power Producer : VSPP ดังนี้ ผู้ผลิตไฟฟ้าที่มีปริมาณพลังงานไฟฟ้าเสนอขายไม่เกิน 10 เมกะวัตต์ ให้ยื่นคำร้องขอขยายไฟฟ้าตามระเบียบการ รับซื้อไฟฟ้าจาก VSPP ส่วนผู้ผลิตไฟฟ้าที่มีปริมาณพลังไฟฟ้าเสนอขายเกินกว่า 10 เมกะวัตต์ ให้ยื่นคำร้องขอขาย ไฟฟ้าตามระเบียบการรับซื้อไฟฟ้าจาก SPP ยกเว้นในกรณี SPP รายเดิมที่มีสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับการไฟฟ้าฝ่าย ผลิตแห่งประเทศไทยแล้ว รวมทั้งเห็นชอบการกำหนดเงื่อนไขการรับซื้อไฟฟ้าจาก SPP และ Very Small Power Pro ducer : VSPP สำหรับการรับซื้อไฟฟ้าจาก SPP ระบบ Cogeneration โดยให้ขยายปริมาณพลังงานไฟฟ้ารับซื้อ จากโครงการใหม่ที่เป็นระบบ SPP ระบบ Cogeneration ได้เกินกว่า 500 เมกะวัตต์ โดยปริมาณการรับซื้อรวมจาก โครงการผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กทั้งหมดไม่เกิน 4,000 เมกะวัตต์
|
||||||||||||||||||||||||||||||
1360 | สรุปสถานการณ์ภัยหนาวและการให้ความช่วยเหลือ (ข้อมูล ณ วันที่ 7 ธันวาคม 2550) | มท | 11/12/2550 | |||||||||||||||||||||||||||
สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอข้อมูลสถานการณ์ภัยหนาวและการให้ความช่วยเหลือ ของกระทรวง
มหาดไทย สรุปได้ดังนี้ สถานการณ์ภัยหนาว ข้อมูล ณ วันที่ 7 ธันวาคม 2550 มีจังหวัดที่ประสบภัยหนาวและได้ ประกาศเป็นพื้นที่ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน จำนวน 32 จังหวัด แยกเป็น ภาคเหนือ 13 จังหวัด ภาคตะวันออก เฉียงเหนือ 16 จังหวัด ภาคกลาง 1 จังหวัด และภาคตะวันออก 2 จังหวัด สำหรับการให้ความช่วยเหลือ กรมป้อง กันและบรรเทาสาธารณภัยได้โอนเงินงบประมาณไปตั้งจ่ายที่คลังจังหวัดเพื่อจัดซื้อเครื่องกันหนาวรวมจำนวน 46 จังหวัด ๆ ละ 350,000 บาท เป็นเงิน 16,100,000 บาท รวมทั้งอนุมัติงบประมาณเพื่อจัดซื้อเครื่องกันหนาว สนับสนุนให้ศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เขต 1 - 10 และได้สำรองไว้ที่ส่วนกลางในวงเงินงบประมาณ 32,374,950 บาท เพื่อเตรียมการให้ความช่วยเหลือบรรเทาความเดือดร้อนของราษฎรจากภาวะอากาศหนาว เย็น และบริษัทไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) ได้ให้การสนับสนุนผ้าห่มกันหนาว จำนวน 200,000 ผืน มูลค่า กว่า 30 ล้านบาท เพื่อแจกจ่ายช่วยเหลือผู้ประสบภัยหนาวในพื้นที่ 15 จังหวัด ในส่วนของการคาดหมายลักษณะ อากาศ กรมอุตุนิยมวิทยา ได้คาดหมายสภาวะอากาศในช่วงวันที่ 5-7 ธันวาคม 2550 บริเวณประเทศไทยตอน บนจะมีอากาศหนาวเย็น และในช่วงวันที่ 8-11 ธันวาคม 2550 อุณหภูมิจะสูงขึ้น
|