ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 61 จากทั้งหมด 137 หน้า แสดงรายการที่ 1201 - 1220 จากข้อมูลทั้งหมด 2735 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
1201 | มติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 1 พ.ศ. 2551 | สช | 19/05/2552 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติเสนอมติสมัชชาสุขภาพแห่ง
ชาติ ครั้งที่ 1 พ.ศ. 2551 รวม 14 ประเด็น และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยว ข้องต่อไป ทั้งนี้ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำรายงานผลการดำเนินการพร้อมทั้งปัญหาอุปสรรคเพื่อแจ้งต่อคณะ กรรมการสุขภาพแห่งชาติด้วย โดยมติสมัชชาสุภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 1 พ.ศ. 2551 ประกอบด้วย มติ 1.1 ธรรมนูญว่าด้วยระบบสุขภาพแห่งชาติ มติ 1.2 การเข้าถึงยาถ้วนหน้าของประชากรไทย มติ 1.3 นโยบายแห่งชาติเพื่อการพัฒนาระบบสุขภาพในพื้นที่พหุวัฒนธรรมในจังหวัดชายแดน ภาคใต้ มติ 1.4 การมีส่วนร่วมของภาคประชาชนในการกำหนดนโยบายการเจรจาการค้าเสรี มติ 1.5 เกษตรและอาหารในยุควิกฤต มติ 1.6 ยุทธศาสตร์ในการจัดการปัญหาจากเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ มติ 1.7 บทบาทองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นกับการจัดการสุขภาพและทรัพยากรธรรมชาติ สิ่ง แวดล้อม มติ 1.8 ความเสมอภาคในการเข้าถึงและได้รับบริการสาธารณสุขที่จำเป็น มติ 1.9 ผลกระทบจากสื่อต่อเด็ก เยาวชน และครอบครัว มติ 1.10 สุขภาวะทางเพศ : ความรุนแรงทางเพศ การตั้งครรภ์ที่ไม่พร้อม และเรื่องเพศกับเอดส์ /โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ มติ 1.11 ระบบและกลไกการประเมินผลกระทบด้านสุขภาพในสังคมไทย มติ 1.12 นโยบายสาธารณะเพื่อสุขภาวะของแรงงานนอกระบบ มติ 1.13 การส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างผู้ป่วยและญาติกับบุคลากรทางการแพทย์ มติ 1.14 วิกฤตเศรษฐกิจและการปกป้องสุขภาวะคนไทย
|
|||||||||||||||||||||||||||
1202 | ของบประมาณเงินอุดหนุนสำหรับสนับสนุนให้เด็กนักเรียนทุกคนรับประทานอาหารกลางวัน | มท | 13/05/2552 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. เห็นชอบให้เด็กนักเรียนทุกคน ตั้งแต่เด็กเล็ก เด็กนักเรียนชั้นอนุบาล-ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ได้รับ การสนับสนุนงบประมาณอาหารกลางวันเต็ม 100% และปรับอัตราค่าอาหารกลางวัน จากอัตราคนละ 10 บาท ต่อวัน เป็นอัตราคนละ 13 บาทต่อวัน ทั้งนี้ ตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. 2553 เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงมหาดไทย เสนอ 2. ให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่ง ชาติ ที่เห็นควรให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ได้มีส่วนร่วมสมทบดำเนินการและประสานความร่วมมือทั้ง จากภาคเอกชน และชุมชนในท้องถิ่น มาร่วมสนับสนุนให้เด็กนักเรียนทุกคนได้รับประทานอาหารกลางวัน อันจะ ช่วยให้มีภาวะโภชนาการที่ดีขึ้นส่งผลต่อสุขภาพและการเรียนรู้ รวมทั้งความเห็นของสำนักงบประมาณ ที่เห็นควร ให้คณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (กกถ.) ทบทวนหลักเกณฑ์การจัดสรรเงิน อุดหนุน เพื่อให้การใช้จ่ายงบประมาณแผ่นดินเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและสามารถช่วยเหลือนักเรียนที่มีภาวะ ทุพโภชนาการ ยากจนและขาดแคลนให้ได้รับสารอาหารเพียงพอกับความต้องการของร่างกายตามมาตรฐานของ กระทรวงสาธารณสุข ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
1203 | ผลการเดินทางเยือนสหรัฐฯ ของรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ (ระหว่างวันที่ 7 - 17 มีนาคม 2552) | พณ | 13/05/2552 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการเดินทางเยือนสหรัฐฯ ของรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ (นายอลงกรณ์ พลบุตร) ระหว่างวันที่ ๗ - ๑๗ มีนาคม ๒๕๕๒ เพื่อพบหารือกับผู้แทนสำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐฯ (United States Trade Representative - USTR) สมาชิกรัฐสภา และภาคเอกชนสหรัฐฯ เพื่อชี้แจงข้อเท็จจริงและความจริงของไทยในการปราบปรามการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา การผลักดันให้สหรัฐฯ ถอดไทยจากบัญชีประเทศที่ต้องจับตามองเป็นพิเศษ (Priority Watch List - PWL) ต่ออายุการให้สิทธิพิเศษทางภาษี GSP และขยายการค้าการลงทุนในไทย สรุปได้ ดังนี้
๑. การหารือกับผู้ช่วยผู้แทนการค้าสหรัฐฯ (United States Trade Representative - USTR) รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ได้แจ้งให้ทราบถึงนโยบายและความจริงจังของรัฐบาลไทยในการปราบปรามการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา และขอให้สหรัฐฯ พิจารณาถอดไทยจากบัญชี PWL รวมทั้งขยายการค้าการลงทุนมาไทย ให้ไทยเป็นฐานการผลิตสินค้าแบรนด์เนม (โครงการไทยแลนด์โมเดล) และต่ออายุ GSP ให้ไทย เป็นต้น ซึ่ง USTR ให้ความสนใจในบทบาทประธานอาเซียนของไทย และการเจรจาเขตการค้าเสรีอาเซียน - สหภาพยุโรป ๒. การหารือกับสมาชิกรัฐสภาสหรัฐฯ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ได้ชี้แจงให้เชื่อมั่นสถานการณ์ของไทยที่กลับสู่ภาวะปกติ และขอการสนับสนุนให้สหรัฐฯ ถอดไทยจากบัญชี PWL และต่ออายุ GSP ให้ไทย ซึ่งได้รับการขานรับอย่างดี ๓. การหารือกับภาคเอกชนสหรัฐฯ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ได้พบหารือและชี้แจงให้ภาคเอกชนสหรัฐฯ ทราบเรื่องที่รัฐบาลไทยกำหนดให้ทรัพย์สินทางปัญญาเป็นวาระแห่งชาติ มีการตั้งคณะกรรมการนโยบายด้านการป้องกันและปราบปรามการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา เพื่อดำเนินการแก้ไขปัญหาการละเมิดอย่างจริงจังและต่อเนื่อง ๔. การหารือกับองค์กรภาคประชาชน (NGOs) รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ได้พบกับองค์กรภาคประชาชน เช่น องค์กรเคอีไอ (Knowledge Ecology International) Essential Action หมอไร้พรมแดน (Medecins Sans Frontieres) และมหาวิทยาลัยอเมริกัน ซึ่งมีบทบาทสนับสนุนให้ประเทศกำลังพัฒนาใช้ CL ในการแก้ปัญหาการเข้าถึงยา โดยรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์แจ้งว่าไทยจะยังคงยึดแนวทางที่ความตกลง ทริปส์ของ WTO เปิดความยืดหยุ่นไว้ และจะทำ CL เพื่อแก้ปัญหาการเข้าถึงยาเมื่อจำเป็น และขอให้ NGOs ช่วยไทยจากแรงกดดันของสหรัฐฯ และมีหนังสือถึง USTR ให้ถอดไทยจากบัญชี PWL ๕. รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์พร้อมคณะได้เยี่ยมชมสถาบันสุขภาพแห่งชาติของสหรัฐฯ (National Institute of Health - NIH) ซึ่งเป็นหน่วยงานภายใต้กระทรวงสาธารณสุขของสหรัฐฯ มีบทบาทหลักในการทำวิจัย หาวิธีรักษาโรคโดยทำการทดลองกับผู้ป่วย (clinical trial) ที่ผ่านมา NIH มีโครงการความร่วมมือกับไทย และได้เคยให้ทุนวิจัยฝึกอบรมแก่มหาวิทยาลัยของไทยในการวิจัยพัฒนายารักษาโรคเอดส์ด้วย โดย NIH ยินดีจะให้ความร่วมมือกับไทยต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||
1204 | ผลการประชุมคณะกรรมการรัฐมนตรีเศรษฐกิจ ครั้งที่ 9/2552 | นร | 13/05/2552 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กรรมการและ
เลขานุการคณะกรรมการรัฐมนตรีเศรษฐกิจ (รศก.) เสนอ ดังนี้ 1. รับทราบผลการประชุมคณะกรรมการ รศก. ครั้งที่ 9/2552 เมื่อวันที่ 29 เมษายน 2552 โดยที่ ประชุมได้มีการพิจารณาเรื่องต่าง ๆ ได้แก่ รายงานสถานการณ์แรงงานและการขึ้นทะเบียนผู้ประกันตน ข้อเสนอ แนวทางการบริหารจัดการเศรษฐกิจในภาวะวิกฤต และการประเมินผลกระทบจากเหตุการณ์ความไม่สงบทางการ เมืองระหว่างวันที่ 8-14 เมษายน 2552 2. เห็นชอบมติคณะกรรมการ รศก. ดังนี้ 2.1 รับทราบรายงานสถานการณ์แรงงานและการขึ้นทะเบียนผู้ประกันตน โดยมอบหมายกระทรวง แรงงานนำเสนอข้อมูลการลาออก และการเลิกจ้างแรงงาน รวมทั้งการใช้สิทธิประโยชน์จากกองทุนประกันสังคม จำแนกเป็นรายสาขา โดยเปรียบเทียบกับข้อมูลในช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนเพื่อให้ข้อมูลเกิดความชัดเจน และ มอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ประสานกระทรวงการคลัง และกระทรวงพาณิชย์ ศึกษาวิเคราะห์ผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจโลกต่อประเทศไทยโดยแสดงให้เห็นผลกระทบ ต่ออุตสาหกรรมทั้งที่ต้องพึ่งพาเศรษฐกิจระหว่างประเทศ และพึ่งพาเศรษฐกิจภายในประเทศ เพื่อให้ทราบถึงผลที่ ชัดเจนยิ่งขึ้น 2.2 รับทราบแนวทางการบริหารจัดการเศรษฐกิจในภาวะวิกฤต โดยมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยว ข้องกำหนดเป้าหมายระยะเวลาการดำเนินงานแล้วเสร็จ และรายงานความก้าวหน้าการดำเนินงานตามมาตรการ เศรษฐกิจของรัฐบาลในช่วงที่ผ่านมาเพื่อนำข้อมูลเผยแพร่ทางเว็บไซต์ และให้ฝ่ายเลขานุการประสานกับผู้ที่เกี่ยว ข้องเพื่อกำหนดเป้าหมายการเปิดให้บริการศูนย์ประสานงานเพื่ออำนวยความสะดวกในการประกอบธุรกิจ (One Start & One Stop Service Center) กับให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องระบุโครงการที่เกี่ยวข้องกับเรื่อง Green Economy และ Creative Economy ภายใต้แผนฟื้นฟูเศรษฐกิจระยะที่ 2 2.3 รับทราบผลการประเมินผลกระทบจากเหตุการณ์ความไม่สงบทางการเมืองระหว่างวันที่ 8-14 เมษายน 2552 ของ สศช. ที่คาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวจะลดลงจากผลกระทบดังกล่าวประมาณ 400,000 คน
|
|||||||||||||||||||||||||||
1205 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "การกระจายรายได้ด้วยการสร้างสังคมสวัสดิการ" | สสป | 06/05/2552 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. รับทราบตามที่สำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอความเห็นและข้อเสนอแนะของ สภาที่ปรึกษา ฯ เรื่อง "การกระจายรายได้ด้วยการสร้างสังคมสวัสดิการ" ดังนี้ 1.1 กำหนดการสร้างสังคมสวัสดิการให้เป็นวาระแห่งชาติ 1.2 สร้างภาคีสังคมสวัสดิการจากภาคส่วนต่าง ๆ ของสังคมใน 3 รูปแบบ ได้แก่ 1.2.1 สวัสดิการโดยรัฐ (pubilc welfare) แบ่งออกเป็น 3 ด้าน คือ - การบริการสังคม (social service) ประกอบด้วย การบริการด้านการศึกษา สาธารณสุข ที่อยู่อาศัย บริการด้านสิ่งอำนวยความสะดวกพื้นฐาน เช่น ไฟฟ้า ประปา โทรศัพท์ เป็นต้น บริการจัดหางานทำ และ การได้รับความยุติธรรมจากกระบวนการยุติธรรม - การประกันสังคม (social insurance) ประกอบด้วย การประกันเจ็บป่วย และประสบอัน ตราย ประกันทุพพลภาพ การประกันคลอดบุตร การสงเคราะห์บุตร การประกันชราภาพ การประกันการเสียชีวิต และการประกันการว่างงาน - การสงเคราะห์สังคม หรือการช่วยเหลือทางสังคม (social assistance) ได้แก่ การให้ความ ช่วยเหลือแก่คนที่อยู่ในภาวะช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ เช่น การช่วยเหลือเด็ก คนชรา คนพิการ คนเร่ร่อน เป็นต้น หรือผู้ ที่ตกอยู่ในภาวะวิกฤต เช่น ผู้ประสบภัยพิบัติ ไฟไหม้ น้ำท่วม เป็นต้น ทั้งนี้ แนวทางการสร้างสวัสดิการพื้นฐาน โดยรัฐให้มีบทบาทหลัก สามารถดำเนินการได้ 3 วิธี คือ การจัดการงบประมาณ การคลังเพื่อการกระจายรายได้ และการจัดให้มีระบบความมั่นคงทางสังคม (social security) 1.2.2 สวัสดิการโดยภาคธุรกิจ โดยการจัดสวัสดิการให้กับแรงงานลูกจ้างและแรงงานคล้ายลูกจ้าง เช่น ผู้รับงานไปทำที่บ้าน และเกษตรกรภายใต้พันธสัญญา โดยผ่านการปรับปรุงกฎระเบียบของทางราชการใน 3 ด้าน คือ - การคุ้มครองแรงงาน โดยการขยายการคุ้มครองแรงงานตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรง งานให้ครอบคลุมลูกจ้างทุกประเภท รวมถึงผู้รับงานไปทำที่บ้านด้วย - การประกันสังคม โดยให้มีการประกันสังคมถ้วนหน้าครอบคลุมแรงงานลูกจ้าง และคล้าย ลูกจ้างทุกประเภท - สวัสดิการแรงงานในลักษณะอื่น ๆ เป็นสวัสดิการแรงงานที่จัดขึ้นโดยนายจ้าง เช่น ที่พัก อาหารกลางวัน บริการรถโดยสาร เป็นต้น 1.2.3 สวัสดิการโดยชุมชน (Community welfare) รูปแบบในการจัดสวัสดิการสำหรับกลุ่มนี้ ได้แก่ การที่รัฐส่งเสริมและสนับสนุน โดยภาคชุมชนร่วมสมทบ สามารถจำแนกตามฐานการจัดสวัสดิการได้ดังนี้ - ขยายผลสวัสดิการบนฐานทรัพยากรและวัฒนธรรม - สนับสนุนสถาบันแรงงานที่ไม่เป็นทางการ - ส่งเสริมงบประมาณเพื่อการส่งเสริมสถาบันสวัสดิการชุมชน - สวัสดิการอื่น ๆ 2. รับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่น คงของมนุษย์ ร่วมกับสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กระทรวงการคลัง กระทรวงมหาดไทย กระทรวงแรง งาน สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
|
|||||||||||||||||||||||||||
1206 | รายงานการตรวจติดตามสถานการณ์ การบริหารจัดการและการเพาะปลูกพืชฤดูแล้งในพื้นที่ จังหวัดสุโขทัย | กษ | 28/04/2552 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รายงานการตรวจติดตามสถานการณ์ การ
บริหารจัดการและการเพาะปลูกพืชฤดูแล้งในพื้นที่จังหวัดสุโขทัยของรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (นายชาติชาย พุคยาภรณ์) เมื่อวันที่ 23 มีนาคม 2552 สรุปได้ดังนี้ 1. สถานการณ์การบริหารจัดการน้ำฤดูแล้ง ปี 2551/52 ปริมาณน้ำต้นทุนในช่วงฤดูแล้งของจังหวัดสุโข ทัย มีปริมาณน้ำต้นทุนจากแหล่งเก็บกักน้ำขนาดกลาง จำนวน 35 แห่ง และแม่น้ำยมซึ่งมีปริมาณน้ำเฉลี่ยต่อปี 2,600 ล้านลูกบาศก์เมตร (ลบ.ม.) สามารถเก็บน้ำได้ 23 ล้าน ลบ.ม. ปัจจุบันมีน้ำ 2.65 ล้าน ลบ.ม. รวมทั้งแหล่ง น้ำใกล้เคียง ได้แก่ การผันน้ำจากแม่น้ำปิง 90 ล้าน ลบ.ม. และจากแม่น้ำน่าน 120 ล้าน ลบ.ม. ส่วนเป้าหมายกิจ กรรมการใช้น้ำต้นทุนดังกล่าว ได้มีการวางแผนเพื่อสนับสนุนกิจกรรมการใช้น้ำในจังหวัดสุโขทัย ได้แก่ การใช้น้ำเพื่อ การเกษตร และการใช้น้ำเพื่อการอุปโภค บริโภค 2. สถานการณ์การปลูกพืชฤดูแล้ง ปี 2551/52 จากการสำรวจ พบว่า เกษตรกรมีการปลูกพืชฤดูแล้งทั้ง จังหวัด รวม 596,071 ไร่ โดยเป็นพื้นที่ข้าวนาปรัง 534,002 ไร่ และพืชไร่-พืชผัก 62,069 ไร่ สำหรับการให้ความ ช่วยเหลือสนับสนุนการปลูกพืชฤดูแล้ง ปี 2551/52 กรมชลประทานได้เตรียมเครื่องสูบน้ำ 12 เครื่อง เพื่อช่วยเหลือ เกษตรกรในการเพาะปลูก และร่วมกับจังหวัดสุโขทัยเตรียมรถบรรทุกน้ำเพื่อช่วยเหลือประชาชน 78 คัน รวมทั้งศูนย์ ปฏิบัติการฝนหลวงภาคเหนือตอนล่างได้ขึ้นปฏิบัติการฝนหลวง 3. แผนเตรียมรับสถานการณ์ภัยแล้ง จังหวัดสุโขทัยได้ประกาศพื้นที่ภัยแล้งครบทุกอำเภอ (9 อำเภอ) 83 ตำบล 810 หมู่บ้าน ส่วนใหญ่เป็นสภาวะขาดแคลนน้ำอุปโภค บริโภค และน้ำเพื่อการเกษตรเพียงบางส่วน โดย หน่วยงานในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้เตรียมแผนเพื่อรับสถานการณ์ภัยแล้งดังกล่าวแล้ว
|
|||||||||||||||||||||||||||
1207 | กฎหมายว่าด้วยการชุมนุมในที่สาธารณะ | นร | 17/04/2552 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีเห็นว่า ตามที่รัฐธรรมนูญบัญญัติให้บุคคลมีเสรีภาพในการชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธ
ซึ่งการจำกัดเสรีภาพดังกล่าวจะกระทำมิได้ เว้นแต่โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายเฉพาะกรณีการชุมนุม สาธารณะ และเพื่อคุ้มครองความสะดวกของประชาชนที่จะใช้ที่สาธารณะหรือเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยในระหว่าง เวลาที่ประเทศอยู่ในภาวะสงคราม หรือระหว่างเวลาที่มีประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินหรือประกาศใช้กฎอัยการศึก เห็น สมควรมีกฎหมายเพื่อให้การใช้เสรีภาพในการชุมนุมสาธารณะเป็นไปตามหลักการสากล และบทบัญญัติของรัฐธรรม นูญ และโดยที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้เคยเสนอร่างพระราชบัญญัติการชุมนุมในที่สาธารณะ พ.ศ. .... มาให้คณะ รัฐมนตรีพิจารณาแล้วครั้งหนึ่ง จึงให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติรับเรื่องนี้ไปพิจารณาดำเนินการร่วมกับกระทรวงมหาด ไทย สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง โดยให้ศึกษาเปรียบเทียบกับกฎหมายในเรื่อง ทำนองเดียวกันของประเทศต่าง ๆ ด้วย แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีโดยเร็วต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
1208 | ผลการประชุมสุดยอดแผนงานการพัฒนาเขตเศรษฐกิจสามฝ่าย อินโดนีเซีย -มาเลเซีย-ไทย (IMT-GT Summit) ครั้งที่ 4 | นร | 07/04/2552 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้
1. รับทราบผลการประชุมสุดยอดแผนงานการพัฒนาเขตเศรษฐกิจสามฝ่าย อินโดนีเซีย-มาเลเซีย-ไทย (IMT-GT Summit) ครั้งที่ 4 เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2552 โดยสาระสำคัญของการประชุม ฯ ประกอบด้วย ข้อ เสนอแนะของผู้นำสามประเทศ โดยในส่วนของประเทศไทย นายกรัฐมนตรีได้มีข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการเสริมสร้าง ความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้านเป็นส่วนสำคัญของนโยบายต่างประเทศของไทย โดยจะทำงานร่วมกับประเทศ เพื่อนบ้าน และหุ้นส่วนการพัฒนาเพื่อเดินหน้าความร่วมมือภายใต้กรอบ IMT-GT เร่งรัดให้มีการวางโครงการที่ชัด เจนสำหรับการดำเนินการตามแผนปฏิบัติการการพัฒนาแนวพื้นที่เศรษฐกิจ (Economic Corridor) ของ IMT-GT ทั้ง 5 แนว ส่งเสริมให้มีการเพิ่มระดับความร่วมมือสาขาพลังงานทั้งด้านน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ สนับสนุนให้เพิ่ม ความใส่ใจต่อประเด็นภาวะโลกร้อน การร่วมกันสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของการผลิตอาหาร ผลิตภัณฑ์ การเกษตร และผลิตผลจากป่าไม้ในอนุภูมิภาค รวมทั้งเร่งรัดกระบวนการภายในประเทศในการเตรียมความพร้อม ต่อการลงนามความตกลงการจัดตั้งศูนย์ประสานความร่วมมืออนุภูมิภาค IMT-GT ทั้งนี้ ที่ประชุม ฯ ได้มีมติรับรอง ถ้อยแถลงของผู้นำ (Joint Statement) โดยให้คำมั่นต่อความร่วมมือ IMT-GT และวิสัยทัศน์ที่มุ่งให้อนุภูมิภาคเป็น ดินแดนแห่งความสงบสุข ร่มเย็น และมีความเจริญ และเชื่อมโยงกันอย่างแน่นแฟ้น และตระหนักถึงความสำคัญของ การพัฒนาความเชื่อมโยงตามแนวพื้นที่เศรษฐกิจในอนุภูมิภาค IMT-GT ทั้ง 5 แนว โดยเรียกร้องทุกภาคส่วนให้ร่วม มือกันพัฒนาความเชื่อมโยง เป็นต้น กับเห็นชอบและรับรองแนวทางการดำเนินการในระยะเร่งด่วน โดยที่ประชุม ฯ รับทราบความก้าวหน้าการดำเนินงานในช่วงปี พ.ศ. 2551 ของคณะทำงานภายใต้กรอบ IMT-GT ทั้ง 6 สาขา และ รับรองแนวทางการดำเนินงาน 6 เรื่อง นอกจากนี้ ที่ประชุม ฯ ได้พิจารณาเกี่ยวกับการจัดตั้งศูนย์ประสานความ ร่วมมืออนุภูมิภาค IMT-GT โดยเห็นว่า การจัดทำความตกลงในการจัดตั้งศูนย์ดังกล่าวเป็นการดำเนินการตามข้อ มติที่ประชุม IMT-GT Summit ครั้งที่ 3 วันที่ 19 พฤศจิกายน 2550 ที่ประเทศสิงคโปร์ ทำหน้าที่เป็นองค์กร ประสานเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานของ IMT-GT และให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามผลการ ประชุมดังกล่าวต่อไป 2. เห็นชอบในหลักการให้ประเทศไทยร่วมลงนามความตกลงการจัดตั้งศูนย์ประสานความร่วมมืออนุภูมิ ภาค IMT-GT โดยให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติรับเรื่องนี้ไปหารือสำนักงาน คณะกรรมกฤษฎีกาและกระทรวงการต่างประเทศในประเด็นเกี่ยวกับการดำเนินการตามมาตรา 190 ของรัฐธรรม นูญแห่งราชอาณาจักรไทย ก่อนดำเนินการต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
1209 | ข้อเสนอเชิงนโยบายเพื่อแก้ไขข้อขัดข้องในการดำเนินโครงการตามหลักคิดคำตอบอยู่ที่หมู่บ้าน | นร | 07/04/2552 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบข้อเสนอเชิงนโยบายเพื่อแก้ไขข้อขัดข้องในการดำเนินโครงการพัฒนาคุณภาพ
ชีวิตของประชาชนระดับหมู่บ้านจังหวัดชายแดนภาคใต้ (พนม.) และโครงการพัฒนาชุมชนสันติสุขตามแนวปรัชญา เศรษฐกิจพอเพียง (พนพ.) ประจำปี 2552 ตามที่ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) เสนอ ดังนี้ 1. โครงการ พนม. ให้ถือเป็นนโยบายหลักของทุกกระทรวง ทบวง กรมที่ปฏิบัติงานในพื้นที่จังหวัดชาย แดนภาคใต้สนับสนุนการดำเนินงานโครงการ พนม. ที่มี ศอ.บต. เป็นเจ้าภาพหลักรวมทั้งให้องค์กรปกครองส่วน ท้องถิ่นให้การสนับสนุนด้านงบประมาณในการต่อยอดโครงการ พนม. กับให้ ศอ.บต. ดำเนินการตามแนวทางการ บริหารงบประมาณโครงการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนระดับตำบลจังหวัดชายแดนภาคใต้ ประจำปี 2550 ที่ คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 13 มีนาคม 2550 โดยให้ ศอ.บต. สามารถกำหนดวัตถุประสงค์ เป้าหมาย แนวทาง การดำเนินงาน และระยะเวลาดำเนินงานของโครงการ รวมทั้งการติดตามประเมินผล และให้ ศอ.บต. สามารถ บูรณาการ ปรับเปลี่ยนรายละเอียดขั้นตอนได้ตามความจำเป็น การดำเนินการโครงการคุณภาพชีวิตของประชาชน ระดับหมู่บ้านจังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพ ประสิทธิผลตามเป้าประสงค์ของโครงการได้ 2. โครงการ พนพ. ประจำปี 2552 จัดทำขึ้นเพื่อแก้ปัญหาปากท้องของประชาชนในพื้นที่ โดยให้ประชา ชนเข้ามามีบทบาทในการแก้ไขปัญหา "คิดเอง ทำเอง ตัดสินใจทางเลือกด้วยตนเอง" มีวัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุน และพัฒนาศักยภาพการดำเนินชีวิตของประชาชนในพื้นที่ให้พึ่งตนเองและพึ่งพากันเองในชุมชนอย่างยั่งยืนตามแนว ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงให้เกิดผลเป็นรูปธรรมและเพื่อแก้ไขปัญหาภาวะเศรษฐกิจตกต่ำตามนโยบายของรัฐมีกลุ่ม ครัวเรือน เป้าหมายในพื้นที่ 5 จังหวัด 44 อำเภอ 317 ตำบล ๆ ละ 1 จุดตัวอย่าง ประกอบด้วยครัวเรือนเป้าหมาย 70 ครัวเรือน ครัวเรือนปราชญ์ชาวบ้าน 317 ครัวเรือน ครัวเรือนบัณฑิตอาสา 320 ครัวเรือน รวมครัวเรือนเป้า หมายทั้งหมด 22,439 ครัวเรือน
|
|||||||||||||||||||||||||||
1210 | การขออนุมัติวงเงินกู้เพื่อแก้ไขปัญหาเงินทุนหมุนเวียนของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย | พน | 07/04/2552 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. อนุมัติให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) กู้เงินในประเทศระยะยาวเพื่อแก้ไขปัญหาเงิน ทุนหมุนเวียนและเสริมสภาพคล่องในปี พ.ศ. 2552 ในวงเงิน 20,000 ล้านบาท ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ ส่วนการค้ำประกันการกู้เงินให้เป็นไปตามความเห็นของกระทรวงการคลัง 2. ให้กระทรวงพลังงาน โดย กฟผ. รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและ สังคมแห่งชาติ ที่เห็นว่า จากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวอาจส่งผลให้ กฟผ. ยังคงประสบปัญหาสภาพคล่อง ดังนั้น กฟผ. ควรให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการความเสี่ยงในสภาวการณ์ดังกล่าว เพื่อมิให้เกิดผลกระทบรุนแรง ต่อองค์กร ไปพิจารณาด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||
1211 | เป้าหมายการส่งออกปี 2552 | พณ | 07/04/2552 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. รับทราบตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอเป้าหมายการส่งออกสินค้าปี 2552 ซึ่งจะลดลงเมื่อเทียบกับ ปี 2551 โดยในช่วงครึ่งแรกของปี 2552 คาดว่าการส่งออกจะลดลงมากและอาจจะกลับมาดีขึ้นในช่วงครึ่งหลังของ ปี โดยปัจจัยสำคัญที่ส่งผลให้การส่งออกชะลอตัวลงในปี 2552 อาทิ ความต้องการในตลาดโลกที่ลดลงตามเศรษฐ กิจของตลาดส่งออกหลัก และปัญหาการขาดสภาพคล่องของผู้ซื้อในต่างประเทศจากผลกระทบของวิกฤตทางการ เงินที่มีแนวโน้มรุนแรงมากขึ้น เป็นต้น สำหรับปัจจัยสนับสนุนให้ช่วงครึ่งหลังของปี 2552 คาดว่าการส่งออกจะมี แนวโน้มที่ปรับตัวดีขึ้น อาทิ เศรษฐกิจของตลาดส่งออกสำคัญโดยเฉพาะตลาดหลักคาดว่าจะมีแนวโน้มที่ปรับตัวดี ขึ้นเป็นลำดับ ค่าเงินบาทมีเสถียรภาพและราคาน้ำมันโลกอยู่ในระดับต่ำ รวมทั้งผู้ประกอบการไทยได้รับการยอม รับในด้านการผลิตสินค้าที่มีคุณภาพและมาตรฐาน เป็นต้น 2. ให้กระทรวงพาณิชย์รับข้อสังเกตของคณะรัฐมนตรีไปพิจารณาด้วยว่า เป้าหมายการส่งออกปี 2552 และข้อเสนอมาตรการเร่งด่วนเพื่อกระตุ้นการส่งออกปี 2552 เป็นผลมาจากการสัมมนาเชิงปฏิบัติการร่วมกับภาค เอกชนและสมาคมการค้าทุกอุตสาหกรรม เมื่อวันที่ 7 มกราคม 2552 แต่ในขณะนี้สถานการณ์และปัจจัยต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องทั้งภายในและภายนอกประเทศมีการเปลี่ยนแปลงไปมาก ควรที่จะพิจารณาทบทวนเรื่องดังกล่าวให้สอด คล้องกับข้อเท็จจริงในปัจจุบันมากยิ่งขึ้น และให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงการ ต่างประเทศ กระทรวงพลังงาน กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ รวมทั้งข้อสังเกตของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และสำนักงานคณะกรรม การพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับการกำหนดเป้าหมายการส่งออกร้อยละ 0-3 ควรมีการแยก กำหนดเป้าหมายด้านราคาและปริมาณ และคำนึงถึงปัจจัยภาวะทางเศรษฐกิจทั้งภายในและภายนอกประเทศ โดย เฉพาะภายใต้สถานการณ์ทางเศรษฐกิจโลกในปัจจุบัน สำหรับโครงการครัวไทยสู่โลกเป็นโครงการที่ครอบคลุมใน หลายมิติควรประกอบด้วยส่วนราชการต่าง ๆ โดยแบ่งหน้าที่ความรับผิดชอบของแต่ละส่วนให้ชัดเจน ปรับรสชาด อาหารไทยและพัฒนาให้เกิดความหลากหลายตรงตามต้องการของตลาด ส่วนการดำเนินมาตรการส่งเสริมการส่ง ออกของไทยควรพิจารณาใช้ประโยชน์จากกลไกของสถานเอกอัครราชทูต/สถานกงสุลใหญ่ของไทยในต่างประเทศ อย่างเต็มที่ รวมทั้งสนับสนุนมาตรการช่วยเหลือผู้ส่งออกในเรื่องภาษีวัตถุดิบของสินค้าที่นำเข้าเพื่อส่งออก โดยให้ พิจารณาสนับสนุนมาตรการจัดตั้ง Free one สำหรับอุตสาหกรรมอัญมณี สำหรับมาตรการด้านการสื่อสารและ สร้างภาพลักษณ์ให้กับสินค้าไทย ควรมีการบูรณาการการดำเนินงานระหว่างกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงอุตสาห กรรม และหน่วยงานอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง อาทิ โครงการ Thailand Brand ของภาคเอกชน เพื่อสร้างความเชื่อมั่นทาง เศรษฐกิจให้กับกลุ่มลูกค้าต่างชาติและเพื่อความเป็นเอกภาพ เป็นต้น ไปประกอบการพิจารณาดำเนินการต่อไป ด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
1212 | ผลการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังอาเซียน+3 สมัยพิเศษ และการประชุมอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง | กค | 24/03/2552 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการคลังรายงานผลการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการ
คลังอาเซียน+3 สมัยพิเศษ (Special ASEAN+3 Finance Ministers'' Meeting Special AFMM+3) และการประชุม อื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ระหว่างวันที่ 21-22 กุมภาพันธ์ 2552 ณ จังหวัดภูเก็ต โดยสาระสำคัญของการประชุมครั้งนี้ ที่ประชุมได้มีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในเรื่องภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบันและผลกระทบที่มีต่อภูมิภาคเอเชีย โดย เฉพาะมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศสมาชิกเพื่อรองรับวิกฤตเศรษฐกิจการเงินโลก และรับทราบความคืบ หน้าการเตรียมการสำหรับการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง G-20 ณ กรุงลอนดอน สหราชอาณา จักร โดยให้ความสำคัญกับ 3 เรื่องหลัก ได้แก่ 1) Macroeconomic policy coordination 2) Preventing Protec tionism และ 3) International Financial Market Reform โดยแบ่งคณะทำงานออกเป็น 4 กลุ่ม เพื่อเสนอแนะแผน ปฏิบัติการเร่งด่วน ได้แก่ คณะทำงานที่ 1 Financial Supervision and Regulation คณะทำงานที่ 2 International Cooperation and market integrity คณะทำงานที่ 3 IMF Reform และคณะทำงานที่ 4 Reform of Multilateral Development Banks (MDBs) ซึ่งที่ประชุมได้หารือและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับประเด็นต่าง ๆ อาทิ การ ต่อต้านการกีดกันทางการค้า การดำเนินนโยบายการเงินการคลังที่มีประสิทธิภาพและโปร่งใส และการปฏิรูป MDBs เพื่อให้สามารถแก้ไขปัญหาความยากจนได้อย่างแท้จริง
|
|||||||||||||||||||||||||||
1213 | รายงานผลการดำเนินการโครงการแทรกแซงตลาดมันสำปะหลัง ปี 2551/52 | พณ | 24/03/2552 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้
1. รับทราบการคงอยู่ของคณะกรรมการที่เกี่ยวข้องกับการแก้ไขปัญหามันสำปะหลัง 3 คณะ ได้แก่ 1.1 คณะกรรมการบูรณาการป้องกันและปราบปรามการลักลอบนำเข้าสินค้าเกษตร 1.2 คณะกรรมการนโยบายมันสำปะหลัง 1.3 คณะกรรมการตรวจสอบโครงการแทรกแซงตลาดข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปี 2551/52 (เพิ่มเติม ครั้งที่ 2) โครงการแทรกแซงตลาดน้ำมันปาล์มดิบ ปี 2551/52 (เพิ่มเติม) และโครงการแทรงแซงตลาดมัน สำปะหลัง ปี 2551/52 2. รับทราบผลการดำเนินโครงการแทรกแซงตลาดมันสำปะหลัง ปี 2551/52 สรุปได้ดังนี้ ผล การรับจำนำ ณ วันที่ 20 มีนาคม 2552 มีปริมาณรับจำนำหัวมันสด 8.67 ล้านตัน แปรรูปเป็นมันเส้น ประมาณ 2.47 ล้านตัน แป้งมัน 0.62 ล้านตัน และเมื่อสิ้นสุดระยะเวลารับจำนำเดือนเมษายน 2552 ตาม เป้าหมายปริมาณรับจำนำ 10 ล้านตัน ประมาณการว่า จะมีผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังที่รับจำนำไว้เป็นมันเส้น 2.80 ล้านตัน แป้งมัน 0.76 ล้านตัน สำหรับแนวโน้มสถานการณ์ ประมาณการว่า ณ สิ้นเดือนกุมภาพันธ์ ผลผลิตหัวมันสดคงเหลือในมือเกษตรกรประมาณ 7-9 ล้านตัน และจากภาวะราคามันสำปะหลังตลาดทั่วไป อยู่ในระดับต่ำ หัวมันสดเชื้อแป้ง 25% กก.ละ 1.10-1.40 บาท หัวมันสดคละ กก.ละ 1.06-1.40 บาท เทียบ กับราคารับจำนำ กก.ละ 2 บาท ทำให้เกษตรกรนำหัวมันสดมาจำนำวันละประมาณ 1 แสนตัน นอกจาก นี้ กระทรวงพาณิชย์ได้ประมาณการภาระที่เกิดจากการดำเนินการรับจำนำมันสำปะหลัง โครงการแทรกแซง ตลาดมันสำปะหลัง ปี 2551/52 โดยประสานองค์การคลังสินค้าจัดทำต้นทุนผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังในแต่ ละช่วงเวลาเปรียบเทียบกับประมาณการรายได้จากการจำหน่าย
|
|||||||||||||||||||||||||||
1214 | แผนแม่บทป้องกันและบรรเทาภัยจากคลื่นสึนามิ (ระยะ 5 ปี) | มท | 24/03/2552 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ดังนี้
1. แผนแม่บทป้องกันและบรรเทาภัยจากคลื่นสึนามิ (ระยะ 5 ปี) มีเป้าหมายเพื่อลดความสูญเสีย ชีวิตและทรัพย์สินของผู้ประสบภัย ฟื้นฟูพื้นที่ประสบภัยและสร้างความมั่นคงของผู้ประสบภัยให้กลับสู่ภาวะปกติ โดยเร็วที่สุด ตลอดจนบูรณาการปฏิบัติงานระหว่างหน่วยงาน เครือข่ายที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและเอกชน และให้ หน่วยงานต่าง ๆ สามารถนำไปสู่การจัดทำแผนปฏิบัติการและแผนงบประมาณ ประกอบด้วย ยุทธศาสตร์ 4 ยุทธศาสตร์ คือ 1.1 ยุทธศาสตร์ที่ 1 การป้องกันและลดผลกระทบ มี 9 กลยุทธ์ (44 กิจกรรมหลัก) 1.2 ยุทธศาสตร์ที่ 2 การเตรียมพร้อมรับภัย มี 6 กลยุทธ์ (21 กิจกรรมหลัก) 1.3 ยุทธศาสตร์ที่ 3 การจัดการในภาวะฉุกเฉิน มี 7 กลยุทธ์ (31 กิจกรรมหลัก) 1.4 ยุทธศาสตร์ที่ 4 การจัดการหลังเกิดภัย มี 5 กลยุทธ์ (36 กิจกรรมหลัก) 2. ให้กระทรวงมหาดไทย โดยกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เป็นหน่วยงานประสานหลักร่วม กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำแผนปฏิบัติการและแผนงบประมาณรองรับแผนแม่บทดังกล่าว รวมทั้งให้รับความ เห็นและข้อเสนอแนะของกระทรวงศึกษาธิการ สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจ และสังคมแห่งชาติ และสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ ที่ควรมีการกำหนดเป้าหมายของแผนแม่บท ฯ ให้มี ลักษณะเป็นรูปธรรมหรือมีเป้าหมายเชิงปริมาณมากขึ้น เช่น จำนวนระบบเตือนภัยที่จะต้องดำเนินการ จำนวน ระบบสื่อสารที่จำเป็นต้องจัดหา จำนวนศูนย์อำนวยการที่จะต้องจัดตั้ง จำนวนโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ ที่ต้อง ดำเนินการปรับปรุงหรือพัฒนา เพื่อให้เกิดความชัดเจนในขั้นตอนการแปลงแผนไปสู่การปฏิบัติ รวมทั้งกระบวน การจัดทำงบประมาณ และการจัดทำแผนแม่บท ฯ ควรสอดคล้องกับกรอบแผนการป้องกันและบรรเทาสาธารณ ภัยแห่งชาติ กรอบแผนปฏิบัติการการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแบบบูรณาการระดับกระทรวง และแผน การป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัด และให้นำผลการฝึกซ้อมการบริหารวิกฤตการณ์ด้านสาธารณภัย ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม 2550 และวันที่ 11 พฤศจิกายน 2551 เรื่อง การฝึกซ้อมการ บริหารวิกฤตการณ์ด้านสาธารณภัย โดยเฉพาะการฝึกซ้อมระดับชาติกรณีภัยพิบัติสึนามิ ไปประกอบแผนแม่ บท ฯ เพื่อให้แผนมีความรอบด้านยิ่งขึ้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
1215 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดจำนวนเงินฝากที่ได้รับการคุ้มครองเพิ่มขึ้น พ.ศ. .... | กค | 17/03/2552 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดจำนวนเงินฝากที่ได้รับการคุ้มครองเพิ่มขึ้น พ.ศ. ....
ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้ โดย ร่างพระราชกฤษฎีกา ฯ มีสาระสำคัญคือ กำหนดจำนวนเงินฝากที่ได้รับการคุ้มครองในช่วงสี่ปีแรกของการบังคับใช้ พระราชบัญญัติสถาบันคุ้มครองเงินฝาก พ.ศ. 2551 เพิ่มขึ้นจากที่กำหนดในมาตรา 72 วรรคหนึ่ง เนื่องจากภาวะ เศรษฐกิจและระบบการเงินของประเทศมีการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ ดังต่อไปนี้ (1) ปีที่หนึ่ง เต็มตามจำนวนเงินที่ปรากฏในบัญชีเงินฝาก (2) ปีที่สอง เต็มตามจำนวนเงินที่ปรากฏในบัญชีเงินฝาก (3) ปีที่สาม เต็มตามจำนวนเงินที่ปรากฏในบัญชีเงินฝาก (4) ปีที่สี่ ไม่เกินจำนวนเงินห้าสิบล้านบาท
|
|||||||||||||||||||||||||||
1216 | การจัดงานนัดพบแรงงานเพื่อช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การเลิกจ้างจากภาวะวิกฤตเศรษฐกิจ | รง | 10/03/2552 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงแรงงานรายงานผลการจัดงานนัดพบแรงงานเพื่อช่วยเหลือ
ผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การเลิกจ้างจากภาวะวิกฤตเศรษฐกิจ โดยผลการจัดงานนัดพบแรงงานในทุกพื้น ที่ ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2551-7 กุมภาพันธ์ 2552 มีผู้สมัครงาน จำนวน 43,356 คน มีตำแหน่งงานว่าง จำนวน 338,284 อัตรา มีผู้สมัครงานได้รับการบรรจุงาน จำนวน 12,891 คน สำหรับผลการดำเนินโครงการนัดพบแรง งาน ณ บริเวณกระทรวงแรงงาน ตั้งแต่วันที่ 17 มกราคม-28 มีนาคม 2552 มีผู้สมัครงาน จำนวน 4,607 คน มีผู้ ได้รับการบรรจุงาน จำนวน 921 คน และผู้เข้ารับการสาธิตอาชีพอิสระ จำนวน 1,459 คน ส่วนผลการดำเนิน การขึ้นทะเบียนผู้ประกันตนกรณีว่างงาน ณ สำนักจัดหางานกรุงเทพเขตพื้นที่ 10 แห่ง ในกรุงเทพมหานคร และ สำนักงานจัดหางานจังหวัด หรือศูนย์บริการเบ็ดเสร็จแก้ไขปัญหาแรงงานจากวิกฤตเศรษฐกิจทั่วประเทศ ระหว่าง เดือนพฤศจิกายน 2551-มกราคม 2552 มีผู้ประกันตนมาขึ้นทะเบียน จำนวน 154,143 คน มีผู้ประกันตนได้รับ ประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงานในเดือนพฤศจิกายน 2551 จำนวน 65,323 คน เดือนธันวาคม 2551 จำนวน 71,951 คน และเดือนมกราคม 2552 จำนวน 91,543 คน จำนวนเงินประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงานรวมทั้งสิ้น 673.17 ล้านบาท และมีการบรรจุงานให้แก่ผู้ประกันตนที่ขึ้นทะเบียน จำนวน 44,378 คน
|
|||||||||||||||||||||||||||
1217 | สรุปสภาวะเศรษฐกิจไตรมาสที่สี่ และทั้งปี 2551 และแนวโน้มปี 2552 | นร | 24/02/2552 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติราย
งานสรุปภาวะเศรษฐกิจไตรมาสที่สี่ และทั้งปี พ.ศ. 2551 และแนวโน้มปี พ.ศ. 2552 ดังนี้ 1. เศรษฐกิจไทยไตรมาสที่สี่ ปี พ.ศ. 2551 หดตัวร้อยละ 4.3 ต่อเนื่องจากที่ขยายตัวในอัตราที่ชะลอตัว ตามลำดับจากร้อยละ 6.0 ในไตรมาสแรก ร้อยละ 5.3 ในไตรมาสสอง และร้อยละ 3.9 ในไตรมาสสาม รวมทั้งปี พ.ศ. 2551 เศรษฐกิจไทยขยายตัวร้อยละ 2.6 ชะลอตัวลงมากจากที่ขยายตัวร้อยละ 4.9 ในปี พ.ศ. 2550 และ ร้อยละ 5.2 ในปี พ.ศ. 2549 ทั้งนี้ ปัจจัยที่ทำให้เศรษฐกิจไทยหดตัวในไตรมาสที่สี่ คือ ผลกระทบจากภาวะเศรษฐ กิจโลกหดตัวซึ่งทำให้การส่งออกสินค้าและบริการท่องเที่ยวของไทยหดตัว ความไม่สงบและปัญหาความไม่แน่นอน ด้านการเมือง และการปิดสนามบินนานาชาติ 2 แห่ง ส่งผลกระทบต่อการท่องเที่ยว และเป็นอุปสรรคต่อการขน ส่งสินค้าระหว่างประเทศ รวมทั้งส่งผลให้ความเชื่อมั่นของประชาชนและภาคธุรกิจเอกชนลดลง การเปลี่ยนแปลง รัฐบาลหลายครั้ง ทำให้การเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐมีความล่าช้าและต่ำกว่าเป้าหมายและการดำเนินโครงการ ลงทุนภาครัฐมีความล่าช้า 2. แนวโน้มเศรษฐกิจไทยปี พ.ศ. 2552 คาดว่าจะมีแนวโน้มชะลอลงมากและมีความเสี่ยงที่จะหดตัว โดย คาดว่าอัตราการขยายตัวเฉลี่ยทั้งปีจะอยู่ในช่วงประมาณร้อยละ (-1) ถึง (0) ซึ่งเป็นการปรับลดการประมาณ การลงจากการขยายตัวร้อยละ 3.0-4.0 ในการแถลงข่าวเมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน 2551 เนื่องจากภาระเศรษฐ กิจโลกถดถอยมากกว่าที่คาดไว้ และส่งผลกระทบให้การส่งออกและการท่องเที่ยวของไทยหดตัวมากและเร็วกว่าที่ คาดไว้ ประกอบกับสถาบันการเงินมีความเข้มงวดมากขึ้นในการขยายสินเชื่อรวมทั้งความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจยัง อยู่ในระดับต่ำภายใต้บรรยากาศทางเศรษฐกิจที่ซบเซา
|
|||||||||||||||||||||||||||
1218 | ผลการประชุมคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจ (กรอ.) ครั้งที่ 2/2552 | นร | 24/02/2552 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. รับทราบผลการประชุมคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจ (กรอ.) ครั้งที่ 2/2552 เมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2552 และเห็นชอบมติคณะกรรมการ กรอ. รวม 6 เรื่อง ดังนี้ 1.1 โครงการเพิ่มศักยภาพผู้ว่างงานเพื่อสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจและสังคมในชุมชน (6,900 ล้าน บาท) ที่ประชุมมีมติให้ภาคเอกชนประสานส่งคำขอเข้าร่วมโครงการกับคณะกรรมการบริหารโครงการเพิ่มศักย ภาพผู้ว่างงานเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจและสังคมในชุมชน และกระทรวงแรงงานโดยเร่งด่วน 1.2 โครงการค่าใช้จ่ายตามมาตรการช่วยเหลือการครองชีพของบุคลากรภาครัฐ (2,652.2 ล้าน บาท) และโครงการช่วยเหลือค่าครองชีพประชาชน (16,318.3 ล้านบาท) ที่ประชุมมีมติรับทราบข้อเสนอแนะ เกี่ยวกับรูปแบบวิธีการจ่ายเงินของภาคเอกชน โดยรัฐบาลจะรับความเห็นไปประกอบการพิจารณาเพื่อกำหนด วิธีดำเนินการที่เหมาะสมและรัดกุมต่อไป 1.3 โครงการด้านพาณิชย์เพื่อช่วยเหลือประชาชน (1,000 ล้านบาท) ที่ประชุมมีมติให้กระทรวง พาณิชย์ประสานภาคเอกชนเพื่อดำเนินการต่อไป 1.4 การลดราคาสินค้าอุปโภคบริโภคให้สอดคล้องกับต้นทุนการผลิตที่แท้จริง ที่ประชุมมีมติขอให้ ภาคเอกชนรับไปพิจารณาปรับลดราคาสินค้าอุปโภคบริโภคให้สอดคล้องกับภาวะต้นทุนการผลิต 1.5 แนวทางการปล่อยสินเชื่อให้กับผู้ประกอบการ ที่ประชุมมีมติขอให้สภาหอการค้าแห่งประเทศ ไทยและสมาคมธนาคารไทยพิจารณาหาแนวทางที่เหมาะสมในการให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ประกอบการวิสาหกิจ ขนาดกลางและขนาดย่อม และมอบให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ประสานนำเรื่องนี้เสนอคณะกรรมการ กรอ. ในครั้งต่อไป รวมทั้งประสานกระทรวงการคลังให้รายงานความคืบ หน้าการดำเนินงานของบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม และธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้า แห่งประเทศไทย ให้ที่ประชุมทราบในครั้งต่อไป 1.6 มาตรการความช่วยเหลืออุตสาหกรรมสาขาอื่น ๆ ที่ประชุมมีมติมอบหมายให้ สศช. ประสาน กับกระทรวงอุตสาหกรรมและสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยรวบรวมและกลั่นกรองประเด็นปัญหานำเสนอ ต่อคณะกรรมการ กรอ. ในการประชุมครั้งต่อไป 2. มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นและมติคณะกรรมการ กรอ. ไปพิจารณาประกอบ การดำเนินการต่อไป แล้วรายงานให้คณะกรรมการ กรอ. และคณะรัฐมนตรีทราบต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||
1219 | การจัดประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังอาเซียน+3 สมัยพิเศษ | กค | 17/02/2552 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการคลังเสนอเกี่ยวกับการเป็นเจ้าภาพจัดประชุมรัฐมนตรีว่า
การกระทรวงการคลังอาเซียน+3 สมัยพิเศษ ในวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2552 ณ จังหวัดภูเก็ต วัตถุประสงค์ของการ ประชุม ฯ เพื่อร่วมกันกำหนดท่าทีและแนวทางการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจการเงินการคลังเพื่อสร้างความเชื่อมั่น ให้แก่ภูมิภาคในภาวะที่เศรษฐกิจโลกมีความผันผวนสูง รวมทั้งเตรียมเสนอรายงานความคืบหน้าในการดำเนินงาน ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังอาเซียน+3 ต่อที่ประชุมสุดยอดผู้นำประเทศอาเซียน ที่จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 27 กุมภาพันธ์-1 มีนาคม 2552 ณ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ สำหรับค่าใช้จ่ายในการจัดประชุม ฯ จะเบิกจ่ายจาก วงเงินงบประมาณที่คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติสำหรับการเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง อาเซียน ครั้งที่ 13 และการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังอาเซียน+3 ครั้งที่ 12 และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องในปี พ.ศ. 2552
|
|||||||||||||||||||||||||||
1220 | การแก้ไขปัญหาการเลิกจ้าง/ว่างงานจากภาวะวิกฤตเศรษฐกิจ | รง | 10/02/2552 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาการเลิกจ้าง/ว่างงานจากภาวะวิกฤตเศรษฐกิจ โดยเห็นว่าคณะ
กรรมการรัฐมนตรีเศรษฐกิจ ซึ่งประกอบด้วยนายกรัฐมนตรีเป็นประธานกรรมการ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรี ว่าการกระทรวงต่าง ๆ เป็นกรรมการ มีอำนาจหน้าที่ในการพิจารณาเสนอแนะและกำหนดมาตรการและโครงการ เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจในภาวะเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี รวมตลอดถึงการกำกับดูแล เร่งรัด ติดตาม แก้ไขปัญหาและลด ขั้นตอนปฏิบัติในการดำเนินการตามมาตรการและโครงการฟื้นฟูเศรษฐกิจในระยะเร่งด่วน ดังนั้น กรณีที่กระทรวง แรงงานเห็นว่า ปัญหาการเลิกจ้าง/ว่างงานจากภาวะวิกฤตเศรษฐกิจเป็นปัญหาที่จำเป็นต้องแก้ไขเร่งด่วน ก็สามารถ เสนอคณะกรรมการรัฐมนตรีเศรษฐกิจ ซึ่งมีการประชุมเป็นประจำทุกสัปดาห์พิจารณาได้ โดยไม่จำเป็นต้องแต่งตั้ง คณะกรรมการขึ้นใหม่ นอกจากนี้ ควรเสนอรายงานสถานการณ์แรงงานต่อคณะกรรมการรัฐมนตรีเศรษฐกิจเป็น ระยะ ๆ ด้วย ทั้งนี้ กระทรวงแรงงานอาจขอแต่งตั้งคณะอนุกรรมการภายใต้คณะกรรมการรัฐมนตรีเศรษฐกิจ โดยมี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงานเป็นประธานอนุกรรมการได้ตามความจำเป็นและเหมาะสม |
.....