ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 2 จากทั้งหมด 5 หน้า แสดงรายการที่ 21 - 40 จากข้อมูลทั้งหมด 82 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
21 | โครงการค้ำประกันสินเชื่อ SMEs ทวีทุน (Portfolio Guarantee Scheme ระยะที่ 6) ปรับปรุงใหม่ | กค | 01/08/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบโครงการค้ำประกันสินเชื่อ SMEs ทวีทุน (Portfolio Guarantee Scheme ระยะที่ ๖) ปรับปรุงใหม่ (โครงการ PGS ระยะที่ ๖ ปรับปรุงใหม่) โดยรัฐบาลรับภาระค่าธรรมเนียมการค้ำประกันแทนผู้ประกอบการ SMEs สี่ปีแรกในอัตราร้อยละ ๑.๗๕ ร้อยละ ๑.๒๕ ร้อยละ ๐.๗๕ และร้อยละ ๐.๒๕ ตามลำดับ และให้สถาบันการเงินร่วมชดเชยค่าธรรมเนียมการค้ำประกันในปีที่ ๒ ถึง ๔ ในส่วนที่เหลือ เพื่อให้ผู้ประกอบการ SMEs ไม่มีภาระการจ่ายค่าธรรมเนียมใน ๔ ปีแรก รวมทั้งเพิ่มความรับผิดชอบจ่ายค่าประกันชดเชย จากเดิมสูงสุดไม่เกินร้อยละ ๒๓.๗๕ เป็นสูงสุดไม่เกินร้อยละ ๓๐ ของภาระค้ำประกันเฉลี่ย ณ วันสิ้นอายุการค้ำประกัน และอนุมัติงบประมาณชดเชยเพิ่มเติมไม่เกิน ๘,๓๐๒.๕๐ ล้านบาท ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ โดยในส่วนของงบประมาณที่ใช้ในการดำเนินโครงการ PGS ระยะที่ ๖ ปรับปรุงใหม่ และการดำเนินการที่เกี่ยวข้อง ให้บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริง โดยใช้จ่ายจากค่าธรรมเนียมการค้ำประกันสินเชื่อของโครงการ PGS ระยะที่ ๖ ปรับปรุงใหม่ เป็นลำดับแรกก่อน หากไม่เพียงพอจึงขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงการคลัง โดย บสย. รับความเห็นของธนาคารแห่งประเทศไทยที่เห็นควรส่งเสริมให้มีการกระจายวงเงินให้ครอบคลุมผู้ประกอบการ SMEs รายเล็ก และผู้ประกอบการ SMEs ในต่างจังหวัดที่มีศักยภาพมากขึ้น และให้มีการออกแบบลักษณะการเก็บข้อมูลเพื่อสร้างข้อมูลของสินเชื่อภายใต้โครงการ PGS ระยะที่ ๖ ปรับปรุงใหม่ เพื่อให้มีข้อมูลที่ครบถ้วนในการใช้วิเคราะห์ประสิทธิภาพของนโยบายและเป็นประโยชน์ต่อการออกแบบโครงการเพื่อสนับสนุนผู้ประกอบการ SMEs รวมทั้งควรทำข้อตกลงกับสถาบันการเงินถึงกลไกการสนับสนุนค่าธรรมเนียมการค้ำประกันในปีที่ ๒-๔ ให้ชัดเจน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงการคลังได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
22 | มาตรการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs ผ่านโครงการสินเชื่อ SMEs Transformation Loan | กค | 21/03/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการของหลักเกณฑ์และเงื่อนไขของมาตรการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs ผ่านโครงการสินเชื่อ SMEs Transformation Loan ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs ให้สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ และอนุมัติกรอบวงเงินงบประมาณในการดำเนินโครงการฯ จำนวน ๒,๒๕๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ โดยให้ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) และบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (บสย.) จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป สำหรับกรณีของค่าประกันชดเชย ให้ บสย. ใช้เงินรายได้จากค่าธรรมเนียมค้ำประกันสินเชื่อของโครงการฯ ก่อนเป็นลำดับแรก ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของกระทรวงพาณิชย์ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ธนาคารแห่งประเทศไทย และข้อสังเกตของสำนักงบประมาณเกี่ยวกับการกำหนดกรอบ นิยาม เงื่อนไข หรือแนวทางในการอนุมัติสินเชื่ออย่างชัดเจน มีความโปร่งใส และชี้แจงได้ การกำหนดเงื่อนไขให้ SMEs ที่เข้าร่วมโครงการฯ เป็นนิติบุคคล การจัดทำบัญชีและการตรวจสอบบัญชีโดยผู้สอบบัญชีรับอนุญาต การยื่นงบการเงินเป็นประจำทุกปี การบ่มเพาะและพัฒนาศักยภาพของผู้ประกอบการใหม่ (New/Start-up) ที่ใช้นวัตกรรมในการดำเนินธุรกิจให้มากขึ้น การให้ความช่วยเหลือ SMEs ที่มีแนวโน้มเติบโตเข้าสู่ยุคอุตสาหกรรม ๔.๐ ในการหาตลาดส่งออก การกระจายวงเงินสินเชื่อของโครงการฯ แก่ผู้ประกอบการ SMEs ที่ไม่สามารถเข้าถึงสินเชื่ออย่างทั่วถึง และคัดกรองผู้ประกอบการ SMEs ที่เข้าร่วมโครงการฯ ให้สอดคล้องกับกลุ่มเป้าหมายและวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้ รวมทั้งการสื่อสารกับกลุ่มลูกค้าเป้าหมายเกี่ยวกับการกำหนดอัตราดอกเบี้ยคงที่ร้อยละ ๓ ต่อปี ในช่วง ๓ ปีแรก โดยจะปรับเป็นอัตราดอกเบี้ยในปีที่ ๔-๗ และความเห็นเพิ่มเติมของเลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่ขอปรับแก้ไขหนังสือสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ด่วนที่สุด ที่ นร ๑๑๑๓/๑๕๑๒ ลงวันที่ ๒๑ มีนาคม ๒๕๖๐ ในข้อ ๓ จากเดิม “.... เพื่อให้ผู้ประกอบการ SMEs ได้รับความช่วยเหลืออย่างทั่วถึง จึงเห็นควรกำหนดให้ผู้เข้าร่วมโครงการสินเชื่อ SMEs Transformation Loan จะต้องไม่เป็นผู้ได้รับสินเชื่อในโครงการ Policy Loan มาก่อน” เป็น “.... เพื่อให้ผู้ประกอบการ SMEs ได้รับความช่วยเหลืออย่างทั่วถึง จึงเห็นควรให้กระทรวงการคลัง (ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย) พิจารณาการปล่อยสินเชื่อให้แก่ผู้เข้าร่วมโครงการสินเชื่อ SMEs Transformation Loan ที่ไม่เคยเข้าร่วมโครงการ Policy Loan เป็นลำดับแรกก่อน” ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงการคลังพิจารณาความเป็นไปได้ในการให้สถาบันการเงินเฉพาะกิจอื่น ๆ ที่มีศักยภาพในการปล่อยสินเชื่อ เช่น ธนาคารออมสิน หรือธนาคารกรุงไทย เป็นต้น เข้าร่วมดำเนินโครงการฯ ด้วย ๔. ให้กระทรวงการคลัง โดย ธพว. และ บสย. ดำเนินการประชาสัมพันธ์ให้ผู้ประกอบการ SMEs กลุ่มเป้าหมายทราบถึงรายละเอียดโครงการอย่างถูกต้องทั่วถึง เพื่อเป็นการส่งเสริมให้กลุ่มเป้าหมายเข้ามาร่วมโครงการต่อไป รวมทั้งให้ ธพว. และ บสย. ดำเนินการเสริมสร้างความเข้มแข็งให้แก่ผู้ประกอบการ SMEs เพื่อให้การดำเนินธุรกิจประสบความสำเร็จตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ เช่น จัดฝึกอบรมให้ความรู้เกี่ยวกับการประกอบธุรกิจ และให้คำแนะนำในการวางแผนธุรกิจแก่ผู้ประกอบการ SMEs เป็นต้น ๕. ให้กระทรวงการคลังนำเสนอโครงการสินเชื่อ SMEs Transformation Loan ต่อคณะกรรมการขับเคลื่อนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนของประเทศเพื่อบรรจุไว้เป็นโครงการสำคัญของรัฐบาลที่ต้องติดตามเร่งรัดต่อไป รวมทั้งให้กระทรวงการคลังประเมินผลสัมฤทธิ์ที่ได้จากการดำเนินการโครงการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs ในภาพรวมเสนอต่อคณะกรรมการขับเคลื่อนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนของประเทศต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
23 | โครงการสินเชื่อรายย่อยเพื่อใช้จ่ายฉุกเฉิน | กค | 21/02/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติในหลักการตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ หลักเกณฑ์และเงื่อนไขโครงการสินเชื่อรายย่อยเพื่อใช้จ่ายฉุกเฉิน โดยให้สินเชื่อแก่ประชาชนผู้มีรายได้น้อยและเกษตรกรรายย่อยที่มีความจำเป็นที่จะต้องใช้จ่ายเงินฉุกเฉินเพื่อแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนภายในครอบครัว โดยต้องไม่เป็นการ Refinance หนี้ในระบบ วงเงินให้สินเชื่อไม่เกิน ๕๐,๐๐๐ บาทต่อราย ระยะเวลาการให้กู้ยืมไม่เกิน ๕ ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ (Flat Rate) ไม่เกินร้อยละ ๐.๘๕ ต่อเดือน มีบุคคลค้ำประกันอย่างน้อย ๑ คน และ/หรือมีหลักทรัพย์ค้ำประกัน ๑.๒ วงเงินงบประมาณที่ใช้ในโครงการสินเชื่อรายย่อยเพื่อใช้จ่ายฉุกเฉินเป็นวงเงินงบประมาณสูงสุดไม่เกิน ๔,๐๐๐ ล้านบาท โดยให้ธนาคารออมสิน และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ทำความตกลงกับสำนักงบประมาณเพื่อขอรับการจัดสรรงบประมาณเป็นรายปีตามความเหมาะสมและความจำเป็นต่อไป ๒. ให้กระทรวงการคลัง (ธนาคารออมสิน และ ธ.ก.ส.) รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และธนาคารแห่งประเทศไทย ที่เห็นว่าเพื่อให้การอนุมัติสินเชื่อเป็นไปอย่างรอบคอบ ลดความเสี่ยงจากการเกิดหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (Non-Performing Loan : NPL) และภาระการชดเชยของภาครัฐที่อาจเกิดขึ้น ควรมีการกำหนดหลักเกณฑ์ให้ธนาคารออมสิน และ ธ.ก.ส. ร่วมรับภาระ NPLในส่วนที่ภาครัฐต้องรับภาระเต็มจำนวน และควรประเมินภาระหนี้นอกระบบทั้งหมดของลูกหนี้ว่าจะต้องมีการบริหารจัดการหนี้อย่างไร และมีระบบการจัดเก็บข้อมูลเพื่อให้สามารถติดตามลูกหนี้กลุ่มนี้ได้อย่างใกล้ชิดเพื่อให้การแก้ไขปัญหามีผลเกิดขึ้นได้อย่างแท้จริง รวมทั้งข้อสังเกตของสำนักงบประมาณว่า การให้สินเชื่อตามแนวทางของกระทรวงการคลังเสนอในครั้งนี้จะสูงกว่าที่มีอยู่เดิมเมื่อเปรียบเทียบกับโครงการที่ดำเนินการไปแล้วของบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม อาทิ โครงการค้ำประกันในเหตุอุทกภัยปี ๒๕๕๔ และโครงการค้ำประกันภัยผู้ประกอบการใหม่ ที่มีอัตราสูงสุดร้อยละ ๓๐ จึงเห็นควรให้ธนาคารทั้งสองแห่งมีส่วนรับผิดชอบในการดำเนินโครงการ และดำเนินการบริหารสินเชื่อให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น และพิจารณาอนุมัติสินเชื่อด้วยความรอบคอบและระมัดระวังเพื่อมิให้เกิดภาระหนี้เสีย หรือหนี้สงสัยจะสูญเกิดขึ้นน้อยที่สุด ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๓. ให้กระทรวงการคลังได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
24 | มาตรการด้านการเงินเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้และจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ปี 2560 เพิ่มเติม | กค | 07/02/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ หลักเกณฑ์และเงื่อนไขโครงการสินเชื่อเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายฉุกเฉิน และโครงการสินเชื่อเพื่อฟื้นฟูการผลิตให้แก่เกษตรกรผู้ประสบอุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้ ปี ๒๕๕๙/๖๐ โดยธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) และอนุมัติงบประมาณในการดำเนินมาตรการเป็นวงเงินไม่เกิน ๑,๒๐๐ ล้านบาท โดยให้เบิกจ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปี ตามภาระที่เกิดขึ้นจริงตามขั้นตอนต่อไป และให้ ธ.ก.ส. ทำความตกลงกับสำนักงบประมาณในรายละเอียดต่อไป ๑.๒ หลักเกณฑ์และเงื่อนไขโครงการสินเชื่อประชารัฐเพื่อประชาชน และโครงการสินเชื่อเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของ SMEs ที่ประสบภัยน้ำท่วม ปี ๒๕๖๐ โดยธนาคารออมสิน ๑.๓ หลักเกณฑ์และเงื่อนไขโครงการสินเชื่อฟื้นฟู SMEs จากอุทกภัยภาคใต้ ปี ๒๕๖๐ โดยธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) และอนุมัติงบประมาณในการดำเนินโครงการเป็นวงเงินไม่เกิน ๘๒๕ ล้านบาท โดยให้เบิกจ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปี ตามภาระที่เกิดขึ้นจริงตามขั้นตอนต่อไป และให้ ธพว. และบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อมทำความตกลงกับสำนักงบประมาณในรายละเอียดต่อไป ๒. ให้ ธ.ก.ส. และ ธพว. จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ พร้อมรายละเอียดเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ๓. ให้กระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นและข้อสังเกตของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ อาทิ กระทรวงการคลังควรประสานงานกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ในการบูรณาการโครงการภายใต้มาตรการด้านการเงินเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยในพื้นที่ภาคใต้และจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ปี ๒๕๖๐ เพิ่มเติมกับแผนการช่วยเหลือฟื้นฟูเกษตรกรที่ประสบอุทกภัยภาคใต้ ปี ๒๕๕๙/๖๐ ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่อนุมัติให้ความช่วยเหลือด้านปัจจัยการผลิต และควรมีการประชาสัมพันธ์โครงการและสร้างความรู้ความเข้าใจแก่เกษตรกรในการปรับเปลี่ยนประเภทการผลิตให้เหมาะสมกับสภาพพื้นที่ พร้อมทั้งให้การสนับสนุนด้านการตลาดแก่เกษตรกรที่ปรับเปลี่ยนผลผลิต ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องด้วย ๔. ให้กระทรวงการคลังได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
25 | มาตรการด้านการเงินเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้และจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ปี 2560 | กค | 24/01/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการดำเนินการของสถาบันการเงินของรัฐ ๙ แห่ง เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้และจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้
๑. มาตรการผ่อนปรนเงื่อนไขการชำระหนี้ให้กับผู้ได้รับผลกระทบจากภัยน้ำท่วม ปี ๒๕๖๐ โดยธนาคารออมสิน ๒. มาตรการพักชำระหนี้หรือเลื่อนกำหนดชำระหนี้ และมาตรการสนับสนุนสินเชื่อเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายฉุกเฉิน โดยธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ๓. โครงการเงินกู้เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย ปี ๒๕๖๐ โดยธนาคารอาคารสงเคราะห์ ๔. การพักชำระหนี้ เปลี่ยนแปลงเงื่อนไขการชำระหนี้ และปรับปรุงโครงสร้างหนี้ และวงเงินสินเชื่อฉุกเฉินเพื่อฟื้นฟูกิจการ โดยธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย ๕. มาตรการช่วยเหลือลูกค้าที่ได้รับผลกระทบทางตรง ได้แก่ การขยายระยะเวลาตั๋วสัญญาใช้เงิน การพักชำระหนี้เงินต้น และการปล่อยวงเงินสินเชื่อเพื่อซื้อและซ่อมแซมเครื่องจักรและอาคาร และมาตรการช่วยเหลือลูกค้าที่ได้รับผลกระทบทางอ้อม ได้แก่ การขยายระยะเวลาตั๋วสัญญาใช้เงิน โดยธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย ๖. มาตรการให้ความช่วยเหลือโดยการพักชำระหนี้เฉพาะเงินต้นและให้ชำระเฉพาะกำไรอย่างเดียว โดยธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย ๗. มาตรการพักชำระค่าธรรมเนียมค้ำประกันให้กับลูกค้าบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม โดยบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม ๘. มาตรการพักชำระหนี้เป็นระยะเวลาไม่เกิน ๓ เดือน หรือลดอัตราดอกเบี้ย โดยบรรษัทตลาดรองสินเชื่อที่อยู่อาศัย ๙. มาตรการให้ความช่วยเหลือกลุ่มลูกค้าสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยที่ประสบอุทกภัย โดยธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน)
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
26 | ร่างพระราชบัญญัติบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (สรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ) | นร | 17/01/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ วันจันทร์ที่ ๑๖ มกราคม ๒๕๖๐ ซึ่งให้เสนอร่างพระราชบัญญัติบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติเพื่อบรรจุระเบียบวาระเป็นเรื่องด่วน
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
27 | มาตรการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs ผ่านโครงการค้ำประกันสินเชื่อ SMEs ทวีทุน (Portfolio Guarantee Scheme ระยะที่ 6) | กค | 22/11/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบหลักเกณฑ์และเงื่อนไขโครงการค้ำประกันสินเชื่อผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมทวีทุน (Portfolio Guarantee Scheme ระยะที่ ๖) (PGS ระยะที่ ๖) มีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยเหลือ SMEs ที่มีศักยภาพแต่ขาดหลักประกันให้มีโอกาสเข้าถึงสินเชื่อสถาบันการเงินได้มากขึ้น และช่วยเหลือ SMEs ในภาคส่วนต่าง ๆ ให้มีโอกาสเข้าถึงแหล่งเงินในระบบสถาบันการเงินได้มากขึ้น รวมทั้งช่วยให้เกิดความคล่องตัวในการอนุมัติสินเชื่อให้กับ SMEs เพื่อสร้างโอกาสในการเติบโตและเพิ่มมูลค่าทางธุรกิจ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สำหรับภาระงบประมาณที่จะเกิดขึ้นในการจ่ายค่าประกันชดเชยให้แก่สถาบันการเงินในอัตราไม่เกินร้อยละ ๒๓.๒๕ ของวงเงินค้ำประกันสินเชื่อ ๕,๗๕๐ ล้านบาท ให้บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริง โดยใช้จ่ายจากค่าธรรมเนียมการค้ำประกันสินเชื่อของโครงการ PGS ระยะที่ ๖ ก่อน หากไม่เพียงพอ จึงขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป ส่วนแหล่งเงินการจ่ายค่าประกันชดเชยจาก บสย. วงเงิน ๕๐๐ ล้านบาท ให้ บสย. จัดทำแผนการบริหารจัดการและแผนการบริหารความเสี่ยง โดยมีการจัดหาเงินรายได้สำหรับนำมาใช้จ่ายค่าประกันชดเชยดังกล่าวอย่างเหมาะสมและชัดเจน ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีไปพิจารณาดำเนินการด้วย ดังนี้ ๒.๑ เพื่อให้การประเมินผลการดำเนินโครงการนี้เป็นประโยชน์ต่อการดำเนินการในระยะต่อไป ให้กระทรวงการคลังรวบรวมข้อมูลผลผลิต ผลลัพธ์ และผลกระทบทุกด้านของโครงการ PGS ระยะที่ ๖ รวมทั้งปัญหาอุปสรรคที่เกิดขึ้นจากการดำเนินโครงการ พร้อมทั้งมาตรการและแนวทางปรับปรุงแก้ไขปัญหาดังกล่าว แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบต่อไป ๒.๒ ให้ บสย. และสถาบันการเงินร่วมกันกำหนดหลักเกณฑ์ในการคัดกรองผู้ประกอบการ SMEs ที่เข้าร่วมโครงการเพื่อให้ได้ลูกค้าที่มีคุณภาพและมีคุณสมบัติตรงกับกลุ่มเป้าหมายที่รัฐบาลต้องการให้ความช่วยเหลืออย่างแท้จริง โดยเฉพาะผู้ประกอบการ SMEs ที่อยู่ในอุตสาหกรรมเป้าหมาย (S-Curve) เช่น อุตสาหกรรมการแปรรูปอาหาร อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ เป็นต้น นอกจากนี้ ควรมีแผนการบริหารความเสี่ยงเพื่อควบคุมสัดส่วนของการค้ำประกันที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (Non-Performing Guarantee : NPG) ไม่ให้เพิ่มสูงขึ้นด้วย ๒.๓ โดยที่การให้ความช่วยเหลือในด้านการค้ำประกันสินเชื่อให้แก่ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมขนาดย่อมถือเป็นภารกิจหลักของ บสย. และเป็นภารกิจที่สอดคล้องกับนโยบายหลักของรัฐบาลที่ต้องการส่งเสริมผู้ประกอบการ SMEs เพื่อให้เป็นกลจักรสำคัญในการขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจของประเทศ สมควรที่กระทรวงการคลังจะได้ดำเนินการให้ บสย. พิจารณาปรับปรุงการดำเนินงานให้มีความเข้มแข็งและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เน้นการทำงานเชิงรุก โดยเฉพาะการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ตรงตามความต้องการของตลาด เพื่อให้การช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และสามารถลดการพึ่งพิงงบประมาณภาครัฐได้ในอนาคต
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
28 | มาตรการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการใหม่และนวัตกรรมผ่านโครงการค้ำประกันสินเชื่อเพื่อผู้ประกอบการใหม่และนวัตกรรม (Start-up & Innovation) ของบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม | กค | 05/07/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการเงื่อนไขและหลักเกณฑ์โครงการค้ำประกันสินเชื่อเพื่อผู้ประกอบการใหม่และนวัตกรรม (Start-up & Innovation) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ที่รัฐให้การส่งเสริมเป็นพิเศษ ทั้งกลุ่มผู้ประกอบการใหม่ (Start-up SMEs) กลุ่มผู้ประกอบการนวัตกรรมและเทคโนโลยี (Innovation & Technology SMEs) ที่มีศักยภาพให้เข้าถึงแหล่งเงินทุนจากสถาบันการเงินได้เพิ่มขึ้น และเพื่อเพิ่มผลิตภาพ สร้างมูลค่าเพิ่มทางธุรกิจ เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของ SMEs และเสริมสร้างความแข็งแกร่งของอุตสาหกรรมในประเทศ รวมทั้งเพื่อบูรณาการเชื่อมโยงเครือข่ายของภาครัฐและเอกชนเพื่อให้การช่วยเหลือ SMEs ในกลุ่มนวัตกรรมและเทคโนโลยีอย่างเป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้น โดยมีวงเงินค้ำประกันโครงการรวม ๑๐,๐๐๐ ล้านบาท วงเงินค้ำประกันต่อรายไม่เกิน ๑ ล้านบาท ประเภทบุคคลธรรมดา ไม่เกิน ๕ ล้านบาทประเภทนิติบุคคล กรณีผู้ประกอบการนวัตกรรมและเทคโนโลยีสูงสุด ไม่เกิน ๒๐ ล้านบาท ระยะเวลาการค้ำประกันโครงการไม่เกิน ๑๐ ปี ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ โดยในส่วนของภาระงบประมาณของโครงการค้ำประกันสินเชื่อเพื่อผู้ประกอบการใหม่และนวัตกรรม (Start-up & Innovation) ให้กระทรวงการคลังขอทำความตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณเพื่อขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นเหมาะสมต่อไป ๒. ให้กระทรวงการคลัง (บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม) รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า เนื่องจากกลุ่มเป้าหมายของโครงการฯ เป็นผู้ประกอบการที่เริ่มต้นประกอบธุรกิจใหม่ซึ่งมีความเสี่ยงสูงกว่ากลุ่มเป้าหมายในโครงการอื่น ดังนั้น บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม รวมถึงสถาบันการเงินควรให้ความสำคัญในการติดตามดูแลกลุ่มลูกค้าในโครงการนี้เป็นพิเศษ เพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดภาระหนี้ค้ำประกันที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (Non-Performing Guarantee : NPGs) นอกจากนี้ ควรพิจารณาให้คณะกรรมการส่งเสริมวิสาหกิจเริ่มต้นแห่งชาติเข้ามาร่วมให้คำแนะนำและสนับสนุนทางด้านเทคนิควิชาการ เพื่อให้กลุ่มผู้ประกอบการใหม่สามารถดำเนินธุรกิจไปได้อย่างต่อเนื่อง สำหรับการขอรับเงินสมทบจ่ายค่าประกันชดเชยจากรัฐบาล เห็นควรให้บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อมทำความตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. ให้ยกเว้นการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี)
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
29 | โครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำเพื่อปรับเปลี่ยนเครื่องจักรและเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต สำหรับผู้ประกอบกิจการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) | กค | 28/06/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติโครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำเพื่อปรับเปลี่ยนเครื่องจักรและเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต สำหรับผู้ประกอบกิจการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) โดยธนาคารออมสินให้สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำแก่ธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงินเฉพาะกิจที่เข้าร่วมโครงการฯ และธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงินเฉพาะกิจที่เข้าร่วมโครงการให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ประกอบกิจการ SMEs เฉพาะการปล่อยสินเชื่อใหม่ วงเงินรวมทั้งโครงการ ๓๐,๐๐๐ ล้านบาท ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สำหรับการชดเชยส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยให้กับธนาคารออมสินนั้น ให้เป็นไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณ โดยกำหนดอัตราการชดเชยเท่ากับอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ ๖ เดือน ของธนาคารออมสิน บวกร้อยละ ๑.๘๕ รวมไม่เกิน ร้อยละ ๓ ซึ่งครอบคลุมต้นทุนทางการเงินของธนาคารออมสิน และมีผลทำให้เกิดภาระงบประมาณที่รัฐบาลจะต้องชดเชยส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยให้กับธนาคารออมสิน ภายในกรอบวงเงิน ๖,๓๐๐ ล้านบาท ในระยะเวลา ๗ ปี โดยให้ธนาคารออมสินเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริงในแต่ละปีงบประมาณ ตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ๒. ให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงบประมาณ สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม และธนาคารแห่งประเทศไทยเกี่ยวกับการพิจารณากำหนดวงเงินสินเชื่อต่อรายเพื่อให้โครงการฯ สามารถกระจายวงเงินสินเชื่อได้อย่างทั่วถึง รวมถึงธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงินเฉพาะกิจที่เข้าร่วมโครงการฯ ควรพิจารณาให้ความสำคัญกับผู้ประกอบการที่ไม่เคยเข้าร่วมโครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำของภาครัฐมาก่อนเป็นลำดับแรก เพื่อส่งเสริมการเข้าถึงแหล่งเงินทุนของผู้ประกอบการ SEMs ให้ทั่วถึงมากยิ่งขึ้น การให้ความสำคัญกับการให้สินเชื่อในอุตสาหกรรมที่สร้างรายได้หลักให้แก่ประเทศ หรืออุตสาหกรรมที่คาดว่าจะมีการเจริญเติบโตดีในอนาคต การบูรณาการโครงการให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ประกอบกิจการ SMEs ที่ดำเนินการอยู่ในปัจจุบัน เพื่อไม่ให้เกิดความซ้ำซ้อน การขยายวัตถุประสงค์การกู้ยืมให้ครอบคลุมถึงการนำนวัตกรรมมาปรับปรุงสินค้าหรือบริการให้เป็นที่ต้องการของตลาดมากยิ่งขึ้น การจัดให้มีการค้ำประกันโดยบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อมในลักษณะเดียวกันกับ Soft Lone ๑๕๐,๐๐๐ ล้านบาทที่คณะรัฐมนตรีได้เคยอนุมัติให้ดำเนินการไปแล้ว รวมทั้งเร่งประชาสัมพันธ์ให้ผู้ประกอบกิจการ SMEs รับทราบรายละเอียดโครงการฯ อย่างทั่วถึง และระบุเจตนารมณ์ของการดำเนินโครงการฯ ให้ชัดเจน ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงการคลังจัดทำรายงานผลสัมฤทธิ์การดำเนินโครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำที่ผ่านมา เช่น โครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (Policy Loan) โครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำเพื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนให้แก่ผู้ประกอบกิจการ SMEs เสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
30 | การขยายระยะเวลาดำเนินโครงการค้ำประกันสินเชื่อ Portfolio Guarantee Scheme ระยะที่ 5 (ปรับปรุงใหม่) ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 8 กันยายน 2558 | กค | 21/06/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการขยายระยะเวลาโครงการค้ำประกันสินเชื่อ Portfolio Guarantee Scheme (PGS) ระยะที่ ๕ (ปรับปรุงใหม่) จากเดิม สิ้นสุดรับคำขอค้ำประกันวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๙ หรือจนกว่าจะเต็มวงเงินแล้วแต่อย่างหนึ่งอย่างใดจะถึงก่อน เป็น สิ้นสุดรับคำขอค้ำประกันวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๙ หรือจนกว่าจะเต็มวงเงินแล้วแต่อย่างหนึ่งอย่างใดจะถึงก่อน ในส่วนของกรอบวงเงินงบประมาณ หลักเกณฑ์ และเงื่อนไขอื่น ๆ ของโครงการประกันสินเชื่อ PGS ระยะที่ ๕ ยังคงให้เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๘ กันยายน ๒๕๕๘ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ทั้งนี้ ให้กระทรวงการคลังดำเนินโครงการดังกล่าว ให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของโครงการภายในวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๙ โดยไม่มีการขยายระยะเวลาต่อไปอีก ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และธนาคารแห่งประเทศไทยเกี่ยวกับการดำเนินมาตรการทางการเงินผ่านโครงการค้ำประกันสินเชื่อของบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) ในอนาคตด้วยความรอบคอบ โดยค้ำประกันสินเชื่อให้กับกลุ่มเป้าหมายที่มีความจำเป็น ต้องได้รับความช่วยเหลืออย่างแท้จริง การคัดกรองผู้ประกอบการ SMEs ที่เข้าร่วมโครงการด้วยความระมัดระวังและสอดคล้องกับกลุ่มเป้าหมายที่กำหนดไว้ การกระจายโอกาสสำหรับผู้ประกอบการ SMEs ที่จะเข้าร่วมโครงการให้ทั่วถึงและไม่ซ้ำซ้อน การกำหนดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขของโครงการที่เหมาะสม การให้ บสย. เร่งประสานความร่วมมือกับสถาบันการเงินเพื่อให้ความช่วยเหลือ SMEs ที่ประสบปัญหาสภาพคล่องให้เข้าถึงแหล่งเงินทุน การให้ความสำคัญกับการลดสัดส่วนหนี้ NPGs ให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม การประมาณการเป้าหมายการค้ำประกันสินเชื่อและวงเงินชดเชยที่ขอจัดสรรจากสำนักงบประมาณให้ใกล้เคียงกับความเป็นจริง และการพิจารณากำหนดให้ บสย. นำรายได้จากค่าธรรมเนียมการค้ำประกันมาร่วมสมทบจ่ายชดเชยค่าความเสียหายกรณีที่เป็น NPGs ด้วย เพื่อเป็นการลดภาระทางด้านงบประมาณของรัฐบาล ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๓. ให้กระทรวงการคลังจัดทำรายงานผลการดำเนินการและประเมินผลสัมฤทธิ์ของโครงการค้ำประกันสินเชื่อ PGS ระยะที่ ๕ (ปรับปรุงใหม่) เสนอคณะกรรมการขับเคลื่อนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนของประเทศ เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
31 | ผลการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนของประเทศ ครั้งที่ 3/2559 | อื่นๆ | 16/05/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนของประเทศ ครั้งที่ ๓/๒๕๕๙ เมื่อวันที่ ๒๘ มีนาคม ๒๕๕๙ ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ประธานกรรมการขับเคลื่อนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนของประเทศเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. รับทราบผลการดำเนินงานของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่สิ้นสุดลงแล้ว ประกอบด้วย มาตรการให้ความช่วยเหลือชาวนา ไร่ละ ๑,๐๐๐ บาท มาตรการชดเชยรายได้แก่เกษตรกรชาวสวนยาง ไร่ละ ๑,๐๐๐ บาท มาตรการด้านสินเชื่อเพื่อช่วยเหลือเกษตรกร โดยธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) และโครงการค้ำประกันสินเชื่อตามนโยบายรัฐบาลของบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม ๒. รับทราบความก้าวหน้าการขับเคลื่อนการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานการส่งเสริมการลงทุนผ่านคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน และมาตรการเร่งรัดการลงทุนของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน มาตรการช่วยเหลือเกษตรกรและผู้มีรายได้น้อย มาตรการการจ้างงานและกระตุ้นเศรษฐกิจในระดับท้องถิ่น มาตรการส่งเสริมความเป็นอยู่ของประชาชนผู้มีรายได้น้อยและมาตรการกระตุ้นการลงทุนขนาดเล็กของรัฐบาลทั่วประเทศ มาตรการการเงินการคลังเพื่อส่งเสริมผู้ประกอบวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ในระยะเร่งด่วน มาตรการการเงินการคลังเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจภาคอสังหาริมทรัพย์ มาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการลงทุนในประเทศ โครงการสร้างความเข้มแข็งให้แก่เกษตรกรชาวสวนยาง โครงการเพิ่มความเข้มแข็งของเศรษฐกิจฐานรากตามแนวทางประชารัฐ มาตรการช่วยเหลือผู้ประสบภัยแล้งและมาตรการเพิ่มขีดความสามารถภาคการเกษตร โดย ธ.ก.ส. และมาตรการลดภาระค่าครองชีพของประชาชนด้านการเดินทางตามมาตรการใหม่ ๓. มอบหมายให้สำนักงานกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติประเมินผลการดำเนินงานของกองทุนหมู่บ้านระดับ A และ B และหากกองทุนดังกล่าวมีผลการดำเนินงานไม่ผ่านเกณฑ์ที่กำหนด ให้ปรับลดระดับกองทุนหมู่บ้านจากระดับ A และ B เป็นระดับ C และ D เพื่อให้สะท้อนผลการดำเนินงานที่แท้จริง ๔. มอบหมายให้สำนักงานเศรษฐกิจการคลังรายงานความคืบหน้าการดำเนินมาตรการช่วยเหลือผู้ประสบภัยแล้ง และมาตรการเพิ่มขีดความสามารถภาคการเกษตร โดย ธ.ก.ส. ปัญหาและอุปสรรค รวมทั้งแนวทางแก้ไขต่อคณะกรรมการขับเคลื่อนฯ ทุกเดือน ๕. มอบหมายให้ฝ่ายเลขานุการฯ มีหนังสือถึงกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเพื่อให้รับทราบสถานะของโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานตามแผนปฏิบัติการด้านคมนาคมขนส่ง ระยะเร่งด่วน พ.ศ. ๒๕๕๙ (Action Plan) ที่ยังมีโครงการหลายโครงการที่อยู่ในขั้นตอนการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (Environmental Impact Assessment : EIA) โดยให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมพิจารณาเตรียมแผนการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องเพื่อให้การดำเนินโครงการตามแผนปฏิบัติการดังกล่าวเป็นไปตามแผนการดำเนินงานที่กำหนดไว้ ๖. มอบหมายให้ฝ่ายเลขานุการฯ จัดทำตารางสรุปผลการดำเนินมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน จำแนกตามกลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ มาตรการที่สนับสนุนภาคเกษตร มาตรการช่วยเหลือประชาชนผู้มีรายได้น้อย มาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ โดยระบุวงเงินและแหล่งเงินของแต่ละมาตรการ รวมทั้งรายงานสถานะของการเบิกจ่ายของแต่ละกลุ่มมาตรการเพื่อแสดงให้เห็นถึงเม็ดเงินที่เข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ และให้นำเสนอคณะกรรมการขับเคลื่อนฯ ทราบต่อไป ๗. มอบหมายให้ฝ่ายเลขานุการฯ นำมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ผ่านความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีแล้ว คือ โครงการบ้านประชารัฐ มาบรรจุไว้ภายใต้กรอบมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยให้มีการรายงานความคืบหน้า ปัญหา อุปสรรค และแนวทางแก้ไขต่อคณะกรรมการขับเคลื่อนฯ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
32 | ร่างพระราชบัญญัติบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | กค | 15/03/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (ฉบับที่..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม พ.ศ. ๒๕๓๔ โดยขยายขอบเขตของหลักทรัพย์และสถาบันการเงินเพื่อให้บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อมสามารถช่วยเหลือ SMEs ได้กว้างขึ้นซึ่งจะขยายการเข้าถึงการประกันสินเชื่อของ SMEs รวมทั้งแก้ไขพระราชบัญญัติดังกล่าวให้มีความชัดเจนและสอดคล้องกับกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับสถาบันการเงินและวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมที่มีการใช้บังคับอยู่ในปัจจุบัน ตลอดจนสามารถบริหารองค์กรได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งเพิ่มอำนาจกระทำกิจการต่าง ๆ ของบรรษัทฯ โดยเพิ่มเติม การโอน รับ รับโอน หรือดำเนินการใด ๆ ที่เกี่ยวกับทรัพย์สิน การเพิ่มการลงทุน หรือถือหุ้นในกิจการที่เกี่ยวข้องหรือที่เกี่ยวเนื่องกับวัตถุประสงค์ของบรรษัทฯ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา ๒. ให้รับความเห็นของสำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานศาลยุติธรรม และธนาคารแห่งประเทศไทย เกี่ยวกับร่างพระราชบัญญัติบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (ฉบับที่..) พ.ศ. .... มาตรา ๘ ที่ให้เพิ่มเติมความ (๑๑/๒) ของมาตรา ๑๒ ที่ให้บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม มีอำนาจลงทุนหรือถือหุ้นในกิจการที่เกี่ยวข้องหรือเกี่ยวเนื่องตามวัตถุประสงค์ของบรรษัทฯ หรือเป็นประโยชน์โดยตรงแก่กิจการของบรรษัทฯ โดยได้รับความเห็นชอบจากรัฐมนตรี นั้น มีความหมายกว้าง อาจไม่สอดคล้องกับเหตุผลในการแก้ไขร่างพระราชบัญญัติฯ เนื่องจากไม่ได้เจาะจงเฉพาะการจัดตั้งหรือเข้าร่วมจัดตั้งหน่วยงานที่ทำหน้าที่วิเคราะห์ความเสี่ยงของวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมกับหน่วยงานอื่น ๆ ในอนาคต และความในร่างพระราชบัญญัติฯ วรรคสอง อาจขัดแย้งกับพระราชบัญญัติหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๘ มาตรา ๒ รวมทั้งการบัญญัติการใช้สิทธิของบรรษัทฯ ควรกำหนดให้มีความชัดเจนว่าจะเกิดขึ้นได้ในตอนใดบ้างและบรรษัทฯ จะมีสิทธิในกระบวนการพิจารณาเพียงใด เนื่องจากบรรษัทฯ อาจเป็นคู่ความในคดีอยู่ก่อนในฐานะเป็นจำเลยรายหนึ่งซึ่งแตกต่างจากกรณีการโอนสิทธิเรียกร้องให้แก่บริษัทบริหารสินทรัพย์ เป็นต้น ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณาก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
33 | มาตรการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการรายย่อยผ่านโครงการค้ำประกันสินเชื่อเพื่อผู้ประกอบการ Micro Entrepreneurs ระยะที่ 2 ของบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม | กค | 23/02/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติมาตรการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการรายย่อยผ่านโครงการค้ำประกันสินเชื่อเพื่อผู้ประกอบการ Micro Entrepreneurs ระยะที่ ๒ ตามที่บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) เสนอ เพื่อให้เกิดความต่อเนื่องในการช่วยเหลือผู้ประกอบการ Micro Entrepreneurs ให้สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนจากระบบสถาบันการเงินได้มากขึ้น และช่วยลดปัญหาการกู้เงินนอกระบบของผู้ประกอบการ Micro Entrepreneurs และปรับปรุงมติคณะรัฐมนตรีเพื่อขอใช้งบประมาณคงเหลือจากโครงการ PGS New/Start-up ที่ได้รับอนุมัติไว้แล้วตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ เมษายน ๒๕๕๕ และโครงการ PGS OTOP ที่ได้รับอนุมัติไว้แล้วตามมติคณะรักษาความสงบแห่งชาติ เมื่อวันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๕๕๗ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๒. สำหรับเรื่องงบประมาณให้เป็นไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณที่ให้ บสย. ขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริง โดยในส่วนของการชดเชยค่าประกันชดเชยรายปี ให้ บสย. ใช้เงินรายได้จากค่าธรรมเนียมค้ำประกันสินเชื่อของโครงการก่อน หากไม่เพียงพอจึงขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป ๓. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้มีการทบทวนแหล่งที่มาของเงินงบประมาณในการดำเนินโครงการค้ำประกันสินเชื่อเพื่อผู้ประกอบการ Micro Entrepreneurs ระยะที่ ๒ และการดำเนินโครงการต่าง ๆ ในระยะต่อไป ให้ บสย. ทบทวนเงื่อนไขและวัตถุประสงค์ของโครงการไม่ให้มีความซ้ำซ้อนกันและสอดคล้องกับความต้องการของกลุ่มเป้าหมายเพื่อให้สามารถขับเคลื่อนโครงการให้ประสบความสำเร็จ รวมทั้งบริหารจัดการภาระค้ำประกันที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (Non-Performing Guarantee : NPGs) ในโครงการที่ได้รับอนุมัติแล้ว ไม่ให้เร่งตัวขึ้นจนกลายเป็นภาระของรัฐบาล ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
34 | มาตรการสนับสนุนวิสาหกิจเริ่มต้น (Start Up) | กค | 09/02/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบมาตรการสนับสนุนวิสาหกิจเริ่มต้น (Start Up) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ แต่งตั้งคณะกรรมการส่งเสริมวิสาหกิจเริ่มต้นแห่งชาติ (National Start Up Committee) โดยมีปลัดกระทรวงการคลัง เป็นประธานกรรมการ ผู้อำนวยการสำนักนโยบายการออมและการลงทุน สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง เป็นกรรมการและเลขานุการ และผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอีก ๑๙ คน เป็นกรรมการ เพื่อร่วมกันกำหนดยุทธศาสตร์หลัก (Grand Strategy) ในการแก้ไขปัญหาวิสาหกิจของประเทศ ๑.๒ จัดตั้งกองทุนเพื่อร่วมลงทุนกับวิสาหกิจเริ่มต้น (Start Up) เพื่อสนับสนุนวิสาหกิจเริ่มต้นที่ไม่สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้โดยง่ายและมีเป็นจำนวนมาก โดยให้ความช่วยเหลือในด้านแหล่งเงินทุนให้กับวิสาหกิจดังกล่าว โดยมีวงเงินลงทุนเริ่มแรกประมาณ ๓,๐๐๐ ล้านบาท และมีแหล่งเงินทุนจากกองทุนรวมวายุภักษ์ และธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ทั้งนี้ รูปแบบและวิธีการจัดตั้งกองทุนฯ จะพิจารณาในรายละเอียดต่อไปโดยเร็ว ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เกี่ยวกับการดำเนินการจัดตั้งกองทุนฯ ให้ถูกต้องตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องโดยเร็ว โดยคำนึงถึงความพร้อมของกลุ่มเป้าหมาย SMEs ระยะเริ่มต้นอย่างแท้จริง การให้ความสำคัญกับการบูรณาการมาตรการด้านการคลังในการส่งเสริม SMEs อย่างรอบด้าน การเพิ่มองค์ประกอบคณะกรรมการส่งเสริมวิสาหกิจเริ่มต้นแห่งชาติ เช่น สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา และบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม เป็นต้น รวมทั้งเร่งพิจารณารูปแบบและวิธีการจัดตั้งกองทุนฯ และกำหนดแนวทางในการบริหารจัดการให้เกิดการกระจายเงินทุน นอกจากนี้ เห็นควรประสานความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการให้คำแนะนำ สร้างความเข้าใจแก่ผู้ประกอบการกลุ่มเป้าหมายโดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ประกอบการรายใหม่ ให้ทราบถึงมาตรการของภาครัฐ และพิจารณาไม่ให้เกิดความซ้ำซ้อนกับมาตรการสนับสนุนแหล่งเงินทุนแก่กิจการ SMEs ต่าง ๆ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
35 | ข้อเสนอแนะเพื่อการปฏิรูปตามมาตรา 31 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (เรื่อง การส่งเสริมการลงทุนโดยตรงในต่างประเทศของไทย) | สผ | 08/09/2558 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบข้อเสนอแนะเพื่อการปฏิรูปตามมาตรา ๓๑ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ เรื่อง การส่งเสริมการลงทุนโดยตรงในต่างประเทศของไทย ของสภาปฏิรูปแห่งชาติ และมอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนเป็นหน่วยงานหลักรับไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงคมนาคม กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และหน่วยงานของรัฐและเอกชนที่เกี่ยวข้อง เพื่อพิจารณาศึกษาแนวทางและความเหมาะสมของข้อเสนอดังกล่าวและสรุปผลการพิจารณาหรือผลการดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวในภาพรวม แล้วส่งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีภายใน ๓๐ วันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่ง เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป โดยมีข้อเสนอปฏิรูป ดังนี้
๑. การกำหนดให้นโยบาย/ยุทธศาสตร์การลงทุนโดยตรงในต่างประเทศของไทยเป็นแนวนโยบายทางเศรษฐกิจที่สำคัญของชาติ ๒. การกำหนดให้คณะอนุกรรมการส่งเสริมการลงทุนในต่างประเทศของไทยเป็นองค์กรถาวรที่มีการดำเนินการต่อเนื่อง ๓. การใช้การเจรจาต่อรองในระดับรัฐบาลต่อรัฐบาล (G to G) ในเรื่องต่าง ๆ ที่สำคัญเกี่ยวกับการลงทุนโดยตรงในต่างประเทศ ๔. การเสนอให้สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน และกระทรวง/กรมที่ร่วมดำเนินงานอยู่ภายในศูนย์ประสานการบริการด้านการลงทุนที่เดียว (OSOS) และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง ๕. การสนับสนุนให้สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน กระทรวงการคลัง ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม และธนาคารพาณิชย์ สนับสนุนการลงทุนในต่างประเทศ ๖. การเสนอรัฐบาลให้พิจารณายกเว้น และ/หรือลดหย่อนภาษีเพื่อสนับสนุนการลงทุนในต่างประเทศของไทย ๗. การเสนอรัฐบาล กระทรวงการคลัง สำนักงานความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน (องค์การมหาชน) รัฐวิสาหกิจ สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม และธุรกิจร่วมทุนต่าง ๆ มีมาตรการให้ความช่วยเหลือด้านเทคนิค/เงินทุน และ/หรือร่วมลงทุนในโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน สาธารณูปโภค นิคมอุตสาหกรรม และสิ่งอำนวยความสะดวกด้านการลงทุนอื่น ๆ ในประเทศเป้าหมาย ๘. การเสนอให้รัฐบาลพิจารณากำหนดให้สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนเป็นแกนกลางร่วมมือกับหน่วยงานของรัฐและเอกชนที่เกี่ยวข้องในการจัดตั้งคณะทำงานของแต่ละอุตสาหกรรม ๙. การเสนอให้สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สมาคมธนาคารแห่งประเทศไทย สภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย สมาคมสมาพันธ์ธุรกิจการท่องเที่ยว สภาธุรกิจตลาดทุนไทย สมาพันธ์เอสเอ็มอีไทย และสมาคมธุรกิจอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องร่วมมือกันจัดตั้งคลัสเตอร์อุตสาหกรรมต่าง ๆ เพื่อการลงทุนในต่างประเทศ ๑๐. การเสนอให้รัฐบาลออกกฎหมายเพื่อรองรับการจัดตั้งองค์การส่งเสริมการค้าต่างประเทศ (Thailand External Trade Organization : TETRO) ๑๑. การเสนอให้รัฐบาลมีการเจรจาในระดับรัฐบาลต่อรัฐบาล (G to G) ในเรื่องการทำข้อตกลงต่าง ๆ เพื่อคุ้มครอง/ส่งเสริมการลงทุนและแก้ไขปัญหาของการลงทุนของไทยในประเทศเป้าหมายอย่างต่อเนื่องและสอดคล้องกับความต้องการของนักลงทุน ๑๒. การเสนอให้รัฐบาลเป็นศูนย์กลางของการสร้าง/ต่อเติมมาตรการอำนวยความสะดวกทางด้านการลงทุน (และด้านการค้าที่เกี่ยวข้อง) ต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง ๑๓. การเสนอให้รัฐบาลใช้สื่อต่าง ๆ ของรัฐบาลที่มีอยู่ การเจรจาระดับรัฐบาลต่อรัฐบาล (G to G) และใช้การจัดทำโรดโชว์ทางด้านการลงทุนของไทยในต่างประเทศแต่ละครั้ง ๑๔. การเสนอสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนให้แยกส่วนงานในการประชาสัมพันธ์และการให้ข้อมูล/ความรู้/คำปรึกษาที่เกี่ยวข้องกับความสำคัญ และนโยบาย/มาตรการในการส่งเสริมการลงทุนในต่างประเทศออกมาเป็นการเฉพาะภายใต้ศูนย์ประสานการบริการด้านการลงทุนที่เดียว (OSOS)
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
36 | การปรับปรุงหลักเกณฑ์และวิธีปฏิบัติในการค้ำประกันสินเชื่อโครงการ Portfolio Guarantee Scheme ระยะที่ 5 | กค | 14/07/2558 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ การปรับปรุงหลักเกณฑ์และวิธีปฏิบัติในการค้ำประกันสินเชื่อโครงการ Portfolio Guarantee Scheme (PGS) ระยะที่ ๕ ซึ่งเป็นการปรับเปลี่ยนเงื่อนไขโครงการ PGS ระยะที่ ๕ ในส่วนของวงเงินค้ำประกันในส่วนที่เหลือ จำนวน ๘๐,๐๐๐ ล้านบาท โดยกำหนดให้ธนาคารที่เข้าร่วมโครงการคิดอัตราดอกเบี้ยให้กับผู้ประกอบการในอัตราไม่เกิน MLR+๒ และกำหนดให้จ่ายค่าประกันชดเชยกรณีที่เป็นภาระค้ำประกันที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (Non-Performing Guarantee : NPGs) ทั้งโครงการรวมทั้งสิ้นไม่เกินร้อยละ ๓๐ ของวงเงินค้ำประกัน และจ่ายค่าประกันชดเชยตามภาระค้ำประกัน SMEs แต่ละราย (Coverage Ratio per SMEs) เป็นสัดส่วนร้อยละ ๗๐ ของภาระประกัน (สถาบันที่เข้าร่วมโครงการรับภาระในส่วนร้อยละ ๓๐ ที่เหลือ) ๑.๒ งบประมาณเพื่อดำเนินการตามโครงการ PGS ระยะที่ ๕ เพิ่มเติมอีกจำนวน ๓,๘๐๕ ล้านบาท โดยให้บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) เบิกจ่ายตามภาระที่เกิดขึ้นจริงโดยทำความตกลงกับสำนักงบประมาณต่อไป ๒. ให้กระทรวงการคลังดำเนินโครงการ PGS ระยะที่ ๕ ตามหลักเกณฑ์และวิธีปฏิบัติในการค้ำประกันสินเชื่อที่ขอปรับปรุงใหม่ควบคู่กับ Guarantee Scheme ระยะที่ ๕ ตามหลักเกณฑ์และวิธีปฏิบัติเดิมไปก่อนเพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบกับผู้ประกอบการที่มีข้อผูกพันตามกรอบวงเงินค้ำประกันสินเชื่อเงื่อนไขเดิม สำหรับภาระงบประมาณเมื่อพิจารณาตามหลักเกณฑ์และวิธีปฏิบัติในการค้ำประกันสินเชื่อโครงการที่ปรับปรุงแล้วจะมีภาระงบประมาณเพิ่มขึ้น จึงเห็นควรให้ บสย. ขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริง โดยในส่วนของการชดเชยค่าประกันชดเชยรายปี ให้ บสย. ใช้เงินรายได้จากค่าธรรมเนียมค้ำประกันสินเชื่อของโครงการก่อน หากไม่เพียงพอจึงขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๓. ให้กระทรวงการคลังรับข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีที่ให้ประเมินผลสัมฤทธิ์ของโครงการ PGS ระยะที่ ๕ ตามช่วงระยะเวลา ซึ่งหากไม่บรรลุผลสัมฤทธิ์ให้ยุติการดำเนินการโครงการดังกล่าวทันที และความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ คณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ และคณะกรรมการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่เห็นควรกำหนดกลุ่มธุรกิจเป้าหมายที่สมควรได้รับการสนับสนุนให้เข้าร่วมโครงการให้สอดคล้องกับนโยบายรัฐบาล เพื่อส่งเสริมผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมที่มีศักยภาพให้มีความเข้มแข็ง มีความสามารถในการแข่งขัน และเติบโตได้อย่างยั่งยืน และเห็นควรให้มีหลักการดำเนินการทั้งแบบเดิมและแบบใหม่ควบคู่กันไป โดยการกำหนดวงเงินให้ชัดเจนและให้มีการประเมินผลการดำเนินการ หากหลักการใหม่ใช้ได้ดี ก็สามารถยกเลิกหลักการเดิมได้ รวมทั้งให้มีการรายงานผลการดำเนินการเมื่อครบ ๓ เดือนให้คณะรัฐมนตรีรับทราบ ไปดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
37 | โครงการให้ความช่วยเหลือวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) | กค | 16/06/2558 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบเงื่อนไขมาตรการเพิ่มวงเงินที่รัฐชำระค่าธรรมเนียมค้ำประกันสินเชื่อแทนผู้ประกอบการ SMEs ที่ให้บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) ค้ำประกันสินเชื่อผ่านโครงการ Portfolio Guarantee Scheme (PGS) ระยะที่ ๕ เพิ่มอีกจำนวน ๕๐,๐๐๐ ล้านบาท โดยให้มีผลบังคับใช้กับลูกค้าที่ยื่นขอค้ำประกันสินเชื่อนับตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการของมาตรการดังกล่าวเมื่อวันที่ ๑๗ มีนาคม ๒๕๕๘ งบประมาณในการดำเนินมาตรการเป็นวงเงินไม่เกิน ๘๗๕ ล้านบาท และเงื่อนไขโครงการ Policy Loan งบประมาณในการดำเนินโครงการเป็นวงเงินรวมไม่เกิน ๓,๒๒๕ ล้านบาท ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ โดยให้ บสย. ปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ หรือขอรับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริงในปีงบประมาณถัดไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ คณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ ประธานกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ และธนาคารแห่งประเทศไทย ที่เห็นควรเร่งดำเนินการตามมาตรการให้เป็นตามเป้าหมาย และควรมีการพิจารณาผู้ประกอบการที่จะเข้าร่วมโครงการให้มีความหลากหลายของประเภทกิจการ ทั้งภาคอุตสาหกรรม และภาคบริการ โดยเฉพาะกิจการที่ใช้เทคโนโลยีนวัตกรรม องค์ความรู้และภูมิปัญญาของไทย รวมทั้งความครอบคลุมของพื้นที่ทั่วประเทศ เพื่อให้เกิดการกระจายการลงทุนของวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม และควรมีมาตรการคัดกรองผู้ประกอบการที่จะเข้าร่วมโครงการที่ละเอียด รอบคอบ และรัดกุม เพื่อเป็นการลดความเสี่ยงการเกิดหนี้สูญและเพื่อให้ได้ผู้ประกอบการที่มีศักยภาพในการดำเนินธุรกิจ นอกจากนี้ การดำเนินการทุกขั้นตอนการปฏิบัติจะต้องมีความโปร่งใสและตรวจสอบได้ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (หม่อมราชวงศ์ปรีดิยาธร เทวกุล) กระทรวงการคลัง และสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมเร่งประชาสัมพันธ์โครงการหรือมาตรการให้ความช่วยเหลือวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ต่าง ๆ เพื่อสร้างการรับรู้ให้กับประชาชนด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
38 | โครงการให้ความช่วยเหลือวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม SMEs | สลธ.คสช. | 17/03/2558 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการโครงการมาตรการให้ความช่วยเหลือวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม SMEs จำนวน ๒ โครงการ ได้แก่ (๑) โครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (Policy Loan) และ (๒) มาตรการเพิ่มวงเงินที่รัฐชำระค่าธรรมเนียมค้ำประกันสินเชื่อแทน SMEs ในปีแรกที่ให้บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) ค้ำประกันสินเชื่อผ่านโครงการ Portfolio Guarantee Scheme (PGS) ระยะที่ ๕ เพิ่มอีกจำนวน ๕๐,๐๐๐ ล้านบาท ทั้งนี้ ในการขยายสินเชื่อ ให้ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) และบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) พิจารณาขยายวงเงินให้เหมาะสมต่อไป สำหรับอัตราชดเชยดอกเบี้ย ให้กระทรวงการคลังพิจารณากำหนด โดยจะต้องไม่ต่ำกว่าอัตราที่รัฐชดเชยในโครงการอื่น ๆ ก่อนหน้านี้ เช่น โครงการสนับสนุนสินเชื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนแก่ผู้ประกอบการยาง และโครงการลดดอกเบี้ยเงินกู้เพื่อการผลิตแก่เกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปี เป็นต้น ซึ่งส่วนใหญ่จะชดเชยในอัตราร้อยละ ๓ ทั้งนี้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะต้องเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามระยะเวลาดำเนินโครงการ และค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริง ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ส่วนโครงการมาตรการให้ความช่วยเหลือวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม SMEs ที่เหลืออีก ๘ โครงการ ได้แก่ (๑) โครงการ Machine Fund (๒) มาตรการให้สถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ (Specialized Financial Institutions : SFIs) สามารถผ่อนปรนการวิเคราะห์สินเชื่อให้กับ SMEs ที่ติด Blacklist กับเครดิตบูโร (๓) มาตรการผ่อนปรนการปฏิบัติตามมติคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (คนร.) วันที่ ๑๗ ธันวาคม ๒๕๕๗ (๔) มาตรการชะลอการโอนอำนาจจากกระทรวงการคลัง (๕) มาตรการทบทวนการกำหนดตัวชี้วัด (Key Performance Indicator : KPI) ของ SFIs ให้สอดคล้องกับพันธกิจ (๖) โครงการขยายสาขาธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) ให้ครอบคลุมพื้นที่ที่เป็นเขตเศรษฐกิจที่สำคัญ (๗) โครงการจัดตั้ง Website และ (๘) โครงการศูนย์ให้บริการธุรกิจ SMEs แบบครบวงจร มอบหมายให้คณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (คนร.) รับไปพิจารณาทบทวนเงื่อนไขและหลักเกณฑ์การช่วยเหลือผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม SMEs ตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
39 | รายงานผลการประเมินผลการดำเนินงานรัฐวิสาหกิจ ประจำปี 2556 | กค | 09/12/2557 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการประเมินผลการดำเนินงานรัฐวิสาหกิจ ประจำปี ๒๕๕๖ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ภาพรวมของการประเมินผล ฯ ประจำปี ๒๕๕๖ ของรัฐวิสาหกิจในระบบประเมินผลฯ ตามระบบปัจจุบัน พบว่า รัฐวิสาหกิจที่มีผลการประเมินสูงสุด ๓ อันดับแรก ได้แก่ (๑) การกีฬาแห่งประเทศไทย ๔.๐๖๙๘ คะแนน (๒) บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม ๔.๐๒๗๙ คะแนน และ (๓) การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย ๔.๐๑๘๒ คะแนน สำหรับรัฐวิสาหกิจที่มีผลการประเมินต่ำสุด ๓ อันดับสุดท้าย ได้แก่ (๑) องค์การตลาด ๒.๑๑๒๕ คะแนน (๒) องค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ ๒.๒๔๓๕ คะแนน และ (๓) ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย ๒.๓๓๗๗ คะแนน ทั้งนี้ คะแนนเฉลี่ยในภาพรวมอยู่ที่ ๓.๒๑๑๕ คะแนน ลดลงจากปี ๒๕๕๕ ๐.๐๘๒๖ คะแนน เนื่องจากผลการดำเนินการตามนโยบายและผลการดำเนินงานด้านการเงินและไม่ใช่การเงินของรัฐวิสาหกิจส่วนใหญ่ไม่เป็นไปตามเป้าหมาย ๒. ภาพรวมของการประเมินผล ฯ ประจำปี ๒๕๕๖ ของรัฐวิสาหกิจในระบบประเมินผลฯ ตามระบบประเมินคุณภาพรัฐวิสาหกิจ (State Enterprise Performance Appraisal : SEPA) พบว่า รัฐวิสาหกิจที่มีผลการประเมินสูงสุด ๓ อันดับแรก ได้แก่ (๑) ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ๔.๘๘๐๐ คะแนน (๒) บริษัท ปตท จำกัด (มหาชน) ๔.๗๙๓๓ คะแนน และ (๓) การประปานครหลวง ๔.๗๖๐๗ คะแนน สำหรับรัฐวิสาหกิจที่มีผลประเมินต่ำสุด ๓ อันดับสุดท้าย ได้แก่ (๑) บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) ๒.๔๗๕๐ คะแนน (๒) องค์การเภสัชกรรม ๓.๒๘๔๗ คะแนน และ (๓) บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ๓.๓๙๔๗ คะแนน ทั้งนี้ คะแนนเฉลี่ยในภาพรวมอยู่ที่ ๔.๐๖๕๒ คะแนน ลดลงจากปี ๒๕๕๕ ๐.๒๗๖๘ คะแนน เนื่องจากการดำเนินงานด้านผลลัพธ์ของรัฐวิสาหกิจหลายแห่งไม่เป็นไปตามเป้าหมาย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
40 | แนวทางบรรเทาความเดือดร้อนและมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจด้านสินเชื่อผ่านสถาบันการเงินเฉพาะกิจ | กค | 24/06/2557 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรักษาความสงบแห่งชาติลงมติ
๑. รับทราบการดำเนินการของสถาบันการเงินเฉพาะกิจ (SFIs) ที่เกี่ยวข้องตามมาตรการบรรเทาความเดือดร้อนจากผลกระทบทางการเมืองและวิกฤตเศรษฐกิจ มาตรการสินเชื่อเพื่อภาคการเกษตร และมาตรการสินเชื่อเพื่อ SMEs ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ มาตรการบรรเทาความเดือดร้อนจากผลกระทบทางการเมืองและวิกฤตเศรษฐกิจ ได้แก่ ๑.๑.๑ มาตรการบรรเทาผลกระทบจากการเมือง เศรษฐกิจ และภัยธรรมชาติ โดยธนาคารออมสิน มีวัตถุประสงค์เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนสำหรับลูกค้าของธนาคารที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ทางการเมือง เศรษฐกิจ และภัยธรรมชาติ โดยการผ่อนปรนเงื่อนไขการชำระหนี้เป็นเวลา ๖ เดือน โดยสามารถชำระเงินต้นบางส่วนพร้อมดอกเบี้ยปกติ หรือพักชำระเงินต้นแต่ให้ชำระเฉพาะดอกเบี้ยปกติเต็มจำนวน และการให้กู้เพิ่มเติมกรณีฉุกเฉิน หรือเพื่อซ่อมแซมที่อยู่อาศัยเฉพาะในกรณีภัยพิบัติ วงเงินรวม ๕,๐๐๐ ล้านบาท โดยมีระยะเวลาดำเนินการตั้งแต่วันที่หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติมีมติเห็นชอบจนถึงวันที่ ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๕๗ ๑.๑.๒ มาตรการพักชำระค่าธรรมเนียมค้ำประกันโดยบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) มีวัตถุประสงค์เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนสำหรับลูกค้าของ บสย. โดยกำหนดให้สามารถพักชำระค่าธรรมเนียมค้ำประกันได้เป็นระยะเวลา ๖ เดือน สำหรับลูกค้าของ บสย. ที่ถึงกำหนดชำระค่าธรรมเนียมต่ออายุการค้ำประกัน ตั้งแต่วันที่ ๑ มิถุนายน ๒๕๕๗ ถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๗ ๑.๒ มาตรการสินเชื่อเพื่อภาคการเกษตร ประกอบด้วย ๔ โครงการ ดำเนินการโดยธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) วงเงินสินเชื่อรวม ๖๕,๙๐๐ ล้านบาท ได้แก่ โครงการสินเชื่อสำหรับผู้ประกอบการรายใหญ่ โครงการสินเชื่อสำหรับกลุ่มวิสาหกิจชุมชน โครงการเพิ่มสินเชื่อตลอดห่วงโซ่อุปทานสินค้าเกษตร และโครงการสินเชื่อกระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก (บัตรสินเชื่อเกษตรกร) ๑.๓ มาตรการสินเชื่อเพื่อ SMEs วงเงินสินเชื่อรวม ๔๕,๖๐๐ ล้านบาท ได้แก่ โครงการสินเชื่อ SMEs สุขใจ โดยธนาคารออมสิน โครงการสินเชื่อสนับสนุนผู้ประกอบการตามยุทธศาสตร์กระทรวงอุตสาหกรรม โครงการขยายสินเชื่อพัฒนาผลิตภาพการผลิต ๒ (Productivity Improvement Loan-2) โดยธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) โครงการขยายสินเชื่อแก่ SMEs โดยธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (ธสน.) โครงการสินเชื่อเพิ่มสุข โดยธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) โครงการ SMEs Halal Trade โครงการสินเชื่อมาตรฐาน SMEs Flexi & Sure และแคมเปญ Happy Together โดยธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย (ธอท.) ๒. เห็นชอบหลักเกณฑ์มาตรการรับภาระค่าธรรมเนียมค้ำประกันแทนผู้ประกอบการในโครงการ Portfolio Guarantee Scheme (PGS) ระยะที่ ๕ ในปีแรก หลักเกณฑ์โครงการค้ำประกันสินเชื่อในลักษณะ PGS สำหรับผู้ประกอบการ OTOP และวิสาหกิจชุมชน และหลักเกณฑ์โครงการค้ำประกันสินเชื่อในลักษณะ Package Guarantee Scheme สำหรับผู้ประกอบการ Micro Entrepreneurs ทั้งนี้ ให้ดำเนินโครงการตามหลักเกณฑ์มาตรการดังกล่าวในระยะสั้นและเสร็จสิ้นภายในปี พ.ศ. ๒๕๕๘ ก่อน ๓. อนุมัติงบประมาณในการดำเนินโครงการตามข้อ ๒ ภายในกรอบวงเงิน ๓,๗๑๒.๕๐ ล้านบาท โดยให้บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อมเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ๔. ให้กระทรวงการคลังกำกับดูแลการดำเนินงานของสถาบันการเงินเฉพาะกิจต่าง ๆ ภายใต้หลักเกณฑ์มาตรการฯ ข้างต้นอย่างใกล้ชิด ให้สามารถติดตามและตรวจสอบได้ทุกขั้นตอน โดยเฉพาะอย่างยิ่งมาตรการ/โครงการที่ขอรับการสนับสนุนงบประมาณ |
.....