ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 3 จากทั้งหมด 5 หน้า แสดงรายการที่ 41 - 60 จากข้อมูลทั้งหมด 82 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
41 | รายงานการดำเนินงานให้ความช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย ปี 2556 ของกระทรวงการคลัง | กค | 12/11/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการดำเนินงานให้ความช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย ปี ๒๕๕๖ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้
๑. การให้ความช่วยเหลือด้านอุปโภคบริโภคผ่านส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจในสังกัดกระทรวงการคลัง จำนวน ๒๓ พื้นที่ ได้แก่ กรุงเทพมหานคร จังหวัดนนทบุรี พังงา ศรีสะเกษ สุรินทร์ อุบลราชธานี ขอนแก่น นครราชสีมา ชัยภูมิ บุรีรัมย์ ร้อยเอ็ด เพชรบูรณ์ นครสวรรค์ พิษณุโลก ตาก พิจิตร ลพบุรี ตราด ปราจีนบุรี สระแก้ว ฉะเชิงเทรา ชลบุรี และนครนายก ๑.๑ สำนักงานปลัดกระทรวงการคลังได้ให้ความช่วยเหลือประชาชนผู้ประสบภัย จำนวน ๔ พื้นที่ ได้แก่ จังหวัดพังงา ปราจีนบุรี นนทบุรี และฉะเชิงเทรา ประกอบด้วย ถุงยังชีพ จำนวน ๑,๐๐๐ ถุง เสื้อชูชีพ จำนวน ๒๖๕ ถุง น้ำดื่ม จำนวน ๑๐,๓๐๐ ขวด ข้าวสาร ๕ กิโลกรัม จำนวน ๑,๐๐๐ ถุง และอื่น ๆ ได้แก่ เครื่องกรองน้ำ ๑๙๐ เครื่อง ปลากระป๋อง ๑๑ ลัง ปลาหมึกแห้ง ๑ ถุงใหญ่ และให้ยืมเครื่องสูบน้ำ ๒ เครื่อง ๑.๒ กรมธนารักษ์ได้ให้ความช่วยเหลือเจ้าหน้าที่ของกรมธนารักษ์ที่ประสบภัย จำนวน ๒ พื้นที่ ได้แก่ จังหวัดตราด และปราจีนบุรี โดยจ่ายเงินสวัสดิการให้กับเจ้าหน้าที่รายละ ๒,๐๐๐-๓,๐๐๐ บาท ๑.๓ กรมบัญชีกลางได้ให้ความช่วยเหลือเจ้าหน้าที่ของกรมบัญชีกลางที่ประสบภัย จำนวน ๑ พื้นที่ ได้แก่ จังหวัดลพบุรี โดยจ่ายเงินสวัสดิการให้กับเจ้าหน้าที่รายละ ๒,๐๐๐-๓,๐๐๐ บาท ๑.๔ กรมศุลกากรได้ให้ความช่วยเหลือประชาชนผู้ประสบภัย จำนวน ๕ พื้นที่ ได้แก่ จังหวัดอุบลราชธานี ตาก ปราจีนบุรี สระแก้ว และฉะเชิงเทรา ประกอบด้วย ถุงยังชีพ จำนวน ๒,๓๐๐ ถุง และข้าวสาร จำนวน ๗๕๐ กิโลกรัม ๑.๕ กรมสรรพากรได้ให้ความช่วยเหลือประชาชนที่ประสบภัย จำนวน ๒ พื้นที่ ได้แก่ จังหวัดปราจีนบุรี และฉะเชิงเทรา โดยการบริจาคเงิน จำนวน ๕๐,๐๐๐ บาท และบริจาคเรือ จำนวน ๒๐ ลำ ๑.๖ กรมสรรพสามิตได้ให้ความช่วยเหลือประชาชนและเจ้าหน้าที่ของกรมสรรพสามิตที่ประสบภัย จำนวน ๑ พื้นที่ ได้แก่ จังหวัดปราจีนบุรี ประกอบด้วย ถุงยังชีพ จำนวน ๑๑๒ ถุง และเรือ จำนวน ๗ ลำ ๑.๗ ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ได้ให้ความช่วยเหลือประชาชนและเจ้าหน้าที่ของธนาคารใน ๔ พื้นที่ ได้แก่ จังหวัดศรีสะเกษ สุรินทร์ ปราจีนบุรี และฉะเชิงเทรา ประกอบด้วย บริจาคเงิน จำนวน ๔๗,๐๐๐ บาท ถุงยังชีพ จำนวน ๑๐,๐๐๐ ถุง เรือ จำนวน ๔ ลำ และอื่น ๆ ได้แก่ อาหารกล่อง จำนวน ๕,๐๐๐ ชุด ๑.๘ ธนาคารออมสินได้ให้ความช่วยเหลือประชาชนที่ประสบภัย จำนวน ๑๓ พื้นที่ ได้แก่ จังหวัดพิษณุโลก ตาก ขอนแก่น ชัยภูมิ ร้อยเอ็ด ศรีสะเกษ อุบลราชธานี บุรีรัมย์ ปราจีนบุรี ฉะเชิงเทรา ชลบุรี และนครราชสีมา ประกอบด้วย ถุงยังชีพ จำนวน ๖,๖๒๐ ถุง น้ำดื่ม จำนวน ๗,๗๐๐ ขวด และอื่น ๆ ได้แก่ เสื้อชูชีพ ๑๐ ตัว และยารักษาโรค ๒,๐๐๐ ชุด ๑.๙ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรได้ให้ความช่วยเหลือประชาชนที่ประสบภัย จำนวน ๑๓ พื้นที่ ได้แก่ จังหวัดปราจีนบุรี ศรีสะเกษ สุรินทร์ อุบลราชธานี ขอนแก่น นครราชสีมา บุรีรัมย์ นครสวรรค์ พิจิตร สระแก้ว ฉะเชิงเทรา เพชรบูรณ์ และนครนายก รวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๓๓,๒๕๓,๕๕๔ บาท แบ่งเป็น ถุงยังชีพ จัดเลี้ยงอาหารและน้ำดื่ม ณ จุดรวมพล จำนวน ๒๖,๖๒๙ ราย เป็นเงิน ๑๓,๓๑๔,๖๑๖ บาท มอบเงินบำรุงขวัญแก่ลูกค้าผู้กู้ที่เสียชีวิต จำนวน ๒ ราย (รายละ ๒๐,๐๐๐ บาท) เป็นเงิน ๔๐,๐๐๐ บาท และมอบเงินเพื่อโครงการป้องกันและบริหารความเสี่ยงภัย จำนวน ๑๙,๘๙๘,๙๓๘ บาท ๑.๑๐ ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทยได้ให้ความช่วยเหลือประชาชนที่ประสบภัย จำนวน ๓ พื้นที่ ได้แก่ กรุงเทพมหานคร (เขตหนองจอก) จังหวัดฉะเชิงเทรา และพระนครศรีอยุธยา โดยมอบถุงยังชีพ จำนวน ๒,๒๐๐ ถุง ๒. การให้ความช่วยเหลือด้านการเงินแก่ผู้ประสบอุทกภัยผ่านสถาบันการเงินเฉพาะกิจ ได้แก่ ธนาคารออมสิน ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย และบรรษัทตลาดรองสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย โดยมาตรการต่าง ๆ คือ การผ่อนปรนเงื่อนไขการชำระคืนหนี้เดิม การให้สินเชื่อเพิ่มเติมเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย การผ่อนปรนเวลาชำระหนี้เงินกู้ การลดดอกเบี้ย กรณีเสียชีวิต หรือทุพพลภาพ การให้สินเชื่อเพิ่มเติมเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย มาตรการพักหนี้ช่วยเหลือลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย การเพิ่มวงเงินฉุกเฉินเพื่อฟื้นฟูกิจการ การให้ความช่วยเหลือลูกค้า โดยจะพิจารณาเป็นราย ๆ มาตรการพักชำระค่าธรรมเนียมค้ำประกัน และการผ่อนปรนเงื่อนไขการชำระหนี้เดิม ซึ่งประชาชนสามารถขอความช่วยเหลือจากสถาบันการเงินเฉพาะกิจที่เป็นลูกค้าอยู่ได้
|
|||||||||||||||||||||||||||
42 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "แนวทางการบรรเทาผลกระทบการปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ" | สสป | 18/06/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "แนวทางการบรรเทาผลกระทบการปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ" และรับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของกระทรวงแรงงานร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สมาคมการจัดการงานบุคคลแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย คณะกรรมการค่าจ้าง และสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ โดยในส่วนความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ สรุปได้ ดังนี้
๑. ควรจะมีการประเมินประสิทธิภาพและประสิทธิผลของการดำเนินการตามมาตรการเพื่อช่วยบรรเทาผลกระทบต่าง ๆ ก่อนจะให้มีการปฏิบัติตามมาตรการดังกล่าว เพื่อให้เกิดความคุ้มค่าในการใช้จ่ายงบประมาณ ๒. ควรเพิ่มองค์ประกอบของคณะทำงานร่วมภาครัฐและเอกชน ซึ่งมีอำนาจหน้าที่ศึกษาและพิจารณามาตรการการบรรเทาผลกระทบจากการปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำปี พ.ศ. ๒๕๕๖ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๕ โดยให้มีผู้แทนจากนายจ้างและผู้แทนลูกจ้างร่วมด้วย ๓. ควรมีมาตรการการบริหารค่าจ้างขั้นต่ำในอนาคตอย่างชัดเจน ดังนี้ ๓.๑ การพิจารณาปรับค่าจ้างขั้นต่ำครั้งต่อไป ควรใช้กระบวนการไตรภาคีและปฏิบัติให้เป็นไปตามกฎหมายว่าด้วยการกำหนดค่าจ้างขั้นต่ำ รวมถึงกำหนดเวลาให้ชัดเจน ๓.๒ การกำหนดค่าจ้างขั้นต่ำควรแบ่งเขต (Zoning) เป็นกลุ่มจังหวัด เพื่อให้สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจและค่าครองชีพของแต่ละกลุ่มจังหวัด ทั้งยังเป็นการสนับสนุนการส่งเสริมการลงทุนไปยังภูมิภาคและสอดคล้องกับการกระจายความเจริญไปสู่ภูมิภาค ๓.๓ จัดให้มีการส่งเสริมการจัดระบบการบริหารค่าตอบแทนในสถานประกอบการตามหลักการบริหารค่าตอบแทนที่เหมาะสมกับสภาพทางเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ ๔. รัฐควรช่วยเหลือแรงงานกรณีมีการเลิกจ้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรณีการเลิกกิจการโดยไม่บอกกล่าวล่วงหน้า ให้ได้รับค่าชดเชยรวมทั้งเร่งให้มีการบรรจุงานให้แก่แรงงานเหล่านี้โดยเร็ว
|
|||||||||||||||||||||||||||
43 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "แนวทางการรับมือเศรษฐกิจไทยจากสภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจของสหภาพยุโรป" | สสป | 12/03/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "แนวทางการรับมือเศรษฐกิจไทยจากสภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจของสหภาพยุโรป" และรับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของกระทรวงพาณิชย์ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ กรมสรรพากร สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ธนาคารแห่งประเทศไทย ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม สำนักงานความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน (องค์การมหาชน) กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงแรงงาน กรมทรัพย์สินทางปัญญา กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ กรมการค้าต่างประเทศ สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย และสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ โดยในส่วนความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ สรุปได้ ดังนี้
๑. ดูแลสภาพคล่องและสนับสนุนการประกันส่งออก ให้กลุ่มอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบ ๒. ดูแลเสถียรภาพของอัตราแลกเปลี่ยน และร่วมมือกับธนาคารแห่งประเทศไทยรักษาระดับอัตราดอกเบี้ยนโยบายร้อยละ ๓.๐ หรือต่ำกว่านี้ไปจนถึงสิ้นปี รวมทั้งสนับสนุนให้ใช้เงินสกุลต่างประเทศในการชำระค่าระวางเรือ (Freight Charge) ๓. ให้หน่วยงานราชการปรับปรุงกฎระเบียบที่เป็นอุปสรรคต่อการนำเข้า-ส่งออก ๔. ให้กรมสรรพากรพิจารณาในการคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) และภาษีนำเข้าเพื่อการส่งออกให้รวดเร็ว ๕. ส่งเสริมการส่งออกกับประเทศเพื่อนบ้าน โดยให้มีระบบสินเชื่อให้กับคู่ค้า รวมทั้งสนับสนุนและแก้ไขอุปสรรคที่เกี่ยวข้องกับการอำนวยความสะดวกให้สินค้าเข้า-ออกชายแดน ๖. ส่งเสริมการส่งออกทดแทนตลาดหลัก ๗. ส่งเสริมให้มีการจัดหาวัตถุดิบซึ่งขาดแคลนเพื่อผลิตและส่งออก (Global Sourcing) ๘. ให้มีการเจรจาขอสิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากรเป็นการทั่วไป (GPS) กลับคืนมา ๙. เร่งแก้ปัญหาการขาดแคลนแรงงานเข้มข้นในภาคอุตสาหกรรม และควรมีมาตรการเกี่ยวกับแรงงานข้ามชาติอย่างเป็นระบบ ๑๐. ส่งเสริมการลงทุนในต่างประเทศอย่างเป็นรูปธรรมและมีความชัดเจน ๑๑. กำหนดเป้าหมายการส่งออกให้สอดคล้องกับความเป็นจริง
|
|||||||||||||||||||||||||||
44 | แนวทางการดำเนินการตามโครงการค้ำประกันสินเชื่อในลักษณะ Portfolio Guarantee Scheme ระยะที่ 4 และโครงการค้ำประกันสินเชื่อในลักษณะ Portfolio Guarantee Scheme สำหรับผู้ประกอบการใหม่ ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 24 เมษายน 2555 | กค | 04/09/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบแนวทางในการดำเนินโครงการค้ำประกันสินเชื่อในลักษณะ Portfolio Guarantee Scheme ระยะที่ ๔ (โครงการ PGS ระยะที่ ๔) และโครงการค้ำประกันสินเชื่อในลักษณะ Portfolio Guarantee Scheme สำหรับผู้ประกอบการใหม่ (โครงการ PGS New/Start-up SMEs) ของบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) ภายใต้กรอบงบประมาณที่ได้รับจัดสรรตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ เมษายน ๒๕๕๕ (เรื่อง มาตรการเพิ่มขีดความสามารถ SMEs) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. จากกรอบงบประมาณที่ได้รับจัดสรรตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ เมษายน ๒๕๕๕ ในการดำเนินโครงการ PGS ระยะที่ ๔ และโครงการ PGS New/Start-up SMEs ซึ่งไม่ครบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ หาก บสย. ต้องดำเนินการโครงการทั้งสองก็จะส่งผลกระทบทางการเงินของ บสย. ดังนี้ ๑.๑ โครงการ PGS ระยะที่ ๔ บสย. จะจ่ายค่าประกันชดเชยให้กับสถาบันการเงินสูงสุดไม่เกินร้อยละ ๑๘ ของภาระค้ำประกันเฉลี่ยตลอดระยะเวลาโครงการ โดยแหล่งที่มาของเงินค่าประกันชดเชย ประกอบด้วย ร้อยละ ๑๕ มาจากรายได้จากการดำเนินโครงการ แบ่งเป็น ร้อยละ ๘.๗๕ เป็นส่วนที่มาจากรายได้ค่าธรรมเนียมค้ำประกันตามระยะเวลาโครงการ ๕ ปี (ร้อยละ ๑.๗๕*๕ ปี) และร้อยละ ๖.๒๕ (๑๕ - ๘.๗๕) เป็นส่วนที่รัฐบาลจะสนับสนุนส่วนต่างค่าประกันชดเชยให้ ส่วนอีกร้อยละ ๓ ที่เหลือ (๑๘ - ๑๕) เป็นส่วนที่ บสย. ต้องรับผิดชอบเอง ซึ่งในกรณีที่ บสย. ต้องชดเชยความเสียหายสูงสุด บสย. จะขาดทุนจากการดำเนินโครงการ จำนวน ๗๒๐ ล้านบาท ๑.๒ โครงการ PGS New/Start-up SMEs บสย. จะจ่ายค่าประกันชดเชยให้กับสถาบันการเงินสูงสุดไม่เกินร้อยละ ๔๘ ของภาระค้ำประกันเฉลี่ยตลอดระยะเวลาโครงการ โดยแหล่งที่มาของเงินค่าประกันชดเชย ประกอบด้วย ร้อยละ ๓๐ มาจากรายได้จากการดำเนินโครงการ แบ่งเป็น ร้อยละ ๑๒.๒๕ เป็นส่วนที่มาจากรายได้ค่าธรรมเนียมค้ำประกันตามระยะเวลาโครงการ ๗ ปี (ร้อยละ ๑.๗๕*๗ ปี) และร้อยละ ๑๗.๗๕ (๓๐ - ๑๒.๒๕) เป็นส่วนที่รัฐบาลจะสนับสนุนส่วนต่างค่าประกันชดเชยให้ ส่วนอีกร้อยละ ๑๘ ที่เหลือ (๔๘ - ๓๐) เป็นส่วนที่ บสย. ต้องรับผิดชอบเอง ซึ่งในกรณีที่ บสย. ต้องชดเชยความเสียหายสูงสุด บสย. จะขาดทุนจากการดำเนินโครงการ จำนวน ๑,๘๐๐ ล้านบาท ๒. บสย. ได้ปรับเปลี่ยนเงื่อนไขโครงการ PGS ระยะที่ ๔ และโครงการ PGS New/Start-up SMEs โดยปรับลดอัตราการจ่ายค่าประกันชดเชยของโครงการทั้งสอง ดังนี้ โครงการ PGS ระยะที่ ๔ จากเดิมไม่เกินร้อยละ ๑๘ เป็นไม่เกินร้อยละ ๑๕ และโครงการ PGS New/Start-up SMEs จากไม่เกินร้อยละ ๔๘ เป็นไม่เกินร้อยละ ๓๐ ซึ่งการดำเนินการตามแนวทางนี้ยังคงถือว่าเป็นการปฏิบัติภายใต้กรอบมติคณะรัฐมนตรี เนื่องจากคณะรัฐมนตรีได้เห็นชอบอัตราการจ่ายค่าประกันชดเชยไว้สูงสุดไม่เกินร้อยละ ๑๘ และร้อยละ ๔๘
|
|||||||||||||||||||||||||||
45 | รายงานผลการดำเนินการของกระทรวงการคลังในการให้ความช่วยเหลือ ฟื้นฟู เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัย | กค | 28/08/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการคลังรายงานผลการดำเนินการให้ความช่วยเหลือ ฟื้นฟู เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัย ซึ่งกระทรวงการคลังได้กำหนดมาตรการด้านต่าง ๆ เพื่อช่วยเหลือฯ รวมทั้งมาตรการช่วยเหลือฯ ที่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการเมื่อวันที่ ๒๐ กันยายน ๒๕๕๔ วันที่ ๒๕ ตุลาคม ๒๕๕๔ และวันที่ ๑๕ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ โดยมีสาระสำคัญสรุปได้ ดังนี้
๑. มาตรการด้านการเงิน ประกอบด้วย ๑.๑ สินเชื่อเพื่อภาคการเกษตร ดำเนินการโดยธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร จำนวน ๑ โครงการ คือ สินเชื่อฟื้นฟูการประกอบอาชีพรายละไม่เกิน ๑๐๐,๐๐๐ บาท วงเงินสินเชื่อรวม ๓๐,๐๐๐ ล้านบาท ๑.๒ สินเชื่อเพื่อภาคเคหะ ดำเนินการโดยธนาคารอาคารสงเคราะห์ร่วมกับธนาคารออมสิน จำนวน ๑ โครงการ คือ มาตรการสินเชื่อสำหรับการเคหะ วงเงินสินเชื่อรวม ๓๐,๐๐๐ ล้านบาท ๑.๓ สินเชื่อเพื่อธุรกิจ SMEs มีมาตรการที่ให้ความช่วยเหลือ จำนวน ๓ โครงการ วงเงินสินเชื่อรวม ๑๖๒,๐๐๐ ล้านบาท ได้แก่ มาตรการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำโดยความร่วมมือของธนาคารออมสินและธนาคารพาณิชย์ วงเงินสินเชื่อรวม ๔๐,๐๐๐ ล้านบาท มาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ประสบภัยพิบัติปี พ.ศ. ๒๕๕๔ โดยธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย วงเงินสินเชื่อรวม ๒,๐๐๐ ล้านบาท และการค้ำประกันสินเชื่อของอุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดย่อม โดยบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม วงเงินค้ำประกันรวม ๑๐๐,๐๐๐ ล้านบาท (คาดว่าจะให้สินเชื่อได้ ๑๒๐,๐๐๐ ล้านบาท) ๑.๔ สินเชื่อเพื่อรายย่อย มีมาตรการที่ให้ความช่วยเหลือ จำนวน ๓ โครงการ วงเงินสินเชื่อรวม ๔๐,๐๐๐ ล้านบาท ได้แก่ มาตรการสินเชื่อสำหรับกลุ่มรายย่อย โดยธนาคารออมสิน วงเงินสินเชื่อรวม ๒๐,๐๐๐ ล้านบาท มาตรการสินเชื่อรายย่อยสำหรับผู้ประสบอุทกภัย โดยสำนักงานประกันสังคม วงเงินสินเชื่อรวม ๑๐,๐๐๐ ล้านบาท และมาตรการสินเชื่อเพื่อส่งเสริมการจ้างงาน โดยสำนักงานประกันสังคม วงเงินสินเชื่อรวม ๑๐,๐๐๐ ล้านบาท ๑.๕ สินเชื่อเพื่อการพัฒนาระบบป้องกันอุทกภัยของนิคมอุตสาหกรรม ดำเนินการโดยธนาคารออมสิน จำนวน ๑ โครงการ คือ มาตรการสินเชื่อเพื่อพัฒนาระบบป้องกันอุทกภัย วงเงินสินเชื่อรวม ๑๕,๐๐๐ ล้านบาท ๑.๖ การให้ความช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยครัวเรือนละ ๕,๐๐๐ บาท ๒. มาตรการด้านภาษี ประกอบด้วย ๒.๑ ภาษีเงินได้ ได้แก่ การยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและนิติบุคคลสำหรับเงินชดเชยที่ผู้ประสบอุทกภัยได้รับจากภาครัฐ การยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเป็นจำนวนเงินเท่ากับจำนวนความเสียหายที่ได้รับสำหรับผู้ประสบอุทกภัยที่ลงทะเบียนไว้กับศูนย์หรือหน่วยงานให้ความช่วยเหลือของทางราชการ การยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับค่าสินไหมทดแทนที่ผู้ประสบอุทกภัยได้รับจากการประกันภัยเพื่อชดเชยความเสียหายดังกล่าวเฉพาะส่วนที่เกินมูลค่าต้นทุนของทรัพย์สินที่เหลือจากการหักค่าสึกหรอหรือค่าเสื่อมราคาแล้ว การยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและนิติบุคคลสำหรับเงินหรือทรัพย์สินที่ได้รับจากการบริจาคหรือชดเชยที่มีมูลค่าไม่เกินความเสียหาย รวมทั้งยกเว้นภาษีในส่วนของการบริจาคให้กับผู้ประสบอุทกภัยผ่านหน่วยงานส่วนราชการ องค์การของรัฐบาล องค์การหรือสถานสาธารณกุศล หรือผ่านเอกชนที่เป็นตัวแทนรับบริจาค ที่ได้ขึ้นทะเบียนไว้กับกรมสรรพากร เพื่อนำไปบริจาคต่อให้กับผู้ประสบอุทกภัย ผู้บริจาคสามารถนำมาหักเป็นค่าลดหย่อน/ค่าใช้จ่ายได้ตามเกณฑ์ที่กำหนด ๒.๒ ภาษีมูลค่าเพิ่ม โดยการยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มสำหรับผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มที่นำสินค้าไปบริจาคเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย ๒.๓ ภาษีศุลกากร ได้แก่ การยกเว้นอากรขาเข้าเครื่องจักร ส่วนประกอบและอุปกรณ์ประกอบเครื่องจักร รวมถึงเครื่องมือและเครื่องใช้ที่ใช้กับเครื่องจักรดังกล่าวที่นำเข้ามาเพื่อทดแทนหรือซ่อมแซมเครื่องจักรที่ได้รับความเสียหายอันเนื่องมาจากอุทกภัย การยกเว้นอากรขาเข้ารถยนต์นั่งสำเร็จรูปเพื่อทดแทนการผลิตในประเทศ และการยกเว้นอากรขาเข้าชิ้นส่วนรถยนต์ที่นำเข้ามาเพื่อผลิตหรือประกอบเป็นส่วนประกอบหรืออุปกรณ์ประกอบเป็นรถยนต์สำเร็จรูปในประเทศ ๒.๔ การขยายเวลายื่นแบบแสดงรายการภาษี ได้แก่ การขยายเวลายื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย ภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีธุรกิจเฉพาะ อากรแสตมป์ สำหรับผู้ประกอบการที่ประสบอุทกภัยในพื้นที่ตามประกาศอธิบดีกรมสรรพากร โดยให้สามารถนำไปยื่นแบบได้ภายในวันที่ ๓๐ ธันวาคม ๒๕๕๔ และการขยายเวลายื่นแบบแสดงรายการภาษีสรรพสามิตแก่ผู้ประกอบการอุตสาหกรรม และผู้ประกอบกิจการสถานบริการที่ประสบอุทกภัยในพื้นที่ตามประกาศกระทรวงการคลัง โดยให้สามารถนำไปยื่นแบบได้ภายในวันที่ ๑๕ ธันวาคม ๒๕๕๔ ๓. มาตรการด้านการคลัง ประกอบด้วย ๓.๑ การอนุมัติให้จังหวัดต่าง ๆ และส่วนราชการขยายวงเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน และอนุมัติให้สามารถปฏิบัตินอกเหนือระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน พ.ศ. ๒๕๔๖ และที่แก้ไขเพิ่มเติม และหลักเกณฑ์และวิธีการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน พ.ศ. ๒๕๕๑ ๓.๒ การขยายระยะเวลาและผ่อนปรนหลักเกณฑ์การกันเงินงบประมาณปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ไว้เบิกเหลื่อมปีกรณีไม่มีหนี้ผูกพันได้อีก ๖ เดือน จนถึงวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๕๕ เพื่อให้ส่วนราชการสามารถเบิกจ่ายเงินตามระบบอิเล็กทรอนิกส์ (GFMIS) ได้อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในรายการเพื่อช่วยเหลือ แก้ไขและฟื้นฟูภายหลังเกิดอุทกภัย ๓.๓ การยกเว้นการไม่ปฏิบัติตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัดสุ พ.ศ. ๒๕๓๕ และที่แก้ไขเพิ่มเติม และระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. ๒๕๔๙ สำหรับหน่วยงานภายใต้ระเบียบที่ได้รับการจัดสรรงบประมาณเพื่อช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยที่เกิดขึ้นในปี พ.ศ. ๒๕๕๔ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่จังหวัดมีประกาศภัยพิบัติในปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ไปจนกว่าภัยพิบัติจะสิ้นสุดลง และการผ่อนคลายการจัดซื้อจัดจ้างสำหรับเงินนอกงบประมาณ รวมทั้งการเพิ่มความคล่องตัวในการปฏิบัติตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. ๒๕๔๙ สำหรับหน่วยงานที่ได้รับงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ในงาน/โครงการ ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากเหตุอุทกภัยที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต ซึ่งจะส่งผลเป็นการลดขั้นตอนดำเนินการ e-Auction จากเดิมต้องใช้เวลา ๘๕ วัน เหลือ ๒๘ วัน ๓.๔ การแจ้งให้ทุนหมุนเวียนทบทวนบทบาท หน้าที่ กรอบภารกิจและวัตถุประสงค์ของทุนหมุนเวียน ซึ่งหากอยู่ในข่ายที่สามารถให้ความช่วยเหลือกลุ่มผู้รับบริการที่ได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติได้ ให้ดำเนินการสำรวจกลุ่มผู้รับบริการของทุนหมุนเวียนที่ได้รับความเดือดร้อนจากปัญหาน้ำท่วมและกำหนดแนวทางหรือมาตรการเยียวยาให้ความช่วยเหลือ ๓.๕ การให้ความช่วยเหลือผู้มีสิทธิและบุคคลในครอบครัวที่อยู่ในพื้นที่อุทกภัยหรือได้รับความเดือดร้อนจากเหตุอุทกภัยสามารถเข้ารับการรักษาพยาบาลประเภทผู้ป่วยในสถานพยาบาลของทางเอกชนได้ทุกโรค ส่วนการเข้ารับการรักษาพยาบาลในสถานพยาบาลของทางราชการประเภทผู้ป่วยนอก ให้ผู้มีสิทธิและสถานพยาบาลของทางราชการถือปฏิบัติเกี่ยวกับกรณีการสมัครขอใช้สิทธิในระบบเบิกจ่ายตรงสามารถใช้สิทธิได้ทันที ซึ่งจากเดิมต้องรอ ๑๕ วัน ๓.๖ การผ่อนผันให้ขยายระยะเวลาการส่งรายงานการเงินของส่วนราชการระดับกรม ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ผ่อนผันการส่งผลการประเมินการปฏิบัติงานด้านบัญชีของส่วนราชการระดับกรม ไตรมาสที่ ๔ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ผ่อนผันการส่งรายงานประจำเดือนจากระบบ GFMIS ประจำไตรมาสที่ ๑ ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ และผ่อนผันการส่งรายงานผลการประเมินการปฏิบัติงานด้านบัญชีของส่วนราชการ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ไตรมาสที่ ๑ ๓.๗ การเลื่อนกำหนดระยะเวลาการจ่ายเงินเดือน ค่าจ้าง เบี้ยหวัด และบำนาญของข้าราชการ ลูกจ้างประจำ ลูกจ้างชั่วคราว รวมทั้งค่าตอบแทนของพนักงานราชการ ของส่วนราชการต่าง ๆ ประจำเดือนพฤศจิกายน - ธันวาคม ๒๕๕๔ จากเดิม ก่อนวันทำการสุดท้ายของเดือน ๓ วันทำการ เป็นประจำเดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๔ ให้จ่ายในวันที่ ๑๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ และประจำเดือนธันวาคม ๒๕๕๔ ให้จ่ายก่อนวันทำการสุดท้ายของเดือน ๕ วันทำการ ๔. มาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการเพิ่มเติม โดยให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการก่อสร้างในภาคใต้ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุอุทกภัยที่เกิดขึ้นในช่วงระหว่างวันที่ ๒๓ มีนาคม ๒๕๕๔ - วันที่ ๑๘ เมษายน ๒๕๕๔ ให้ได้รับการขยายระยะเวลาของสัญญาออกไปอีก จำนวน ๑๘๐ วัน และการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการก่อสร้างและผู้ประกอบการอื่นที่ได้รับผลกระทบจากเหตุอุทกภัยที่เกิดขึ้นในช่วงระหว่างวันที่ ๒๕ กรกฎาคม ๒๕๕๔ - วันที่ ๑๖ มกราคม ๒๕๕๕ กรณีเป็นสัญญาจ้างก่อสร้างหรือสัญญาประเภทอื่นที่มิใช่สัญญาจ้างก่อสร้าง ให้ขยายระยะเวลาของสัญญาออกไปอีก จำนวน ๑๘๐ วัน สำหรับสัญญาซื้อขาย ให้ขยายระยะเวลาออกไปอีก จำนวน ๑๒๐ วัน
|
|||||||||||||||||||||||||||
46 | ปรับปรุงหลักเกณฑ์มาตรการสินเชื่อเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs ที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย | กค | 07/08/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๔ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ในการประชุมครั้งที่ ๙/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๕๕ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ประธานกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๔ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) เสนอ โดยคณะกรรมการกลั่นกรองฯ มีมติเห็นชอบการปรับปรุงหลักเกณฑ์มาตรการสินเชื่อเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs ที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย ผ่านมาตรการสินเชื่อสำหรับผู้ประกอบการ SMEs ผ่านกลไกการค้ำประกันในลักษณะ Portfolio Guarantee Scheme ของบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (มาตรการ PGS) และสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำโดยความร่วมมือของธนาคารออมสิน (Soft Loan ออมสิน) ดังนี้
๑. กลุ่มเป้าหมายเป็น SMEs ที่ประกอบธุรกิจทุกประเภทที่อยู่ในพื้นที่ประสบอุทกภัย ตามประกาศของกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย หรือเป็น SMEs ที่ได้รับผลกระทบทางอ้อม โดยจะต้องมียอดการสั่งซื้อหรือยอดขายกับคู่ค้าในพื้นที่ประสบอุทกภัยไม่น้อยกว่าร้อยละ ๒๕ โดยธนาคารจะต้องเป็นผู้รับรองและยืนยัน ๒. วงเงินค้ำประกันสูงสุดทุกประเภท/วงเงินให้สินเชื่อสูงสุดทุกประเภทรวมกันไม่เกิน ๓๐ ล้านบาทต่อรายต่อสถาบันการเงิน โดยสินเชื่อที่ได้รับจากสถาบันการเงินต้องเป็นสินเชื่อใหม่ และต้องไม่นำไปชำระหนี้เดิมกับสถาบันการเงินผู้ให้กู้ ๓. ระยะเวลารับคำขอ ภายในวันที่ ๓๐ ธันวาคม ๒๕๕๕ |
|||||||||||||||||||||||||||
47 | มาตรการเพิ่มขีดความสามารถ SMEs | กค | 24/04/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบมาตรการเพิ่มขีดความสามารถ SMEs ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุนการพัฒนาผลิตภาพการผลิต การสนับสนุนการเข้าถึงแหล่งเงินทุน และการลดภาระต้นทุนค่าแรง รวมทั้งเป็นการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย ผ่านมาตรการทางการเงินและมาตรการภาษี ดังนี้ ๑.๑ มาตรการทางการเงิน ประกอบด้วย ๑.๑.๑ โครงการสินเชื่อเพื่อพัฒนาผลิตภาพการผลิต (Productivity Improvement Loan) โดยธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย ประกอบด้วยสินเชื่อ ๒ ประเภท คือ สินเชื่อเพื่อพัฒนาเครื่องจักรและสินเชื่อเพื่อพัฒนากระบวนการทำงาน โดยมีวงเงินโครงการ ๒๐,๐๐๐ ล้านบาท ระยะเวลาโครงการ ๒ ปี นับจากวันที่มีมติคณะรัฐมนตรี และงบประมาณที่ใช้ในการสนับสนุนไม่เกิน ๑,๘๐๕ ล้านบาท ๑.๑.๒ โครงการค้ำประกันสินเชื่อในลักษณะ Portfolio Guarantee Scheme ระยะที่ ๔ (PGS ระยะที่ ๔) ของบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) โดยมีวงเงินค้ำประกันรวม ๒๔,๐๐๐ ล้านบาท โดย บสย. จ่ายอัตราค่าประกันชดเชยให้กับสถาบันการเงินสูงสุดไม่เกินร้อยละ ๑๘ ของภาระค้ำประกันเฉลี่ยตลอดระยะเวลาโครงการ ๕ ปี และรัฐบาลชดเชยส่วนต่างค่าประกันชดเชยตามจริงแต่ไม่เกิน ๒,๒๒๐ ล้านบาท ๑.๑.๓ โครงการค้ำประกันสินเชื่อในลักษณะ Portfolio Guarantee Scheme สำหรับผู้ประกอบการใหม่ (PGS New/Start - up) ของ บสย. สำหรับ SMEs ที่มีอายุกิจการไม่เกิน ๒ ปี มีวงเงินค้ำประกันรวม ๑๐,๐๐๐ ล้านบาท โดย บสย. จ่ายอัตราค่าประกันชดเชย (Coverage ratio) ให้กับสถาบันการเงินในอัตราสูงสุดไม่เกินร้อยละ ๔๘ ของภาระค้ำประกันเฉลี่ยตลอดระยะเวลาโครงการ ๗ ปี และงบประมาณที่ใช้ในการสนับสนุนรวม ๓,๓๐๐ ล้านบาท ๑.๑.๔ กองทุนพัฒนาฝีมือแรงงาน ให้ SMEs กู้เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการฝึกอบรมในอัตราดอกเบี้ยร้อยละ ๐.๑ ต่อปี วงเงินกู้ยืมสูงสุด ๔๒,๐๐๐ บาท ระยะเวลาชำระคืน ๔ ปี ขึ้นอยู่กับระยะเวลาการฝึกอบรม ๑.๑.๕ โครงการสินเชื่อส่งเสริมการจ้างงาน (กองทุนประกันสังคม) ให้ธนาคารพาณิชย์ปล่อยสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ โดยอาศัยแหล่งเงินทุนจากกองทุนประกันสังคมให้แก่ SMEs ที่ได้รับผลกระทบจากค่าแรงที่เพิ่มขึ้นเพื่อเป็นเงินทุนในการเสริมสภาพคล่องหรือเพิ่มผลิตภาพการผลิต มีวงเงินรวม ๑๐,๐๐๐ ล้านบาท ๑.๒ มาตรการภาษี ประกอบด้วย ๑.๒.๑ มาตรการปรับเปลี่ยนเครื่องจักรเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต โดยยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับเงินได้ที่ได้รับจากการขายเครื่องจักรเก่าเพื่อซื้อเครื่องจักรใหม่ ระยะเวลาการให้สิทธิประโยชน์สำหรับการขายเครื่องจักร ตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๕ ถึง ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๕ ๑.๒.๒ มาตรการหักค่าเสื่อมเครื่องจักร โดยให้หักค่าเสื่อมราคาของเครื่องจักรใหม่ได้ร้อยละ ๑๐๐ ในปีแรก แทนการทยอยหักค่าเสื่อมภายใน ๕ ปี ระยะเวลาการให้สิทธิประโยชน์สำหรับการหักค่าเสื่อมเครื่องจักร ตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๕ ถึง ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๕ ๑.๒.๓ มาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากการเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำ โดยให้ผู้ประกอบการทั้งนิติบุคคลและบุคคลธรรมดาสามารถหักค่าใช้จ่ายได้ ๑.๕ เท่าของส่วนต่างค่าแรงที่เพิ่มขึ้นจากเดิมเป็น ๓๐๐ บาทต่อวัน ระยะเวลาการให้สิทธิประโยชน์ตั้งแต่วันที่เริ่มใช้ค่าแรงขั้นต่ำ ๓๐๐ บาท ตามที่รัฐบาลประกาศกำหนด (๑ เมษายน ๒๕๕๕) จนถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๕ ๒. อนุมัติให้จัดสรรงบประมาณที่ต้องใช้ในการสนับสนุนโครงการสินเชื่อเพื่อพัฒนาผลิตภาพการผลิต (Productivity Improvement Loan) โครงการค้ำประกันสินเชื่อในลักษณะ Portfolio Guarantee Scheme ระยะที่ ๔ และโครงการค้ำประกันสินเชื่อในลักษณะ Portfolio Guarantee Scheme สำหรับผู้ประกอบการใหม่ เป็นวงเงินรวมไม่เกิน ๕,๒๐๕ ล้านบาท ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเบิกจ่ายตามจริง โดยให้ทำความตกลงกับสำนักงบประมาณในรายละเอียดต่อไป ๓. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกา รวม ๓ ฉบับ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ประกอบด้วย ๓.๑ ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดให้ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลให้แก่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลซึ่งมีทุนที่ชำระแล้วในวันสุดท้ายของกรอบระยะเวลาบัญชีไม่เกินห้าล้านบาท และมีรายได้จากการขายสินค้าและบริการไม่เกินสามสิบล้านบาทต่อปี ในรอบระยะเวลาบัญชีที่ได้ใช้สิทธิยกเว้นภาษีเงินได้สำหรับเงินได้ที่ได้รับจากการขายทรัพย์สินประเภทเครื่องจักรที่ใช้ในการผลิตสินค้าให้บริการรับจ้างผลิตสินค้าเพื่อซื้อเครื่องจักรใหม่ทดแทน ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๕ ถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๕ ๓.๒ ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดเงื่อนไขและอัตราการหักค่าสึกหรอและค่าเสื่อมราคาของทรัพย์สินประเภทเครื่องจักรที่ใช้ในการผลิตสินค้าหรือให้บริการรับจ้างผลิตสินค้าให้แก่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลซึ่งมีทุนที่ชำระแล้วในวันสุดท้ายของรอบระยะเวลาบัญชีไม่เกินห้าล้านบาท และมีรายได้จากการขายสินค้าและบริการไม่เกินสามสิบล้านบาทต่อปี ในรอบระยะเวลาบัญชีที่ได้ใช้สิทธิ ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๕ ถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๕ ๓.๓ ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดให้ยกเว้นภาษีเงินได้เป็นจำนวนร้อยละห้าสิบของรายจ่ายที่ได้มีการจ่ายเป็นค่าจ้างเฉพาะส่วนต่างของค่าจ้างที่ได้มีการจ่ายเพิ่มขึ้นจากอัตราค่าจ้างขั้นต่ำในปัจจุบันตามที่กำหนดในแต่ละเขตจังหวัดกับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำใหม่เป็นเงินวันละสามร้อยบาท ให้แก่บุคคลธรรมดาที่มีเงินได้พึงประเมิน ซึ่งต้องเสียภาษีเงินได้ตามประมวลรัษฎากร และบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลซึ่งมีทุนที่ชำระแล้วในวันสุดท้ายของรอบระยะเวลาบัญชีไม่เกินห้าล้านบาท และมีรายได้จากการขายสินค้าและบริการไม่เกินสามสิบล้านบาทต่อปี ในรอบระยะเวลาบัญชีที่ได้ใช้สิทธิยกเว้นภาษีเงินได้ ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ ๑ เมษายน ๒๕๕๕ ถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๕ ๔. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของกระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรพิจารณาจัดลำดับความสำคัญของ SMEs กลุ่มเป้าหมาย โดยให้ความช่วยเหลืออุตสาหกรรมรายสาขาที่ได้รับผลกระทบจากภาระค่าแรงที่เพิ่มขึ้นมาเป็นพิเศษก่อน และมีการสำรวจกลุ่มผู้ประกอบการ SMEs ที่มีศักยภาพและขีดความสามารถในการชำระหนี้ เพื่อไม่ให้การดำเนินงานประสบภาวะขาดทุนและเป็นภาระของรัฐในอนาคต รวมทั้งมีระบบการตรวจสอบและรายงานผลการดำเนินงาน ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๕. ให้รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) เป็นประธานหาแนวทางการส่งเสริมและพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมด้วยการลดต้นทุนทางด้านพลังงานและวิธีการอื่นเพื่อเป็นการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงแรงงาน และกระทรวงอุตสาหกรรม แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||
48 | มาตรการช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย | นร | 25/10/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบและรับทราบตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบมาตรการด้านการเงินที่ช่วยบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน โดยให้กระทรวงมหาดไทย กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงการคลังสำรวจและประเมินความเสียหายเพื่อให้สามารถเร่งดำเนินการได้อย่างชัดเจน ทั้งนี้ มาตรการด้านการเงินที่ช่วยบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน ได้แก่ ๑.๑.๑ การช่วยเหลือค่าเสียหายด้านที่พัก (ไม่เกินหลังละ ๓๐,๐๐๐ บาท) และทรัพย์สินที่ประสบอุทกภัย (ครัวเรือนละไม่เกิน ๑๐,๐๐๐ บาท) ๑.๑.๒ การช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน (อุทกภัย) (ครัวเรือนละ ๕,๐๐๐ บาท) ๑.๑.๓ การช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้รับความเสียหายด้านพืช ประมงและปศุสัตว์ ๑.๑.๔ การลดภาระหนี้ให้แก่ลูกหนี้ของสถาบันการเงินต่าง ๆ ๑.๒ เห็นชอบมาตรการด้านสินเชื่อเพื่อช่วยเหลือประชาชนและผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย ในวงเงินรวม ๓๒๕,๐๐๐ ล้านบาท โดยให้กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงแรงงาน และกระทรวงการคลัง จัดทำข้อมูลลงทะเบียนผู้ประสบความเสียหายเพื่อให้สถาบันการเงินที่เกี่ยวข้องพิจารณาดูแลโครงการสินเชื่อดังกล่าว ทั้งนี้ มาตรการด้านสินเชื่อเพื่อช่วยเหลือประชาชนและผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย ได้แก่ ๑.๒.๑ สินเชื่อรายย่อยสำหรับผู้ประสบอุทกภัย วงเงิน ๘๐,๐๐๐ ล้านบาท ประกอบด้วย ๑.๒.๑.๑ สินเชื่อสำหรับกลุ่มรายย่อย วงเงินรวม ๒๐,๐๐๐ ล้านบาท ดำเนินการโดยธนาคารออมสิน ๑.๒.๑.๒ สินเชื่อเพื่อการเคหะ วงเงินรวม ๓๐,๐๐๐ ล้านบาท ดำเนินการโดยธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) และธนาคารออมสิน ๑.๒.๑.๓ สินเชื่อสำหรับกลุ่มเกษตรกร วงเงินรวม ๓๐,๐๐๐ ล้านบาท ดำเนินการโดยธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ๑.๒.๒ สินเชื่อรายย่อยสำหรับผู้ประสบอุทกภัยจากโครงการประกันสังคม วงเงิน ๑๐,๐๐๐ ล้านบาท ประกอบด้วย ๑.๒.๒.๑ โครงการประกันสังคมเคียงข้างผู้ประกันตนต้านอุทกภัย สำหรับสถานประกอบการ วงเงิน ๒,๐๐๐ ล้านบาท เพื่อใช้ในกิจการหรือการซ่อมแซมสถานประกอบการ รายละไม่เกิน ๑ ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยร้อยละ ๓ (คงที่ ๓ ปี) ๑.๒.๒.๒ โครงการประกันสังคมเคียงข้างผู้ประกันตนต้านอุทกภัย วงเงิน ๘,๐๐๐ ล้านบาท สำหรับผู้ประกันตน เพื่อซ่อมแซมบ้านที่ถูกน้ำท่วมของตนเองหรือของบิดามารดา รายละไม่เกิน ๕๐,๐๐๐ บาท อัตราดอกเบี้ยร้อยละ ๒.๕ (คงที่ ๕ ปี) ๑.๒.๓ การค้ำประกันสินเชื่อของอุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดย่อม โดยบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) ให้การค้ำประกันสินเชื่อของผู้ประกอบการที่ต้องการสินเชื่อเพื่อฟื้นฟูธุรกิจ ระยะเวลาค้ำประกัน ๗ ปี ซึ่งจะครอบคลุมวงเงินให้กู้ของธนาคารพาณิชย์ จำนวน ๑๒๐,๐๐๐ ล้านบาท โดย บสย. รับผิดชอบส่วนสูญเสียในการจ่ายค่าประกันชดเชยสูงสุดไม่เกินร้อยละ ๓๐ และยกเว้นค่าธรรมเนียมการค้ำประกันร้อยละ ๑.๗๕ ให้เป็นเวลา ๗ ปี รวมถึงขอความร่วมมือให้ธนาคารพาณิชย์คิดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้กับลูกค้าที่ได้รับการค้ำประกันในอัตราร้อยละ ๓ ต่อปีในช่วง ๓ ปี ๑.๒.๔ สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำสำหรับผู้ประกอบการ ประกอบด้วย ๑.๒.๔.๑ โดยธนาคารออมสินร่วมให้สินเชื่อร้อยละ ๕๐ กับธนาคารพาณิชย์ที่ให้สินเชื่อแก่ผู้ประกอบการที่ประสบอุทกภัย ดำเนินการโดยให้ธนาคารออมสินฝากเงินกับธนาคารพาณิชย์ที่ต้องการ และธนาคารออมสินรับอัตราดอกเบี้ยเงินฝากร้อยละ ๐.๐๑ ต่อปี โดยกำหนดวงเงินของธนาคารออมสิน จำนวน ๒๐,๐๐๐ ล้านบาท เพื่อรวมกับวงเงินของธนาคารพาณิชย์ จำนวน ๒๐,๐๐๐ ล้านนาท รวมเป็นวงเงินสินเชื่อรวม ๔๐,๐๐๐ ล้านบาท ๑.๒.๔.๒ โครงการสินเชื่อเพื่อส่งเสริมการจ้างงาน วงเงิน ๑๐,๐๐๐ ล้านบาท โดยสำนักงานประกันสังคมนำเงินไปฝากธนาคารที่เข้าร่วมโครงการเพื่อปล่อยกู้ให้แก่สถานประกอบการที่ขึ้นทะเบียนกับสำนักงานประกันสังคมเพื่อเสริมสภาพคล่อง หรือเพิ่มผลิตภาพแรงงาน ๑.๒.๕ สินเชื่อจากธนาคารเพื่อความร่วมมือระหว่างประเทศแห่งญี่ปุ่น (JBIC) โดยกระทรวงการคลังจะประสานกับ JBIC เพื่อให้พิจารณานำเงินเข้าฝากธนาคารพาณิชย์ที่ต้องการเงินเพื่อปล่อยสินเชื่อแก่ผู้ประกอบการที่ประสบอุทกภัย จำนวน ๕๐,๐๐๐ ล้านบาท ๑.๒.๖ สินเชื่อเพื่อพัฒนาระบบป้องกันอุทกภัย โดยรัฐบาลจะหาแหล่งเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำซึ่งรัฐบาลจะสนับสนุนงบประมาณชดเชยเพื่อให้สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำแก่การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) และผู้ประกอบการเพื่อการลงทุนในระบบป้องกันอุทกภัยของนิคมและโรงงานโดยมีวงเงิน ๑๕,๐๐๐ ล้านบาท ๑.๓ รับทราบแนวทางการให้การสนับสนุนด้านสิทธิประโยชน์การลงทุน ได้แก่ การขยายสิทธิประโยชน์การส่งเสริมการลงทุน โดยยืดเวลาหรือขยายสิทธิประโยชน์ให้แก่นักลงทุนที่ประสบความเสียหายจากอุทกภัย และการอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้เชี่ยวชาญต่างประเทศที่จะเข้ามาทำงานในประเทศเพื่อแก้ไขปัยหาและฟื้นฟูโรงงานที่ประสบความเสียหาย โดยให้กระทรวงอุตสาหกรรมพิจารณาดำเนินการ และรายงานผลให้คณะรัฐมนตรีทราบ ๒. เห็นชอบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอเพิ่มเติมในส่วนของสินเชื่อรายย่อยสำหรับผู้ประสบอุทกภัยจากธนาคารออมสิน ธอส. และ ธ.ก.ส. วงเงิน ๘๐,๐๐๐ ล้านบาท เห็นควรปรับถ้อยคำให้ครอบคลุมชัดเจน จากเดิม “สินเชื่อสำหรับกลุ่มเกษตรกร วงเงินรวม ๓๐,๐๐๐ ล้านบาท ...” เป็น “สินเชื่อสำหรับกลุ่มเกษตรกรและสหกรณ์ วงเงินรวม ๓๐,๐๐๐ ล้านบาท”
|
|||||||||||||||||||||||||||
49 | มาตรการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย ปี 2554 | กค | 25/08/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความคืบหน้ามาตรการให้ความช่วยแหลือผู้ประสบอุทกภัย ปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. มาตรการด้านการเงิน ได้กำหนดมาตรการด้านการเงินผ่านสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ จำนวน ๘ แห่ง ได้แก่ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ธนาคารออมสิน ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม และบรรษัทตลาดรองสินเชื่อที่อยู่อาศัย เพื่อให้ความช่วยเหลือแก่ลูกค้าเดิมของธนาคารในเรื่องการพักชำระหนี้ ขยายระยะเวลาชำระหนี้ และลดดอกเบี้ย รวมทั้งให้เงินกู้ใหม่แก่ลูกค้าเดิมและประชาชนทั่วไปเพื่อฟื้นฟูอาชีพและซ่อมแซมบ้าน/อาคารที่เสียหาย โดยลดอัตราดอกเบี้ยให้ต่ำกว่าปกติ และลดหย่อนเกณฑ์การพิจารณา ๒. การช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉินตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน พ.ศ. ๒๕๔๖ และที่แก้ไขเพิ่มเติม กรมบัญชีกลางได้ช่วยให้ทางราชการสามารถดำเนินการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น โดยอนุมัติให้จังหวัดที่ประสบภัยพิบัติรุนแรงและขยายวงเงินทดรองราชการ เพื่อช่วยเหลือประชาชนได้อย่างทั่วถึง ๓. มาตรการด้านภาษี ๓.๑ ผู้ประสบอุทกภัยทั้งบุคคลธรรมดาและบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลให้ได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้สำหรับเงินชดเชยที่ได้รับจากภาครัฐ ๓.๒ ผู้ประสบอุทกภัยที่เป็นบุคคลธรรมดาซึ่งเป็นผู้ประกอบการ [มีเงินได้พึงประเมินตามมาตรา ๕๐(๕) ถึง (๘) แห่งประมวลรัษฎากร] ที่ได้ลงทะเบียนไว้กับศูนย์หรือหน่วยงานให้ความช่วยเหลือของทางราชการ ให้ได้รับยกเว้นภาษีเงินได้เป็นจำนวนเท่าจำนวนความเสียหายที่ได้รับ ๓.๓ บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัยและได้รับเงินได้ที่เป็นค่าสินไหมทดแทนจากการประกันภัย ให้ได้รับยกเว้นภาษีเงินได้สำหรับค่าสินไหมทดแทนที่ได้รับจากการประกันภัยเพื่อชดเชยความเสียหายดังกล่าวเฉพาะส่วนที่เกินมูลค่าต้นทุนของทรัพย์สินที่เหลือจากการหักค่าสึกหรอหรือค่าเสื่อมราคาแล้ว ๓.๔ การบริจาคให้กับผู้ประสบอุทกภัยผ่านหน่วยงานส่วนราชการ องค์การของรัฐบาล องค์การหรือสถานสาธารณกุศล หรือผ่านเอกชนที่เป็นตัวแทนรับบริจาคที่ได้ขึ้นทะเบียนไว้กับกรมสรรพากร เพื่อนำไปบริจาคต่อให้กับผู้ประสบอุทกภัย สามารถนำมาหักเป็นรายจ่ายในทางภาษีได้ไม่เกินร้อยละ ๒ ของกำไรสุทธิ (กรณีผู้บริจาคเป็นบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล และสามารถบริจาคได้ทั้งเงินและทรัพย์สิน) และไม่เกินร้อยละ ๑๐ ของเงินได้สุทธิ (กรณีผู้บริจาคเป็นบุคคลธรรมดาสำหรับการบริจาคเป็นเงินเท่านั้น) ทั้งนี้ ผู้รับบริจาคได้รับยกเว้นไม่ต้องนำเงินหรือทรัพย์สินที่ได้รับบริจาคมาถือเป็นเงินได้ ทั้งนี้ ต้องไม่เกินกว่ามูลค่าความเสียหายที่ได้รับ ๓.๕ การพิจารณาขยายเวลาการยื่นแบบแสดงรายการเพื่อเสียภาษีสรรพากรให้กับบางพื้นที่ที่ประสบอุทกภัยรุนแรงตามความจำเป็นและสมควร
|
|||||||||||||||||||||||||||
50 | มาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจาการชุมนุม (กรณีผู้ประกอบการที่มีกรมธรรม์ประกันภัยยังไม่ได้รับสินไหมทดแทนจากบริษัทประกันภัย) | กค | 03/05/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ หลักเกณฑ์มาตรการสินเชื่อเพื่อเสริมสภาพคล่องให้แก่ผู้ประกอบการ SMEs ย่านราชประสงค์ และพื้นที่ใกล้เคียงที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ความไม่สงบทางการเมืองกรณีผู้ประกอบการที่มีกรมธรรม์ประกันภัยที่ยังไม่ได้รับสินไหมทดแทนจากบริษัทประกันภัย โดยให้ใช้วงเงิน ๒,๐๐๐ ล้านบาทเดิมของโครงการช่วยเหลือผู้ประกอบการและลูกจ้างที่ได้รับผลกระทบจากการชุมนุม (โครงการราชประสงค์ฯ) สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑.๑ ขยายระยะเวลาโครงการ : จากเดิมสิ้นสุดวันรับคำขอสินเชื่อภายในวันที่ ๓๐ ธันวาคม ๒๕๕๓ เป็นสิ้นสุดวันรับคำขอสินเชื่อภายในวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๔ หรือจนกว่าจะเต็มวงเงินสินเชื่อของโครงการ ๑.๑.๒ คุณสมบัติผู้กู้ : เป็นผู้ประกอบการที่มีกรมธรรม์ประกันภัยแต่ยังไม่ได้รับค่าสินไหมทดแทนจากบริษัทประกันภัย ทั้งนี้ จะต้องมีหนังสือรับรองการไม่ได้รับสินไหมทดแทนจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) ๑.๑.๓ วัตถุประสงค์การกู้ : จากเดิมเพื่อใช้ปรับปรุง ซ่อมแซม ก่อสร้างอาคาร สิ่งปลูกสร้างสถานประกอบการที่ได้รับความเสียหายจากเหตุเพลิงไหม้ หรือความเสียหายที่เกี่ยวเนื่องจากเหตุเพลิงไหม้ โดยเพิ่มให้เพื่อชำระหนี้ให้สถาบันการเงินที่ได้กู้เพื่อวัตถุประสงค์เดิม ๑.๑.๔ หลักประกัน : กรณีวงเงินขอกู้ไม่เกิน ๕ ล้านบาท ไม่ต้องมีหลักประกัน (Clean Loan) สำหรับกรณีวงเงินขอกู้เกิน ๕ ล้านบาท ต้องมีหลักประกัน เช่น สิทธิการเช่าในอสังหาริมทรัพย์ของที่ราชพัสดุของกรมธนารักษ์ ให้คิดเป็นหลักประกันได้ไม่เกินร้อยละ ๑๐๐ ของมูลค่าราคาที่รับหลักประกันของธนาคาร บุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคลค้ำประกัน การค้ำประกันไขว้ (Cross Guarantee) หรือให้บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) ออกหนังสือค้ำประกัน ๑.๒ การชดเชยค่าธรรมเนียมค้ำประกันสินเชื่อของ บสย. ในอัตราร้อยละ ๐.๗๕ ต่อปี เป็นเวลา ๑ ปี คิดเป็นจำนวนไม่เกิน ๑๕ ล้านบาท ทั้งนี้ ให้ บสย. เบิกจ่ายตามที่เกิดขึ้นจริง โดยให้ประสานกับสำนักงบประมาณในการเบิกจ่ายต่อไป ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรมีการตรวจสอบคุณสมบัติของผู้ขอรับความช่วยเหลือให้สอดคล้องกับนิยาม SMEs ของธนาคารพัฒนาวิสหากิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) ส่วนการชดเชยค่าธรรมเนียมค้ำประกันสินเชื่อของ บสย. นั้น ให้ บสย. แยกบันทึกบัญชีตามนโยบายของรัฐ (Public Service Account : PSA) เพื่อให้สามารถช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs ได้ตามเป้าหมาย ไปพิจารณาดำเนินการด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||
51 | การช่วยเหลือด้านการเงินแก่ผู้ประกอบธุรกิจโลจิสติกส์ไทย (เพิ่มเติม) | พณ | 12/04/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบความคืบหน้าการดำเนินงานช่วยเหลือด้านการเงินแก่ผู้ประกอบธุรกิจโลจิสติกส์ไทย ครั้งที่ ๓ ระหว่างเดือนกันยายน - ธันวาคม ๒๕๕๓ มีผู้ยื่นคำขอกู้ จำนวน ๑,๔๑๖ ราย วงเงิน ๔,๓๐๘.๑๘ ล้านบาท ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) อนุมัติสินเชื่อให้แก่ผู้ที่ยื่นคำขอกู้ จำนวน ๑,๐๓๐ ราย วงเงิน ๒,๙๗๙.๓๗ ล้านบาท มีการเบิกจ่ายเงินกู้แล้ว จำนวน ๖๗๕ ราย วงเงิน ๑,๙๘๘.๐ ล้านบาท ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ๒. อนุมัติวงเงินสินเชื่อ (เพิ่มเติม) จำนวน ๒,๐๐๐ ล้านบาท โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเสริมสภาพคล่องเป็นเงินทุนหมุนเวียนแก่ผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ในกลุ่มธุรกิจโลจิสติกส์ และเพื่อเป็นเงินลงทุน และเงินทุนหมุนเวียนแก่ผู้ประกอบการ SMEs ในกลุ่มธุรกิจแฟรนไชส์ ธุรกิจขายตรง รวมทั้งผู้ที่ต้องการสร้างอาชีพ สร้างรายได้ และผู้ที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย โดยหลักเกณฑ์เงื่อนไขอื่น ๆ ให้เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๘ ธันวาคม ๒๕๕๒ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ๓. เห็นชอบการแต่งตั้งคณะกรรมการบริหารโครงการช่วยเหลือด้านการเงินแก่ผู้ประกอบธุรกิจโลจิสติกส์ไทยเพิ่มเติม ได้แก่ นายกสมาคมแฟรนไชส์และไลเซนส์ นายกสมาคมธุรกิจแฟรนไชส์และเอ็สเอ็มอีไทย นายกสมาคมแฟรนไชส์ไทย และนายกสมาคมการขายตรงไทย ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ๔. การชดเชยในกรณีต่าง ๆ ให้แก่ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) และบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) ให้เป็นไปตามความเห็นของกระทรวงการคลัง ๕. อนุมัติให้ขยายระยะเวลาดำเนินโครงการช่วยเหลือด้านการเงินแก่ผู้ประกอบธุรกิจโลจิสติกส์ไทย จากเดิมสิ้นสุดวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๔ เป็นสิ้นสุดวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๔ ตามที่รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ (นายอลงกรณ์ พลบุตร) เสนอเพิ่มเติม ๖. ให้กระทรวงการคลังเร่งรัดจัดทำรายงานผลการดำเนินการเกี่ยวกับหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ของสถาบันการเงิน วงเงินรวม ๒๕,๐๐๐ ล้านบาท เพื่อเสนอคณะรัฐมนตรีทราบต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
52 | การค้ำประกันสินเชื่อในลักษณะ Portfolio Guarantee Scheme ระยะที่ 3 ในปี 2554 ของบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม | กค | 12/04/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้
๑. ให้บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) ดำเนินโครงการ Portfolio Guarantee Scheme (PGS) ระยะที่ ๓ ๒. กำหนดวงเงินค้ำประกันโครงการ PGS ระยะที่ ๓ ไว้ที่ ๓๖,๐๐๐ ล้านบาท ๓. ชดเชยความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการดำเนินโครงการ PGS ระยะที่ ๓ ให้กับ บสย. ไม่เกินร้อยละ ๓.๐ ต่อปีของภาระค้ำประกันเฉลี่ยในปีนั้น หรือไม่เกินร้อยละ ๑๕ ของภาระค้ำประกันทั้งโครงการโดยคิดเป็นวงเงินไม่เกิน ๒,๒๕๐ ล้านบาท [(๑๕% - ๘.๗๕%)*๓๖,๐๐๐] โดยให้ทบส่วนต่างไปปีถัดไปได้ และให้ บสย. ประสานกับสำนักงบประมาณในการเบิกจ่ายต่อไป ๔. กรณี บสย. พิจารณาลดค่าธรรมเนียมค้ำประกันในปีแรกลงต่ำกว่าอัตราปกติ ให้ บสย. รับภาระค่าธรรมเนียมดังกล่าวเอง ทั้งนี้ บสย. ต้องคำนึงถึงฐานะทางการเงินของ บสย. โดยรัฐไม่รับภาระชดเชยในส่วนที่ บสย. พิจารณาลดค่าธรรมเนียมลง
|
|||||||||||||||||||||||||||
53 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง มาตรการลดผลกระทบจากวิกฤตค่าเงินบาท | กค | 24/01/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง มาตรการลดผลกระทบจากวิกฤตค่าเงินบาท ตามที่สำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ และรับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการตามความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ ของกระทรวงการคลังร่วมกับส่วนราชการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ โดยความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ สรุปได้ ดังนี้
๑. ตรวจสอบเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐที่เข้ามาทำกำไรและบัญชีประเภทผู้มีถิ่นที่อยู่นอกประเทศ พร้อมทั้งเข้มงวดการเข้ามาในลักษณะเก็งกำไรทั้งในตลาดทุนและตลาดตราสารหนี้ โดยศึกษาความเป็นไปได้จากการเรียกเก็บภาษีที่ได้จากการทำกำไรหรือภาษีในรูปแบบอื่นที่เหมาะสม ๒. ให้ความช่วยเหลือด้านสภาพคล่องแก่วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม โดยการให้สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ วงเงิน ๕,๐๐๐ ล้านบาท และให้บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อมเป็นผู้ค้ำประกัน โดยคณะรัฐมนตรีมีมติให้เป็นการกู้ด้วยวิธีพิเศษบัญชีประเภทไม่ต้องมีหลักทรัพย์ค้ำประกัน และแยกบัญชีธุรกรรมนโยบายรัฐ ๓. ศึกษาความเป็นไปได้ในการชดเชยการขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนในทุก ๆ ใบสั่งซื้อสินค้าหรือใบขนสินค้าทางเรือ ในกรณีของรัฐวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม โดยกำหนดระดับการชดเชยคงที่ไว้ในอัตราหนึ่ง (เช่น ร้อยละ ๕) เป็นเวลา ๖ เดือน หากสภาพการณ์ยังไม่ดีขึ้น ทั้งนี้ ต้องมีมาตรการกำกับควบคุมในการปฏิบัติอย่างรัดกุม ๔. ให้เอกชนสามารถชำระค่าระวางสินค้าและค่าสินค้าด้วยเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐ ๕. ให้กระทรวงการคลังช่วยเหลือด้านวงเงินค้ำประกันล่วงหน้า (Forward) และให้รัฐบาลช่วยเหลือด้านค้ำประกันให้ไม่เกินร้อยละ ๕ ๖. ให้ธนาคารแห่งประเทศไทยคงระดับอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพื่อรักษาเสถียรภาพของค่าเงินให้สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจในแต่ละช่วงและทำความเข้าใจแก่สาธารณะในความจำเป็นในการดำเนินมาตรการดังกล่าว เช่น การคงอัตราอดอกเบี้ยนโยบายที่ร้อยละ ๑.๗๕ ๗. ให้มีเงินกู้ซื้อเครื่องจักร ซอฟแวร์ และเทคโนโลยีการผลิตอื่น ๆ โดยกำหนดอัตราภาษีขาเข้าร้อยละ ๐.๑ และให้ประเมินมูลค่าเครื่องจักรเพื่อตัดค่าเสื่อมได้มากกว่าหนึ่งเท่า ๘. ให้ธนาคารแห่งประเทศไทยบริหารจัดการเงินทุนสำรองที่มีมากกว่า ๑.๕๘ แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ให้มีประสิทธิภาพและก่อประโยชน์ต่อการพัฒนาเศรษฐกิจประเทศในอนาคต และให้ศึกษาความเป็นไปได้ในการนำเงินทุนสำรองระหว่างประเทศส่วนหนึ่งมาตั้งเป็นกองทุนความมั่นคั่งแห่งชาติ ๙. ให้สำนักบริหารหนี้สาธารณะศึกษาความเป็นไปได้ในการทำแผนการชำระหนี้ก่อนระยะเวลาของรัฐวิสาหกิจซึ่งมีหนี้ต่างประเทศ
|
|||||||||||||||||||||||||||
54 | มาตรการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยปี 2553 | กค | 26/10/2553 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการคลังเสนอมาตรการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย ปี ๒๕๕๓ เพื่อช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบและเกิดความเสียหายจากอุทกภัย ทั้งประชาชนทั่วไป ผู้ประกอบการ และเกษตรกร สรุปได้ดังนี้
๑. ให้จังหวัดแต่ละจังหวัดมีเงินทดรองราชการที่สามารถเบิกใช้ได้ทันที ในวงเงิน ๕๐ ล้านบาท หากไม่เพียงพอ ให้อธิบดีกรมบัญชีกลางสามารถอนุมัติวงเงินให้ได้อีก ๒๐๐ ล้านบาท (รวมเป็น ๒๕๐ ล้านบาท) และให้ปลัดกระทรวงการคลังมีอำนาจอนุมัติวงเงินเพิ่มขึ้นถึง ๕๐๐ ล้านบาท หากเกินกว่านี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเป็นผู้อนุมัติ ในส่วนของการจัดซื้อพัสดุต่าง ๆ โดยใช้เงินทดรองราชการ ให้ได้รับยกเว้นไม่ต้องปฏิบัติตามระเบียบว่าด้วยการพัสดุ โดยเป็นอำนาจของผู้ว่าราชการจังหวัดที่จะมอบหมายให้เจ้าหน้าที่หนึ่งคนหรือหลายคนทำการจัดซื้อ และตรวจรับไปก่อน แล้วจึงรายงานผู้ว่าราชการจังหวัดภายหลัง ๒. มาตรการช่วยเหลือผู้เช่าที่ราชพัสดุที่ได้รับความเดือดร้อน ได้แก่ ผู้เช่าที่ดินราชพัสดุเพื่ออยู่อาศัย ให้พิจารณาความเสียหายของอาคารที่พักอาศัย หากเสียหายบางส่วนให้ยกเว้นการเรียกเก็บค่าเช่าเป็นเวลา ๑ ปี หากเสียหายทั้งหลังให้ยกเว้นการเรียกเก็บค่าเช่าเป็นเวลา ๒ ปี สำหรับผู้เช่าที่ดินราชพัสดุเพื่อประกอบการเกษตร หากพืชหรือผลผลิตได้รับความเสียหาย ให้ยกเว้นการเรียกเก็บค่าเช่าเป็นเวลา ๑ ปี ส่วนผู้เช่าอาคารราชพัสดุ หากผลกระทบจากอุทกภัยทำให้ผู้เช่าอาคารพัสดุไม่สามารถประกอบอาชีพได้ตามปกติ เป็นเวลาเกิน ๓ วัน ให้ยกเว้นการเรียกเก็บค่าเช่าเป็นเวลา ๑ เดือน และให้ยกเว้นการคิดเงินเพิ่ม กรณีที่ผู้เช่าไม่สามารถชำระค่าเช่า ค่าธรรมเนียม หรือเงินอื่นใดที่ต้องชำระภายในกำหนดระยะเวลา โดยเหตุมาจากการเกิดอุทกภัยซึ่งเป็นเหตุสุดวิสัย ๓. มาตรการให้ความช่วยเหลือแก่ลูกค้าสถาบันเงินเฉพาะกิจ ได้แก่ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ธนาคารออมสิน ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย (ธอท.) ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (ธสน.) ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) และบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) ๔. มอบหมายให้กรมบัญชีกลาง โดยสำนักคลังจังหวัด จัดตั้งศูนย์บริการประชาชนในจังหวัดที่เกิดอุทกภัย (One Stop Service) เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับประชาชนในการขอรับความช่วยเหลือจากหน่วยงานภาครัฐและสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ
|
|||||||||||||||||||||||||||
55 | ผลการประชุมคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจ ครั้งที่ 5/2553 | นร | 05/10/2553 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบผลการประชุมคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไข
ปัญหาทางเศรษฐกิจ (กรอ.) ครั้งที่ ๕/๒๕๕๓ เมื่อวันที่ ๑๗ กันยายน ๒๕๕๓ ตามที่เลขาธิการคณะกรรมการ พัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กรรมการและเลขานุการคณะกรรมการ กรอ. เสนอ ดังนี้ ๑. เห็นชอบผลการพิจารณาของคณะกรรมการ กรอ. เรื่อง มาตรการเร่งด่วนและมาตรการเสริมเพื่อ ส่งเสริมการลงทุนในอุตสาหกรรมพลาสติกชีวภาพในประเทศไทยตามที่คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน ๓ สถาบัน (กกร.) เสนอ และมอบหมายให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการ พิจารณาความเหมาะสมของข้อเสนอ มาตรการเร่งด่วน และมาตรการเสริมเพื่อส่งเสริมการลงทุนในอุตสาหกรรม พลาสติกชีวภาพในประเทศไทยของ กกร. และนำผลการพิจารณากลับมาเสนอคณะกรรมการ กรอ. ภายใน ๒ เดือน ๒. เห็นชอบผลการพิจารณาของคณะกรรมการ กรอ. เรื่อง การส่งเสริมธุรกิจวิชาชีพทางวิศวกรรมและ สถาปัตยกรรมออกสู่ตลาดต่างประเทศ ตามที่ กกร. โดยสภาวิศวกรและสมาคมวิชาชีพทางวิศวกรรมและสถาปัตย กรรม ๔ สมาคม (สมาคมวิศวกรที่ปรึกษาแห่งประเทศไทย สมาคมวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย ในพระบรม ราชูปถัมภ์ สมาคมอุตสาหกรรมก่อสร้างไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ และสมาคมสถาปนิกสยาม ในพระบรมราชู ปถัมภ์) เสนอ และมอบหมายให้คณะกรรมการด้านการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศเพื่อสนับสนุนผู้ประกอบ การอุตสาหกรรมก่อสร้างไทยไปขยายงานในตลาดต่างประเทศ ที่มีประธานผู้แทนการค้าไทยเป็นประธานกรรม การรับไปพิจารณามาตรการส่งเสริมธุรกิจวิชาชีพทางวิศวกรรมและสถาปัตยกรรมออกสู่ตลาดต่างประเทศทั้งระยะ สั้นและระยะยาว และรายงานที่ประชุมคณะกรรมการ กรอ. ต่อไป ๓. เห็นชอบผลการพิจารณาของคณะกรรม กรอ. เรื่อง มาตรการทางการเงินเพื่อสนับสนุนการประกอบ ธุรกิจอุตสาหกรรมก่อสร้างในต่างประเทศ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และมอบหมายให้คณะกรรมการด้านการ ค้าและการลงทุนระหว่างประเทศ เพื่อสนับสนุนผู้ประกอบการอุตสาหกรรมก่อสร้างไทยไปขยายงานในตลาดต่าง ประเทศ ที่มีประธานผู้แทนการค้าไทยเป็นประธานกรรมการ รับไปพิจารณามาตรการทางการเงินเพื่อสนับสนุน การประกอบธุรกิจอุตสาหกรรมก่อสร้างในต่างประเทศอีกครั้งหนึ่ง โดยคำนึงถึงกฎระเบียบขององค์การการค้า โลกที่อาจจะเป็นข้อจำกัดของการให้การสนับสนุนทางการเงินแก่ผู้ประกอบการไทย ทั้งนี้ ให้นำเสนอคณะรัฐมนตรี พิจารณาให้ความเห็นชอบภายใน ๓๐ วัน และรายงานให้ที่ประชุมคณะกรรมการ กรอ. ทราบต่อไป ๔. เห็นชอบผลการพิจารณาของคณะกรรมการ กรอ. เรื่อง การเร่งรัดออกกฎหมายประกอบรัฐธรรม นูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. ๒๕๕๐ มาตรา ๑๙๐ วรรคห้า ตามที่ กกร. เสนอ ๕. เห็นชอบผลการพิจารณาของคณะกรรมการ กรอ. เรื่อง การระงับข้อพิพาทโดยวิธีอนุญาโตตุลาการ ตามที่สำนักงานผู้แทนการค้าไทยเสนอ และมอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคม แห่งชาติเป็นเจ้าภาพจัดให้มีการหารือร่วมกันกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและเอกชนเพื่อหาข้อสรุปทาง นโยบาย และนำเสนอคณะรัฐมนตรีภายใน ๑ เดือน ๖. รับทราบผลการเดินทางเยือนนครลอสแองเจลิส ประเทศสหรัฐอเมริกา ของผู้แทนการค้าไทย (นาย วัชระ พรรณเชษฐ์) และมอบหมายให้กระทรวงสาธารณสุข (สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา) และกระทรวง เกษตรและสหกรณ์ เร่งรัดการดำเนินมาตรการ Pre-clearance ตามข้อเสนอของประธานผู้แทนการค้าไทย ๗. รับทราบความคืบหน้าการความช่วยเหลือทางการเงินสำหรับอุตสาหกรรมแปรรูปผลิตภัณฑ์ยาง พาราของสมาคมผู้ผลิตถุงมือยางไทย ตามที่บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) เสนอ ๘. รับทราบความคืบหน้าการแก้ไขปัญหาการจัดซื้อจัดจ้างด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-Auction) ตาม ที่กระทรวงการคลัง (กรมบัญชีกลาง) เสนอ ๙. รับทราบผลการสัมมนาเรื่อง “Thailand’s Investment Environment : Looking Forward” ตามที่ กกร. ร่วมกับหอการค้าต่างประเทศ เสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||
56 | ขอแก้ไขมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับการดำเนินงานของบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อมเพื่อสนับสนุนการดำเนินโครงการแก้ไขปัญหาหนี้สินนอกระบบ | กค | 05/10/2553 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้แก้ไขมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๐ สิงหาคม ๒๕๔๒ (เรื่อง มาตรการสนับสนุนวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ (ในส่วนที่เกี่ยวกับการปรับปรุงระบบและเพิ่มศักยภาพการค้ำประกันสินเชื่อสำหรับวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม) รวม ๒ ข้อ ดังนี้
๑. การเรียกเก็บค่าธรรมเนียมการค้ำประกัน จากเดิม “ให้ลดอัตราค่าธรรมเนียมค้ำประกันลงจากร้อยละ ๒.๐๐-๒.๗๕ ลงเหลือประมาณร้อยละ ๑.๗๕ ของวงเงินค้ำประกันในระยะแรก และจะมีการปรับปรุงค่าธรรมเนียมที่เหมาะสมในระยะต่อไป โดยจะคำนึงถึงคุณภาพของลูกค้าและคุณภาพการคัดเลือกลูกค้าของสถาบันการเงินที่ใช้บริการ” เป็น “ให้เรียกเก็บค่าธรรมเนียมตามความเหมาะสม โดยคำนึงถึงคุณภาพของลูกค้า และคุณภาพการคัดเลือกลูกค้าของสถาบันการเงิน” ๒. เกณฑ์การจ่ายค่าประกันชดเชย จากเดิม “ปรับปรุงเกณฑ์การชดเชยความเสียหายให้รวดเร็วขึ้นจากที่จะต้องจ่ายเมื่อคดีถึงที่สุด และมีการบังคับคดียึดทรัพย์สินที่เป็นหลักประกันครบถ้วนแล้ว เป็นจ่ายเมื่อมีการฟ้องร้องดำเนินคดีระหว่างสถาบันการเงินกับผู้กู้” เป็น “จ่ายเมื่อลูกหนี้ผิดนัดชำระหนี้เฉพาะการค้ำประกันให้กับธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ภายใต้การค้ำประกันสินเชื่อโครงการแก้ไขปัญหาหนี้สินนอกระบบ โดยให้ ธ.ก.ส. และ บสย. ตกลงในรายละเอียดเกี่ยวกับแนวทางและขั้นตอนของการจ่ายค่าประกันชดเชยต่อไป”
|
|||||||||||||||||||||||||||
57 | มาตรการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ความไม่สงบจากการชุมนุมทางการเมือง และผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวผ่านบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม | กค | 15/06/2553 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้
1. เห็นชอบการปรับเปลี่ยนหลักเกณฑ์โครงการค้ำประกันสินเชื่อในลักษณะ Portfolio Guarantee Scheme ระยะที่ 2 โดยให้บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) แบ่งวงเงินจำนวนไม่เกิน 5,000 ล้านบาท จากวงเงินค้ำประกันรวม 30,000 ล้านบาท จากโครงการฯ เพื่อให้การค้ำประกันสินเชื่อของผู้ประกอบการที่ได้รับ ผลกระทบจากเหตุการณ์ความไม่สงบจากการชุมนุมทางการเมืองและผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยว ทั้งนี้ ให้ บสย. สามารถกำหนดเงื่อนไขเพิ่มเติมเพื่อให้ตรงกลุ่มเป้าหมายมากขึ้น รวมทั้งการยกเว้นค่าธรรมเนียมการค้ำประกันในปี พ.ศ. 2553 ให้กับผู้ประกอบการ SMEs ที่ได้รับการค้ำประกันจาก บสย. อยู่เดิมแล้ว และทรัพย์สินได้รับความเสีย หายในเหตุเพลิงไหม้จากเหตุการณ์ความไม่สงบจากการชุมนุมทางการเมือง สำหรับเงื่อนไขอื่น ๆ ให้ บสย. ดำเนิน การตามหลักเกณฑ์ที่ได้รับอนุมัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 27 เมษายน 2553 ต่อไปเช่นเดิม 2. เห็นชอบการชดเชยค่าธรรมเนียมการค้ำประกันที่ บสย. ยกเว้นการเรียกเก็บจากลูกค้าตามข้อ 1 ในวง เงินไม่เกิน 37.5 ล้านบาท และให้เบิกตามที่เสียหายจริง โดยให้ บสย. ทำความตกลงกับสำนักงบประมาณเพื่อขอรับ การจัดสรรเป็นงบประมาณชดเชยรายได้ค่าธรรมเนียมค้ำประกันต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
58 | ผลการประชุมคณะกรรมการรัฐมนตรีเศรษฐกิจ ครั้งที่ 4/2553 | นร | 27/04/2553 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. รับทราบผลการประชุมคณะกรรมการรัฐมนตรีเศรษฐกิจ (รศก.) ครั้งที่ 4/2553 เมื่อวันที่ 19 เมษา ยน 2553 และเห็นชอบมติคณะกรรมการ รศก. ตามที่เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่ง ชาติ กรรมการและเลขานุการคณะกรรมการ รศก. เสนอ ดังนี้ 1.1 เห็นชอบให้บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อมดำเนินโครงการ Portfolio Guarantee Scheme ระยะที่ 2 ตามหลักเกณฑ์การดำเนินโครงการฯ และเห็นชอบกรอบวงเงินค่าชดเชยความเสียหายจากการ ดำเนินโครงการฯ ไม่เกิน 2,175 ล้านบาท โดยให้บรรษัทฯ ประสานกับสำนักงบประมาณในการเบิกจ่ายตาม จำนวนที่เกิดขึ้นจริง 1.2 มอบหมายให้กระทรวงการคลังพิจารณาความเหมาะสมและความจำเป็นในการขยายกรอบวงเงิน กู้ยืมของโครงการช่วยเหลือด้านการเงินของผู้ประกอบการท่องเที่ยว ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2552 เพื่อช่วยเหลือด้านการเงินแก่ผู้ประกอบการท่องเที่ยว โดยเฉพาะธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมที่ได้รับผล กระทบจากวิกฤติการณ์การเมือง และนำเสนอคณะกรรมการ รศก. ต่อไป 1.3 เห็นชอบมาตรการส่งเสริมการใช้น้ำมัน E 85 โดยให้กระทรวงการคลังรับไปกำหนดมาตรการจูง ใจด้านภาษีแก่รถยนต์ E 85 และรับไปดำเนินการออกประกาศตามขั้นตอนและระเบียบที่เกี่ยวข้องต่อไป 1.4 มอบหมายให้กระทรวงการคลังพิจารณาปรับปรุงการแก้ไขกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง โดย เฉพาะพระราชบัญญัติ พ.ศ. 2493 เพื่อสนับสนุนอุตสาหกรรมการผลิตเอทานอลต่อไป 2. รับทราบและเห็นชอบตามที่เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและแห่งชาติ กรรมการและ เลขานุการคณะกรรมการ รศก. เสนอเพิ่มเติมเกี่ยวกับการแก้ไขผลการประชุมคณะกรรมการ รศก. ครั้งที่ 4/2553 (ตามหนังสือสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ด่วนที่สุด ที่ นร 1115/1514 ลงวัน ที่ 27 เมษายน 2553) 3. คณะรัฐมนตรีมีความเห็นเพิ่มเติมในส่วนของมาตรการส่งเสริมการใช้น้ำมัน E 85 ดังนี้ 3.1 ปัจจุบันรัฐบาลได้ให้การสนับสนุนและอุดหนุนการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล์ โดยเก็บภาษีสรรพสามิต รถยนต์ที่ใช้ E 85 ลดลง และได้ขยายระยะเวลาลดอากรนำเข้ารถยนต์สำเร็จรูป ซึ่งส่งผลให้ราคารถยนต์ถูกลง แต่ ในขณะเดียวกันภาครัฐจะสูญเสียรายได้จากการอุดหนุนที่มีมูลค่าสูงมาก ดังนั้น ในระยะยาวกระทรวงการคลังและ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรจะได้พิจารณาทบทวนแนวนโยบายดังกล่าวเพื่อมิให้กระทบกับการจัดเก็บรายได้เข้ารัฐ 3.2 การส่งเสริมการใช้เอทานอลนั้น ไม่ควรมุ่งเน้นการผลิตเพื่อการส่งออก แต่ควรพิจารณาปรับปรุง กระบวนการบริหารจัดการด้านโลจิสติกส์เพื่อสนับสนุนส่งเสริมให้สามารถนำเอทานอลมาผลิตเป็นแก๊สโซฮอล์ได้ อย่างมีประสิทธิภาพและลดต้นทุนการผลิตเอทานอลให้มากขึ้น จึงขอให้กระทรวงพลังงานรับแนวทางดังกล่าวไป ร่วมพิจารณากับกระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง เพื่อดำเนินการ ต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
59 | ขอขยายระยะเวลายกเว้นค่าธรรมเนียมการค้ำประกันตามโครงการ Portfolio Guarantee Scheme ของบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อมและการชดเชยค่าธรรมเนียมค้ำประกัน | กค | 05/01/2553 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. เห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ 1.1 ขยายระยะเวลาการยกเว้นค่าธรรมเนียมการค้ำประกันปีแรกของโครงการ Portfolio Guarantee Scheme จากเดิมที่กำหนดไว้ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2552 เป็นจนถึงวันที่ 6 มีนาคม 2553 1.2 ชดเชยค่าธรรมเนียมการค้ำประกันที่บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) ยก เว้นไม่เรียกเก็บจากลูกค้าในปีแรกของโครงการ Portfolio Guarantee Scheme โดยคำนวณค่าชดเชยในอัตราร้อย ละ 1.75 ของวงเงินค้ำประกันที่ บสย. อนุมัติจริงตั้งแต่เริ่มโครงการจนถึงวันที่ 6 มีนาคม 2553 ในวงเงินไม่เกิน 525 ล้านบาท โดยให้ บสย. ทำความตกลงกับสำนักงบประมาณเพื่อขอรับการจัดสรรเป็นงบประมาณชดเชยราย ได้ค่าธรรมเนียมค้ำประกัน 2. สำหรับเงินชดเชยค่าธรรมเนียมการค้ำประกันให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2554 ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
|||||||||||||||||||||||||||
60 | ขอปรับเปลี่ยนหลักเกณฑ์โครงการค้ำประกันสินเชื่อ SMEs ในลักษณะ Portfolio Guarantee Scheme | กค | 01/09/2552 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการปรับปรุงและเพิ่มเติมรายละเอียดของโครงการค้ำประกันสินเชื่อ SMEs ใน
ลักษณะ Portfolio Guarantee Scheme โดยยกเว้นค่าธรรมเนียมค้ำประกันในปีแรกเป็นระยะเวลา 1 ปี โดยให้บังคับ ใช้กับทุกรายที่บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อมอนุมัติค้ำประกันตั้งแต่เริ่มโครงการจนถึงวันที่ 31 ธันวา คม 2552 และขยายวงเงินค้ำประกันสินเชื่อของแต่ละรูปแบบของ Portfolio Guarantee Scheme จากเดิมไม่เกินราย ละ 20 ล้านบาทต่อรายต่อสถาบันการเงิน เป็นไม่เกิน 40 ล้านบาทต่อรายต่อสถาบันการเงิน ตามที่กระทรวงการ คลังเสนอ
|
.....