ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 141 จากทั้งหมด 200 หน้า แสดงรายการที่ 2801 - 2820 จากข้อมูลทั้งหมด 3982 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
2801 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการประเมินความพร้อมในการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. .... | ศธ | 10/02/2547 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์
และวิธีการประเมินความพร้อมในการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. .... และให้ส่ง สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ โดยสาระสำคัญของร่างกฎกระทรวง ฯ เป็นการกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการประเมินความพร้อมในการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานขององค์กรปกครองส่วน ท้องถิ่นเพื่อส่งเสริมให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีส่วนร่วมในการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐาน และมอบให้กระทรวง ศึกษาธิการเป็นผู้ดำเนินการจัดทำคู่มือแนวทางการดำเนินการในแต่ละระดับการศึกษาเพื่อเตรียมความพร้อมให้ กับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น |
|||||||||||||||||||||
2802 | ร่างพระราชบัญญัติบำเหน็จบำนาญข้าราชการส่วนท้องถิ่น (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | มท | 10/02/2547 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 7 (คกก.7)
(ฝ่ายกฎหมาย) ที่มีมติอนุมัติหลักการตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอร่างพระราชบัญญัติบำเหน็จบำนาญข้าราช การส่วนท้องถิ่น(ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับประเด็น อภิปรายของคกก.7 ไปพิจารณาด้วยดังนี้ การปรับปรุงแก้ไขกฎหมายเกี่ยวกับบำเหน็จดำรงชีพของราชการส่วน ท้องถิ่น ควรมีแนวทางเช่นเดียวกับบำเหน็จดำรงชีพที่ให้กับข้าราชการพลเรือนที่ได้มีการปรับปรุงแก้ไขถ้อยคำ และ ประกาศใช้บังคับเป็นกฎหมายแล้ว ยกเว้นในส่วนที่เป็นเรื่องของข้าราชการส่วนท้องถิ่นโดยเฉพาะ ก็ให้เป็นไปตาม ที่ร่างพระราชบัญญัติกำหนด แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนนำเสนอสภา ผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไปและมอบให้กระทรวงมหาดไทยรับประเด็นอภิปราย กรณีร่างมาตรา 46/1 กำหนดให้ผู้ รับบำนาญปกติหรือผู้รับบำนาญพิเศษเพราะเหตุทุพพลภาพมีสิทธิขอรับบำเหน็จดำรงชีพตามอัตรา และวิธีการ ที่กำหนดในกฎกระทรวง แต่ต้องไม่เกิน 15 เท่าของบำนาญรายเดือนที่ได้รับ ควรกำหนดจำนวนเงินขั้นสูงไว้ไม่ เกิน 200,000 บาท เพื่อให้เป็นอัตราเดียวกันกับการจ่ายบำเหน็จดำรงชีพให้แก่ผู้รับบำนาญของข้าราชการพล เรือน ฯ และไม่เกิดผลกระทบกับข้าราชการที่ได้รับบำเหน็จดำรงชีพไปแล้ว สำหรับค่าใช้จ่ายขององค์กรปกครอง ส่วนท้องถิ่น ซึ่งประกอบด้วย องค์การบริหารส่วนตำบล องค์การบริหารส่วนจังหวัด และเทศบาล ในจำนวนนี้จะ มีภาระค่าใช้จ่ายทั้งสิ้นประมาณ 803 ล้านบาท ซึ่งเป็นเงินที่รัฐบาลโดยสำนักงบประมาณจัดสรรไว้เป็นเงิน 495 ล้านบาท ส่วนที่เหลืออีกจำนวน 308 ล้านบาท ให้จ่ายจากกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการส่วนท้องถิ่น ซึ่งผู้ แทนกระทรวงมหาดไทยชี้แจงว่า ได้คำนวณตัวเลขแล้ว กองทุน ฯ สามารถจ่ายได้ ไปพิจารณาดำเนินการ |
|||||||||||||||||||||
2803 | การรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี (เรื่อง ผลการเยือนลังกาวีของคณะรัฐมนตรี) | พณ | 03/02/2547 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงพาณิชย์รายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเรื่อง
ผลการเยือนลังกาวีของนายกรัฐมนตรี ในส่วนที่อยู่ในความรับผิดชอบของกระทรวงพาณิชย์ ดังนี้ (1) การประชุมคณะกรรมการร่วมทางการค้า (Joint Trade Committee : JTC) ตามที่รัฐมนตรีว่าการ กระทรวงพาณิชย์ ได้เสนอให้มาเลเซียเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมคณะกรรมการร่วมทางการค้าไทย - มาเลเซีย ครั้งที่ 1 เพื่อเป็นเวทีสำคัญในการหารือเพื่อแก้ไขประเด็นปัญหาด้านการค้าสองฝ่าย ขณะนี้กระทรวงพาณิชย์กำลังประสานกับฝ่ายมาเลเซียเพื่อขอทราบความเป็นไปได้ที่มาเลเซียจะเป็น เจ้าภาพจัดการประชุมดังกล่าว (2) มาตรการทางภาษีของไทยต่อน้ำมันปาล์ม ตามที่ได้มีการยกประเด็นที่ไทยกำหนดอัตราภาษีนำเข้า สินค้าน้ำมันปาล์มในอัตราสูง ซึ่งส่งผลกระทบต่อการส่งออกน้ำมันปาล์มของมาเลเซียขึ้นหารือ นั้น เนื่องจากการนำเข้าสินค้าน้ำมันปาล์มภายใต้องค์การการค้าโลก ไทยใช้มาตรการโควตาภาษีกับสิน ค้าดังกล่าวโดยกำหนดโควตาการนำเข้าประมาณ 5,000 ตัน/ปี อัตราภาษีในโควตาร้อยละ 20 และ ภาษีนอกโควตาร้อยละ 144.6 และต้องขออนุญาตนำเข้า โดยให้องค์การคลังสินค้าเป็นผู้นำเข้า และ ในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา ยังไม่มีการนำเข้าในโควตา การนำเข้าเป็นการนำเข้านอกโควตาทั้งหมด ซึ่ง ต้องเสียภาษีสูงมาก โดยไทยนำเข้าจากมาเลเซียมากเป็นอันดับหนึ่ง สำหรับการนำเข้าน้ำมันปาล์ม ภายใต้อาฟตา กระทรวงการคลังได้ประกาศลดภาษีจากอัตราร้อยละ 20 เหลือร้อยละ 5 โดยมีผล ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2546 และต้องขออนุญาตนำเข้าเช่นกัน ซึ่งขณะนี้ ยังไม่มีการอนุญาตให้นำ เข้า โดยใช้อัตราภาษีภายใต้อาฟตา เนื่องจากมาเลเซียยังไม่นำรายการสินค้ารถยนต์เข้ามาลดภาษี ประกอบกับสินค้าน้ำมันปาล์มเป็นสินค้าอ่อนไหวของไทยเพราะมีผลกระทบต่อเกษตรกรไทยที่ยาก จนจำนวนมาก ด้วยเหตุนี้ ไทยจึงมีความจำเป็นต้องใช้มาตรการการบริหารการนำเข้าภายใต้ WTO เพื่อปกป้องความเป็นอยู่ของเกษตรกร (3) กลไกการชำระเงินแบบหักบัญชี (Account Trade) ตามที่รัฐมนตรีการค้า ฯ มาเลเซีย ได้ยกประเด็น เกี่ยวกับกลไกการชำระเงินแบบหักบัญชีขึ้นหารือว่าธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้า-EXIM Bank ของไทย และ Bank Negara Malaysia-BNM ของมาเลเซีย ได้ลงนามข้อตกลงระหว่างธนาคาร เมื่อ วันที่ 20 กันยายน 2545 และพร้อมจะดำเนินการการชำระเงินแบบหักบัญชีระหว่างกันแล้ว ขณะนี้ มีธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) มาใช้บริการการชำระเงินแบบหักบัญชีกับธนาคารเพื่อ การส่งออกและนำเข้า (ธสน.)รวมถึงสิ้นเดือนพฤศจิกายน 2546 เป็นจำนวน 17 ครั้ง คิดเป็นมูล ค่า 283,534.95 เหรียญสหรัฐ นอกจากนี้ ธสน. และกรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ ได้ดำเนินการประชาสัมพันธ์ระบบการค้าแบบหักบัญชีให้ภาคเอกชนรับทราบผ่านสื่อต่าง ๆ ทั้ง ข่าวของ ธสน. (เผยแพร่ให้ผู้ส่งออก) หนังสือพิมพ์เศรษฐกิจ หนังสือพิมพ์ท้องถิ่น และสื่อวิทยุ เป็น ต้น |
|||||||||||||||||||||
2804 | การแต่งตั้งกรรมการบูรณาการและปฏิรูประบบการทะเบียนแห่งชาติ (เพิ่มเติม) | นร | 03/02/2547 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ชวลิต ยงใจยุทธ) รองประธานกรรมการ
บูรณาการและปฏิรูประบบการทะเบียนแห่งชาติ เสนอ ให้แต่งตั้งกรรมการในคณะกรรมการบูรณาการและปฏิรูป ระบบการทะเบียนแห่งชาติ เพิ่มเติม จำนวน 3 คน ประกอบด้วย ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคง ของมนุษย์ เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ และอธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น
|
|||||||||||||||||||||
2805 | กระทู้ถามที่ 977 ร. เรื่อง มาตรการแก้ปัญหาแม่น้ำตาปี จังหวัดสุราษฎร์ธานีเน่าเสีย | สผ | 03/02/2547 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอคำตอบกระทู้ถามที่ 977 ร. เรื่อง
มาตรการแก้ปัญหาแม่น้ำตาปี จังหวัดสุราษฎร์ธานี เน่าเสีย ของนายโกเมศ ขวัญเมือง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดสุราษฎร์ธานี และให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป โดยสาระสำคัญของคำตอบสรุปได้ว่า จากการ ตรวจสอบคุณภาพน้ำของแม่น้ำตาปี ในปี พ.ศ. 2545 พบว่า คุณภาพน้ำแม่น้ำตาปีตอนบนอยู่ในเกณฑ์พอใช้ ส่วนแม่น้ำตาปีตอนล่างช่วงที่ผ่านอำเภอเมืองสุราษฎร์ธานี พบว่า คุณภาพน้ำอยู่ในเกณฑ์ต่ำ นื่องจากการขยาย ตัวของชุมชน ซึ่งมีการระบายน้ำเสียจากกิจกรรมต่าง ๆ ของชุมชนระบายลงสู่น้ำโดยตรง ทำให้คุณภาพน้ำแม่น้ำ ตาปีมีแนวโน้มเสื่อมโทรมลง รัฐบาลจึงได้กำหนดมาตรการในการแก้ไขปัญหาดังกล่าว รวม 3 มาตรการ ได้แก่ มาตรการด้านการจัดการน้ำเสีย โดยสนับสนุนให้ท้องถิ่นนำวิธีการจัดการน้ำเสียที่เหมาะสมในแต่ละพื้นที่ไป ใช้แทนการมุ่งไปที่ระบบบำบัดน้ำเสียรวมของชุมชนเพียงทางเลือกเดียว ส่วนการจัดการน้ำเสียพื้นที่ลุ่มน้ำตาปี จังหวัดสุราษฎร์ธานี ได้สนับสนุนงบประมาณภายใต้แผนปฏิบัติการเพื่อการจัดการคุณภาพสิ่งแวดล้อมในระดับ จังหวัดในปีงบประมาณ พ.ศ. 2545 เทศบาลตำบลท่าข้าม จังหวัดสุราษฎร์ธานี ได้รับการสนับสนุนงบประมาณ 5 ล้านบาท เพื่อดำเนินการศึกษาความเหมาะสมและออกแบบรายละเอียดระบบรวบรวมและบำบัดน้ำเสีย มาตร การด้านกฎหมาย จะเข้มงวดในการบังคับใช้กฎระเบียบและข้อบัญญัติต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง และมาตรการด้านการ ประชาสัมพันธ์ โดยสนับสนุนและส่งเสริมให้มีการรณรงค์และประชาสัมพันธ์สร้างความเข้าใจ และประชุมรับฟัง ความคิดเห็นของประชาชนในพื้นที่ เพื่อให้เกิดการมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหา และร่วมตัดสินใจในการดำเนิน การจัดการน้ำเสีย นอกจากนี้ รัฐบาลจะจัดสรรงบประมาณตามลำดับของความสำคัญของพื้นที่ ซึ่งกรมควบ คุมมลพิษได้จัดทำแผนการจัดการน้ำเสียชุมชน เป็นการจัดลำดับความสำคัญพื้นที่ที่ต้องมีการบำบัดน้ำเสียตาม ความจำเป็นเร่งด่วน ตามสภาพปัญหาของคุณภาพน้ำ และความสำคัญของพื้นที่ ซึ่งในส่วนของเทศบาลเมือง สุราษฎร์ธานี ซึ่งตั้งบนแม่น้ำตาปี-พุมดวง เป็นพื้นที่เป้าหมายระยะเร่งด่วนและเป็นพื้นที่คุณภาพน้ำเสื่อมโทรม อยู่ในระดับต้น ๆ ซึ่งหากได้รับการจัดการน้ำเสียและบำบัดน้ำเสียอย่างมีประสิทธิภาพ จะสามารถควบคุมการ ระบายมลพิษน้ำเสียออกสู่สิ่งแวดล้อมได้ไม่เกินร้อยละ 50 ของน้ำเสียที่เกิดขึ้นในแต่ละพื้นที่ลุ่มน้ำ ดังนั้น เทศ บาลเมืองสุราษฎร์ธานีจึงควรเตรียมความพร้อมของโครงการเรื่องของที่ดิน การออกแบบรายละเอียดของโครง การที่จะก่อสร้าง รวมทั้งการรับรู้ของประชาชนในพื้นที่ โดยงบประมาณในการดำเนินการ กระทรวงทรัพยากร ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจะเป็นผู้วิเคราะห์โครงการ หากผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแล้ว จะนำเสนอคณะกรรมการการกระจายอำนาจให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เป็นผู้สนับสนุนงบประมาณต่อไป |
|||||||||||||||||||||
2806 | ร่างพระราชบัญญัติมาตราชั่งตวงวัด (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และร่างพระราชบัญญัติทะเบียนพาณิชย์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | พณ | 27/01/2547 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอร่างพระราชบัญญัติมาตราชั่งตวงวัด
(ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และร่างพระราชบัญญัติทะเบียนพาณิชย์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... รวม 2 ฉบับ และให้ส่งสำนัก งานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยร่างพระราชบัญญัติมาตราชั่งตวงวัด ฯ มีสาระสำคัญ คือ แก้ ไขเพิ่มเติมบทนิยามคำว่า "นายตรวจชั่งตวงวัด" ให้หมายถึงข้าราชการพลเรือน ข้าราชการกรุงเทพมหานคร พนักงานเมืองพัทยา พนักงานเทศบาล หรือพนักงานส่วนตำบล ที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์แต่งตั้ง ส่วนร่างพระราชบัญญัติทะเบียนพาณิชย์ ฯ มีสาระสำคัญ คือ แก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 9 เพื่อให้รัฐมนตรีมีอำนาจ จัดตั้งสำนักงานทะเบียนพาณิชย์ในเขตกรุงเทพมหานคร เพื่อถ่ายโอนภารกิจในการรับจดทะเบียนพาณิชย์ให้ กรุงเทพมหานครได้ ทั้งนี้ ให้รับความเห็นของสำนักนายกรัฐมนตรี ที่เห็นควรกำหนดให้ชัดเจนว่า ให้องค์กร ปกครองส่วนท้องถิ่นมีหน้าที่ในการให้คำรับรองเครื่องชั่งตวงวัดชั้นหลัง โดยไม่ต้องให้อธิบดีกำหนด และการ จัดตั้งสำนักงานทะเบียนพาณิชย์ในเขตองค์การบริหารส่วนจังหวัด และกรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นองค์กรปก ครองส่วนท้องถิ่นขนาดใหญ่ ควรกำหนดให้มีสำนักงานทะเบียนพาณิชย์สาขา ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป |
|||||||||||||||||||||
2807 | รายงานผลความก้าวหน้าในการถ่ายโอนภารกิจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น | พม | 27/01/2547 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์รายงานผลความ
ก้าวหน้าในการถ่ายโอนภารกิจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นของส่วนราชการในสังกัด ดังนี้ (1) กรมพัฒนา สังคมและสวัสดิการ ภารกิจที่ถ่ายโอน ได้แก่ การสงเคราะห์เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ งานสงเคราะห์และจัดสวัสดิการ เด็กและเยาวชน (อาหารกลางวัน, อาหารเสริมนม) การสงเคราะห์เบี้ยยังชีพผู้ป่วยเอดส์ การสงเคราะห์เบี้ยยัง ชีพคนพิการ ศูนย์บริการทางสังคมผู้สูงอายุ และสถานสงเคราะห์คนชรา 13 แห่ง (2) สำนักงานกิจการสตรี และสถาบันครอบครัว ภารกิจที่ถ่ายโอน ได้แก่ งานฌาปนกิจสงเคราะห์ 100 สมาคม งานฌาปนกิจสงเคราะห์ 3,147 สมาคม (3) สำนักงานส่งเสริมสวัสดิภาพและพิทักษ์เด็ก เยาวชน ผู้ด้อยโอกาส คนพิการและผู้สูงอายุ ภารกิจที่ถ่ายโอน ได้แก่ การอนุญาตให้ควบคุมหอพักเอกชนตามพระราชบัญญัติหอพัก พ.ศ. 2507 และ (4) การเคหะแห่งชาติ ภารกิจที่ถ่ายโอน ได้แก่ การแก้ไขปัญหาชุมชนแออัด |
|||||||||||||||||||||
2808 | แผนยุทธศาสตร์กระทรวงวัฒนธรรม | วธ | 27/01/2547 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงวัฒนธรรมเสนอแผนยุทธศาสตร์กระทรวงวัฒนธรรม โดยมี
วัตถุประสงค์เพื่อเป็นกรอบและแนวทางในการดำเนินงานด้านศาสนา ศิลปะ และวัฒนธรรม ให้สอดคล้องและ สนองต่อภารกิจตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 ยุทธศาสตร์ชาติ และนโยบายของ รัฐบาล เพื่อบูรณาการมิติทางศาสนา ศิลปะ และวัฒนธรรมกับวิถีชีวิตของประชาชน เพื่อสร้างเครือข่ายและ ระดมทรัพยากรในการดำเนินงานด้านศาสนา ศิลปะ และวัฒนธรรม เพื่อเป็นเครื่องมือในการส่งเสริม ประสาน และบูรณาการการดำเนินงานด้านศาสนา ศิลปะ และวัฒนธรรมของหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน องค์กรปก ครองส่วนท้องถิ่น ชุมชน และประชาชน และเพื่อเสริมสร้างศักดิ์ศรี ความเสมอภาค ความสมานฉันท์ และสันติ สุขแก่คนทุกกลุ่มทั้งระดับครอบครัว ชุมชน ประเทศ และสังคมโลก โดยมียุทธศาสตร์การดำเนินงาน ดังนี้ ยุทธ ศาสตร์ที่ 1 : รักษา สืบทอด วัฒนธรรมของชาติและความหลากหลายของวัฒนธรรมท้องถิ่นให้คงอยู่อย่างมั่น คง ยุทธศาสตร์ที่ 2 : สร้างค่านิยม จิตสำนึก และภูมิปัญญาคนไทย ยุทธศาสตร์ที่ 3 : นำทุนวัฒนธรรมของ ประเทศมาสร้างคุณค่าทางสังคมและเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจ และยุทธศาสตร์ที่ 4 : การบริหารจัดการองค์ ความรู้ด้านศาสนา ศิลปะ และวัฒนธรรม |
|||||||||||||||||||||
2809 | โครงการแปลงสินทรัพย์เป็นทุน "โครงการ Sea Food Bank" | กษ | 24/01/2547 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอโครงการ Sea Food Bank
ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อจัดที่ทำกินให้แก่ประชาชนในการแก้ปัญหาความยากจนและสร้างฐานการผลิตอาหารทะเลทด แทนการจับจากธรรมชาติ และเป็นการสร้างระบบการผลิตอาหารให้มีความปลอดภัย ตามมาตรฐานสากลโดยไม่ มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และให้ดำเนินการต่อไปได้ สำหรับงบประมาณค่าใช้จ่ายให้เบิกจ่ายอย่างประหยัดเท่า ที่จำเป็น โดยให้ขอตกลงรายละเอียดกับสำนักงบประมาณ ทั้งนี้ ให้รับความเห็นของส่วนราชการและหน่วยงานที่ เกี่ยวข้องไปพิจารณาดำเนินการด้วย ดังนี้ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์กำหนดให้ชัดเจนว่า การดำเนินการตาม โครงการ ฯ นี้ เป็นการให้ "ใบอนุญาต" ใช้พื้นที่เพื่อการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำแก่ประชาชนเพื่อการแปลงเป็นทุน และ ต้องกำหนดหลักเกณฑ์ เงื่อนไขต่าง ๆ ที่ผู้ได้รับใบอนุญาตต้องปฏิบัติให้ครบถ้วน ชัดเจน เช่น ผู้ได้รับใบอนุญาตจะ นำไปจำหน่ายจ่ายโอนไม่ได้ เว้นแต่เป็นการตกทอดทางมรดก เป็นต้น หากผู้ได้รับใบอนุญาตไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไข ดังกล่าว ก็ให้ยึดใบอนุญาตคืนได้ ส่วนการพิจารณากำหนดพื้นที่เป้าหมาย และการพิจารณาจัดสรรพื้นที่เพื่อออก ใบอนุญาต ควรดำเนินการในรูปของคณะกรรมการซึ่งมีผู้แทนของส่วนราชการทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องร่วมเป็นกรรมการ เพื่อให้การดำเนินการเป็นไปอย่างรอบคอบ ถูกต้อง รวมทั้งให้กันพื้นที่ที่มีความหลากหลายทางชีวภาพ พื้นที่ที่ควร อนุรักษ์ ตลอดจนพื้นที่ที่จะต้องนำไปใช้เพื่อการอื่น ๆ เช่น การสร้างท่าเรือ สะพาน การท่องเที่ยว เป็นต้น ออกไป ก่อนด้วย ซึ่งการกำหนดพื้นที่ของโครงการนอกเหนือจากพื้นที่การอนุญาตเดิม ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและ สิ่งแวดล้อม (สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม) พิจารณาความเหมาะสมถูกต้องก่อน ด้วย โดยให้ชุมชนท้องถิ่นมีส่วนร่วมในการดำเนินโครงการนี้ด้วย สำหรับการนำระบบ Contract Farming มาใช้กับ ประชาชนกลุ่มเป้าหมายให้ถือเป็นทางเลือกหนึ่งที่ประชาชนจะเข้าร่วมดำเนินการหรือไม่ก็ได้ กับให้กระทรวงเกษตร และสหกรณ์เร่งดำเนินการเกี่ยวกับการจัดทำแผนที่ฐาน (Base Map) แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีโดยด่วน นอกจาก นี้ การดำเนินโครงการ ฯ นี้ให้องค์การสะพานปลา ทำหน้าที่บริหารจัดการโครงการ พร้อมทั้งให้ปรับปรุงประสิทธิ ภาพการบริหารจัดการขององค์การสะพานปลา เพื่อนำเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เมื่อมี ความพร้อมต่อไป |
|||||||||||||||||||||
2810 | การประชุมระดับรัฐมนตรีและการประชุมระหว่างประเทศว่าด้วยการพัฒนาอย่างยั่งยืนของทะเลแห่งเอเชียตะวันออก | คค | 20/01/2547 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ดังนี้ รับทราบผลการประชุมระดับรัฐมนตรีและการ
ประชุมระหว่างประเทศว่าด้วยการพัฒนาอย่างยั่งยืนของทะเลแห่งเอเชียตะวันออก ระหว่างวันที่ 8-12 ธันวาคม 2546 ณ กรุงปุตราจายา ประเทศมาเลเซีย และเห็นชอบมอบหมายให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่ง แวดล้อม พิจารณากำหนดผู้ทำหน้าที่ประสานงานโครงการ PEMSEA และนำแผนกลยุทธ์เพื่อการพัฒนาอย่าง ยั่งยืนของทะเลแห่งเอเชียตะวันออกเข้าสู่การปฏิบัติ สำหรับผลการประชุมระดับรัฐมนตรีและการประชุมระหว่าง ประเทศว่าด้วยการพัฒนาอย่างยั่งยืนของทะเลแห่งเอเชียตะวันออกซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 8-12 ธันวาคม 2546 ณ กรุงปุตราจายา ประเทศมาเลเซีย โดยมีผู้เข้าร่วมการประชุมที่มาจากประเทศที่มีส่วนเกี่ยวข้อง จำนวน 28 ประเทศ องค์กรระหว่างประเทศ และระดับภูมิภาคทั้งที่อยู่ภายใต้สหประชาชาติและมิใช่ องค์กรจากภาคเอกชน และสถาบันการเงินต่าง ๆ จำนวน 24 องค์กร ที่ประชุมได้ให้ความเห็นชอบแผนกลยุทธ์เพื่อการพัฒนาอย่างยั่ง ยืนของทะเลแห่งเอเชียตะวันออก ซึ่งให้ความสำคัญกับกิจกรรมด้านการขนส่งทางทะเล การรักษาความหลาก หลายทางชีวภาพ ปัญหามลพิษทางทะเลที่มาจากแผ่นดิน ทรัพยากรประมงและการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำชายฝั่ง โดยที่ประชุมได้พิจารณาถึงความสำคัญของการร่วมมือทั้งในระดับท้องถิ่น ระดับประเทศ และระดับภูมิภาค เพื่อ แก้ไขปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมที่ทุก ๆ ประเทศกำลังประสบอยู่ นอกจากนี้ ที่ประชุมได้รับข้อเสนอแนะจากที่ ประชุมระหว่างประเทศเพื่อการแก้ไขปัญหาด้านการขนส่งทางทะเล ด้านมลพิษทางทะเลที่เกิดจากกิจกรรมบน แผ่นดิน ด้านทรัพยากรทางการประมง และการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำชายฝั่ง ด้านความหลากหลายทางชีวภาพ และด้านความร่วมมือของผู้เกี่ยวข้องและมีส่วนได้-เสีย รวมทั้งได้พิจารณาและร่วมลงนามในร่างปฏิญญาปุตรา จายา ฯ โดยหัวหน้าคณะผู้แทนในการประชุมระดับรัฐมนตรี ฯ ของแต่ละประเทศ ซึ่งการลงนามดังกล่าวเป็น การยอมรับแผนกลยุทธ์เพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืนของทะเลแห่งเอเชียตะวันออก และเป็นการแสดงเจตนารมณ์ ที่จะนำแผนกลยุทธ์ดังกล่าวไปประยุกต์ใช้ โดยไม่ถือว่าเป็นข้อผูกพันทางกฎหมาย |
|||||||||||||||||||||
2811 | กระทู้ถามที่ 1085 ร. เรื่อง การสนับสนุนและพัฒนาให้วัดป่าฟ้าระงึมเป็นสถานที่ท่องเที่ยว | สผ | 20/01/2547 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอคำตอบกระทู้ถามที่ 1085 ร.
เรื่อง การสนับสนุนและพัฒนาให้วัดป่าฟ้าระงึมเป็นสถานที่ท่องเที่ยว ของนายเปรมศักดิ์ เพียยุระ สมาชิกสภา ผู้แทนราษฎรจังหวัดขอนแก่น และให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป โดยสาระสำคัญของคำตอบสรุปได้ ว่า การติดตั้งไฟฟ้าส่องสว่างในเส้นทางสัญจรเข้าวัดป่าฟ้าระงึม อำเภอบ้านไผ่ จังหวัดขอนแก่น การไฟฟ้าส่วน ภูมิภาค ได้ดำเนินการติดตั้งโคมไฟฟ้าสาธารณะตามเส้นทางเข้าวัดป่าฟ้าระงึม ในช่วงที่ผ่านหมู่บ้านหัวหนอง อำเภอบ้านไผ่แล้ว รวมระยะทางประมาณ 1,800 เมตร ส่วนการติดตั้งโคมไฟฟ้าสาธารณะตามเส้นทางส่วนที่ เหลือ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคอำเภอบ้านไผ่ ได้สำรวจขยายเขตไฟฟ้าสาธารณะเพิ่มเติมแล้ว ปรากฏว่าต้องใช้ งบประมาณดำเนินการประมาณ 122,781.43 บาท ซึ่งจังหวัดขอนแก่นจะได้ประสานหน่วยงานราชการ และ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อทำการพิจารณาความเหมาะสมในการจัดสรรงบประมาณสนับสนุนโครงการ ดังกล่าวต่อไป สำหรับการขยายขอบเขตบริการน้ำประปาเข้าไปยังวัดป่าฟ้าระงึม องค์การบริหารส่วนตำบล หัวหนอง อำเภอบ้านไผ่ ได้ดำเนินการประสานกับสำนักงานประปาบ้านไผ่ สำนักงานประปาเขต 6 ขอนแก่น เพื่อดำเนินการสำรวจออกแบบและประมาณราคาค่าใช้จ่ายให้องค์การบริหารส่วนตำบลหัวหนองแล้วเป็นเงิน งบประมาณค่าก่อสร้างทั้งสิ้น 458,486 บาท ขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาความเป็นไปได้ในการจัดสรรงบ ประมาณขององค์การบริหารส่วนตำบลหัวหนองเพื่อดำเนินโครงการดังกล่าว ในส่วนของการประปาส่วนภูมิ ภาคจะดำเนินการสำรวจรายละเอียดโครงการขยายเขตจำหน่ายน้ำไปยังพื้นที่ป่าฟ้าระงึม บ้านหัวหนอง หมู่ 1 ตำบลหัวหนอง อำเภอบ้านไผ่ เพื่อขอเสนองบประมาณอุดหนุนด้วยอีกทางหนึ่ง ส่วนการติดตั้งป้ายและ สัญลักษณ์บอกทางเพื่ออำนวยความสะดวกให้นักท่องเที่ยวที่จะเดินทางเข้าสู่แหล่งท่องเที่ยว รัฐบาลสนับสนุน ให้หน่วยงานที่ดูแลรับผิดชอบเส้นทาง ได้แก่ กระทรวงคมนาคม และกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เป็นผู้ ดำเนินการติดตั้งป้ายดังกล่าวต่อไป |
|||||||||||||||||||||
2812 | ข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติสภาตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบล (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ของสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา | สว | 13/01/2547 | ||||||||||||||||||
รับทราบตามที่สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรและสำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาเสนอ
ข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติสภาตำบลและองค์การบริหารส่วน ตำบล(ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ของสภาผู้แทนราษฎร และวุฒิสภา โดยของคณะกรรมาธิการวิสามัญ ฯ สภาผู้แทน ราษฎรมีข้อสังเกตว่า ในการกำหนดให้สภาตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบลมีสมาชิก ซึ่งมาจากการเลือก ตั้งของราษฎรหมู่บ้านละสองคน ควรกำหนดให้สอดคล้องกับสภาพความเป็นจริงของจำนวนราษฎรในแต่ละ หมู่บ้านซึ่งมีจำนวนมากน้อยแตกต่างกัน และให้มีการแก้ไขพระราชบัญญัติสภาตำบลและองค์การบริหารส่วน ตำบล ฯ ในโอกาสต่อไป โดยให้หมู่บ้านที่มีขนาดเล็กมีสมาชิกได้หนึ่งคน ส่วนการวินิจฉัยว่า สมาชิกหรือนายก องค์การบริหารส่วนตำบลมีส่วนได้เสียในสัญญาหรือกิจการที่กระทำกับสภาตำบล หรือองค์การบริหารส่วน ตำบล ควรที่กระทรวงมหาดไทย ในฐานะผู้กำกับดูแลองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จะได้ดำเนินการกำหนดหลัก เกณฑ์หรือรายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องนี้ เพื่อเป็นแนวทางในการพิจารณาวินิจฉัยให้เกิดความชัดเจน และเพื่อเป็น มาตรการป้องกันการกลั่นแกล้งกันต่อไปด้วย และให้มีการแก้ไขปรับปรุงพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิก สภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. 2545 และกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง ให้เกิดความชัดเจนที่จะกำหนดเวลา ให้สามารถประชุมสภาองค์การบริหารส่วนตำบลได้ อันจะมีผลให้การบริหารกิจการขององค์การบริหารส่วน ตำบลเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ สมควรที่กระทรวงมหาดไทยจะได้ดำเนินการศึกษาในเรื่องการ บริหารงานบุคคลส่วนท้องถิ่นอย่างจริงจัง เพื่อนำไปสู่การปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยการบริหารงานบุคคลส่วน ท้องถิ่นที่จะได้แก้ไขประเด็นปัญหาต่าง ๆ โดยอาจกำหนดให้มีหน่วยงานกลางเข้าทำหน้าที่พิจารณาการโยก ย้ายหมุนเวียนข้าราชการหรือพนักงานส่วนท้องถิ่น หรือมีผู้ทรงคุณวุฒิหรือบุคคลภายนอก ร่วมเป็นคณะกรรม การสอบสวนความผิดของผู้บริหารท้องถิ่น หรือข้าราชการ หรือพนักงานส่วนท้องถิ่น ซึ่งจะทำให้เกิดความเป็น ธรรมแก่ทุกฝ่าย สำหรับคณะกรรมาธิการวิสามัญ ฯ วุฒิสภา มีข้อสังเกตว่า กระทรวงมหาดไทยควรเสนอขอแก้ ไขพระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่ พระพุทธศักราช 2457 เพื่อกำหนดอำนาจหน้าที่ของกำนัน ผู้ใหญ่ บ้าน ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน แพทย์ประจำตำบล และสารวัตรกำนัน ให้ชัดเจนมิให้ซ้ำซ้อนกับอำนาจหน้าที่ขององค์ การบริหารส่วนตำบล และควรจะได้มีการทำความเข้าใจ รวมทั้งกำหนดระเบียบหรือประกาศในส่วนที่เกี่ยว ข้องกับอำนาจหน้าที่ในการอำนวยการจัดทำแผนพัฒนาตำบล และการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีของ นายกองค์การบริหารส่วนตำบลให้ชัดเจน โดยให้คำนึงถึงการมีส่วนร่วมของกรรมการหมู่บ้านและประชาชน ในท้องถิ่นด้วย ทั้งนี้ มอบให้กระทรวงมหาดไทยและสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง รับไปพิจารณาดำเนิน การ แล้วแจ้งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีทราบ เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป |
|||||||||||||||||||||
2813 | ข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณา ร่างพระราชบัญญัติสภาตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบล (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ของสภาผู้แทนราษฎร | สผ | 13/01/2547 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรเสนอข้อสังเกตของคณะกรรมา
ธิการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติสภาตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบล (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ของสภาผู้แทน ราษฎร โดยของคณะกรรมาธิการวิสามัญ ฯ สภาผู้แทนราษฎร มีข้อสังเกตว่า การกำหนดให้สภาตำบลและองค์ การบริหารส่วนตำบลมีสมาชิกซึ่งมาจากการเลือกตั้งของราษฎรหมู่บ้านละสองคน ควรกำหนดให้สอดคล้องกับ สภาพความเป็นจริงของจำนวนราษฎรในแต่ละหมู่บ้านซึ่งมีจำนวนมากน้อยแตกต่างกัน และเห็นควรให้มีการแก้ ไขพระราชบัญญัติสภาตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบลดังกล่าวในโอกาสต่อไป โดยให้หมู่บ้านที่มีขนาดเล็ก มีสมาชิกได้หนึ่งคน ส่วนการวินิจฉัยว่าสมาชิกหรือนายกองค์การบริหารส่วนตำบลมีส่วนได้เสียในสัญญาหรือกิจ การที่กระทำกับสภาตำบลหรือองค์การบริหารส่วนตำบล สมควรที่กระทรวงมหาดไทยในฐานะผู้กำกับดูแลองค์ กรปกครองส่วนท้องถิ่นจะได้ดำเนินการกำหนดหลักเกณฑ์ หรือรายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องนี้ เพื่อเป็นแนวทางใน การพิจารณาวินิจฉัยให้เกิดความชัดเจน และเพื่อเป็นมาตรการป้องกันการกลั่นแกล้งกันต่อไปด้วย และให้มีการ แก้ไขปรับปรุงพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. 2545 และกฎหมาย อื่นที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้เกิดความชัดเจนที่จะกำหนดเวลาให้สามารถประชุมสภาองค์การบริหารส่วนท้องตำบลได้ อันจะมีผลให้การบริหารกิจการขององค์กรบริหารส่วนตำบลเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ สมควรที่ กระทรวงมหาดไทยจะได้ดำเนินการศึกษาในเรื่องการบริหารงานบุคคลส่วนท้องถิ่นอย่างจริงจัง เพื่อนำไปสู่การ ปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยการบริหารงานบุคคลส่วนท้องถิ่นที่จะได้แก้ไขประเด็นปัญหาต่าง ๆ โดยอาจกำหนด ให้มีหน่วยงานกลางเข้าทำหน้าที่พิจารณาการโยกย้ายหมุนเวียนข้าราชการหรือพนักงานส่วนท้องถิ่น หรือมีผู้ ทรงคุณวุฒิ หรือบุคคลภายนอกร่วมเป็นคณะกรรมการสอบสวนความผิดของผู้บริหารท้องถิ่น หรือข้าราชการ หรือพนักงานส่วนท้องถิ่น ซึ่งจะทำให้เกิดความเป็นธรรมแก่ทุกฝ่าย ทั้งนี้ มอบให้กระทรวงมหาดไทยและสำนัก งานคณะกรรมการการเลือกตั้ง รับไปพิจารณาดำเนินการ แล้วแจ้งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีทราบ เพื่อ นำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป |
|||||||||||||||||||||
2814 | ข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติเทศบาล (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | สว | 13/01/2547 | ||||||||||||||||||
รับทราบตามที่สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาเสนอข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณา
ร่างพระราชบัญญัติเทศบาล (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ของวุฒิสภา โดยคณะกรรมาธิการวิสามัญ ฯ ได้ตั้งข้อสังเกต เกี่ยวกับร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้ในส่วนของมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติ ฯ ระบุว่า เขตเทศบาลตำบลใด ที่ยังคงมีกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน แพทย์ประจำตำบล และสารวัตรกำนัน ให้ยังคงมีอยู่ต่อไปจน กว่าจะมีประกาศให้ผู้ดำรงตำแหน่งดังกล่าวพ้นจากตำแหน่ง ดังนั้น ควรที่กระทรวงมหาดไทยจะได้มีการ พิจารณาแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่ พ.ศ. 2457 ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับอำนาจ หน้าที่ของกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน แพทย์ประจำตำบล และสารวัตรกำนันในเขตเทศบาลตำบลให้ ชัดเจนยิ่งขึ้น เมื่อร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้มีผลใช้บังคับเป็นกฎหมายแล้ว นอกจากนี้ การที่พระราชบัญญัติ นี้ได้กำหนดจำนวนสมาชิกสภาเทศบาลตามชื่อของเทศบาลตำบล เทศบาลเมือง และเทศบาลนคร ไว้ชัดเจน และแน่นอนนั้น ซึ่งในความเป็นจริงแล้วเทศบาลตำบลบางแห่งมีราษฎรจำนวนมากกว่าราษฎรในเขตเทศบาล เมืองอีกหลายแห่ง การกำหนดจำนวนสมาชิกสภาเทศบาลตามชื่อเทศบาลตำบล เทศบาลเมือง หรือเทศ บาลนครดังกล่าว จึงไม่สอดคล้องกับสภาพข้อเท็จจริงและยังมีปัญหาในการกำหนดเขตเลือกตั้งตามกฎหมาย ว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นและผู้บริหารท้องถิ่น ดังนั้น จึงควรที่กระทรวงมหาดไทยจะได้มีการ พิจารณาแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัตินี้ให้สอดคล้องกับสภาพข้อเท็จจริงด้วย ทั้งนี้ มอบให้กระทรวงมหาด ไทย และสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง รับข้อสังเกตดังกล่าวไปพิจารณาดำเนินการ แล้วแจ้งให้สำนัก เลขาธิการคณะรัฐมนตรีทราบ เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป |
|||||||||||||||||||||
2815 | สรุปผลการดำเนินงานขององค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (องค์การมหาชน) | อพท | 13/01/2547 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) รายงานสรุปผลการ ดำเนินงานขององค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (อพท.) ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม จนถึงวันที่ 30 พฤศจิกายน 2546 อพท. ได้ดำเนินการจัดเตรียมการนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อประกาศพื้นที่ พิเศษแห่งแรก คือ หมู่เกาะช้างและพื้นที่เชื่อมโยง จังหวัดตราด โดยในเบื้องต้นได้มีการกำหนดเขตพื้นที่ที่จะเป็น พื้นที่พิเศษดังนี้ (1) เตรียมแผนการดำเนินงานเชิงอนุรักษ์ โดยให้ประชาชนในท้องถิ่นได้รับรู้ถึงผลที่จะเกิดขึ้น และการมีส่วนร่วมในการดำเนินงาน (2) เริ่มต้นกระบวนการแก้ไขปัญหาการบุกรุกที่ดินของรัฐ (3) ร่วมกับ อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะช้าง ในการเตรียมแผนอนุรักษ์และฟื้นฟูแหล่งทรัพยากรธรรมชาติทั้งทางบกและทางทะเล และขยายเขตอุทยานแห่งชาติให้ครอบคลุมทั้งหมู่เกาะช้างทั้ง 52 เกาะ (4) ประสานงานกับกรมประมง กรมอุทยาน แห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช เพื่อให้เกิดการพัฒนาพื้นที่พิเศษหมู่เกาะช้างและพื้นที่เชื่อมโยงอย่างเป็นระบบและ มีความยั่งยืน โดยเฉพาะส่งเสริมและสนับสนุนการดำรงชีพที่เรียกว่า วิถีชีวิตของชุมชนในพื้นที่ และ (5) ประสาน งานกับสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และกรมโยธาธิการและผังเมือง ในการ จัดทำแผนแม่บทการพัฒนาพื้นที่พิเศษหมู่เกาะช้างและพื้นที่เชื่อมโยง เพื่อเป็นกรอบแผนผังการพัฒนา ประกอบ ด้วยการกำหนดเขตการใช้ประโยชน์ที่ดิน และการพัฒนาโครงข่ายโครงสร้างพื้นฐาน เช่น การคมนาคมขนส่ง การจำกัดขยะและน้ำเสีย เป็นต้น นอกจากนี้ อพท. ร่วมกับสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี แห่งชาติ (สวทช. หรือ NECTEC) จัดตั้งศูนย์ข้อมูลการท่องเที่ยวและแผนบริการข้อมูลข่าวสาร โดยจัดศูนย์บริการสารสน เทศการท่องเที่ยวเกาะช้าง จากชุมชนที่ได้รับการคัดเลือก 4 ชุมชน ได้แก่ ชุมชนคลองสน ชุมชนคลองพร้าว ชุมชนบางเบ้า และชุมชนสลักเพชร รวมทั้งได้จัดทำเว็บไซต์ของศูนย์บริการสารสนเทศการท่องเที่ยวหมู่เกาะช้าง และพื้นที่เชื่อมโยง www.kohghang.or.th เพื่อให้ข้อมูลในเรื่องต่าง ๆ ได้แก่ ข้อมูลท่องเที่ยวทั่วไปเกี่ยวกับเกาะ ช้าง ข่าวประชาสัมพันธ์เกาะช้าง แผนที่หมู่เกาะช้างและพื้นที่เชื่อมโยง โรงแรมและที่พัก กิจกรรมท่องเที่ยว สมุดภาพ โครงการพัฒนาหมู่เกาะช้าง ข้อมูลทางโทรศัพท์มือถือ การบริหารภาครัฐทางอิเล็กทรอนิกส์ ข้อมูล สถิติที่น่าสนใจ พยากรณ์อากาศ เว็บไซต์ที่เกี่ยวข้อง รวมถึงให้บริการอื่นประกอบ อาทิ การจองที่พัก เป็นต้น
|
|||||||||||||||||||||
2816 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (การปฏิรูปการศึกษาตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ พุทธศักราช 2540) | สสป | 13/01/2547 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ
ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับการปฏิรูปการศึกษาตามเจตนา รมณ์ของรัฐธรรมนูญ พุทธศักราช 2540 โดยผลการปฏิรูปการศึกษาที่ไม่เป็นไปตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ ส่วนใหญ่ยังขาดประสิทธิภาพทำให้มีความล่าช้ากว่าแผนที่ตั้งไว้ค่อนข้างมากโดยเฉพาะการออกกฎหมายและการ ปรับโครงสร้างของระบบการศึกษา ส่งผลทำให้การดำเนินการด้านอื่น ๆ ไม่คืบหน้า สภาที่ปรึกษา ฯ จึงมีข้อ เสนอแนะเกี่ยวกับกระบวนผลักดันการปฏิรูปการศึกษา ข้อเสนอเกี่ยวกับประเด็นเฉพาะในการปฏิรูปการศึกษา การปฏิรูปการพัฒนาวิชาชีพครูและบุคลากรทางการศึกษา การปฏิรูปการเรียนรู้ และการปฏิรูปทรัพยากรและ การลงทุนทางการศึกษา รวมทั้งรับทราบความเห็นและผลการดำเนินการของกระทรวงศึกษาธิการที่เห็นด้วย ในหลักการโดยรวมทั้งในส่วนของข้อเสนอเกี่ยวกับกระบวนการผลักดันการปฏิรูปการศึกษาและข้อเสนอเกี่ยวกับ ประเด็นเฉพาะในการปฏิรูปการศึกษา ทั้งนี้ กระทรวงศึกษาธิการมีข้อสังเกต ดังนี้ ข้อเสนอให้มีการจัดตั้งสภา การศึกษาภาคประชาชนซึ่งโดยหลักการแล้วพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ ฯ เน้นให้สังคมทุกส่วนมีส่วนร่วม ทางการศึกษาอยู่แล้ว โดยมีกลไกในรูปองค์คณะบุคคลในองค์กรต่าง ๆ เพื่อเปิดโอกาสได้เข้ามามีส่วนร่วมแสดง ความคิดเห็นและให้ข้อเสนอ ข้อเสนอที่ให้มีหน่วยงานรับผิดชอบการศึกษาตลอดชีวิต ตามโครงการปัจจุบันของ กระทรวงศึกษาธิการ มีสำนักงานบริหารงานการศึกษานอกโรงเรียน ซึ่งรับผิดชอบเรื่องนี้อยู่แล้ว ข้อเสนอให้ เพิ่มความรับผิดชอบการจัดการศึกษาแก่ท้องถิ่น ไม่ควรมีการกำหนดลำดับขั้นตอนและระยะเวลาตายตัว ควรให้ มีความยืดหยุ่นตามศักยภาพของแต่ละหน่วยงาน ข้อเสนอให้มีการปฏิรูปการพัฒนาวิชาชีพครูและบุคลากรทาง การศึกษายังขาดในส่วนสำคัญหลายส่วนอาทิ การปฏิรูปการสอนของครูที่ต้องมุ่งเน้นให้เด็กคิดเป็นทำเป็น เกิด การเรียนรู้ ใฝ่รู้ โดยเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ การจัดทำแผนพัฒนาครูและบุคลากรทางการศึกษา การยกย่องครูดี ซึ่งกำหนดไว้ในยุทธศาสตร์การปฏิรูปการผลิตและพัฒนาครูที่คณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบแล้ว ข้อเสนอที่ให้ ตั้งกองทุนประชาสังคมเพื่อการศึกษาในกลุ่มคนพิเศษ ตามพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ ฯ มาตรา 60 (3) บัญญัติให้รัฐจัดสรรงบประมาณและทรัพยากรทางการศึกษาอื่นเป็นพิเศษ ในการจัดการศึกษาสำหรับผู้เรียนที่ มีความต้องการพิเศษ ซึ่งครอบคลุมกลุ่มบุคคลที่ด้อยโอกาส พิการ จึงเห็นควรเร่งรัดให้มีการดำเนินงานให้ปรับ ไปตามกฎหมาย ซึ่งจะสามารถดำเนินการได้ก็ไม่จำเป็นต้องจัดตั้งกองทุนดังกล่าว และข้อเสนอให้มีการอุดหนุน การจัดหาสื่ออิเล็กทรอนิกส์สำหรับการเรียนการสอน ประเด็นสำคัญในเรื่องนี้ น่าจะอยู่ที่การพัฒนาทักษะของ ครูผู้สอนในการใช้สื่ออิเล็กทรอนิกส์เพื่อกระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้รวมทั้งการสนับสนุนการสร้างและผลิต software ที่มีคุณภาพและได้มาตรฐานเพื่อใช้ในการเรียนการสอนมากว่า ในการนี้ เห็นด้วยในหลักการกับข้อ เสนอที่ให้ผู้เรียนเลือกเรียนบางวิชาจากสถาบันแหล่งเรียนรู้ภายนอกสถานศึกษา และสามารถเทียบโอนหน่วย กิตได้แต่ต้องเป็นไปตามกฎ ระเบียบ หลักเกณฑ์เกี่ยวกับการเทียบโอนที่กำหนดไว้ และให้กระทรวงศึกษาธิการ รับความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษา ฯ ไปประกอบการพิจารณาดำเนินการปฏิรูปการศึกษาต่อไป ด้วย |
|||||||||||||||||||||
2817 | การรายงานความคืบหน้าการดำเนินงานตามข้อตกลงอาเซียนเรื่องมลพิษจากหมอกควันข้ามแดน และการดำเนินงานตามแผนแม่บทแห่งชาติว่าด้วยการควบคุมการเผาในที่โล่ง | ทส | 13/01/2547 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการต่างประเทศรายงานความคืบหน้าการดำเนินงานตาม
ข้อตกลงอาเซียนเรื่องมลพิษจากหมอกควันข้ามแดนและการดำเนินงานตามแผนแม่บทแห่งชาติว่าด้วยการควบ คุมการเผาในที่โล่ง โดยผลการดำเนินงานตามข้อตกลงอาเซียนเรื่องมลพิษจากหมอกควันข้ามแดน กระทรวง การต่างประเทศได้ดำเนินการจัดทำสัตยาบันสารต่อข้อตกลงดังกล่าว และได้ยื่นต้นฉบับสัตยาบันสารต่อเลขา ธิการอาเซียนในฐานะผู้เก็บรักษาความตกลง ฯ ส่งผลให้ข้อตกลง ฯ มีผลบังคับใช้กับประเทศสมาชิกอาเซียน รวม 6 ประเทศ ได้แก่ บรูไน มาเลเซีย พม่า สิงคโปร์ เวียดนาม และไทย ตั้งแต่วันที่ 25 พฤศจิกายน 2546 ในการนี้ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้แต่งตั้งหน่วยงานภายในประเทศ เพื่อดำเนินการตาม ข้อตกลง ฯ ดังนี้ กรมควบคุมมลพิษ ทำหน้าที่เป็นหน่วยงานกลางประสานการดำเนินการ (Focal Point) กรม อุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ทำหน้าที่เป็นศูนย์ติดตามตรวจสอบแห่งชาติ (National Monitoring Cen ter) และมอบหมายให้ กรมควบคุมมลพิษ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า ฯ กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น กรมการปกครอง กรมส่งเสริมการเกษตร กรมทางหลวง และกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ทำหน้า ที่หน่วยงานที่มีอำนาจ (Competent Authorities) สำหรับการพิจารณาแต่งตั้ง The ASEAN Coordinating Cen ter for Transboundary Haze Pollution Control (ACC) นั้น ในส่วนของท่าทีของประเทศไทยในการให้การสนับ สนุนประเทศใด หรือการเสนอตัวเป็นที่ตั้งของ ACC กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติ ฯ โดยกรมควบคุมมลพิษ อยู่ระหว่างการนำเสนอความเห็นต่อคณะอนุกรรมการกำกับแผนงานและมาตรการในการรองรับนโยบายการ ห้ามเผาในที่โล่ง ซึ่งจะจัดการประชุมในวันที่ 28 มกราคม 2547 หากมีผลการพิจารณาเป็นอย่างไรจะรายงาน ให้ทราบต่อไป ส่วนผลการดำเนินงานตามแผนแม่บทแห่งชาติว่าด้วยการควบคุมการเผาในที่โล่ง กระทรวง ทรัพยากรธรรมชาติ ฯ โดยกรมควบคุมมลพิษ ได้จัดทำ (ร่าง) แผนปฏิบัติการตามแผนแม่บทแห่งชาติว่าด้วย การควบคุมการเผาในที่โล่ง (พ.ศ. 2547 - พ.ศ. 2551) และได้นำเสนอต่อคณะอนุกรรมการกำกับแผนงาน และมาตรการในการรองรับนโยบายการห้ามเผาในที่โล่ง ซึ่งที่ประชุมมีมติเห็นชอบในหลักการและมอบหมาย ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องปรับปรุงแก้ไขให้มีความสอดคล้องเชื่อมโยงกันเป็นแผนบูรณาการ ขณะนี้อยู่ระหว่าง การนำเวียน (ร่าง) แผนปฏิบัติการ ฯ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาเพื่อนำเสนอต่อคณะอนุกรรมการ ฯ เพื่อขอความเห็นชอบและนำไปใช้ปฏิบัติต่อไป นอกจากนี้ ได้กำหนดแผนการดำเนินมาตรการแก้ไขปัญหามล พิษหมอกควันจากการเผาเศษวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร โดยแผนดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อนำแผนแม่บท แห่งชาติว่าด้วยการควบคุมการเผาในที่โล่งไปสู่การปฏิบัติในการลดมลพิษหมอกควันจากการเผาพื้นที่เกษตร กรรม
|
|||||||||||||||||||||
2818 | ร่างพระราชกฤษฎีกาเงินช่วยเหลือซึ่งออกจากราชการตามมาตรการพัฒนาและบริหารกำลังคนเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลง พ.ศ. .... | กค | 13/01/2547 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการตามที่กระทรวงการคลังเสนอร่างพระราชกฤษฎีกาเงินช่วยเหลือผู้ซึ่ง
ออกจากราชการตามมาตรการพัฒนาและบริหารกำลังคนเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลง พ.ศ. .... และให้ส่งสำนัก งานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน แล้วดำเนินการต่อไปได้ โดยร่างพระราชกฤษฎีกา ฯ มีสาระสำคัญ คือ การกำหนดให้ข้าราชการที่ออกจากราชการตามมาตรการพัฒนาและบริหารกำลังคนเพื่อรอง รับการเปลี่ยนแปลง มีสิทธิได้รับเงินช่วยเหลือจากทางราชการเพื่อเป็นสิ่งจูงใจในการออกจากราชการ สำหรับ งบประมาณที่จะต้องใช้จ่ายเพิ่มขึ้นจำนวนประมาณ 350 ล้านบาท จากวงเงินที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติหลักการไว้ เมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2546 เนื่องจากได้นำเงินเลื่อนขั้นเมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2547 มารวมเป็นฐาน เงินเดือนเพื่อคำนวณสิทธิประโยชน์จูงใจให้ใช้จากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2547 ของส่วน ราชการที่มีข้าราชการเข้าร่วมโครงการก่อน หากไม่เพียงพอให้ใช้จากเงินงบกลาง รายการเงินเลื่อนขั้น เลื่อนอัน ดับเงินเดือนและเงินปรับวุฒิข้าราชการ ส่วนงบประมาณเพื่อการจ่ายบำเหน็จดำรงชีพจำนวนประมาณ 8,000 ล้านบาท ให้ใช้จากเงินงบกลาง รายการเงินเบี้ยหวัด บำเหน็จ บำนาญ หากไม่เพียงพอให้ใช้จากเงินคงคลัง และให้สำนักงบประมาณรับข้อสังเกตของกระทรวงการคลังไปพิจารณาดำเนินการเกี่ยวกับงบประมาณที่ตั้งไว้ใน หมวดเงินอุดหนุนสำหรับการถ่ายโอนบุคลากรไปท้องถิ่น ที่จัดสรรให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ในกรณีข้า ราชการที่ยังไม่ได้ถ่ายโอนไปท้องถิ่นสมัครใจลาออก ตามมาตรการ 2 หากไม่มีผลกระทบกับสัดส่วนต่อรายได้ของ รัฐบาลที่จะต้องจัดสรรให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ตามที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติกำหนดแผนและขั้น ตอนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2542 ให้โอนเงินในส่วนดังกล่าวกลับคืนคลัง นอกจากนี้ เห็นชอบให้แก้ไขมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2546 เกี่ยวกับเป้าหมายรวมของจำนวน ข้าราชการผู้มีสิทธิเข้าสู่มาตรการ 1 และมาตรการ 2 เป็นจำนวนไม่เกินร้อยละ 10 ของข้าราชการที่มีสิทธิเข้า ร่วมมาตรการเพื่อให้ถูกต้องและเป็นไปตามที่สำนักงาน ก.พ. ได้นำเสนอต่อคณะรัฐมนตรี และให้สำนักงาน ก.พ. ดำเนินการควบคุมจำนวนข้าราชการที่จะเข้าสู่มาตรการ ฯ มาตรการที่ 1 และมาตรการที่ 2 ไม่ให้เกินจำนวน ร้อยละ 10 ของข้าราชการที่มีสิทธิเข้าร่วมมาตรการตามข้อสังเกตของกระทรวงการคลังด้วย |
|||||||||||||||||||||
2819 | โครงการเปลี่ยนขยะให้เป็นพลัง | พน | 13/01/2547 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงพลังงานเสนอโครงการเปลี่ยนขยะให้เป็นพลัง ซึ่งกระทรวง
พลังงานร่วมกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และองค์การบริหาร ส่วนท้องถิ่น ได้ดำเนินการจัดทำแนวทางการใช้ประโยชน์จากขยะมูลฝอยเพื่อนำมาใช้ในการผลิตพลังงาน เพื่อ ช่วยแก้ปัญหา และลดภาระการกำจัดขยะของเทศบาลและชุมชนต่าง ๆ ซึ่งจะดำเนินการในพื้นที่นำร่องใน 4 ภาคของประเทศ เช่น เทศบาลนครราชสีมา และบางเขตในกรุงเทพมหานคร โดยใช้รูปแบบต่าง ๆ ที่ได้มีการ ศึกษาเปรียบเทียบไว้แล้ว และจะให้ความสำคัญกับการมีส่วนร่วมของประชาชน และในส่วนของการไฟฟ้าฝ่าย ผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ก็พร้อมที่จะลงทุนในโครงการ ฯ สำหรับไฟฟ้าที่ผลิตได้จากโครงการ ฯ การรับ ซื้อไฟฟ้าจะเป็นไปตามกลไกตลาดซึ่งปัจจุบัน กฟผ. รับซื้ออยู่ที่ 1.70 บาท/MW และยังสามารถผลิตปุ๋ยอินทรีย์ เพื่อนำมาใช้ประโยชน์ทางการเกษตรได้ |
|||||||||||||||||||||
2820 | แนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับความเห็นและข้อเสนอแนะของผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภา (ขอให้ระงับการถมดินลงในหนองน้ำมณีบรรพตโดยด่วน) | ผร | 06/01/2547 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 7 (คกก.7) ซึ่ง
ได้พิจารณาตามข้อเสนอแนะของผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภาที่ให้ระงับการถมดินในหนองน้ำมณีบรรพต จังหวัด ตาก โดยด่วน โดย คกก 7. ได้มีมติให้นำเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบและมอบให้กระทรวงมหาดไทยและรอง นายกรัฐมนตรีที่ได้รับมอบหมายจากนายกรัฐมนตรีให้กำกับการปฏิบัติราชการในส่วนภูมิภาคในพื้นที่จังหวัดตาก รับไปดำเนินการ โดยมอบหมายให้กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นดูแลกำชับและระมัดระวังการบริหารจัดการ เรื่องที่เกี่ยวกับสาธารณประโยชน์ที่ประชาชนใช้ร่วมกัน โดยต้องรับฟังความคิดเห็นของประชาชน และพิจารณาผล กระทบต่อสิ่งแวดล้อมด้วย และเห็นชอบแนวทางปฏิบัติตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอเกี่ยวกับขั้นตอน การดำเนินการเรื่องที่ผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภาดังนี้ กรณีผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภาได้เสนอความเห็นและ ข้อเสนอแนะไปยังส่วนราชการใด ให้ส่วนราชการนั้นเร่งพิจารณา และรายงานผลการพิจารณาและผลการดำเนิน การให้ผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภาทราบโดยด่วน โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรี และกรณีผู้ตรวจการแผ่นดิน ของรัฐสภาได้เสนอความเห็นและข้อเสนอแนะไปยังนายกรัฐมนตรี โดยไม่ระบุหน่วยงานที่รับผิดชอบ และนายก รัฐมนตรีได้ส่งเรื่องดังกล่าว ให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีพิจารณา ให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีพิจารณา ตรวจสอบความเห็นและข้อเสนอแนะดังกล่าวว่า เป็นเรื่องอะไรเกี่ยวข้องกับส่วนราชการใด แล้วนำเสนอรองนายก รัฐมนตรีสั่งและปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรีซึ่งกำกับส่วนราชการนั้น เพื่อสั่งการให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง รับไปพิจารณาดำเนินการ และให้รายงานผลการพิจารณาให้ผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภาทราบต่อไป โดยไม่ ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรี และจากกรณีดังกล่าว ถ้าหากสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีพิจารณาแล้วเห็นว่า ความ เห็นและข้อเสนอแนะของผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภาเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับส่วนราชการหลายหน่วยงาน และ เป็นส่วนราชการที่อยู่ในกำกับของรองนายกรัฐมนตรีสั่งและปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรีหลายคน เห็นควร นำเสนอนายกรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาสั่งการให้ส่วนราชการดังกล่าวพิจารณาดำเนินการ โดยให้ส่วนราชการเหล่า นั้น ส่วนราชการใดส่วนราชการหนึ่งเป็นหน่วยงานกลางในการรวบรวมความเห็น เพื่อรายงานผลการพิจารณา ให้ผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภาทราบต่อไป โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรี ทั้งนี้ แจ้งเวียนให้หน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ และให้กระทรวงมหาดไทยแจ้งให้ราชการส่วนท้องถิ่นทราบและถือปฏิบัติต่อไป
|