ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 141 จากทั้งหมด 199 หน้า แสดงรายการที่ 2801 - 2820 จากข้อมูลทั้งหมด 3975 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
2801 | แผนยุทธศาสตร์กระทรวงวัฒนธรรม | วธ | 27/01/2547 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงวัฒนธรรมเสนอแผนยุทธศาสตร์กระทรวงวัฒนธรรม โดยมี
วัตถุประสงค์เพื่อเป็นกรอบและแนวทางในการดำเนินงานด้านศาสนา ศิลปะ และวัฒนธรรม ให้สอดคล้องและ สนองต่อภารกิจตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 ยุทธศาสตร์ชาติ และนโยบายของ รัฐบาล เพื่อบูรณาการมิติทางศาสนา ศิลปะ และวัฒนธรรมกับวิถีชีวิตของประชาชน เพื่อสร้างเครือข่ายและ ระดมทรัพยากรในการดำเนินงานด้านศาสนา ศิลปะ และวัฒนธรรม เพื่อเป็นเครื่องมือในการส่งเสริม ประสาน และบูรณาการการดำเนินงานด้านศาสนา ศิลปะ และวัฒนธรรมของหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน องค์กรปก ครองส่วนท้องถิ่น ชุมชน และประชาชน และเพื่อเสริมสร้างศักดิ์ศรี ความเสมอภาค ความสมานฉันท์ และสันติ สุขแก่คนทุกกลุ่มทั้งระดับครอบครัว ชุมชน ประเทศ และสังคมโลก โดยมียุทธศาสตร์การดำเนินงาน ดังนี้ ยุทธ ศาสตร์ที่ 1 : รักษา สืบทอด วัฒนธรรมของชาติและความหลากหลายของวัฒนธรรมท้องถิ่นให้คงอยู่อย่างมั่น คง ยุทธศาสตร์ที่ 2 : สร้างค่านิยม จิตสำนึก และภูมิปัญญาคนไทย ยุทธศาสตร์ที่ 3 : นำทุนวัฒนธรรมของ ประเทศมาสร้างคุณค่าทางสังคมและเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจ และยุทธศาสตร์ที่ 4 : การบริหารจัดการองค์ ความรู้ด้านศาสนา ศิลปะ และวัฒนธรรม |
|||||||||||||||||||||
2802 | โครงการแปลงสินทรัพย์เป็นทุน "โครงการ Sea Food Bank" | กษ | 24/01/2547 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอโครงการ Sea Food Bank
ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อจัดที่ทำกินให้แก่ประชาชนในการแก้ปัญหาความยากจนและสร้างฐานการผลิตอาหารทะเลทด แทนการจับจากธรรมชาติ และเป็นการสร้างระบบการผลิตอาหารให้มีความปลอดภัย ตามมาตรฐานสากลโดยไม่ มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และให้ดำเนินการต่อไปได้ สำหรับงบประมาณค่าใช้จ่ายให้เบิกจ่ายอย่างประหยัดเท่า ที่จำเป็น โดยให้ขอตกลงรายละเอียดกับสำนักงบประมาณ ทั้งนี้ ให้รับความเห็นของส่วนราชการและหน่วยงานที่ เกี่ยวข้องไปพิจารณาดำเนินการด้วย ดังนี้ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์กำหนดให้ชัดเจนว่า การดำเนินการตาม โครงการ ฯ นี้ เป็นการให้ "ใบอนุญาต" ใช้พื้นที่เพื่อการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำแก่ประชาชนเพื่อการแปลงเป็นทุน และ ต้องกำหนดหลักเกณฑ์ เงื่อนไขต่าง ๆ ที่ผู้ได้รับใบอนุญาตต้องปฏิบัติให้ครบถ้วน ชัดเจน เช่น ผู้ได้รับใบอนุญาตจะ นำไปจำหน่ายจ่ายโอนไม่ได้ เว้นแต่เป็นการตกทอดทางมรดก เป็นต้น หากผู้ได้รับใบอนุญาตไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไข ดังกล่าว ก็ให้ยึดใบอนุญาตคืนได้ ส่วนการพิจารณากำหนดพื้นที่เป้าหมาย และการพิจารณาจัดสรรพื้นที่เพื่อออก ใบอนุญาต ควรดำเนินการในรูปของคณะกรรมการซึ่งมีผู้แทนของส่วนราชการทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องร่วมเป็นกรรมการ เพื่อให้การดำเนินการเป็นไปอย่างรอบคอบ ถูกต้อง รวมทั้งให้กันพื้นที่ที่มีความหลากหลายทางชีวภาพ พื้นที่ที่ควร อนุรักษ์ ตลอดจนพื้นที่ที่จะต้องนำไปใช้เพื่อการอื่น ๆ เช่น การสร้างท่าเรือ สะพาน การท่องเที่ยว เป็นต้น ออกไป ก่อนด้วย ซึ่งการกำหนดพื้นที่ของโครงการนอกเหนือจากพื้นที่การอนุญาตเดิม ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและ สิ่งแวดล้อม (สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม) พิจารณาความเหมาะสมถูกต้องก่อน ด้วย โดยให้ชุมชนท้องถิ่นมีส่วนร่วมในการดำเนินโครงการนี้ด้วย สำหรับการนำระบบ Contract Farming มาใช้กับ ประชาชนกลุ่มเป้าหมายให้ถือเป็นทางเลือกหนึ่งที่ประชาชนจะเข้าร่วมดำเนินการหรือไม่ก็ได้ กับให้กระทรวงเกษตร และสหกรณ์เร่งดำเนินการเกี่ยวกับการจัดทำแผนที่ฐาน (Base Map) แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีโดยด่วน นอกจาก นี้ การดำเนินโครงการ ฯ นี้ให้องค์การสะพานปลา ทำหน้าที่บริหารจัดการโครงการ พร้อมทั้งให้ปรับปรุงประสิทธิ ภาพการบริหารจัดการขององค์การสะพานปลา เพื่อนำเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เมื่อมี ความพร้อมต่อไป |
|||||||||||||||||||||
2803 | การประชุมระดับรัฐมนตรีและการประชุมระหว่างประเทศว่าด้วยการพัฒนาอย่างยั่งยืนของทะเลแห่งเอเชียตะวันออก | คค | 20/01/2547 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ดังนี้ รับทราบผลการประชุมระดับรัฐมนตรีและการ
ประชุมระหว่างประเทศว่าด้วยการพัฒนาอย่างยั่งยืนของทะเลแห่งเอเชียตะวันออก ระหว่างวันที่ 8-12 ธันวาคม 2546 ณ กรุงปุตราจายา ประเทศมาเลเซีย และเห็นชอบมอบหมายให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่ง แวดล้อม พิจารณากำหนดผู้ทำหน้าที่ประสานงานโครงการ PEMSEA และนำแผนกลยุทธ์เพื่อการพัฒนาอย่าง ยั่งยืนของทะเลแห่งเอเชียตะวันออกเข้าสู่การปฏิบัติ สำหรับผลการประชุมระดับรัฐมนตรีและการประชุมระหว่าง ประเทศว่าด้วยการพัฒนาอย่างยั่งยืนของทะเลแห่งเอเชียตะวันออกซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 8-12 ธันวาคม 2546 ณ กรุงปุตราจายา ประเทศมาเลเซีย โดยมีผู้เข้าร่วมการประชุมที่มาจากประเทศที่มีส่วนเกี่ยวข้อง จำนวน 28 ประเทศ องค์กรระหว่างประเทศ และระดับภูมิภาคทั้งที่อยู่ภายใต้สหประชาชาติและมิใช่ องค์กรจากภาคเอกชน และสถาบันการเงินต่าง ๆ จำนวน 24 องค์กร ที่ประชุมได้ให้ความเห็นชอบแผนกลยุทธ์เพื่อการพัฒนาอย่างยั่ง ยืนของทะเลแห่งเอเชียตะวันออก ซึ่งให้ความสำคัญกับกิจกรรมด้านการขนส่งทางทะเล การรักษาความหลาก หลายทางชีวภาพ ปัญหามลพิษทางทะเลที่มาจากแผ่นดิน ทรัพยากรประมงและการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำชายฝั่ง โดยที่ประชุมได้พิจารณาถึงความสำคัญของการร่วมมือทั้งในระดับท้องถิ่น ระดับประเทศ และระดับภูมิภาค เพื่อ แก้ไขปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมที่ทุก ๆ ประเทศกำลังประสบอยู่ นอกจากนี้ ที่ประชุมได้รับข้อเสนอแนะจากที่ ประชุมระหว่างประเทศเพื่อการแก้ไขปัญหาด้านการขนส่งทางทะเล ด้านมลพิษทางทะเลที่เกิดจากกิจกรรมบน แผ่นดิน ด้านทรัพยากรทางการประมง และการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำชายฝั่ง ด้านความหลากหลายทางชีวภาพ และด้านความร่วมมือของผู้เกี่ยวข้องและมีส่วนได้-เสีย รวมทั้งได้พิจารณาและร่วมลงนามในร่างปฏิญญาปุตรา จายา ฯ โดยหัวหน้าคณะผู้แทนในการประชุมระดับรัฐมนตรี ฯ ของแต่ละประเทศ ซึ่งการลงนามดังกล่าวเป็น การยอมรับแผนกลยุทธ์เพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืนของทะเลแห่งเอเชียตะวันออก และเป็นการแสดงเจตนารมณ์ ที่จะนำแผนกลยุทธ์ดังกล่าวไปประยุกต์ใช้ โดยไม่ถือว่าเป็นข้อผูกพันทางกฎหมาย |
|||||||||||||||||||||
2804 | กระทู้ถามที่ 1085 ร. เรื่อง การสนับสนุนและพัฒนาให้วัดป่าฟ้าระงึมเป็นสถานที่ท่องเที่ยว | สผ | 20/01/2547 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอคำตอบกระทู้ถามที่ 1085 ร.
เรื่อง การสนับสนุนและพัฒนาให้วัดป่าฟ้าระงึมเป็นสถานที่ท่องเที่ยว ของนายเปรมศักดิ์ เพียยุระ สมาชิกสภา ผู้แทนราษฎรจังหวัดขอนแก่น และให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป โดยสาระสำคัญของคำตอบสรุปได้ ว่า การติดตั้งไฟฟ้าส่องสว่างในเส้นทางสัญจรเข้าวัดป่าฟ้าระงึม อำเภอบ้านไผ่ จังหวัดขอนแก่น การไฟฟ้าส่วน ภูมิภาค ได้ดำเนินการติดตั้งโคมไฟฟ้าสาธารณะตามเส้นทางเข้าวัดป่าฟ้าระงึม ในช่วงที่ผ่านหมู่บ้านหัวหนอง อำเภอบ้านไผ่แล้ว รวมระยะทางประมาณ 1,800 เมตร ส่วนการติดตั้งโคมไฟฟ้าสาธารณะตามเส้นทางส่วนที่ เหลือ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคอำเภอบ้านไผ่ ได้สำรวจขยายเขตไฟฟ้าสาธารณะเพิ่มเติมแล้ว ปรากฏว่าต้องใช้ งบประมาณดำเนินการประมาณ 122,781.43 บาท ซึ่งจังหวัดขอนแก่นจะได้ประสานหน่วยงานราชการ และ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อทำการพิจารณาความเหมาะสมในการจัดสรรงบประมาณสนับสนุนโครงการ ดังกล่าวต่อไป สำหรับการขยายขอบเขตบริการน้ำประปาเข้าไปยังวัดป่าฟ้าระงึม องค์การบริหารส่วนตำบล หัวหนอง อำเภอบ้านไผ่ ได้ดำเนินการประสานกับสำนักงานประปาบ้านไผ่ สำนักงานประปาเขต 6 ขอนแก่น เพื่อดำเนินการสำรวจออกแบบและประมาณราคาค่าใช้จ่ายให้องค์การบริหารส่วนตำบลหัวหนองแล้วเป็นเงิน งบประมาณค่าก่อสร้างทั้งสิ้น 458,486 บาท ขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาความเป็นไปได้ในการจัดสรรงบ ประมาณขององค์การบริหารส่วนตำบลหัวหนองเพื่อดำเนินโครงการดังกล่าว ในส่วนของการประปาส่วนภูมิ ภาคจะดำเนินการสำรวจรายละเอียดโครงการขยายเขตจำหน่ายน้ำไปยังพื้นที่ป่าฟ้าระงึม บ้านหัวหนอง หมู่ 1 ตำบลหัวหนอง อำเภอบ้านไผ่ เพื่อขอเสนองบประมาณอุดหนุนด้วยอีกทางหนึ่ง ส่วนการติดตั้งป้ายและ สัญลักษณ์บอกทางเพื่ออำนวยความสะดวกให้นักท่องเที่ยวที่จะเดินทางเข้าสู่แหล่งท่องเที่ยว รัฐบาลสนับสนุน ให้หน่วยงานที่ดูแลรับผิดชอบเส้นทาง ได้แก่ กระทรวงคมนาคม และกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เป็นผู้ ดำเนินการติดตั้งป้ายดังกล่าวต่อไป |
|||||||||||||||||||||
2805 | ข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติสภาตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบล (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ของสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา | สว | 13/01/2547 | ||||||||||||||||||
รับทราบตามที่สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรและสำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาเสนอ
ข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติสภาตำบลและองค์การบริหารส่วน ตำบล(ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ของสภาผู้แทนราษฎร และวุฒิสภา โดยของคณะกรรมาธิการวิสามัญ ฯ สภาผู้แทน ราษฎรมีข้อสังเกตว่า ในการกำหนดให้สภาตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบลมีสมาชิก ซึ่งมาจากการเลือก ตั้งของราษฎรหมู่บ้านละสองคน ควรกำหนดให้สอดคล้องกับสภาพความเป็นจริงของจำนวนราษฎรในแต่ละ หมู่บ้านซึ่งมีจำนวนมากน้อยแตกต่างกัน และให้มีการแก้ไขพระราชบัญญัติสภาตำบลและองค์การบริหารส่วน ตำบล ฯ ในโอกาสต่อไป โดยให้หมู่บ้านที่มีขนาดเล็กมีสมาชิกได้หนึ่งคน ส่วนการวินิจฉัยว่า สมาชิกหรือนายก องค์การบริหารส่วนตำบลมีส่วนได้เสียในสัญญาหรือกิจการที่กระทำกับสภาตำบล หรือองค์การบริหารส่วน ตำบล ควรที่กระทรวงมหาดไทย ในฐานะผู้กำกับดูแลองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จะได้ดำเนินการกำหนดหลัก เกณฑ์หรือรายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องนี้ เพื่อเป็นแนวทางในการพิจารณาวินิจฉัยให้เกิดความชัดเจน และเพื่อเป็น มาตรการป้องกันการกลั่นแกล้งกันต่อไปด้วย และให้มีการแก้ไขปรับปรุงพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิก สภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. 2545 และกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง ให้เกิดความชัดเจนที่จะกำหนดเวลา ให้สามารถประชุมสภาองค์การบริหารส่วนตำบลได้ อันจะมีผลให้การบริหารกิจการขององค์การบริหารส่วน ตำบลเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ สมควรที่กระทรวงมหาดไทยจะได้ดำเนินการศึกษาในเรื่องการ บริหารงานบุคคลส่วนท้องถิ่นอย่างจริงจัง เพื่อนำไปสู่การปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยการบริหารงานบุคคลส่วน ท้องถิ่นที่จะได้แก้ไขประเด็นปัญหาต่าง ๆ โดยอาจกำหนดให้มีหน่วยงานกลางเข้าทำหน้าที่พิจารณาการโยก ย้ายหมุนเวียนข้าราชการหรือพนักงานส่วนท้องถิ่น หรือมีผู้ทรงคุณวุฒิหรือบุคคลภายนอก ร่วมเป็นคณะกรรม การสอบสวนความผิดของผู้บริหารท้องถิ่น หรือข้าราชการ หรือพนักงานส่วนท้องถิ่น ซึ่งจะทำให้เกิดความเป็น ธรรมแก่ทุกฝ่าย สำหรับคณะกรรมาธิการวิสามัญ ฯ วุฒิสภา มีข้อสังเกตว่า กระทรวงมหาดไทยควรเสนอขอแก้ ไขพระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่ พระพุทธศักราช 2457 เพื่อกำหนดอำนาจหน้าที่ของกำนัน ผู้ใหญ่ บ้าน ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน แพทย์ประจำตำบล และสารวัตรกำนัน ให้ชัดเจนมิให้ซ้ำซ้อนกับอำนาจหน้าที่ขององค์ การบริหารส่วนตำบล และควรจะได้มีการทำความเข้าใจ รวมทั้งกำหนดระเบียบหรือประกาศในส่วนที่เกี่ยว ข้องกับอำนาจหน้าที่ในการอำนวยการจัดทำแผนพัฒนาตำบล และการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีของ นายกองค์การบริหารส่วนตำบลให้ชัดเจน โดยให้คำนึงถึงการมีส่วนร่วมของกรรมการหมู่บ้านและประชาชน ในท้องถิ่นด้วย ทั้งนี้ มอบให้กระทรวงมหาดไทยและสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง รับไปพิจารณาดำเนิน การ แล้วแจ้งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีทราบ เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป |
|||||||||||||||||||||
2806 | ข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณา ร่างพระราชบัญญัติสภาตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบล (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ของสภาผู้แทนราษฎร | สผ | 13/01/2547 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรเสนอข้อสังเกตของคณะกรรมา
ธิการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติสภาตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบล (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ของสภาผู้แทน ราษฎร โดยของคณะกรรมาธิการวิสามัญ ฯ สภาผู้แทนราษฎร มีข้อสังเกตว่า การกำหนดให้สภาตำบลและองค์ การบริหารส่วนตำบลมีสมาชิกซึ่งมาจากการเลือกตั้งของราษฎรหมู่บ้านละสองคน ควรกำหนดให้สอดคล้องกับ สภาพความเป็นจริงของจำนวนราษฎรในแต่ละหมู่บ้านซึ่งมีจำนวนมากน้อยแตกต่างกัน และเห็นควรให้มีการแก้ ไขพระราชบัญญัติสภาตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบลดังกล่าวในโอกาสต่อไป โดยให้หมู่บ้านที่มีขนาดเล็ก มีสมาชิกได้หนึ่งคน ส่วนการวินิจฉัยว่าสมาชิกหรือนายกองค์การบริหารส่วนตำบลมีส่วนได้เสียในสัญญาหรือกิจ การที่กระทำกับสภาตำบลหรือองค์การบริหารส่วนตำบล สมควรที่กระทรวงมหาดไทยในฐานะผู้กำกับดูแลองค์ กรปกครองส่วนท้องถิ่นจะได้ดำเนินการกำหนดหลักเกณฑ์ หรือรายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องนี้ เพื่อเป็นแนวทางใน การพิจารณาวินิจฉัยให้เกิดความชัดเจน และเพื่อเป็นมาตรการป้องกันการกลั่นแกล้งกันต่อไปด้วย และให้มีการ แก้ไขปรับปรุงพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. 2545 และกฎหมาย อื่นที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้เกิดความชัดเจนที่จะกำหนดเวลาให้สามารถประชุมสภาองค์การบริหารส่วนท้องตำบลได้ อันจะมีผลให้การบริหารกิจการขององค์กรบริหารส่วนตำบลเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ สมควรที่ กระทรวงมหาดไทยจะได้ดำเนินการศึกษาในเรื่องการบริหารงานบุคคลส่วนท้องถิ่นอย่างจริงจัง เพื่อนำไปสู่การ ปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยการบริหารงานบุคคลส่วนท้องถิ่นที่จะได้แก้ไขประเด็นปัญหาต่าง ๆ โดยอาจกำหนด ให้มีหน่วยงานกลางเข้าทำหน้าที่พิจารณาการโยกย้ายหมุนเวียนข้าราชการหรือพนักงานส่วนท้องถิ่น หรือมีผู้ ทรงคุณวุฒิ หรือบุคคลภายนอกร่วมเป็นคณะกรรมการสอบสวนความผิดของผู้บริหารท้องถิ่น หรือข้าราชการ หรือพนักงานส่วนท้องถิ่น ซึ่งจะทำให้เกิดความเป็นธรรมแก่ทุกฝ่าย ทั้งนี้ มอบให้กระทรวงมหาดไทยและสำนัก งานคณะกรรมการการเลือกตั้ง รับไปพิจารณาดำเนินการ แล้วแจ้งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีทราบ เพื่อ นำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป |
|||||||||||||||||||||
2807 | ข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติเทศบาล (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | สว | 13/01/2547 | ||||||||||||||||||
รับทราบตามที่สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาเสนอข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณา
ร่างพระราชบัญญัติเทศบาล (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ของวุฒิสภา โดยคณะกรรมาธิการวิสามัญ ฯ ได้ตั้งข้อสังเกต เกี่ยวกับร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้ในส่วนของมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติ ฯ ระบุว่า เขตเทศบาลตำบลใด ที่ยังคงมีกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน แพทย์ประจำตำบล และสารวัตรกำนัน ให้ยังคงมีอยู่ต่อไปจน กว่าจะมีประกาศให้ผู้ดำรงตำแหน่งดังกล่าวพ้นจากตำแหน่ง ดังนั้น ควรที่กระทรวงมหาดไทยจะได้มีการ พิจารณาแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่ พ.ศ. 2457 ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับอำนาจ หน้าที่ของกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน แพทย์ประจำตำบล และสารวัตรกำนันในเขตเทศบาลตำบลให้ ชัดเจนยิ่งขึ้น เมื่อร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้มีผลใช้บังคับเป็นกฎหมายแล้ว นอกจากนี้ การที่พระราชบัญญัติ นี้ได้กำหนดจำนวนสมาชิกสภาเทศบาลตามชื่อของเทศบาลตำบล เทศบาลเมือง และเทศบาลนคร ไว้ชัดเจน และแน่นอนนั้น ซึ่งในความเป็นจริงแล้วเทศบาลตำบลบางแห่งมีราษฎรจำนวนมากกว่าราษฎรในเขตเทศบาล เมืองอีกหลายแห่ง การกำหนดจำนวนสมาชิกสภาเทศบาลตามชื่อเทศบาลตำบล เทศบาลเมือง หรือเทศ บาลนครดังกล่าว จึงไม่สอดคล้องกับสภาพข้อเท็จจริงและยังมีปัญหาในการกำหนดเขตเลือกตั้งตามกฎหมาย ว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นและผู้บริหารท้องถิ่น ดังนั้น จึงควรที่กระทรวงมหาดไทยจะได้มีการ พิจารณาแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัตินี้ให้สอดคล้องกับสภาพข้อเท็จจริงด้วย ทั้งนี้ มอบให้กระทรวงมหาด ไทย และสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง รับข้อสังเกตดังกล่าวไปพิจารณาดำเนินการ แล้วแจ้งให้สำนัก เลขาธิการคณะรัฐมนตรีทราบ เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป |
|||||||||||||||||||||
2808 | สรุปผลการดำเนินงานขององค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (องค์การมหาชน) | อพท | 13/01/2547 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) รายงานสรุปผลการ ดำเนินงานขององค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (อพท.) ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม จนถึงวันที่ 30 พฤศจิกายน 2546 อพท. ได้ดำเนินการจัดเตรียมการนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อประกาศพื้นที่ พิเศษแห่งแรก คือ หมู่เกาะช้างและพื้นที่เชื่อมโยง จังหวัดตราด โดยในเบื้องต้นได้มีการกำหนดเขตพื้นที่ที่จะเป็น พื้นที่พิเศษดังนี้ (1) เตรียมแผนการดำเนินงานเชิงอนุรักษ์ โดยให้ประชาชนในท้องถิ่นได้รับรู้ถึงผลที่จะเกิดขึ้น และการมีส่วนร่วมในการดำเนินงาน (2) เริ่มต้นกระบวนการแก้ไขปัญหาการบุกรุกที่ดินของรัฐ (3) ร่วมกับ อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะช้าง ในการเตรียมแผนอนุรักษ์และฟื้นฟูแหล่งทรัพยากรธรรมชาติทั้งทางบกและทางทะเล และขยายเขตอุทยานแห่งชาติให้ครอบคลุมทั้งหมู่เกาะช้างทั้ง 52 เกาะ (4) ประสานงานกับกรมประมง กรมอุทยาน แห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช เพื่อให้เกิดการพัฒนาพื้นที่พิเศษหมู่เกาะช้างและพื้นที่เชื่อมโยงอย่างเป็นระบบและ มีความยั่งยืน โดยเฉพาะส่งเสริมและสนับสนุนการดำรงชีพที่เรียกว่า วิถีชีวิตของชุมชนในพื้นที่ และ (5) ประสาน งานกับสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และกรมโยธาธิการและผังเมือง ในการ จัดทำแผนแม่บทการพัฒนาพื้นที่พิเศษหมู่เกาะช้างและพื้นที่เชื่อมโยง เพื่อเป็นกรอบแผนผังการพัฒนา ประกอบ ด้วยการกำหนดเขตการใช้ประโยชน์ที่ดิน และการพัฒนาโครงข่ายโครงสร้างพื้นฐาน เช่น การคมนาคมขนส่ง การจำกัดขยะและน้ำเสีย เป็นต้น นอกจากนี้ อพท. ร่วมกับสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี แห่งชาติ (สวทช. หรือ NECTEC) จัดตั้งศูนย์ข้อมูลการท่องเที่ยวและแผนบริการข้อมูลข่าวสาร โดยจัดศูนย์บริการสารสน เทศการท่องเที่ยวเกาะช้าง จากชุมชนที่ได้รับการคัดเลือก 4 ชุมชน ได้แก่ ชุมชนคลองสน ชุมชนคลองพร้าว ชุมชนบางเบ้า และชุมชนสลักเพชร รวมทั้งได้จัดทำเว็บไซต์ของศูนย์บริการสารสนเทศการท่องเที่ยวหมู่เกาะช้าง และพื้นที่เชื่อมโยง www.kohghang.or.th เพื่อให้ข้อมูลในเรื่องต่าง ๆ ได้แก่ ข้อมูลท่องเที่ยวทั่วไปเกี่ยวกับเกาะ ช้าง ข่าวประชาสัมพันธ์เกาะช้าง แผนที่หมู่เกาะช้างและพื้นที่เชื่อมโยง โรงแรมและที่พัก กิจกรรมท่องเที่ยว สมุดภาพ โครงการพัฒนาหมู่เกาะช้าง ข้อมูลทางโทรศัพท์มือถือ การบริหารภาครัฐทางอิเล็กทรอนิกส์ ข้อมูล สถิติที่น่าสนใจ พยากรณ์อากาศ เว็บไซต์ที่เกี่ยวข้อง รวมถึงให้บริการอื่นประกอบ อาทิ การจองที่พัก เป็นต้น
|
|||||||||||||||||||||
2809 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (การปฏิรูปการศึกษาตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ พุทธศักราช 2540) | สสป | 13/01/2547 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ
ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับการปฏิรูปการศึกษาตามเจตนา รมณ์ของรัฐธรรมนูญ พุทธศักราช 2540 โดยผลการปฏิรูปการศึกษาที่ไม่เป็นไปตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ ส่วนใหญ่ยังขาดประสิทธิภาพทำให้มีความล่าช้ากว่าแผนที่ตั้งไว้ค่อนข้างมากโดยเฉพาะการออกกฎหมายและการ ปรับโครงสร้างของระบบการศึกษา ส่งผลทำให้การดำเนินการด้านอื่น ๆ ไม่คืบหน้า สภาที่ปรึกษา ฯ จึงมีข้อ เสนอแนะเกี่ยวกับกระบวนผลักดันการปฏิรูปการศึกษา ข้อเสนอเกี่ยวกับประเด็นเฉพาะในการปฏิรูปการศึกษา การปฏิรูปการพัฒนาวิชาชีพครูและบุคลากรทางการศึกษา การปฏิรูปการเรียนรู้ และการปฏิรูปทรัพยากรและ การลงทุนทางการศึกษา รวมทั้งรับทราบความเห็นและผลการดำเนินการของกระทรวงศึกษาธิการที่เห็นด้วย ในหลักการโดยรวมทั้งในส่วนของข้อเสนอเกี่ยวกับกระบวนการผลักดันการปฏิรูปการศึกษาและข้อเสนอเกี่ยวกับ ประเด็นเฉพาะในการปฏิรูปการศึกษา ทั้งนี้ กระทรวงศึกษาธิการมีข้อสังเกต ดังนี้ ข้อเสนอให้มีการจัดตั้งสภา การศึกษาภาคประชาชนซึ่งโดยหลักการแล้วพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ ฯ เน้นให้สังคมทุกส่วนมีส่วนร่วม ทางการศึกษาอยู่แล้ว โดยมีกลไกในรูปองค์คณะบุคคลในองค์กรต่าง ๆ เพื่อเปิดโอกาสได้เข้ามามีส่วนร่วมแสดง ความคิดเห็นและให้ข้อเสนอ ข้อเสนอที่ให้มีหน่วยงานรับผิดชอบการศึกษาตลอดชีวิต ตามโครงการปัจจุบันของ กระทรวงศึกษาธิการ มีสำนักงานบริหารงานการศึกษานอกโรงเรียน ซึ่งรับผิดชอบเรื่องนี้อยู่แล้ว ข้อเสนอให้ เพิ่มความรับผิดชอบการจัดการศึกษาแก่ท้องถิ่น ไม่ควรมีการกำหนดลำดับขั้นตอนและระยะเวลาตายตัว ควรให้ มีความยืดหยุ่นตามศักยภาพของแต่ละหน่วยงาน ข้อเสนอให้มีการปฏิรูปการพัฒนาวิชาชีพครูและบุคลากรทาง การศึกษายังขาดในส่วนสำคัญหลายส่วนอาทิ การปฏิรูปการสอนของครูที่ต้องมุ่งเน้นให้เด็กคิดเป็นทำเป็น เกิด การเรียนรู้ ใฝ่รู้ โดยเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ การจัดทำแผนพัฒนาครูและบุคลากรทางการศึกษา การยกย่องครูดี ซึ่งกำหนดไว้ในยุทธศาสตร์การปฏิรูปการผลิตและพัฒนาครูที่คณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบแล้ว ข้อเสนอที่ให้ ตั้งกองทุนประชาสังคมเพื่อการศึกษาในกลุ่มคนพิเศษ ตามพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ ฯ มาตรา 60 (3) บัญญัติให้รัฐจัดสรรงบประมาณและทรัพยากรทางการศึกษาอื่นเป็นพิเศษ ในการจัดการศึกษาสำหรับผู้เรียนที่ มีความต้องการพิเศษ ซึ่งครอบคลุมกลุ่มบุคคลที่ด้อยโอกาส พิการ จึงเห็นควรเร่งรัดให้มีการดำเนินงานให้ปรับ ไปตามกฎหมาย ซึ่งจะสามารถดำเนินการได้ก็ไม่จำเป็นต้องจัดตั้งกองทุนดังกล่าว และข้อเสนอให้มีการอุดหนุน การจัดหาสื่ออิเล็กทรอนิกส์สำหรับการเรียนการสอน ประเด็นสำคัญในเรื่องนี้ น่าจะอยู่ที่การพัฒนาทักษะของ ครูผู้สอนในการใช้สื่ออิเล็กทรอนิกส์เพื่อกระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้รวมทั้งการสนับสนุนการสร้างและผลิต software ที่มีคุณภาพและได้มาตรฐานเพื่อใช้ในการเรียนการสอนมากว่า ในการนี้ เห็นด้วยในหลักการกับข้อ เสนอที่ให้ผู้เรียนเลือกเรียนบางวิชาจากสถาบันแหล่งเรียนรู้ภายนอกสถานศึกษา และสามารถเทียบโอนหน่วย กิตได้แต่ต้องเป็นไปตามกฎ ระเบียบ หลักเกณฑ์เกี่ยวกับการเทียบโอนที่กำหนดไว้ และให้กระทรวงศึกษาธิการ รับความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษา ฯ ไปประกอบการพิจารณาดำเนินการปฏิรูปการศึกษาต่อไป ด้วย |
|||||||||||||||||||||
2810 | การรายงานความคืบหน้าการดำเนินงานตามข้อตกลงอาเซียนเรื่องมลพิษจากหมอกควันข้ามแดน และการดำเนินงานตามแผนแม่บทแห่งชาติว่าด้วยการควบคุมการเผาในที่โล่ง | ทส | 13/01/2547 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการต่างประเทศรายงานความคืบหน้าการดำเนินงานตาม
ข้อตกลงอาเซียนเรื่องมลพิษจากหมอกควันข้ามแดนและการดำเนินงานตามแผนแม่บทแห่งชาติว่าด้วยการควบ คุมการเผาในที่โล่ง โดยผลการดำเนินงานตามข้อตกลงอาเซียนเรื่องมลพิษจากหมอกควันข้ามแดน กระทรวง การต่างประเทศได้ดำเนินการจัดทำสัตยาบันสารต่อข้อตกลงดังกล่าว และได้ยื่นต้นฉบับสัตยาบันสารต่อเลขา ธิการอาเซียนในฐานะผู้เก็บรักษาความตกลง ฯ ส่งผลให้ข้อตกลง ฯ มีผลบังคับใช้กับประเทศสมาชิกอาเซียน รวม 6 ประเทศ ได้แก่ บรูไน มาเลเซีย พม่า สิงคโปร์ เวียดนาม และไทย ตั้งแต่วันที่ 25 พฤศจิกายน 2546 ในการนี้ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้แต่งตั้งหน่วยงานภายในประเทศ เพื่อดำเนินการตาม ข้อตกลง ฯ ดังนี้ กรมควบคุมมลพิษ ทำหน้าที่เป็นหน่วยงานกลางประสานการดำเนินการ (Focal Point) กรม อุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ทำหน้าที่เป็นศูนย์ติดตามตรวจสอบแห่งชาติ (National Monitoring Cen ter) และมอบหมายให้ กรมควบคุมมลพิษ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า ฯ กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น กรมการปกครอง กรมส่งเสริมการเกษตร กรมทางหลวง และกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ทำหน้า ที่หน่วยงานที่มีอำนาจ (Competent Authorities) สำหรับการพิจารณาแต่งตั้ง The ASEAN Coordinating Cen ter for Transboundary Haze Pollution Control (ACC) นั้น ในส่วนของท่าทีของประเทศไทยในการให้การสนับ สนุนประเทศใด หรือการเสนอตัวเป็นที่ตั้งของ ACC กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติ ฯ โดยกรมควบคุมมลพิษ อยู่ระหว่างการนำเสนอความเห็นต่อคณะอนุกรรมการกำกับแผนงานและมาตรการในการรองรับนโยบายการ ห้ามเผาในที่โล่ง ซึ่งจะจัดการประชุมในวันที่ 28 มกราคม 2547 หากมีผลการพิจารณาเป็นอย่างไรจะรายงาน ให้ทราบต่อไป ส่วนผลการดำเนินงานตามแผนแม่บทแห่งชาติว่าด้วยการควบคุมการเผาในที่โล่ง กระทรวง ทรัพยากรธรรมชาติ ฯ โดยกรมควบคุมมลพิษ ได้จัดทำ (ร่าง) แผนปฏิบัติการตามแผนแม่บทแห่งชาติว่าด้วย การควบคุมการเผาในที่โล่ง (พ.ศ. 2547 - พ.ศ. 2551) และได้นำเสนอต่อคณะอนุกรรมการกำกับแผนงาน และมาตรการในการรองรับนโยบายการห้ามเผาในที่โล่ง ซึ่งที่ประชุมมีมติเห็นชอบในหลักการและมอบหมาย ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องปรับปรุงแก้ไขให้มีความสอดคล้องเชื่อมโยงกันเป็นแผนบูรณาการ ขณะนี้อยู่ระหว่าง การนำเวียน (ร่าง) แผนปฏิบัติการ ฯ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาเพื่อนำเสนอต่อคณะอนุกรรมการ ฯ เพื่อขอความเห็นชอบและนำไปใช้ปฏิบัติต่อไป นอกจากนี้ ได้กำหนดแผนการดำเนินมาตรการแก้ไขปัญหามล พิษหมอกควันจากการเผาเศษวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร โดยแผนดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อนำแผนแม่บท แห่งชาติว่าด้วยการควบคุมการเผาในที่โล่งไปสู่การปฏิบัติในการลดมลพิษหมอกควันจากการเผาพื้นที่เกษตร กรรม
|
|||||||||||||||||||||
2811 | ร่างพระราชกฤษฎีกาเงินช่วยเหลือซึ่งออกจากราชการตามมาตรการพัฒนาและบริหารกำลังคนเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลง พ.ศ. .... | กค | 13/01/2547 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการตามที่กระทรวงการคลังเสนอร่างพระราชกฤษฎีกาเงินช่วยเหลือผู้ซึ่ง
ออกจากราชการตามมาตรการพัฒนาและบริหารกำลังคนเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลง พ.ศ. .... และให้ส่งสำนัก งานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน แล้วดำเนินการต่อไปได้ โดยร่างพระราชกฤษฎีกา ฯ มีสาระสำคัญ คือ การกำหนดให้ข้าราชการที่ออกจากราชการตามมาตรการพัฒนาและบริหารกำลังคนเพื่อรอง รับการเปลี่ยนแปลง มีสิทธิได้รับเงินช่วยเหลือจากทางราชการเพื่อเป็นสิ่งจูงใจในการออกจากราชการ สำหรับ งบประมาณที่จะต้องใช้จ่ายเพิ่มขึ้นจำนวนประมาณ 350 ล้านบาท จากวงเงินที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติหลักการไว้ เมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2546 เนื่องจากได้นำเงินเลื่อนขั้นเมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2547 มารวมเป็นฐาน เงินเดือนเพื่อคำนวณสิทธิประโยชน์จูงใจให้ใช้จากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2547 ของส่วน ราชการที่มีข้าราชการเข้าร่วมโครงการก่อน หากไม่เพียงพอให้ใช้จากเงินงบกลาง รายการเงินเลื่อนขั้น เลื่อนอัน ดับเงินเดือนและเงินปรับวุฒิข้าราชการ ส่วนงบประมาณเพื่อการจ่ายบำเหน็จดำรงชีพจำนวนประมาณ 8,000 ล้านบาท ให้ใช้จากเงินงบกลาง รายการเงินเบี้ยหวัด บำเหน็จ บำนาญ หากไม่เพียงพอให้ใช้จากเงินคงคลัง และให้สำนักงบประมาณรับข้อสังเกตของกระทรวงการคลังไปพิจารณาดำเนินการเกี่ยวกับงบประมาณที่ตั้งไว้ใน หมวดเงินอุดหนุนสำหรับการถ่ายโอนบุคลากรไปท้องถิ่น ที่จัดสรรให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ในกรณีข้า ราชการที่ยังไม่ได้ถ่ายโอนไปท้องถิ่นสมัครใจลาออก ตามมาตรการ 2 หากไม่มีผลกระทบกับสัดส่วนต่อรายได้ของ รัฐบาลที่จะต้องจัดสรรให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ตามที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติกำหนดแผนและขั้น ตอนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2542 ให้โอนเงินในส่วนดังกล่าวกลับคืนคลัง นอกจากนี้ เห็นชอบให้แก้ไขมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2546 เกี่ยวกับเป้าหมายรวมของจำนวน ข้าราชการผู้มีสิทธิเข้าสู่มาตรการ 1 และมาตรการ 2 เป็นจำนวนไม่เกินร้อยละ 10 ของข้าราชการที่มีสิทธิเข้า ร่วมมาตรการเพื่อให้ถูกต้องและเป็นไปตามที่สำนักงาน ก.พ. ได้นำเสนอต่อคณะรัฐมนตรี และให้สำนักงาน ก.พ. ดำเนินการควบคุมจำนวนข้าราชการที่จะเข้าสู่มาตรการ ฯ มาตรการที่ 1 และมาตรการที่ 2 ไม่ให้เกินจำนวน ร้อยละ 10 ของข้าราชการที่มีสิทธิเข้าร่วมมาตรการตามข้อสังเกตของกระทรวงการคลังด้วย |
|||||||||||||||||||||
2812 | โครงการเปลี่ยนขยะให้เป็นพลัง | พน | 13/01/2547 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงพลังงานเสนอโครงการเปลี่ยนขยะให้เป็นพลัง ซึ่งกระทรวง
พลังงานร่วมกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และองค์การบริหาร ส่วนท้องถิ่น ได้ดำเนินการจัดทำแนวทางการใช้ประโยชน์จากขยะมูลฝอยเพื่อนำมาใช้ในการผลิตพลังงาน เพื่อ ช่วยแก้ปัญหา และลดภาระการกำจัดขยะของเทศบาลและชุมชนต่าง ๆ ซึ่งจะดำเนินการในพื้นที่นำร่องใน 4 ภาคของประเทศ เช่น เทศบาลนครราชสีมา และบางเขตในกรุงเทพมหานคร โดยใช้รูปแบบต่าง ๆ ที่ได้มีการ ศึกษาเปรียบเทียบไว้แล้ว และจะให้ความสำคัญกับการมีส่วนร่วมของประชาชน และในส่วนของการไฟฟ้าฝ่าย ผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ก็พร้อมที่จะลงทุนในโครงการ ฯ สำหรับไฟฟ้าที่ผลิตได้จากโครงการ ฯ การรับ ซื้อไฟฟ้าจะเป็นไปตามกลไกตลาดซึ่งปัจจุบัน กฟผ. รับซื้ออยู่ที่ 1.70 บาท/MW และยังสามารถผลิตปุ๋ยอินทรีย์ เพื่อนำมาใช้ประโยชน์ทางการเกษตรได้ |
|||||||||||||||||||||
2813 | แนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับความเห็นและข้อเสนอแนะของผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภา (ขอให้ระงับการถมดินลงในหนองน้ำมณีบรรพตโดยด่วน) | ผร | 06/01/2547 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 7 (คกก.7) ซึ่ง
ได้พิจารณาตามข้อเสนอแนะของผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภาที่ให้ระงับการถมดินในหนองน้ำมณีบรรพต จังหวัด ตาก โดยด่วน โดย คกก 7. ได้มีมติให้นำเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบและมอบให้กระทรวงมหาดไทยและรอง นายกรัฐมนตรีที่ได้รับมอบหมายจากนายกรัฐมนตรีให้กำกับการปฏิบัติราชการในส่วนภูมิภาคในพื้นที่จังหวัดตาก รับไปดำเนินการ โดยมอบหมายให้กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นดูแลกำชับและระมัดระวังการบริหารจัดการ เรื่องที่เกี่ยวกับสาธารณประโยชน์ที่ประชาชนใช้ร่วมกัน โดยต้องรับฟังความคิดเห็นของประชาชน และพิจารณาผล กระทบต่อสิ่งแวดล้อมด้วย และเห็นชอบแนวทางปฏิบัติตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอเกี่ยวกับขั้นตอน การดำเนินการเรื่องที่ผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภาดังนี้ กรณีผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภาได้เสนอความเห็นและ ข้อเสนอแนะไปยังส่วนราชการใด ให้ส่วนราชการนั้นเร่งพิจารณา และรายงานผลการพิจารณาและผลการดำเนิน การให้ผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภาทราบโดยด่วน โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรี และกรณีผู้ตรวจการแผ่นดิน ของรัฐสภาได้เสนอความเห็นและข้อเสนอแนะไปยังนายกรัฐมนตรี โดยไม่ระบุหน่วยงานที่รับผิดชอบ และนายก รัฐมนตรีได้ส่งเรื่องดังกล่าว ให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีพิจารณา ให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีพิจารณา ตรวจสอบความเห็นและข้อเสนอแนะดังกล่าวว่า เป็นเรื่องอะไรเกี่ยวข้องกับส่วนราชการใด แล้วนำเสนอรองนายก รัฐมนตรีสั่งและปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรีซึ่งกำกับส่วนราชการนั้น เพื่อสั่งการให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง รับไปพิจารณาดำเนินการ และให้รายงานผลการพิจารณาให้ผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภาทราบต่อไป โดยไม่ ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรี และจากกรณีดังกล่าว ถ้าหากสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีพิจารณาแล้วเห็นว่า ความ เห็นและข้อเสนอแนะของผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภาเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับส่วนราชการหลายหน่วยงาน และ เป็นส่วนราชการที่อยู่ในกำกับของรองนายกรัฐมนตรีสั่งและปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรีหลายคน เห็นควร นำเสนอนายกรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาสั่งการให้ส่วนราชการดังกล่าวพิจารณาดำเนินการ โดยให้ส่วนราชการเหล่า นั้น ส่วนราชการใดส่วนราชการหนึ่งเป็นหน่วยงานกลางในการรวบรวมความเห็น เพื่อรายงานผลการพิจารณา ให้ผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภาทราบต่อไป โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรี ทั้งนี้ แจ้งเวียนให้หน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ และให้กระทรวงมหาดไทยแจ้งให้ราชการส่วนท้องถิ่นทราบและถือปฏิบัติต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
2814 | กระทู้ถามที่ 025 ร. เรื่อง ปัญหาอันเกิดจากการระงับเส้นทางการบินของสายการบินประเทศซาอุดิอาระเบีย | สว | 30/12/2546 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอคำตอบกระทู้ถามที่ 025 ร. เรื่อง ปัญหาอัน
เกิดจากการระงับเส้นทางการบินของสายการบินประเทศซาอุดิอาระเบีย ของนายอูมาร์ ตอยิบ สมาชิกวุฒิสภา จังหวัดนราธิวาส และให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป โดยสาระสำคัญของคำตอบสรุปได้ว่า สาเหตุที่สาย การบินของประเทศซาอุดิอาระเบียระงับเส้นทางการบินระหว่างประเทศซาอุดิอาระเบียกับประเทศไทย เนื่อง จากไม่มีผู้โดยสารที่เป็นผู้โดยสารท้องถิ่นประเทศซาอุดิอาระเบียกับประเทศไทย ปัญหาความสัมพันธ์ทางการ ทูตระหว่างประเทศไทยกับประเทศซาอุดิอาระเบีย และจากเหตุการณ์ก่อวินาศกรรมที่สหรัฐอเมริกา ส่วนมาตร การหรือแนวทางที่จะให้มีการบินระหว่างประเทศไทยกับประเทศซาอุดิอาระเบีย ประกอบด้วย มาตรการระยะ สั้น เป็นมาตรการรองรับในช่วงการเดินทางไปประกอบพิธีฮัจย์ ณ ประเทศซาอุดิอาระเบีย ซึ่งในปี พ.ศ. 2546 มีผู้แสวงบุญชาวไทยมุสลิมเดินทางไปประกอบพิธีฮัจย์ที่ประเทศซาอุดิอาระเบีย รวมทั้งสิ้น 8,023 คน โดยเดิน ทางด้วยเที่ยวบินแบบประจำและแบบเช่าเหมาลำ ซึ่งทางบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ทำการบินเที่ยว บินเช่าเหมารับขนผู้แสวงบุญด้วยอากาศยาน A300-600 (ความจุ 247 ที่นั่ง) รวม 13 เที่ยว สำหรับการรับ ขนผู้แสวงบุญจากประเทศไทยไปยังประเทศซาอุดิอาระเบียในปี พ.ศ. 2547 ทางราชการพร้อมที่จะให้การสนับ สนุนอำนวยความสะดวกในการอนุญาตเที่ยวบินเช่าเหมารับขนผู้แสวงบุญ ทั้งบริษัทการบินของไทย คือ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) และบริษัท ภูเก็ต แอร์ไลน์ จำกัด ซึ่งได้มีแผนแน่นอนที่จะทำการบินเที่ยวบินเช่า เหมาดังกล่าว และมาตรการระยะยาว โดยจะส่งเสริมให้มีการบินตรงระหว่างประเทศไทยกับประเทศซาอุดิอาระ เบีย สนับสนุนให้ประเทศซาอุดิอาระเบียเป็นจุดระหว่างทางสำหรับการจัดทำความตกลง ฯ ระหว่างประเทศ ไทยกับประเทศในทวีปยุโรป อเมริกา และแอฟริกา รวมทั้งสนับสนุนให้ประเทศซาอุดิอาระเบียเป็นจุดพ้น สำหรับการจัดทำความตกลง ฯ ระหว่างประเทศไทยกับประเทศในแถบตะวันออกไกล ทวีปออสเตรเลีย และ อเมริกา และเป็นจุดระหว่างทาง/จุดพ้นของประเทศไทย สำหรับการจัดทำความตกลง ฯ ระหว่างประเทศไทย กับประเทศในแถบตะวันออกกลาง/ทวีปยุโรป |
|||||||||||||||||||||
2815 | กระทู้ถามที่ 1272 ร. เรื่อง การก่อสร้างถนนสายหนองปรือ - น้ำยาง - ทุ่งเอี้ยง - เขาน้อย ตำบลบ้านกลาง อำเภอวังทอง จังหวัดพิษณุโลก โดยให้ลาดยางหรือเทคอนกรีต | สผ | 30/12/2546 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอคำตอบกระทู้ถามที่ 1272 ร. เรื่อง
การก่อสร้างถนนสายหนองปรือ-น้ำยาง-ทุ่งเอี้ยง-เขาน้อย ตำบลบ้านกลาง อำเภอวังทอง จังหวัดพิษณุโลก โดย ให้ลาดยางหรือเทคอนกรีต และให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป โดยสาระสำคัญของคำตอบสรุปได้ว่า ถนน สายบ้านหนองปรือ-น้ำยาง-ทุ่งเอี้ยง-เขาน้อย ตำบลบ้านกลาง อำเภอวังทอง จังหวัดพิษณุโลก ระยะทางตลอด สาย 9.000 กิโลเมตร เป็นถนนผิวจราจรลาดยาง 1.200 กิโลเมตร ผิวจราจรลูกรัง 7.800 กิโลเมตร เดิมอยู่ใน ความรับผิดชอบของกรมการเร่งรัดพัฒนาชนบท ปัจจุบันได้ส่งมอบให้องค์การบริหารส่วนจังหวัดพิษณุโลกเป็นผู้รับ ผิดชอบตามแผนปฏิบัติการกระจายอำนาจการปกครองให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กำหนดให้กรมทางหลวง ชนบท ต้องถ่ายโอนภารกิจด้านการก่อสร้างถนนในท้องถิ่นให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นดำเนินการเอง โดยกรม ทางหลวงชนบททำหน้าที่เป็นพี่เลี้ยงในด้านวิชาการและเทคนิควิศวกรรม ดังนั้น กระทรวงคมนาคม โดยกรมทาง หลวงชนบท จึงไม่สามารถสนับสนุนงบประมาณการก่อสร้างถนนสายดังกล่าวได้ เนื่องจากเป็นถนนที่องค์กรปก ครองส่วนท้องถิ่นจะต้องดูแลรับผิดชอบเอง สำหรับเม็ดเงินงบประมาณที่จะอุดหนุนให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้อง ถิ่น นั้น ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2547 รัฐบาลได้จัดสรรงบประมาณอุดหนุนก้อนหนึ่งไว้เพื่อการนี้แล้ว โดยกรมส่ง เสริมการปกครองส่วนท้องถิ่น กระทรวงมหาดไทย จะเป็นผู้พิจารณาจัดสรร |
|||||||||||||||||||||
2816 | กระทู้ถามที่ 307 ร. เรื่อง การสร้างองค์กรชุมชนให้เข้มแข็ง | สผ | 30/12/2546 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอคำตอบกระทู้ถามที่ 307
ร. เรื่อง การสร้างองค์กรชุมชนให้เข้มแข็ง ของนายเอนก เหล่าธรรมทัศน์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (บัญชี รายชื่อ) และให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป โดยสาระสำคัญของคำตอบสรุปได้ว่า รัฐบาลได้สนับ สนุนให้ประชาชนสามารถพึ่งตนเองได้ โดยการพัฒนาศักยภาพและเสริมบทบาทของกลุ่ม/องค์กรประชาชน การวางโครงการ ดำเนินงาน การติดตามประเมินผล และแก้ปัญหาของชุมชน โดยกระตุ้น ส่งเสริมให้ ประชาคมมีองค์ประกอบที่หลากหลายและมีสัดส่วนที่เหมาะสม จัดทำบัญชีปัญหาความต้องการของหมู่บ้าน ตำบล อำเภอ เพื่อใช้ประโยชน์จากบัญชีปัญหาความต้องการ ให้มีการประชุมอย่างสม่ำเสมอ ให้มีส่วนร่วม ในการจัดทำแผนพัฒนาอำเภอ ตั้งแต่เริ่มต้นจะสิ้นสุดกระบวนการ มีส่วนร่วมตรวจสอบการบริหารขององค์ การบริหารส่วนตำบล ฯลฯ สำหรับมาตรการและแนวทางในการส่งเสริมองค์กรชุมชนให้เข้มแข็งเพื่อเพิ่ม ศักยภาพในการพัฒนาประเทศนั้น รัฐบาลได้มีมาตรการ ดังนี้ การแก้ไขปัญหายาเสพติด ใช้กระบวนการ ประชาคมหมู่บ้าน/ชุมชน เพื่อสร้างความเข้มแข็งให้กับหมู่บ้าน/ชุมชน ในการเอาชนะปัญหายาเสพติดแบบ ยั่งยืน และสามารถเอาชนะปัญหายาเสพติดให้ครบทุกหมู่บ้านได้ ภายในปี พ.ศ. 2547 รณรงค์ให้ความรู้ เกี่ยวกับการเลือกตั้ง โครงการสัมมนาเชิงปฏิบัติการประธานประชาคมหมู่บ้าน และโครงการประเทศไทย ใสสะอาด นอกจากนี้ ได้มีการสนับสนุนการดำเนินการเพื่อเสริมสร้างศักยภาพและบทบาทขององค์กร ชุมชนในการที่จะเข้ามามีส่วนร่วมในระดับต่าง ๆ ให้มากขึ้น โดยสร้างกระบวนการทำงานร่วมกันระหว่าง ภาครัฐกับประชาชน ส่งเสริมบทบาทการมีส่วนร่วมของประชาชนในการขจัดการทุจริตประพฤติมิชอบในวง ราชการ ส่งเสริมบทบาทของชุมชนและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในการเข้ามามีส่วนร่วมและรับผิดชอบ การบริหารจัดการด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สนับสนุนการจัดตั้งสมาคมผู้นำสตรีพัฒนาชุม ชนไทย รวมทั้งสนับสนุนการดำเนินงานของสมาคมผู้นำอาสาพัฒนาชุมชนไทย และสมาคมผู้นำอาชีพก้าว หน้าแห่งประเทศไทย |
|||||||||||||||||||||
2817 | กระทู้ถามที่ 1189 ร. เรื่อง การติดตั้งไฟฟ้าสาธารณะ | สผ | 30/12/2546 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอคำตอบกระทู้ถามที่ 1189
ร. เรื่อง การติดตั้งไฟฟ้าสาธารณะ ของนายณัฐพล เกียรติวินัยสกุล สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดลพบุรี และให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป โดยสาระสำคัญของคำตอบสรุปได้ว่า การจัดสรรงบประมาณปี พ.ศ. 2547 เพื่อติดตั้งไฟฟ้าสาธารณะในพื้นที่ตำบลตะลุง ตำบลดอนโพธิ์ ตำบลท้ายตลาด ตำบลโพธิ์ตุ อำเภอเมือง จังหวัดลพบุรี นั้น กระทรวงมหาดไทย โดยการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ได้ดำเนินการติดตั้งไฟฟ้า สาธารณะในพื้นที่ 4 ตำบล ซึ่งอยู่ในเขตอำเภอเมือง จังหวัดลพบุรี โดยมีรายละเอียด ดังนี้ ตำบลตะลุง ได้ ทำการติดตั้งไฟฟ้าสาธารณะแล้ว จำนวน 13 หมู่บ้าน ตำบลดอนโพธิ์ ได้ทำการติดตั้งไฟฟ้าสาธารณะแล้ว จำนวน 8 หมู่บ้าน ตำบลห้วยตลาด ได้ทำการติดตั้งไฟฟ้าสาธารณะแล้วจำนวน 7 หมู่บ้าน และตำบลโพธิ์ตุ ได้ทำการติดตั้งไฟฟ้าสาธารณะแล้ว จำนวน 8 หมู่บ้าน สำหรับหมู่บ้านต่าง ๆ ที่อยู่ในความรับผิดชอบของ หน่วยงานราชการส่วนท้องถิ่น กระทรวงมหาดไทย โดยการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ไม่ได้ดำเนินการจัดสรรงบ ประมาณเพื่อติดตั้งไฟฟ้าสาธารณะให้กับหมู่บ้านต่างๆ ที่อยู่ในพื้นที่ความรับผิดชอบของหน่วยงานราชการ ส่วนท้องถิ่นนั้น แต่จะดำเนินการสำรวจและติดตั้งให้กรณีที่หน่วยงานราชการส่วนท้องถิ่นร้องขอขยายเขต เพิ่มเติม โดยการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคจะเรียกเก็บค่าใช้จ่ายทั้งหมดจากหน่วยงานนั้น |
|||||||||||||||||||||
2818 | กระทู้ถามที่ 1244 ร. เรื่อง ขอให้ตั้งโรงเรียนสารพัดช่างที่อำเภอสระโบสถ์ จังหวัดลพบุรี | สผ | 30/12/2546 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอคำตอบกระทู้ถามที่ 1244 ร.
เรื่อง ขอให้ตั้งโรงเรียนสารพัดช่างที่อำเภอสระโบสถ์ จังหวัดลพบุรี ของนายนิยม วรปัญญา สมาชิกสภาผู้แทน ราษฎรจังหวัดลพบุรี และให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป โดยสาระสำคัญของคำตอบสรุปได้ว่า พื้นที่ จังหวัดลพบุรีมีสถานศึกษาเปิดสอนด้านอาชีวศึกษารวมทั้งสิ้น 14 แห่ง เป็นสถานศึกษาของรัฐ 7 แห่ง และ สถานศึกษาของเอกชน 7 แห่ง ในปีการศึกษา 2546 เฉพาะสถานศึกษาอาชีวศึกษาของรัฐทุกแห่งในจังหวัด ลพบุรีมีศักยภาพในการรับนักเรียน นักศึกษา รวมทั้งสิ้น 5,772 คน แต่ปรากฏว่า มีผู้ประสงค์สมัครเรียน เพียง 4,905 คน ส่วนในระยะทางรัศมี 30-40 กิโลเมตรรอบอำเภอสระโบสถ์ จังหวัดลพบุรี มีสถานศึกษา ของรัฐระดับอาชีวศึกษา จำนวน 3 แห่ง ได้แก่ วิทยาลัยเทคนิคลพบุรี แห่งที่ 2 วิทยาลัยการอาชีพโคกสำโรง และวิทยาลัยการอาชีพชัยบาดาล ในปีการศึกษา 2546 สถานศึกษาดังกล่าวมีศักยภาพในการรับนักเรียนทุก ระดับรวม 1,280 คน แต่มีผู้มาสมัครเรียน 950 คน แบ่งเป็น ระดับ ปวช. มีผู้สมัครเรียน 783 คน ระดับ ปวส. มีผู้สมัครเรียน 167 คน และจากข้อมูลสถิติจำนวนนักเรียนของสำนักงานศึกษาธิการจังหวัดลพบุรี พบว่า มีผู้ สำเร็จการศึกษาชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ในเขตพื้นที่อำเภอสระโบสถ์ เฉลี่ยประมาณปีละ 200-300 คน เท่านั้น และจากการที่รัฐบาลโดยกระทรวงศึกษาธิการ สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา มีนโยบายในการให้ บริการทางวิชาการหรือการช่วยเหลือฝึกอบรมเพื่อเพิ่มทักษะทางอาชีพให้แก่ประชาชนโดยเฉพาะพื้นที่อำเภอ สระโบสถ์ ได้มอบหมายให้วิทยาลัยเทคนิคลพบุรี แห่งที่ 2 วิทยาลัยการอาชีพโคกสำโรง และวิทยาลัยเกษตร และเทคโนโลยีลพบุรี เป็นผู้รับผิดชอบสนองความต้องการของประชาชนในท้องถิ่นเป็นสำคัญ โดยจะดำเนิน การนโยบายเติมปัญญาให้สังคม โดยจัดตั้งศูนย์การเรียนรู้อาชีวศึกษา สาขาชุมชนสระโบสถ์ขึ้นในสถานที่ของ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน เพื่อดำเนินการพัฒนาฝึกทักษะอาชีพ ให้เป็นไปตามความต้อง การของชุมชน และทำหน้าที่เป็นศูนย์ถ่ายทอดความรู้ นวัตกรรมและเทคโนโลยีในการประกอบอาชีพต่าง ๆ ให้แก่ประชาชนในพื้นที่อำเภอสระโบสถ์ จังหวัดลพบุรี ต่อไป |
|||||||||||||||||||||
2819 | ผลการประชุมสุดยอดระดับโลกว่าด้วยสังคมสารสนเทศ ครั้งที่ 1 | ทก | 30/12/2546 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารรายงานผลการประชุม
สุดยอดระดับโลกว่าด้วยสังคมสารสนเทศ (World Summit on the Information Society-WSIS) ครั้งที่ 1 ซึ่งจัดขึ้น ระหว่างวันที่ 10-12 ธันวาคม 2546 ณ นครเจนีวา สมาพันธรัฐสวิส โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยี สารสนเทศและการสื่อสารเป็นผู้แทนนายกรัฐมนตรีเข้าร่วมการประชุม สำหรับสาระสำคัญของการประชุม WSIS ประกอบด้วยการประชุมเต็มคณะเพื่อรับรองปฏิญญาว่าด้วยหลักการการสร้างสังคมสารสนเทศ (Declaration of Principles on Building the Information Society) ซึ่งมีสาระสำคัญครอบคลุมหลักการใหญ่ 3 ประเด็นคือ วิสัย ทัศน์ร่วมของสังคมสารสนเทศบนพื้นฐานของปฏิญญาสากลเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชนของสหประชาชาติ หลักการ สำคัญ 11 ประการ ของสังคมสารสนเทศสำหรับประชาชนทุกคน และการมุ่งสู่สังคมสารสนเทศสำหรับประชา ชนทุกคนบนพื้นฐานของการมีและการใช้ความรู้ร่วมกัน รวมทั้งได้กำหนดและแผนปฏิบัติการ (Plan of Action) สำหรับการพัฒนาสังคมสารสนเทศอย่างมีประสิทธิภาพ และลดความเหลื่อมล้ำของประชากรโลกในการเข้าถึง สารสนเทศและความรู้ซึ่งมีแนวทางการปฏิบัติการครอบคลุมทั้งภาครัฐและผู้เกี่ยวข้อง โครงสร้างพื้นฐานของสาร สนเทศและการสื่อสาร การเข้าถึงข่าวสารและความรู้ การสร้างศักยภาพและความสามารถ การสร้างความมั่นคง ในการสร้างสังคมสารสนเทศ การกำหนดสิ่งแวดล้อมที่เอื้อประโยชน์การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร เพื่อประโยชน์ทุกด้านของชีวิต การสำนึกถึงความหลากหลายของวัฒนธรรม ภาษาและสารัตถะของท้องถิ่น สื่อ มวลชน จริยธรรมของสังคมสารสนเทศ และการร่วมมือในระดับภูมิภาคและในระดับสากล รวมถึงประเด็นใหม่ ในการสร้างความเข้มแข็งของเทคนิคดิจิตอล ทั้งนี้ สาระสำคัญของปฏิญญา ฯ และแผนปฏิบัติการ เป็นสิ่งที่ ประเทศสมาชิกจะนำไปประยุกต์ให้เกิดผลสำเร็จมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ และจะเป็นเนื้อหาที่จะนำไปพิจารณาใน การประชุมสุดยอด ฯ ครั้งที่ 2 ต่อไป |
|||||||||||||||||||||
2820 | ร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการบริหารการพัฒนาเพื่อกระจายความเจริญไปสู่ภูมิภาคและท้องถิ่น (แก้ไขเพิ่มเติม) พ.ศ. 2546 | นร | 23/12/2546 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติถอน
ร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการบริหารการพัฒนาเพื่อกระจายความเจริญไปสู่ภูมิภาคและท้อง ถิ่น (แก้ไขเพิ่มเติม) พ.ศ. 2546 เพื่อนำไปปรับปรุงแก้ไขต่อไปได้ |