ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 144 จากทั้งหมด 200 หน้า แสดงรายการที่ 2861 - 2880 จากข้อมูลทั้งหมด 3982 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
2861 | ส่งสำเนาคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ | ศร | 04/11/2546 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญได้เสนอคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ ที่
32/2546 ลงวันที่ 22 กันยายน 2546 เรื่อง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเสนอความเห็นขอให้ศาลรัฐธรรมนูญ พิจารณาวินิจฉัยว่า ในการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2547 มาตรา 17 เฉพาะกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นในส่วนของเงินอุดหนุนเฉพาะกิจเพื่อพัฒนาองค์กรปก ครองส่วนท้องถิ่นตามยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศ และเงินอุดหนุนเฉพาะกิจเพื่อพัฒนาด้านการท่องเที่ยว ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นตามยุทธศาสตร์การพัฒนาการท่องเที่ยวไทย มีการกระทำฝ่าฝืนบทบัญญัติ รัฐธรรมนูญ มาตรา 180 วรรคหก หรือไม่ ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาเรื่องดังกล่าวแล้ว และได้วินิจฉัยชี้ ขาดว่า การพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2547 มาตรา 17 เฉพาะกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น ในส่วนของเงินอุดหนุนเฉพาะกิจทั้งสองกรณีดังกล่าว ไม่ปรากฏว่ามี การกระทำฝ่าฝืนบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ มาตรา 180 วรรคหก เนื่องจากการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ งบประมาณรายจ่าย ฯ มาตรา 17 เฉพาะกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นในส่วนของเงินอุดหนุนเฉพาะ กิจดังกล่าว ได้ผ่านการพิจารณากลั่นกรองของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยตามที่คณะรัฐมนตรีมอบ หมาย และจัดส่งสำนักงบประมาณเพื่อนำเสนอต่อคณะกรรมาธิการวิสามัญเพื่อประกอบการพิจารณาให้ ความเห็นชอบ และไม่ปรากฏว่า มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร หรือกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราช บัญญัติงบประมาณรายจ่าย ฯ หรืออนุกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาจัดสรรงบประมาณให้แก่องค์กรปก ครองส่วนท้องถิ่นใช้อำนาจหน้าที่เพิ่มเติมรายการ และกระทำด้วยประการใด ๆ ในงบประมาณรายจ่าย ของกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นอันมีผลให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภาหรือกรรมาธิการ มีส่วนไม่ว่าโดยตรงหรือโดยอ้อมในการใช้งบประมาณรายจ่ายตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2862 | กระทู้ถามที่ 1170 ร. เรื่อง ปัญหาการขนส่งเนื้อสุกรทั้งตัวบนถนนเพชรเกษม | สผ | 04/11/2546 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอคำตอบกระทู้ถามที่ 1170 ร.
เรื่อง ปัญหาการขนส่งเนื้อสุกรทั้งตัวบนถนนเพชรเกษม ของพลตรี ศรชัย มนตริวัต สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดกาญจนบุรี และให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป โดยสาระสำคัญของคำตอบสรุปได้ว่า ตามพระ ราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 20 ได้กำหนดให้ผู้ขับขี่ซึ่งขับรถบรรทุก คน สัตว์ หรือสิ่งของ ต้องจัดให้มีสิ่งป้องกันมิให้คน สัตว์ หรือสิ่งของที่บรรทุกตกหล่น รั่วไหล สิ่งกลิ่น ส่องแสงสะท้อน หรือปลิว ไปจากรถอันอาจก่อเหตุเดือดร้อนรำคาญ ทำให้ทางสกปรก เปรอะเปื้อน ทำให้เสื่อมเสียสุขภาพอนามัยแก่ ประชาชนหรือก่อให้เกิดอันตรายแก่บุคคลหรือทรัพย์สิน ดังนั้น การบรรทุกเนื้อสัตว์ต่าง ๆ ที่ได้ชำแหละแล้ว นำเข้ามาขายในเขตกรุงเทพมหานคร จึงจำเป็นต้องจัดให้มีสิ่งป้องกันมิให้เนื้อสัตว์ตกหล่น รั่วไหล หรือส่ง กลิ่น รบกวน มิฉะนั้นจะเป็นการกระทำความผิดตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 20 สำหรับ แนวทางในการดำเนินการจะให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ และเจ้าหน้าที่ที่มีส่วนเกี่ยวข้องออกตรวจตราและเข้มงวดกวด ขันในการจับกุมผู้ประกอบการขนส่งเนื้อสัตว์ที่ได้กระทำผิดกฎหมายเพื่อมิให้ฝ่าฝืนกฎหมายซึ่งจะทำให้ประชา ชนผู้บริโภคได้บริโภคเนื้อสัตว์ที่ถูกสุขลักษณะและอนามัย และจากสภาพปัญหาการบริโภคอาหารของประชา ชนในปัจจุบันยังไม่ได้รับความปลอดภัยจากการบริโภค ประกอบกับความต้องการบริโภคเนื้อสุกรในกรุงเทพ มหานครและปริมณฑลมีปริมาณมากกว่าวันละ 10,000 ตัว และโรงฆ่าสุกรในกรุงเทพมหานครไม่สามารถฆ่า สุกรได้ตามปริมาณที่ต้องการ จึงต้องสั่งนำเข้าสุกรจากต่างจังหวัดซึ่งมีขบวนการผลิตและการขนส่งยังไม่ถูกสุข ลักษณะความปลอดภัยและไม่เป็นมาตรฐาน ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคและหน่วยงานที่ เกี่ยวข้องจึงได้ระดมความคิดร่วมกัน เพื่อกำหนดมาตรฐาน แนวทางในการแก้ไขปัญหาอย่างครบวงจรเกี่ยวกับ การบริโภคเนื้อสุกรที่ไม่ได้รับความปลอดภัย ส่วนการตรวจติดตามการดำเนินการปรับปรุงโรงฆ่าสัตว์ การ ฆ่าสัตว์ (สุกร) และการขนส่งขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอาสาสมัคร (ท้องถิ่นนำร่อง 6 จังหวัด) และ ได้ขอความร่วมมือจากกรมปศุสัตว์ กรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่น ให้ติดตามสอดส่องการดำเนินการ ปรับปรุงโรงฆ่าสัตว์ การฆ่าสัตว์ (สุกร) และการขนส่ง รวมทั้งได้มีส่วนราชการได้ให้ความสนใจในการปรับ ปรุงสภาพการบริโภคเนื้อสุกรให้มีความปลอดภัยมากขึ้น เช่น การใส่สารเร่งเนื้อแดง เป็นต้น และขณะนี้คณะ รัฐมนตรี ได้มีมติเห็นชอบแผนยุทธศาสตร์ความปลอดภัยด้านอาหาร (Food Safety) โดยมอบให้กระทรวง สาธารณสุข และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับผิดชอบดำเนินการ โดยมีหน่วยงานที่ร่วมรับผิดชอบ จำนวน 11 หน่วยงาน รวมถึงสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2863 | กระทู้ถามที่ 1219 ร. เรื่อง การกำหนดให้มีวันกตัญญูแผ่นดินในประเทศไทย | สผ | 04/11/2546 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอคำตอบกระทู้ถามที่ 1219 ร.
เรื่อง การกำหนดให้มีวันกตัญญูแผ่นดินในประเทศไทย ของนายเปรมศักดิ์ เพียยุระ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดขอนแก่น และให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป โดยสาระสำคัญของคำตอบสรุปได้ว่า รัฐบาลโดย กระทรวงวัฒนธรรม ได้พิจารณาเกี่ยวกับการกำหนดให้มีวันกตัญญูแผ่นดินในประเทศไทยแล้วเห็นว่า ประเทศ ไทยได้มีการกำหนดวันสำคัญไว้หลายวัน ทั้งที่เป็นวันเกี่ยวข้องกับวันกตัญญูต่อบุรพมหากษัตริย์ บรรพชนใน อดีต วันกตัญญูต่อบรรพชนของแต่ละท้องถิ่นอีก รวมทั้งยังมีวันสำคัญของวีรชนคนกล้าในแต่ละจังหวัด ดังนั้น หากจะให้กำหนดวันใดวันหนึ่งเป็น "วันกตัญญูแผ่นดินในประเทศไทย" เป็นการเฉพาะลงไป อาจจะไม่เหมาะ สม จึงไม่จำเป็นที่จะต้องกำหนดให้มี "วันกตัญญูแผ่นดินในประเทศไทย" |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2864 | มาตรการและแนวทางการเร่งรัดติดตามการใช้จ่ายเงินงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2547 | กค | 04/11/2546 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอมาตรการและแนวทางการเร่งรัดติดตามการใช้
จ่ายเงินงบประมาณประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2547 ดังนี้ มาตรการเร่งรัดติดตามในปีงบประมาณ พ.ศ. 2547 เห็นควรกำหนดเป้าหมายการเบิกจ่ายเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2547 ไว้ในอัตราร้อย ละ 92.0 ของวงเงินงบประมาณรายจ่าย 1,011,500 ล้านบาท โดยไม่รวมงบกลางที่ตั้งไว้เพื่อใช้จ่ายในงานโครง การเพื่อการเสริมสร้างศักยภาพการแข่งขันและการพัฒนาที่ยั่งยืนของประเทศ (16,500 ล้านบาท) และราย จ่ายลงทุนควรกำหนดเป้าหมายไม่น้อยกว่าร้อยละ 72.0 ของวงเงินงบประมาณรายจ่ายลงทุนของแต่ละส่วนราช การ ส่วนแนวทางการดำเนินงานของส่วนราชการเจ้าของงบประมาณ ให้ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจถือปฏิบัติ ตามแนวทางแก้ไขปัญหาอุปสรรคในการเบิกจ่ายเงินงบประมาณโดยเคร่งครัด และเพื่อเร่งรัดการก่อหนี้ผูกพัน รายจ่ายลงทุน ให้ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจที่มีหน่วยงานในภูมิภาคเร่งโอนเงินงบประมาณไปให้หน่วยงานใน ภูมิภาคโดยเร็ว และเร่งดำเนินการก่อหนี้ผูกพันให้แล้วเสร็จภายในไตรมาสที่ 2 กับให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และจังหวัดแต่งตั้งคณะกรรมการหรือคณะทำงานขึ้นทำหน้าที่ติดตามเร่งรัดการเบิกจ่ายเงินงบประมาณให้เป็นไป ตามเป้าหมายที่คณะรัฐมนตรีเห็นชอบ และติดตามปัญหาอุปสรรคในการเบิกจ่ายเงินและดำเนินการตามมาตร การและแนวทางที่คณะกรรมการติดตามผลการใช้จ่ายเงินภาครัฐในปีงบประมาณ พ.ศ. 2547 กำหนดต่อไป รวม ทั้งให้ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจส่งสำเนาแผนการจัดซื้อจัดจ้างประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2547 ตามระบบงบ ประมาณแบบมุ่งเน้นผลงานที่จัดส่งให้สำนักงบประมาณให้กรมบัญชีกลางทราบ เพื่อประโยชน์ในการติดตามเร่ง รัดการเบิกจ่ายเงินงบประมาณของส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจ และให้รัฐมนตรีเจ้าสังกัดพิจารณาประสิทธิภาพ ของหัวหน้าส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจและผู้ว่าราชการจังหวัด ในกรณีที่ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจในส่วนกลางที่ มีอัตราการเบิกจ่ายรายจ่ายลงทุนต่ำกว่าร้อยละ 72 ของงบประมาณรายจ่ายลงทุนที่ได้รับ และกรณีที่ส่วนราช การและรัฐวิสาหกิจในส่วนภูมิภาคที่มีอัตราการเบิกจ่ายรายจ่ายลงทุนต่ำกว่าร้อยละ 72 ของงบประมาณราย จ่ายลงทุนที่ได้รับ ทั้งนี้ อัตราการเบิกจ่ายที่ต่ำกว่ากำหนดดังกล่าวจะต้องมิได้มีสาเหตุมาจากปัญหาที่เป็นปัจจัย ภายนอก และให้กระทรวงการคลังพิจารณากำหนดหลักเกณฑ์ในการให้รางวัลกับส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และ ส่วนภูมิภาคที่มีอัตราการเบิกจ่ายที่มีประสิทธิภาพสูงกว่า สำหรับแนวทางการดำเนินงานของหน่วยงานกลาง มอบหมายให้กรมบัญชีกลางรายงานผลการเบิกจ่ายเงินงบประมาณประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2547 ได้แก่ ราย งานภาพรวมการเบิกจ่ายเงินและปัญหาอุปสรรคพร้อมทั้งมาตรการที่ควรดำเนินการให้คณะรัฐมนตรีทราบ และ รายงานผลการเบิกจ่ายเงินรายส่วนราชการให้รัฐมนตรีเจ้าสังกัดทราบเพื่อประโยชน์ในการเร่งรัดการดำเนินงาน แก้ไขปัญหาอุปสรรคและทำให้การเร่งรัดการเบิกจ่ายเงินเป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนด นอกจากนี้ ให้สำนักงาน คณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นรายงานผลการติดตามการดำเนินงานปัญหา อุปสรรคขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นให้คณะรัฐมนตรีทราบ |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2865 | กระทู้ถามที่ 1222 ร. เรื่อง เร่งรัดลาดยางถนน | สผ | 28/10/2546 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอคำตอบกระทู้ถามที่ 1222 ร. เรื่อง เร่งรัดลาด
ยางถนน ของนายนิยม วรปัญญา สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดลพบุรี และให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อ ไป โดยสาระสำคัญของคำตอบสรุปได้ว่า กระทรวงคมนาคมโดยกรมทางหลวงชนบทได้ดำเนินการตรวจสอบเส้น ทางสายจากวัดท่าดินดำ-ท่ามะนาว ระยะทาง 2.000 กิโลเมตร พบว่าเป็นทางผิวจราจรลูกรัง ปัจจุบันอยู่ในความ รับผิดชอบขององค์การบริหารส่วนจังหวัดลพบุรี จึงเห็นควรให้องค์การบริหารส่วนจังหวัดลพบุรีรับไปพิจารณาถึง ความเหมาะสมในการปรับปรุงถนนลูกรังสายดังกล่าวให้เป็นถนนลาดยาง ส่วนถนนสายโรงเรียนนารายณ์วิทยา -บ้านท่าดินดำ กรมทางหลวงชนบทดำเนินการตรวจสอบแล้วพบว่า เป็นถนนสายสะพานนิยมชัยศิริ-โรงเรียน นารายณ์วิทยา ก่อสร้างเป็นถนนผิวจราจรลาดยางแล้ว ระยะทาง 1.345 กิโลเมตร คงเหลือยังไม่ได้ก่อสร้าง ระยะ ทาง 0.645 กิโลเมตร กรมทางหลวงชนบทได้พิจารณางบประมาณเพิ่มเติมเพื่อก่อสร้างเป็นถนนลาดยางแล้ว อยู่ ในระหว่างการจัดซื้อจัดจ้าง หากเมื่อก่อสร้างแล้วเสร็จจะพิจารณามอบโอนให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นไปดูแล บำรุงรักษาเนื่องจากมีลักษณะเป็นถนนสายย่อย ซึ่งเป็นภารกิจขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น สำหรับการรับ เป็นถนนหมายเลขเดี่ยวไม่สามารถดำเนินการได้ เนื่องจากทางหลวงหมายเลขเดี่ยวเป็นถนนลักษณะเชื่อมระหว่าง ภูมิภาค และสภาพการใช้ประโยชน์ของถนนดังกล่าวมิได้สอดคล้องเป็นถนนเชื่อมระหว่างภูมิภาค |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2866 | กระทู้ถามที่ 1235 ร. เรื่อง การสนับสนุนงบประมาณเพื่อการปรับปรุงและซ่อมแซมถนนในพื้นที่บ้านห้วยน้ำดีและบ้านห้วยน้ำเย็น อำเภอชาติตระการ จังหวัดพิษณุโลก | สผ | 28/10/2546 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอคำตอบกระทู้ถามที่ 1235 ร. เรื่อง การ
สนับสนุนงบประมาณเพื่อการปรับปรุงและซ่อมแซมถนนในพื้นที่บ้านห้วยน้ำดีและบ้านห้วยน้ำเย็น อำเภอชาติ ตระการ จังหวัดพิษณุโลก ของนายนคร มาฉิม สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดพิษณุโลก และให้ประกาศใน ราชกิจจานุเบกษาต่อไป โดยสาระสำคัญของคำตอบสรุปได้ว่า กระทรวงคมนาคม ได้มอบหมายให้กรมทาง หลวงบทดำเนินการตรวจสอบถนนสายบ้านห้วยน้ำดี ตำบลท่าสะแก และถนนสายบ้านห้วยน้ำเย็น ตำบล บ้านดง อำเภอชาติตระการ จังหวัดพิษณุโลก แล้วปรากฎว่า ถนนสายทั้ง 2 สาย มีสภาพเป็นถนนดินลูกรัง และ อยู่ในความรับผิดชอบขององค์การบริหารส่วนตำบลตำบลท่าสะแกและองค์การบริหารส่วนตำบลบ้านดง รวมทั้ง อยู่ในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ นอกจากนี้ ถนนทั้ง 2 สาย กรมทางหลวงชนบทไม่ได้รับการจัดสรรงบประมาณใน ปีพ.ศ. 2546 เนื่องจากอยู่ในความรับผิดชอบขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จึงต้องให้องค์กรปกครองส่วน ท้องถิ่นดำเนินการบำรุงรักษา หรือบูรณะลาดยางตามความจำเป็นเร่งด่วน โดยรัฐบาลได้สนับสนุนท้องถิ่นใน รูปงบประมาณอุดหนุนเป็นประจำทุก ๆ ปี อย่างไรก็ตาม หากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นไม่มีงบประมาณ ในการซ่อมบำรุง องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นสามารถประสานไปยังสำนักงานทางหลวงชนบทพิษณุโลก เพื่อ ขอความช่วยเหลือซ่อมแซมให้ใช้งานได้เป็นการชั่วคราวก่อน ตามกำลังงบประมาณที่จะสามารถช่วยเหลือเจียด จ่ายให้ เพื่อลดความเดือดร้อนของประชาชนในเบื้องต้น |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2867 | การจัดสรรเงินอุดหนุนเฉพาะกิจเพื่อพัฒนาองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นตามยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศ ปีงบประมาณ พ.ศ. 2547 | นร | 28/10/2546 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเกี่ยวกับเรื่อง การจัดสรรเงินอุดหนุนเฉพาะกิจเพื่อพัฒนาองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
ตามยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศ ปีงบประมาณ พ.ศ. 2547 ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ โดยที่เรื่องนี้ เกี่ยวข้องกับการพิจารณาจัดสรรเงินอุดหนุนเฉพาะกิจให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ซึ่งคณะกรรม การการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นควรพิจารณาก่อน และในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร เพื่อพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2547 ในวาระที่ 2 และ 3 เมื่อ วันที่ 3-5 กันยายน 2546 สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้ให้ข้อสังเกตในมาตรา 17 ซึ่งเป็นงบประมาณของกรมส่ง เสริมการปกครองส่วนท้องถิ่น กระทรวงมหาดไทย รายการเงินอุดหนุนเฉพาะกิจเพื่อพัฒนาองค์กรปกครองส่วน ท้องถิ่นตามยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศ จำนวน 3,226,543,600 บาท ว่า งบประมาณดังกล่าวมีการ กระจุกตัว และลงในพื้นที่ของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี งบประมาณ พ.ศ. 2547 จึงมอบให้รองนายกรัฐมนตรี (นายจาตุรนต์ ฉายแสง) ประธานกรรมการการกระจาย อำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นรับเรื่องนี้ไปพิจารณาทบทวน โดยอาจกำหนดกรอบหลักเกณฑ์ในการ พิจารณาจัดสรรเงินอุดหนุนเฉพาะกิจที่เหมาะสม และให้ประสานการดำเนินการกับกระทรวงมหาดไทย (กรมส่ง เสริมการปกครองท้องถิ่น) และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง ก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไปอีกครั้งหนึ่ง |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2868 | การจัดสรรเงินกู้เพื่อปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจ (SAL) | กค | 28/10/2546 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการคลังรายงานผลการอนุมัติจัดสรรเงินกู้เพื่อปรับโครงสร้าง
ทางเศรษฐกิจ (SAL) เพิ่มเติม จำนวน 6 โครงการ วงเงิน 1,149,767,260 บาท ประกอบด้วย โครงการเพิ่มขีด ความสามารถในการบริหารจัดการชุมชน ของกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม วงเงิน 14,442,860 บาท โครงการพลัง สังคม ของสำนักงานศาลปกครอง วงเงิน 10 ล้านบาท โครงการระบบบัญชีคอมพิวเตอร์ ขององค์กรปกครองส่วน ท้องถิ่น ของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติร่วมกับกรมส่งเสริมการปกครองท้อง ถิ่น วงเงิน 106,071,600 บาท โครงการจัดหาระบบตรวจสอบตู้คอนเทนเนอร์สินค้า ของกรมศุลกากร วงเงิน 970 ล้านบาท โครงการติดตามสถานการณ์ตลาดท่องเที่ยวโลก (Intranet) ของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย วงเงิน 28,675,800 บาท และโครงการจัดตั้งศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์แห่งชาติ ของธนาคารอาคารสงเคราะห์ วงเงิน 20,577,000 บาท |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2869 | การจัดสรรรายได้ให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น | นร | 28/10/2546 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายจาตุรนต์ ฉายแสง) ประธานกรรมการการ
กระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเสนอ ให้สำนักงบประมาณ กระทรวงมหาดไทย (กรมส่งเสริม การปกครองท้องถิ่น) และส่วนราชการที่เกี่ยวข้องถือปฏิบัติเกี่ยวกับการจัดสรรเงินอุดหนุนให้แก่องค์กรปกครอง ส่วนท้องถิ่น โดยให้ขอความเห็นจากคณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (กกถ.) และดำเนินการให้สอดคล้องกับมติของ กกถ. ที่ได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีแล้ว ก่อนที่จะนำร่างพระ ราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีเสนอต่อคณะรัฐมนตรี ทั้งนี้ ให้ประธาน กกถ. รับข้อสังเกตของคณะ รัฐมนตรีไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องด้วย ดังนี้ การพิจารณาพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่าย ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2547 ซึ่งมีผลใช้บังคับไปแล้ว สภาผู้แทนราษฎรมีข้อสังเกตว่า งบประมาณที่จัดสรร เป็นเงินอุดหนุนเฉพาะกิจให้แก่ท้องถิ่นในจังหวัดต่าง ๆ ยังมีลักษณะกระจุกตัว ดังนั้น รัฐบาลควรบริหารงบประ มาณให้เหมาะสมต่อไป และการพิจารณาจัดสรรเงินอุดหนุนให้แก่ท้องถิ่น กกถ. ควรประสานการดำเนินการกับ สำนักงบประมาณ กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น กระทรวงมหาดไทย อย่างใกล้ชิดด้วย สำหรับภารกิจต่างๆ หลายประการในท้องถิ่น ซึ่งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต้องเป็นผู้รับผิดชอบดำเนินการแทนหน่วยราชการส่วน กลาง นั้น ในการจัดสรรเงินอุดหนุนให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจำเป็นจะต้องมีความชัดเจนว่างบประมาณ ส่วนใดเป็นการจัดสรรไปเพื่อการดำเนินการตามภารกิจ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นควรจัดทำโครงการ/ แผนงานรองรับให้สอดคล้องกันด้วย นอกจากนี้ เพื่อให้การบริหารงบประมาณตลอดจนการควบคุมดูแลการใช้ จ่ายเงินงบประมาณขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ควรส่งเสริมให้มีการนำระบบ การจัดเก็บข้อมูลด้วยคอมพิวเตอร์ที่ทันสมัยมาใช้ และหากในระยะต่อไปองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีความ พร้อมในด้านต่าง ๆ มากยิ่งขึ้น ก็สามารถพัฒนาปรับปรุงการบริหารงานคลังและงบประมาณให้สมบูรณ์เป็น ระบบเดียวกับระบบการบริหารงานคลังภาครัฐด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ (GFMIS) ได้ต่อไป และโดยที่คณะ รัฐมนตรีได้มีมติ เกี่ยวกับแนวการพิจารณาการจัดสรรเงินอุดหนุนให้แก่ท้องถิ่น และการกำหนดงบอุดหนุน เฉพาะกิจไว้โดยเฉพาะ หากมติใดไม่สอดคล้องและเหมาะสมกับแนวทางการดำเนินการเรื่องนี้ในปัจจุบัน และ สมควรปรับปรุงแก้ไขข้อกฎหมายหรือระเบียบใดที่เกี่ยวข้อง ให้ กกถ. รับไปพิจารณาทบทวนเพื่อปรับปรุง แก้ไขหรือขอยกเลิกตามความจำเป็นเหมาะสมและนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2870 | โครงการเชียงใหม่ ซาฟารีไนท์ จังหวัดเชียงใหม่ | ทส | 28/10/2546 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอโครงการ
เชียงใหม่ ซาฟารี ไนท์ สำหรับงบประมาณดำเนินการในขั้นต้นให้เป็นไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับข้อสังเกตของคณะรัฐมนตรี ดังต่อไปนี้ ชื่อโครงการ "เชียงใหม่ ซาฟารี ไนท์ (Chiang Mai Safari Night)" น่าจะยังสื่อความหมายไม่สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ รวมทั้งโครงการ ฯ ตั้งอยู่ในพื้นที่อุทยานแห่งชาติเป็นส่วนใหญ่ จึงเห็นควรที่จะให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (กรม อุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช) รับผิดชอบในการดำเนินการก่อสร้างโครงการ ฯ โดยคำนึงถึงความประหยัด ความคุ้มค่า และความมีประสิทธิภาพของการใช้จ่ายงบประมาณ และเนื่องจากโครงการ ฯ เป็นการลงทุนก่อสร้าง แหล่งท่องเที่ยวขนาดใหญ่ ใช้วงเงินลงทุนสูงและในภูมิภาคนี้ก็มีคู่แข่งที่ดำเนินโครงการทำนองเดียวกันอยู่ก่อนแล้ว จึงต้องให้ความสำคัญกับรูปแบบการบริหารจัดการที่เอื้อต่อการบริหารจัดการในเชิงธุรกิจ เพื่อให้มีศักยภาพที่จะ แข่งขันได้ ในส่วนของการวิเคราะห์ผลตอบแทนของโครงการ ซึ่งมีความเป็นไปได้ในการลงทุนและให้ผลตอบแทนที่ คุ้มค่า จึงอาจพิจารณาใช้แหล่งเงินกู้ทดแทนการใช้จ่ายจากงบประมาณได้บางส่วน และอาจเชิญชวนเอกชนที่สนใจ ให้การสนับสนุนโครงการบางส่วนได้ด้วย นอกจากนี้ การกำหนดค่าเข้าชม ควรกำหนดในอัตราที่เหมาะสม โดย คำนึงถึงปัจจัยให้รอบด้านทั้งในส่วนของผู้เข้าชมที่เป็นชาวต่างประเทศ ผู้เข้าชมที่เป็นคนไทย และคนในท้องถิ่น ไป ประกอบการพิจารณาจัดทำรายละเอียดของโครงการ ฯ แล้วนำเสนอนายกรัฐมนตรีโดยด่วนต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2871 | กระทู้ถามที่ 767 ร. เรื่อง มาตรการตรวจสอบความปลอดภัยในการออกแบบอาคารที่มีชั้นใต้ดิน และอาคารสูง เพื่อให้เกิดความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน | สผ | 14/10/2546 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอคำตอบกระทู้ถามที่ 767 ร.
เรื่อง มาตรการตรวจสอบความปลอดภัยในการออกแบบ อาคารที่มีชั้นใต้ดิน และอาคารสูง เพื่อให้เกิดความ ปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ของนายนิยม วรปัญญา สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดลพบุรี และให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป โดยสาระสำคัญของคำตอบสรุปได้ว่า รัฐบาลโดยกระทรวงมหาด ไทยมีมาตรการในการตรวจสอบการออกแบบอาคารสูงและอาคารที่มีชั้นใต้ดินเพื่อให้เกิดความปลอดภัยและ ป้องกันอุบัติเหตุฉุกเฉิน ได้แก่ มาตรการตรวจสอบและควบคุมตามพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 รวมทั้งมาตรการตรวจสอบทางด้านวิศวกรรมและสถาปัตยกรรม ส่วนการอนุญาตให้ก่อสร้างอาคารสูงและ อาคารที่มีชั้นใต้ดิน ผู้ขออนุญาตก่อสร้างต้องปฏิบัติตามพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 มาตรา 21 คือ จะต้องได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงานท้องถิ่นหรือแจ้งต่อเจ้าพนักงานท้องถิ่น และให้ดำเนินการตาม มาตรา 39 ทวิ ซึ่งผู้ขออนุญาตจะต้องดำเนินการออกแบบให้ถูกต้องตามกฎหมายว่าด้วยการควบคุมอาคาร สำหรับอาคารสูงต้องปฏิบัติตามกฎกระทรวง ฉบับที่ 33 (พ.ศ. 2535) และตามกฎกระทรวง ฉบับที่ 50 (พ.ศ. 2540) ออกตามความในพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 เกี่ยวกับเรื่องของความปลอดภัย ในการป้องกันอัคคีภัย การสาธารณสุข และความปลอดภัยในด้านอื่น ๆ นอกจากนี้ กระทรวงมหาดไทย ได้มีการจัดพิมพ์กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการขออนุญาตก่อสร้างอาคารตามพระราชบัญญัติ ฯ ดังกล่าว เป็น หนังสือแจกจ่ายให้แก่ประชาชนที่สนใจ และได้จัดทำข้อมูลเผยแพร่ทาง WEB SITE ของกรมโยธาธิการและผัง เมือง ซึ่งสามารถเข้าชมได้ที่ http://www.pwd.go.th. รวมไปถึงแผนและมาตรการให้ข้อมูลข่าวสารและการ ประชาสัมพันธ์ในเรื่องความปลอดภัยให้กับประชาชนในกรณีหากเกิดเหตุฉุกเฉินในตัวอาคารที่ก่อสร้าง |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2872 | กระทู้ถามที่ 926 ร. เรื่อง ราษฎรได้รับความเดือดร้อนเกี่ยวกับน้ำประปาชนบท | สผ | 14/10/2546 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอคำตอบกระทู้ถามที่ 926 ร. เรื่อง
ราษฎรได้รับความเดือดร้อนเกี่ยวกับน้ำประปาชนบท ของนายเปรมศักดิ์ เพียยุระ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัด ขอนแก่น และให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป โดยสาระสำคัญของคำตอบสรุปได้ว่า ระบบประปาหมู่บ้าน ของหมู่ที่ 5 และหมู่ที่ 16 ตำบลโคกสำราญ กิ่งอำเภอบ้านแฮด จังหวัดขอนแก่นเป็นโครงการที่ได้รับการสนับสนุน งบประมาณจากกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข เปิดให้บริการน้ำประปาแก่ประชาชน เมื่อเดือนเมษายน 2544 ปัจจุบันได้โอนกิจการประปาให้แก่หมู่บ้านที่ระบบประปาตั้งอยู่เป็นผู้ดูแลและซ่อมบำรุงระบบประปา โดยหน่วยงาน ที่เกี่ยวข้องยังคงสนับสนุนความรู้ในด้านวิชาการให้แก่คณะกรรมการบริหารน้ำประปาของหมู่บ้านที่จัดตั้งขึ้น ทั้งนี้ กระทรวงมหาดไทย มีหน่วยงานองค์การบริหารส่วนตำบลที่ระบบประปาหมู่บ้าน ตั้งอยู่ในพื้นที่ในการกำกับดูแล การบริหารงานของคณะกรรมการบริหารน้ำประปาหมู่บ้าน ซึ่งดำเนินการเป็นคณะบุคคลในระดับหมู่บ้าน โดยมีกิ่ง อำเภอ/อำเภอ และจังหวัด เป็นหน่วยงานที่กำกับดูแลการบริหารงานของท้องถิ่นอีกชั้นหนึ่ง สำหรับในกิ่งอำเภอ บ้านแฮด จังหวัดขอนแก่น ได้กำกับดูแลการบริหารงานของคณะกรรมการบริหารน้ำประปาหมู่บ้าน หมู่ที่ 5 และ หมู่ที่ 16 ตำบลโคกสำราญ เพื่อให้ราษฎรได้รับบริการน้ำประปาที่มีคุณภาพมาโดยต่อเนื่อง โดยคณะกรรมการ บริหารน้ำประปาหมู่บ้านได้มีการบริหารงานกิจการประปาด้วยความโปร่งใส ยุติธรรม และสามารถตรวจสอบการ ดำเนินงานได้ และจากข้อเท็จจริงปรากฏว่า การใช้น้ำในการอุปโภคบริโภคไม่มีผลกระทบต่อร่างกายในเรื่องโรค ผิวหนังหรือผื่นคันต่าง ๆ การใช้น้ำอุปโภคบริโภคมีเพียงพอไม่ขาดแคลนการดำเนินกิจการประปาเป็นไปอย่างต่อ เนื่อง มีการดำเนินการถูกต้องตามหลักวิชาการ เช่น การเก็บตัวอย่างน้ำส่งตรวจ วิเคราะห์คุณภาพน้ำ การอบรม ผู้ดูแลรักษาระบบประปาอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันการดำเนินกิจการประปาของหมู่บ้านไม่ส่งผลเดือดร้อนต่อประ ชาชนในหมู่บ้านแต่อย่างใด |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2873 | ขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2545 และขออนุมัติแผนแม่บทโครงการฟื้นฟูและพัฒนาพื้นที่เสี่ยงภัยลุ่มน้ำก้อและลุ่มน้ำชุน จังหวัดเพชรบูรณ์ | ทส | 14/10/2546 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 3 (คกก.3) ที่พิจารณาการขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาราษฎรบุกรุกพื้นที่ป่าในเขตนิคมสร้างตนเอง สงเคราะห์ชาวเขาตามข้อเสนอของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยอนุมัติในหลักการให้ทบทวน มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2545 เรื่อง การแก้ไขปัญหาราษฎรบุกรุกพื้นที่ป่าในเขตนิคมสร้าง ตนเองสงเคราะห์ชาวเขา ซึ่งทางราชการยังไม่ได้เข้าไปใช้ประโยชน์ โดยให้กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์ พืช กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม มีอำนาจหน้าที่ดำเนินการบริเวณพื้นที่ที่กรมประชาสงเคราะห์ (เดิม) ส่งคืนกรมป่าไม้ตามมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าวแทนกรมป่าไม้ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และอนุมัติแผน แม่บทโครงการฟื้นฟูและพัฒนาพื้นที่เสี่ยงภัยลุ่มน้ำก้อและลุ่มน้ำชุน จังหวัดเพชรบูรณ์ ตามที่กระทรวงทรัพยากร ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ โดยให้รับความเห็นและข้อสังเกตของ คกก.3 ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ดังนี้ พื้นที่บริเวณลุ่มน้ำก้อและลุ่มน้ำชุนจำเป็นต้องเร่งฟื้นฟูและพัฒนาโดยด่วน โดยเน้นการมีส่วนร่วมของประชาชน เพื่อให้เกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืน และมีการจ้างแรงงานในท้องถิ่นมากกว่าการใช้เครื่องจักร เพื่อเป็นการสร้าง จิตสำนึกให้คนในพื้นที่เห็นคุณและโทษของการดูแลรักษาป่า ทั้งนี้ ให้กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ปรับแผนการดำเนินการให้สอดคล้องกับสภาพความเป็นจริงและสภาวะแวดล้อมของพื้นที่ด้วย และมีการติดตาม ประเมินผลสำเร็จของแผนในด้านการอยู่ร่วมกันระหว่างคนและป่า เพื่อใช้เป็นกรณีตัวอย่างกับพื้นที่ลุ่มน้ำชั้น 1 เอ ชั้น 1 บีอื่น ๆ ด้วย และเพื่อให้การฟื้นฟูและพัฒนาลุ่มน้ำดังกล่าวบรรลุเป้าหมายและวัตถุประสงค์ หน่วย งานที่รับผิดชอบควรประกาศเป็นพื้นที่ควบคุมตามกฎหมายให้ชัดเจน และควรพิจารณาจัดสรรเจ้าหน้าที่เพื่อทำ หน้าที่ดูแล ติดตามการฟื้นฟู ตลอดจนศึกษาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมอื่น ๆ เช่น ปริมาณน้ำฝน การเปลี่ยน แปลงของอุณหภูมิในพื้นที่ เป็นต้น เพื่อใช้เป็นข้อมูลในการพัฒนาพื้นที่ด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2874 | ขออนุมัติโครงการจัดตั้งศูนย์ความเป็นเลิศด้านวิทยาศาสตร์ชีวภาพของประเทศไทย | นร | 14/10/2546 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 3 (คกก.3) ใน
การพิจารณาโครงการจัดตั้งศูนย์ความเป็นเลิศด้านวิทยาศาสตร์ชีวภาพของประเทศไทย ทั้งนี้ ให้เปลี่ยนชื่อ "ศูนย์ ความเป็นเลิศด้านวิทยาศาสตร์ชีวภาพของประเทศไทย" เป็น "ศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์ของประเทศ ไทย" ด้วย สำหรับมติ คกก.3 ได้มีมติอนุมัติหลักการตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายสุวิทย์ คุณกิตติ) ประธาน กรรมการฝ่ายไทยสำหรับการประชุมไทย-สหรัฐอเมริกาด้านความร่วมมือในสาขา Life Sciences เสนอโครงการ จัดตั้งศูนย์ความเป็นเลิศด้านวิทยาศาสตร์ชีวภาพของประเทศไทย โดยให้ตกลงในรายละเอียดเรื่องค่าใช้จ่ายกับ สำนักงบประมาณ และให้รับความเห็นของ คกก.3 ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ดังนี้ การดำเนินการโครงการจัด ตั้งศูนย์ความเป็นเลิศด้านวิทยาศาสตร์ชีวภาพของประเทศไทยควรเร่งดำเนินการเพราะประเทศไทยมีความพร้อม ทั้งทรัพยากรทางชีวภาพและบุคลากร ประกอบกับปัจจุบันมูลค่าของสินค้าเทคโนโลยีชีวภาพในตลาดโลกมีแนว โน้มเติบโตขึ้น ซึ่งทำให้ประเทศไทยได้เปรียบประเทศอื่น ๆ หากมีการตัดสินใจดำเนินโครงการโดยเร็ว พร้อมกับ มีแผนการทำงานที่เหมาะสม โดยมุ่งที่การส่งเสริมให้ไทยเป็นที่รู้จักและยอมรับในระดับโลกในฐานะที่เป็นผู้มีบท บาทนำในด้าน Life Sciences และเป็นศูนย์กลางการลงทุนของโลกในด้านนี้ และในการจัดตั้งศูนย์ดังกล่าวที่เป็น รูปธรรมจะนำไปสู่การพัฒนาวิทยาศาสตร์ชีวภาพ และช่วยดึงดูดนักธุรกิจต่างชาติให้เข้ามาร่วมลงทุนและบริหาร จัดการ ศูนย์จะต้องมีการดำเนินงานที่คล่องตัวเป็นอิสระ ไม่อยู่ภายใต้กฎระเบียบที่เป็นอุปสรรค รวมทั้งในการ บริหารจัดการศูนย์เบื้องต้นจะต้องเตรียมแผนและความพร้อมด้านกำลังคน งบประมาณ ผลผลิต การวิจัยและ พัฒนาที่ชัดเจน รวมถึงการสร้างเครือข่ายเชื่อมโยงให้เกิดความร่วมมือระหว่างหน่วยงานต่างประเทศกับประเทศ ไทย ทั้งนี้ ให้แก้ไขเป้าหมายระยะยาวของโครงการ ข้อ 5 เป็น "ใช้ระบบการป้องกันทรัพยากรพันธุกรรม องค์ ความรู้ท้องถิ่น สิ่งบ่งชี้ด้านภูมิศาสตร์ในฐานะทรัพย์สินทางปัญญาอย่างหนึ่ง" ในส่วนของวงเงินงบประมาณค่าใช้ จ่าย ควรจัดทำรายละเอียดเพื่อขอรับการสนับสนุนจากงบกลาง รายการค่าใช้จ่ายเพื่อการเสริมสร้างศักยภาพ การแข่งขันและการพัฒนาที่ยั่งยืนของประเทศ โดยให้ตกลงรายละเอียดกับสำนักงบประมาณ และนำเสนอคณะ รัฐมนตรีเพื่อประกอบการพิจารณาด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2875 | สรุปผลการประชุมสมัยสามัญ ครั้งที่ 32 ของยูเนสโก | ศธ | 14/10/2546 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงศึกษาธิการรายงานสรุปผลการประชุมสมัยสามัญ ครั้งที่ 32
ของยูเนสโก ซึ่งได้จัดการประชุมขึ้นระหว่างวันที่ 29 กันยายน-6 ตุลาคม 2546 ณ กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ผู้เข้าร่วมการประชุมประกอบด้วยรัฐมนตรีศึกษาจากประเทศสมาชิกยูเนสโก จำนวน 190 ประเทศ โดยมีรัฐมนตรี ว่าการกระทรวงศึกษาธิการของไทยเป็นผู้แทนเข้าร่วมการประชุมดังกล่าว สำหรับสาระสำคัญในการประชุมครั้ง นี้ได้มีการกล่าวปราศรัยของรัฐมนตรีศึกษาและผู้แทนประเทศต่างๆ โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการของ ไทยได้กล่าวถึงการดำเนินการปฏิรูปการศึกษาโดยเน้นงานสำคัญ 5 ด้าน คือ การปฏิรูปโครงสร้าง การปฏิรูป การเรียนรู้ การปฏิรูปการบริหารและบริหารการศึกษา การปฏิรูปครูและบุคลากรทางการศึกษา การปฏิรูป ทรัพยากรกับการลงทุนทางการศึกษาและแนวคิดเรื่องคุณภาพการศึกษา พร้อมทั้งได้กล่าวถึงปฏิญญาสากลของ ยูเนสโก เกี่ยวกับความหลากหลายทางวัฒนธรรม เนื่องจากสอดคล้องกับนโยบายวัฒนธรรมของประเทศ โดย เสนอให้ยูเนสโกริเริ่มกิจกรรมติดตามผลการปฏิบัติตามปฏิญญาดังกล่าว ตลอดจนสนับสนุนการสงวนรักษาค่า นิยมด้านวัฒนธรรมของแต่ละชาติ และการอนุรักษ์มรดกทางวัฒนธรรมในระดับเยาวชน เพื่อกระตุ้นให้เกิดความ ตระหนักและเข้าใจในเรื่องนี้ให้มากขึ้น รวมไปถึงด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ ซึ่งกลายเป็นเครื่องมือในการพัฒนา สังคมทุกด้านนับว่ามีบทบาทในการสร้างสังคมแห่งความรู้ตามโครงการสำคัญๆ ของยูเนสโก นอกจากนี้ได้กล่าว ถึงโครงการความทรงจำของโลก ซึ่งทำให้มีการบันทึกเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ให้เป็นมรดกความทรงจำของ ชนรุ่งหลัง พร้อมกันนี้ ที่ประชุม ฯ มีการกล่าวต้อนรับการกลับเข้ามาเป็นสมาชิกอีกครั้งหนึ่งของประเทศสหรัฐ อเมริกา หลังจากที่ได้ลาออกจากการเป็นสมาชิกไปถึง 19 ปี และได้มีการกล่าวต้อนรับประเทศติมอร์ตะวันออก ที่ได้สมัครเข้าเป็นสมาชิกใหม่ขององค์การยูเนสโกด้วย ทั้งนี้ ที่ประชุม ฯ ได้มีการจัดประชุมโต๊ะกลมของรัฐมนตรี ศึกษาเพื่อหารือเรื่องคุณภาพการศึกษาสำหรับทุกคน ซึ่งผลการหารือ ที่ประชุมได้สรุปผลและเผยแพร่ผลการ ประชุมในรูปของ Joint Communique หรือแถลงการณ์ร่วมกันของรัฐมนตรีศึกษาที่เข้าร่วมการประชุมโดยแสดง ความเชื่อมั่นว่าการศึกษาที่มีคุณภาพ คือ เครื่องมือที่จะขจัดความเหลื่อมล้ำและแตกต่างกันในโลก โดยสิ่งสำคัญ คือ การพัฒนาระบบการศึกษาที่จะสร้างความสมดุลให้เกิดขึ้นทั้งในระดับท้องถิ่น ระดับชาติ และในระดับโลก ในบริบทของมนุษยชาติร่วมกัน และในระหว่างการประชุม ฯ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการของไทยได้ เจรจาระดับทวิภาคีกับประเทศต่าง ๆ และได้ศึกษาดูงานในสถาบันการศึกษาและ/พิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์ด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2876 | รายงานผลการเจรจากับบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ตามมติคณะรัฐมนตรีที่ให้ดำเนินการ | คค | 07/10/2546 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ โดยรับทราบผลการเจรจาต่อรองปรับลดหนี้ค่าน้ำมัน
พร้อมดอกเบี้ยขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) กับบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ได้ข้อสรุปว่า ขสมก. จะต้องชำระหนี้ค่าน้ำมันพร้อมดอกเบี้ยให้แก่บริษัท ปตท. ฯ เป็นเงิน 1,883.88 ล้านบาท (ค่าน้ำมัน 1,838.52 +ดอกเบี้ย 45.36 ล้านบาท) และอนุมัติให้ ขสมก. กู้เงินจำนวน 1,883.88 ล้านบาท เพื่อชำระหนี้ดังกล่าว โดย ให้ ขสมก. เป็นผู้ชำระต้นเงิน ดอกเบี้ย และค่าใช้จ่ายในการกู้เงิน โดยให้กระทรวงการคลังเป็นผู้พิจารณาวิธี การกู้เงิน เงื่อนไข และรายละเอียดต่างๆ ในการกู้เงินได้ตามความเหมาะสมและค้ำประกันเงินกู้ดังกล่าว ทั้งนี้ ให้ กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการ แก้ไขปัญหาขาดทุน และฐานะการเงินของ ขสมก. โดยให้ ขสมก. เร่งรัดการปรับปรุงกิจการตามมาตรการเพิ่ม รายได้และลดค่าใช้จ่าย รวมทั้งเร่งรัดการดำเนินการกำหนดบทบาทที่ชัดเจนของ ขสมก. ที่จะให้ดำเนินกิจการ เดินรถต่อไป หรือโอนกิจการให้เป็นหน้าที่ของหน่วยงานท้องถิ่น ไปพิจารณาดำเนินการด้วย นอกจากนี้ คณะ รัฐมนตรีมีความเห็นเพิ่มเติมด้วยว่า การแก้ไขปัญหาการขาดทุน และการปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินงาน ของ ขสมก. ให้ดียิ่งขึ้น ขสมก. จำเป็นต้องปรับเปลี่ยนบทบาทและแนวทางการดำเนินงานจากเดิมให้สอดคล้อง กับแผนหลักด้านการจราจรขนส่งในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ที่จะมีระบบการขนส่งมวลชนอื่น ๆ เข้า มามีบทบาทในการขนส่งผู้โดยสารเพิ่มขึ้น และ ขสมก. จะต้องลดบทบาทจากหน่วยงานรับส่งหลัก (main trunk) ลงมาเป็นหน่วยงานรับ-ส่งต่อ (feeder) มากขึ้น กับให้ ขสมก. พิจารณาแนวทางการลดต้นทุนค่าใช้จ่ายด้าน เชื้อเพลิงลง เช่น การนำก๊าซธรรมชาติมาใช้แทนน้ำมัน เป็นต้น ซึ่งจะช่วยลดปัญหามลพิษทางอากาศในกรุงเทพ มหานครและปริมณฑลได้อีกทางหนึ่งด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2877 | รายงานผลการจัดโครงการสัมมนา "รัฐบาลสื่อสารสู่สื่อท้องถิ่น" ครั้งที่ 4 | นร | 07/10/2546 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักนายกรัฐมนตรี โดยสำนักโฆษก รายงานผลการจัดโครงการสัมมนา
"รัฐบาลสื่อสารสู่สื่อท้องถิ่น" ครั้งที่ 4 และเห็นชอบตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายสุวิทย์ คุณกิตติ) เสนอเพิ่ม เติมว่า ต่อไปขอให้สำนักโฆษกนำสรุปคำตอบข้อซักถามของสื่อมวลชนในแต่ละประเด็นเสนอคณะรัฐมนตรีด้วย สำหรับโครงการสัมมนา "รัฐบาลสื่อสารสู่สื่อท้องถิ่น" ครั้งที่ 4 จัดขึ้นเมื่อวันเสาร์ที่ 13 กันยายน 2546 ณ จังหวัดขอนแก่น โดยมีรองนายกรัฐมนตรี (นายสุวิทย์ คุณกิตติ) ซึ่งกำกับการปฏิบัติราชการในพื้นที่เขต ตรวจราชการที่ 6 ที่ประกอบด้วยจังหวัดขอนแก่น เลย สกลนคร หนองคาย อุดรธานี และหนองบัวลำภู เป็น ประธาน โดยสาระสำคัญของการสัมมนาในครั้งนี้ ประกอบด้วย ประเด็นการสัมมนาภาคเช้า โดยรองนายก รัฐมนตรีได้ชี้แจงการบริหารงานของรัฐบาล และได้ร่วมกับโฆษกกระทรวงและผู้ตรวจราชการกระทรวงตอบข้อ ซักถามของสื่อมวลชนในประเด็นปัญหาต่าง ๆ ที่สำคัญ ส่วนประเด็นการสัมมนาภาคบ่ายเป็นการสัมมนาแลก เปลี่ยนความคิดเห็นกันระหว่างสื่อมวลชนท้องถิ่นกับคณะโฆษกกระทรวง ในหัวข้อปัญหาและอุปสรรคในการ ทำงานของสื่อมวลชนท้องถิ่น และความร่วมมือระหว่างโฆษกส่วนกลางกับสื่อมวลชนท้องถิ่นทางด้านข้อมูลข่าว สาร โดยสื่อมวลชนท้องถิ่นได้เสนอความเห็นว่า รัฐบาลควรสนับสนุนการดำเนินการสร้างความสัมพันธ์ที่ดี ระหว่างสื่อมวลชนท้องถิ่นกับสื่อมวลชนประเทศเพื่อนบ้านตามแนวชายแดน และต้องการให้รัฐบาลเห็นความ สำคัญของสื่อมวลชนท้องถิ่นให้มากขึ้น รวมทั้งจะมีมาตรการในการควบคุมวิทยุชุมชนอย่างไรและต้องการให้ รัฐบาลจัดทำแผนพัฒนาสื่อท้องถิ่นในเรื่องการใช้คอมพิวเตอร์ ทั้งนี้ ประเด็นปัญหาและข้อเสนอแนะดังกล่าว ที่สื่อมวลชนท้องถิ่นเสนอ นั้น คณะโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีและคณะโฆษกกระทรวงจะนำข้อเสนอที่ สำคัญและจำเป็นมาพิจารณาดำเนินการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้การประสานงานด้านการประชา สัมพันธ์และเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารของภาครัฐเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2878 | รายงานสรุปสถานการณ์อุทกภัย | มท | 07/10/2546 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติว่า ตามที่กระทรวงมหาดไทยได้รายงานสรุปสถานการณ์อุทกภัยในเวลาที่ผ่านมาตั้งแต่
วันที่ 2 กันยายน 2546 จนถึงปัจจุบัน ให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีทราบ โดยใช้ระบบการประชุมทางไกล นั้น คณะ รัฐมนตรีมีข้อสังเกตว่า ความเสียหายจากอุทกภัยในปี พ.ศ. 2546 โดยเฉพาะในพื้นที่เขตกรุงเทพมหานครมีความ รุนแรงน้อยกว่าทุกปี เนื่องจากมีการบริหารจัดการและเตรียมการล่วงหน้าที่ดีตลอดทั้งปี ส่วนในภาคอื่น ๆ ได้แก่ ภาคใต้ ยังมีความเสี่ยงต่อการเกิดน้ำท่วมฉับพลันหากมีฝนตกหนัก จึงต้องเน้นการระบายน้ำลงทะเลอย่างรวดเร็ว องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจึงควรดำเนินการขุดลอกคู คลอง และร่องน้ำ เพื่อให้สามารถระบายน้ำได้โดยสะดวก ภาคเหนือ ลุ่มน้ำใดที่ได้จัดทำแผนเสร็จแล้ว จะต้องเร่งรัดให้มีการบูรณาการในภาพรวม สำหรับการแก้ไขปัญหา อุทกภัยในบางจังหวัดที่ไม่เกี่ยวกับแผนในภาพรวม เช่น เชียงราย ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดดำเนินการแก้ไขปัญหาให้ แล้วเสร็จโดยเร็ว และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งลักษณะของพื้นที่ทำให้น้ำไหลมารวมกันในปริมาณมากที่จังหวัด อำนาจเจริญ และอุบลราชธานี แนวทางการแก้ไขที่เหมาะสม คือ ต้องเก็บกักน้ำด้านบนไว้พร้อม ๆ กับเร่งระบาย น้ำจากพื้นที่ด้านล่าง แต่ยังมีอุปสรรคสำคัญ คือ แก่งต่าง ๆ โดยเฉพาะแก่งในลำน้ำมูล ขณะนี้มหาวิทยาลัยอุบล ราชธานีอยู่ระหว่างการศึกษาเพื่อเสนอแนวทางแก้ไขต่อไป และตามที่นายกรัฐมนตรีได้ให้นโยบายการแก้ไขปัญหา อุทกภัย ว่าควรแบ่งเป็น 3 ระยะ คือ ระยะเร่งด่วน ระยะปานกลาง และระยะยาว ขณะนี้พบว่า กิจกรรมหลายกิจ กรรมในระยะเร่งด่วน ยังไม่มีความก้าวหน้าเท่าที่ควร หน่วยงานที่รับผิดชอบจึงควรให้ความสำคัญและเร่งรัดการ ดำเนินการให้แล้วเสร็จโดยเร็ว รวมทั้งการดำเนินการแก้ปัญหาอุทกภัย ควรเน้นวิธีการป้องกันมากกว่าการแก้ไข โดยเฉพาะในพื้นที่ที่ประสบปัญหาอุทกภัยในช่วงเวลาและบริเวณพื้นที่ที่ซ้ำกันทุกปี เนื่องจากการป้องกันล่วงหน้า จะช่วยลดระดับของผลกระทบและความเสียหาย สามารถประหยัดงบประมาณได้มากกว่าการแก้ไข จึงมอบให้รอง นายกรัฐมนตรี (นายสุวิทย์ คุณกิตติ) รับข้อสังเกตดังกล่าวไปพิจารณา |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2879 | มติการประชุมคณะกรรมการนโยบายกระจายความเจริญไปสู่ภูมิภาคและท้องถิ่นและการกำหนดเกณฑ์พื้นฐานในการดำรงชีวิตของคนไทย | นร | 30/09/2546 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายจาตุรนต์ ฉายแสง) ประธานกรรมการนโยบายกระจาย
ความเจริญไปสู่ภูมิภาคและท้องถิ่นเสนอ ดังนี้ เห็นชอบเกณฑ์พื้นฐานในการดำรงชีวิตของคนไทย 10 ประการ เพื่อ นำไปสู่การเพิ่มรายได้ให้ทุกครัวเรือนพ้นจากเกณฑ์ความยากจน ตามมติการประชุมคณะกรรมการนโยบายกระจาย ความเจริญไปสู่ภูมิภาคและท้องถิ่น (กนภ.) ดังนี้ "ความสอดคล้องกับรัฐธรรมนูญ" (1) ทุกคนได้รับการศึกษาใน ระบบโรงเรียนไม่น้อยกว่า 12 ปี และมีโอกาสเรียนรู้ตลอดชีวิตเพื่อพัฒนาความรู้ ทักษะฝีมือ และวิชาชีพที่จำเป็นใน การดำรงชีวิต (2) ทุกคนได้รับการประกันสุขภาพที่ได้มาตรฐาน (3) ผู้ที่มีอายุเกิน 60 ปี และไม่มีรายได้เพียงพอ ในการยังชีพได้รับหลักประกันความมั่นคงในการดำรงชีวิต "ความจำเป็นพื้นฐานในการดำรงชีวิต" (4) ทุกคนได้รับ อาหารที่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย (5) ทุกคนมีความมั่นคงในที่พักพิง (6) ทุกคนมีน้ำสะอาดเพื่อดื่ม อย่างน้อย 5 ลิตร/คน/วัน และมีน้ำใช้อย่างน้อย 45 ลิตร/คน/วัน (7) ทุกครัวเรือนมีไฟฟ้าใช้ (8) ทุกคนมีโอกาส รับรู้ข้อมูลข่าวสารที่จำเป็นต่อการประกอบอาชีพ และ "ความมั่นคงในชีวิต" (9) ทุกคนมีโอกาสเข้าถึงทรัพยากรและ แหล่งทุนในการประกอบอาชีพ (10) ทุกครัวเรือนมีความมั่นคงปลอดภัยในชีวิต และปลอดจากยาเสพติด และเห็น ชอบการปรับมติที่ประชุม กนภ. เรื่องการลดปัญหาจนเฉียบพลันจากภัยธรรมชาติ โดยได้ปรับมติที่ประชุมให้มีการ นำความเห็นของที่ประชุมเป็นกรอบในการศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมโดยโยงไปถึงปัญหาเชิงโครงสร้างทั้งระบบ และ เรื่องการแปลงหนี้สินนอกระบบเป็นสินเชื่อเอื้ออาทร โดยได้ปรับมติที่ประชุมให้ศึกษาเพิ่มเติมในการเข้าถึงแหล่งสิน เชื่อระยะยาว โดยโยงถึงการปรับสินเชื่อทั้งระบบ เพื่อให้เกิดความชัดเจนในกรอบนโยบายและแนวปฏิบัติ |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2880 | รายงานสถานการณ์และการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย ปีงบประมาณ พ.ศ. 2546 | มท | 30/09/2546 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงมหาดไทยรายงานสถานการณ์และการให้ความช่วยเหลือผู้
ประสบอุทกภัย ปีงบประมาณ พ.ศ. 2546 สรุปได้ดังนี้ ตามที่เกิดน้ำท่วมฉับพลันในที่ลุ่มบางพื้นที่ โดย ณ วันที่ 15 กันยายน 2546 มีพื้นที่ประสบภัย จำนวน 29 จังหวัด 99 อำเภอ 6 กิ่งอำเภอ 275 ตำบล 704 หมู่บ้าน มีราษฎรเสียชีวิต 4 คน ถนน สะพาน บ้านเรือนของราษฎร และพื้นที่เกษตรกรรม ได้รับความเสียหาย ซึ่งจาก เหตุการณ์ดังกล่าวทางจังหวัดและหน่วยการปกครองส่วนท้องถิ่นในพื้นที่ประสบภัย รวมทั้งในส่วนของกรมป้อง กันและบรรเทาสาธารณภัยได้ดำเนินการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในด้านต่าง ๆ แล้ว สำหรับแนวโน้มสถาน การณ์อุทกภัย กรมอุตุนิยมวิทยาได้คาดการณ์ว่า ช่วงระหว่างวันที่ 17 - 19 กันยายน 2546 อาจมีฝนตกมาก และอาจมีน้ำป่าไหลหลาก น้ำท่วมฉับพลัน และน้ำล้นตลิ่งในบางพื้นที่ โดยในช่วงเดือนตุลาคมอาจเกิดฝนตก หนัก ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะผู้อำนวยการป้องกันภัยฝ่ายพลเรือนแห่งราชอาณาจักรได้ จัดประชุมส่วนราชการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการเตรียมการและให้ความช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย โดย มอบนโยบายเพื่อให้ถือปฏิบัติเพิ่มเติม ดังนี้ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องติดตามและเฝ้าระวังสถานการณ์อุทกภัยที่ เกิดขึ้นโดยใกล้ชิด ออกเยี่ยมผู้ประสบอุทกภัยเป็นระยะ ๆ และด้วยความรวดเร็ว ประชาสัมพันธ์ผลการให้ความ ช่วยเหลือประชาชนแก่สื่อมวลชนอย่างต่อเนื่อง กรณีการให้ความช่วยเหลือทางราชการไม่เพียงพอ ให้กรมป้อง กันและบรรเทาสาธารณภัยประสานสำนักนายกรัฐมนตรีเพื่อขอใช้เงินส่วนที่ประชาชนบริจาคมาและยังมีเหลือ อยู่ เพื่อให้การช่วยเหลือได้อย่างเพียงพอ กับให้มีการประชุมศูนย์อำนวยการเฉพาะกิจ ฯ อย่างต่อเนื่องเพื่อให้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันติดตามสถานการณ์ และร่วมกันพิจารณาให้ความช่วยเหลือให้เป็นไปด้วยความทั่ว ถึง นอกจากนี้ ให้กรมชลประทานลดระดับความรุนแรงของอุทกภัยในพื้นที่เสี่ยงภัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งจังหวัด ในที่ลุ่มภาคกลาง โดยให้ประสานข้อมูลกับกรมอุตุนิยมวิทยาโดยใกล้ชิดด้วย |