ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 144 จากทั้งหมด 199 หน้า แสดงรายการที่ 2861 - 2880 จากข้อมูลทั้งหมด 3975 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
2861 | การจัดสรรเงินกู้เพื่อปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจ (SAL) | กค | 28/10/2546 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการคลังรายงานผลการอนุมัติจัดสรรเงินกู้เพื่อปรับโครงสร้าง
ทางเศรษฐกิจ (SAL) เพิ่มเติม จำนวน 6 โครงการ วงเงิน 1,149,767,260 บาท ประกอบด้วย โครงการเพิ่มขีด ความสามารถในการบริหารจัดการชุมชน ของกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม วงเงิน 14,442,860 บาท โครงการพลัง สังคม ของสำนักงานศาลปกครอง วงเงิน 10 ล้านบาท โครงการระบบบัญชีคอมพิวเตอร์ ขององค์กรปกครองส่วน ท้องถิ่น ของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติร่วมกับกรมส่งเสริมการปกครองท้อง ถิ่น วงเงิน 106,071,600 บาท โครงการจัดหาระบบตรวจสอบตู้คอนเทนเนอร์สินค้า ของกรมศุลกากร วงเงิน 970 ล้านบาท โครงการติดตามสถานการณ์ตลาดท่องเที่ยวโลก (Intranet) ของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย วงเงิน 28,675,800 บาท และโครงการจัดตั้งศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์แห่งชาติ ของธนาคารอาคารสงเคราะห์ วงเงิน 20,577,000 บาท |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2862 | การจัดสรรรายได้ให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น | นร | 28/10/2546 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายจาตุรนต์ ฉายแสง) ประธานกรรมการการ
กระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเสนอ ให้สำนักงบประมาณ กระทรวงมหาดไทย (กรมส่งเสริม การปกครองท้องถิ่น) และส่วนราชการที่เกี่ยวข้องถือปฏิบัติเกี่ยวกับการจัดสรรเงินอุดหนุนให้แก่องค์กรปกครอง ส่วนท้องถิ่น โดยให้ขอความเห็นจากคณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (กกถ.) และดำเนินการให้สอดคล้องกับมติของ กกถ. ที่ได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีแล้ว ก่อนที่จะนำร่างพระ ราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีเสนอต่อคณะรัฐมนตรี ทั้งนี้ ให้ประธาน กกถ. รับข้อสังเกตของคณะ รัฐมนตรีไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องด้วย ดังนี้ การพิจารณาพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่าย ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2547 ซึ่งมีผลใช้บังคับไปแล้ว สภาผู้แทนราษฎรมีข้อสังเกตว่า งบประมาณที่จัดสรร เป็นเงินอุดหนุนเฉพาะกิจให้แก่ท้องถิ่นในจังหวัดต่าง ๆ ยังมีลักษณะกระจุกตัว ดังนั้น รัฐบาลควรบริหารงบประ มาณให้เหมาะสมต่อไป และการพิจารณาจัดสรรเงินอุดหนุนให้แก่ท้องถิ่น กกถ. ควรประสานการดำเนินการกับ สำนักงบประมาณ กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น กระทรวงมหาดไทย อย่างใกล้ชิดด้วย สำหรับภารกิจต่างๆ หลายประการในท้องถิ่น ซึ่งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต้องเป็นผู้รับผิดชอบดำเนินการแทนหน่วยราชการส่วน กลาง นั้น ในการจัดสรรเงินอุดหนุนให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจำเป็นจะต้องมีความชัดเจนว่างบประมาณ ส่วนใดเป็นการจัดสรรไปเพื่อการดำเนินการตามภารกิจ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นควรจัดทำโครงการ/ แผนงานรองรับให้สอดคล้องกันด้วย นอกจากนี้ เพื่อให้การบริหารงบประมาณตลอดจนการควบคุมดูแลการใช้ จ่ายเงินงบประมาณขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ควรส่งเสริมให้มีการนำระบบ การจัดเก็บข้อมูลด้วยคอมพิวเตอร์ที่ทันสมัยมาใช้ และหากในระยะต่อไปองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีความ พร้อมในด้านต่าง ๆ มากยิ่งขึ้น ก็สามารถพัฒนาปรับปรุงการบริหารงานคลังและงบประมาณให้สมบูรณ์เป็น ระบบเดียวกับระบบการบริหารงานคลังภาครัฐด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ (GFMIS) ได้ต่อไป และโดยที่คณะ รัฐมนตรีได้มีมติ เกี่ยวกับแนวการพิจารณาการจัดสรรเงินอุดหนุนให้แก่ท้องถิ่น และการกำหนดงบอุดหนุน เฉพาะกิจไว้โดยเฉพาะ หากมติใดไม่สอดคล้องและเหมาะสมกับแนวทางการดำเนินการเรื่องนี้ในปัจจุบัน และ สมควรปรับปรุงแก้ไขข้อกฎหมายหรือระเบียบใดที่เกี่ยวข้อง ให้ กกถ. รับไปพิจารณาทบทวนเพื่อปรับปรุง แก้ไขหรือขอยกเลิกตามความจำเป็นเหมาะสมและนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2863 | โครงการเชียงใหม่ ซาฟารีไนท์ จังหวัดเชียงใหม่ | ทส | 28/10/2546 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอโครงการ
เชียงใหม่ ซาฟารี ไนท์ สำหรับงบประมาณดำเนินการในขั้นต้นให้เป็นไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับข้อสังเกตของคณะรัฐมนตรี ดังต่อไปนี้ ชื่อโครงการ "เชียงใหม่ ซาฟารี ไนท์ (Chiang Mai Safari Night)" น่าจะยังสื่อความหมายไม่สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ รวมทั้งโครงการ ฯ ตั้งอยู่ในพื้นที่อุทยานแห่งชาติเป็นส่วนใหญ่ จึงเห็นควรที่จะให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (กรม อุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช) รับผิดชอบในการดำเนินการก่อสร้างโครงการ ฯ โดยคำนึงถึงความประหยัด ความคุ้มค่า และความมีประสิทธิภาพของการใช้จ่ายงบประมาณ และเนื่องจากโครงการ ฯ เป็นการลงทุนก่อสร้าง แหล่งท่องเที่ยวขนาดใหญ่ ใช้วงเงินลงทุนสูงและในภูมิภาคนี้ก็มีคู่แข่งที่ดำเนินโครงการทำนองเดียวกันอยู่ก่อนแล้ว จึงต้องให้ความสำคัญกับรูปแบบการบริหารจัดการที่เอื้อต่อการบริหารจัดการในเชิงธุรกิจ เพื่อให้มีศักยภาพที่จะ แข่งขันได้ ในส่วนของการวิเคราะห์ผลตอบแทนของโครงการ ซึ่งมีความเป็นไปได้ในการลงทุนและให้ผลตอบแทนที่ คุ้มค่า จึงอาจพิจารณาใช้แหล่งเงินกู้ทดแทนการใช้จ่ายจากงบประมาณได้บางส่วน และอาจเชิญชวนเอกชนที่สนใจ ให้การสนับสนุนโครงการบางส่วนได้ด้วย นอกจากนี้ การกำหนดค่าเข้าชม ควรกำหนดในอัตราที่เหมาะสม โดย คำนึงถึงปัจจัยให้รอบด้านทั้งในส่วนของผู้เข้าชมที่เป็นชาวต่างประเทศ ผู้เข้าชมที่เป็นคนไทย และคนในท้องถิ่น ไป ประกอบการพิจารณาจัดทำรายละเอียดของโครงการ ฯ แล้วนำเสนอนายกรัฐมนตรีโดยด่วนต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2864 | กระทู้ถามที่ 767 ร. เรื่อง มาตรการตรวจสอบความปลอดภัยในการออกแบบอาคารที่มีชั้นใต้ดิน และอาคารสูง เพื่อให้เกิดความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน | สผ | 14/10/2546 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอคำตอบกระทู้ถามที่ 767 ร.
เรื่อง มาตรการตรวจสอบความปลอดภัยในการออกแบบ อาคารที่มีชั้นใต้ดิน และอาคารสูง เพื่อให้เกิดความ ปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ของนายนิยม วรปัญญา สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดลพบุรี และให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป โดยสาระสำคัญของคำตอบสรุปได้ว่า รัฐบาลโดยกระทรวงมหาด ไทยมีมาตรการในการตรวจสอบการออกแบบอาคารสูงและอาคารที่มีชั้นใต้ดินเพื่อให้เกิดความปลอดภัยและ ป้องกันอุบัติเหตุฉุกเฉิน ได้แก่ มาตรการตรวจสอบและควบคุมตามพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 รวมทั้งมาตรการตรวจสอบทางด้านวิศวกรรมและสถาปัตยกรรม ส่วนการอนุญาตให้ก่อสร้างอาคารสูงและ อาคารที่มีชั้นใต้ดิน ผู้ขออนุญาตก่อสร้างต้องปฏิบัติตามพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 มาตรา 21 คือ จะต้องได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงานท้องถิ่นหรือแจ้งต่อเจ้าพนักงานท้องถิ่น และให้ดำเนินการตาม มาตรา 39 ทวิ ซึ่งผู้ขออนุญาตจะต้องดำเนินการออกแบบให้ถูกต้องตามกฎหมายว่าด้วยการควบคุมอาคาร สำหรับอาคารสูงต้องปฏิบัติตามกฎกระทรวง ฉบับที่ 33 (พ.ศ. 2535) และตามกฎกระทรวง ฉบับที่ 50 (พ.ศ. 2540) ออกตามความในพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 เกี่ยวกับเรื่องของความปลอดภัย ในการป้องกันอัคคีภัย การสาธารณสุข และความปลอดภัยในด้านอื่น ๆ นอกจากนี้ กระทรวงมหาดไทย ได้มีการจัดพิมพ์กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการขออนุญาตก่อสร้างอาคารตามพระราชบัญญัติ ฯ ดังกล่าว เป็น หนังสือแจกจ่ายให้แก่ประชาชนที่สนใจ และได้จัดทำข้อมูลเผยแพร่ทาง WEB SITE ของกรมโยธาธิการและผัง เมือง ซึ่งสามารถเข้าชมได้ที่ http://www.pwd.go.th. รวมไปถึงแผนและมาตรการให้ข้อมูลข่าวสารและการ ประชาสัมพันธ์ในเรื่องความปลอดภัยให้กับประชาชนในกรณีหากเกิดเหตุฉุกเฉินในตัวอาคารที่ก่อสร้าง |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2865 | กระทู้ถามที่ 926 ร. เรื่อง ราษฎรได้รับความเดือดร้อนเกี่ยวกับน้ำประปาชนบท | สผ | 14/10/2546 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอคำตอบกระทู้ถามที่ 926 ร. เรื่อง
ราษฎรได้รับความเดือดร้อนเกี่ยวกับน้ำประปาชนบท ของนายเปรมศักดิ์ เพียยุระ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัด ขอนแก่น และให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป โดยสาระสำคัญของคำตอบสรุปได้ว่า ระบบประปาหมู่บ้าน ของหมู่ที่ 5 และหมู่ที่ 16 ตำบลโคกสำราญ กิ่งอำเภอบ้านแฮด จังหวัดขอนแก่นเป็นโครงการที่ได้รับการสนับสนุน งบประมาณจากกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข เปิดให้บริการน้ำประปาแก่ประชาชน เมื่อเดือนเมษายน 2544 ปัจจุบันได้โอนกิจการประปาให้แก่หมู่บ้านที่ระบบประปาตั้งอยู่เป็นผู้ดูแลและซ่อมบำรุงระบบประปา โดยหน่วยงาน ที่เกี่ยวข้องยังคงสนับสนุนความรู้ในด้านวิชาการให้แก่คณะกรรมการบริหารน้ำประปาของหมู่บ้านที่จัดตั้งขึ้น ทั้งนี้ กระทรวงมหาดไทย มีหน่วยงานองค์การบริหารส่วนตำบลที่ระบบประปาหมู่บ้าน ตั้งอยู่ในพื้นที่ในการกำกับดูแล การบริหารงานของคณะกรรมการบริหารน้ำประปาหมู่บ้าน ซึ่งดำเนินการเป็นคณะบุคคลในระดับหมู่บ้าน โดยมีกิ่ง อำเภอ/อำเภอ และจังหวัด เป็นหน่วยงานที่กำกับดูแลการบริหารงานของท้องถิ่นอีกชั้นหนึ่ง สำหรับในกิ่งอำเภอ บ้านแฮด จังหวัดขอนแก่น ได้กำกับดูแลการบริหารงานของคณะกรรมการบริหารน้ำประปาหมู่บ้าน หมู่ที่ 5 และ หมู่ที่ 16 ตำบลโคกสำราญ เพื่อให้ราษฎรได้รับบริการน้ำประปาที่มีคุณภาพมาโดยต่อเนื่อง โดยคณะกรรมการ บริหารน้ำประปาหมู่บ้านได้มีการบริหารงานกิจการประปาด้วยความโปร่งใส ยุติธรรม และสามารถตรวจสอบการ ดำเนินงานได้ และจากข้อเท็จจริงปรากฏว่า การใช้น้ำในการอุปโภคบริโภคไม่มีผลกระทบต่อร่างกายในเรื่องโรค ผิวหนังหรือผื่นคันต่าง ๆ การใช้น้ำอุปโภคบริโภคมีเพียงพอไม่ขาดแคลนการดำเนินกิจการประปาเป็นไปอย่างต่อ เนื่อง มีการดำเนินการถูกต้องตามหลักวิชาการ เช่น การเก็บตัวอย่างน้ำส่งตรวจ วิเคราะห์คุณภาพน้ำ การอบรม ผู้ดูแลรักษาระบบประปาอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันการดำเนินกิจการประปาของหมู่บ้านไม่ส่งผลเดือดร้อนต่อประ ชาชนในหมู่บ้านแต่อย่างใด |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2866 | ขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2545 และขออนุมัติแผนแม่บทโครงการฟื้นฟูและพัฒนาพื้นที่เสี่ยงภัยลุ่มน้ำก้อและลุ่มน้ำชุน จังหวัดเพชรบูรณ์ | ทส | 14/10/2546 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 3 (คกก.3) ที่พิจารณาการขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาราษฎรบุกรุกพื้นที่ป่าในเขตนิคมสร้างตนเอง สงเคราะห์ชาวเขาตามข้อเสนอของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยอนุมัติในหลักการให้ทบทวน มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2545 เรื่อง การแก้ไขปัญหาราษฎรบุกรุกพื้นที่ป่าในเขตนิคมสร้าง ตนเองสงเคราะห์ชาวเขา ซึ่งทางราชการยังไม่ได้เข้าไปใช้ประโยชน์ โดยให้กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์ พืช กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม มีอำนาจหน้าที่ดำเนินการบริเวณพื้นที่ที่กรมประชาสงเคราะห์ (เดิม) ส่งคืนกรมป่าไม้ตามมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าวแทนกรมป่าไม้ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และอนุมัติแผน แม่บทโครงการฟื้นฟูและพัฒนาพื้นที่เสี่ยงภัยลุ่มน้ำก้อและลุ่มน้ำชุน จังหวัดเพชรบูรณ์ ตามที่กระทรวงทรัพยากร ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ โดยให้รับความเห็นและข้อสังเกตของ คกก.3 ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ดังนี้ พื้นที่บริเวณลุ่มน้ำก้อและลุ่มน้ำชุนจำเป็นต้องเร่งฟื้นฟูและพัฒนาโดยด่วน โดยเน้นการมีส่วนร่วมของประชาชน เพื่อให้เกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืน และมีการจ้างแรงงานในท้องถิ่นมากกว่าการใช้เครื่องจักร เพื่อเป็นการสร้าง จิตสำนึกให้คนในพื้นที่เห็นคุณและโทษของการดูแลรักษาป่า ทั้งนี้ ให้กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ปรับแผนการดำเนินการให้สอดคล้องกับสภาพความเป็นจริงและสภาวะแวดล้อมของพื้นที่ด้วย และมีการติดตาม ประเมินผลสำเร็จของแผนในด้านการอยู่ร่วมกันระหว่างคนและป่า เพื่อใช้เป็นกรณีตัวอย่างกับพื้นที่ลุ่มน้ำชั้น 1 เอ ชั้น 1 บีอื่น ๆ ด้วย และเพื่อให้การฟื้นฟูและพัฒนาลุ่มน้ำดังกล่าวบรรลุเป้าหมายและวัตถุประสงค์ หน่วย งานที่รับผิดชอบควรประกาศเป็นพื้นที่ควบคุมตามกฎหมายให้ชัดเจน และควรพิจารณาจัดสรรเจ้าหน้าที่เพื่อทำ หน้าที่ดูแล ติดตามการฟื้นฟู ตลอดจนศึกษาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมอื่น ๆ เช่น ปริมาณน้ำฝน การเปลี่ยน แปลงของอุณหภูมิในพื้นที่ เป็นต้น เพื่อใช้เป็นข้อมูลในการพัฒนาพื้นที่ด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2867 | ขออนุมัติโครงการจัดตั้งศูนย์ความเป็นเลิศด้านวิทยาศาสตร์ชีวภาพของประเทศไทย | นร | 14/10/2546 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 3 (คกก.3) ใน
การพิจารณาโครงการจัดตั้งศูนย์ความเป็นเลิศด้านวิทยาศาสตร์ชีวภาพของประเทศไทย ทั้งนี้ ให้เปลี่ยนชื่อ "ศูนย์ ความเป็นเลิศด้านวิทยาศาสตร์ชีวภาพของประเทศไทย" เป็น "ศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์ของประเทศ ไทย" ด้วย สำหรับมติ คกก.3 ได้มีมติอนุมัติหลักการตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายสุวิทย์ คุณกิตติ) ประธาน กรรมการฝ่ายไทยสำหรับการประชุมไทย-สหรัฐอเมริกาด้านความร่วมมือในสาขา Life Sciences เสนอโครงการ จัดตั้งศูนย์ความเป็นเลิศด้านวิทยาศาสตร์ชีวภาพของประเทศไทย โดยให้ตกลงในรายละเอียดเรื่องค่าใช้จ่ายกับ สำนักงบประมาณ และให้รับความเห็นของ คกก.3 ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ดังนี้ การดำเนินการโครงการจัด ตั้งศูนย์ความเป็นเลิศด้านวิทยาศาสตร์ชีวภาพของประเทศไทยควรเร่งดำเนินการเพราะประเทศไทยมีความพร้อม ทั้งทรัพยากรทางชีวภาพและบุคลากร ประกอบกับปัจจุบันมูลค่าของสินค้าเทคโนโลยีชีวภาพในตลาดโลกมีแนว โน้มเติบโตขึ้น ซึ่งทำให้ประเทศไทยได้เปรียบประเทศอื่น ๆ หากมีการตัดสินใจดำเนินโครงการโดยเร็ว พร้อมกับ มีแผนการทำงานที่เหมาะสม โดยมุ่งที่การส่งเสริมให้ไทยเป็นที่รู้จักและยอมรับในระดับโลกในฐานะที่เป็นผู้มีบท บาทนำในด้าน Life Sciences และเป็นศูนย์กลางการลงทุนของโลกในด้านนี้ และในการจัดตั้งศูนย์ดังกล่าวที่เป็น รูปธรรมจะนำไปสู่การพัฒนาวิทยาศาสตร์ชีวภาพ และช่วยดึงดูดนักธุรกิจต่างชาติให้เข้ามาร่วมลงทุนและบริหาร จัดการ ศูนย์จะต้องมีการดำเนินงานที่คล่องตัวเป็นอิสระ ไม่อยู่ภายใต้กฎระเบียบที่เป็นอุปสรรค รวมทั้งในการ บริหารจัดการศูนย์เบื้องต้นจะต้องเตรียมแผนและความพร้อมด้านกำลังคน งบประมาณ ผลผลิต การวิจัยและ พัฒนาที่ชัดเจน รวมถึงการสร้างเครือข่ายเชื่อมโยงให้เกิดความร่วมมือระหว่างหน่วยงานต่างประเทศกับประเทศ ไทย ทั้งนี้ ให้แก้ไขเป้าหมายระยะยาวของโครงการ ข้อ 5 เป็น "ใช้ระบบการป้องกันทรัพยากรพันธุกรรม องค์ ความรู้ท้องถิ่น สิ่งบ่งชี้ด้านภูมิศาสตร์ในฐานะทรัพย์สินทางปัญญาอย่างหนึ่ง" ในส่วนของวงเงินงบประมาณค่าใช้ จ่าย ควรจัดทำรายละเอียดเพื่อขอรับการสนับสนุนจากงบกลาง รายการค่าใช้จ่ายเพื่อการเสริมสร้างศักยภาพ การแข่งขันและการพัฒนาที่ยั่งยืนของประเทศ โดยให้ตกลงรายละเอียดกับสำนักงบประมาณ และนำเสนอคณะ รัฐมนตรีเพื่อประกอบการพิจารณาด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2868 | สรุปผลการประชุมสมัยสามัญ ครั้งที่ 32 ของยูเนสโก | ศธ | 14/10/2546 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงศึกษาธิการรายงานสรุปผลการประชุมสมัยสามัญ ครั้งที่ 32
ของยูเนสโก ซึ่งได้จัดการประชุมขึ้นระหว่างวันที่ 29 กันยายน-6 ตุลาคม 2546 ณ กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ผู้เข้าร่วมการประชุมประกอบด้วยรัฐมนตรีศึกษาจากประเทศสมาชิกยูเนสโก จำนวน 190 ประเทศ โดยมีรัฐมนตรี ว่าการกระทรวงศึกษาธิการของไทยเป็นผู้แทนเข้าร่วมการประชุมดังกล่าว สำหรับสาระสำคัญในการประชุมครั้ง นี้ได้มีการกล่าวปราศรัยของรัฐมนตรีศึกษาและผู้แทนประเทศต่างๆ โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการของ ไทยได้กล่าวถึงการดำเนินการปฏิรูปการศึกษาโดยเน้นงานสำคัญ 5 ด้าน คือ การปฏิรูปโครงสร้าง การปฏิรูป การเรียนรู้ การปฏิรูปการบริหารและบริหารการศึกษา การปฏิรูปครูและบุคลากรทางการศึกษา การปฏิรูป ทรัพยากรกับการลงทุนทางการศึกษาและแนวคิดเรื่องคุณภาพการศึกษา พร้อมทั้งได้กล่าวถึงปฏิญญาสากลของ ยูเนสโก เกี่ยวกับความหลากหลายทางวัฒนธรรม เนื่องจากสอดคล้องกับนโยบายวัฒนธรรมของประเทศ โดย เสนอให้ยูเนสโกริเริ่มกิจกรรมติดตามผลการปฏิบัติตามปฏิญญาดังกล่าว ตลอดจนสนับสนุนการสงวนรักษาค่า นิยมด้านวัฒนธรรมของแต่ละชาติ และการอนุรักษ์มรดกทางวัฒนธรรมในระดับเยาวชน เพื่อกระตุ้นให้เกิดความ ตระหนักและเข้าใจในเรื่องนี้ให้มากขึ้น รวมไปถึงด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ ซึ่งกลายเป็นเครื่องมือในการพัฒนา สังคมทุกด้านนับว่ามีบทบาทในการสร้างสังคมแห่งความรู้ตามโครงการสำคัญๆ ของยูเนสโก นอกจากนี้ได้กล่าว ถึงโครงการความทรงจำของโลก ซึ่งทำให้มีการบันทึกเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ให้เป็นมรดกความทรงจำของ ชนรุ่งหลัง พร้อมกันนี้ ที่ประชุม ฯ มีการกล่าวต้อนรับการกลับเข้ามาเป็นสมาชิกอีกครั้งหนึ่งของประเทศสหรัฐ อเมริกา หลังจากที่ได้ลาออกจากการเป็นสมาชิกไปถึง 19 ปี และได้มีการกล่าวต้อนรับประเทศติมอร์ตะวันออก ที่ได้สมัครเข้าเป็นสมาชิกใหม่ขององค์การยูเนสโกด้วย ทั้งนี้ ที่ประชุม ฯ ได้มีการจัดประชุมโต๊ะกลมของรัฐมนตรี ศึกษาเพื่อหารือเรื่องคุณภาพการศึกษาสำหรับทุกคน ซึ่งผลการหารือ ที่ประชุมได้สรุปผลและเผยแพร่ผลการ ประชุมในรูปของ Joint Communique หรือแถลงการณ์ร่วมกันของรัฐมนตรีศึกษาที่เข้าร่วมการประชุมโดยแสดง ความเชื่อมั่นว่าการศึกษาที่มีคุณภาพ คือ เครื่องมือที่จะขจัดความเหลื่อมล้ำและแตกต่างกันในโลก โดยสิ่งสำคัญ คือ การพัฒนาระบบการศึกษาที่จะสร้างความสมดุลให้เกิดขึ้นทั้งในระดับท้องถิ่น ระดับชาติ และในระดับโลก ในบริบทของมนุษยชาติร่วมกัน และในระหว่างการประชุม ฯ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการของไทยได้ เจรจาระดับทวิภาคีกับประเทศต่าง ๆ และได้ศึกษาดูงานในสถาบันการศึกษาและ/พิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์ด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2869 | รายงานผลการเจรจากับบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ตามมติคณะรัฐมนตรีที่ให้ดำเนินการ | คค | 07/10/2546 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ โดยรับทราบผลการเจรจาต่อรองปรับลดหนี้ค่าน้ำมัน
พร้อมดอกเบี้ยขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) กับบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ได้ข้อสรุปว่า ขสมก. จะต้องชำระหนี้ค่าน้ำมันพร้อมดอกเบี้ยให้แก่บริษัท ปตท. ฯ เป็นเงิน 1,883.88 ล้านบาท (ค่าน้ำมัน 1,838.52 +ดอกเบี้ย 45.36 ล้านบาท) และอนุมัติให้ ขสมก. กู้เงินจำนวน 1,883.88 ล้านบาท เพื่อชำระหนี้ดังกล่าว โดย ให้ ขสมก. เป็นผู้ชำระต้นเงิน ดอกเบี้ย และค่าใช้จ่ายในการกู้เงิน โดยให้กระทรวงการคลังเป็นผู้พิจารณาวิธี การกู้เงิน เงื่อนไข และรายละเอียดต่างๆ ในการกู้เงินได้ตามความเหมาะสมและค้ำประกันเงินกู้ดังกล่าว ทั้งนี้ ให้ กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการ แก้ไขปัญหาขาดทุน และฐานะการเงินของ ขสมก. โดยให้ ขสมก. เร่งรัดการปรับปรุงกิจการตามมาตรการเพิ่ม รายได้และลดค่าใช้จ่าย รวมทั้งเร่งรัดการดำเนินการกำหนดบทบาทที่ชัดเจนของ ขสมก. ที่จะให้ดำเนินกิจการ เดินรถต่อไป หรือโอนกิจการให้เป็นหน้าที่ของหน่วยงานท้องถิ่น ไปพิจารณาดำเนินการด้วย นอกจากนี้ คณะ รัฐมนตรีมีความเห็นเพิ่มเติมด้วยว่า การแก้ไขปัญหาการขาดทุน และการปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินงาน ของ ขสมก. ให้ดียิ่งขึ้น ขสมก. จำเป็นต้องปรับเปลี่ยนบทบาทและแนวทางการดำเนินงานจากเดิมให้สอดคล้อง กับแผนหลักด้านการจราจรขนส่งในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ที่จะมีระบบการขนส่งมวลชนอื่น ๆ เข้า มามีบทบาทในการขนส่งผู้โดยสารเพิ่มขึ้น และ ขสมก. จะต้องลดบทบาทจากหน่วยงานรับส่งหลัก (main trunk) ลงมาเป็นหน่วยงานรับ-ส่งต่อ (feeder) มากขึ้น กับให้ ขสมก. พิจารณาแนวทางการลดต้นทุนค่าใช้จ่ายด้าน เชื้อเพลิงลง เช่น การนำก๊าซธรรมชาติมาใช้แทนน้ำมัน เป็นต้น ซึ่งจะช่วยลดปัญหามลพิษทางอากาศในกรุงเทพ มหานครและปริมณฑลได้อีกทางหนึ่งด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2870 | รายงานผลการจัดโครงการสัมมนา "รัฐบาลสื่อสารสู่สื่อท้องถิ่น" ครั้งที่ 4 | นร | 07/10/2546 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักนายกรัฐมนตรี โดยสำนักโฆษก รายงานผลการจัดโครงการสัมมนา
"รัฐบาลสื่อสารสู่สื่อท้องถิ่น" ครั้งที่ 4 และเห็นชอบตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายสุวิทย์ คุณกิตติ) เสนอเพิ่ม เติมว่า ต่อไปขอให้สำนักโฆษกนำสรุปคำตอบข้อซักถามของสื่อมวลชนในแต่ละประเด็นเสนอคณะรัฐมนตรีด้วย สำหรับโครงการสัมมนา "รัฐบาลสื่อสารสู่สื่อท้องถิ่น" ครั้งที่ 4 จัดขึ้นเมื่อวันเสาร์ที่ 13 กันยายน 2546 ณ จังหวัดขอนแก่น โดยมีรองนายกรัฐมนตรี (นายสุวิทย์ คุณกิตติ) ซึ่งกำกับการปฏิบัติราชการในพื้นที่เขต ตรวจราชการที่ 6 ที่ประกอบด้วยจังหวัดขอนแก่น เลย สกลนคร หนองคาย อุดรธานี และหนองบัวลำภู เป็น ประธาน โดยสาระสำคัญของการสัมมนาในครั้งนี้ ประกอบด้วย ประเด็นการสัมมนาภาคเช้า โดยรองนายก รัฐมนตรีได้ชี้แจงการบริหารงานของรัฐบาล และได้ร่วมกับโฆษกกระทรวงและผู้ตรวจราชการกระทรวงตอบข้อ ซักถามของสื่อมวลชนในประเด็นปัญหาต่าง ๆ ที่สำคัญ ส่วนประเด็นการสัมมนาภาคบ่ายเป็นการสัมมนาแลก เปลี่ยนความคิดเห็นกันระหว่างสื่อมวลชนท้องถิ่นกับคณะโฆษกกระทรวง ในหัวข้อปัญหาและอุปสรรคในการ ทำงานของสื่อมวลชนท้องถิ่น และความร่วมมือระหว่างโฆษกส่วนกลางกับสื่อมวลชนท้องถิ่นทางด้านข้อมูลข่าว สาร โดยสื่อมวลชนท้องถิ่นได้เสนอความเห็นว่า รัฐบาลควรสนับสนุนการดำเนินการสร้างความสัมพันธ์ที่ดี ระหว่างสื่อมวลชนท้องถิ่นกับสื่อมวลชนประเทศเพื่อนบ้านตามแนวชายแดน และต้องการให้รัฐบาลเห็นความ สำคัญของสื่อมวลชนท้องถิ่นให้มากขึ้น รวมทั้งจะมีมาตรการในการควบคุมวิทยุชุมชนอย่างไรและต้องการให้ รัฐบาลจัดทำแผนพัฒนาสื่อท้องถิ่นในเรื่องการใช้คอมพิวเตอร์ ทั้งนี้ ประเด็นปัญหาและข้อเสนอแนะดังกล่าว ที่สื่อมวลชนท้องถิ่นเสนอ นั้น คณะโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีและคณะโฆษกกระทรวงจะนำข้อเสนอที่ สำคัญและจำเป็นมาพิจารณาดำเนินการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้การประสานงานด้านการประชา สัมพันธ์และเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารของภาครัฐเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2871 | รายงานสรุปสถานการณ์อุทกภัย | มท | 07/10/2546 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติว่า ตามที่กระทรวงมหาดไทยได้รายงานสรุปสถานการณ์อุทกภัยในเวลาที่ผ่านมาตั้งแต่
วันที่ 2 กันยายน 2546 จนถึงปัจจุบัน ให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีทราบ โดยใช้ระบบการประชุมทางไกล นั้น คณะ รัฐมนตรีมีข้อสังเกตว่า ความเสียหายจากอุทกภัยในปี พ.ศ. 2546 โดยเฉพาะในพื้นที่เขตกรุงเทพมหานครมีความ รุนแรงน้อยกว่าทุกปี เนื่องจากมีการบริหารจัดการและเตรียมการล่วงหน้าที่ดีตลอดทั้งปี ส่วนในภาคอื่น ๆ ได้แก่ ภาคใต้ ยังมีความเสี่ยงต่อการเกิดน้ำท่วมฉับพลันหากมีฝนตกหนัก จึงต้องเน้นการระบายน้ำลงทะเลอย่างรวดเร็ว องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจึงควรดำเนินการขุดลอกคู คลอง และร่องน้ำ เพื่อให้สามารถระบายน้ำได้โดยสะดวก ภาคเหนือ ลุ่มน้ำใดที่ได้จัดทำแผนเสร็จแล้ว จะต้องเร่งรัดให้มีการบูรณาการในภาพรวม สำหรับการแก้ไขปัญหา อุทกภัยในบางจังหวัดที่ไม่เกี่ยวกับแผนในภาพรวม เช่น เชียงราย ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดดำเนินการแก้ไขปัญหาให้ แล้วเสร็จโดยเร็ว และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งลักษณะของพื้นที่ทำให้น้ำไหลมารวมกันในปริมาณมากที่จังหวัด อำนาจเจริญ และอุบลราชธานี แนวทางการแก้ไขที่เหมาะสม คือ ต้องเก็บกักน้ำด้านบนไว้พร้อม ๆ กับเร่งระบาย น้ำจากพื้นที่ด้านล่าง แต่ยังมีอุปสรรคสำคัญ คือ แก่งต่าง ๆ โดยเฉพาะแก่งในลำน้ำมูล ขณะนี้มหาวิทยาลัยอุบล ราชธานีอยู่ระหว่างการศึกษาเพื่อเสนอแนวทางแก้ไขต่อไป และตามที่นายกรัฐมนตรีได้ให้นโยบายการแก้ไขปัญหา อุทกภัย ว่าควรแบ่งเป็น 3 ระยะ คือ ระยะเร่งด่วน ระยะปานกลาง และระยะยาว ขณะนี้พบว่า กิจกรรมหลายกิจ กรรมในระยะเร่งด่วน ยังไม่มีความก้าวหน้าเท่าที่ควร หน่วยงานที่รับผิดชอบจึงควรให้ความสำคัญและเร่งรัดการ ดำเนินการให้แล้วเสร็จโดยเร็ว รวมทั้งการดำเนินการแก้ปัญหาอุทกภัย ควรเน้นวิธีการป้องกันมากกว่าการแก้ไข โดยเฉพาะในพื้นที่ที่ประสบปัญหาอุทกภัยในช่วงเวลาและบริเวณพื้นที่ที่ซ้ำกันทุกปี เนื่องจากการป้องกันล่วงหน้า จะช่วยลดระดับของผลกระทบและความเสียหาย สามารถประหยัดงบประมาณได้มากกว่าการแก้ไข จึงมอบให้รอง นายกรัฐมนตรี (นายสุวิทย์ คุณกิตติ) รับข้อสังเกตดังกล่าวไปพิจารณา |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2872 | มติการประชุมคณะกรรมการนโยบายกระจายความเจริญไปสู่ภูมิภาคและท้องถิ่นและการกำหนดเกณฑ์พื้นฐานในการดำรงชีวิตของคนไทย | นร | 30/09/2546 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายจาตุรนต์ ฉายแสง) ประธานกรรมการนโยบายกระจาย
ความเจริญไปสู่ภูมิภาคและท้องถิ่นเสนอ ดังนี้ เห็นชอบเกณฑ์พื้นฐานในการดำรงชีวิตของคนไทย 10 ประการ เพื่อ นำไปสู่การเพิ่มรายได้ให้ทุกครัวเรือนพ้นจากเกณฑ์ความยากจน ตามมติการประชุมคณะกรรมการนโยบายกระจาย ความเจริญไปสู่ภูมิภาคและท้องถิ่น (กนภ.) ดังนี้ "ความสอดคล้องกับรัฐธรรมนูญ" (1) ทุกคนได้รับการศึกษาใน ระบบโรงเรียนไม่น้อยกว่า 12 ปี และมีโอกาสเรียนรู้ตลอดชีวิตเพื่อพัฒนาความรู้ ทักษะฝีมือ และวิชาชีพที่จำเป็นใน การดำรงชีวิต (2) ทุกคนได้รับการประกันสุขภาพที่ได้มาตรฐาน (3) ผู้ที่มีอายุเกิน 60 ปี และไม่มีรายได้เพียงพอ ในการยังชีพได้รับหลักประกันความมั่นคงในการดำรงชีวิต "ความจำเป็นพื้นฐานในการดำรงชีวิต" (4) ทุกคนได้รับ อาหารที่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย (5) ทุกคนมีความมั่นคงในที่พักพิง (6) ทุกคนมีน้ำสะอาดเพื่อดื่ม อย่างน้อย 5 ลิตร/คน/วัน และมีน้ำใช้อย่างน้อย 45 ลิตร/คน/วัน (7) ทุกครัวเรือนมีไฟฟ้าใช้ (8) ทุกคนมีโอกาส รับรู้ข้อมูลข่าวสารที่จำเป็นต่อการประกอบอาชีพ และ "ความมั่นคงในชีวิต" (9) ทุกคนมีโอกาสเข้าถึงทรัพยากรและ แหล่งทุนในการประกอบอาชีพ (10) ทุกครัวเรือนมีความมั่นคงปลอดภัยในชีวิต และปลอดจากยาเสพติด และเห็น ชอบการปรับมติที่ประชุม กนภ. เรื่องการลดปัญหาจนเฉียบพลันจากภัยธรรมชาติ โดยได้ปรับมติที่ประชุมให้มีการ นำความเห็นของที่ประชุมเป็นกรอบในการศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมโดยโยงไปถึงปัญหาเชิงโครงสร้างทั้งระบบ และ เรื่องการแปลงหนี้สินนอกระบบเป็นสินเชื่อเอื้ออาทร โดยได้ปรับมติที่ประชุมให้ศึกษาเพิ่มเติมในการเข้าถึงแหล่งสิน เชื่อระยะยาว โดยโยงถึงการปรับสินเชื่อทั้งระบบ เพื่อให้เกิดความชัดเจนในกรอบนโยบายและแนวปฏิบัติ |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2873 | รายงานสถานการณ์และการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย ปีงบประมาณ พ.ศ. 2546 | มท | 30/09/2546 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงมหาดไทยรายงานสถานการณ์และการให้ความช่วยเหลือผู้
ประสบอุทกภัย ปีงบประมาณ พ.ศ. 2546 สรุปได้ดังนี้ ตามที่เกิดน้ำท่วมฉับพลันในที่ลุ่มบางพื้นที่ โดย ณ วันที่ 15 กันยายน 2546 มีพื้นที่ประสบภัย จำนวน 29 จังหวัด 99 อำเภอ 6 กิ่งอำเภอ 275 ตำบล 704 หมู่บ้าน มีราษฎรเสียชีวิต 4 คน ถนน สะพาน บ้านเรือนของราษฎร และพื้นที่เกษตรกรรม ได้รับความเสียหาย ซึ่งจาก เหตุการณ์ดังกล่าวทางจังหวัดและหน่วยการปกครองส่วนท้องถิ่นในพื้นที่ประสบภัย รวมทั้งในส่วนของกรมป้อง กันและบรรเทาสาธารณภัยได้ดำเนินการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในด้านต่าง ๆ แล้ว สำหรับแนวโน้มสถาน การณ์อุทกภัย กรมอุตุนิยมวิทยาได้คาดการณ์ว่า ช่วงระหว่างวันที่ 17 - 19 กันยายน 2546 อาจมีฝนตกมาก และอาจมีน้ำป่าไหลหลาก น้ำท่วมฉับพลัน และน้ำล้นตลิ่งในบางพื้นที่ โดยในช่วงเดือนตุลาคมอาจเกิดฝนตก หนัก ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะผู้อำนวยการป้องกันภัยฝ่ายพลเรือนแห่งราชอาณาจักรได้ จัดประชุมส่วนราชการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการเตรียมการและให้ความช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย โดย มอบนโยบายเพื่อให้ถือปฏิบัติเพิ่มเติม ดังนี้ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องติดตามและเฝ้าระวังสถานการณ์อุทกภัยที่ เกิดขึ้นโดยใกล้ชิด ออกเยี่ยมผู้ประสบอุทกภัยเป็นระยะ ๆ และด้วยความรวดเร็ว ประชาสัมพันธ์ผลการให้ความ ช่วยเหลือประชาชนแก่สื่อมวลชนอย่างต่อเนื่อง กรณีการให้ความช่วยเหลือทางราชการไม่เพียงพอ ให้กรมป้อง กันและบรรเทาสาธารณภัยประสานสำนักนายกรัฐมนตรีเพื่อขอใช้เงินส่วนที่ประชาชนบริจาคมาและยังมีเหลือ อยู่ เพื่อให้การช่วยเหลือได้อย่างเพียงพอ กับให้มีการประชุมศูนย์อำนวยการเฉพาะกิจ ฯ อย่างต่อเนื่องเพื่อให้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันติดตามสถานการณ์ และร่วมกันพิจารณาให้ความช่วยเหลือให้เป็นไปด้วยความทั่ว ถึง นอกจากนี้ ให้กรมชลประทานลดระดับความรุนแรงของอุทกภัยในพื้นที่เสี่ยงภัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งจังหวัด ในที่ลุ่มภาคกลาง โดยให้ประสานข้อมูลกับกรมอุตุนิยมวิทยาโดยใกล้ชิดด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2874 | ขออนุมัติเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2547 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น | นร | 30/09/2546 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเบิกจ่ายเงินงบประมาณรายจ่ายประจำ
ปีงบประมาณ พ.ศ. 2547 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นจำนวน 1,760,880 บาท เพื่อจ้างลูกจ้างชั่วคราวในโครงการจ้างลูกจ้างชั่วคราว เพื่อเสริมสร้างประสิทธิภาพการปฏิบัติงานต่อไปอีก 1 ปี ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2547 ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2546-30 กันยายน 2547 สำหรับการจ้างลูกจ้างดังกล่าว อย่างต่อเนื่องในปีงบประมาณ พ.ศ. 2548-พ.ศ. 2549 ให้ขอทำความตกลงกับคณะกรรมการกำหนดเป้าหมาย และนโยบายกำลังคนภาครัฐ ทั้งนี้ เมื่อได้ประกาศใช้ระเบียบว่าด้วยลูกจ้างสัญญาจ้างของส่วนราชการ พ.ศ. .... แล้ว ให้นำมาประกอบการพิจารณาด้วย และให้เบิกจ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2547 จำนวน 8,993,100 บาท และผูกพันงบประมาณปี พ.ศ. 2548 อีกจำนวน 9,006,900 บาท โดยให้นำไปสมทบ กับงบประมาณของกองทุนสนับสนุนการวิจัย เพื่อดำเนินโครงการวิจัยและพัฒนาเรื่องการเพิ่มขีดความสามารถ ในการบริหารจัดการขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ส่วนค่าใช้จ่ายในปีงบประมาณ พ.ศ. 2548 เพื่อดำเนิน โครงการดังกล่าว ให้สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปี โดยให้ตกลงใน รายละเอียดค่าใช้จ่ายกับสำนักงบประมาณอีกครั้งหนึ่ง |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2875 | การกำหนดเกณฑ์พื้นฐานในการดำรงชีวิตของคนไทย | นร | 30/09/2546 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายจาตุรนต์ ฉายแสง) ประธานกรรมการนโยบาย
กระจายความเจริญไปสู่ภูมิภาคและท้องถิ่น เสนอ เกณฑ์พื้นฐานในการดำรงชีวิตของคนไทย 10 ประการ เพื่อนำไป สู่การเพิ่มรายได้ให้ทุกครัวเรือนพ้นจากเกณฑ์ความยากจน ตามมติการประชุมคณะกรรมการนโยบายกระจายความ เจริญไปสู่ภูมิภาคและท้องถิ่น (กนภ.) ดังนี้ "ความสอดคล้องกับรัฐธรรมนูญ" (1) ทุกคนได้รับการศึกษาในระบบ โรงเรียนไม่น้อยกว่า 12 ปี และมีโอกาสเรียนรู้ตลอดชีวิตเพื่อพัฒนาความรู้ ทักษะฝีมือ และวิชาชีพที่จำเป็นในการ ดำรงชีวิต (2) ทุกคนได้รับการประกันสุขภาพที่ได้มาตรฐาน (3) ผู้ที่มีอายุเกิน 60 ปี และไม่มีรายได้เพียงพอ ในการยังชีพได้รับหลักประกันความมั่นคงในการดำรงชีวิต "ความจำเป็นพื้นฐานในการดำรงชีวิต" (4) ทุกคนได้รับ อาหารที่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย (5) ทุกคนมีความมั่นคงในที่พักพิง (6) ทุกคนมีน้ำสะอาดเพื่อดื่ม อย่างน้อย 5 ลิตร/คน/วัน และมีน้ำใช้อย่างน้อย 45 ลิตร/คน/วัน (7) ทุกครัวเรือนมีไฟฟ้าใช้ (8) ทุกคนมีโอกาส รับรู้ข้อมูลข่าวสารที่จำเป็นต่อการประกอบอาชีพ และ "ความมั่นคงในชีวิต" (9) ทุกคนมีโอกาสเข้าถึงทรัพยากรและ แหล่งทุนในการประกอบอาชีพ (10) ทุกครัวเรือนมีความมั่นคงปลอดภัยในชีวิต และปลอดจากยาเสพติด |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2876 | กระทู้ถามที่ 1022 ร. เรื่อง การแก้ไขปัญหาการก่อสร้างอาคารสูงที่หยุดชะงักในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจ | สผ | 30/09/2546 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอคำตอบกระทู้ถามที่ 1022 ร.
เรื่อง การแก้ไขปัญหาการก่อสร้างอาคารสูงที่หยุดชะงักในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจ ของนายเปรมศักดิ์ เพียยุระ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดขอนแก่น และให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป โดยสาระสำคัญของคำ ตอบสรุปได้ว่า กระทรวงมหาดไทยมีนโยบายที่จะแก้ไขปัญหาโครงการก่อสร้างอาคารสูง อาคารขนาดใหญ่ พิเศษ อาคารขนาดใหญ่ อาคารชุด อาคารอยู่อาศัยรวม และอาคารซึ่งอยู่ในโครงการที่ได้รับอนุญาตให้ทำ การจัดสรรที่ดินตามกฎหมายว่าด้วยการจัดสรรที่ดินที่ดำเนินการก่อสร้างไม่แล้วเสร็จ โดยกำหนดมาตรการ ผ่อนผันให้นำอาคารดังกล่าวมาขออนุญาตใหม่ โดยให้เจ้าพนักงานท้องถิ่นพิจารณาอนุญาตตามหลักเกณฑ์ เดียวกับการพิจารณาออกใบอนุญาตเดิมโดยออกเป็นกฎกระทรวง ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาดำเนิน การของกระทรวงมหาดไทย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2877 | โครงการที่พักอาศัยสำหรับสถาบันราชภัฏ | พม | 23/09/2546 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 6 (คกก.6) ที่
มีมติเกี่ยวกับโครงการที่พักอาศัยสำหรับสถาบันราชภัฏตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เสนอ โดยเห็นชอบให้การเคหะแห่งชาติ (กคช.) ดำเนินการก่อสร้างโครงการที่พักอาศัยสำหรับสถาบันราชภัฏ จำนวน 11 แห่ง รวมทั้งสถาบันราชภัฏชัยภูมิ สถาบันราชภัฏพระนครวิทยาเขตชัยบาดาล (ลพบุรี) สถาบันราช ภัฏสวนดุสิตวิทยาเขตตรัง และสถาบันราชภัฏอุบลราชธานี โดยให้ กคช. สามารถปรับเพิ่มลดจำนวนหน่วยที่พัก อาศัยของสถาบันราชภัฏแต่ละแห่งดังกล่าวได้ตามความต้องการที่แท้จริง ภายในวงเงินงบประมาณ วิธีการ แหล่ง เงินกู้ที่ได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีแล้ว ทั้งนี้ ให้ กคช. รับความเห็นของ คกก.6 และความเห็นของสำนัก งานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ไปดำเนินการต่อไป โดย คกก.6 มีความเห็นว่า ตามข้อสังเกตของคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับการพิจารณาสนับสนุนให้ใช้ผู้รับจ้างในท้องถิ่นเป็นผู้รับผิดชอบดำเนินการ การจ้างแรงงาน และการใช้วัสดุในพื้นที่เพื่อเป็นการช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในท้องถิ่นนั้นผู้รับจ้างในท้องถิ่นสามารถ เข้ามาเสนอราคาตามข้อกำหนดได้อยู่แล้ว ส่วนการจะได้งานหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับการแข่งขัน เพียงแต่การระบุข้อ กำหนดให้ผู้เสนอราคาต้องแสดงฐานะทางการเงินเป็นการกีดกันผู้รับจ้างในท้องถิ่นหรือไม่ และกรณีที่บริษัทเดียว กันสามารถเสนอราคาได้งาน 2 แห่ง เห็นควรให้คณะกรรมการตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. 2535 พิจารณาจำนวนสถาปนิก วิศวกร และคนงานว่าจะสามารถรับงานได้หรือไม่ และเดิมการที่ กคช. เข้า ไปดำเนินการโครงการให้ถือว่าเป็นต้นแบบ เนื่องจากสถาบันราชภัฏยังไม่มีความชำนาญในเรื่องนี้ โดยให้สถาบัน ราชภัฏรับไปดำเนินการโครงการต่อไป โดย กคช. เป็นหน่วยงานที่ให้ความรู้และสนับสนุนทางวิชาการ เพราะ กคช. ควรดำเนินงานตามที่รัฐมอบหมายเท่านั้น สำหรับความเห็นของ สศช. มีดังนี้ ควรให้ กคช. ดำเนินการเฉพาะ โครงการที่พักอาศัยสำหรับสถาบันราชภัฏดังกล่าว และมีความพร้อมในการดำเนินงานได้จริง ส่วนสถาบันราชภัฏ อื่นที่เสนอขอดำเนินการเพิ่มเติมเพื่อทดแทนสถาบันราชภัฏที่ยกเลิกการเข้าร่วมโครงการ ให้กระทรวงศึกษาธิการ และสถาบันราชภัฏต่าง ๆ ที่ขอเพิ่มเติมรับไปดำเนินการให้สอดคล้องกับนโยบายและความต้องการของสถาบัน ฯ และมีความพร้อมในการลงทุนได้ทันทีภายหลังการอนุมัติ รวมทั้งการบริหารจัดการเพื่อให้มีรายได้เพียงพอกับค่า ใช้จ่ายในการลงทุน โดยให้กระทรวงศึกษาธิการเป็นเจ้าของโครงการ และเป็นผู้ขออนุมัติแผนงานและงบประมาณ ต่อคณะรัฐมนตรีโดยตรงแทน กคช. ต่อไป กับให้ กคช. มีบทบาทเป็นเพียงผู้รับจ้าง ดำเนินการวางผังออกแบบ และควบคุมการก่อสร้างโครงการเท่านั้น นอกจากนี้ ควรกำหนดเป็นหลักการในกรณีที่หน่วยงานของรัฐมีความ ประสงค์จะใช้บริการจาก กคช. เพื่อสร้างอาคารที่พักอาศัย ให้หน่วยงานของรัฐนั้นเป็นเจ้าของโครงการและเป็นผู้ ขออนุมัติต่อคณะรัฐมนตรี โดยจะต้องมีความชัดเจนของเป้าหมาย ระยะเวลา วงเงินลงทุน และมีความพร้อมในการ ดำเนินงาน ในกรณีที่ต้องกู้เงินมาลงทุนจะต้องกำหนดผู้รับภาระการลงทุนและรายละเอียดของแผนการชำระคืน เงินต้นและดอกเบี้ยที่ชัดเจนด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2878 | การกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น | นร | 23/09/2546 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ โดยรับทราบสรุปผลการประชุมหา
รือเรื่อง การกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายจาตุรนต์ ฉายแสง) ประธานกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเสนอ และเห็นชอบให้ส่วนราชการที่เกี่ยว ข้องถือปฏิบัติตามผลการประชุมหารือต่อไป โดยผลการประชุมได้มีการหารือร่วมกันระหว่างนายกรัฐมนตรี รอง นายกรัฐมนตรี (นายจาตุรนต์ ฉายแสง) รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) รัฐมนตรีว่าการกระทรวง มหาดไทย และผู้ที่เกี่ยวข้อง โดยนายกรัฐมนตรีได้มอบนโยบายเกี่ยวกับการกระจายอำนาจ ว่าระบบการกระจาย อำนาจควรพิจารณาหรือคิดทบทวนว่าจะทำทีละส่วน หรือจะมองใหม่ทั้งระบบ และแต่ละองค์กรควรมีขอบเขตแค่ ไหน ถ้าไม่เหมาะสมก็ปรับใหม่ทั้งระบบ และการกระจายอำนาจโดยหลักต้องการให้ท้องถิ่นได้บอกความต้องการ ของท้องถิ่นและได้บริหารจัดการกันเอง แต่ส่วนกลางไปคิดแทน จึงมีปัญหาเพราะไม่รู้จริง ซึ่งปัจจุบันจะมีลักษณะ inside-out มาตลอด จึงควรแก้ inside-out ด้วย สำหรับการมีส่วนร่วม (participation) คือ ขอให้ไปสำรวจ ความต้องการของประชาชนและมากำหนดนโยบาย โดยพิจารณาความพร้อมเป็นหลัก ในเรื่องของผู้มีอิทธิพลที่เข้า มาบริหารจัดการเรื่องของท้องถิ่น รัฐบาลต้อง citizen-centered คือ ประชาธิปไตยนั้นเป็น means to an end โดย end ของประชาธิปไตย คือ ความผาสุกของประชาชนถือว่า ประชาธิปไตยนั้นเป็น means ที่ดี ส่วนการแก้ ปัญหาของประเทศไทยตามแนวทางที่รัฐบาลดำเนินการคือใช้ socialism economy จากฐานราก และ capitalism economy จากฐานบนเป็นการผสมผสาน และข้อคิดเห็นในเรื่องความไม่พร้อมของบุคลากรทางการเมืองด้วย นอกจากนี้ ที่ประชุมได้มีการหารือเรื่องของการจัดสรรรายได้ให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) การปรับ โครงสร้างของ อปท. ที่ยังไม่ชัดเจน ปัญหาการถ่ายโอนภารกิจ การทุจริต การขาดการติดตามตรวจสอบ ประโยชน์ที่ประชาชนได้รับ บทบาทหน้าที่ขององค์การบริหารส่วนจังหวัดกับการเลือกตั้งโดยตรงจากประชาชน รวมถึงเรื่องผู้ว่า CEO กับความสัมพันธ์ระหว่างการบริหารราชการส่วนภูมิภาคและท้องถิ่น และการมีกำนัน ผู้ ใหญ่บ้านในอปท. |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2879 | งบกลางรายการปรับปรุงโครงสร้างทางเศรษฐกิจและสังคม วงเงิน 16,600 ล้านบาท | นร | 23/09/2546 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ ประธานคณะกรรมการพิจารณาค่าใช้
จ่ายเพื่อการเสริมสร้างศักยภาพการแข่งขันและการพัฒนาที่ยั่งยืนของประเทศ (16,500 ล้านบาท) เสนอโครง การที่ขอใช้งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการปรับปรุงโครงสร้างทางเศรษฐกิจและสังคม จำนวน 6 โครงการ วง เงินทั้งสิ้น 624.28 ล้านบาท โดยให้สำนักงบประมาณรับไปตรวจสอบข้อมูลการเบิกจ่ายเงินค่าใช้จ่ายของโครง การต่าง ๆ ที่ได้รับอนุมัติจัดสรรเงินไปแล้ว หากโครงการใดยังมิได้ดำเนินการใด ๆ และยังไม่มีการเบิกจ่ายเงิน โดยไม่มีเหตุผลจำเป็นก็ให้งบประมาณที่ได้รับจัดสรรเป็นอันพับไป และให้นำเงินงบประมาณดังกล่าวมารวมไว้ที่ สำนักงบประมาณ เพื่อพิจารณาดำเนินการตามความเหมาะสมและจำเป็นอีกครั้งหนึ่งต่อไป ทั้งนี้ ให้รายงานข้อ มูลให้นายกรัฐมนตรีทราบด้วย สำหรับโครงการที่ขอใช้งบกลาง ฯ จำนวน 6 โครงการ ได้แก่ โครงการวิจัยและ พัฒนาเทคโนโลยีชีวภาพเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน : สินค้ายุทธศาสตร์หลักทางการเกษตร 4 ราย การ วงเงิน 464 ล้านบาท โครงการศึกษาวิธีการฉายรังสีแมลงในผลิตผลการเกษตรด้วยรังสีแกมมาในทางการ ค้า วงเงิน 0.574 ล้านบาท โครงการสร้างภาคีในการผลิตบัณฑิตระดับปริญญาโท-เอก ระหว่างสถาบันวิจัย วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทยกับสถาบันการศึกษาวงเงิน 25 ล้านบาท และโครงการเผยแพร่เพื่อ การพัฒนาใช้ประโยชน์ข้อมูลดาวเทียมและภูมิสารสนเทศระดับท้องถิ่น วงเงิน 6.741 ล้านบาท ของกระทรวง วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โครงการจัดตั้งศูนย์เทคโนโลยีชีวภาพด้านการแพทย์และสาธารณสุขวงเงิน 77.965 ล้านบาท ของกระทรวงสาธารณสุข และโครงการเที่ยวเมืองงามยามราตรี (City Night Tour) วงเงิน 50.0 ล้าน บาท ของกรุงเทพมหานคร |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2880 | การยกเลิกมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง นโยบายว่าด้วยการอนุญาตประทานบัตรทำเหมืองแร่ในทะเล | อก | 16/09/2546 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอขอยกเลิกมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง นโยบาย
ว่าด้วยการอนุญาตประทานบัตรทำเหมืองแร่ในทะเล จำนวน 3 ฉบับ คือ มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 11 เมษายน 2521 วันที่ 22 สิงหาคม 2521 และวันที่ 10 มิถุนายน 2523 โดยขอให้ยกเลิกหลักเกณฑ์และนโยบาย ว่าด้วยการอนุญาตประทานบัตรทำเหมืองแร่ในทะเลเพื่อให้การกำหนดสัดส่วนการถือหุ้นของคนต่างด้าวในการ ประกอบกิจการทำเหมืองแร่ในทะเล ให้เป็นไปตามบทบัญญัติของพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่าง ด้าว พ.ศ. 2542 ทั้งนี้ ให้รับความเห็นของส่วนราชการที่เกี่ยวข้องที่เห็นควรให้มีการยกเลิกนโยบายการกำหนด ของคนต่างด้าวในการประกอบกิจการทำเหมือง รวมทั้งสัดส่วนการถือหุ้นแร่ในทะเลตามมติคณะรัฐมนตรีดัง กล่าว อย่างไรก็ตาม เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพในการส่งเสริมธุรกิจด้านนี้ เห็นสมควรให้กระทรวงอุตสาหกรรม ศึกษาปัญหาและอุปสรรคอื่น ๆ ที่มีผลกระทบต่อการเข้าลงทุน พร้อมทั้งเสนอมาตรการหรือแนวทางแก้ไขอีก ทางหนึ่งด้วย และจากข้อเสนอของกระทรวงอุตสาหกรรมดังกล่าวนั้น ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2540 พระราชบัญญัติสภาตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบล พ.ศ. 2537 และพระราชบัญญัติกำหนด แผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2542 มีเจตนารมณ์สอดคล้องกัน ให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดยเฉพาะองค์การบริหารส่วนตำบลมีอำนาจหน้าที่ในการคุ้มครองดูแล ตลอด จนบำรุงรักษา การจัดการและการใช้ประโยชน์จากป่าไม้ ที่ดิน ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่อยู่ในเขต พื้นที่ ดังนั้น เพื่อเป็นการสนับสนุนให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีส่วนร่วมต่อการคุ้มครองดูแล บำรุงรักษา การจัดการและการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม หากพิจารณากำหนดนโยบายในเรื่อง นี้ขึ้นใหม่ นอกจากต้องพิจารณาให้สอดคล้องกับพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. 2542 แล้ว ควรกำหนดให้มีการรับฟังความเห็นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในพื้นที่ประกอบการพิจารณาอนุญาตการ ทำเหมืองแร่ไว้ในนโยบายดังกล่าวด้วย นอกจากนี้ เพื่อให้การอนุญาตประทานบัตรเกิดผลตอบแทนสูงสุดแก่ ประเทศนอกเหนือจากค่าภาคหลวง เห็นควรให้กระทรวงอุตสาหกรรมให้ความสำคัญกับการกำหนดเงื่อนไขใน การถ่ายทอดเทคโนโลยี การพัฒนาขีดความสามารถของผู้ประกอบการไทยของการลงทุนจากต่างประเทศ และ เกิดผลในทางปฏิบัติอย่างแท้จริง ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |