ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 143 จากทั้งหมด 199 หน้า แสดงรายการที่ 2841 - 2860 จากข้อมูลทั้งหมด 3975 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
2841 | รายงานผลการดำเนินงานนโยบายกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง | นร | 18/11/2546 | ||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายสุวิทย์ คุณกิตติ) ประธานกรรมการกองทุน
หมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ รายงานผลการดำเนินงานนโยบายกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง สรุปได้ดังนี้ การจัดตั้งกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง คณะกรรมการกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง ได้ไปขอขึ้นทะเบียนเพื่อ ดำเนินการจัดตั้งเป็นกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง จำนวนทั้งสิ้น 74,907 กองทุน คิดเป็นร้อยละ 99.15 ของ หมู่บ้าน หรือ ชุมชน เป้าหมาย (75,547 กองทุน) แยกเป็น กองทุนหมู่บ้าน จำนวน 71,478 กองทุน และกอง ทุนชุมชนเมือง จำนวน 3,429 กองทุน ด้านการจัดสรรและโอนเงิน ในส่วนของการโอนเงินทุน (1 ล้านบาท) ได้จัดสรรและโอนเงินให้กับกองทุนหมู่บ้าน หรือชุมชนต่าง ๆ ทั้งหมด 74,519 กองทุน หรือ 74,519 หมู่บ้าน หรือชุมชนซึ่งกระจายไปตามภูมิภาคทั่วประเทศ โดยกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองได้ปล่อยเงินกู้ให้สมาชิกรวม 9,376,102 ราย จำนวนเงิน 134,307.75 ล้านบาท และจากการเปรียบเทียบข้อมูลเป็นรายปี พบว่า ระหว่าง ปี พ.ศ. 2544 - 2545 จนถึงปี พ.ศ. 2546 สมาชิกกองทุนมีการกู้ยืมเงินไปลงทุนประกอบอาชีพเพิ่มขึ้น ส่วน ใหญ่นำเงินที่กู้ยืมไปลงทุนทางด้านการเกษตร รองลงไปคือ ด้านการค้าขาย ส่วนอาชีพทางด้านอุตสาหกรรม จำนวนผู้ประกอบการมีแนวโน้มลดลง ด้านการชำระคืนเงินกู้ สมาชิกกองทุนที่ขอกู้เงินกองทุนหมู่บ้านและชุม ชนเมือง เพื่อไปลงทุนในการประกอบกิจกรรม บางส่วนยังไม่ถึงกำหนดชำระคืนแต่ได้ส่งคืนเงินกู้แล้ว โดยมีการ ชำระคืนเงินต้นจำนวน 7,301,032 ราย รวมเป็นเงิน 67,885.64 ล้านบาท และดอกเบี้ยจำนวน 7,240,950 ราย รวมเป็นเงิน 4,291.31 ล้านบาท และด้านการเพิ่มพูนของเงินสะสมที่เกิดจากการออมทรัพย์ จากข้อมูล การสำรวจของกรมพัฒนาชุมชน ณ วันที่ 30 กันยายน 2546 สมาชิกกองทุน 7,954,851 ราย มีการสะสม เงินทุกประเภทเป็นเงินจำนวนทั้งสิ้น 5,775,144 ล้านบาท ทั้งนี้ คณะรัฐมนตรีมีข้อสังเกตว่า ข้อมูลที่ได้จาก รายงานดังกล่าว สามารถนำมาใช้ประโยชน์สำหรับส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงมหาดไทย (กรม การปกครอง กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น และกรมการพัฒนาชุมชน) เป็นต้น ในการพิจารณากำหนด นโยบายแนวทางการดำเนินงาน ตลอดจนการดำเนินการแก้ไขปัญหาในชุมชนและหมู่บ้านต่าง ๆ ในส่วนที่ เกี่ยวข้องให้สอดคล้องกับข้อเท็จจริงได้ จึงให้กระทรวงมหาดไทยรับข้อสังเกตดังกล่าวไปพิจารณาดำเนินการ ต่อไปด้วย |
|||||||||||||||
2842 | ข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติองค์การบริหารส่วนจังหวัด (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | สผ | 18/11/2546 | ||||||||||||
รับทราบตามที่สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรเสนอข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญ
พิจารณาร่างพระราชบัญญัติองค์การบริหารส่วนจังหวัด (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ของสภาผู้แทนราษฎร โดยคณะกรรมาธิการวิสามัญ ฯ พิจารณาเห็นควรแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องเพื่อให้สอดคล้องกับพระราชบัญญัติ ฉบับนี้ ดังนี้ การให้สมาชิกภาพของสมาชิกองค์การบริหารส่วนจังหวัดสิ้นสุดลงในกรณีที่ถูกราษฎรผู้มีสิทธิเลือก ตั้งในเขตองค์การบริหารส่วนจังหวัดเข้าชื่อถอดถอนเพราะเหตุที่ไม่สมควรดำรงตำแหน่งต่อไป นั้น ตามพระราช บัญญัติว่าด้วยการลงคะแนนเสียงเพื่อถอดถอนสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. 2542 บัญญัติให้ ถือเกณฑ์จำนวนผู้มีสิทธิเลือกตั้งขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นแต่ละแห่ง ประกอบกับพระราชบัญญัติองค์การ บริหารส่วนจังหวัด พ.ศ. 2540 กำหนดให้เขตขององค์การบริหารส่วนจังหวัด ซึ่งการเข้าชื่อถอดถอนหรือลง คะแนนเสียงถอดถอนสมาชิกภาพของสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดให้ใช้เขตจังหวัดเป็นเกณฑ์ แต่การ เลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดตามพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่น พ.ศ. 2545 บัญญัติว่า การเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดให้ถือเขตอำเภอเป็นเขตเลือกตั้ง ซึ่งไม่สอดคล้อง กัน จึงเห็นควรแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องเพื่อให้การเลือกตั้งและการถอดถอนใช้เขตเลือกตั้งเดียวกัน ส่วนใน กรณีนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดลาออกก่อนครบวาระโดยไม่มีเหตุผลอันสมควรและก่อให้เกิดความเสียหาย เนื่องจากต้องมีการเลือกตั้งใหม่ ซึ่งใช้เขตจังหวัดเป็นเขตเลือกตั้งและมีค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องเป็นจำนวนมาก ควรมี บทบัญญัติในกฎหมายที่เกี่ยวข้องให้ชดใช้ค่าเสียหายที่เกิดขึ้นด้วย และปัจจุบันอำนาจหน้าที่ขององค์การบริหาร ส่วนจังหวัดมีหลายประการที่ซ้ำซ้อนกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอื่น เพื่อให้การกระจายอำนาจให้แก่องค์กร ปกครองส่วนท้องถิ่นมีประสิทธิภาพและก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ประชาชน ควรแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องเพื่อ กำหนดบทบาท ขอบเขต อำนาจและหน้าที่ขององค์การบริหารส่วนจังหวัดให้มีความชัดเจน เพื่อมิให้ซ้ำซ้อนกับ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอื่น และมอบให้ส่วนราชการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณาดำเนินการ แล้ว แจ้งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีทราบ เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป |
|||||||||||||||
2843 | การประชุมเพื่อรายงานความก้าวหน้าในการจัดทำแผนปฏิบัติการตามมติคณะรัฐมนตรี วันที่ 3 มิถุนายน 2546 | ทส | 18/11/2546 | ||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรายงานสรุปผลการ
ประชุมเพื่อรายงานความก้าวหน้าในการจัดทำแผนปฏิบัติการ (Action Plan) ตามมติคณะรัฐมนตรีวันที่ 3 มิถุนายน 2546 ครั้งที่ 3/2546 ของหน่วยงานที่รับผิดชอบ รวม 7 แผนงาน ดังนี้ (1) แผนงานระบบข้อมูล ที่ดิน ได้มีการศึกษาพัฒนาระบบข้อมูลที่ดิน ทะเบียนที่ดิน และแผนที่มาตรฐาน เพื่อเป็นข้อมูลการบริหารจัด การทรัพยากรดินและที่ดินของชาติเพื่อใช้ประโยชน์ร่วมกัน และการศึกษาความเป็นไปได้ในการจัดตั้งองค์กร มหาชนดูแล (2) แผนงานปรับปรุงองค์กรบริหารจัดการที่ดินได้จัดทำโครงการศึกษาปรับปรุงกฎหมายเกี่ยว กับคณะกรรมการจัดที่ดินแห่งชาติ โดยว่าจ้างศูนย์บริการวิชาการแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเป็นผู้ดำเนิน การ ระยะเวลาดำเนินการ 6 เดือน (สิงหาคม 2546 - มกราคม 2547) (3) แผนงานกำหนดเขตการ ใช้ประโยชน์ที่ดิน ได้ดำเนินโครงการศึกษาความเป็นไปได้ และแนวทางกำหนดเขตการใช้ประโยชน์ที่ดินและ มาตรการที่มีผลบังคับ โดยว่าจ้างสถาบันวิจัยและให้คำปรึกษาแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ดำเนินงานใน ปีงบประมาณ พ.ศ. 2546 และโครงการนำร่องให้ท้องถิ่นมีส่วนร่วมในการกำหนดเขตการใช้ประโยชน์ที่ดิน ดำเนินการในปีงบประมาณ พ.ศ. 2547 (4) แผนงานอนุรักษ์ ฟื้นฟู และใช้ประโยชน์ทรัพยากรดินและที่ดิน อยู่ระหว่างการประสานงานรวบรวมข้อมูลจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง (5) แผนงานคุ้มครองที่ดินเพื่อเกษตร กรรม ได้ศึกษาทบทวนรายงานการศึกษา กรณีให้มีการควบคุมการใช้ประโยชน์ที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (6) แผนงานปรับปรุงระบบภาษีที่ดินได้จัดทำโครงการศึกษาความเหมาะสมในการปรับปรุงระบบและวิธีการจัด เก็บภาษีที่ดิน และโครงการนำร่องให้ชุมชนท้องถิ่นกำหนดอัตราภาษี และการบริหารเงินภาษี และ (7) แผนงานปรับปรุงสิทธิในที่ดิน กระทรวงมหาดไทย โดยกรมที่ดิน ได้แต่งตั้งคณะกรรมการพิจารณาแผนงาน ดังกล่าว โดยมีความเห็น 3 ประการ กล่าวคือ การปรับระบบเอกสารสิทธิให้เป็นระบบเดียวกัน ควรออก เป็นโฉนดที่ดิน สิทธิในที่ดินที่ได้รับตามกฎหมายแต่ละฉบับที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับเจตนารมณ์ของกฎหมาย นั้น ๆ จึงไม่ควรต้องแก้ไขรวมให้เป็นกฎหมายฉบับเดียวกัน แต่ให้มีการแก้ไขกฎหมายให้สอดคล้องในเรื่อง กำหนดระยะเวลาห้ามโอน การกำหนดสิทธิในที่ดิน และการใช้ประโยชน์ที่ดิน ส่วนการออกโฉนดที่ดินให้แก่ ชุมชน จากการศึกษาในเบื้องต้นมีปัญหาว่า ชุมชนจะถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินได้หรือไม่ อย่างไร แนวทางที่น่า จะมีความเป็นไปได้ คือ ออกในนามสหกรณ์ หรือนิติบุคคล และขณะนี้อยู่ระหว่างการศึกษาเพิ่มเติม |
|||||||||||||||
2844 | ร่างพระราชบัญญัติคุณสมบัติมาตรฐานสำหรับกรรมการและพนักงานรัฐวิสาหกิจ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (กำหนดคุณสมบัติผู้บริหารรัฐวิสาหกิจต้องมีอายุไม่เกิน 60 ปี และปรับปรุงกระบวนการสรรหาผู้บริหารรัฐวิสาหกิจและกรรมการรัฐวิสาหกิจ) | กค | 18/11/2546 | ||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 7 (คกก.7)(ฝ่ายกฎหมาย)
ที่มีมติอนุมัติหลักการตามที่กระทรวงการคลัง เสนอ ร่างพระราชบัญญัติคุณสมบัติมาตรฐานสำหรับกรรมการและพนักงาน รัฐวิสาหกิจ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับประเด็นอภิปรายของ คกก.7 ไปพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ต่อไป โดยสาระสำคัญของประเด็นอภิปรายมีดังนี้ การกำหนดคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามในการดำรงตำแหน่งผู้บริหาร รัฐวิสาหกิจที่ต้องไม่เป็นข้าราชการ ซึ่งมีตำแหน่ง หรือเงินเดือนประจำของราชการส่วนกลาง ราชการส่วนภูมิภาค ราชการส่วน ท้องถิ่น หรือหน่วยงานอื่นของรัฐนั้น ในกรณีที่มีความจำเป็นหากจะมีการแต่งตั้งข้าราชการประจำให้รักษาการในตำแหน่งผู้ บริหารรัฐวิสาหกิจเป็นการชั่วคราว จะทำได้หรือไม่เพียงใด และการกำหนดให้รัฐวิสาหกิจต้องมีกรรมการที่มีความรู้ด้านเศรษฐ ศาสตร์ หรือการเงิน หรือการบัญชีและด้านกฎหมาย อย่างน้อยด้านละหนึ่งคน ควรกำหนดที่มาของกรรมการดังกล่าวไว้ให้ ชัดเจน นอกจากนี้ ให้แก้ไขเพิ่มเติมในส่วนของการแต่งตั้งคณะกรรมการสรรหา การจ้างและแต่งตั้งผู้บริหารรัฐวิสาหกิจ รวมทั้ง หลักเกณฑ์และวิธีการสรรหาผู้บริหารของรัฐวิสาหกิจ ส่วนการกำหนดให้การแต่งตั้งกรรมการอื่นในรัฐวิสาหกิจให้ผู้มีอำนาจ แต่งตั้งจากบัญชีรายชื่อกรรมการไม่น้อยกว่าหนึ่งในสามของจำนวนกรรมการอื่น ให้กำหนดที่มาของบัญชีรายชื่อกรรมการไว้ให้ ชัดเจน และกระทรวงการคลังควรมีส่วนร่วมในการจัดทำบัญชีรายชื่อกรรมการดังกล่าวด้วย สำหรับรัฐวิสาหกิจประเภทส่งเสริม ซึ่งรัฐบาลจัดงบประมาณสนับสนุนจำนวนร้อยละ 100 ปัจจุบันยังไม่มีผู้แทนสำนักงบประมาณเป็นกรรมการในคณะกรรมการ ของรัฐวิสาหกิจประเภทนี้เห็นควรให้ผู้แทนสำนักงบประมาณเข้าร่วมเป็นกรรมการในคณะกรรมการรัฐวิสาหกิจประเภทนี้ด้วย แต่ไม่ควรบัญญัติไว้ในกฎหมาย ควรดำเนินการโดยมติคณะรัฐมนตรี และให้กำหนดความหมาย "บุคคลซึ่งดำรงตำแหน่งที่มี อำนาจหน้าที่คล้ายคลึงกัน แต่เรียกชื่ออย่างอื่นในรัฐวิสาหกิจ " ในคำนิยาม "พนักงาน" ตามพระราชบัญญัติคุณสมบัติมาตร ฐานสำหรับกรรมการและพนักงานรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. 2518 ให้ชัดเจนว่าหมายถึงตำแหน่งใดบ้าง จะรวมถึงตำแหน่งที่ปรึกษา กรรมการ หรือที่ปรึกษาประธานกรรมการด้วยหรือไม่
|
|||||||||||||||
2845 | กระทู้ถามที่ 1198 ร. เรื่อง การมอบหมายหรืออนุญาตให้ใช้ที่ดิน อาคารสำนักงาน เครื่องมืออุปกรณ์ต่าง ๆ และยานยนต์ระหว่างหน่วยงาน | สผ | 18/11/2546 | ||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอคำตอบกระทู้ถามที่ 1198 ร.
เรื่อง การมอบหรืออนุญาตให้ใช้ที่ดินอาคารสำนักงาน เครื่องมืออุปกรณ์ต่าง ๆ และยานยนต์ระหว่างหน่วยงาน ของนายพงษ์ศักดิ์ วรปัญญา สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดลพบุรี และให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อ ไป โดยสาระสำคัญของคำตอบสรุปได้ว่า การมอบหรือการอนุญาตให้ใช้ทรัพย์สินที่เป็นที่ราชพัสดุ (เฉพาะส่วน ที่เป็นที่ดินและหรืออาคารสิ่งปลูกสร้าง) เพื่อประโยชน์ในทางราชการ จะพิจารณาให้ส่วนราชการต่าง ๆ ใช้ ประโยชน์ตามความจำเป็น โดยพิจารณาจากภารกิจของหน่วยงานและความเหมาะสมตามสภาพทำเลของพื้นที่ ที่ราชพัสดุที่ขอใช้ และการใช้ประโยชน์ที่ราชพัสดุบริเวณพื้นที่ศูนย์ราชการ ได้กำหนดแนวทางถือปฏิบัติแก่ส่วน ราชการผู้ใช้ประโยชน์ว่าต้องพยายามลดค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ที่ไม่จำเป็นให้มากที่สุด ทั้งนี้ ระเบียบสำนักนายก รัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. 2535 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ข้อ 157 (3) กำหนดหลักเกณฑ์ให้ส่วนราชการซึ่งมี พัสดุที่หมดความจำเป็นหรือหากใช้ราชการต่อไปจะสิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายมาก จำหน่ายพัสดุโดยการโอนให้แก่ส่วน ราชการ หน่วยงานตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการส่วนท้องถิ่น หน่วยงานอื่นซึ่งมีกฎหมายบัญญัติ ให้มีฐานะเป็นราชการบริหารส่วนท้องถิ่น รัฐวิสาหกิจหรือองค์การสถานสาธารณกุศลตามมาตรา 47 (7) แห่ง ประมวลรัษฎากรได้ ดังนั้น หน่วยงานของรัฐที่ใหญ่กว่าจึงสามารถมอบพัสดุให้กับหน่วยงานที่เล็กกว่าได้ตาม ระเบียบดังกล่าว อย่างไรก็ตาม การมอบอาคารและที่ดินซึ่งเป็นที่ราชพัสดุจะต้องปฏิบัติให้ถูกต้องตามกฎหมาย ที่ราชพัสดุและกฎระเบียบหลักเกณฑ์ที่กรมธนารักษ์กำหนดด้วย นอกจากนี้ การใช้ที่ราชพัสดุของส่วนราชการ หากผู้ใช้ที่ราชพัสดุเลิกใช้ประโยชน์ที่ราชพัสดุ หรือมิได้ใช้ประโยชน์ที่ราชพัสดุตามที่ได้รับอนุญาต รวมถึงการใช้ ประโยชน์ที่ราชพัสดุไม่ครบถ้วนตามที่ได้รับอนุญาต ให้ผู้ใช้ประโยชน์นั้น ๆ ส่งคืนที่ราชพัสดุดังกล่าวแก่กรม ธนารักษ์ เมื่อผู้ใช้ที่ราชพัสดุคืนที่ราชพัสดุให้แก่กรมธนารักษ์แล้ว ส่วนราชการอื่น ๆ ที่ประสงค์จะใช้ที่ราชพัสดุ ดังกล่าวก็สามารถดำเนินการขอใช้กับกรมธนารักษ์ได้ และในกรณีที่ส่วนราชการผู้ใช้ประโยชน์ในที่ราชพัสดุไม่ ได้ส่งคืนที่ราชพัสดุ แต่ถ้ายินยอมให้ส่วนราชการอื่นเข้าใช้ประโยชน์ในที่ราชพัสดุแล้ว ก็ให้ส่วนราชการผู้ได้รับ ความยินยอมทำความตกลงการขอใช้ที่ราชพัสดุนั้นกับกรมธนารักษ์ต่อไปเช่นเดียวกัน |
|||||||||||||||
2846 | ร่างพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกรุงเทพมหานคร พ.ศ. .... | นร | 18/11/2546 | ||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเกี่ยวกับร่างพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกรุงเทพมหานคร พ.ศ. .... ตามที่
กระทรวงมหาดไทยเสนอ และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาได้ตรวจพิจารณาโดยเร่งด่วน พร้อมทั้งได้ปรับ ปรุงแก้ไขตามมติคณะรัฐมนตรีแล้วนั้น ยังมีหลักการสำคัญบางประการที่สมควรได้รับการพิจารณาทบทวนเพื่อ ให้เกิดความชัดเจนยิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนที่เกี่ยวข้องกับโครงสร้างขององค์กร อำนาจหน้าที่ขององค์ กรและพนักงานเจ้าหน้าที่ รวมทั้งรายได้และระบบบริหารงานการเงินขององค์กร จึงให้กระทรวงมหาดไทยนำ ร่างพระราชบัญญัติ ฯ ไปพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง โดยรับข้อสังเกตของคณะรัฐมนตรีไปพิจารณาด้วย ดังนี้ ในการ กำหนดอำนาจหน้าที่และความสัมพันธ์ของกรุงเทพมหานครและนครควรพิจารณาให้สอดคล้องกับแนวทางตาม พระราชบัญญัติกำหนดแผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2542 และ ควรนำอำนาจหน้าที่และความสัมพันธ์ขององค์การบริหารส่วนจังหวัด และองค์การบริหารส่วนตำบลหรือเทศ บาลมาประกอบการพิจารณาด้วย ในส่วนของตำแหน่งผู้บริหารกรุงเทพมหานครและนคร ควรมาจากผู้มีคุณ สมบัติด้านการบริหารจัดการ สำหรับหลักการต่าง ๆ ของร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้ควรคำนึงถึงประโยชน์ที่ จะเกิดขึ้นกับประชาชนเป็นสำคัญ พร้อมทั้งให้รับข้อสังเกตของสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีไปพิจารณาด้วย ว่า ร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้ ยังมีการทับซ้อนของอำนาจการจับกุม และสอบสวนของพนักงานเจ้าหน้าที่ของ กรุงเทพมหานครและนครในบางส่วน และในกรณีที่อำนาจหน้าที่ทับซ้อนกัน ควรมีกลไกกำหนดให้ฝ่ายใดฝ่าย หนึ่งรับผิดชอบแต่เพียงฝ่ายเดียวเพื่อหลีกเลี่ยงความสับสนที่จะเกิดขึ้นแก่ประชาชน แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรี พิจารณาอีกครั้งหนึ่ง |
|||||||||||||||
2847 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (ร่างแผนพัฒนาการเกษตรในช่วงแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 9 พ.ศ. 2545 - 2549) และยุทธศาสตร์เกษตรของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (สภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ) | นร | 11/11/2546 | ||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 2 ที่มีมติ
รับทราบตามที่สำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอความเห็นและข้อเสนอแนะเกี่ยวกับ ร่างแผนพัฒนาการเกษตรในช่วงแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 9 พ.ศ. 2545-2549 ดังนี้ การมีส่วนร่วมของประชาชนในการแปลงแผนไปสู่การปฏิบัติ ควรให้หน่วยงานระดับจังหวัด อำเภอ และองค์ กรชุมชนร่วมกันจัดทำแผนพัฒนาชุมชนด้านการเกษตรอย่างเป็นกระบวนการ และจัดสรรงบประมาณสนับ สนุนให้เพียงพอสำหรับการมีส่วนร่วมในการรวบรวมข้อมูลด้านการเกษตร ควรมีการเน้นข้อมูลในระดับหมู่ บ้าน ตำบล และอำเภอให้มากขึ้น เพื่อจะได้เป็นประโยชน์ในการวางแผนในระดับท้องถิ่น โดยข้อมูลดังกล่าว นอกจากจะเป็นข้อมูลในด้านการผลิตพืช สัตว์ และประมงแล้ว ควรจะมีข้อมูลทางด้านทรัพยากรทั้งในเรื่อง ดิน น้ำ ป่าไม้ ฯลฯ ด้วยซึ่งการเก็บข้อมูลควรให้ประชาชนเข้ามารับรู้รับทราบ และวิเคราะห์วิจารณ์ด้วย ส่วน เรื่องความโปร่งใสของแผนงบประมาณของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เมื่อคณะรัฐมนตรีมีมติให้ความเห็น ชอบแล้ว ต้องเปิดเผยให้สาธารณชนทราบ เพื่อให้โอกาสประชาชนได้รับรู้และร่วมแสดงความคิดเห็นด้วย นอกจากนี้ ควรมีการติดตามและประเมินผลแบบมีส่วนร่วมขององค์กรชุมชนอย่างเป็นกระบวนการและจริง จัง และในส่วนของการจัดการข้อมูลและการส่งเสริมด้านการตลาด ซึ่งในอดีตที่ผ่านมาพบว่า ขาดแคลนข้อ มูลด้านการตลาดและความเชื่อถือได้มีน้อย จึงควรจะมีการรวบรวมข้อมูลดังกล่าวในทุกระดับตั้งแต่ระดับท้อง ถิ่น จนกระทั่งถึงระดับชาติและระดับโลกอย่างเป็นระบบ เพื่อให้เป็นประโยชน์ต่อเกษตรกร และผู้ประกอบ อาชีพด้านธุรกิจการเกษตร โดยหน่วยงานที่รับผิดชอบควรมีการวางแผนร่วมกันในการเก็บข้อมูลเพื่อให้ได้ มีการรวบรวมข้อมูลทั่วถึงและทันการณ์มีประโยชน์ ทั้งต่อการวางแผนและการดำเนินธุรกิจด้านการเกษตร ทั้งนี้ ความเห็นและข้อเสนอแนะดังกล่าว กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้ปรับปรุงแผนพัฒนาการเกษตรใน ช่วงแผนพัฒนา ฯ ฉบับที่ 9 และยุทธศาสตร์พัฒนาการเกษตรตามนโยบายรัฐบาล และสอดคล้องกับความ เห็นของสำนักงานสภาที่ปรึกษา ฯ แล้ว |
|||||||||||||||
2848 | กระทู้ถามที่ 1237 ร. เรื่อง การจ่ายเบี้ยยังชีพให้แก่ผู้สูงอายุที่มีฐานะยากจน (ส่ง พม. ตอบทบทวนเนื่องจากเปลี่ยนรัฐมนตรี ไม่ยืนยันมติ) | สผ | 11/11/2546 | ||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอคำตอบ
กระทู้ถามที่ 1237 ร. เรื่อง การจ่ายเบี้ยยังชีพให้แก่ผู้สูงอายุที่มีฐานะยากจน ของนายเปรมศักดิ์ เพียยุระ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดขอนแก่น โดยสาระสำคัญของคำตอบสรุปได้ว่า กระทรวงการพัฒนาสังคม และความมั่นคงของมนุษย์ได้รับมอบหมายจากรัฐบาลในการจัดสวัสดิการให้แก่ผู้สูงอายุที่มีฐานะยากจน ถูก ทอดทิ้ง ขาดผู้อุปการะเลี้ยงดูไม่สามารถประกอบอาชีพได้ ทั้งในเขตเทศบาลและนอกเขตเทศบาล โดยกรม พัฒนาสังคมและสวัสดิการภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ได้ จัดบริการและพิจารณาให้ความช่วยเหลือตามสภาพปัญหาและความจำเป็น ประกอบกับคณะรัฐมนตรีได้มี มติเห็นชอบแผนผู้สูงอายุแห่งชาติฉบับที่ 2 (พ.ศ. 2545 - พ.ศ. 2564) เพื่อใช้เป็นกรอบในการวางแผนและ ดำเนินงานด้านผู้สูงอายุของประเทศ โดยแผนดังกล่าวมีลักษณะเป็นแผนยุทธศาสตร์ ซึ่งกำหนดมาตรการ ตามรายยุทธศาสตร์ 5 ยุทธศาสตร์ และมีการกำหนดดัชนี และกำหนดเป้าหมายของแต่ละมาตรการ ประกอบด้วย การเตรียมความพร้อมของประชากรผู้สูงอายุที่มีคุณภาพ การส่งเสริมผู้สูงอายุ ระบบค้มครอง ทางสังคมผู้สูงอายุ การบริหารจัดการเพื่อการพัฒนางานด้านผู้สูงอายุระดับชาติและการพัฒนา รวมทั้งการ ประมวลและพัฒนาองค์ความรู้ด้านผู้สูงอายุ และการติดตามประเมินผลการดำเนินการตามแผนผู้สูงอายุแห่ง ชาติ นอกจากนี้ รัฐบาลยังมีมาตรการให้ความช่วยเหลือในรูปแบบอื่น ๆ อาทิ การสงเคราะห์ครอบครัว เป็นค่าเครื่องอุปโภคไม่เกิน 2,000 บาทต่อคนต่อครั้ง การสงเคราะห์เงินทุนประกอบอาชีพสำหรับผู้สูงอายุ หรือสมาชิกในครอบครัว การส่งเสริมการจัดตั้งชมรมผู้สูงอายุ จัดโครงการนำร่องอาสาสมัครดูแลผู้สูงอายุ ที่บ้านการจัดบริการรักษาพยาบาลฟรีแก่ผู้สูงอายุ ลดค่าโดยสารรถไฟครึ่งราคาสำหรับผู้สูงอายุในช่วงเดือน มิถุนายน-กันยายน ของทุกปี เผยแพร่ความรู้ให้ผู้สูงอายุรู้จักปรับตัวในการดูแลสุขภาพ ป้องกันโรค การจัด กิจกรรมด้านต่าง ๆ เพื่อกระตุ้นให้ชุมชน สังคม ตระหนักในความสำคัญของผู้สูงอายุ ตลอดจนส่งเสริมการ ศึกษานอกโรงเรียนและการศึกษาตามอัธยาศัยแก่ผู้สูงอายุ เป็นต้น ส่วนกรณีที่ผู้สูงอายุที่มีฐานะยากจนร้อง ทุกข์ว่า ได้รับเบี้ยยังชีพล่าช้า กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ได้ประสานไปยังกรมส่ง เสริมการปกครองท้องถิ่น เพื่อขอทราบความคืบหน้าของโครงการสงเคราะห์เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ และจะนำ ปัญหาเรื่อง การรับเงินเบี้ยยังชีพล่าช้าของผู้สูงอายุ ให้ที่ประชุมคณะกรรมการส่งเสริมและประสานงานผู้สูง อายุแห่งชาติร่วมกันพิจารณาหาแนวทางการดำเนินงานที่เหมาะสม ต่อไป |
|||||||||||||||
2849 | ข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติยกเว้นความผิดทางอาญาให้แก่ผู้นำอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน หรือวัตถุระเบิด ที่ไม่ได้รับอนุญาตหรือที่กฎหมายห้ามออกใบอนุญาต มามอบให้แก่ทางราชการ พ.ศ. .... | สผ | 11/11/2546 | ||||||||||||
รับทราบตามที่สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรเสนอข้อสังเกตของคณะกรรมา
ธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติยกเว้นความผิดทางอาญาให้แก่ผู้นำอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน หรือวัตถุ ระเบิด ที่ไม่ได้รับอนุญาตหรือที่กฎหมายห้ามออกใบอนุญาต มามอบให้แก่ทางราชการ พ.ศ. .... ของสภาผู้แทน ราษฎร โดยคณะกรรมาธิการ ฯ พิจารณาร่างพระราชบัญญัติ ฯ ดังกล่าวแล้วเห็นว่า รัฐบาลควรดำเนินการออก ประกาศกระทรวงให้ทันในวันบังคับใช้พระราชบัญญัตินี้ และทำการโฆษณาประชาสัมพันธ์ทางสื่อของภาครัฐให้ ประชาชนได้ทราบข้อมูลอย่างทั่วถึงทุกชุมชนทันทีที่กฎหมายฉบับนี้มีผลใช้บังคับ โดยผ่านทางองค์กรปกครอง ส่วนท้องถิ่นต่าง ๆ ด้วย รวมทั้งควรจะทำการตรวจสอบอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน หรือวัตถุระเบิด ที่นำมามอบให้ ว่าเป็นอาวุธที่ใช้ในการกระทำความผิดหรือไม่ เพราะพระราชบัญญัติฉบับนี้มิได้ยกเว้นการกระทำความผิดอื่น นอก จากนี้ การเพิ่มคำว่า หรือผู้ต้องหา เข้าไปในมาตรา 3 วรรค 3 แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวทำให้กฎหมายมีความ สมบูรณ์ยิ่งขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม ในกรณีที่บุคคลที่ไม่ได้ถูกจับกุมและไม่ได้ตกเป็นผู้ต้องหา จะมีการดำเนินการอย่าง ไร ทั้งนี้ ให้กระทรวงกลาโหม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงยุติธรรม สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี สำนัก งานอัยการสูงสุด และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ รับข้อสังเกตดังกล่าวไปพิจารณาดำเนินการ แล้วแจ้งให้สำนักเลขา ธิการคณะรัฐมนตรีทราบ เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป |
|||||||||||||||
2850 | ขอนำเรื่องเสนอเข้าคณะรัฐมนตรี (เรื่อง รายงานผลความก้าวหน้าในการเตรียมการฟื้นฟูผู้ประสบอุทกภัยและครอบครัว) | พม | 11/11/2546 | ||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ โดยกรมพัฒนา
สังคมและสวัสดิการรายงานผลความก้าวหน้าในการเตรียมการฟื้นฟูผู้ประสบอุทกภัยและครอบครัว โดยกำหนด กรอบภารกิจ ดังนี้ จัดทำแนวทางการฟื้นฟูผู้ประสบอุทกภัยและครอบครัว เพื่อเป็นกรอบในการดำเนินงานของ หน่วยงานในสังกัดกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ ซึ่งประกอบด้วย การฟื้นฟูศักยภาพของผู้ประสบอุทกภัยและ ครอบครัว สร้างความมั่นคงทางด้านอาชีพและรายได้ รวมทั้งประสานความร่วมมือกับองค์กรภาคเอกชน มูลนิธิ สมาคม และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ในการให้การสงเคราะห์ ฟื้นฟูและพัฒนาศักยภาพแก่ผู้ประสบภัยหลัง น้ำลดได้อย่างรวดเร็ว ทั่วถึง และมีประสิทธิภาพ โดยในส่วนของการสร้างความมั่นคงทางด้านอาชีพและรายได้ ได้จัดทำโครงการสร้างความมั่นคงด้านอาชีพและรายได้ผู้ประสบภัยหลังน้ำลด โดยขออนุมัติใช้เงินงบประมาณ รายจ่ายประจำปี พ.ศ. 2547 ของกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ งบเงินอุดหนุน เงินอุดหนุนเฉพาะกิจ รายการ ค่าแรงงานสตรี (20 ล้านบาท) และรายการเงินอุดหนุนสงเคราะห์ครอบครัวผู้มีรายได้น้อยและผู้ไร้ที่พึ่ง (20 ล้านบาท) จำนวนทั้งสิ้น 40 ล้านบาท กับมอบหมายให้สำนักงานพัฒนาสังคมและสวัสดิการจังหวัด และหน่วย งานในสังกัดกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการซึ่งตั้งอยู่ในจังหวัดดำเนินการตามอำนาจหน้าที่รับผิดชอบ และจัดทำ แผนการฟื้นฟูผู้ประสบอุทกภัย เพื่อการประสานการทำงานร่วมกัน รวมทั้งได้เตรียมการแต่งตั้งคณะกรรมการ บูรณาการการช่วยเหลือและฟื้นฟูผู้ประสบอุทกภัย โดยปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เป็นประธานกรรมการ และอธิบดีกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ เป็นกรรมการและเลขานุการ นอกจากนี้ ได้ จัดประชุมร่วมระหว่างผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์และพัฒนาสังคม และสวัสดิการจังหวัด ในพื้นที่ 6 จังหวัดที่ประสบปัญหาอุทกภัย (จังหวัดเพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ พิษณุโลก สุโขทัย เพชรบูรณ์ และนครสวรรค์) เพื่อจัดทำแผนเตรียมการฟื้นฟูศักยภาพผู้ประสบอุทกภัยและครอบครัว อย่างเป็นองค์รวมและมีประสิทธิภาพ |
|||||||||||||||
2851 | กระทู้ถามที่ 857 ร. เรื่อง การก่อสร้างปรับปรุงทางหลวง สายบ้านผังปาล์ม 2 - บ้านผังปาล์ม 5 ตำบลปาล์มพัฒนา กิ่งอำเภอมะนัง จังหวัดสตูล | สผ | 04/11/2546 | ||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอคำตอบกระทู้ถามที่ 857 ร.
เรื่อง การก่อสร้างปรับปรุงทางหลวงสายบ้านผังปาล์ม 2 - บ้านผังปาล์ม 5 ตำบลปาล์มพัฒนา กิ่งอำเภอ มะนัง จังหวัดสตูล ของนายสนั่น สุธากุล สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดสตูล และให้ประกาศในราชกิจจา นุเบกษาต่อไป โดยสาระสำคัญของคำตอบสรุปได้ว่า กระทรวงคมนาคมได้มอบหมายให้กรมทางหลวงชนบท ตรวจสอบทางหลวงสายบ้านผังปาล์ม 2 - บ้านผังปาล์ม 5 ตำบลปาล์มพัฒนา กิ่งอำเภอมะนัง จังหวัดสตูล แล้วปรากฎว่า สายทางดังกล่าวมีระยะทาง 11.50 กิโลเมตร โดยช่วง กม. 0+000-6+850 เป็นถนนลาด ยาง อยู่ในความรับผิดชอบขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ส่วนช่วง กม. 6+850-11+500 เป็นถนนลูกรัง อยู่ในความรับผิดชอบของกรมทางหลวงชนบท แต่เนื่องจากการปรับปรุง กระทรวง ทบวง กรม โดยกรม ทางหลวงชนบทเป็นหน่วยงานที่เกิดจากการรวมหน่วยงานด้านถนน ของกรมโยธาธิการ และกรมการเร่งรัด พัฒนาชนบท ดังนั้น จึงจำเป็นที่จะต้องจัดระบบการบริหารงานให้สอดคล้องกับภารกิจตามที่กฎกระทรวง กำหนดและกำลังดำเนินการศึกษาถนนทั้งหมดที่เคยอยู่ในความรับผิดชอบว่า สอดคล้องกับภารกิจหลักหรือ ไม่ หากสายทางดังกล่าวมีความเหมาะสมในด้านต่าง ๆ แล้ว กรมทางหลวงชนบทจะพิจารณาจัดลำดับความ สำคัญ และจัดเข้าแผนในการของบประมาณเพื่อสนับสนุนต่อไป นอกจากนี้ การปรับปรุงถนนลูกรังให้เป็น ถนนลาดยางต้องสอดคล้องกับนโยบายรัฐบาลในอันที่จะพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคม แต่เนื่องจาก งบประมาณที่จำกัด และรัฐบาลมีภาระที่จะต้องพัฒนาประเทศในอีกหลายด้าน ซึ่งทุกด้านจำเป็นที่จะต้องใช้ งบประมาณในการพัฒนาทั้งสิ้น ดังนั้น หากถนนดังกล่าวมีความเหมาะสมในด้านต่าง ๆ แล้ว กรมทางหลวง ชนบทจะได้พิจารณาจัดเข้าแผนงานเพื่อขอรับการสนับสนุนงบประมาณต่อไป |
|||||||||||||||
2852 | ขออนุมัติเปิดสอนระดับมัธยมศึกษาตอนปลายในโรงเรียนสังกัดกรุงเทพมหานคร | มท | 04/11/2546 | ||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 4 (คกก.4) ที่มี
มติเกี่ยวกับโครงการจัดการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนปลายในโรงเรียนสังกัดกรุงเทพมหานคร ตามที่กระทรวง มหาดไทยเสนอ โดยอนุมัติโครงการจัดการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนปลายในโรงเรียนสังกัดกรุงเทพมหานคร จำนวน 2 โรงเรียน ได้แก่ โรงเรียนบ้านบางกะปิ สำนักงานเขตบางกะปิ และโรงเรียนวิชูทิศ สำนักงานเขตดินแดง ในปีการศึกษา 2546 โดยให้รับความเห็นของส่วนราชการที่เกี่ยวข้องไปประกอบการพิจารณาด้วย สำหรับงบ ประมาณสำหรับดำเนินการตามความเห็นของสำนักงบประมาณ และอนุมัติเป็นหลักการว่า หากโรงเรียนในสังกัด องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่เปิดทำการเรียนการสอนในระดับมัธยมศึกษาตอนต้นและพร้อมที่จะเปิดทำการเรียน การสอนในระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย ให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเปิดทำการเรียนการสอนในระดับมัธยม ศึกษาตอนปลายได้ โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรี แต่ให้คณะกรรมการเขตพื้นที่การศึกษาเป็นผู้พิจารณาอนุมัติ ตามหลักเกณฑ์ที่กระทรวงศึกษาธิการกำหนด และดำเนินการตามประเด็นอภิปรายของ คกก.4 ดังนี้ กรณีโรงเรียน ในสังกัดกรุงเทพมหานครที่มีความพร้อมจะเปิดทำการเรียนการสอนในระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย ให้เปิดทำการ เรียนการสอนในระดับมัธยมศึกษาตอนปลายได้ โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรี นั้น จะต้องกำหนดหลักเกณฑ์ ความพร้อมของการขยายการจัดการศึกษาในทุกด้าน โดยเฉพาะคุณภาพการศึกษา เพื่อที่คณะกรรมการเขตพื้นที่ การศึกษาจะใช้ประกอบการพิจารณาอนุมัติ และให้มีการจัดทำแผนที่แสดงที่ตั้งสถานศึกษาและสภาพข้อมูลที่เกี่ยว ข้องในบริเวณใกล้เคียงอื่น ๆ เพื่อใช้ประโยชน์ในการพิจารณากรณีจะขอขยายการเรียนการสอนในโรงเรียนของ กรุงเทพมหานคร รวมถึงองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอื่น ๆ โดยการขอขยายการจัดการศึกษาควรดำเนินการแบบ ค่อยเป็นค่อยไป แต่อย่างไรก็ตามในระยะยาวการจัดการศึกษาโดยภาครัฐควรต้องลดลง ในขณะที่ต้องส่งเสริมให้มี การจัดการศึกษาโดยภาคเอกชนเพิ่มขึ้น โดยให้พิจารณาว่า หากโอนภารกิจเกี่ยวกับการจัดการศึกษาให้แก่องค์กร ปกครองส่วนท้องถิ่นเพิ่มขึ้นเท่าใด ก็ควรปรับลดสัดส่วนระหว่างโรงเรียนในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการและโรงเรียน ในสังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดยอาจต้องโอนโรงเรียนให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นหรือยุบเลิกโรงเรียน เพื่อมิให้มีการขยายขอบเขตการให้การศึกษาจนเป็นการแข่งขันกับเอกชน โดยรัฐอาจพิจารณาสนับสนุนภาคเอก ชนในเรื่องปัจจัยอุดหนุนอื่น ๆ เพิ่มเติม เช่น จัดให้มีครูอาจารย์จากโรงเรียนของรัฐไปช่วยสอนเสริมในโรงเรียน เอกชนที่อยู่ใกล้เคียง หรือกำหนดสัดส่วนจำนวนนักเรียนต่อห้องเรียนในโรงเรียนของรัฐให้เหมาะสมกับการสอน ที่มีประสิทธิภาพไว้เป็นมาตรฐานและจะไม่เพิ่มจำนวนนักเรียนต่อห้องเกินกว่ามาตรฐานดังกล่าว รวมทั้งไม่ขยาย จำนวนห้องเรียนเพิ่มเติม เป็นต้น และให้กระทรวงศึกษาธิการพิจารณากำหนดหลักเกณฑ์เพื่อคณะกรรมการเขต พื้นที่การศึกษาใช้ประกอบการพิจารณาอนุมัติตามประเด็นอภิปรายดังกล่าว แล้วแจ้งให้คณะกรรมการเขตพื้นที่ การศึกษาทราบโดยเร็วต่อไป |
|||||||||||||||
2853 | ร่างพระราชบัญญัติธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (ปรับปรุงวัตถุประสงค์ของ ธ.ก.ส. สัดส่วนการถือหุ้นของสถาบันการเงินและบุคคลอื่นใน ธ.ก.ส. อำนาจของ ธ.ก.ส. ในการกระทำกิจการ อำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการ ธ.ก.ส. และผู้จัดการ) | กค | 04/11/2546 | ||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการตามที่กระทรวงการคลังเสนอร่างพระราชบัญญัติธนาคารเพื่อการ
เกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยสาระสำคัญของร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้เป็นการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติธนาคารเพื่อการเกษตรและ สหกรณ์การเกษตร พ.ศ. 2509 ในส่วนของสถานที่ตั้งของสำนักงานใหญ่ การแต่งตั้งสาขาหรือตัวแทนของ ธนาคาร ผู้ถือหุ้น วัตถุประสงค์ของธนาคาร อำนาจของธนาคาร อำนาจของคณะกรรมการในการแต่งตั้งคณะ กรรมการบริหาร และอำนาจหน้าที่ของผู้จัดการ ทั้งนี้ ให้แก้ไขเพิ่มเติมร่างพระราชบัญญัติ ฯ ให้เป็นไปตาม ความเห็นของคณะรัฐมนตรีดังนี้ สัดส่วนการถือหุ้นของสถาบันการเงินหรือบุคคลอื่นตามร่างมาตรา 4 ซึ่งแก้ไข เพิ่มเติมมาตรา 7 ควรกำหนดให้เพิ่มขึ้นได้ตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและ สังคมแห่งชาติ แต่ต้องไม่เกินร้อยละสี่สิบเก้า เพื่อให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ยังคงมีฐานะเป็นรัฐวิสาหกิจตามกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณ และต้องยึดหลักการในการช่วยเหลือทาง การเงินแก่เกษตรกร และการพัฒนาชนบทต่อไป สำหรับผู้ถือหุ้นแต่ละรายให้กำหนดให้ถือได้ไม่เกินร้อยละห้า ยกเว้นผู้ถือหุ้นที่มีลักษณะเป็นกองทุนด้านการเกษตร หรือกองทุนของรัฐ เช่น สหกรณ์ สหกรณ์การเกษตร หรือกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ เป็นต้น โดยให้ ธ.ก.ส. มีอำนาจในการใช้ดุลพินิจในการขายหุ้นภาย ใต้กรอบสัดส่วนดังกล่าวตามที่เห็นสมควร สำหรับองค์ประกอบของคณะกรรมการ ธ.ก.ส. ในส่วนของประธาน กรรมการและผู้แทนสำนักนายกรัฐมนตรีที่ร่วมเป็นคณะกรรมการ ธ.ก.ส. และวัตถุประสงค์ของ ธ.ก.ส. ตาม ร่างมาตรา 6 ซึ่งเพิ่มความเป็น (4) ของมาตรา 9 ให้เป็นไปตามประเด็นอภิปรายของคณะกรรมการกลั่น กรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 7 ที่เห็นควรให้ตัดความใน (4) ของร่างมาตรา 6 กรณีการให้ความช่วย เหลือทางการเงินแก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในการดำเนินงานเพื่อการพัฒนาท้องถิ่นของ ธ.ก.ส. และไม่ ควรกำหนดให้มีผู้แทนสำนักนายกรัฐมนตรีร่วมเป็นคณะกรรมการ ธ.ก.ส. เพื่อให้สอดคล้องกับข้อเท็จจริงใน ปัจจุบันที่สำนักนายกรัฐมนตรีมิได้มีหน่วยงานดูแลภาคการเงินและเกษตรกรรม และให้รับความเห็นของส่วน ราชการที่เกี่ยวข้องและข้อสังเกตของสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับร่างมาตรา 3 แก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 6 บัญญัติให้ตั้งสาขาหรือตัวแทนของ ธ.ก.ส. นอกราชอาณาจักรได้ โดยต้องได้รับอนุมัติจากรัฐมนตรีก่อนการ ตั้งสาขาหรือตัวแทนนอกราชอาณาจักรดังกล่าว อาจไม่สามารถให้บริการหรือช่วยเหลือทางการเงินแก่บุคคล กลุ่มบุคคล ฯลฯ ซึ่งประกอบอาชีพเกษตรกรรมในประเทศไทยตามวัตถุประสงค์ของ ธ.ก.ส. ได้ ไปพิจารณา ด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ต่อไป |
|||||||||||||||
2854 | ส่งสำเนาคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ | ศร | 04/11/2546 | ||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญได้เสนอคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ ที่
32/2546 ลงวันที่ 22 กันยายน 2546 เรื่อง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเสนอความเห็นขอให้ศาลรัฐธรรมนูญ พิจารณาวินิจฉัยว่า ในการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2547 มาตรา 17 เฉพาะกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นในส่วนของเงินอุดหนุนเฉพาะกิจเพื่อพัฒนาองค์กรปก ครองส่วนท้องถิ่นตามยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศ และเงินอุดหนุนเฉพาะกิจเพื่อพัฒนาด้านการท่องเที่ยว ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นตามยุทธศาสตร์การพัฒนาการท่องเที่ยวไทย มีการกระทำฝ่าฝืนบทบัญญัติ รัฐธรรมนูญ มาตรา 180 วรรคหก หรือไม่ ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาเรื่องดังกล่าวแล้ว และได้วินิจฉัยชี้ ขาดว่า การพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2547 มาตรา 17 เฉพาะกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น ในส่วนของเงินอุดหนุนเฉพาะกิจทั้งสองกรณีดังกล่าว ไม่ปรากฏว่ามี การกระทำฝ่าฝืนบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ มาตรา 180 วรรคหก เนื่องจากการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ งบประมาณรายจ่าย ฯ มาตรา 17 เฉพาะกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นในส่วนของเงินอุดหนุนเฉพาะ กิจดังกล่าว ได้ผ่านการพิจารณากลั่นกรองของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยตามที่คณะรัฐมนตรีมอบ หมาย และจัดส่งสำนักงบประมาณเพื่อนำเสนอต่อคณะกรรมาธิการวิสามัญเพื่อประกอบการพิจารณาให้ ความเห็นชอบ และไม่ปรากฏว่า มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร หรือกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราช บัญญัติงบประมาณรายจ่าย ฯ หรืออนุกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาจัดสรรงบประมาณให้แก่องค์กรปก ครองส่วนท้องถิ่นใช้อำนาจหน้าที่เพิ่มเติมรายการ และกระทำด้วยประการใด ๆ ในงบประมาณรายจ่าย ของกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นอันมีผลให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภาหรือกรรมาธิการ มีส่วนไม่ว่าโดยตรงหรือโดยอ้อมในการใช้งบประมาณรายจ่ายตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว |
|||||||||||||||
2855 | กระทู้ถามที่ 1170 ร. เรื่อง ปัญหาการขนส่งเนื้อสุกรทั้งตัวบนถนนเพชรเกษม | สผ | 04/11/2546 | ||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอคำตอบกระทู้ถามที่ 1170 ร.
เรื่อง ปัญหาการขนส่งเนื้อสุกรทั้งตัวบนถนนเพชรเกษม ของพลตรี ศรชัย มนตริวัต สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดกาญจนบุรี และให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป โดยสาระสำคัญของคำตอบสรุปได้ว่า ตามพระ ราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 20 ได้กำหนดให้ผู้ขับขี่ซึ่งขับรถบรรทุก คน สัตว์ หรือสิ่งของ ต้องจัดให้มีสิ่งป้องกันมิให้คน สัตว์ หรือสิ่งของที่บรรทุกตกหล่น รั่วไหล สิ่งกลิ่น ส่องแสงสะท้อน หรือปลิว ไปจากรถอันอาจก่อเหตุเดือดร้อนรำคาญ ทำให้ทางสกปรก เปรอะเปื้อน ทำให้เสื่อมเสียสุขภาพอนามัยแก่ ประชาชนหรือก่อให้เกิดอันตรายแก่บุคคลหรือทรัพย์สิน ดังนั้น การบรรทุกเนื้อสัตว์ต่าง ๆ ที่ได้ชำแหละแล้ว นำเข้ามาขายในเขตกรุงเทพมหานคร จึงจำเป็นต้องจัดให้มีสิ่งป้องกันมิให้เนื้อสัตว์ตกหล่น รั่วไหล หรือส่ง กลิ่น รบกวน มิฉะนั้นจะเป็นการกระทำความผิดตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 20 สำหรับ แนวทางในการดำเนินการจะให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ และเจ้าหน้าที่ที่มีส่วนเกี่ยวข้องออกตรวจตราและเข้มงวดกวด ขันในการจับกุมผู้ประกอบการขนส่งเนื้อสัตว์ที่ได้กระทำผิดกฎหมายเพื่อมิให้ฝ่าฝืนกฎหมายซึ่งจะทำให้ประชา ชนผู้บริโภคได้บริโภคเนื้อสัตว์ที่ถูกสุขลักษณะและอนามัย และจากสภาพปัญหาการบริโภคอาหารของประชา ชนในปัจจุบันยังไม่ได้รับความปลอดภัยจากการบริโภค ประกอบกับความต้องการบริโภคเนื้อสุกรในกรุงเทพ มหานครและปริมณฑลมีปริมาณมากกว่าวันละ 10,000 ตัว และโรงฆ่าสุกรในกรุงเทพมหานครไม่สามารถฆ่า สุกรได้ตามปริมาณที่ต้องการ จึงต้องสั่งนำเข้าสุกรจากต่างจังหวัดซึ่งมีขบวนการผลิตและการขนส่งยังไม่ถูกสุข ลักษณะความปลอดภัยและไม่เป็นมาตรฐาน ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคและหน่วยงานที่ เกี่ยวข้องจึงได้ระดมความคิดร่วมกัน เพื่อกำหนดมาตรฐาน แนวทางในการแก้ไขปัญหาอย่างครบวงจรเกี่ยวกับ การบริโภคเนื้อสุกรที่ไม่ได้รับความปลอดภัย ส่วนการตรวจติดตามการดำเนินการปรับปรุงโรงฆ่าสัตว์ การ ฆ่าสัตว์ (สุกร) และการขนส่งขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอาสาสมัคร (ท้องถิ่นนำร่อง 6 จังหวัด) และ ได้ขอความร่วมมือจากกรมปศุสัตว์ กรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่น ให้ติดตามสอดส่องการดำเนินการ ปรับปรุงโรงฆ่าสัตว์ การฆ่าสัตว์ (สุกร) และการขนส่ง รวมทั้งได้มีส่วนราชการได้ให้ความสนใจในการปรับ ปรุงสภาพการบริโภคเนื้อสุกรให้มีความปลอดภัยมากขึ้น เช่น การใส่สารเร่งเนื้อแดง เป็นต้น และขณะนี้คณะ รัฐมนตรี ได้มีมติเห็นชอบแผนยุทธศาสตร์ความปลอดภัยด้านอาหาร (Food Safety) โดยมอบให้กระทรวง สาธารณสุข และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับผิดชอบดำเนินการ โดยมีหน่วยงานที่ร่วมรับผิดชอบ จำนวน 11 หน่วยงาน รวมถึงสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคด้วย |
|||||||||||||||
2856 | กระทู้ถามที่ 1219 ร. เรื่อง การกำหนดให้มีวันกตัญญูแผ่นดินในประเทศไทย | สผ | 04/11/2546 | ||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอคำตอบกระทู้ถามที่ 1219 ร.
เรื่อง การกำหนดให้มีวันกตัญญูแผ่นดินในประเทศไทย ของนายเปรมศักดิ์ เพียยุระ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดขอนแก่น และให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป โดยสาระสำคัญของคำตอบสรุปได้ว่า รัฐบาลโดย กระทรวงวัฒนธรรม ได้พิจารณาเกี่ยวกับการกำหนดให้มีวันกตัญญูแผ่นดินในประเทศไทยแล้วเห็นว่า ประเทศ ไทยได้มีการกำหนดวันสำคัญไว้หลายวัน ทั้งที่เป็นวันเกี่ยวข้องกับวันกตัญญูต่อบุรพมหากษัตริย์ บรรพชนใน อดีต วันกตัญญูต่อบรรพชนของแต่ละท้องถิ่นอีก รวมทั้งยังมีวันสำคัญของวีรชนคนกล้าในแต่ละจังหวัด ดังนั้น หากจะให้กำหนดวันใดวันหนึ่งเป็น "วันกตัญญูแผ่นดินในประเทศไทย" เป็นการเฉพาะลงไป อาจจะไม่เหมาะ สม จึงไม่จำเป็นที่จะต้องกำหนดให้มี "วันกตัญญูแผ่นดินในประเทศไทย" |
|||||||||||||||
2857 | มาตรการและแนวทางการเร่งรัดติดตามการใช้จ่ายเงินงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2547 | กค | 04/11/2546 | ||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอมาตรการและแนวทางการเร่งรัดติดตามการใช้
จ่ายเงินงบประมาณประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2547 ดังนี้ มาตรการเร่งรัดติดตามในปีงบประมาณ พ.ศ. 2547 เห็นควรกำหนดเป้าหมายการเบิกจ่ายเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2547 ไว้ในอัตราร้อย ละ 92.0 ของวงเงินงบประมาณรายจ่าย 1,011,500 ล้านบาท โดยไม่รวมงบกลางที่ตั้งไว้เพื่อใช้จ่ายในงานโครง การเพื่อการเสริมสร้างศักยภาพการแข่งขันและการพัฒนาที่ยั่งยืนของประเทศ (16,500 ล้านบาท) และราย จ่ายลงทุนควรกำหนดเป้าหมายไม่น้อยกว่าร้อยละ 72.0 ของวงเงินงบประมาณรายจ่ายลงทุนของแต่ละส่วนราช การ ส่วนแนวทางการดำเนินงานของส่วนราชการเจ้าของงบประมาณ ให้ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจถือปฏิบัติ ตามแนวทางแก้ไขปัญหาอุปสรรคในการเบิกจ่ายเงินงบประมาณโดยเคร่งครัด และเพื่อเร่งรัดการก่อหนี้ผูกพัน รายจ่ายลงทุน ให้ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจที่มีหน่วยงานในภูมิภาคเร่งโอนเงินงบประมาณไปให้หน่วยงานใน ภูมิภาคโดยเร็ว และเร่งดำเนินการก่อหนี้ผูกพันให้แล้วเสร็จภายในไตรมาสที่ 2 กับให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และจังหวัดแต่งตั้งคณะกรรมการหรือคณะทำงานขึ้นทำหน้าที่ติดตามเร่งรัดการเบิกจ่ายเงินงบประมาณให้เป็นไป ตามเป้าหมายที่คณะรัฐมนตรีเห็นชอบ และติดตามปัญหาอุปสรรคในการเบิกจ่ายเงินและดำเนินการตามมาตร การและแนวทางที่คณะกรรมการติดตามผลการใช้จ่ายเงินภาครัฐในปีงบประมาณ พ.ศ. 2547 กำหนดต่อไป รวม ทั้งให้ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจส่งสำเนาแผนการจัดซื้อจัดจ้างประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2547 ตามระบบงบ ประมาณแบบมุ่งเน้นผลงานที่จัดส่งให้สำนักงบประมาณให้กรมบัญชีกลางทราบ เพื่อประโยชน์ในการติดตามเร่ง รัดการเบิกจ่ายเงินงบประมาณของส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจ และให้รัฐมนตรีเจ้าสังกัดพิจารณาประสิทธิภาพ ของหัวหน้าส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจและผู้ว่าราชการจังหวัด ในกรณีที่ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจในส่วนกลางที่ มีอัตราการเบิกจ่ายรายจ่ายลงทุนต่ำกว่าร้อยละ 72 ของงบประมาณรายจ่ายลงทุนที่ได้รับ และกรณีที่ส่วนราช การและรัฐวิสาหกิจในส่วนภูมิภาคที่มีอัตราการเบิกจ่ายรายจ่ายลงทุนต่ำกว่าร้อยละ 72 ของงบประมาณราย จ่ายลงทุนที่ได้รับ ทั้งนี้ อัตราการเบิกจ่ายที่ต่ำกว่ากำหนดดังกล่าวจะต้องมิได้มีสาเหตุมาจากปัญหาที่เป็นปัจจัย ภายนอก และให้กระทรวงการคลังพิจารณากำหนดหลักเกณฑ์ในการให้รางวัลกับส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และ ส่วนภูมิภาคที่มีอัตราการเบิกจ่ายที่มีประสิทธิภาพสูงกว่า สำหรับแนวทางการดำเนินงานของหน่วยงานกลาง มอบหมายให้กรมบัญชีกลางรายงานผลการเบิกจ่ายเงินงบประมาณประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2547 ได้แก่ ราย งานภาพรวมการเบิกจ่ายเงินและปัญหาอุปสรรคพร้อมทั้งมาตรการที่ควรดำเนินการให้คณะรัฐมนตรีทราบ และ รายงานผลการเบิกจ่ายเงินรายส่วนราชการให้รัฐมนตรีเจ้าสังกัดทราบเพื่อประโยชน์ในการเร่งรัดการดำเนินงาน แก้ไขปัญหาอุปสรรคและทำให้การเร่งรัดการเบิกจ่ายเงินเป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนด นอกจากนี้ ให้สำนักงาน คณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นรายงานผลการติดตามการดำเนินงานปัญหา อุปสรรคขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นให้คณะรัฐมนตรีทราบ |
|||||||||||||||
2858 | กระทู้ถามที่ 1222 ร. เรื่อง เร่งรัดลาดยางถนน | สผ | 28/10/2546 | ||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอคำตอบกระทู้ถามที่ 1222 ร. เรื่อง เร่งรัดลาด
ยางถนน ของนายนิยม วรปัญญา สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดลพบุรี และให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อ ไป โดยสาระสำคัญของคำตอบสรุปได้ว่า กระทรวงคมนาคมโดยกรมทางหลวงชนบทได้ดำเนินการตรวจสอบเส้น ทางสายจากวัดท่าดินดำ-ท่ามะนาว ระยะทาง 2.000 กิโลเมตร พบว่าเป็นทางผิวจราจรลูกรัง ปัจจุบันอยู่ในความ รับผิดชอบขององค์การบริหารส่วนจังหวัดลพบุรี จึงเห็นควรให้องค์การบริหารส่วนจังหวัดลพบุรีรับไปพิจารณาถึง ความเหมาะสมในการปรับปรุงถนนลูกรังสายดังกล่าวให้เป็นถนนลาดยาง ส่วนถนนสายโรงเรียนนารายณ์วิทยา -บ้านท่าดินดำ กรมทางหลวงชนบทดำเนินการตรวจสอบแล้วพบว่า เป็นถนนสายสะพานนิยมชัยศิริ-โรงเรียน นารายณ์วิทยา ก่อสร้างเป็นถนนผิวจราจรลาดยางแล้ว ระยะทาง 1.345 กิโลเมตร คงเหลือยังไม่ได้ก่อสร้าง ระยะ ทาง 0.645 กิโลเมตร กรมทางหลวงชนบทได้พิจารณางบประมาณเพิ่มเติมเพื่อก่อสร้างเป็นถนนลาดยางแล้ว อยู่ ในระหว่างการจัดซื้อจัดจ้าง หากเมื่อก่อสร้างแล้วเสร็จจะพิจารณามอบโอนให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นไปดูแล บำรุงรักษาเนื่องจากมีลักษณะเป็นถนนสายย่อย ซึ่งเป็นภารกิจขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น สำหรับการรับ เป็นถนนหมายเลขเดี่ยวไม่สามารถดำเนินการได้ เนื่องจากทางหลวงหมายเลขเดี่ยวเป็นถนนลักษณะเชื่อมระหว่าง ภูมิภาค และสภาพการใช้ประโยชน์ของถนนดังกล่าวมิได้สอดคล้องเป็นถนนเชื่อมระหว่างภูมิภาค |
|||||||||||||||
2859 | กระทู้ถามที่ 1235 ร. เรื่อง การสนับสนุนงบประมาณเพื่อการปรับปรุงและซ่อมแซมถนนในพื้นที่บ้านห้วยน้ำดีและบ้านห้วยน้ำเย็น อำเภอชาติตระการ จังหวัดพิษณุโลก | สผ | 28/10/2546 | ||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอคำตอบกระทู้ถามที่ 1235 ร. เรื่อง การ
สนับสนุนงบประมาณเพื่อการปรับปรุงและซ่อมแซมถนนในพื้นที่บ้านห้วยน้ำดีและบ้านห้วยน้ำเย็น อำเภอชาติ ตระการ จังหวัดพิษณุโลก ของนายนคร มาฉิม สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดพิษณุโลก และให้ประกาศใน ราชกิจจานุเบกษาต่อไป โดยสาระสำคัญของคำตอบสรุปได้ว่า กระทรวงคมนาคม ได้มอบหมายให้กรมทาง หลวงบทดำเนินการตรวจสอบถนนสายบ้านห้วยน้ำดี ตำบลท่าสะแก และถนนสายบ้านห้วยน้ำเย็น ตำบล บ้านดง อำเภอชาติตระการ จังหวัดพิษณุโลก แล้วปรากฎว่า ถนนสายทั้ง 2 สาย มีสภาพเป็นถนนดินลูกรัง และ อยู่ในความรับผิดชอบขององค์การบริหารส่วนตำบลตำบลท่าสะแกและองค์การบริหารส่วนตำบลบ้านดง รวมทั้ง อยู่ในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ นอกจากนี้ ถนนทั้ง 2 สาย กรมทางหลวงชนบทไม่ได้รับการจัดสรรงบประมาณใน ปีพ.ศ. 2546 เนื่องจากอยู่ในความรับผิดชอบขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จึงต้องให้องค์กรปกครองส่วน ท้องถิ่นดำเนินการบำรุงรักษา หรือบูรณะลาดยางตามความจำเป็นเร่งด่วน โดยรัฐบาลได้สนับสนุนท้องถิ่นใน รูปงบประมาณอุดหนุนเป็นประจำทุก ๆ ปี อย่างไรก็ตาม หากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นไม่มีงบประมาณ ในการซ่อมบำรุง องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นสามารถประสานไปยังสำนักงานทางหลวงชนบทพิษณุโลก เพื่อ ขอความช่วยเหลือซ่อมแซมให้ใช้งานได้เป็นการชั่วคราวก่อน ตามกำลังงบประมาณที่จะสามารถช่วยเหลือเจียด จ่ายให้ เพื่อลดความเดือดร้อนของประชาชนในเบื้องต้น |
|||||||||||||||
2860 | การจัดสรรเงินอุดหนุนเฉพาะกิจเพื่อพัฒนาองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นตามยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศ ปีงบประมาณ พ.ศ. 2547 | นร | 28/10/2546 | ||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเกี่ยวกับเรื่อง การจัดสรรเงินอุดหนุนเฉพาะกิจเพื่อพัฒนาองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
ตามยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศ ปีงบประมาณ พ.ศ. 2547 ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ โดยที่เรื่องนี้ เกี่ยวข้องกับการพิจารณาจัดสรรเงินอุดหนุนเฉพาะกิจให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ซึ่งคณะกรรม การการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นควรพิจารณาก่อน และในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร เพื่อพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2547 ในวาระที่ 2 และ 3 เมื่อ วันที่ 3-5 กันยายน 2546 สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้ให้ข้อสังเกตในมาตรา 17 ซึ่งเป็นงบประมาณของกรมส่ง เสริมการปกครองส่วนท้องถิ่น กระทรวงมหาดไทย รายการเงินอุดหนุนเฉพาะกิจเพื่อพัฒนาองค์กรปกครองส่วน ท้องถิ่นตามยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศ จำนวน 3,226,543,600 บาท ว่า งบประมาณดังกล่าวมีการ กระจุกตัว และลงในพื้นที่ของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี งบประมาณ พ.ศ. 2547 จึงมอบให้รองนายกรัฐมนตรี (นายจาตุรนต์ ฉายแสง) ประธานกรรมการการกระจาย อำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นรับเรื่องนี้ไปพิจารณาทบทวน โดยอาจกำหนดกรอบหลักเกณฑ์ในการ พิจารณาจัดสรรเงินอุดหนุนเฉพาะกิจที่เหมาะสม และให้ประสานการดำเนินการกับกระทรวงมหาดไทย (กรมส่ง เสริมการปกครองท้องถิ่น) และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง ก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไปอีกครั้งหนึ่ง |
.....