ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 147 จากทั้งหมด 200 หน้า แสดงรายการที่ 2921 - 2940 จากข้อมูลทั้งหมด 3982 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
2921 | ขออนุมัติเงินงบประมาณงบกลาง พ.ศ. 2546 รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นเพื่อนำไปใช้เป็นค่าใช้จ่ายขุดเจาะบ่อน้ำบาดาลให้แก่ราษฎรที่ประสบปัญหาขาดแคลนน้ำอุปโภคบริโภค และ เรื่อง ขอเว้นงบประมาณปี พ.ศ. 2546 เพิ่อนำไปเป็นค่าใช้จ่ายในการขุดเจาะบ่อน้ำบาดาลให้แก่ราษฎรที่ขาดแคลนน้ำอุปโภคบริโภค | ทส | 13/08/2546 | ||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติมอบให้รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) เป็นประธานการประชุมเพื่อ
พิจารณาแนวทางการดำเนินการขุดเจาะบ่อน้ำบาดาลให้แก่ราษฎรที่ขาดแคลนน้ำอุปโภคและบริโภค โดยให้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยเป็นเจ้าภาพเชิญส่วนราชการที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้มาประชุมร่วมกันให้ได้ข้อ ยุติโดยด่วน แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีอีกครั้งหนึ่ง ทั้งนี้ ให้รับข้อสังเกตของคณะรัฐมนตรีไปพิจารณาด้วยว่า โดยที่การซ่อมและการขุดเจาะบ่อน้ำบาดาลดังกล่าวซึ่งถือเป็นภารกิจหนึ่งที่ส่วนกลางได้ถ่ายโอนให้แก่ท้องถิ่น แล้ว และท้องถิ่นสามารถจะพิจารณาจัดลำดับความสำคัญในการดำเนินการเรื่องนี้ร่วมกับภารกิจอื่น ๆ ที่ท้อง ถิ่นประสงค์จะดำเนินการ โดยใช้งบประมาณหมวดเงินอุดหนุนทั่วไปที่ท้องถิ่นได้รับการจัดสรรไว้แล้วได้ตาม ความจำเป็นเหมาะสมของท้องถิ่นเอง ดังนั้น บทบาทของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (กรม ทรัพยากรธรณี) จึงควรเป็นผู้แจ้งข้อมูลทางวิชาการที่กรมทรัพยากรธรณีได้จัดสำรวจไว้แล้ว ให้แต่ละท้องถิ่น ได้ทราบว่า ท้องถิ่นใดมีความเหมาะสมจะขุดเจาะบ่อน้ำบาดาลหรือไม่ เพียงใด เพื่อประกอบการพิจารณา ดำเนินการในเรื่องนี้ของท้องถิ่น ตลอดจนเป็นผู้สนับสนุนทางด้านเทคนิค วิชาการ โดยระยะเริ่มแรกให้ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติ ฯ เข้าไปเสริมหรือร่วมมือกับท้องถิ่นเพื่อแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนและตอบ สนองความต้องการของประชาชนในบางพื้นที่ สำหรับงบประมาณค่าใช้จ่ายเพื่อการขุดเจาะบ่อน้ำบาดาลดัง กล่าวให้ใช้จ่ายจากงบประมาณประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2547 โดยให้สำนักงบประมาณปรับเพิ่มวงเงินงบ ประมาณประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2547 ของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติ ฯ สำหรับรายการค่าใช้จ่าย ขุดเจาะบ่อน้ำบาดาล จำนวน 6,000 บ่อ วงเงินรวม 685,448,000 บาท แล้วให้นำเสนอคณะกรรมาธิการ วิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2547 ต่อไป นอกจากนี้ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติ ฯ จัดเตรียมความพร้อมของบุคลากรและเครื่องมืออุปกรณ์ในการขุดเจาะบ่อ น้ำบาดาล โดยให้กระจายความพร้อมดังกล่าวไปยังจังหวัดต่าง ๆ ที่มีปัญหาภัยแล้ง และมีความต้องการขุด เจาะบ่อน้ำบาดาล เพื่อให้สามารถประสานและดำเนินงานร่วมกับหน่วยงานในพื้นที่ได้อย่างรวดเร็วต่อไป |
|||||||||||||||
2922 | ขออนุมัติหลักการการขยายเวลาการจ้างครูอัตราจ้างชั่วคราวเป็นคราวละ 5 ปีต่อเนื่อง | ศธ | 13/08/2546 | ||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 4 (คกก.4)
ที่มีมติอนุมัติในหลักการตามความเห็นของสำนักงาน ก.พ. เกี่ยวกับการขยายเวลาการจ้างครูอัตราจ้างชั่วคราว จากระยะเวลา 1 ปี เป็นคราวละ 3 ปีต่อเนื่อง ตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. 2546 เป็นต้นไป โดยให้ทำสัญญาจ้าง ในแต่ละปี ทั้งนี้ เพื่อให้มีการประเมินครูอัตราจ้างอันเป็นหลักประกันคุณภาพการเรียนการสอนให้แก่เด็กและ ผู้ปกครอง โดยให้ใช้หลักการนี้กับครูอัตราจ้างของทุกส่วนราชการในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ และหากมี การนำระบบสัญญาจ้างมาใช้ ก็ให้กระทรวงศึกษาธิการปรับสัญญาจ้างปีต่อปีที่ใช้อยู่ให้เข้าสู่ระบบดังกล่าวต่อ ไป โดยให้สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษาและกระทรวงศึกษาธิการรับความเห็น และข้อสังเกตของ คกก.4 ไปดำเนินการ ดังนี้ กรณีที่มีปัญหาไม่ทราบจำนวนครูขาดแคลนที่แท้จริง ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการที่จะใช้ครูได้ อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้ทราบจำนวนครูที่ขาดแคลนที่แท้จริงว่ามีจำนวนเท่าใด จึงเห็นควรให้สำนักงาน เลขาธิการสภาการศึกษาเป็นเจ้าของเรื่อง โดยอาจมอบให้สถาบันการศึกษาแห่งใดแห่งหนึ่งรับไปศึกษาข้อ มูลจำนวนครูที่ขาดแคลนที่เป็นจริง โดยให้ศึกษาเชิงลึกตามประเภทการเรียนการสอนและตามประเภทพื้นที่ แล้วจัดทำเป็นภาพรวมทั้งประเทศ เพื่อใช้กำหนดมาตรการและแนวทางในการแก้ไขปัญหาขาดแคลนครูต่อไป ในระยะยาว นอกจากนี้ ข้อเท็จจริงในปัจจุบันรัฐเป็นผู้จัดการศึกษากว่าร้อยละ 80 ดังนั้น ในระยะยาวควรจะ ส่งเสริมให้เอกชนเข้ามามีส่วนในการจัดการศึกษาเพิ่มมากขึ้น โดยรัฐควรสนับสนุนภาคเอกชนในจุดที่ยังด้อย อยู่ จึงมอบให้กระทรวงศึกษาธิการรับไปพิจารณาบทบาทการพัฒนาการศึกษาระหว่างภาครัฐและเอกชนใน อนาคต โดยการให้เอกชนเข้ามามีบทบาทในการจัดการศึกษามากยิ่งขึ้น รวมทั้งเร่งถ่ายโอนภารกิจด้านการ ศึกษาให้กับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นตามแผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น |
|||||||||||||||
2923 | รายงานความก้าวหน้าการดำเนินงานต่อสู้เพื่อเอาชนะยาเสพติด ของกระทรวงมหาดไทย รอบสัปดาห์ (ถึงวันที่ 10 สิงหาคม 2546) | มท | 13/08/2546 | ||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงมหาดไทย โดยศูนย์ปฏิบัติการต่อสู้เพื่อเอาชนะยาเสพติด
กระทรวงมหาดไทย (ศตส.มท.) รายงานผลการปฏิบัติงานต่อสู้เพื่อเอาชนะยาเสพติดในภาพรวมของศูนย์ปฏิบัติ การต่อสู้เพื่อเอาชนะยาเสพติดจังหวัด (ศตส.จ.) ทั้ง 75 จังหวัด ในรอบสัปดาห์ (ถึงวันที่ 10 สิงหาคม 2546) โดยการปราบปรามจับกุมผู้ผลิต/ผู้ค้ายาเสพติดของ ศตส.จ. ศตส.อ/กิ่ง อ. มียอดการจับกุมรวมทั้งสิ้น 48,559 คน การแสดงตนต่อทางราชการ ระหว่างวันที่ 3-10 สิงหาคม 2546 มีผู้ผลิต/ผู้ค้า มาแสดงตนเพิ่มขึ้น 16 คน และผู้เสพแสดงตนเพิ่มขึ้น 561 คน ด้านการบำบัดรักษาและฟื้นฟูผู้เสพ ช่วงระหว่างวันที่ 1 พฤษภาคม-10 สิงหาคม 2546 มีผลการบำบัดรักษารวม 77,836 คน ด้านการเสริมสร้างความเข้มแข็งของหมู่บ้าน/ชุมชนตาม กระบวนการเสริมสร้างหมู่บ้าน/ชุมชนเข้มแข็งเพื่อเอาชนะยาเสพติด ณ วันที่ 10 สิงหาคม 2546 จากเป้าหมาย 82,247 หมู่บ้าน/ชุมชน มีหมู่บ้าน/ชุมชนที่จังหวัดประกาศการดำเนินการผ่าน 6 ขั้นตอน รวมทั้งสิ้น 69,508 หมู่บ้าน/ชุมชน และการปฏิบัติภารกิจของผู้ประสานพลังแผ่นดินเอาชนะยาเสพติด ได้จัดฝึกอบรมวิทยากรระดับ ตำบล (ครู ข) จัดประชุมชี้แจงผู้ประสานพลังแผ่นดินระดับหมู่บ้านเพื่อจัดตั้งและรับมอบภารกิจและมีผู้ผลิต/ผู้ ค้าผ่านโครงการอบรมทำความดีเพื่อแผ่นดิน จำนวน 30,151 คน ส่วนการปราบปรามจับกุมผู้ผลิต/ผู้ค้าราย สำคัญและการยึดทรัพย์สิน จากการตรวจสอบและยึดทรัพย์สินของ ศตส. 75 จังหวัด ระหว่างวันที่ 3 - 10 สิงหาคม 2546 จับกุมผู้ผลิต/ผู้ค้ารายสำคัญ 6 ราย ยึดทรัพย์สินได้มูลค่า 0.546 ล้านบาท และผลการปฏิบัติ งานยึดทรัพย์สินของ ป.ป.ส. และ ปปง. ในระยะเวลาตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์-10 สิงหาคม 2546 สามารถ ดำเนินการยึดทรัพย์สินผู้ผลิต/ผู้ค้า จำนวน 2,890.700 ล้านบาท สำหรับการดำเนินการกับเจ้าหน้าที่ของรัฐ ที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติด ในส่วนของกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น มีบุคลากรขององค์กรปกครองส่วนท้อง ถิ่นเกี่ยวกับยาเสพติดเพิ่มขึ้น 2 ราย นอกจากนี้ ยังมีผลการปฏิบัติงานด้านการป้องกันกลุ่มผู้มีโอกาสเข้าไปใช้ ยาเสพติด (Potential Demand) การปราบปรามผู้มีอิทธิพล การมอบแนวทางการปราบปรามผู้มีอิทธิพลและ การดำเนินงานต่อสู้เพื่อเอาชนะยาเสพติด รวมทั้งการมอบนโยบายการปราบปรามผู้มีอิทธิพลและการดำเนิน การต่อสู้เพื่อเอาชนะยาเสพติด ครั้งที่ 8 |
|||||||||||||||
2924 | ร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการบริหารการพัฒนาเพื่อกระจายความเจริญไปสู่ภูมิภาคและท้องถิ่น (แก้ไขเพิ่มเติม) พ.ศ. 2546 | นร | 13/08/2546 | ||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 7 (คกก.7) ที่
มีมติเห็นชอบในหลักการตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอร่างระเบียบ สำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการบริหารการพัฒนาเพื่อกระจายความเจริญไปสู่ภูมิภาคและท้องถิ่น (แก้ไขเพิ่ม เติม) พ.ศ. 2546 และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา ทั้งนี้ ให้แก้ไขเพิ่มเติมตามความเห็น ของ คกก.7 เกี่ยวกับการปรับปรุงองค์ประกอบของคณะกรรมการพัฒนาจังหวัด โดยกำหนดให้มีผู้แทนจากองค์ กรส่วนท้องถิ่น และผู้แทนหัวหน้าส่วนราชการได้ตามจำนวนที่กำหนด เพื่อให้เกิดความคล่องตัวของคณะกรรม การ ฯ ในการดำเนินการ และตรงตามลักษณะงานของส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ การกำหนดให้มีผู้แทนของ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และหัวหน้าส่วนราชการทุกแห่งเป็นกรรมการ จะทำให้องค์ประกอบของคณะกรรม การใหญ่เกินไปไม่อาจปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ ปัจจุบันตำแหน่งประธานกรรมการบริหาร องค์การบริหารส่วนตำบลได้แก้ไขปรับปรุงใหม่เป็นนายกองค์การบริหารส่วนตำบลแล้ว ควรแก้ไขให้สอดคล้อง กันด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ |
|||||||||||||||
2925 | ขอเงินงบประมาณ ปี พ.ศ. 2546 เพื่อนำไปเป็นค่าใช้จ่ายในการขุดเจาะบ่อน้ำบาดาลให้แก่ราษฎรที่ประสบปัญหาขาดแคลนน้ำอุปโภคบริโภค และเว้นขอเงินงบประมาณปี พ.ศ. 2546 เพื่อนำไปเป็นค่าใช้จ่ายให้แก่ราษฎรที่ขาดแคลนน้ำอุปโภคบริโภค | ทส | 13/08/2546 | ||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติมอบให้รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) เป็นประธานการประชุมเพื่อ
พิจารณาแนวทางการดำเนินการขุดเจาะบ่อน้ำบาดาลให้แก่ราษฎรที่ขาดแคลนน้ำอุปโภคและบริโภค โดยให้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยเป็นเจ้าภาพเชิญส่วนราชการที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้มาประชุมร่วมกันให้ได้ข้อ ยุติโดยด่วน แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีอีกครั้งหนึ่ง ทั้งนี้ ให้รับข้อสังเกตของคณะรัฐมนตรีไปพิจารณาด้วยว่า โดยที่การซ่อมและการขุดเจาะบ่อน้ำบาดาลดังกล่าวซึ่งถือเป็นภารกิจหนึ่งที่ส่วนกลางได้ถ่ายโอนให้แก่ท้องถิ่น แล้ว และท้องถิ่นสามารถจะพิจารณาจัดลำดับความสำคัญในการดำเนินการเรื่องนี้ร่วมกับภารกิจอื่น ๆ ที่ท้อง ถิ่นประสงค์จะดำเนินการ โดยใช้งบประมาณหมวดเงินอุดหนุนทั่วไปที่ท้องถิ่นได้รับการจัดสรรไว้แล้วได้ตาม ความจำเป็นเหมาะสมของท้องถิ่นเอง ดังนั้น บทบาทของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (กรม ทรัพยากรธรณี) จึงควรเป็นผู้แจ้งข้อมูลทางวิชาการที่กรมทรัพยากรธรณีได้จัดสำรวจไว้แล้ว ให้แต่ละท้องถิ่น ได้ทราบว่า ท้องถิ่นใดมีความเหมาะสมจะขุดเจาะบ่อน้ำบาดาลหรือไม่ เพียงใด เพื่อประกอบการพิจารณา ดำเนินการในเรื่องนี้ของท้องถิ่น ตลอดจนเป็นผู้สนับสนุนทางด้านเทคนิค วิชาการ โดยระยะเริ่มแรกให้ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติ ฯ เข้าไปเสริมหรือร่วมมือกับท้องถิ่นเพื่อแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนและตอบ สนองความต้องการของประชาชนในบางพื้นที่ สำหรับงบประมาณค่าใช้จ่ายเพื่อการขุดเจาะบ่อน้ำบาดาลดัง กล่าวให้ใช้จ่ายจากงบประมาณประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2547 โดยให้สำนักงบประมาณปรับเพิ่มวงเงินงบ ประมาณประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2547 ของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติ ฯ สำหรับรายการค่าใช้จ่าย ขุดเจาะบ่อน้ำบาดาล จำนวน 6,000 บ่อ วงเงินรวม 685,448,000 บาท แล้วให้นำเสนอคณะกรรมาธิการ วิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2547 ต่อไป นอกจากนี้ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติ ฯ จัดเตรียมความพร้อมของบุคลากรและเครื่องมืออุปกรณ์ในการขุดเจาะบ่อ น้ำบาดาล โดยให้กระจายความพร้อมดังกล่าวไปยังจังหวัดต่าง ๆ ที่มีปัญหาภัยแล้ง และมีความต้องการขุด เจาะบ่อน้ำบาดาล เพื่อให้สามารถประสานและดำเนินงานร่วมกับหน่วยงานในพื้นที่ได้อย่างรวดเร็วต่อไป |
|||||||||||||||
2926 | การถ่ายโอนบุคลากรให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น | นร | 05/08/2546 | ||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักนายกรัฐมนตรีรายงานสรุปผลการถ่ายโอนบุคลากรให้แก่องค์
กรปกครองส่วนท้องถิ่น ของกระทรวงมหาดไทย สรุปได้ดังนี้ (1) จำนวนบุคลากรที่ต้องถ่ายโอนรวมทั้งสิ้น 4,111 ราย แยกเป็นข้าราชการ 1,310 ราย ลูกจ้าง ประจำ 2,801 ราย ศูนย์ปฏิบัติการถ่ายโอนบุคลากรจังหวัด 75 จังหวัด ได้ดำเนินการถ่ายโอนบุคลากรรวม 3 ครั้ง องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นได้แต่งตั้งรับโอนบุคลากรแล้วรวม 3,938 ราย แยกเป็นข้าราชการ 1,253 ราย ลูกจ้างประจำ 2,685 ราย คงเหลือบุคลากรที่ยังถ่ายโอนไม่ได้รวม 173 ราย แยกเป็นข้าราชการ 57 ราย ลูก จ้างประจำ 116 ราย (2) กรุงเทพมหานครได้พิจารณารับโอนบุคลากรตามบัญชีการตัดโอนตำแหน่งและอัตราเงินเดือนข้า ราชการที่ถ่ายโอนไปองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จำนวน 9 รายแล้ว โดยมีเงื่อนไขว่าราชการส่วนกลางจะต้อง ระบุภารกิจและระยะเวลาการถ่ายโอนให้ชัดเจน (3) กรมบัญชีกลางกำลังดำเนินการแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวกับสิทธิประโยชน์ของบุคลากรที่ถ่ายโอนไป ยังองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อให้ยังคงสามารถเป็นสมาชิกภาพกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ และ กองทุนสำรองเลี้ยงชีพสำหรับลูกจ้างประจำของส่วนราชการได้ดังเดิม รวมทั้งจะได้แก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องให้มี ผลใช้บังคับย้อนหลังเพื่อรองรับสิทธิของบุคลากรที่ได้ถ่ายโอนไปแล้ว (4) กระทรวงมหาดไทยได้ประมวลผลสถานภาพการจัดสรรบุคลากรให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้อง ถิ่นพร้อมจัดส่งบัญชีรายชื่อข้าราชการและลูกจ้างประจำที่ไม่สามารถจัดสรรได้ให้ศูนย์พัฒนาและถ่ายโอนบุคลา กรภาครัฐ สำนักงาน ก.พ. ดำเนินการต่อไปแล้ว |
|||||||||||||||
2927 | การดำรงตำแหน่งกรรมการและการมอบหมายให้ทำหน้าที่แทนกรรมการตามพระราชบัญญัติหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2545 | นร | 05/08/2546 | ||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอความเห็นของคณะกรรมการ
กฤษฎีกา (คณะที่ 1) ในปัญหาข้อกฎหมาย เรื่อง การดำรงตำแหน่งกรรมการและการมอบหมายให้ทำหน้าที่ แทนกรรมการตามพระราชบัญญัติหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2545 ดังนี้ กรณีสมาชิกวุฒิสภาจะดำรง ตำแหน่งกรรมการตามกฎหมายว่าด้วยหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ได้หรือไม่ นั้น คณะกรรมการ ฯ เห็นว่า ตาม รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 110 (1) ได้บัญญัติเกี่ยวกับการห้ามดำรงตำแหน่ง หรือมีหน้าที่ใน หน่วยราชการ รวมถึงการดำรงตำแหน่งกรรมการในหน่วยราชการ ยกเว้นเฉพาะเป็นการรับหรือดำรงตำแหน่ง กรรมการที่ได้รับแต่งตั้งในฐานะผู้ทรงคุณวุฒิ ดังนั้น สมาชิกวุฒิสภาจึงอาจจะได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งกรรม การผู้ทรงคุณวุฒิตามกฎหมายว่าด้วยหลักประกันสุขภาพแห่งชาติได้ ส่วนกรณีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณ สุขจะมอบหมายให้ผู้ช่วยรัฐมนตรีทำหน้าที่ประธานกรรมการในคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ไม่ อาจกระทำได้ เพราะขัดกับอำนาจหน้าที่ของผู้ช่วยรัฐมนตรีตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยคณะกรรม การผู้ช่วยรัฐมนตรี พ.ศ. 2546 รวมทั้งกรณีผู้แทนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นซึ่งได้รับคัดเลือกให้เป็นกรรมการ ตามกฎหมายว่าด้วยหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ จะมอบให้ผู้อื่นเข้าประชุมแทน ได้หรือไม่ นั้น ตามพระราช บัญญัติหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2545 มาตรา 13 (3) และมาตรา 48 (4) ได้กำหนดให้มีกรรมการ จากผู้แทนองค์กรปกครอง ฯ โดยให้ผู้บริหารองค์กรปกครอง ฯ แต่ละประเภทคัดเลือกกันเอง โดยอาศัยการได้ รับความไว้วางใจ หรือความรู้ความสามารถเป็นการเฉพาะตัว หากกรรมการซึ่งเป็นผู้แทนองค์กรปกครอง ฯ ไม่ สามารถเข้าประชุมได้ ก็ไม่อาจมอบให้ผู้อื่นเข้าประชุมแทน |
|||||||||||||||
2928 | รายงานผลการตรวจสอบและผลการปฏิบัติหน้าที่พร้อมข้อสังเกตของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ประจำปี 2545 | ปช | 05/08/2546 | ||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ
(สำนักงาน ป.ป.ช.) รายงานผลการตรวจสอบและผลการปฏิบัติหน้าที่ พร้อมข้อสังเกตของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ประจำปี พ.ศ. 2545 โดยผลการตรวจสอบและการปฏิบัติหน้าที่ของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ประกอบด้วย การ ปราบปรามการทุจริต การป้องกันการทุจริต การตรวจสอบทรัพย์สิน และการบริหารจัดการองค์กร สำหรับข้อ สังเกตและข้อเสนอแนะ คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้มีข้อสังเกตและข้อเสนอแนะรวม 5 เรื่อง ได้แก่ (1) การประสาน ความร่วมมือในการใช้อำนาจระหว่างสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภากับคณะกรรมการ ป.ป.ช. และการเปิดเผยข้อ มูลตามพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. 2540 บางครั้งยังมีข้อจำกัดของกฎหมาย (2) มาตรการ ป้องกันการทุจริตที่ให้ความสำคัญในเรื่องความสัมฤทธิผลของมาตรการป้องกันการทุจริตในแต่ละเรื่อง (3) การ บริหารงบประมาณในเรื่องการจัดกลุ่มการบริหารงบประมาณที่มุ่งเน้นผลงานตามยุทธศาสตร์ (4) การกระจาย อำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่ต้องคำนึงถึงความสมดุลของค่าตอบแทนกับความรับผิดชอบ และ (5) การจัดทำรายงานเสนอความเห็นต่อรัฐสภาและคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญหรือกฎหมายอื่น |
|||||||||||||||
2929 | แนวทางการสำรวจความหลากหลายทางชีวภาพระดับท้องถิ่น | ทส | 05/08/2546 | ||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรายงานสรุปแนวทาง
การสำรวจความหลากหลายทางชีวภาพระดับท้องถิ่น โดยในรอบ 50 ปีที่ผ่านมาพบว่า ความหลากหลายทาง ชีวภาพทุกระดับอยู่ในสภาพที่เสื่อมโทรมและลดปริมาณลงหลายพื้นที่ไม่อยู่ในสภาพที่จะให้ชุมชนท้องถิ่นได้พึ่ง พา ส่งผลให้ละทิ้งความรู้พื้นฐานและภูมิปัญญาท้องถิ่น ประกอบกับการบริหารทรัพยากรธรรมชาติแนวใหม่ มุ่งเน้นที่จะให้ชุมชนท้องถิ่นเข้ามามีส่วนร่วมในกระบวนการมากขึ้น ซึ่งสอดคล้องกับรัฐธรรมนูญและตามแผน พัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 9 (พ.ศ. 2545-2549) และนโยบายและยุทธศาสตร์ของกระทรวง ทรัพยากรธรรมชาติ ฯ ดังนั้น จึงควรดำเนินการสำรวจรวบรวมข้อมูลความหลากหลายทางชีวภาพ และภูมิ ปัญญาท้องถิ่นที่เกี่ยวข้องเชิงวิชาการอย่างเป็นระบบ เพื่อให้ได้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์สูงสุด ดังนี้ (1) เตรียม ความพร้อมของท้องถิ่นให้สามารถทำการวางแผน สำรวจ รวบรวม จำแนก วิเคราะห์ และจัดทำฐานข้อมูล เบื้องต้น (2) ทำการวางแผน สำรวจ รวบรวมจำแนก วิเคราะห์ และจัดทำฐานข้อมูลเบื้องต้นโดยชุมชนท้องถิ่น (3) สนับสนุนการดำเนินงานด้านวิชาการโดยหน่วยงานของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติ ฯ องค์กรพัฒนา เอกชน และผู้เชี่ยวชาญ หรือสถาบันการศึกษา (4) พัฒนาฐานข้อมูลในระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ และเผย แพร่ผลงานเพื่อการใช้ประโยชน์ต่อไป (5) ระยะดำเนินงาน 4 ปี ตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. 2547-2550 (6) ดำเนินการในท้องที่ 4,088 ตำบล ใน 70 จังหวัดทั่วประเทศครอบคลุมพื้นที่ป่าทั้งสิ้น 164,000 ตาราง กิโลเมตร (7) งบประมาณสำหรับดำเนินการทั้งสิ้น 460.50 ล้านบาท ทั้งนี้ ประโยชน์ที่จะได้รับคือ เป็น ส่วนหนึ่งของการปรับกลไก และกระบวนการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ที่เน้นการมีส่วนร่วม ของทุกฝ่าย และสอดคล้องกับเงื่อนไขในเรื่องการพัฒนาอย่างยั่งยืน และการลดความยากจน |
|||||||||||||||
2930 | ผลการประชุมคณะรัฐมนตรีร่วมไทย - กัมพูชา | นร | 29/07/2546 | ||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอผลการประชุมคณะรัฐมนตรีร่วม
ไทย - กัมพูชา ณ เมืองเสียมราฐ ประเทศกัมพูชา และจังหวัดอุบลราชธานี ประเทศไทย เมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม - 1 มิถุนายน 2546 และเห็นชอบให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการให้เป็นไปตามผลการประชุมต่อไป รวมทั้ง ให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีทุกท่านเร่งรัดติดตามการดำเนินการเรื่องนี้อย่างใกล้ชิดและต่อเนื่องด้วย โดย สาระสำคัญของการประชุมดังกล่าวได้แบ่งการประชุมออกเป็น 5 กลุ่ม ประกอบด้วย กลุ่มความมั่นคง พิจารณา เรื่อง เอกสารผ่านแดน การเปิดจุดผ่านแดน Concept Paper on Thailand - Combodia Border Pointof Entry ความร่วมมือระหว่างหน่วยงานด้านความมั่นคง และกลไกประสานความร่วมมือระดับท้องถิ่น และปัญหาเขตแดน กลุ่มเศรษฐกิจ พิจารณาเรื่อง การค้าชายแดน สินค้าเกษตร คณะกรรมาธิการร่วมด้านการค้า (JIC) โครงการ ความร่วมมือด้านเศรษฐกิจอื่น ๆ การพัฒนาเส้นทางถนน การพัฒนาพลังงานไฟฟ้า และการคลัง กลุ่มการ ศึกษา วัฒนธรรม และการท่องเที่ยว พิจารณาเรื่อง โครงการโรงเรียนพระราชทานตามพระราชดำริของสมเด็จ พระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ที่จังหวัดกำปงธม การแลกเปลี่ยนการเยือนการฝึกอบรมครูโครง การร่วมมือด้านการศึกษาอื่น ๆ ความร่วมมือด้านวัฒนธรรม ความร่วมมือด้านโบราณวัตถุ คณะกรรมการ สมาคมวัฒนธรรมไทย - กัมพูชา โครงการ Two Kingdoms One Destination การเปิดช่อง "เขาพระวิหาร" ความร่วมมือ "สามเหลี่ยมมรกต" การอำนวยความสะดวกในการผ่านแดนเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวระหว่างกัน และ MOU ความร่วมมือด้านการท่องเที่ยว กลุ่มพัฒนาสังคม แรงงาน และสาธารณสุข พิจารณาเรื่อง ความร่วม มือด้านการป้องกันการค้าเด็กและสตรี ความร่วมมือด้านแรงงาน การฝึกอบรมอาชีพ ความร่วมมือด้าน สาธารณสุข และความร่วมมือด้านปราบปรามยาเสพติด กลุ่มวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม พิจารณา เรื่อง ความร่วมมือด้าน IT การพัฒนาบุคลากร ปัญหาคลื่นความถี่รบกวนบริเวณชายแดน ความร่วมมือด้านการ จัดการทรัพยากรธรรมชาติ การจัดการป่าไม้ข้ามพรมแดน การจัดการสัตว์ป่าข้ามพรมแดน การแก้ไขปัญหามล พิษตามแนวชายแดน การถ่ายทอดเทคโนโลยีทางการเกษตร และการบริการข้อมูลดาวเทียมจากสถานีภาคพื้น ดินรับสัญญาณข้อมูลดาวเทียมสำรวจโลกของไทย
|
|||||||||||||||
2931 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดอัตราค่าธรรมเนียมใบอนุญาตและใบรับรอง และค่าป่วยการของพนักงานเจ้าหน้าที่ซึ่งปฏิบัติงานในวันหยุดราชการหรือนอกเวลาราชการ หรือนอกสถานที่ราชการ ตามกฎหมายว่าด้วยกักพืช พ.ศ. .... | กษ | 29/07/2546 | ||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอร่างกฎกระทรวงกำหนดอัตราค่าธรรม
เนียมใบอนุญาตและใบรับรอง และค่าป่วยการของพนักงานเจ้าหน้าที่ซึ่งปฏิบัติงานในวันหยุดราชการหรือนอกเวลา ราชการ หรือนอกสถานที่ราชการ ตามกฎหมายว่าด้วยกักพืช พ.ศ. .... ที่คณะรัฐมนตรีชุดก่อนได้มีมติอนุมัติหลักการ และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาได้ตรวจพิจารณาแล้ว และให้ดำเนินการต่อไปได้ โดยสาระสำคัญของร่างกฎ กระทรวงฉบับนี้เป็นการปรับปรุงอัตราค่าธรรมเนียมใบอนุญาตและใบรับรอง และค่าป่วยการของพนักงานเจ้าหน้า ที่ซึ่งปฏิบัติงานในวันหยุดราชการหรือนอกเวลาราชการ หรือนอกสถานที่ราชการ ดังนี้ (1) ใบอนุญาตนำเข้าหรือนำผ่านสิ่งต้องห้าม ฉบับละ 100 บาท (2) ใบอนุญาตนำเข้าหรือส่งออกเชื้อพันธุ์พืช ฉบับละ 100 บาท (3) ใบรับรองปลอดศัตรูพืช ฉบับละ 100 บาท (4) ใบแทนใบรับรองปลอดศัตรูพืช ฉบับละ 50 บาท ทั้งนี้ บุคคลใดประสงค์จะให้พนักงานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานในวันหยุดราชการหรือนอกเวลาราชการ หรือ นอกสถานที่ราชการไม่ว่าในหรือนอกเวลาราชการต้องเสียค่าป่วยการให้สำหรับการที่พนักงานเจ้าหน้าที่ได้ปฎิบัติ งานตามอัตราที่กำหนด โดยให้ยกเว้นค่าธรรมเนียมดังกล่าวแก่พระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท ผู้สำเร็จราช การแทนพระองค์ กระทรวง ทบวง กรม ราชการส่วนภูมิภาค ราชการส่วนท้องถิ่น สภากาชาดไทย รัฐวิสาหกิจ และ หน่วยงานอื่นของรัฐ |
|||||||||||||||
2932 | ข้อพิจารณาเกี่ยวกับมาตรการทางกฎหมายในการแก้ปัญหารถจักรยานยนตร์รับจ้าง | นร | 29/07/2546 | ||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 7 (คกก.7)
ที่มีมติเกี่ยวกับข้อพิจารณามาตรการทางกฎหมายในการแก้ปัญหารถจักรยานยนตร์รับจ้าง โดยเห็นว่า มาตรการ ดังกล่าวคณะรัฐมนตรีได้มีมติรับทราบแล้วเมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม 2546 จึงเห็นควรให้กระทรวงคมนาคมรับไป ดำเนินการยกร่างกฎกระทรวงตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอรวม 3 ฉบับ ได้แก่ ร่างกฎกระทรวง แก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวง ฉบับที่ 5 (พ.ศ. 2524) (ข้อ 1 (4)) โดยอาศัยอำนาจตามมาตรา 5 (1) แห่งพระราช บัญญัติรถยนตร์พ.ศ. 2522 เพื่อกำหนดลักษณะ ขนาดหรือกำลังของเครื่องยนตร์ของรถจักรยานยนตร์สาธารณะ แยกจากรถจักรยานยนตร์ส่วนบุคคล ร่างกฎกระทรวงแก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวง ฉบับที่ 25 (พ.ศ. 2539) (ข้อ 2) เพื่อกำหนดลักษณะแผ่นป้ายทะเบียนรถสำหรับรถจักรยานยนตร์ทั้งสองประเภทให้แตกต่างกันโดยอาศัยอำนาจ ตามมาตรา 5 (4) แห่งพระราชบัญญัติรถยนตร์ พ.ศ. 2522 และร่างกฎกระทรวงแก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวง ฉบับ ที่ 22 (พ.ศ. 2537) (ข้อ 6) โดยอาศัยอำนาจตามมาตรา 5 (2) และมาตรา 7 (1) แห่งพระราชบัญญัติรถยนตร์ พ.ศ. 2522 กำหนดให้รถจักรยานยนตร์สาธารณะต้องมีเครื่องอุปกรณ์ที่จำเป็น เพื่อความปลอดภัยของคนโดย สารได้ แล้วเสนอ คกก.7 พิจารณาอีกครั้งหนึ่ง และให้กระทรวงมหาดไทยประสานกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อออกข้อบัญญัติหรือข้อบังคับท้องถิ่นเกี่ยวกับการจัดระเบียบการจอดยานยนตร์ต่อไป |
|||||||||||||||
2933 | รายงานความก้าวหน้าการดำเนินงานต่อสู้เพื่อเอาชนะยาเสพติดของกระทรวงมหาดไทยรอบสัปดาห์ (ถึงวันที่ 27 กรกฎาคม 2546) | มท | 29/07/2546 | ||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงมหาดไทย โดยศูนย์ปฏิบัติการต่อสู้เพื่อเอาชนะยาเสพติด
กระทรวงมหาดไทย (ศตส.มท.) รายงานผลความก้าวหน้าการดำเนินงานต่อสู้เพื่อเอาชนะยาเสพติดในภาพรวม ของศูนย์ปฏิบัติการต่อสู้เพื่อเอาชนะยาเสพติดจังหวัด (ศตส.จ.) ทั้ง 75 จังหวัด ในรอบสัปดาห์ (ถึงวันที่ 27 กรกฎาคม 2546) สรุปได้ดังนี้ (1) การปราบปรามจับกุมผู้ผลิต/ผู้ค้ายาเสพติดของ ศตส.จ. ศตส.อ./กิ่ง อ. มียอดการจับกุมรวมทั้ง สิ้น 48,015 คน ส่วนการแสดงตน ในช่วงวันที่ 21-27 กรกฎาคม 2546 มีผู้ผลิต/ผู้ค้าเข้าแสดงตนต่อทางราช การเพิ่มขึ้น 6 คน และผู้เสพแสดงตนเพิ่มขึ้น 68 คน ด้านการบำบัดรักษาและฟื้นฟูผู้เสพ มีผลการบำบัดรักษา ทั้งสิ้น 285,469 คน การเสริมสร้างความเข้มแข็งของหมู่บ้าน/ชุมชน ได้ดำเนินการตามกระบวนการดังกล่าว ครบ 6 ขั้นตอน จำนวน 41,448 หมู่บ้าน/ชุมชน ดำเนินการในขั้นตอนที่ 5 จำนวน 19,661 หมู่บ้าน/ชุมชน ดำเนินการในขั้นตอนที่ 4 จำนวน 797 หมู่บ้าน/ชุมชน และดำเนินการในขั้นตอนที่ 2 จำนวน 6 หมู่บ้าน/ ชุมชน (2) การปราบปรามจับกุมผู้ผลิต/ผู้ค้ารายสำคัญ และการยึดทรัพย์สิน มีผลการปราบปรามจับกุม ผู้ผลิต/ผู้ค้ารายสำคัญ ตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์-27 กุมภาพันธ์ 2546 รวม 1,997 คน การตรวจยึดทรัพย์ สินได้มูลค่า 6,728.236 ล้านบาท สำหรับผลการปฏิบัติงานยึดทรัพย์สินของ ป.ป.ส. และ ปปง. ตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์-27 กรกฎาคม 2546 สามารถดำเนินการยึดทรัพย์สินผู้ผลิต/ผู้ค้า จำนวน 2,786.160 ล้านบาท (3) การดำเนินการกับเจ้าหน้าที่ของรัฐที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติด จากการตรวจสอบเพิ่มเติมปรากฏ ว่า มีเจ้าหน้าที่ของรัฐที่มีพฤติการณ์เกี่ยวข้องกับยาเสพติด รวมทั้งสิ้น 1,351 ราย และจากรายงานของกรม การปกครอง มีกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ฯลฯ มีพฤติการณ์เกี่ยวข้องกับยาเสพติด รวมทั้งสิ้น 359 ราย และกรมส่ง เสริมการปกครองท้องถิ่น มีบุคลากรขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเกี่ยวข้องกับยาเสพติด รวมทั้งสิ้น 201 ราย นอกจากนี้ กระทรวงมหาดไทยได้ดำเนินการในส่วนของการปฏิบัติงานด้านการป้องกันกลุ่มเสี่ยง การจัดงาน "12 สิงหาสร้างมหาอภัยทานต้านยาเสพติด" มาตรการเร่งรัดผู้เสพ/ผู้ติด ยาเสพติดเข้ารับการ บำบัด ฟื้นฟูและพัฒนา และการมอบนโยบายและแนวทางการปราบปรามผู้มีอิทธิพลและการดำเนินการต่อ สู้เพื่อเอาชนะยาเสพติด |
|||||||||||||||
2934 | การรายงานของคณะกรรมการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ประจำปีงบประมาณ 2545 | กก | 22/07/2546 | ||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอสรุปผลการดำเนินงานของคณะ
กรรมการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ปีงบประมาณ พ.ศ. 2545 โดยผลการดำเนินงานของการท่องเที่ยวแห่ง ประเทศไทย (ททท.) ในภาพรวม ปีงบประมาณ พ.ศ. 2545 ในส่วนของจำนวนนักท่องเที่ยวระหว่างประเทศที่ เดินทางมายังประเทศไทย มีจำนวนรวมทั้งสิ้น 10.87 ล้านคน เพิ่มขึ้นจากปี พ.ศ. 2544 ร้อยละ 7.31 มีรายได้ เข้าประเทศประมาณ 332,640 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 11 และในส่วนของนักท่องเที่ยวคนไทยที่เดินทางท่อง เที่ยวในประเทศ ปี พ.ศ. 2545 เพิ่มขึ้นจากปี พ.ศ. 2544 ร้อยละ 4.96 โดยมีปริมาณการเดินทาง 61.53 ล้าน คน-ครั้ง ก่อให้เกิดรายได้หมุนเวียนภายในประเทศประมาณ 308,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนร้อยละ 37.66 สำหรับผลการดำเนินงานแยกตามกลยุทธ์ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2545 สรุปได้ดังนี้ (1) กลยุทธ์ด้าน การพัฒนา ได้แก่ การพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวตามกลุ่มพื้นที่ การพัฒนากิจกรรมทางการท่องเที่ยวเฉพาะอย่าง การพัฒนาให้ประเทศไทยเป็นแหล่งท่องเที่ยวคุณภาพ การรักษาความปลอดภัยแก่นักท่องเที่ยว การพัฒนา การท่องเที่ยงโดยมุ่งสู่ชุมชนท้องถิ่น การพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศ รวมทั้งการสร้างมาตรฐานการผลิตและ จำหน่ายสินค้าที่ระลึกให้นักท่องเที่ยวเกิดความพึงพอใจ และ (2) กลยุทธ์ด้านการตลาด โดยในส่วนของตลาด ต่างประเทศ ได้เสริมสร้างภาพลักษณ์ประเทศไทยให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีคุณภาพ และเป็นประตูสู่ภูมิภาค อินโดจีน แก้ไขภาพลักษณ์ด้านลบของประเทศไทย ตลอดจนเพิ่มศักยภาพและความสามารถในการแข่งขันของ ประเทศไทย และดำเนินการเชิงรุกไปยังกลุ่มประเทศตลาดเป้าหมายและกลุ่มนักท่องเที่ยวเป้าหมายที่มีความ พร้อม ส่วนตลาดในประเทศ ได้เปลี่ยนทัศนคติและสร้างค่านิยมในการเดินทางท่องเที่ยวภายในประเทศ ส่ง เสริมการตลาดเชิงรุก การส่งเสริมให้เกิดการเดินทางแลกเปลี่ยนระหว่างภูมิภาคและการส่งเสริมการท่องเที่ยว ในช่วง Low Season การประชาสัมพันธ์จิตสำนึกในการเป็นเจ้าบ้านที่ดี และเปิดโอกาสให้ท้องถิ่นมีส่วนร่วมใน การดำเนินการด้านการตลาดเพื่อเสนอขายพื้นที่ของตนเองมากยิ่งขึ้น |
|||||||||||||||
2935 | ขอความเห็นชอบแผนการดำเนินงานตามภารกิจหลักของการเคหะแห่งชาติ พ.ศ. 2546-2549 | พม | 22/07/2546 | ||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ
แผนการดำเนินงานตามภารกิจหลักของการเคหะแห่งชาติ พ.ศ. 2546-พ.ศ. 2547 และให้ส่วนราชการ หน่วย งานของรัฐ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ด้านจัดการสาธารณูปโภค สาธารณูปการ และที่เป็นเจ้าของที่ดิน ให้การสนับสนุนโครงการบ้านเอื้ออาทร และให้การเคหะแห่งชาติ (กคช.) ดำเนินการต่อไปได้ โดยให้รับความ เห็นและข้อสังเกตบางประการของกระทรวงการคลัง และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคม แห่งชาติ ไปประกอบการดำเนินการ ส่วนเรื่องการเงินให้เป็นไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้ คณะ รัฐมนตรีมีความเห็นเพิ่มเติม เกี่ยวกับการดำเนินโครงการบ้านเอื้ออาทรของ กคช. ต้องคำนึงถึงประโยชน์สูงสุด ของประชาชนผู้มีรายได้น้อยที่จะได้รับ ควบคู่ไปกับการใช้งบประมาณของรัฐอย่างมีประสิทธิภาพ ขณะเดียวกันก็ คงคุณภาพ มาตรฐาน ในการก่อสร้างไว้ ซึ่งจะทำให้สามารถลดภาระของรัฐในการให้ความสนับสนุนค่าใช้จ่าย จากเดิมในอัตราไม่เกิน 80,000 บาท ต่อหน่วยลงได้ ผู้ซื้อสามารถผ่อนชำระต่อเดือนในอัตราต่ำ ภายในระยะ เวลาที่กำหนดไว้ 30 ปี สำหรับโครงการบ้านเอื้ออาทรระยะที่ 3 ให้ กคช. กระจายการดำเนินการโครงการ โดย ให้ภาคเอกชนที่มีความพร้อมเข้ามามีส่วนร่วมในการดำเนินการก่อสร้างให้มากที่สุด โดยการจัดซื้อจัดจ้าง วัสดุ ครุภัณฑ์ในการก่อสร้างทั้งหมด กคช. ควรเป็นศูนย์กลางในการดำเนินการดังกล่าว ในส่วนของรูปแบบของบ้าน เอื้ออาทร ควรให้ความสำคัญต่อการประหยัดพลังงาน รวมทั้งวัสดุก่อสร้าง ซึ่งมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม หรือ ล้าสมัยแล้ว ก็ไม่ควรนำมาเป็นส่วนประกอบในการก่อสร้าง นอกจากนี้ พื้นที่ที่จะใช้ดำเนินโครงการภายในเขต กรุงเทพมหานครและปริมณฑลและต่างจังหวัดควรพิจารณาเลือกทำเลให้เหมาะสม โดยประสานขอความร่วมมือ จากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และภาคเอกชน และติดต่อเจรจากับธนาคารของรัฐและสถาบันการเงินต่าง ๆ ที่มี อสังหาริมทรัพย์ในครอบครองให้ได้เงื่อนไขที่ดีเพื่อนำมาใช้ประโยชน์ในการดำเนินโครงการ ทั้งนี้ ในการดำเนิน โครงการบ้านเอื้ออาทรระยะที่ 3 ให้ กคช. ดำเนินโครงการโดยได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 7 เมษายน 2536 แต่จะต้องประสานการดำเนินการกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จัดทำรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อมของโครงการเสนอขออนุมัติต่อคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติโดยเร็วต่อ ไป กับให้ กคช. เร่งรัดการดำเนินโครงการปรับปรุงสภาพแวดล้อมของชุมชนต่าง ๆ จำนวน 270 แห่ง ซึ่งได้รับ การจัดสรรงบประมาณเพื่อการนี้ไว้แล้ว เช่น โครงการปรับปรุงอาคารที่พักแฟลตดินแดง เป็นต้น ให้แล้วเสร็จ โดยเร็ว |
|||||||||||||||
2936 | การดำเนินการของกระทรวงการต่างประเทศ เพื่อให้ความช่วยเหลือและคุ้มครองคนไทยในต่างประเทศ | กต | 22/07/2546 | ||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอผลการดำเนินการของกระทรวงการ
ต่างประเทศ เพื่อให้ความช่วยเหลือและคุ้มครองคนไทยในต่างประเทศ ระหว่างเดือนเมษายน 2545 - มีนาคม 2546 ซึ่งได้ดำเนินการสอดคล้องกับนโยบายต่างประเทศของรัฐบาลในการ "ส่งเสริม รักษา และคุ้มครองสิทธิ และผลประโยชน์ของประเทศ รวมทั้งของภาคเอกชนไทย แรงงานไทย และคนไทยในต่างประเทศ" ตามที่ได้ แถลงไว้ต่อสภาผู้แทนราษฎร เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2544 สรุปได้ดังนี้ (1) การให้ความช่วยเหลือและรักษาผล ประโยชน์คนไทยในต่างประเทศ ได้ให้ความช่วยเหลือในรูปแบบต่าง ๆ รวมทั้งสิ้น 5,737 คน ประกอบด้วยการ ช่วยเหลือคนไทยตกทุกข์ได้ยาก (ถูกหลอกลวงไปทำงาน ค้าประเวณี เจ็บป่วย ถูกทอดทิ้งในต่างประเทศ และตก ทุกข์ในลักษณะอื่น) ช่วยเหลือและรักษาผลประโยชน์แรงงานไทย ช่วยเหลือชาวประมงไทยที่ถูกจับกุมคุมขังใน ต่างประเทศ รับเรื่องร้องทุกข์ ติดตามหาคนไทยในต่างประเทศ หรือแรงงานไทยที่เสียชีวิตในต่างประเทศ ติด ตามเงินพึงได้จากการเสียชีวิตของแรงงานไทยในต่างประเทศให้กับทายาทหรือผู้มีสิทธิได้รับเงินพึงได้ นอกจาก นี้ ยังมีงานดูแลนักเรียนทุนรัฐบาลไทยและข้าราชการที่ไปฝึกอบรมในต่างประเทศ (2) การดำเนินงานตาม นโยบายเข้าถึงประชาชน ได้จัดให้มีโครงการกงสุลสัญจรไปยังจังหวัดสกลนคร และอำเภอหาดใหญ่ จังหวัด สงขลา เพื่อรับฟังเรื่องราวร้องเรียนหรือขอความช่วยเหลือจากผู้นำท้องถิ่นและประชาชนโดยตรง จัดให้มีโครง การบัวแก้วสัญจร ที่อำเภอสะเดา จังหวัดสงขลา โครงการทำหนังสือเดินทางสัญจรในจังหวัดต่าง ๆ และ สนับสนุนการดำเนินการของรัฐมนตรีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และสมาชิกวุฒิสภา ในการรับเรื่องราวร้อง เรียนจากระดับท้องถิ่น (3) การอพยพคนไทยในอิรักและคูเวตกลับประเทศไทย เนื่องจากได้รับผลกระทบ จากกรณีที่สหรัฐ ฯ จะโจมตีอิรัก โดยได้เตรียมการให้ความช่วยเหลือ โดยการจัดเตรียมแผนเพื่อให้พร้อมต่อ การช่วยเหลืออพยพคนไทยและนักเรียนไทยออกจากประเทศดังกล่าวก่อนเกิดสงคราม และ (4) การปราบ ปราม ได้ดำเนินการประสานงานและขอความร่วมมือกับคณะกรรมาธิการหลายคณะของรัฐสภา รวมไปถึง ส่วนราชการและหนวยงานที่เกี่ยวข้องกับด้านการปราบปรามเพื่อบังคับการให้เป็นไปตามกฎหมายกับขบวน การหลอกลวงคนงานและการค้ามนุษย์ข้ามชาติ พร้อมทั้งประสานงานกับหน่วยงานของต่างประเทศในการ ช่วยเหลือและคุ้มครองคนไทยในต่างประเทศ |
|||||||||||||||
2937 | ขอความเห็นชอบโครงการพัฒนาที่อยู่อาศัยสำหรับผู้มีรายได้น้อย "โครงการบ้านเอื้ออาทร" ระยะ 3 และเรื่อง ขอความเห็นชอบแผนการดำเนินงานตามภารกิจหลักของการเคหะแห่งชาติ พ.ศ. 2546 - 2549 | พม | 22/07/2546 | ||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ
แผนการดำเนินงานตามภารกิจหลักของการเคหะแห่งชาติ พ.ศ. 2546-พ.ศ. 2547 และให้ส่วนราชการ หน่วย งานของรัฐ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ด้านจัดการสาธารณูปโภค สาธารณูปการ และที่เป็นเจ้าของที่ดิน ให้การสนับสนุนโครงการบ้านเอื้ออาทร และให้การเคหะแห่งชาติ (กคช.) ดำเนินการต่อไปได้ โดยให้รับความ เห็นและข้อสังเกตบางประการของกระทรวงการคลัง และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคม แห่งชาติ ไปประกอบการดำเนินการ ส่วนเรื่องการเงินให้เป็นไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้ คณะ รัฐมนตรีมีความเห็นเพิ่มเติม เกี่ยวกับการดำเนินโครงการบ้านเอื้ออาทรของ กคช. ต้องคำนึงถึงประโยชน์สูงสุด ของประชาชนผู้มีรายได้น้อยที่จะได้รับ ควบคู่ไปกับการใช้งบประมาณของรัฐอย่างมีประสิทธิภาพ ขณะเดียวกันก็ คงคุณภาพ มาตรฐาน ในการก่อสร้างไว้ ซึ่งจะทำให้สามารถลดภาระของรัฐในการให้ความสนับสนุนค่าใช้จ่าย จากเดิมในอัตราไม่เกิน 80,000 บาท ต่อหน่วยลงได้ ผู้ซื้อสามารถผ่อนชำระต่อเดือนในอัตราต่ำ ภายในระยะ เวลาที่กำหนดไว้ 30 ปี สำหรับโครงการบ้านเอื้ออาทรระยะที่ 3 ให้ กคช. กระจายการดำเนินการโครงการ โดย ให้ภาคเอกชนที่มีความพร้อมเข้ามามีส่วนร่วมในการดำเนินการก่อสร้างให้มากที่สุด โดยการจัดซื้อจัดจ้าง วัสดุ ครุภัณฑ์ในการก่อสร้างทั้งหมด กคช. ควรเป็นศูนย์กลางในการดำเนินการดังกล่าว ในส่วนของรูปแบบของบ้าน เอื้ออาทร ควรให้ความสำคัญต่อการประหยัดพลังงาน รวมทั้งวัสดุก่อสร้าง ซึ่งมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม หรือ ล้าสมัยแล้ว ก็ไม่ควรนำมาเป็นส่วนประกอบในการก่อสร้าง นอกจากนี้ พื้นที่ที่จะใช้ดำเนินโครงการภายในเขต กรุงเทพมหานครและปริมณฑลและต่างจังหวัดควรพิจารณาเลือกทำเลให้เหมาะสม โดยประสานขอความร่วมมือ จากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และภาคเอกชน และติดต่อเจรจากับธนาคารของรัฐและสถาบันการเงินต่าง ๆ ที่มี อสังหาริมทรัพย์ในครอบครองให้ได้เงื่อนไขที่ดีเพื่อนำมาใช้ประโยชน์ในการดำเนินโครงการ ทั้งนี้ ในการดำเนิน โครงการบ้านเอื้ออาทรระยะที่ 3 ให้ กคช. ดำเนินโครงการโดยได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 7 เมษายน 2536 แต่จะต้องประสานการดำเนินการกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จัดทำรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อมของโครงการเสนอขออนุมัติต่อคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติโดยเร็วต่อ ไป กับให้ กคช. เร่งรัดการดำเนินโครงการปรับปรุงสภาพแวดล้อมของชุมชนต่าง ๆ จำนวน 270 แห่ง ซึ่งได้รับ การจัดสรรงบประมาณเพื่อการนี้ไว้แล้ว เช่น โครงการปรับปรุงอาคารที่พักแฟลตดินแดง เป็นต้น ให้แล้วเสร็จ โดยเร็ว |
|||||||||||||||
2938 | กระทู้ถามที่ 879 ร. เรื่อง ปัญหาความเดือดร้อนของราษฎรจากการปิดเส้นทางสัญจรเดิมระหว่างชุมชนของศูนย์ขยายพันธุ์พืชที่ 13 จังหวัดกาฬสินธุ์ | สผ | 22/07/2546 | ||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอคำตอบกระทู้ถามที่ 879 ร. เรื่อง ปัญหา
ความเดือดร้อนของราษฎรจากการปิดเส้นทางสัญจรเดิมระหว่างชุมชนของศูนย์ขยายพันธุ์พืชที่ 13 จังหวัดกาฬสินธุ์ ของนายสุขุมพงศ์ โง่นคำ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดกาฬสินธุ์ และให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป โดย สาระสำคัญของคำตอบสรุปได้ว่า เมื่อปี พ.ศ. 2528 กรมส่งเสริมการเกษตรได้รับอนุญาตให้ใช้ประโยชน์ที่ดินราช พัสดุ ในการจัดตั้งศูนย์ขยายพันธุ์พืชที่ 13 จังหวัดกาฬสินธุ์ (ศูนย์ขยายเมล็ดพันธุ์พืชที่ 13 จังหวัดกาฬสินธุ์) ต่อมา ในปี พ.ศ. 2543-2545 กรมส่งเสริมการเกษตรได้รับงบประมาณดำเนินการก่อสร้างอาคารต่าง ๆ ตามโครงการ เพิ่มศักยภาพการผลิตและขยายพันธุ์พืช จึงได้ขยายพื้นที่ดำเนินการ โดยได้ขอแบ่งพื้นที่มาจากสำนักงานเกษตรและ สหกรณ์จังหวัดกาฬสินธุ์ และได้กั้นรั้วเป็นแนวทางเพื่อป้องกันทรัพย์สิน ทำให้เกิดเป็นเส้นทางที่ราษฎรใช้สัญจรไป มาระหว่างชุมชนบริเวณรอบๆ ซึ่งเมื่อมีการขยายพื้นที่เพื่อดำเนินการก่อสร้าง จำเป็นต้องรื้อรั้วที่กันบริเวณดังกล่าว และได้ทำการกั้นรั้วใหม่ ทำให้ปิดกั้นถนนทางเดินเดิม อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2538 ถนนบริเวณวัดห้วยสีทนและ ศูนย์ ฯ ดังกล่าว ได้รับการพัฒนาเป็นถนนลาดยางและถนนคอนกรีตเสริมเหล็ก ทำให้ราษฎรได้หันไปใช้ถนนดังกล่าว ซึ่งมีความสะดวกและปลอดภัยกว่า จึงได้ปิดเส้นทางสัญจรไปมาระหว่างชุมชนบริเวณรอบ ๆ ศูนย์ ฯ เป็นการถาวร ทั้งนี้ ศูนย์ ฯ ได้ชี้แจงและประสานงานกับหน่วยราชการที่เกี่ยวข้อง องค์กรในท้องถิ่นและราษฎร ถึงความจำเป็น ที่ต้องใช้พื้นที่ในการก่อสร้างเพื่อขยายการผลิตเมล็ดพันธุ์ และการป้องกันดูแลรักษาความปลอดภัยต่อทรัพย์สิน ราชการ และกรมส่งเสริมการเกษตรได้มอบหมายให้เจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้องเดินทางไปตรวจสอบข้อเท็จจริง และเจรจา ทำความเข้าใจกับราษฎรจนผู้ร้องเรียนพอใจและได้ทำบันทึกข้อตกลงไว้เป็นหลักฐานแล้ว |
|||||||||||||||
2939 | กระทู้ถามที่ 1068 ร. เรื่อง โครงการก่อสร้างฝายน้ำล้นห้วยดู่ จังหวัดพิษณุโลก กระทู้ถามที่ 1069 ร. เรื่อง โครงการขุดลอกคลองห้วยตูบผ้าห่ม จังหวัดพิษณุโลก และกระทู้ถามที่ 1070 ร. เรื่อง โครงการก่อสร้างอ่างเก็บน้ำขนาดเล็กลำห้วยไคร้ จังหวัดพิษณุโลก | สผ | 22/07/2546 | ||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอคำตอบกระทู้ถามที่ 1068 ร. เรื่อง
โครงการก่อสร้างฝายน้ำล้นห้วยดู่ จังหวัดพิษณุโลก กระทู้ถามที่ 1069 ร. เรื่อง โครงการขุดลอกคลองห้วยตูบผ้า ห่ม จังหวัดพิษณุโลก และกระทู้ถามที่ 1070 ร. เรื่อง โครงการก่อสร้างอ่างเก็บน้ำขนาดเล็กลำห้วยไคร้ จังหวัด พิษณุโลก ของนายนคร มาฉิม สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดพิษณุโลก และให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา ต่อไป โดยสาระสำคัญของคำตอบกระทู้ถามที่ 1068 ร. สรุปได้ว่า โครงการฝายน้ำล้นห้วยดู่ หมู่ที่ 1 บ้าน ห้วยตีนตั่ง ตำบลเนินเพิ่ม อำเภอนครไทย จังหวัดพิษณุโลก มีสภาพพื้นที่เหมาะสมสามารถที่จะดำเนินการก่อ สร้างอ่างเก็บน้ำพร้อมระบบส่งน้ำได้ ซึ่งกรมชลประทานได้ดำเนินการจัดทำรายงานพิจารณาโครงการเบื้องต้น ถ้ามีความเหมาะสมทางด้านวิศวกรรม จะได้พิจารณาสำรวจ ออกแบบและจัดทำแผนงาน และงบประมาณก่อ สร้างต่อไป ในกรณีที่ราษฎรในพื้นที่ขาดแคลนน้ำกรมชลประทานได้ให้การสนับสนุนเครื่องสูบน้ำเคลื่อนที่เพื่อ สูบน้ำช่วยเหลือราษฎรตามแหล่งน้ำธรรมชาติเพื่อการเพาะปลูกและการอุปโภค-บริโภค และในระยะต่อไป จะ ดำเนินการพิจารณาจัดหาน้ำให้เพียงพอต่อความต้องการในพื้นที่นั้น ๆ ตามความเหมาะสมทางด้านวิศวกรรม เพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าวให้เป็นการถาวรต่อไป กระทู้ถามที่ 1069 ร. สรุปได้ว่า ปัจจุบันโครงการขุดลอกหนอง น้ำและคลองธรรมชาติ กรมชลประทานได้ถ่ายโอนภารกิจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นแล้ว และหากไม่ สามารถขุดลอกคลองห้วยตูบผ้าห่มในปีงบประมาณ พ.ศ. 2547 ได้ การแก้ไขปัญหาราษฎรขาดแคลนน้ำเป็น อำนาจหน้าที่ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่จะพิจารณาดำเนินการ และกระทู้ถามที่ 1070 ร. สรุปได้ ว่า โครงการก่อสร้างอ่างเก็บน้ำลำห้วยไคร้ หมู่ที่ 2 บ้านหนองขาหย่าง ตำบลสวนเมี่ยง อำเภอชาติตระการ จังหวัดพิษณุโลก มีสภาพพื้นที่ไม่เหมาะสมที่จะสร้างเป็นอ่างเก็บน้ำ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมชล ประทาน ได้แก้ไขปัญหาการขาดแคลนน้ำของราษฎรโดยให้การสนับสนุนเครื่องสูบน้ำเคลื่อนที่เพื่อสูบน้ำช่วย เหลือราษฎรตามแหล่งน้ำธรรมชาติ และรถยนต์บรรทุกน้ำสำหรับแจกจ่ายน้ำเพื่อการอุปโภค-บริโภค |
|||||||||||||||
2940 | ร่างพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งองค์การจัดการน้ำเสีย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | ทส | 22/07/2546 | ||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 3 (คกก.3) ที่มี
มติอนุมัติในหลักการตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอร่างพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งองค์การ จัดการน้ำเสีย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้ปรับปรุงแก้ ไขร่างพระราชกฤษฎีกา ฯ ตามความเห็นและข้อสังเกตของ คกก.3 ดังนี้ (1) อำนาจกระทำการต่าง ๆ ขององค์การ จัดการน้ำเสีย (อจน.) ตามมาตรา 7 ให้คงข้อความใน (13) เรื่องการประสานงานกับส่วนราชการต่าง ๆ ไว้เช่น เดิม ส่วนข้อความในร่าง (13) ที่เสนอควรให้เพิ่มเป็น (15) (2) แก้ไขข้อความในมาตรา 10(2) เป็น "ค่าบริการ ค่าธรรมเนียม และค่าตอบแทน" เพื่อให้สอดคล้องกับการเพิ่มมาตรา 7(15) เรื่องการบริหารงาน และ (3) ปรับปรุงองค์ประกอบของคณะกรรมการ อจน. ตามมาตรา12 ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน โดยเปลี่ยน ผู้แทนกระทรวงสาธารณสุข เป็น ผู้แทนกระทรวงอุตสาหกรรม กับเพิ่มผู้แทนการประปาส่วนภูมิภาคเป็นกรรม การด้วย และปรับลดจำนวนกรรมการอื่นจากเดิมที่กำหนดไว้ไม่เกินเจ็ดคน เป็น ไม่เกินหกคน ทั้งนี้ ในการแต่งตั้ง กรรมการดังกล่าวควรให้ความสำคัญกับผู้ที่มีความสามารถทางเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ และให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของ คกก.3 ที่เห็นควรให้ อจน. เร่งรัดจัดทำแผน การดำเนินงานเชิงธุรกิจ (Business Plan) ให้มีแนวทางการบริหารจัดการแบบเอกชนที่มีการวางแผนการดำเนิน งานหรือการลงทุนเพื่อก่อให้เกิดรายได้สามารถบริหารงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและเกิดประโยชน์สูงสุด โดย ให้มีการกำหนดระยะเวลาการดำเนินงานและตัวชี้วัดผลสัมฤทธิ์ที่ชัดเจนด้วย สำหรับการจัดเก็บค่าบริการหรือค่า ธรรมเนียมในการบำบัดน้ำเสีย ควรพิจารณาว่าจะให้การประปานครหลวงและการประปาส่วนภูมิภาคซึ่งเป็นผู้ ดำเนินการในการจัดเก็บค่าน้ำประปาอยู่แล้ว เป็นผู้จัดเก็บค่าบริการบำบัดน้ำเสีย โดยอาจให้ค่าตอบแทนในการ เรียกเก็บด้วยหรือไม่ หรือหาก อจน. เป็นผู้จัดเก็บเอง จะมีวิธีการดำเนินการและคำนวณอัตราส่วนการใช้น้ำอย่าง ไร หรืออาจจะโอนให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเป็นผู้ดำเนินการจัดเก็บ ไปเร่งรัดดำเนินการจัดทำแผนธุรกิจ ดังกล่าวให้แล้วเสร็จโดยเร็ว และเสนอ คกก.3 ภายใน 1 เดือน |
.....