ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 142 จากทั้งหมด 199 หน้า แสดงรายการที่ 2821 - 2840 จากข้อมูลทั้งหมด 3975 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
2821 | ข้อเสนอโครงการการจัดตั้งอุทยานวิทยาศาสตร์ภาคเหนือ | วท | 23/12/2546 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 3 (คกก.3) ที่
มีมติอนุมัติในหลักการตามที่กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเสนอ โครงการจัดตั้งอุทยานวิทยาศาสตร์ภาค เหนือ โดยวัตถุประสงค์ของโครงการ ฯ เพื่อการศึกษาวิจัยศักยภาพของท้องถิ่น การนำเทคโนโลยีมาใช้ประโยชน์ การพัฒนาเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจ การสร้างเครือข่ายวิสาหกิจวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี รวมทั้งการ พัฒนาบุคลากรท้องถิ่นให้มีศักยภาพแห่งการเรียนรู้ โดยให้กระทรวงอุตสาหกรรม สถาบันการเงินที่ให้การสนับ สนุนวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม สถาบันการศึกษา และสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ ร่วมกันจัดทำแผน การดำเนินงานทางธุรกิจ (Business Plan) ตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและ สังคมแห่งชาติ แล้วให้สำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติร่วม กันพิจารณาเพื่อการจัดสรรงบประมาณให้เป็นไปตามแผนการดำเนินงานทางธุรกิจต่อไป โดยให้กระทรวงวิทยา ศาสตร์ ฯ รับความเห็นและข้อสังเกตของ คกก.3 ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ดังนี้ ให้มีการเชื่อมโยงโครงการจัด ตั้งอุทยานวิทยาศาสตร์กับโครงการศูนย์ส่งเสริมการพัฒนาและการกระจายสินค้าวิสาหกิจขนาดกลางและขนาด ย่อมภาคเหนือ ของกระทรวงอุตสาหกรรม และโครงการจัดงานมหกรรมพืชสวนโลก 2549 จังหวัดเชียงใหม่ ของ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยมุ่งเน้นการบูรณาการการใช้ทรัพยากรร่วมกัน โดยเฉพาะการใช้ประโยชน์จาก สิ่งอำนวยความสะดวกและสาธารณูปโภคในภาพรวมไม่ให้ซ้ำซ้อน นอกจากนี้ ให้มีการประเมินผลการดำเนิน งานอย่างเป็นรูปธรรม โดยให้กระทรวงวิทยาศาสตร์ ฯ กำหนดตัวชี้วัดให้ชัดเจน และทำการติดตามประเมินผล เป็นประจำทุกปี |
||||||||||||||||||
2822 | ผลการดำเนินงานโครงการออกแบบและพัฒนาระบบฐานข้อมูลการพัฒนาชุมชนและท้องถิ่นเพื่อการบริหาร | ศธ | 23/12/2546 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงศึกษาธิการรายงานผลการดำเนินงานโครงการออกแบบ
และพัฒนาระบบฐานข้อมูลการพัฒนาชุมชนและท้องถิ่นเพื่อการบริหาร ผลการดำเนินงานตามโครงการ ฯ มี สถาบันอุดมศึกษาของรัฐเข้าร่วมโครงการทั้งสิ้น 21 แห่ง โดยแบ่งภาระการรับผิดชอบออกเป็น 6 ภูมิภาค ประกอบด้วย ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคใต้ ภาคกลาง ภาคตะวันออก และภาคตะวันตก โดย ดำเนินการรวบรวมและจัดเก็บข้อมูล ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 ส่วน ส่วนแรกคือ ฐานข้อมูลทางทรัพยากรธรรมชาติ และโครงสร้างพื้นฐาน (Resource Mapping) รวมไปถึงพื้นที่คุ้มครองเกษตรกรรม การจัดการป่าไม้ และการ ประยุกต์เพื่อแก้ไขปัญหาทรัพยากรในแต่ละพื้นที่ ส่วนที่สองคือ ฐานข้อมูลด้านวิถีชีวิตชุมชนภูมิปัญญาท้องถิ่น และทักษะความชำนาญการ (Skill Mapping) โดยสถาบันอุดมศึกษาจะคัดเลือกผลิตภัณฑ์เด่น โดยเน้นด้าน ความแข็งแรงของชุมชน แหล่งวัตถุดิบ คุณภาพผลิตภัณฑ์ รูปแบบการบรรจุภัณฑ์ และความยั่งยืนของตลาด อย่างน้อยจังหวัดละ 5 ผลิตภัณฑ์ และจัดเก็บรวบรวมข้อมูลทั้งหมดนี้ในระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ (GIS) ซึ่ง ผลจากการดำเนินงานตามโครงการดังกล่าวทำให้ได้ฐานข้อมูลทรัพยากรเชิงพื้นที่ของประเทศไทย (Resource Mapping) ที่สมบูรณ์ยิ่งขึ้นและสามารถนำไปใช้ในการวางแผนการแก้ปัญหาด้านกายภาพ ชีวภาพ การจัด การทรัพยากรธรรมชาติ การเกษตร และอื่น ๆ และได้ฐานข้อมูลภูมิปัญญาท้องถิ่น และวิถีชีวิตชุมชน (Skill Mapping) ตามลักษณะของผลิตภัณฑ์พื้นที่บ้านที่มีความสำคัญเชิงเศรษฐกิจในชุมชนในเชิงพื้นที่ ซึ่งจะเป็นแม่ แบบในการพัฒนาระบบฐานข้อมูลเศรษฐกิจชุมชนของประเทศให้ดียิ่งขึ้น นอกจากนี้ การดำเนินงานดังกล่าว สามารถนำไปใช้ประโยชน์ในการพัฒนาแก้ไขปัญหาของประเทศ ในการบริหารแบบ Electronic Government, Internet Media รวมทั้งการบริหารของผู้ว่าราชการจังหวัดแบบบูรณาการ (Chief Executive Officer : CEO) |
||||||||||||||||||
2823 | การแก้ไขปัญหาการบริหารราชการในส่วนภูมิภาคสืบเนื่องจากการพัฒนาระบบราชการ | นร | 23/12/2546 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 7 (คกก.7)
และเห็นชอบรายงานผลการพิจารณาของคณะทำงานพิจารณาเกี่ยวกับรายละเอียดและแนวทางการมอบอำนาจ เรื่อง การแก้ไขปัญหาการบริหารราชการในส่วนภูมิภาคสืบเนื่องจากการพัฒนาระบบราชการ โดยให้หน่วยงาน ที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการต่อไป สำหรับมติของ คกก.7 ได้ให้ความเห็นชอบตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอแนว ทางการแก้ไขปัญหาการบริหารราชการในส่วนภูมิภาค ภายหลังการปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม ในกรณี กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ตามมติ ก.พ.ร. และให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ สำนักงาน ก.พ. และสำนักงาน ก.พ.ร. รับไปพิจารณาร่วมกันเพื่อดำเนินการตามแนวทางดังกล่าว โดยคำนึงถึงการประสานงานกับผู้ว่าราชการ จังหวัดในระบบการบริหารราชการจังหวัดแบบบูรณาการ ทั้งนี้ อาจพิจารณาให้สถาบันการศึกษาในท้องถิ่นเช่น สถาบันราชภัฏหรือวิทยาลัยเกษตรกรรมเข้าร่วมพิจารณาด้วย อย่างไรก็ตาม จะต้องไม่เพิ่มอัตรากำลังและค่าใช้ จ่ายบุคคลภาครัฐ สำหรับกรณีของกระทรวงการคลังได้ทดลองและเริ่มปฏิบัติมาระยะหนึ่งแล้ว หากปรับเปลี่ยน ให้กลับไปสู่ระบบเดิมอาจเกิดปัญหาได้ และคณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบแนวทางที่จะมี CFO (Chief Financial Officer) เป็นศูนย์กลางบริหารงานการเงินของจังหวัด รวมทั้งรัฐบาลมีดำริที่จะพิจารณาทบทวนโครงสร้างของ กระทรวงการคลังเพื่อพัฒนาไปสู่ระบบใหม่ ในชั้นนี้จึงเห็นควรให้ดำเนินการ ดังนี้ ให้สำนักงาน ก.พ.ร. ประเมิน ผลการปรับเปลี่ยนโครงสร้างของกระทรวงการคลัง เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรี และในระหว่างนี้ยังมิให้ส่วนราช การอื่นดำเนินการตามแนวทางของกระทรวงการคลังจนกว่าจะทราบผลการประเมินอย่างชัดเจน และเพื่อเป็น การแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนในการติดต่อขอรับบริการ ในระหว่างนี้ให้กระทรวงการคลังฝาก งานให้หน่วยงานอื่นของรัฐในพื้นที่รับไปปฏิบัติตามความเหมาะสม และให้กระทรวงการคลังใช้ระบบเทคโนโลยี ทางด้านอิเล็กทรอนิกส์ทั้งหลาย เพื่อช่วยแก้ไขปัญหาและอำนวยความสะดวกให้แก่ประชาชนที่มาขอรับบริการ รวมทั้งจัดหน่วยบริการเคลื่อนที่เพื่อบริการประชาชนด้วย กับให้กระทรวงการคลังมอบอำนาจให้ผู้ว่าราชการ จังหวัดในการบังคับบัญชาข้าราชการ ตลอดจนการอนุมัติ อนุญาตในเรื่องต่าง ๆ ของส่วนราชการส่วนกลาง ภายในจังหวัดให้ชัดเจนตามแนวทางที่ ก.พ.ร. เสนอ โดยให้ผู้ช่วยรัฐมนตรี (นายสุจริต นันทมนตรี) เป็นประธาน คณะทำงานพิจารณารายละเอียดและแนวทางการมอบอำนาจดังกล่าวร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงมหาด ไทย สำนักงาน ก.พ. และสำนักงาน ก.พ.ร. อีกครั้งหนึ่งเพื่อนำผลการพิจารณาเสนอคณะรัฐมนตรีโดยด่วนต่อไป |
||||||||||||||||||
2824 | กระทู้ถามที่ 1237 ร. เรื่อง การจ่ายเบี้ยยังชีพให้แก่ผู้สูงอายุที่มีฐานะยากจน | สผ | 23/12/2546 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอคำตอบกระทู้
ถามที่ 1237 ร. เรื่อง การจ่ายเบี้ยยังชีพให้แก่ผู้สูงอายุที่มีฐานะยากจน ของนายเปรมศักดิ์ เพียยุระ สมาชิกสภา ผู้แทนราษฎรจังหวัดขอนแก่น และให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป โดยสาระสำคัญของคำตอบสรุปได้ว่า กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ได้รับมอบหมายจากรัฐบาลในการจัดสวัสดิการให้แก่ผู้สูงอายุ ที่มีฐานะยากจน ถูกทอดทิ้ง ขาดผู้อุปการะเลี้ยงดูไม่สามารถประกอบอาชีพเลี้ยงตนเองได้ ทั้งในเขตเทศบาลและ นอกเขตเทศบาล ไม่แตกต่างกัน โดยกรมการพัฒนาสังคมและสวัสดิการ ภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงการ พัฒนาสังคม ฯ ได้จัดบริการ และพิจารณาให้ความช่วยเหลือตามสภาพปัญหาและความจำเป็น โดยให้การดูแล และรับเข้าสงเคราะห์ในสถานสงเคราะห์ ซึ่งปัจจุบันมีสถานสงเคราะห์คนชรา จำนวน 20 แห่ง ทั่วประเทศ จัด บริการให้แก่ผู้สูงอายุที่อาศัยอยู่ในครอบครัวและชุมชน สนับสนุนให้จัดตั้งศูนย์บริการผู้สูงอายุโดยชุมชน ให้การ สงเคราะห์เป็นเงิน และเครื่องอุปโภคและบริโภคที่จำเป็นต่อการดำรงชีพ นอกจากนี้ คณะรัฐมนตรียังได้มีมติเห็น ชอบแผนผู้สูงอายุแห่งชาติ ฉบับที่ 2 (พ.ศ. 2545-2564) เพื่อใช้เป็นกรอบในการวางแผนและดำเนินงานด้านผู้ สูงอายุของประเทศ และมีมาตรการให้ความช่วยเหลือในรูปแบบอื่น ๆ อาทิ การสงเคราะห์ครอบครัวเป็นค่า เครื่องอุปโภคไม่เกิน 2,000 บาท ต่อคนต่อครั้ง ฯลฯ สำหรับการสงเคราะห์เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ รัฐบาลได้มอบ หมายให้กระทรวงการพัฒนาสังคม ฯ ถ่ายโอนงานดังกล่าวให้องค์การปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อให้การสงเคราะห์ ช่วยเหลือผู้สูงอายุเป็นไปอย่างรวดเร็ว และสอดรับกับการกระจายอำนาจ และให้ท้องถิ่นและชุมชนมีส่วนร่วมใน การจัดสวัสดิการและดูแลผู้สูงอายุ โดยได้ดำเนินการถ่ายโอนงานดังกล่าว ในปี พ.ศ. 2545 ในส่วนกลางถ่ายโอน งานให้แก่กรุงเทพมหานคร และส่วนภูมิภาคถ่ายโอนงานให้แก่องค์การบริหารส่วนตำบลและเทศบาล ทั้งนี้ จาก ปัญหาการรับเงินเบี้ยยังชีพล่าช้าของผู้สูงอายุ กระทรวงการพัฒนาสังคม ฯ จะได้นำเรื่องดังกล่าวให้ที่ประชุมคณะ กรรมการส่งเสริมและประสานงานผู้สูงอายุแห่งชาติ ร่วมกันพิจารณาหาแนวทางดำเนินการที่เหมาะสมต่อไป ใน ส่วนของการขอเพิ่มจำนวนการจ่ายเบี้ยยังชีพแก่ผู้สูงอายุให้ครบทุกคนทุกหมู่บ้าน เป็นบทบาทหน้าที่ขององค์กร ปกครองส่วนท้องถิ่นในการพิจารณาขอจัดตั้งงบประมาณเพิ่มเติม ตามขั้นตอนการขอรับงบประมาณจากรัฐบาล |
||||||||||||||||||
2825 | กระทู้ถามที่ 740 ร. เรื่อง การทำประโยชน์ในพื้นที่ตำบลบางกะเจ้า อำเภอพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ | สผ | 16/12/2546 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอคำตอบกระทู้ถามที่ 740 ร.
เรื่อง การทำประโยชน์ในพื้นที่ตำบลบางกะเจ้า อำเภอพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ ของนางสาวเรวดี รัศมิทัต สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดสมุทรปราการ และให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป โดยสาระ สำคัญของคำตอบสรุปได้ว่า รัฐบาลมีนโยบายที่จะอนุรักษ์พื้นที่ตำบลบางกะเจ้า อำเภอพระประแดง จังหวัด สมุทรปราการไว้เป็นพื้นที่สีเขียว โดยจัดซื้อที่ดินรวมเนื้อที่ 1,276 ไร่ และนำพื้นที่ส่วนหนึ่งเนื้อที่ 148 ไร่ มา จัดสร้างสวนสาธารณะและสวนพฤกษชาติ "ศรีนครเขื่อนขันธ์" โดยมีเป้าหมายในการรักษาพื้นที่สีเขียวและ ระบบนิเวศของพื้นที่ให้สวยงาม มีความเหมาะสมกับสภาพพื้นที่เดิม ซึ่งเป็นสวนเกษตรและระบบนิเวศพื้นที่ ชุ่มน้ำ เพื่อเป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจ และเป็นแหล่งศึกษาธรรมชาติระบบนิเวศท้องถิ่นสำหรับประชาชน และช่วยรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม สำหรับพื้นที่ในส่วนที่เหลือสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรม ชาติและสิ่งแวดล้อมได้ดำเนินการขยายพื้นที่ปลูกสร้างสวนป่าอย่างต่อเนื่องทุกปี ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2539-2545 รวมเนื้อที่ 356 ไร่ เพื่อให้เป็นสวนป่าที่ร่มรื่น และปัจจุบันกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติ ฯ มอบหมายให้กรม อุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช บริหารจัดการโครงการสวนกลางมหานคร เนื่องจากเป็นหน่วยงานที่มี บุคลากรที่มีความรู้ความชำนาญที่จะบริหารจัดการให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ในการอนุรักษ์และรักษาสภาพ พื้นที่สีเขียวดั้งเดิมเอาไว้ |
||||||||||||||||||
2826 | กระทู้ถามที่ 1190 ร. เรื่อง การติดตั้งระบบประปาชุมชน | สผ | 16/12/2546 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอคำตอบกระทู้ถามที่
1190 ร. เรื่อง การติดตั้งระบบประปาชุมชน ของนายณัฐพล เกียรติวินัยสกุล สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัด ลพบุรี และให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป โดยสาระสำคัญของคำตอบสรุปได้ว่า รัฐบาลมีนโยบายที่จะแก้ ไขปัญหาหมู่บ้านภัยแล้งอย่างถาวร โดยตั้งเป้าหมายให้ประชาชนในหมู่บ้านชนบททุกหมู่บ้านมีระบบประปาหมู่ บ้านสำหรับจ่ายน้ำเพื่อการอุปโภคบริโภคอย่างเพียงพอทุกฤดูกาล รวมทั้งพื้นที่ชุมชนหมู่ที่ 4 และหมู่ที่ 5 ตำบล โพธิ์เก้าต้น หมู่ที่ 12 ตำบลบ้านข่อย และหมู่ที่ 7 ตำบลท้ายตลาด อำเภอเมือง จังหวัดลพบุรี ทั้งนี้ ตามพระ ราชบัญญัติกำหนดแผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2542 กำหนดให้ โครงการระบบประปาหมู่บ้านเป็นงานภารกิจที่ถ่ายโอนให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเป็นผู้ดำเนินการ ดังนั้น ผู้ประสงค์จะติดตั้งระบบประปาชุมชนต้องประสานงานกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นโดยตรงต่อไป และในปีงบ ประมาณ พ.ศ. 2547 สำนักงบประมาณได้ตั้งงบประมาณตามภารกิจดังกล่าวเป็นเงินอุดหนุนทั่วไปเพื่อส่งเสริม และพัฒนาองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นไว้ที่สำนักนายกรัฐมนตรี โดยคณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์ กรปกครองส่วนท้องถิ่นจะกำหนดหลักเกณฑ์ในการจัดสรรเงินอุดหนุนทั่วไป ลงสู่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทุก แห่งตามหลักเกณฑ์ที่กำหนด |
||||||||||||||||||
2827 | การยกเว้นค่ากระแสไฟฟ้าสาธารณะให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น | นร | 16/12/2546 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอมติคณะกรรมการการกระจาย อำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (กกถ.) ครั้งที่ 7/2546 เมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน 2546 โดยให้เทศบาล ได้รับสิทธิพิเศษไม่ต้องชำระค่ากระแสไฟฟ้าสาธารณะให้แก่การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ควบคู่ไปกับการรับการ ถ่ายโอนภารกิจงานบำรุงรักษาทางหลวงจากกรมทางหลวง เช่นเดียวกับที่กรมทางหลวงเคยได้รับสิทธิพิเศษนี้จาก กฟภ. ทั้งนี้ การได้รับสิทธิพิเศษดังกล่าวให้ถือเป็นมาตรการชั่วคราว จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2547 เท่านั้น และ ให้ กกถ. เร่งดำเนินการจัดสรรเงินเพื่อให้เทศบาลสามารถรับภาระค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ได้เองโดยเร็วต่อไป
|
||||||||||||||||||
2828 | การดำเนินการแก้ไขปัญหาอุทกภัยและภัยแล้ง | นร | 16/12/2546 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและให้ดำเนินการต่อไปได้ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายสุวิทย์ คุณกิตติ)
เสนอแนวทางการดำเนินการแก้ไขปัญหาอุทกภัยและภัยแล้ง โดยอำนาจในการดำเนินงานเกี่ยวกับการอนุญาต ขุดลอกห้วย หนอง คลอง บึงและแม่น้ำทั้งหมดในเขตพื้นที่จังหวัด ซึ่งเป็นอำนาจของกรมการขนส่งทางน้ำและ พาณิชย์นาวี นั้น ให้กรมการขนส่งทางน้ำและพาณิชย์นาวีมอบอำนาจดังกล่าวให้แก่ผู้ว่าราชการจังหวัด (ยกเว้น แม่น้ำสายหลักที่ใช้ในการขนส่งทางน้ำ) โดยถือปฏิบัติตามระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธี การเกี่ยวกับการอนุญาตให้ดำเนินการขุดลอกแหล่งน้ำสาธารณประโยชน์ที่ตื้นเขิน พ.ศ. 2536 ส่วนกรวดหิน ดิน ทราย ที่ได้จากการขุดลอก ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดดำเนินการจัดหาผลประโยชน์ตามมาตรา 9 แห่งประมวล กฎหมายที่ดิน ทั้งนี้ ให้กระทรวงมหาดไทยกำชับให้ผู้ว่าราชการจังหวัดเร่งตรวจสอบ ติดตาม การดำเนินการ ขุดลอก ห้วย หนอง คลอง บึง และลำน้ำต่าง ๆ ในเขตพื้นที่ รวมทั้งการใช้ประโยชน์จากวัสดุที่ได้จากการขุดลอก ตามความจำเป็นเหมาะสม โดยประสานกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดยด่วนต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||
2829 | แผนยุทธศาสตร์การแก้ไขปัญหาไฟป่า ปี 2547 | ทส | 16/12/2546 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอแผนยุทธศาสตร์
การแก้ไขปัญหาไฟป่า ปี 2547 โดยมีสาระสำคัญคือ บริหารจัดการไฟป่าโดยการมีส่วนร่วมของประชาชนตาม แนวทางภูมิปัญญาท้องถิ่น เปลี่ยนความขัดแย้งในปัญหาไฟป่าให้เป็นความร่วมมือบนพื้นฐานของความเข้าใจอัน ดีและการประสานผลประโยชน์ร่วมกัน และพัฒนาเทคโนโลยีการใช้ไฟให้เกิดประโยชน์สูงสุดในการรักษาสมดุล ตามธรรมชาติของระบบนิเวศป่าไม้ และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกหน่วยงาน ได้แก่ สำนักนายกรัฐมนตรี (กรม ประชาสัมพันธ์) กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงกลาโหม กระทรวงคมนาคม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงศึกษาธิการ ให้ความร่วมมือและสนับสนุนการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องตามแผนยุทธศาสตร์ ฯ ให้ เกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผลอย่างเต็มที่ต่อไปด้วย ทั้งนี้ โดยให้ปรับแผนการใช้จ่ายจากงบประมาณปกติที่ แต่ละหน่วยงานได้รับในปีงบประมาณ พ.ศ. 2547
|
||||||||||||||||||
2830 | มติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ 6/2546 | ทส | 02/12/2546 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอมติคณะกรรมการ สิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ 6/2546 เมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2546 ซึ่งคณะกรรมการ ฯ ได้ให้การรับรองเรียบร้อย แล้วเมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน 2546 รวม 15 เรื่อง และที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่ง แวดล้อมเสนอเพิ่มเติม โดยขอเปลี่ยนถ้อยคำในมติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ 6/2546 เมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2546 เรื่องที่ 1 เกี่ยวกับการเพิ่มเติมรองประธานคณะอนุกรรมการพิจารณาผลกระทบสิ่งแวดล้อม อันเนื่องมาจากการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำในพื้นที่ลุ่มน้ำยม จากเดิม "ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาห กรรม เป็นรองประธานอนุกรรมการ คนที่หนึ่ง" เป็น "ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นรอง ประธานอนุกรรมการ คนที่หนึ่ง" ทั้งนี้ คณะรัฐมนตรีมีความเห็นเพิ่มเติมว่า การจัดการน้ำเสีย และการจัดการ ขยะมูลฝอย เป็นภารกิจที่เดิมจะต้องมอบให้องค์กรปกครองท้องถิ่นรับผิดชอบดำเนินการ แต่ขณะนี้องค์กรปก ครองส่วนท้องถิ่นยังไม่มีความพร้อม จึงให้รองนายกรัฐมนตรี (นายสุวิทย์ คุณกิตติ) รับ (ร่าง) แผนการจัดการ น้ำเสียชุมชน และ (ร่าง) แผนการจัดการขยะมูลฝอยแห่งชาติไปพิจารณาทบทวนความเหมาะสมในภาพรวมทั้ง ด้านการจัดโครงสร้าง และแนวทางการดำเนินการก่อนที่หน่วยงานต่าง ๆ จะได้ดำเนินการตามมติคณะกรรม การสิ่งแวดล้อมต่อไป โดยเฉพาะการแก้ไขปัญหาขยะมูลฝอย ต้องกำหนดให้มีวิธีการจัดการอย่างเหมาะสมถูก วิธีสำหรับขยะแต่ละประเภทควรมีการแยกขยะแต่ละชนิด โดยอาจขอความร่วมมือเพื่อใช้พื้นที่สาธารณประโยชน์ ที่อยู่ในความดูแลของทหารมาใช้เพื่อการนี้ได้ตามความเหมาะสม และมอบให้รองนายกรัฐมนตรีที่กำกับการ ปฏิบัติราชการในส่วนภูมิภาคให้ความสำคัญต่อการตรวจสอบ ติดตาม และกำกับการดำเนินการแก้ไขปัญหา เกี่ยวกับการจัดการขยะและการจัดการน้ำเสียในจังหวัดต่าง ๆ ในพื้นที่ที่รับผิดชอบให้สอดคล้องกับแนวทาง ดังกล่าวด้วย
|
||||||||||||||||||
2831 | ส่งรายงานประจำปี 2545 | นร | 02/12/2546 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอรายงานประจำปี พ.ศ. 2545
ของคณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ซึ่งคณะกรรมการ ฯ ได้ให้ความเห็นชอบ แล้วในคราวประชุม ครั้งที่ 4/2546 เมื่อวันจันทร์ที่ 7 กรกฎาคม 2546 โดยมีสาระสำคัญ 7 ส่วน ได้แก่ ส่วนที่ 1 สรุปผลการดำเนินงานของคณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ปีงบประมาณ พ.ศ. 2544 เปรียบเทียบกับปีงบประมาณ พ.ศ. 2545 ส่วนที่ 2 คณะกรรมการ/คณะอนุกรรมการเกี่ยวกับการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ส่วนที่ 3 ผลการปฏิบัติงานการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2545 ส่วนที่ 4 ผลการดำเนินงานในด้านอื่น ๆ เช่น การศึกษาการเปลี่ยนแปลงเขตของกรุงเทพมหานครเพื่อ จัดตั้งเป็นนครธนบุรี ส่วนที่ 5 ปัญหา อุปสรรค และข้อเสนอแนะในการดำเนินการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วน ท้องถิ่น ส่วนที่ 6 การตอบข้อหารือและคำถามที่ได้รับจากการสัมมนา ส่วนที่ 7 ภาคผนวก (กฎหมาย คำสั่ง ประกาศเกี่ยวกับการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น) |
||||||||||||||||||
2832 | มาตรการพัฒนาและบริหารกำลังคนเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลง | นร | 29/11/2546 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่สำนักงาน ก.พ. เสนอมาตรการพัฒนาและบริหารกำลังคนเพื่อรอง
รับการเปลี่ยนแปลง ตามลักษณะของกลุ่มเป้าหมายที่หลากหลาย 3 มาตรการ ประกอบด้วย มาตรการสนับ สนุนผู้ประสงค์จะเริ่มอาชีพใหม่นอกระบบราชการ หรือมาตรการชีวิตเริ่มต้นเมื่ออายุ 50 ปี มาตรการสำหรับ ผู้ได้รับผลกระทบจากการปรับระบบราชการ (recommended retirement) และมาตรการพัฒนาและบริหาร กำลังคนเพื่อออกนอกระบบราชการ และให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการต่อไป โดยให้รับความเห็น ของคณะรัฐมนตรีไปประกอบการดำเนินการด้วย ดังนี้ มาตรการทั้ง 3 มาตรการดังกล่าว เมื่อจะจัดทำเป็น โครงการเพื่อประชาสัมพันธ์เผยแพร่ให้ข้าราชการได้รับรู้โดยทั่วกันควรกำหนดชื่อของมาตรการ/โครงการ ให้ เหมาะสม สื่อความหมายที่ดีและชัดเจน รวมทั้งควรระบุสิทธิประโยชน์ที่ข้าราชการซึ่งเข้าร่วมมาตรการในแต่ ละมาตรการพึงได้รับ ให้ครบถ้วนชัดเจน เพื่อประกอบการตัดสินใจด้วย โดยให้สำนักงาน ก.พ. เป็นผู้ดำเนิน การด้านประชาสัมพันธ์และบริหารโครงการ โดยให้เบิกค่าใช้จ่ายเพื่อการนี้จากเงินงบประมาณ ประจำปีงบ ประมาณ พ.ศ. 2547 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ในวงเงิน 20 ล้านบาท กับ ให้กำหนดเป้าหมายรวมของจำนวนข้าราชการของทุกส่วนราชการ และของแต่ละส่วนราชการที่จะเข้าร่วมตาม มาตรการแรก เป็นจำนวนร้อยละ 10 ของข้าราชการทั้งหมด โดยให้ใช้หลักสมัครก่อน ได้สิทธิก่อน หากส่วน ราชการใดมีข้าราชการสมัครเกินร้อยละ 10 ในขณะที่ส่วนราชการอื่น ๆ มีข้าราชการสมัครน้อยกว่าร้อยละ 10 หากส่วนราชการเจ้าสังกัดที่มีผู้สมัครเกินจำนวนเห็นชอบ ก็ให้ข้าราชการที่สมัครได้รับสิทธิเข้าร่วมโครง การโดยใช้โควตาของส่วนราชการอื่นที่เหลืออยู่ได้ โดยจำนวนข้าราชการที่ได้รับสิทธิเพิ่มขึ้นจะต้องไม่ทำให้ จำนวนรวมเกินเป้าหมายรวมที่กำหนดไว้ร้อยละ 10 ด้วย ซึ่งการดำเนินการตามมาตรการดังกล่าว ไม่รวมถึง ข้าราชการในสังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต่าง ๆ เนื่องจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นนั้น ๆ สามารถ พิจารณาดำเนินการได้เองตามความจำเป็นเหมาะสม สำหรับข้าราชการทหารและตำรวจ ซึ่งเดิมมีโครงการ เกษียณอายุก่อนกำหนด โดยได้รับสิทธิประโยชน์ในการได้รับพระราชทานชั้นยศเพิ่มขึ้น เป็นทางเลือกอยู่ ด้วยนั้น ให้กระทรวงกลาโหมและสำนักงานตำรวจแห่งชาติรับไปพิจารณาความเหมาะสมว่า ประสงค์จะยังคง ดำเนินโครงการตามแนวทางเดิม เป็นทางเลือกของข้าราชการในสังกัดต่อไปด้วย หรือจะเข้าร่วมดำเนินการ ตามมาตรการนี้เพียงทางเดียว โดยจะต้องไม่มีผลให้ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์ใด ๆ ในภาพรวมทั้ง ระบบเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ สิทธิประโยชน์จูงใจอื่น ในส่วนของการได้รับการพิจารณาเสนอขอพระราชทาน เครื่องราชอิสริยาภรณ์นั้น มอบให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีรับไปพิจารณาดำเนินการตามความเหมาะสม ต่อไป
|
||||||||||||||||||
2833 | การถ่ายโอนภารกิจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น | นร | 29/11/2546 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอความเห็นเกี่ยวกับเรื่อง
การถ่ายโอนภารกิจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (สืบเนื่องจากมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม 2546 เรื่อง การถ่ายโอนภารกิจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น) โดยคณะรัฐมนตรีเห็นว่า การดำเนินการ ถ่ายโอนภารกิจดังกล่าวตามแผนปฏิบัติการกำหนดขั้นตอนการกระจายอำนาจทางการเงิน การคลัง และงบ ประมาณให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เป็นเรื่องที่ต้องเร่งดำเนินการ อย่างไรก็ตาม ควรจะต้องสร้าง ความเข้าใจที่ชัดเจนถูกต้องตรงกันทั้งในส่วนของราชการที่ถ่ายโอนภารกิจ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่ รับการถ่ายโอนภารกิจว่า ภารกิจใดที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเป็นผู้จัดทำ และภารกิจใดราชการบริหาร ส่วนกลางยังคงต้องเป็นผู้ทำ มิฉะนั้นภารกิจบางอย่างอาจเกิดปัญหาขาดเจ้าภาพที่จะรับผิดชอบดำเนินการ ขึ้นได้ นอกจากนี้ ถ่ายโอนภารกิจจะต้องคำนึงถึงศักยภาพ ความพร้อม ตลอดจนขีดความสามารถของแต่ละ ท้องถิ่นในการดำเนินการ เพื่อมิให้เกิดผลกระทบต่อประโยชน์สุขของประชาชนเป็นสำคัญด้วย เช่น ภารกิจ เกี่ยวกับการบริหารสถานีรถโดยสาร และงานทะเบียนรถยนต์ของกรมการขนส่งทางบก เป็นต้น ส่วนที่ สามารถถ่ายโอนให้ท้องถิ่น ได้แก่ การบริหารสถานีรถโดยสารที่วิ่งอยู่ในท้องถิ่นหรือภายในจังหวัดนั้น ๆ และการกำหนดสถานที่จอดและการเก็บค่าธรรมเนียมที่เกี่ยวข้อง ส่วนสถานีรถโดยสารที่วิ่งรับส่งผู้โดยสาร ระหว่างจังหวัดยังคงให้กรมการขนส่งทางบกดูแลรับผิดชอบต่อไป เพื่อให้การจัดระบบการขนส่งในภาพรวม ของประเทศสอดคล้องเชื่อมโยงกัน และมิให้กระทบต่อประชาชนผู้ใช้บริการ สำหรับงานทะเบียนรถยนต์ซึ่ง ในปัจจุบันได้ใช้ระบบคอมพิวเตอร์เชื่อมโยงเครือข่ายข้อมูลทั่วทั้งประเทศ เพื่อให้สามารถให้บริการเกี่ยวกับ ทะเบียนรถยนต์แก่ประชาชนทั่วประเทศได้อย่างรวดเร็ว หากถ่ายโอนภารกิจดังกล่าวให้แก่องค์กรปกครอง ส่วนท้องถิ่น ก็จะกระทบกับการให้บริการประชาชนโดยตรง เพราะองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นไม่มีระบบ ฐานข้อมูลรองรับการดำเนินการได้ รวมทั้งการถ่ายโอนภารกิจดังกล่าวจะต้องดำเนินการแก้ไขข้อกฎหมาย ที่เกี่ยวข้องก่อนด้วย จึงให้รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม (นายนิกร จำนง) รับไปหารือกับรองนายก รัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) เพื่อดำเนินการต่อไป |
||||||||||||||||||
2834 | รายงานผลการดำเนินการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น | นร | 25/11/2546 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีรายงานผลการดำเนินการกระจาย
อำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดยคณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ได้ออกประกาศคณะกรรมการ ฯ เรื่อง กำหนดอำนาจและหน้าที่ในการจัดระบบบริการสาธารณะขององค์การ บริหารส่วนจังหวัด มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 19 สิงหาคม 2546 และจากการออกประกาศ ฯ เป็นผลให้การดำเนิน การตามอำนาจและหน้าที่ขององค์การบริหารส่วนจังหวัดในเขตจังหวัด ไม่เกิดความซ้ำซ้อนกับการดำเนินการตาม อำนาจหน้าที่ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอื่นในจังหวัด พร้อมทั้งได้แจ้งให้กระทรวงมหาดไทยและผู้ว่าราชการ จังหวัดทุกจังหวัดซึ่งกำกับดูแลองค์การบริหารส่วนจังหวัดให้ดำเนินการให้เป็นไปตามประกาศ ฯ แล้ว ทั้งนี้ คณะ รัฐมนตรีมีข้อสังเกตว่า ในการดำเนินการบริหารจัดการท้องถิ่นขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในบางกรณียังเกิด ปัญหาการไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย หน่วยราชการส่วนกลางซึ่งปฏิบัติงานอยู่ในท้องถิ่น ควรประสานและกำกับดูแล ในเรื่องต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องตามสมควรด้วย เช่น กรณีหาดป่าตอง จังหวัดภูเก็ต มีการถมที่ดินในทะเล ทำให้เกิดผล กระทบต่อสภาพแวดล้อมและสภาพธรรมชาติในบริเวณนั้น ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวไม่อยู่ในกรอบอำนาจหน้าที่ ที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจะอนุญาต/อนุมัติให้กระทำได้ แต่เป็นกรณีที่ผู้ดำเนินการจะต้องจัดทำรายงานการ วิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมแห่งชาติเสนอต่อคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติเพื่อพิจารณาเห็นชอบก่อนตาม ประกาศกระทรวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดประเภทและขนาดของโครงการหรือกิจ การของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หรือเอกชนที่ต้องจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม ฉบับที่ 2 (พ.ศ. 2535) เป็นต้น จึงให้กระทรวงมหาดไทยรับข้อสังเกตดังกล่าวไปประสานกับผู้ว่าราชการจังหวัด เพื่อติด ตาม ดูแล แก้ไขปัญหากรณีดังกล่าวร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นให้ถูกต้อง และเป็นไปตามบทบัญญัติของ กฎหมายต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||
2835 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการใหัสัมปทานในที่ดินของรัฐ พ.ศ. .... | มท | 25/11/2546 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 7 (คกก.7) ที่มี
มติอนุมัติหลักการตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการให้ สัมปทานในที่ดินของรัฐ พ.ศ. .... และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็น ของ คกก.7 และความเห็นของส่วนราชการที่เกี่ยวข้องไปพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ สำหรับความเห็น ของ คกก.7 เห็นว่า องค์ประกอบของคณะกรรมการในการพิจารณาการให้สัมปทานในที่ดินของรัฐตามร่างกฎ กระทรวง ฯ นี้ควรมีผู้แทนกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมร่วมเป็นกรรมการในคณะกรรมการดังกล่าว ด้วย เพราะในบริเวณที่ดินของรัฐที่จะให้สัมปทานอาจจะยังมีพื้นที่ป่าซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบของกระทรวงทรัพยา กรธรรมชาติ ฯ รวมอยู่ด้วย ส่วนกรณีการให้สัมปทานในที่ดินของรัฐตามร่างกฎกระทรวง ฯ จะอยู่ในข่ายต้องปฏิบัติ ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงานหรือดำเนินการในกิจการของรัฐ พ.ศ. 2535 หรือไม่ นั้น โดย ที่คำนิยาม "ร่วมงานหรือดำเนินการ" ตามพระราชบัญญัติดังกล่าวหมายความถึง การร่วมทุนกับภาคเอกชนไม่ว่า โดยวิธีใดหรือมอบให้เอกชนลงทุนแต่ฝ่ายเดียวโดยวิธีการอนุญาต หรือให้สัมปทาน ดังนั้น การนำที่ดินของรัฐซึ่งมิ ได้มีบุคคลใดมีสิทธิครอบครองไปให้สัมปทานตามมาตรา 12 แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน จึงน่าจะถือได้ว่าเป็นการ "ร่วมงานหรือดำเนินการ" ตามพระราชบัญญัติ ฯ และหากเป็นการลงทุนที่มีวงเงินหรือทรัพย์สินตั้งแต่ 1,000 ล้าน บาทขึ้นไป ก็น่าจะต้องอยู่ภายใต้บังคับของพระราชบัญญัติ ฯ ด้วย นอกจากนี้ องค์ประกอบของคณะกรรมการ พิจารณาเรื่องราวการให้สัมปทาน ฯ และคณะกรรมการพิจารณาเรื่องราวการให้สัมปทาน ฯ ประจำจังหวัด ควร เพิ่มให้มีผู้ทรงคุณวุฒิจำนวนไม่เกินสามคน ร่วมเป็นกรรมการ โดยกำหนดที่มาและกระบวนการสรรหาให้เหมาะสม ด้วย สำหรับการกำหนดให้ค่าตอบแทนที่ผู้ได้รับสัมปทานต้องชำระให้ตกเป็นขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นแห่ง ท้องที่ที่ขอสัมปทานนั้น ให้นำส่งเข้าบัญชีเงินคงคลังตามพระราชบัญญัติเงินคงคลัง พ.ศ. 2491 ส่วนการที่จะจัด สรรให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอย่างไรนั้น ต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่พระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. 2502 บัญญัติไว้ แม้มาตรา 28 (13) แห่งพระราชบัญญัติกำหนดแผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจให้ แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2542 ได้บัญญัติให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอาจมีรายรับจากรายได้จาก ทรัพย์สินของแผ่นดินก็มิได้เป็นบทบังคับให้ทุกกฎหมายต้องบัญญัติความให้ต้องโอนรายได้ให้องค์กรปกครองส่วน ท้องถิ่นเสมอไป อีกทั้งการโอนรายได้ไปดังกล่าวทำให้ส่วนกลางไม่ทราบเม็ดเงินที่แท้จริง ทำให้เกิดปัญหาการ จัดสรรในภายหน้าได้ ประกอบกับการกำหนดดังกล่าวเป็นการเกินอำนาจกฎหมายแม่บทตามมาตรา 12 ของ ประมวลกฎหมายที่ดิน หรือไม่ จึงให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีการับประเด็นกฎหมายดังกล่าวไปพิจารณา ต่อไป |
||||||||||||||||||
2836 | ร่างพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | วธ | 25/11/2546 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 4 ที่มีมติอนุมัติ
หลักการตามที่กระทรวงวัฒนธรรมเสนอ ร่างพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ โดยสาระ สำคัญของร่างพระราชกฤษฎีกาฉบับนี้เป็นการกำหนดให้ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธรให้การศึกษา อบรมและพัฒนา เจ้าหน้าที่ของรัฐ และประชาชน ให้เกิดความรู้ความเข้าใจเรื่องสังคมและวัฒนธรรม เพื่อประโยชน์ในการพัฒนาและ อนุรักษ์วัฒนธรรมและภูมิปัญญาอย่างยั่งยืน ทั้งในส่วนของท้องถิ่นและของชาติโดยรวม และกำหนดให้ศูนย์ ฯ มี อำนาจให้ประกาศนียบัตรชั้นสูง ประกาศนียบัตรชั้นสูงกิตติมศักดิ์ ประกาศนียบัตร ประกาศนียบัตรกิตติมศักดิ์ สัมฤทธิ์บัตร และวุฒิบัตร แก่ผู้สำเร็จการศึกษา โดยการให้การศึกษาอบรมและการให้วุฒิบัตรที่ศูนย์ ฯ ได้กระทำ ไปก่อนวันที่พระราชกฤษฎีกานี้มีผลใช้บังคับ ให้เป็นอันสมบูรณ์ตามพระราชกฤษฎีกานี้ |
||||||||||||||||||
2837 | ร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในพระราชบัญญัติเครื่องแบบเจ้าหน้าที่ส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2509 | มท | 25/11/2546 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....)
ออกตามความในพระราชบัญญัติเครื่องแบบเจ้าหน้าที่ส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2509 และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการ กฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ โดยร่างกฎกระทรวง ฯ มีสาระสำคัญคือ ยกเลิกกฎกระทรวง ฉบับที่ 10 (พ.ศ. 2538) ออกตามความในพระราชบัญญัติเครื่องแบบเจ้าหน้าที่ส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2509 และ กำหนดให้นายกเทศมนตรีเทศบาลนคร ให้มีสายสร้อยสีทองลงยาเป็นลายดอกรัก กลางสายสร้อยมีอักษร "น" ลงยาสีขาว นายกเทศมนตรีเทศบาลเมือง ให้มีสายสร้อยสีทองลงยาเป็นลายดอกรัก กลางสายสร้อยมีอักษร "ม" ลงยาสีน้ำเงิน นายกเทศมนตรีเทศบาลตำบล ให้มีสายสร้อยสีทองลงยาเป็นลายดอกรัก กลางสายสร้อยมีอักษร "ต" ลงยาสีแดง และนายกเมืองพัทยาให้มีสายสร้อยสีทองลงยาเป็นลายดอกรัก กลางสายสร้อยมีอักษร "พ" ลง ยาสีขาว ห้อยดวงตราเครื่องหมายประจำเทศบาลหรือเมืองพัทยาคล้องคอ เครื่องหมายนี้ให้ประดับได้ในโอกาส อันควร |
||||||||||||||||||
2838 | รายงานผลความก้าวหน้าในการถ่ายโอนภารกิจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น | นร | 25/11/2546 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอเกี่ยวกับการถ่ายโอนภารกิจ
ให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นตามแผนปฏิบัติการกำหนดขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วน ท้องถิ่น โดยให้ส่วนราชการที่ยังไม่ถ่ายโอนภารกิจเร่งดำเนินการถ่ายโอนภารกิจตามที่แผนปฏิบัติการดังกล่าว กำหนดไว้ โดยให้เสร็จสิ้นภายในเดือนธันวาคม 2546 สำหรับผลความก้าวหน้าในการถ่ายโอนภารกิจให้แก่องค์ กรปกครองส่วนท้องถิ่นตามแผนปฏิบัติการดังกล่าว ส่วนราชการต่าง ๆ ได้แจ้งผลการดำเนินการถ่ายโอนภารกิจ สรุปได้ดังนี้ ด้านโครงสร้างพื้นฐาน ภารกิจที่ต้องถ่ายโอน 87 ภารกิจ ถ่ายโอนแล้ว 69 ภารกิจ ด้านงานส่งเสริม คุณภาพชีวิต ภารกิจที่ต้องถ่ายโอน 103 ภารกิจ ถ่ายโอนแล้ว 65 ภารกิจ ด้านการจัดระเบียบชุมชน/สังคม และ การรักษาความสงบเรียบร้อย ภารกิจที่ต้องถ่ายโอน 17 ภารกิจ ถ่ายโอนแล้ว 1 ภารกิจ ด้านการวางแผน การส่ง เสริมการลงทุน พาณิชยกรรมและการท่องเที่ยว ภารกิจที่ต้องถ่ายโอน 19 ภารกิจ ถ่ายโอนแล้ว 14 ภารกิจ ด้าน การบริหารจัดการและการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม ภารกิจที่ต้องถ่ายโอน 17 ภารกิจ ถ่ายโอนแล้ว 13 ภารกิจ และด้านศิลปะ วัฒนธรรมจารีตประเพณีและภูมิปัญญาท้องถิ่น ภารกิจที่ต้องถ่ายโอน 2 ภารกิจ ถ่าย โอนแล้ว 2 ภารกิจ
|
||||||||||||||||||
2839 | ขออนุมัติบรรจุงานก่อสร้างโครงการจัดหาน้ำเพื่อการเกษตรจังหวัดลพบุรีเข้าในแผนงานก่อสร้างโครงการพัฒนาลุ่มน้ำป่าสักอันเนื่องมาจากพระราชดำริ | กษ | 25/11/2546 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 2 ที่มีมติ
อนุมัติตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอการบรรจุงานก่อสร้างโครงการจัดหาน้ำเพื่อการเกษตรจังหวัด ลพบุรีเข้าในแผนงานก่อสร้างโครงการพัฒนาลุ่มน้ำป่าสักอันเนื่องจากพระราชดำริ ทั้งนี้ เพื่อปรับลดค่างาน ก่อสร้างระบบชลประทานจากเดิม 4,000 ล้านบาท เหลือ 2,710 ล้านบาท ลดลง 1,290 ล้านบาท รวมทั้ง บรรจุงานก่อสร้างโครงการจัดหาน้ำเพื่อการเกษตรจังหวัดลพบุรี มูลค่าโครงการรวม 1,173 ล้านบาท แยก เป็นการลงทุนในโครงสร้างหลักจำนวนเงิน 1,053 ล้านบาท และการลงทุนในส่วนขยายจำนวนเงิน 120 ล้านบาท เข้าในแผนงานก่อสร้างโครงการพัฒนาลุ่มน้ำป่าสักอันเนื่องมาจากพระราชดำริ และระยะเวลาก่อ สร้างโครงการแล้วเสร็จในปีงบประมาณ 2548 ตามที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติไว้เมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2543 โดย ให้ประชาชนผู้ใช้น้ำและองค์การบริหารส่วนท้องถิ่นมีส่วนรับภาระค่าบำรุงรักษาและค่าสูบน้ำของโครงการ ฯ ด้วย |
||||||||||||||||||
2840 | สรุปผลการดำเนินงานตามนโยบายสำคัญของกระทรวงสาธารณสุขเพื่อเสนอคณะรัฐมนตรี | สธ | 25/11/2546 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงสาธารณสุขรายงานสรุปผลการดำเนินงานตามนโยบายสำคัญ
ของกระทรวงสาธารณสุข สรุปได้ดังนี้ การส่งเสริมให้คนไทย "ออกกำลังกาย" อย่างสม่ำเสมอ กระทรวงสาธารณสุข ได้สนับสนุนให้ประชาชนที่ออกกำลังกาย รวมตัวกันตั้งเป็น "ชมรมสร้างสุขภาพ" โดยมีเป้าหมายที่จะให้มีชมรมสร้าง สุขภาพทุกหมู่บ้านทั่วประเทศ กับให้มีการดำเนินการสร้างสุขภาพในทุกหมู่บ้านจนครบ 5 อ. เมื่อหมู่บ้านใดดำเนิน การจนได้ครบ 5 อ. จะประกาศให้เป็นหมู่บ้านสร้างสุขภาพ (Healthy Villages) เพื่อไปสู่การเป็น "Healthy Thailand" และได้สนับสนุนให้มีการจัดงานมหกรรมรวมพลังสร้างสุขภาพ เช่นเดียวกับที่สนามหลวง กทม. ในเขตต่าง ๆ ทั้ง 12 เขต ในทุกจังหวัด รวมทั้งทุกเขตของกรุงเทพมหานคร สนับสนุนให้เกิดชมรมสร้างสุขภาพด้วยการออกกำลังกายทุก หมู่บ้าน ส่งเสริมให้มีการออกกำลังกายในสถานประกอบการ หน่วยงานราชการ และรัฐวิสาหกิจ และดำเนินการส่ง เสริมการออกกำลังกายในกลุ่มนักเรียนในรูปแบบของการแข่งขันวิ่ง 30 สู่สุขภาพดี และในกลุ่มวัยรุ่นและเยาวชน ภายใต้โครงการ To Be Number One สำหรับในกลุ่มประชาชนในเขตเมืองได้จัดกิจกรรมสาธารณสุขพบประชาชน โดยจัดหน่วยให้ความรู้และบริการเคลื่อนที่ในเรื่องการออกกำลังกาย อาหาร และสุขภาพอื่นๆ ไปตามศูนย์การค้า และสวนสาธารณะในวันหยุดสุดสัปดาห์ ส่วนการส่งเสริมให้คนไทยได้บริโภค "อาหารที่ปลอดภัยได้คุณค่า" ได้ดำเนิน การเร่งรัดในการรณรงค์ให้ความรู้สร้างความตื่นตัวให้กับประชาชน และผู้ประกอบการเกี่ยวกับอาหารที่นำเข้า การ ผลิตและจำหน่าย โดยตรวจสอบอย่างเข้มงวดในอาหาร 3 กลุ่ม ได้แก่ อาหารสด อาหารปรุงจำหน่าย และอาหาร แปรรูป โดยในส่วนของอาหารสด ได้ตรวจสอบสารปนเปื้อน 6 ชนิด ในอาหารที่วางจำหน่ายในตลาดสด ซึ่งได้แก่ สารเร่งเนื้อแดง สารฟอกขาว สารกันรา บอแรกซ์ ฟอร์มาลิน และยาฆ่าแมลง โดยรณรงค์ตรวจสอบอย่างจริงจัง ทั่วประเทศตั้งแต่เดือนเมษายน 2546 อาหารปรุงจำหน่าย จากการตรวจสอบร้านอาหาร และแผงลอยอาหารที่ ปรุงสำเร็จทั่วประเทศ จำนวนทั้งสิ้น 109,983 แห่ง โดยใช้เกณฑ์มาตรฐาน "อาหารสะอาด รสชาติอร่อย (Clean Food Good Teste)" และเกณฑ์มาตรฐานท้องถิ่น พบว่า จำนวนร้านอาหารและแผงลอยที่ปรุงสำเร็จผ่านเกณฑ์ มาตรฐานท้องถิ่น จำนวน 32,957 แห่ง และได้รับป้ายรับรองอาหารสะอาด รสชาติอร่อย จำนวน 17,237 แห่ง และจากการตรวจตลาดสดที่เข้าร่วมโครงการตลาดสดน่าซื้อ 731 แห่ง ได้ทำการตรวจแล้ว 200 แห่ง พบว่า ผ่าน เกณฑ์สุขาภิบาลสิ่งแวดล้อม 142 แห่ง และผ่านเกณฑ์เป็นตลาดสดน่าซื้อ 64 แห่ง สำหรับอาหารแปรรูปได้กำหนด มาตรการในการควบคุม กำกับ ดูแลผลิตภัณฑ์อาหารแปรรูป ตลอดจนยาและเภสัชเคมีภัณฑ์ โดยส่งเสริมยกระดับ คุณภาพสถานประกอบการให้ได้มาตรฐานตามเกณฑ์ GMP และได้มีการพัฒนาศักยภาพการปฏิบัติงาน ณ ด่าน นำเข้าอาหารและยา โดยจัดตั้ง Minilab ขึ้น ณ ด่านอาหารและยา ท่าเรือคลองเตย ขณะนี้ได้เริ่มเตรียมการพัฒนา บุคลากรโดยอบรมผู้ตรวจศุลกากร จำนวน 125 คน เกี่ยวกับการใช้ชุดทดสอบเบื้องต้นแล้ว นอกจากนี้ กระทรวง สาธารณสุขได้ดำเนินการเกี่ยวกับความปลอดภัยด้านอาหารในโรงเรียน (อย. น้อย) โดยได้ส่งเสริมพัฒนาการ การเรียนรู้ด้านการคุ้มครองผู้บริโภคในโรงเรียน โดยบูรณาการเข้าในหลักสูตรสถานศึกษาและมีกิจกรรมพัฒนา นักเรียน เพื่อให้นักเรียนมีการเฝ้าระวังและตระหนักในความปลอดภัยด้านอาหารทั้งภายในโรงเรียน และรอบโรง เรียนด้วยชุดทดสอบต่าง ๆ ที่กระทรวงสาธารณสุขสนับสนุนให้ในปี พ.ศ. 2545 |