ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 142 จากทั้งหมด 200 หน้า แสดงรายการที่ 2821 - 2840 จากข้อมูลทั้งหมด 3982 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
2821 | กระทู้ถามที่ 025 ร. เรื่อง ปัญหาอันเกิดจากการระงับเส้นทางการบินของสายการบินประเทศซาอุดิอาระเบีย | สว | 30/12/2546 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอคำตอบกระทู้ถามที่ 025 ร. เรื่อง ปัญหาอัน
เกิดจากการระงับเส้นทางการบินของสายการบินประเทศซาอุดิอาระเบีย ของนายอูมาร์ ตอยิบ สมาชิกวุฒิสภา จังหวัดนราธิวาส และให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป โดยสาระสำคัญของคำตอบสรุปได้ว่า สาเหตุที่สาย การบินของประเทศซาอุดิอาระเบียระงับเส้นทางการบินระหว่างประเทศซาอุดิอาระเบียกับประเทศไทย เนื่อง จากไม่มีผู้โดยสารที่เป็นผู้โดยสารท้องถิ่นประเทศซาอุดิอาระเบียกับประเทศไทย ปัญหาความสัมพันธ์ทางการ ทูตระหว่างประเทศไทยกับประเทศซาอุดิอาระเบีย และจากเหตุการณ์ก่อวินาศกรรมที่สหรัฐอเมริกา ส่วนมาตร การหรือแนวทางที่จะให้มีการบินระหว่างประเทศไทยกับประเทศซาอุดิอาระเบีย ประกอบด้วย มาตรการระยะ สั้น เป็นมาตรการรองรับในช่วงการเดินทางไปประกอบพิธีฮัจย์ ณ ประเทศซาอุดิอาระเบีย ซึ่งในปี พ.ศ. 2546 มีผู้แสวงบุญชาวไทยมุสลิมเดินทางไปประกอบพิธีฮัจย์ที่ประเทศซาอุดิอาระเบีย รวมทั้งสิ้น 8,023 คน โดยเดิน ทางด้วยเที่ยวบินแบบประจำและแบบเช่าเหมาลำ ซึ่งทางบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ทำการบินเที่ยว บินเช่าเหมารับขนผู้แสวงบุญด้วยอากาศยาน A300-600 (ความจุ 247 ที่นั่ง) รวม 13 เที่ยว สำหรับการรับ ขนผู้แสวงบุญจากประเทศไทยไปยังประเทศซาอุดิอาระเบียในปี พ.ศ. 2547 ทางราชการพร้อมที่จะให้การสนับ สนุนอำนวยความสะดวกในการอนุญาตเที่ยวบินเช่าเหมารับขนผู้แสวงบุญ ทั้งบริษัทการบินของไทย คือ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) และบริษัท ภูเก็ต แอร์ไลน์ จำกัด ซึ่งได้มีแผนแน่นอนที่จะทำการบินเที่ยวบินเช่า เหมาดังกล่าว และมาตรการระยะยาว โดยจะส่งเสริมให้มีการบินตรงระหว่างประเทศไทยกับประเทศซาอุดิอาระ เบีย สนับสนุนให้ประเทศซาอุดิอาระเบียเป็นจุดระหว่างทางสำหรับการจัดทำความตกลง ฯ ระหว่างประเทศ ไทยกับประเทศในทวีปยุโรป อเมริกา และแอฟริกา รวมทั้งสนับสนุนให้ประเทศซาอุดิอาระเบียเป็นจุดพ้น สำหรับการจัดทำความตกลง ฯ ระหว่างประเทศไทยกับประเทศในแถบตะวันออกไกล ทวีปออสเตรเลีย และ อเมริกา และเป็นจุดระหว่างทาง/จุดพ้นของประเทศไทย สำหรับการจัดทำความตกลง ฯ ระหว่างประเทศไทย กับประเทศในแถบตะวันออกกลาง/ทวีปยุโรป |
||||||||||||||||||
2822 | กระทู้ถามที่ 1272 ร. เรื่อง การก่อสร้างถนนสายหนองปรือ - น้ำยาง - ทุ่งเอี้ยง - เขาน้อย ตำบลบ้านกลาง อำเภอวังทอง จังหวัดพิษณุโลก โดยให้ลาดยางหรือเทคอนกรีต | สผ | 30/12/2546 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอคำตอบกระทู้ถามที่ 1272 ร. เรื่อง
การก่อสร้างถนนสายหนองปรือ-น้ำยาง-ทุ่งเอี้ยง-เขาน้อย ตำบลบ้านกลาง อำเภอวังทอง จังหวัดพิษณุโลก โดย ให้ลาดยางหรือเทคอนกรีต และให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป โดยสาระสำคัญของคำตอบสรุปได้ว่า ถนน สายบ้านหนองปรือ-น้ำยาง-ทุ่งเอี้ยง-เขาน้อย ตำบลบ้านกลาง อำเภอวังทอง จังหวัดพิษณุโลก ระยะทางตลอด สาย 9.000 กิโลเมตร เป็นถนนผิวจราจรลาดยาง 1.200 กิโลเมตร ผิวจราจรลูกรัง 7.800 กิโลเมตร เดิมอยู่ใน ความรับผิดชอบของกรมการเร่งรัดพัฒนาชนบท ปัจจุบันได้ส่งมอบให้องค์การบริหารส่วนจังหวัดพิษณุโลกเป็นผู้รับ ผิดชอบตามแผนปฏิบัติการกระจายอำนาจการปกครองให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กำหนดให้กรมทางหลวง ชนบท ต้องถ่ายโอนภารกิจด้านการก่อสร้างถนนในท้องถิ่นให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นดำเนินการเอง โดยกรม ทางหลวงชนบททำหน้าที่เป็นพี่เลี้ยงในด้านวิชาการและเทคนิควิศวกรรม ดังนั้น กระทรวงคมนาคม โดยกรมทาง หลวงชนบท จึงไม่สามารถสนับสนุนงบประมาณการก่อสร้างถนนสายดังกล่าวได้ เนื่องจากเป็นถนนที่องค์กรปก ครองส่วนท้องถิ่นจะต้องดูแลรับผิดชอบเอง สำหรับเม็ดเงินงบประมาณที่จะอุดหนุนให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้อง ถิ่น นั้น ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2547 รัฐบาลได้จัดสรรงบประมาณอุดหนุนก้อนหนึ่งไว้เพื่อการนี้แล้ว โดยกรมส่ง เสริมการปกครองส่วนท้องถิ่น กระทรวงมหาดไทย จะเป็นผู้พิจารณาจัดสรร |
||||||||||||||||||
2823 | กระทู้ถามที่ 307 ร. เรื่อง การสร้างองค์กรชุมชนให้เข้มแข็ง | สผ | 30/12/2546 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอคำตอบกระทู้ถามที่ 307
ร. เรื่อง การสร้างองค์กรชุมชนให้เข้มแข็ง ของนายเอนก เหล่าธรรมทัศน์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (บัญชี รายชื่อ) และให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป โดยสาระสำคัญของคำตอบสรุปได้ว่า รัฐบาลได้สนับ สนุนให้ประชาชนสามารถพึ่งตนเองได้ โดยการพัฒนาศักยภาพและเสริมบทบาทของกลุ่ม/องค์กรประชาชน การวางโครงการ ดำเนินงาน การติดตามประเมินผล และแก้ปัญหาของชุมชน โดยกระตุ้น ส่งเสริมให้ ประชาคมมีองค์ประกอบที่หลากหลายและมีสัดส่วนที่เหมาะสม จัดทำบัญชีปัญหาความต้องการของหมู่บ้าน ตำบล อำเภอ เพื่อใช้ประโยชน์จากบัญชีปัญหาความต้องการ ให้มีการประชุมอย่างสม่ำเสมอ ให้มีส่วนร่วม ในการจัดทำแผนพัฒนาอำเภอ ตั้งแต่เริ่มต้นจะสิ้นสุดกระบวนการ มีส่วนร่วมตรวจสอบการบริหารขององค์ การบริหารส่วนตำบล ฯลฯ สำหรับมาตรการและแนวทางในการส่งเสริมองค์กรชุมชนให้เข้มแข็งเพื่อเพิ่ม ศักยภาพในการพัฒนาประเทศนั้น รัฐบาลได้มีมาตรการ ดังนี้ การแก้ไขปัญหายาเสพติด ใช้กระบวนการ ประชาคมหมู่บ้าน/ชุมชน เพื่อสร้างความเข้มแข็งให้กับหมู่บ้าน/ชุมชน ในการเอาชนะปัญหายาเสพติดแบบ ยั่งยืน และสามารถเอาชนะปัญหายาเสพติดให้ครบทุกหมู่บ้านได้ ภายในปี พ.ศ. 2547 รณรงค์ให้ความรู้ เกี่ยวกับการเลือกตั้ง โครงการสัมมนาเชิงปฏิบัติการประธานประชาคมหมู่บ้าน และโครงการประเทศไทย ใสสะอาด นอกจากนี้ ได้มีการสนับสนุนการดำเนินการเพื่อเสริมสร้างศักยภาพและบทบาทขององค์กร ชุมชนในการที่จะเข้ามามีส่วนร่วมในระดับต่าง ๆ ให้มากขึ้น โดยสร้างกระบวนการทำงานร่วมกันระหว่าง ภาครัฐกับประชาชน ส่งเสริมบทบาทการมีส่วนร่วมของประชาชนในการขจัดการทุจริตประพฤติมิชอบในวง ราชการ ส่งเสริมบทบาทของชุมชนและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในการเข้ามามีส่วนร่วมและรับผิดชอบ การบริหารจัดการด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สนับสนุนการจัดตั้งสมาคมผู้นำสตรีพัฒนาชุม ชนไทย รวมทั้งสนับสนุนการดำเนินงานของสมาคมผู้นำอาสาพัฒนาชุมชนไทย และสมาคมผู้นำอาชีพก้าว หน้าแห่งประเทศไทย |
||||||||||||||||||
2824 | กระทู้ถามที่ 1189 ร. เรื่อง การติดตั้งไฟฟ้าสาธารณะ | สผ | 30/12/2546 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอคำตอบกระทู้ถามที่ 1189
ร. เรื่อง การติดตั้งไฟฟ้าสาธารณะ ของนายณัฐพล เกียรติวินัยสกุล สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดลพบุรี และให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป โดยสาระสำคัญของคำตอบสรุปได้ว่า การจัดสรรงบประมาณปี พ.ศ. 2547 เพื่อติดตั้งไฟฟ้าสาธารณะในพื้นที่ตำบลตะลุง ตำบลดอนโพธิ์ ตำบลท้ายตลาด ตำบลโพธิ์ตุ อำเภอเมือง จังหวัดลพบุรี นั้น กระทรวงมหาดไทย โดยการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ได้ดำเนินการติดตั้งไฟฟ้า สาธารณะในพื้นที่ 4 ตำบล ซึ่งอยู่ในเขตอำเภอเมือง จังหวัดลพบุรี โดยมีรายละเอียด ดังนี้ ตำบลตะลุง ได้ ทำการติดตั้งไฟฟ้าสาธารณะแล้ว จำนวน 13 หมู่บ้าน ตำบลดอนโพธิ์ ได้ทำการติดตั้งไฟฟ้าสาธารณะแล้ว จำนวน 8 หมู่บ้าน ตำบลห้วยตลาด ได้ทำการติดตั้งไฟฟ้าสาธารณะแล้วจำนวน 7 หมู่บ้าน และตำบลโพธิ์ตุ ได้ทำการติดตั้งไฟฟ้าสาธารณะแล้ว จำนวน 8 หมู่บ้าน สำหรับหมู่บ้านต่าง ๆ ที่อยู่ในความรับผิดชอบของ หน่วยงานราชการส่วนท้องถิ่น กระทรวงมหาดไทย โดยการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ไม่ได้ดำเนินการจัดสรรงบ ประมาณเพื่อติดตั้งไฟฟ้าสาธารณะให้กับหมู่บ้านต่างๆ ที่อยู่ในพื้นที่ความรับผิดชอบของหน่วยงานราชการ ส่วนท้องถิ่นนั้น แต่จะดำเนินการสำรวจและติดตั้งให้กรณีที่หน่วยงานราชการส่วนท้องถิ่นร้องขอขยายเขต เพิ่มเติม โดยการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคจะเรียกเก็บค่าใช้จ่ายทั้งหมดจากหน่วยงานนั้น |
||||||||||||||||||
2825 | กระทู้ถามที่ 1244 ร. เรื่อง ขอให้ตั้งโรงเรียนสารพัดช่างที่อำเภอสระโบสถ์ จังหวัดลพบุรี | สผ | 30/12/2546 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอคำตอบกระทู้ถามที่ 1244 ร.
เรื่อง ขอให้ตั้งโรงเรียนสารพัดช่างที่อำเภอสระโบสถ์ จังหวัดลพบุรี ของนายนิยม วรปัญญา สมาชิกสภาผู้แทน ราษฎรจังหวัดลพบุรี และให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป โดยสาระสำคัญของคำตอบสรุปได้ว่า พื้นที่ จังหวัดลพบุรีมีสถานศึกษาเปิดสอนด้านอาชีวศึกษารวมทั้งสิ้น 14 แห่ง เป็นสถานศึกษาของรัฐ 7 แห่ง และ สถานศึกษาของเอกชน 7 แห่ง ในปีการศึกษา 2546 เฉพาะสถานศึกษาอาชีวศึกษาของรัฐทุกแห่งในจังหวัด ลพบุรีมีศักยภาพในการรับนักเรียน นักศึกษา รวมทั้งสิ้น 5,772 คน แต่ปรากฏว่า มีผู้ประสงค์สมัครเรียน เพียง 4,905 คน ส่วนในระยะทางรัศมี 30-40 กิโลเมตรรอบอำเภอสระโบสถ์ จังหวัดลพบุรี มีสถานศึกษา ของรัฐระดับอาชีวศึกษา จำนวน 3 แห่ง ได้แก่ วิทยาลัยเทคนิคลพบุรี แห่งที่ 2 วิทยาลัยการอาชีพโคกสำโรง และวิทยาลัยการอาชีพชัยบาดาล ในปีการศึกษา 2546 สถานศึกษาดังกล่าวมีศักยภาพในการรับนักเรียนทุก ระดับรวม 1,280 คน แต่มีผู้มาสมัครเรียน 950 คน แบ่งเป็น ระดับ ปวช. มีผู้สมัครเรียน 783 คน ระดับ ปวส. มีผู้สมัครเรียน 167 คน และจากข้อมูลสถิติจำนวนนักเรียนของสำนักงานศึกษาธิการจังหวัดลพบุรี พบว่า มีผู้ สำเร็จการศึกษาชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ในเขตพื้นที่อำเภอสระโบสถ์ เฉลี่ยประมาณปีละ 200-300 คน เท่านั้น และจากการที่รัฐบาลโดยกระทรวงศึกษาธิการ สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา มีนโยบายในการให้ บริการทางวิชาการหรือการช่วยเหลือฝึกอบรมเพื่อเพิ่มทักษะทางอาชีพให้แก่ประชาชนโดยเฉพาะพื้นที่อำเภอ สระโบสถ์ ได้มอบหมายให้วิทยาลัยเทคนิคลพบุรี แห่งที่ 2 วิทยาลัยการอาชีพโคกสำโรง และวิทยาลัยเกษตร และเทคโนโลยีลพบุรี เป็นผู้รับผิดชอบสนองความต้องการของประชาชนในท้องถิ่นเป็นสำคัญ โดยจะดำเนิน การนโยบายเติมปัญญาให้สังคม โดยจัดตั้งศูนย์การเรียนรู้อาชีวศึกษา สาขาชุมชนสระโบสถ์ขึ้นในสถานที่ของ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน เพื่อดำเนินการพัฒนาฝึกทักษะอาชีพ ให้เป็นไปตามความต้อง การของชุมชน และทำหน้าที่เป็นศูนย์ถ่ายทอดความรู้ นวัตกรรมและเทคโนโลยีในการประกอบอาชีพต่าง ๆ ให้แก่ประชาชนในพื้นที่อำเภอสระโบสถ์ จังหวัดลพบุรี ต่อไป |
||||||||||||||||||
2826 | ผลการประชุมสุดยอดระดับโลกว่าด้วยสังคมสารสนเทศ ครั้งที่ 1 | ทก | 30/12/2546 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารรายงานผลการประชุม
สุดยอดระดับโลกว่าด้วยสังคมสารสนเทศ (World Summit on the Information Society-WSIS) ครั้งที่ 1 ซึ่งจัดขึ้น ระหว่างวันที่ 10-12 ธันวาคม 2546 ณ นครเจนีวา สมาพันธรัฐสวิส โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยี สารสนเทศและการสื่อสารเป็นผู้แทนนายกรัฐมนตรีเข้าร่วมการประชุม สำหรับสาระสำคัญของการประชุม WSIS ประกอบด้วยการประชุมเต็มคณะเพื่อรับรองปฏิญญาว่าด้วยหลักการการสร้างสังคมสารสนเทศ (Declaration of Principles on Building the Information Society) ซึ่งมีสาระสำคัญครอบคลุมหลักการใหญ่ 3 ประเด็นคือ วิสัย ทัศน์ร่วมของสังคมสารสนเทศบนพื้นฐานของปฏิญญาสากลเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชนของสหประชาชาติ หลักการ สำคัญ 11 ประการ ของสังคมสารสนเทศสำหรับประชาชนทุกคน และการมุ่งสู่สังคมสารสนเทศสำหรับประชา ชนทุกคนบนพื้นฐานของการมีและการใช้ความรู้ร่วมกัน รวมทั้งได้กำหนดและแผนปฏิบัติการ (Plan of Action) สำหรับการพัฒนาสังคมสารสนเทศอย่างมีประสิทธิภาพ และลดความเหลื่อมล้ำของประชากรโลกในการเข้าถึง สารสนเทศและความรู้ซึ่งมีแนวทางการปฏิบัติการครอบคลุมทั้งภาครัฐและผู้เกี่ยวข้อง โครงสร้างพื้นฐานของสาร สนเทศและการสื่อสาร การเข้าถึงข่าวสารและความรู้ การสร้างศักยภาพและความสามารถ การสร้างความมั่นคง ในการสร้างสังคมสารสนเทศ การกำหนดสิ่งแวดล้อมที่เอื้อประโยชน์การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร เพื่อประโยชน์ทุกด้านของชีวิต การสำนึกถึงความหลากหลายของวัฒนธรรม ภาษาและสารัตถะของท้องถิ่น สื่อ มวลชน จริยธรรมของสังคมสารสนเทศ และการร่วมมือในระดับภูมิภาคและในระดับสากล รวมถึงประเด็นใหม่ ในการสร้างความเข้มแข็งของเทคนิคดิจิตอล ทั้งนี้ สาระสำคัญของปฏิญญา ฯ และแผนปฏิบัติการ เป็นสิ่งที่ ประเทศสมาชิกจะนำไปประยุกต์ให้เกิดผลสำเร็จมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ และจะเป็นเนื้อหาที่จะนำไปพิจารณาใน การประชุมสุดยอด ฯ ครั้งที่ 2 ต่อไป |
||||||||||||||||||
2827 | ร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการบริหารการพัฒนาเพื่อกระจายความเจริญไปสู่ภูมิภาคและท้องถิ่น (แก้ไขเพิ่มเติม) พ.ศ. 2546 | นร | 23/12/2546 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติถอน
ร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการบริหารการพัฒนาเพื่อกระจายความเจริญไปสู่ภูมิภาคและท้อง ถิ่น (แก้ไขเพิ่มเติม) พ.ศ. 2546 เพื่อนำไปปรับปรุงแก้ไขต่อไปได้ |
||||||||||||||||||
2828 | ข้อเสนอโครงการการจัดตั้งอุทยานวิทยาศาสตร์ภาคเหนือ | วท | 23/12/2546 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 3 (คกก.3) ที่
มีมติอนุมัติในหลักการตามที่กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเสนอ โครงการจัดตั้งอุทยานวิทยาศาสตร์ภาค เหนือ โดยวัตถุประสงค์ของโครงการ ฯ เพื่อการศึกษาวิจัยศักยภาพของท้องถิ่น การนำเทคโนโลยีมาใช้ประโยชน์ การพัฒนาเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจ การสร้างเครือข่ายวิสาหกิจวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี รวมทั้งการ พัฒนาบุคลากรท้องถิ่นให้มีศักยภาพแห่งการเรียนรู้ โดยให้กระทรวงอุตสาหกรรม สถาบันการเงินที่ให้การสนับ สนุนวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม สถาบันการศึกษา และสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ ร่วมกันจัดทำแผน การดำเนินงานทางธุรกิจ (Business Plan) ตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและ สังคมแห่งชาติ แล้วให้สำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติร่วม กันพิจารณาเพื่อการจัดสรรงบประมาณให้เป็นไปตามแผนการดำเนินงานทางธุรกิจต่อไป โดยให้กระทรวงวิทยา ศาสตร์ ฯ รับความเห็นและข้อสังเกตของ คกก.3 ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ดังนี้ ให้มีการเชื่อมโยงโครงการจัด ตั้งอุทยานวิทยาศาสตร์กับโครงการศูนย์ส่งเสริมการพัฒนาและการกระจายสินค้าวิสาหกิจขนาดกลางและขนาด ย่อมภาคเหนือ ของกระทรวงอุตสาหกรรม และโครงการจัดงานมหกรรมพืชสวนโลก 2549 จังหวัดเชียงใหม่ ของ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยมุ่งเน้นการบูรณาการการใช้ทรัพยากรร่วมกัน โดยเฉพาะการใช้ประโยชน์จาก สิ่งอำนวยความสะดวกและสาธารณูปโภคในภาพรวมไม่ให้ซ้ำซ้อน นอกจากนี้ ให้มีการประเมินผลการดำเนิน งานอย่างเป็นรูปธรรม โดยให้กระทรวงวิทยาศาสตร์ ฯ กำหนดตัวชี้วัดให้ชัดเจน และทำการติดตามประเมินผล เป็นประจำทุกปี |
||||||||||||||||||
2829 | ผลการดำเนินงานโครงการออกแบบและพัฒนาระบบฐานข้อมูลการพัฒนาชุมชนและท้องถิ่นเพื่อการบริหาร | ศธ | 23/12/2546 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงศึกษาธิการรายงานผลการดำเนินงานโครงการออกแบบ
และพัฒนาระบบฐานข้อมูลการพัฒนาชุมชนและท้องถิ่นเพื่อการบริหาร ผลการดำเนินงานตามโครงการ ฯ มี สถาบันอุดมศึกษาของรัฐเข้าร่วมโครงการทั้งสิ้น 21 แห่ง โดยแบ่งภาระการรับผิดชอบออกเป็น 6 ภูมิภาค ประกอบด้วย ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคใต้ ภาคกลาง ภาคตะวันออก และภาคตะวันตก โดย ดำเนินการรวบรวมและจัดเก็บข้อมูล ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 ส่วน ส่วนแรกคือ ฐานข้อมูลทางทรัพยากรธรรมชาติ และโครงสร้างพื้นฐาน (Resource Mapping) รวมไปถึงพื้นที่คุ้มครองเกษตรกรรม การจัดการป่าไม้ และการ ประยุกต์เพื่อแก้ไขปัญหาทรัพยากรในแต่ละพื้นที่ ส่วนที่สองคือ ฐานข้อมูลด้านวิถีชีวิตชุมชนภูมิปัญญาท้องถิ่น และทักษะความชำนาญการ (Skill Mapping) โดยสถาบันอุดมศึกษาจะคัดเลือกผลิตภัณฑ์เด่น โดยเน้นด้าน ความแข็งแรงของชุมชน แหล่งวัตถุดิบ คุณภาพผลิตภัณฑ์ รูปแบบการบรรจุภัณฑ์ และความยั่งยืนของตลาด อย่างน้อยจังหวัดละ 5 ผลิตภัณฑ์ และจัดเก็บรวบรวมข้อมูลทั้งหมดนี้ในระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ (GIS) ซึ่ง ผลจากการดำเนินงานตามโครงการดังกล่าวทำให้ได้ฐานข้อมูลทรัพยากรเชิงพื้นที่ของประเทศไทย (Resource Mapping) ที่สมบูรณ์ยิ่งขึ้นและสามารถนำไปใช้ในการวางแผนการแก้ปัญหาด้านกายภาพ ชีวภาพ การจัด การทรัพยากรธรรมชาติ การเกษตร และอื่น ๆ และได้ฐานข้อมูลภูมิปัญญาท้องถิ่น และวิถีชีวิตชุมชน (Skill Mapping) ตามลักษณะของผลิตภัณฑ์พื้นที่บ้านที่มีความสำคัญเชิงเศรษฐกิจในชุมชนในเชิงพื้นที่ ซึ่งจะเป็นแม่ แบบในการพัฒนาระบบฐานข้อมูลเศรษฐกิจชุมชนของประเทศให้ดียิ่งขึ้น นอกจากนี้ การดำเนินงานดังกล่าว สามารถนำไปใช้ประโยชน์ในการพัฒนาแก้ไขปัญหาของประเทศ ในการบริหารแบบ Electronic Government, Internet Media รวมทั้งการบริหารของผู้ว่าราชการจังหวัดแบบบูรณาการ (Chief Executive Officer : CEO) |
||||||||||||||||||
2830 | การแก้ไขปัญหาการบริหารราชการในส่วนภูมิภาคสืบเนื่องจากการพัฒนาระบบราชการ | นร | 23/12/2546 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 7 (คกก.7)
และเห็นชอบรายงานผลการพิจารณาของคณะทำงานพิจารณาเกี่ยวกับรายละเอียดและแนวทางการมอบอำนาจ เรื่อง การแก้ไขปัญหาการบริหารราชการในส่วนภูมิภาคสืบเนื่องจากการพัฒนาระบบราชการ โดยให้หน่วยงาน ที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการต่อไป สำหรับมติของ คกก.7 ได้ให้ความเห็นชอบตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอแนว ทางการแก้ไขปัญหาการบริหารราชการในส่วนภูมิภาค ภายหลังการปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม ในกรณี กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ตามมติ ก.พ.ร. และให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ สำนักงาน ก.พ. และสำนักงาน ก.พ.ร. รับไปพิจารณาร่วมกันเพื่อดำเนินการตามแนวทางดังกล่าว โดยคำนึงถึงการประสานงานกับผู้ว่าราชการ จังหวัดในระบบการบริหารราชการจังหวัดแบบบูรณาการ ทั้งนี้ อาจพิจารณาให้สถาบันการศึกษาในท้องถิ่นเช่น สถาบันราชภัฏหรือวิทยาลัยเกษตรกรรมเข้าร่วมพิจารณาด้วย อย่างไรก็ตาม จะต้องไม่เพิ่มอัตรากำลังและค่าใช้ จ่ายบุคคลภาครัฐ สำหรับกรณีของกระทรวงการคลังได้ทดลองและเริ่มปฏิบัติมาระยะหนึ่งแล้ว หากปรับเปลี่ยน ให้กลับไปสู่ระบบเดิมอาจเกิดปัญหาได้ และคณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบแนวทางที่จะมี CFO (Chief Financial Officer) เป็นศูนย์กลางบริหารงานการเงินของจังหวัด รวมทั้งรัฐบาลมีดำริที่จะพิจารณาทบทวนโครงสร้างของ กระทรวงการคลังเพื่อพัฒนาไปสู่ระบบใหม่ ในชั้นนี้จึงเห็นควรให้ดำเนินการ ดังนี้ ให้สำนักงาน ก.พ.ร. ประเมิน ผลการปรับเปลี่ยนโครงสร้างของกระทรวงการคลัง เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรี และในระหว่างนี้ยังมิให้ส่วนราช การอื่นดำเนินการตามแนวทางของกระทรวงการคลังจนกว่าจะทราบผลการประเมินอย่างชัดเจน และเพื่อเป็น การแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนในการติดต่อขอรับบริการ ในระหว่างนี้ให้กระทรวงการคลังฝาก งานให้หน่วยงานอื่นของรัฐในพื้นที่รับไปปฏิบัติตามความเหมาะสม และให้กระทรวงการคลังใช้ระบบเทคโนโลยี ทางด้านอิเล็กทรอนิกส์ทั้งหลาย เพื่อช่วยแก้ไขปัญหาและอำนวยความสะดวกให้แก่ประชาชนที่มาขอรับบริการ รวมทั้งจัดหน่วยบริการเคลื่อนที่เพื่อบริการประชาชนด้วย กับให้กระทรวงการคลังมอบอำนาจให้ผู้ว่าราชการ จังหวัดในการบังคับบัญชาข้าราชการ ตลอดจนการอนุมัติ อนุญาตในเรื่องต่าง ๆ ของส่วนราชการส่วนกลาง ภายในจังหวัดให้ชัดเจนตามแนวทางที่ ก.พ.ร. เสนอ โดยให้ผู้ช่วยรัฐมนตรี (นายสุจริต นันทมนตรี) เป็นประธาน คณะทำงานพิจารณารายละเอียดและแนวทางการมอบอำนาจดังกล่าวร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงมหาด ไทย สำนักงาน ก.พ. และสำนักงาน ก.พ.ร. อีกครั้งหนึ่งเพื่อนำผลการพิจารณาเสนอคณะรัฐมนตรีโดยด่วนต่อไป |
||||||||||||||||||
2831 | กระทู้ถามที่ 1237 ร. เรื่อง การจ่ายเบี้ยยังชีพให้แก่ผู้สูงอายุที่มีฐานะยากจน | สผ | 23/12/2546 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอคำตอบกระทู้
ถามที่ 1237 ร. เรื่อง การจ่ายเบี้ยยังชีพให้แก่ผู้สูงอายุที่มีฐานะยากจน ของนายเปรมศักดิ์ เพียยุระ สมาชิกสภา ผู้แทนราษฎรจังหวัดขอนแก่น และให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป โดยสาระสำคัญของคำตอบสรุปได้ว่า กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ได้รับมอบหมายจากรัฐบาลในการจัดสวัสดิการให้แก่ผู้สูงอายุ ที่มีฐานะยากจน ถูกทอดทิ้ง ขาดผู้อุปการะเลี้ยงดูไม่สามารถประกอบอาชีพเลี้ยงตนเองได้ ทั้งในเขตเทศบาลและ นอกเขตเทศบาล ไม่แตกต่างกัน โดยกรมการพัฒนาสังคมและสวัสดิการ ภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงการ พัฒนาสังคม ฯ ได้จัดบริการ และพิจารณาให้ความช่วยเหลือตามสภาพปัญหาและความจำเป็น โดยให้การดูแล และรับเข้าสงเคราะห์ในสถานสงเคราะห์ ซึ่งปัจจุบันมีสถานสงเคราะห์คนชรา จำนวน 20 แห่ง ทั่วประเทศ จัด บริการให้แก่ผู้สูงอายุที่อาศัยอยู่ในครอบครัวและชุมชน สนับสนุนให้จัดตั้งศูนย์บริการผู้สูงอายุโดยชุมชน ให้การ สงเคราะห์เป็นเงิน และเครื่องอุปโภคและบริโภคที่จำเป็นต่อการดำรงชีพ นอกจากนี้ คณะรัฐมนตรียังได้มีมติเห็น ชอบแผนผู้สูงอายุแห่งชาติ ฉบับที่ 2 (พ.ศ. 2545-2564) เพื่อใช้เป็นกรอบในการวางแผนและดำเนินงานด้านผู้ สูงอายุของประเทศ และมีมาตรการให้ความช่วยเหลือในรูปแบบอื่น ๆ อาทิ การสงเคราะห์ครอบครัวเป็นค่า เครื่องอุปโภคไม่เกิน 2,000 บาท ต่อคนต่อครั้ง ฯลฯ สำหรับการสงเคราะห์เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ รัฐบาลได้มอบ หมายให้กระทรวงการพัฒนาสังคม ฯ ถ่ายโอนงานดังกล่าวให้องค์การปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อให้การสงเคราะห์ ช่วยเหลือผู้สูงอายุเป็นไปอย่างรวดเร็ว และสอดรับกับการกระจายอำนาจ และให้ท้องถิ่นและชุมชนมีส่วนร่วมใน การจัดสวัสดิการและดูแลผู้สูงอายุ โดยได้ดำเนินการถ่ายโอนงานดังกล่าว ในปี พ.ศ. 2545 ในส่วนกลางถ่ายโอน งานให้แก่กรุงเทพมหานคร และส่วนภูมิภาคถ่ายโอนงานให้แก่องค์การบริหารส่วนตำบลและเทศบาล ทั้งนี้ จาก ปัญหาการรับเงินเบี้ยยังชีพล่าช้าของผู้สูงอายุ กระทรวงการพัฒนาสังคม ฯ จะได้นำเรื่องดังกล่าวให้ที่ประชุมคณะ กรรมการส่งเสริมและประสานงานผู้สูงอายุแห่งชาติ ร่วมกันพิจารณาหาแนวทางดำเนินการที่เหมาะสมต่อไป ใน ส่วนของการขอเพิ่มจำนวนการจ่ายเบี้ยยังชีพแก่ผู้สูงอายุให้ครบทุกคนทุกหมู่บ้าน เป็นบทบาทหน้าที่ขององค์กร ปกครองส่วนท้องถิ่นในการพิจารณาขอจัดตั้งงบประมาณเพิ่มเติม ตามขั้นตอนการขอรับงบประมาณจากรัฐบาล |
||||||||||||||||||
2832 | กระทู้ถามที่ 740 ร. เรื่อง การทำประโยชน์ในพื้นที่ตำบลบางกะเจ้า อำเภอพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ | สผ | 16/12/2546 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอคำตอบกระทู้ถามที่ 740 ร.
เรื่อง การทำประโยชน์ในพื้นที่ตำบลบางกะเจ้า อำเภอพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ ของนางสาวเรวดี รัศมิทัต สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดสมุทรปราการ และให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป โดยสาระ สำคัญของคำตอบสรุปได้ว่า รัฐบาลมีนโยบายที่จะอนุรักษ์พื้นที่ตำบลบางกะเจ้า อำเภอพระประแดง จังหวัด สมุทรปราการไว้เป็นพื้นที่สีเขียว โดยจัดซื้อที่ดินรวมเนื้อที่ 1,276 ไร่ และนำพื้นที่ส่วนหนึ่งเนื้อที่ 148 ไร่ มา จัดสร้างสวนสาธารณะและสวนพฤกษชาติ "ศรีนครเขื่อนขันธ์" โดยมีเป้าหมายในการรักษาพื้นที่สีเขียวและ ระบบนิเวศของพื้นที่ให้สวยงาม มีความเหมาะสมกับสภาพพื้นที่เดิม ซึ่งเป็นสวนเกษตรและระบบนิเวศพื้นที่ ชุ่มน้ำ เพื่อเป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจ และเป็นแหล่งศึกษาธรรมชาติระบบนิเวศท้องถิ่นสำหรับประชาชน และช่วยรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม สำหรับพื้นที่ในส่วนที่เหลือสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรม ชาติและสิ่งแวดล้อมได้ดำเนินการขยายพื้นที่ปลูกสร้างสวนป่าอย่างต่อเนื่องทุกปี ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2539-2545 รวมเนื้อที่ 356 ไร่ เพื่อให้เป็นสวนป่าที่ร่มรื่น และปัจจุบันกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติ ฯ มอบหมายให้กรม อุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช บริหารจัดการโครงการสวนกลางมหานคร เนื่องจากเป็นหน่วยงานที่มี บุคลากรที่มีความรู้ความชำนาญที่จะบริหารจัดการให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ในการอนุรักษ์และรักษาสภาพ พื้นที่สีเขียวดั้งเดิมเอาไว้ |
||||||||||||||||||
2833 | กระทู้ถามที่ 1190 ร. เรื่อง การติดตั้งระบบประปาชุมชน | สผ | 16/12/2546 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอคำตอบกระทู้ถามที่
1190 ร. เรื่อง การติดตั้งระบบประปาชุมชน ของนายณัฐพล เกียรติวินัยสกุล สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัด ลพบุรี และให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป โดยสาระสำคัญของคำตอบสรุปได้ว่า รัฐบาลมีนโยบายที่จะแก้ ไขปัญหาหมู่บ้านภัยแล้งอย่างถาวร โดยตั้งเป้าหมายให้ประชาชนในหมู่บ้านชนบททุกหมู่บ้านมีระบบประปาหมู่ บ้านสำหรับจ่ายน้ำเพื่อการอุปโภคบริโภคอย่างเพียงพอทุกฤดูกาล รวมทั้งพื้นที่ชุมชนหมู่ที่ 4 และหมู่ที่ 5 ตำบล โพธิ์เก้าต้น หมู่ที่ 12 ตำบลบ้านข่อย และหมู่ที่ 7 ตำบลท้ายตลาด อำเภอเมือง จังหวัดลพบุรี ทั้งนี้ ตามพระ ราชบัญญัติกำหนดแผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2542 กำหนดให้ โครงการระบบประปาหมู่บ้านเป็นงานภารกิจที่ถ่ายโอนให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเป็นผู้ดำเนินการ ดังนั้น ผู้ประสงค์จะติดตั้งระบบประปาชุมชนต้องประสานงานกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นโดยตรงต่อไป และในปีงบ ประมาณ พ.ศ. 2547 สำนักงบประมาณได้ตั้งงบประมาณตามภารกิจดังกล่าวเป็นเงินอุดหนุนทั่วไปเพื่อส่งเสริม และพัฒนาองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นไว้ที่สำนักนายกรัฐมนตรี โดยคณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์ กรปกครองส่วนท้องถิ่นจะกำหนดหลักเกณฑ์ในการจัดสรรเงินอุดหนุนทั่วไป ลงสู่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทุก แห่งตามหลักเกณฑ์ที่กำหนด |
||||||||||||||||||
2834 | การยกเว้นค่ากระแสไฟฟ้าสาธารณะให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น | นร | 16/12/2546 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอมติคณะกรรมการการกระจาย อำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (กกถ.) ครั้งที่ 7/2546 เมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน 2546 โดยให้เทศบาล ได้รับสิทธิพิเศษไม่ต้องชำระค่ากระแสไฟฟ้าสาธารณะให้แก่การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ควบคู่ไปกับการรับการ ถ่ายโอนภารกิจงานบำรุงรักษาทางหลวงจากกรมทางหลวง เช่นเดียวกับที่กรมทางหลวงเคยได้รับสิทธิพิเศษนี้จาก กฟภ. ทั้งนี้ การได้รับสิทธิพิเศษดังกล่าวให้ถือเป็นมาตรการชั่วคราว จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2547 เท่านั้น และ ให้ กกถ. เร่งดำเนินการจัดสรรเงินเพื่อให้เทศบาลสามารถรับภาระค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ได้เองโดยเร็วต่อไป
|
||||||||||||||||||
2835 | การดำเนินการแก้ไขปัญหาอุทกภัยและภัยแล้ง | นร | 16/12/2546 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและให้ดำเนินการต่อไปได้ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายสุวิทย์ คุณกิตติ)
เสนอแนวทางการดำเนินการแก้ไขปัญหาอุทกภัยและภัยแล้ง โดยอำนาจในการดำเนินงานเกี่ยวกับการอนุญาต ขุดลอกห้วย หนอง คลอง บึงและแม่น้ำทั้งหมดในเขตพื้นที่จังหวัด ซึ่งเป็นอำนาจของกรมการขนส่งทางน้ำและ พาณิชย์นาวี นั้น ให้กรมการขนส่งทางน้ำและพาณิชย์นาวีมอบอำนาจดังกล่าวให้แก่ผู้ว่าราชการจังหวัด (ยกเว้น แม่น้ำสายหลักที่ใช้ในการขนส่งทางน้ำ) โดยถือปฏิบัติตามระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธี การเกี่ยวกับการอนุญาตให้ดำเนินการขุดลอกแหล่งน้ำสาธารณประโยชน์ที่ตื้นเขิน พ.ศ. 2536 ส่วนกรวดหิน ดิน ทราย ที่ได้จากการขุดลอก ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดดำเนินการจัดหาผลประโยชน์ตามมาตรา 9 แห่งประมวล กฎหมายที่ดิน ทั้งนี้ ให้กระทรวงมหาดไทยกำชับให้ผู้ว่าราชการจังหวัดเร่งตรวจสอบ ติดตาม การดำเนินการ ขุดลอก ห้วย หนอง คลอง บึง และลำน้ำต่าง ๆ ในเขตพื้นที่ รวมทั้งการใช้ประโยชน์จากวัสดุที่ได้จากการขุดลอก ตามความจำเป็นเหมาะสม โดยประสานกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดยด่วนต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||
2836 | แผนยุทธศาสตร์การแก้ไขปัญหาไฟป่า ปี 2547 | ทส | 16/12/2546 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอแผนยุทธศาสตร์
การแก้ไขปัญหาไฟป่า ปี 2547 โดยมีสาระสำคัญคือ บริหารจัดการไฟป่าโดยการมีส่วนร่วมของประชาชนตาม แนวทางภูมิปัญญาท้องถิ่น เปลี่ยนความขัดแย้งในปัญหาไฟป่าให้เป็นความร่วมมือบนพื้นฐานของความเข้าใจอัน ดีและการประสานผลประโยชน์ร่วมกัน และพัฒนาเทคโนโลยีการใช้ไฟให้เกิดประโยชน์สูงสุดในการรักษาสมดุล ตามธรรมชาติของระบบนิเวศป่าไม้ และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกหน่วยงาน ได้แก่ สำนักนายกรัฐมนตรี (กรม ประชาสัมพันธ์) กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงกลาโหม กระทรวงคมนาคม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงศึกษาธิการ ให้ความร่วมมือและสนับสนุนการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องตามแผนยุทธศาสตร์ ฯ ให้ เกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผลอย่างเต็มที่ต่อไปด้วย ทั้งนี้ โดยให้ปรับแผนการใช้จ่ายจากงบประมาณปกติที่ แต่ละหน่วยงานได้รับในปีงบประมาณ พ.ศ. 2547
|
||||||||||||||||||
2837 | มติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ 6/2546 | ทส | 02/12/2546 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอมติคณะกรรมการ สิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ 6/2546 เมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2546 ซึ่งคณะกรรมการ ฯ ได้ให้การรับรองเรียบร้อย แล้วเมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน 2546 รวม 15 เรื่อง และที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่ง แวดล้อมเสนอเพิ่มเติม โดยขอเปลี่ยนถ้อยคำในมติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ 6/2546 เมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2546 เรื่องที่ 1 เกี่ยวกับการเพิ่มเติมรองประธานคณะอนุกรรมการพิจารณาผลกระทบสิ่งแวดล้อม อันเนื่องมาจากการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำในพื้นที่ลุ่มน้ำยม จากเดิม "ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาห กรรม เป็นรองประธานอนุกรรมการ คนที่หนึ่ง" เป็น "ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นรอง ประธานอนุกรรมการ คนที่หนึ่ง" ทั้งนี้ คณะรัฐมนตรีมีความเห็นเพิ่มเติมว่า การจัดการน้ำเสีย และการจัดการ ขยะมูลฝอย เป็นภารกิจที่เดิมจะต้องมอบให้องค์กรปกครองท้องถิ่นรับผิดชอบดำเนินการ แต่ขณะนี้องค์กรปก ครองส่วนท้องถิ่นยังไม่มีความพร้อม จึงให้รองนายกรัฐมนตรี (นายสุวิทย์ คุณกิตติ) รับ (ร่าง) แผนการจัดการ น้ำเสียชุมชน และ (ร่าง) แผนการจัดการขยะมูลฝอยแห่งชาติไปพิจารณาทบทวนความเหมาะสมในภาพรวมทั้ง ด้านการจัดโครงสร้าง และแนวทางการดำเนินการก่อนที่หน่วยงานต่าง ๆ จะได้ดำเนินการตามมติคณะกรรม การสิ่งแวดล้อมต่อไป โดยเฉพาะการแก้ไขปัญหาขยะมูลฝอย ต้องกำหนดให้มีวิธีการจัดการอย่างเหมาะสมถูก วิธีสำหรับขยะแต่ละประเภทควรมีการแยกขยะแต่ละชนิด โดยอาจขอความร่วมมือเพื่อใช้พื้นที่สาธารณประโยชน์ ที่อยู่ในความดูแลของทหารมาใช้เพื่อการนี้ได้ตามความเหมาะสม และมอบให้รองนายกรัฐมนตรีที่กำกับการ ปฏิบัติราชการในส่วนภูมิภาคให้ความสำคัญต่อการตรวจสอบ ติดตาม และกำกับการดำเนินการแก้ไขปัญหา เกี่ยวกับการจัดการขยะและการจัดการน้ำเสียในจังหวัดต่าง ๆ ในพื้นที่ที่รับผิดชอบให้สอดคล้องกับแนวทาง ดังกล่าวด้วย
|
||||||||||||||||||
2838 | ส่งรายงานประจำปี 2545 | นร | 02/12/2546 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอรายงานประจำปี พ.ศ. 2545
ของคณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ซึ่งคณะกรรมการ ฯ ได้ให้ความเห็นชอบ แล้วในคราวประชุม ครั้งที่ 4/2546 เมื่อวันจันทร์ที่ 7 กรกฎาคม 2546 โดยมีสาระสำคัญ 7 ส่วน ได้แก่ ส่วนที่ 1 สรุปผลการดำเนินงานของคณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ปีงบประมาณ พ.ศ. 2544 เปรียบเทียบกับปีงบประมาณ พ.ศ. 2545 ส่วนที่ 2 คณะกรรมการ/คณะอนุกรรมการเกี่ยวกับการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ส่วนที่ 3 ผลการปฏิบัติงานการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2545 ส่วนที่ 4 ผลการดำเนินงานในด้านอื่น ๆ เช่น การศึกษาการเปลี่ยนแปลงเขตของกรุงเทพมหานครเพื่อ จัดตั้งเป็นนครธนบุรี ส่วนที่ 5 ปัญหา อุปสรรค และข้อเสนอแนะในการดำเนินการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วน ท้องถิ่น ส่วนที่ 6 การตอบข้อหารือและคำถามที่ได้รับจากการสัมมนา ส่วนที่ 7 ภาคผนวก (กฎหมาย คำสั่ง ประกาศเกี่ยวกับการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น) |
||||||||||||||||||
2839 | มาตรการพัฒนาและบริหารกำลังคนเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลง | นร | 29/11/2546 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่สำนักงาน ก.พ. เสนอมาตรการพัฒนาและบริหารกำลังคนเพื่อรอง
รับการเปลี่ยนแปลง ตามลักษณะของกลุ่มเป้าหมายที่หลากหลาย 3 มาตรการ ประกอบด้วย มาตรการสนับ สนุนผู้ประสงค์จะเริ่มอาชีพใหม่นอกระบบราชการ หรือมาตรการชีวิตเริ่มต้นเมื่ออายุ 50 ปี มาตรการสำหรับ ผู้ได้รับผลกระทบจากการปรับระบบราชการ (recommended retirement) และมาตรการพัฒนาและบริหาร กำลังคนเพื่อออกนอกระบบราชการ และให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการต่อไป โดยให้รับความเห็น ของคณะรัฐมนตรีไปประกอบการดำเนินการด้วย ดังนี้ มาตรการทั้ง 3 มาตรการดังกล่าว เมื่อจะจัดทำเป็น โครงการเพื่อประชาสัมพันธ์เผยแพร่ให้ข้าราชการได้รับรู้โดยทั่วกันควรกำหนดชื่อของมาตรการ/โครงการ ให้ เหมาะสม สื่อความหมายที่ดีและชัดเจน รวมทั้งควรระบุสิทธิประโยชน์ที่ข้าราชการซึ่งเข้าร่วมมาตรการในแต่ ละมาตรการพึงได้รับ ให้ครบถ้วนชัดเจน เพื่อประกอบการตัดสินใจด้วย โดยให้สำนักงาน ก.พ. เป็นผู้ดำเนิน การด้านประชาสัมพันธ์และบริหารโครงการ โดยให้เบิกค่าใช้จ่ายเพื่อการนี้จากเงินงบประมาณ ประจำปีงบ ประมาณ พ.ศ. 2547 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ในวงเงิน 20 ล้านบาท กับ ให้กำหนดเป้าหมายรวมของจำนวนข้าราชการของทุกส่วนราชการ และของแต่ละส่วนราชการที่จะเข้าร่วมตาม มาตรการแรก เป็นจำนวนร้อยละ 10 ของข้าราชการทั้งหมด โดยให้ใช้หลักสมัครก่อน ได้สิทธิก่อน หากส่วน ราชการใดมีข้าราชการสมัครเกินร้อยละ 10 ในขณะที่ส่วนราชการอื่น ๆ มีข้าราชการสมัครน้อยกว่าร้อยละ 10 หากส่วนราชการเจ้าสังกัดที่มีผู้สมัครเกินจำนวนเห็นชอบ ก็ให้ข้าราชการที่สมัครได้รับสิทธิเข้าร่วมโครง การโดยใช้โควตาของส่วนราชการอื่นที่เหลืออยู่ได้ โดยจำนวนข้าราชการที่ได้รับสิทธิเพิ่มขึ้นจะต้องไม่ทำให้ จำนวนรวมเกินเป้าหมายรวมที่กำหนดไว้ร้อยละ 10 ด้วย ซึ่งการดำเนินการตามมาตรการดังกล่าว ไม่รวมถึง ข้าราชการในสังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต่าง ๆ เนื่องจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นนั้น ๆ สามารถ พิจารณาดำเนินการได้เองตามความจำเป็นเหมาะสม สำหรับข้าราชการทหารและตำรวจ ซึ่งเดิมมีโครงการ เกษียณอายุก่อนกำหนด โดยได้รับสิทธิประโยชน์ในการได้รับพระราชทานชั้นยศเพิ่มขึ้น เป็นทางเลือกอยู่ ด้วยนั้น ให้กระทรวงกลาโหมและสำนักงานตำรวจแห่งชาติรับไปพิจารณาความเหมาะสมว่า ประสงค์จะยังคง ดำเนินโครงการตามแนวทางเดิม เป็นทางเลือกของข้าราชการในสังกัดต่อไปด้วย หรือจะเข้าร่วมดำเนินการ ตามมาตรการนี้เพียงทางเดียว โดยจะต้องไม่มีผลให้ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์ใด ๆ ในภาพรวมทั้ง ระบบเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ สิทธิประโยชน์จูงใจอื่น ในส่วนของการได้รับการพิจารณาเสนอขอพระราชทาน เครื่องราชอิสริยาภรณ์นั้น มอบให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีรับไปพิจารณาดำเนินการตามความเหมาะสม ต่อไป
|
||||||||||||||||||
2840 | การถ่ายโอนภารกิจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น | นร | 29/11/2546 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอความเห็นเกี่ยวกับเรื่อง
การถ่ายโอนภารกิจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (สืบเนื่องจากมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม 2546 เรื่อง การถ่ายโอนภารกิจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น) โดยคณะรัฐมนตรีเห็นว่า การดำเนินการ ถ่ายโอนภารกิจดังกล่าวตามแผนปฏิบัติการกำหนดขั้นตอนการกระจายอำนาจทางการเงิน การคลัง และงบ ประมาณให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เป็นเรื่องที่ต้องเร่งดำเนินการ อย่างไรก็ตาม ควรจะต้องสร้าง ความเข้าใจที่ชัดเจนถูกต้องตรงกันทั้งในส่วนของราชการที่ถ่ายโอนภารกิจ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่ รับการถ่ายโอนภารกิจว่า ภารกิจใดที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเป็นผู้จัดทำ และภารกิจใดราชการบริหาร ส่วนกลางยังคงต้องเป็นผู้ทำ มิฉะนั้นภารกิจบางอย่างอาจเกิดปัญหาขาดเจ้าภาพที่จะรับผิดชอบดำเนินการ ขึ้นได้ นอกจากนี้ ถ่ายโอนภารกิจจะต้องคำนึงถึงศักยภาพ ความพร้อม ตลอดจนขีดความสามารถของแต่ละ ท้องถิ่นในการดำเนินการ เพื่อมิให้เกิดผลกระทบต่อประโยชน์สุขของประชาชนเป็นสำคัญด้วย เช่น ภารกิจ เกี่ยวกับการบริหารสถานีรถโดยสาร และงานทะเบียนรถยนต์ของกรมการขนส่งทางบก เป็นต้น ส่วนที่ สามารถถ่ายโอนให้ท้องถิ่น ได้แก่ การบริหารสถานีรถโดยสารที่วิ่งอยู่ในท้องถิ่นหรือภายในจังหวัดนั้น ๆ และการกำหนดสถานที่จอดและการเก็บค่าธรรมเนียมที่เกี่ยวข้อง ส่วนสถานีรถโดยสารที่วิ่งรับส่งผู้โดยสาร ระหว่างจังหวัดยังคงให้กรมการขนส่งทางบกดูแลรับผิดชอบต่อไป เพื่อให้การจัดระบบการขนส่งในภาพรวม ของประเทศสอดคล้องเชื่อมโยงกัน และมิให้กระทบต่อประชาชนผู้ใช้บริการ สำหรับงานทะเบียนรถยนต์ซึ่ง ในปัจจุบันได้ใช้ระบบคอมพิวเตอร์เชื่อมโยงเครือข่ายข้อมูลทั่วทั้งประเทศ เพื่อให้สามารถให้บริการเกี่ยวกับ ทะเบียนรถยนต์แก่ประชาชนทั่วประเทศได้อย่างรวดเร็ว หากถ่ายโอนภารกิจดังกล่าวให้แก่องค์กรปกครอง ส่วนท้องถิ่น ก็จะกระทบกับการให้บริการประชาชนโดยตรง เพราะองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นไม่มีระบบ ฐานข้อมูลรองรับการดำเนินการได้ รวมทั้งการถ่ายโอนภารกิจดังกล่าวจะต้องดำเนินการแก้ไขข้อกฎหมาย ที่เกี่ยวข้องก่อนด้วย จึงให้รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม (นายนิกร จำนง) รับไปหารือกับรองนายก รัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) เพื่อดำเนินการต่อไป |