ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 145 จากทั้งหมด 199 หน้า แสดงรายการที่ 2881 - 2900 จากข้อมูลทั้งหมด 3975 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
2881 | การพิจารณาเงินบำเหน็จแก่ลูกจ้างชั่วคราวของส่วนราชการที่มีสำนักงานอยู่ในต่างประเทศ | กต | 16/09/2546 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 5 ที่มีมติอนุมัติ หลักการตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ การพิจารณาเงินบำเหน็จแก่ลูกจ้างชั่วคราวของส่วนราชการที่มีสำนัก งานในต่างประเทศ โดยให้กระทรวงการคลังผ่อนปรนให้ลูกจ้างชั่วคราวของส่วนราชการที่มีสำนักงานในต่างประเทศ ที่บรรจุก่อนวันที่ 3 มกราคม 2544 เมื่อออกจากงานให้ใช้แนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับลูกจ้างชั่วคราวของส่วนราชการที่มี สำนักงานอยู่ในต่างประเทศ ปี พ.ศ. 2529 และกรณีประเทศใดมีกฎหมายหรือประเพณีท้องถิ่น ระบุให้มีการจ่ายเงิน บำเหน็จ ก็ให้มีการพิจารณาจ่ายเงินบำเหน็จเป็นกรณี ๆ ไป
|
||||||||||||||||||||||||
2882 | การดำเนินงานการถ่ายโอนภารกิจของกองบังคับการตำรวจดับเพลิง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ไปอยู่ในความรับผิดชอบของกรุงเทพมหานคร | นร | 16/09/2546 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเกี่ยวกับการดำเนินงานการถ่ายโอนภารกิจของกองบังคับการตำรวจดับเพลิงสำนัก
งานตำรวจแห่งชาติ ไปอยู่ในความรับผิดชอบของกรุงเทพมหานคร โดยให้ดำเนินการดังนี้ อัตรากำลัง/บุคลากร ให้ดำเนินการตามข้อยุติซึ่งผู้เกี่ยวข้องได้หารือกันแล้ว เมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2546 โดยสิทธิประโยชน์ของข้า ราชการตำรวจที่ถ่ายโอนไปให้ใช้หลักเกณฑ์ในลักษณะเดียวกับข้าราชการอื่นที่มีภารกิจถ่ายโอนไปให้องค์กรปก ครองส่วนท้องถิ่น สำหรับข้าราชการตำรวจจำนวน 1,011 นาย ที่ไม่ประสงค์จะโอนไปสังกัดกรุงเทพมหานคร ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติออกคำสั่งให้ไปช่วยราชการกรุงเทพมหานครเป็นการชั่วคราว เป็นระยะเวลา 2 ปี ซึ่งระหว่างการไปช่วยราชการดังกล่าว ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติพิจารณาแต่งตั้งให้ข้าราชการตำรวจดังกล่าว ไปดำรงตำแหน่งในหน่วยต่าง ๆ ที่ขาดแคลน หรือในอัตราว่างที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติมีอยู่แล้ว โดยให้ยุบ อัตราเดิมจำนวน 1,011 อัตราเสียทั้งหมด และหากกรุงเทพมหานครสามารถฝึกฝนบุคลากรที่จะปฏิบัติภารกิจ ดับเพลิงทดแทนได้เพียงพอก่อนกำหนด 2 ปี ก็ให้รีบส่งข้าราชการตำรวจที่ยืมตัวไปช่วยราชการคืนแก่สำนัก งานตำรวจแห่งชาติโดยเร็ว ในส่วนของยานพาหนะและอุปกรณ์ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติโอนยานพาหนะและ อุปกรณ์ให้แก่กรุงเทพมหานครทั้งหมด ยกเว้นเฉพาะส่วนที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติจำเป็นต้องใช้ปฏิบัติงาน ต่อไปอย่างแท้จริงเท่านั้น ซึ่งต้องมีจำนวนไม่มากนัก โดยในส่วนที่ยังคงอยู่กับสำนักงานตำรวจแห่งชาตินั้น ให้ทำการโอนยานพาหนะและอุปกรณ์ดังกล่าว (รวมทั้งบุคลากรที่เกี่ยวข้อง) ไปสังกัดหน่วยงานที่ต้องรับผิด ชอบปฏิบัติภารกิจที่ว่านั้นโดยตรง ทั้งนี้ หน่วยงานที่ได้รับโอนจะต้องปรับปรุงสภาพยานพาหนะและอุปกรณ์ดัง กล่าวให้สอดคล้องกับหน่วยงานต้นสังกัดนั้น ๆ ด้วย สำหรับอาคารสถานที่ ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติโอน อาคารสถานที่ในส่วนที่เจ้าหน้าที่ตำรวจดับเพลิงใช้ประโยชน์อยู่ ให้แก่กรุงเทพมหานครทั้งหมด ยกเว้นในส่วน ที่เป็นอาคารสถานที่ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติหน่วยอื่นที่มิใช่กองบังคับการตำรวจดับเพลิงใช้ประโยชน์ร่วมกัน อยู่และจำเป็นต้องใช้ต่อไป นอกจากนี้ เพื่อมิให้การถ่ายโอนภารกิจกระทบต่อการเป็นเจ้าภาพจัดการประชุม เอเปคในช่วงเดือนตุลาคม 2546 เห็นชอบให้การถ่ายโอนดังกล่าวมีผลตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2546 เป็น ต้นไป และให้รายงานผลการถ่ายโอนให้นายกรัฐมนตรีทราบด้วย
|
||||||||||||||||||||||||
2883 | ขออนุมัติดำเนินโครงการวิทยุและโทรทัศน์ส่งเสริมคุณภาพ และคุณธรรมเพื่อแก้ปัญหาความรุนแรงของนักเรียน นักศึกษา | ศธ | 16/09/2546 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอการดำเนินโครงการวิทยุและโทรทัศน์ส่ง
เสริมคุณภาพและคุณธรรมเพื่อแก้ปัญหาความรุนแรงของนักเรียน นักศึกษา โดยจัดสรรงบประมาณเพิ่มเติมปี พ.ศ. 2546 จากงบกลาง จำนวน 18,985,000 บาท และให้กรมประชาสัมพันธ์ร่วมดำเนินการและจัดสรรเวลา ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์แห่งประเทศไทย ช่อง 11 และสถานีวิทยุกระจายเสียงในส่วนภูมิภาคร่วมถ่าย ทอดรายการวิทยุ และให้สถานีโทรทัศน์ช่องอื่น ๆ ร่วมเผยแพร่รายการโทรทัศน์ในช่วงเวลาที่เหมาะสม และให้ ดำเนินการต่อไปได้ โดยงบประมาณค่าใช้จ่ายให้กระทรวงศึกษาธิการปรับแผนการปฏิบัติงาน และระยะเวลา ดำเนินการไปเริ่มดำเนินการตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2546 เป็นต้นไป และให้เบิกจ่ายจากเงินงบประมาณประจำ ปีงบประมาณ พ.ศ. 2547 โดยขอตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณต่อไป และให้ถือว่าการดำเนินโครง การนี้เป็นส่วนหนึ่งของการแก้ไขปัญหาเด็กและเยาวชน ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้มีมติ (16 กันยายน 2546) เรื่อง ปัญหาเด็กและเยาวชนในปัจจุบัน และมอบให้รองนายกรัฐมนตรี (ศาสตราจารย์ ปุระชัย เปี่ยมสมบูรณ์) รับไป ดำเนินการร่วมกับผู้เกี่ยวข้องไว้แล้ว ในระยะต่อไป หากรองนายกรัฐมนตรี (ศาสตราจารย์ ปุระชัย ฯ) และผู้ที่ เกี่ยวข้องเห็นควรปรับปรุง แก้ไขหรือขยายการดำเนินโครงการ ฯ อย่างไรก็ให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณา ต่อไป ทั้งนี้ ให้กระทรวงศึกษาธิการรับความเห็นและข้อเสนอแนะเพิ่มเติมของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนา การเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ซึ่งเห็นควรจัดทำสื่อเพื่อพัฒนาคุณธรรมและจริยธรรมทั้งในและนอกระบบโรง เรียนอย่างเป็นระบบและต่อเนื่องโดยสอดแทรกศีลธรรมและจริยธรรมในหลักสูตรปกติทุกระดับการศึกษาและ สื่อต่างๆ เช่น สื่อเทคโนโลยีเพื่อการศึกษาของกรมการศึกษานอกโรงเรียน เครือข่ายคอมพิวเตอร์เพื่อโรงเรียน ไทย (School Net) สื่อท้องถิ่น และวิทยุชุมชนเป็นต้น และควรให้ความสำคัญในการจัดกิจกรรมที่เสริมสร้าง ความสามัคคีของนักเรียน นักศึกษาระหว่างสถานศึกษาต่าง ๆ เช่น การจัดกีฬา และการจัดค่ายฝึกอบรม เป็น ต้น นอกจากนี้ ควรส่งเสริมให้ภาคธุรกิจเอกชนเข้ามีส่วนร่วมในการผลิตรายการเชิงสร้างสรรค์สำหรับกลุ่มวัย รุ่นมากยิ่งขึ้น โดยการใช้มาตรการจูงใจต่าง ๆ เช่น การลดหย่อนภาษี เป็นต้น และสนับสนุนให้มีการรวมกลุ่ม วิชาชีพทางสื่อสารมวลชนที่เข้มแข็ง เพื่อกำกับดูแล และตรวจสอบสื่อมวลชนด้วยกันเองให้มีความรับผิดชอบใน การผลิตสื่อต่าง ๆ ที่มีความรุนแรงและไม่เหมาะสมต่อสังคม ไปประกอบการดำเนินการด้วย รวมทั้งรับความ เห็นของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ไปประกอบการพิจารณาดำเนินการด้วยว่า การจัดให้เด็กและเยาว ชน ที่มีประวัติและพฤติกรรมชอบใช้ความรุนแรงได้เข้าไปเห็นสภาพความเป็นอยู่ที่แท้จริงของผู้ที่กระทำความ ผิดและถูกกักขังอยู่ในเรือนจำ นั้น จะมีส่วนช่วยให้เด็กและเยาวชนเหล่านี้ปรับเปลี่ยนทัศนคติและพฤติกรรม ของตนเองให้ดีขึ้นอย่างได้ผล |
||||||||||||||||||||||||
2884 | ผลการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเอเปค ครั้งที่ 10 | กค | 16/09/2546 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการคลังรายงานผลการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการ
คลังเอเปค ครั้งที่ 10 ซึ่งจัดขึ้น เมื่อวันที่ 4 - 5 กันยายน 2546 ณ จังหวัดภูเก็ต โดยสาระสำคัญของการประชุม ฯ ได้หารือเกี่ยวกับ "การเชื่อมโยงเศรษฐกิจแนวใหม่ จากเศรษฐกิจฐานรากสู่ระดับภูมิภาคและระดับสากล (Local /Regional Link, Global Reach : A New APEC Financial Cooperation)" ภายใต้หัวข้อการประชุม 3 หัวข้อย่อย ซึ่งได้แก่ (1) การพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากและวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (Grass - Roots and SME Development) ที่ประชุม ฯ ได้หารือถึงแนวทางในการพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมและวิสาหกิจ ขนาดจิ๋ว และได้ตกลงที่จะดำเนินงานร่วมกับรัฐมนตรี APEC SMEs อย่างใกล้ชิด เพื่อให้การสนับสนุนการพัฒนา วิสาหกิจเหล่านี้ โดยเฉพาะในด้านการเสริมสร้างการเข้าถึงแหล่งเงินทุน การปรับปรุงระบบศุลกากร การให้แรง จูงใจด้านภาษี การบริหารจัดการที่ดี และภาวะของความเป็นผู้ประกอบการ ในการนี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวง การคลังเอเปคได้ร่วมเป็นสักขีพยานในพิธีลงนามในบันทึกความเข้าใจระหว่างสถาบันการเงินที่เกี่ยวข้องกับการ พัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (2) การพัฒนาตลาดพันธบัตรในภูมิภาค (Regional Bond Market Development) ที่ประชุม ฯ ได้หารือถึงแนวทางในการสร้างความร่วมมือระดับภูมิภาคที่ส่งเสริมระบบการเงินที่ มีประสิทธิภาพและเสถียรภาพ และได้ตกลงที่จะดำเนินการร่วมกันเพื่อพัฒนาตลาดพันธบัตรให้เป็นแหล่งระดม เงินทุนระยะยาวที่มีประสิทธิภาพทั้งในระดับเขตเศรษฐกิจและระดับภูมิภาค รวมทั้งรับทราบความคืบหน้ามาตร การริเริ่มของเอเปคที่จะสนับสนุนการพัฒนาตลาดการแปลงสินทรัพย์ เป็นหลักทรัพย์และตลาดค้ำประกันพันธ บัตร (APEC Policy Initiative on Development of Securitization and Credit Guarantee Markets) เพื่อเพิ่ม ประสิทธิภาพของตลาดพันธบัตรและความน่าเชื่อถือของพันธบัตรและสนับสนุนการออกผลิตภัณฑ์ทางการเงิน ใหม่ ๆ (New Financial Products) ซึ่งรวมถึงตราสารหนี้ในสกุลเงินท้องถิ่นระยะยาว ตราสารอนุพันธ์ และหลัก ทรัพย์ที่มีสินทรัพย์หนุนหลัง และ (3) ผลกระทบของการจัดตั้งเขตการค้าเสรีที่มีต่อระบบเศรษฐกิจด้านการ เงินและการคลัง (Fiscal and Financial Aspects of Regional Trade Arrangements) ที่ประชุม ฯ รับทราบ ความคืบหน้าของการสนับสนุนการค้าและการลงทุนที่เสรีและเปิดกว้างมากขึ้น โดยผ่านข้อตกลงทางการค้าภูมิ ภาค(Regional Trade Arrangements : RTA) ระหว่างสมาชิกเอเปคและผ่านระบบการค้าพหุภาคีที่เกิดขึ้นในช่วง ระยะเวลา 2 - 3 ปีที่ผ่านมา โดยให้การสนับสนุนการประสานความร่วมมือกันในการจัดทำข้อตกลงการค้าภูมิ ภาคที่แน่นแฟ้นยิ่งขึ้นเพื่อให้บรรลุเป้าหมายโบกอร์และลดต้นทุน ซึ่งเกิดจากข้อตกลงทางการค้าที่หลากหลาย ทั้งนี้ ที่ประชุม ฯ ได้เห็นชอบที่จะร่วมมือกันในการสร้างความสอดคล้องไปในทิศทางเดียวกันของระบบอัตรา ศุลกากรกฎหมายว่าด้วยแหล่งกำเนิดสินค้า และพิธีการศุลกากร เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดความบิดเบือน และในระหว่างการประชุม ฯ ครั้งนี้ ได้มีการประชุมอย่างไม่เป็นทางการระหว่างรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการ คลังเอเปค (Ministerial Retreat) ซึ่งมีการหารือเรื่อง การป้องกันธุรกรรมทางการเงินของผู้ก่อการร้าย และ การพัฒนาตลาดพันธบัตรในภูมิภาค นอกจากนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเอเปคได้หารือร่วมกับกลุ่ม นักการเงินการธนาคาร สภาที่ปรึกษาทางธุรกิจเอเปค และผู้แทนจากสภาความร่วมมือทางเศรษฐกิจในภูมิ ภาคเอเชียแปซิฟิก เกี่ยวกับแนวทางในการสร้างความแข็งแกร่งของระบบการเงิน และการสนับสนุนความร่วม มือทางการเงินในภูมิภาค และการจัดประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเอเปค ครั้งที่ 11 ที่เมืองซานดิ อาโก ชิลี ในระหว่างวันที่ 2-3 กันยายน 2547 |
||||||||||||||||||||||||
2885 | การจัดตั้งสวนสัตว์กลางคืน (โครงการเชียงใหม่ ซาฟารีไนท์) | นร | 09/09/2546 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอให้รองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์)
รับไปเร่งรัดติดตามการดำเนินการเกี่ยวกับการจัดตั้งสวนสัตว์กลางคืน (Safari Night) ขึ้นที่จังหวัดเชียงใหม่ซึ่งจะ เป็นการเพิ่มความหลากหลายของแหล่งท่องเที่ยวของไทยมากขึ้น รวมทั้งจะเป็นเครื่องมือในการสร้างรายได้และ มีส่วนช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจทั้งในระดับท้องถิ่นและระดับชาติ โดยประสานกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและ สิ่งแวดล้อม และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดต่อไป และรายงานผลให้นายกรัฐมนตรีทราบด้วย
|
||||||||||||||||||||||||
2886 | รายงานผลการจัดสัมมนาโครงการ "รัฐบาลสื่อสารสู่สื่อท้องถิ่น" ครั้งที่ 3 | นร | 09/09/2546 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีรายงานผลการจัดสัมมนาโครงการ "รัฐบาล
สื่อสารสู่สื่อท้องถิ่น" ครั้งที่ 3 ที่สำนักโฆษกได้จัดขึ้นเมื่อวันที่ 9 สิงหาคม 2546 ณ จังหวัดพิษณุโลกสรุปได้ว่า การจัด สัมมนาโครงการ "รัฐบาลสื่อสารสู่สื่อท้องถิ่น" ครั้งที่ 3 โดยมีรองนายกรัฐมนตรี (นายจาตุรนต์ ฉายแสง) ซึ่งได้ รับมอบหมายจากนายกรัฐมนตรีให้กำกับการปฏิบัติราชการในพื้นที่เขตตรวจราชการที่ 9 (จังหวัดพิษณุโลก พิจิตร เพชรบูรณ์ แพร่ น่าน และอุตรดิตถ์) เป็นประธาน โดยได้มีการหารือในประเด็นปัญหาและอุปสรรคในการทำงาน ของสื่อมวลชน ความร่วมมือระหว่างโฆษกส่วนกลางกับสื่อมวลชน และข้อชี้แจงการบริหารงานของรัฐบาล ในการนี้ รองนายกรัฐมนตรี (นายจาตุรนต์ ฉายแสง) ได้ร่วมกับโฆษกกระทรวงและผู้ตรวจราชการกระทรวงได้ตอบข้อซักถาม ของสื่อมวลชนในประเด็นปัญหาต่าง ๆ ที่สำคัญ ได้แก่ ปัญหาน้ำท่วมในลุ่มน้ำยมของจังหวัดแพร่ ปัญหาการตัดไม้ ทำลายป่าของจังหวัดแพร่และอุตรดิตถ์ ความเป็นไปได้ในการทำโครงการแก้มลิงเพื่อแก้ปัญหาน้ำท่วม ภัยแล้ง ของ จังหวัดอุตรดิตถ์ การเร่งแก้ไขปัญหาให้กับประชาชนบ้านไผ่ท่าโพธิ์ อำเภอโพธิ์ประทับช้าง จังหวัดพิจิตร ที่เดือดร้อน จากการที่ชลประทานทำพนังกั้นน้ำ กรณีชาวบ้านที่อพยพออกมาจากบริเวณพื้นที่ที่ก่อสร้างเขื่อนสิริกิติ์ ซึ่งประสบ ปัญหาที่ดินทำกินทับซ้อนและขาดแคลนน้ำทำการเกษตรและน้ำอุปโภค บริโภค การเร่งแก้ไขปัญหากลุ่มนายทุนเข้า ไปบุกรุกที่ดินบริเวณเขื่อนแควน้อย จังหวัดพิษณุโลก การเปิดด่านถาวรห้วยโก๋น อำเภอเฉลิมพระเกียรติ จังหวัดน่าน -เมืองเงิน สปป.ลาว ให้เป็นด่านสากล และการเปิดด่านถาวรบริเวณช่องมหาราช (ด่านภูดู่) จังหวัดอุตรดิตถ์ เพื่อ เชื่อมไปยังแขวงไชยบุรี สปป.ลาว ความเป็นไปได้ในการก่อสร้างสะพานที่หมู่บ้านประมงปากนาย อำเภอนาหมื่น จังหวัดน่าน เพื่อเชื่อมโยงไปยังจังหวัดอุตรดิตถ์ และความต้องการแพขนานยนต์เพื่อใช้ข้ามไป-มา จากจังหวัดน่านไป ยังจังหวัดอุตรดิตถ์ ความคืบหน้าในการก่อสร้างเขื่อนแก่งเสือเต้น การขอให้มีสนามบินพาณิชย์ที่บ้านวังยาง ตำบล ผาจุก อำเภอเมือง จังหวัดอุตรดิตถ์ ตลอดจนการแก้ปัญหาด้านบุคลากร วัสดุอุปกรณ์ในการเรียนการสอน สถานที่ ตั้งเขตพื้นที่การศึกษาหลังจากที่มีการแบ่งเขตพื้นที่การศึกษา นอกจากนี้ ยังได้มีข้อซักถามว่า รัฐบาลจะมีแผนปฏิรูป ประชาชนให้มีความพร้อม และตอบสนองต่อการดำเนินงานของรัฐบาลในยุครัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์อย่างไร และการ แก้ปัญหาหวยใต้ดิน โดยทำให้เป็นหวยบนดินที่ถูกต้องตามกฎหมาย นั้น ได้คำนึงถึงผลกระทบต่อคนระดับรากหญ้า หรือไม่ เพราะไม่ได้มีการจำกัดอายุคนซื้อสลาก และจะมีการตรวจสอบผู้ที่เป็นตัวแทนจำหน่ายหวยบนดินว่าเป็นราย เดียวกับเจ้ามือหวยเถื่อนหรือไม่ ทั้งนี้ จากการจัดสัมมนาในครั้งนี้ ได้รับความสนใจจากสื่อมวลชนท้องถิ่นเข้าร่วม สัมมนาจำนวนมาก สื่อมวลชนส่วนใหญ่พอใจและเห็นว่าเป็นการสัมมนาที่ได้ประโยชน์ร่วมกัน รวมทั้งรองนายก รัฐมนตรี (นายจาตุรนต์ ฉายแสง) ประธานการจัดสัมมนาได้ชี้แจงประเด็นข้อซักถามต่าง ๆ ของสื่อมวลชนได้อย่าง ชัดเจน |
||||||||||||||||||||||||
2887 | รายงานผลการติดตามการดำเนินงานปัญหา อุปสรรค การใช้จ่ายเงินขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น | นร | 09/09/2546 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักนายกรัฐมนตรี (สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี) รายงาน
ผลการติดตามการดำเนินงานปัญหาอุปสรรคการใช้จ่ายเงินขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดยผลการเบิกจ่าย เงินขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. 2546 ในส่วนของเงินอุดหนุนทั่วไปที่ไม่มีเงื่อนไขเพื่อ ดำเนินภารกิจตามอำนาจและหน้าที่ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และเงินอุดหนุนทั่วไปที่มีเงื่อนไขเพื่อดำเนิน ภารกิจที่สอดคล้องกับแผนปฏิบัติการกำหนดขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีการเบิก จ่ายทั้งสิ้น 11,563.1025 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 46.34 ของเงินอุดหนุนทั่วไปทั้งหมด (24,926.997 ล้านบาท) ซึ่งสาเหตุที่เงินอุดหนุนดังกล่าวมีการเบิกจ่ายได้น้อยกว่าที่ตั้งเป้าหมายไว้ เนื่องจากการกำหนดให้ใช้ เงินอุดหนุนทั่วไปในลักษณะงบลงทุนทำให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นไม่มีความคล่องตัวในการใช้จ่ายงบประมาณ เพราะองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นหลายแห่งมีความจำเป็นต้องใช้เงินอุดหนุนทั่วไปบางส่วนเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการ บริหารงานในลักษณะงบประจำ รวมทั้งการกำหนดให้ต้องเบิกจ่ายในลักษณะงบลงทุน ซึ่งองค์กรปกครองส่วน ท้องถิ่นจะเบิกเงินได้เมื่อมีหนี้ และหนี้ถึงกำหนดหรือใกล้ถึงกำหนดครบชำระทำให้ยอดการเบิกจ่ายเงินมีน้อยมาก นอกจากนี้ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นส่วนใหญ่ต้องเสียเวลาแก้ไขปรับปรุงข้อบัญญัติงบประมาณรายจ่ายหรือจัดทำ งบประมาณเพิ่มเติม ซึ่งบางแห่งยังไม่สามารถดำเนินการได้ เนื่องจากมีปัญหากับสภาท้องถิ่น และปัญหาความพร้อม ของโครงการที่มิได้จัดเตรียมไว้ล่วงหน้าทำให้ไม่สามารถใช้จ่ายเงินได้ตามปกติ |
||||||||||||||||||||||||
2888 | การปรับปรุงโครงสร้างส่วนราชการในระยะต่อไป | นร | 09/09/2546 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) เสนอว่า การปรับปรุงโครงสร้าง
ส่วนราชการ ในส่วนของการจัดโครงสร้างและการแบ่งอำนาจหน้าที่ความรับผิดชอบของบางหน่วยงานในการปฏิบัติ งานจริงยังมีความซ้ำซ้อน และขาดความเชื่อมโยงระหว่างกันอยู่บ้าง อีกทั้งในขณะดำเนินการเรื่องนี้เมื่อปีก่อน (2545) ยังขาดความเชื่อมโยงกับกฎหมายว่าด้วยการศึกษาแห่งชาติ และกฎหมายว่าด้วยแผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจ แก่ท้องถิ่น ซึ่งเป็นการดำเนินการตามบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญคนละส่วนกันกับการปฏิรูประบบราชการ สมควรที่ จะดำเนินการปรับปรุงโครงสร้างของส่วนราชการในส่วนนี้อีกครั้งหนึ่ง ซึ่งในขณะนี้ได้มอบให้สำนักงานคณะกรรม การพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.) รับไปพิจารณาดำเนินการแล้วโดยในชั้นนี้เป็นเพียงการศึกษาปัญหาและอุปสรรค รวมทั้งแนวทางการแก้ปัญหากว้าง ๆ เท่านั้นว่า จะต้องใช้มาตรการทางบริหารหรือนิติบัญญัติ ซึ่งเมื่อ ก.พ.ร. ดำเนิน การเสร็จแล้ว จะได้นำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป โดยให้รับข้อสังเกตของคณะรัฐมนตรีไปประกอบการดำเนิน การของ ก.พ.ร. ด้วย ดังนี้ การปรับปรุงโครงสร้างส่วนราชการที่ได้ดำเนินการและประกาศใช้พระราชบัญญัติปรับ ปรุงกระทรวง ทบวง กรม พ.ศ. 2545 ไปแล้วนั้น นับเป็นการดำเนินการในระยะแรก หาก ก.พ.ร. ได้พิจารณา ประกอบข้อเท็จจริงที่เป็นอยู่ในปัจจุบันแล้ว เห็นสมควรปรับปรุงแก้ไขโครงสร้างประการใดเพื่อให้เกิดความเหมาะสม สมบูรณ์ และมีประสิทธิภาพสูงสุดของระบบราชการก็ให้ดำเนินการได้ สำหรับกระทรวงมหาดไทยซึ่งเป็นกระทรวง ใหญ่แต่มีหน่วยงานและกลไกซึ่งสามารถเชื่อมโยงการดำเนินการตามนโยบายของรัฐ จากส่วนกลางลงสู่พื้นที่ได้สัม ฤทธิ์ผลอย่างรวดเร็ว เช่น นโยบายปราบปรามยาเสพติด เป็นต้น ดังนั้น หากจำเป็นจะต้องปรับโครงสร้างของ กระทรวงมหาดไทยให้กะทัดรัดและเข้มแข็งก็ควรต้องให้คงความสามารถในการเชื่อมโยงการดำเนินการตามนโยบาย ไว้ และควรปรับปรุงให้กระทรวงมหาดไทยสามารถดำเนินการตามภารกิจในด้านการรักษาความสงบเรียบร้อยได้ อย่างมีประสิทธิภาพด้วย ในส่วนของกระทรวงศึกษาธิการ อาจจะต้องพิจารณาปรับปรุงอำนาจหน้าที่บางประการ ตามพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 ให้ชัดเจนเหมาะสม เพื่อให้สามารถดำเนินการด้านต่าง ๆ ได้ อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นด้วย |
||||||||||||||||||||||||
2889 | รายงานผลการพิจารณาศึกษาระบบการประกันคุณภาพการศึกษาตามพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 | สผ | 09/09/2546 | |||||||||||||||||||||
รับทราบตามที่กระทรวงศึกษาธิการและสำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพ
การศึกษา (สมศ.) (องค์การมหาชน) รายงานผลการดำเนินการตามรายงานผลการพิจารณาศึกษาระบบการ ประกันคุณภาพการศึกษาตามพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 ของคณะกรรมาธิการการศึกษา สภาผู้แทนราษฎร โดยคณะกรรมาธิการ ฯ ได้พิจารณาเรื่องดังกล่าวแล้วมีข้อสังเกตว่า การพัฒนาระบบประกัน คุณภาพทั้งภายในและภายนอก ไม่สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 โดยขาดความเชื่อมโยงของระบบประกันคุณภาพภายใน คุณภาพภายนอก การศึกษาขั้นพื้นฐานและอุดมศึกษา ระบบประกันคุณภาพการศึกษาขั้นพื้นฐานและอุดมศึกษาในสถานศึกษาของรัฐและเอกชน รวมทั้งท้องถิ่น ขาด มาตรฐานกลาง ความสอดคล้องและความยืดหยุ่นที่เหมาะสมกับท้องถิ่น ผู้ประเมินภายนอกอยู่ในวงจำกัด ขาด หลักการที่ชัดเจนของการจัดผู้ประเมินภายนอก และยังไม่มีความชัดเจนของการประกันคุณภาพของการศึกษา นอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย และยังขาดความเข้าใจที่ถูกต้องตรงกันของการประกันคุณภาพ จึงเห็น ควรปรับปรุงระบบหลักเกณฑ์และวีธีการประกันคุณภาพตามประกาศกระทรวงศึกษาธิการให้เป็นไปตามมาตรา 47 ของพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 ให้มีความเชื่อมโยงทั้งระบบประกันคุณภาพภายในและ ภายนอกและระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานกับระดับอุดมศึกษาควรกำหนดมาตรฐานการศึกษาและตัวบ่งชี้ของการ ศึกษาทั้งระดับขั้นพื้นฐานและอุดมศึกษาต่างสังกัด ให้มีการยืดหยุ่นและเหมาะสมกับท้องถิ่นและให้มีมาตรฐาน กลางซึ่งสะท้อนคุณภาพที่แท้จริง สำหรับองค์ประกอบของคณะผู้ประเมินภายนอกควรมีความหลากหลายและมี ความเป็นผู้แทนภาคประชาชน ตัวแทนชุมชน และผู้ปกครอง ทั้งนี้ แจ้งให้สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ทราบต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
2890 | การจัดสรรรายได้ให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ปีงบประมาณ พ.ศ. 2547 | นร | 09/09/2546 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีรายงานผลการดำเนินงานเรื่อง
การจัดสรรรายได้ให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ปีงบประมาณ พ.ศ. 2547 สรุปได้ดังนี้ ตามที่คณะรัฐมนตรี ได้มีมติเมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม 2546 รับทราบหลักเกณฑ์การจัดสรรภาษีอากรและค่าธรรมเนียมให้แก่องค์กร ปกครองส่วนท้องถิ่น ปีงบประมาณ พ.ศ. 2547 และให้รองนายกรัฐมนตรี (นายจาตุรนต์ ฉายแสง) และหน่วย งานที่เกี่ยวข้องรับข้อเสนอของคณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (กกถ.) ที่จะ ปรับลดวงเงินอุดหนุนเฉพาะกิจไปเพิ่มเป็นเงินอุดหนุนทั่วไปในวงเงิน 3,000 ล้านบาท ไปพิจารณาแล้วนำเสนอ นายกรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบ และให้ดำเนินการต่อไปได้ นั้น ผลการดำเนินงานซึ่งได้มีการประชุมปรึกษาใน เรื่องดังกล่าว ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณยืนยันว่า สำนักงบประมาณไม่สามารถปรับลดเงินอุดหนุนที่ตั้งไว้ สำหรับกรุงเทพมหานคร และยอดเงินอุดหนุนเฉพาะกิจที่จัดสรรสำหรับโครงการตามยุทธศาสตร์และนโยบาย เร่งด่วนของรัฐบาลตามมติ กกถ. ได้ แต่สามารถปรับเปลี่ยนรายละเอียดการจัดสรรโครงการตามยุทธศาสตร์ ฯ ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นแต่ละแห่งเพื่อมิให้มีการกระจุกตัว และจากกรณีดังกล่าวจึงมีผลกระทบต่อการ จัดสรรภาษีอากรและค่าธรรมเนียมให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ดังนั้น กกถ. จึงมีมติเห็นชอบให้ทบทวน หลักเกณฑ์การจัดสรรภาษีอากรและค่าธรรมเนียมให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ปีงบประมาณ พ.ศ. 2547 รวมทั้งเห็นชอบหลักเกณฑ์การจัดสรรเงินอุดหนุนทั่วไปเพื่อลดช่องว่างทางการคลัง ให้แก่ เทศบาล อบจ. และ อบต. ปีงบประมาณ พ.ศ. 2547 จำนวน 23,855.3829 ล้านบาท และกรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่นได้ รายงานผลการดำเนินการจัดสรรงบประมาณในส่วนของเงินอุดหนุนเฉพาะกิจ โดยกระทรวงมหาดไทยได้จัดส่ง บัญชีโครงการเงินอุดหนุนเฉพาะกิจเพื่อพัฒนาองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นตามยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศ และแผนงานส่งเสริมและพัฒนาการท่องเที่ยวให้สำนักงบประมาณแล้ว และได้แจ้งให้คณะกรรมาธิการวิสามัญ พิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2547 ทราบด้วยแล้ว |
||||||||||||||||||||||||
2891 | กระทู้ถามที่ 1031 ร. เรื่อง ขอให้กรมพัฒนาที่ดินเร่งดำเนินการบูรณะ ปรับปรุงพัฒนาแหล่งน้ำในพื้นที่ทำการเกษตรและอื่น ๆ ทั่วประเทศ เพื่อส่งเสริมให้แก่ราษฎรมีอาชีพ มีงานทำ มีรายได้ แก้ปัญหาความเดือดร้อนให้กับราษฎร | สผ | 02/09/2546 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอคำตอบกระทู้ถามที่ 1031 ร. เรื่อง
ขอให้กรมพัฒนาที่ดินเร่งดำเนินการบูรณะ ปรับปรุง พัฒนาแหล่งน้ำในพื้นที่ทำการเกษตรและอื่น ๆ ทั่วประเทศ เพื่อส่งเสริมให้แก่ราษฎรมีอาชีพ มีงานทำ มีรายได้ แก้ปัญหาความเดือดร้อนให้กับราษฎร ของนายนิยม วรปัญญา สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดลพบุรี และให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป โดยสาระสำคัญของคำตอบสรุป ได้ว่า (1) รัฐบาลมีนโยบายและแผนงานบูรณะ ปรับปรุง พัฒนาแหล่งน้ำในพื้นที่ทำการเกษตรและที่ดินให้กับ ราษฎรในภาพรวม โดยการบูรณะ ปรับปรุง และพัฒนาแหล่งน้ำในพื้นที่ทำการเกษตรในกรณีที่เป็นแหล่งน้ำขนาด เล็กทั้งโครงการที่ได้ดำเนินการไปแล้ว และโครงการที่อยู่ในแผนงาน ซึ่งรัฐบาลได้ถ่ายโอนภารกิจให้กับองค์กรปก ครองส่วนท้องถิ่นเป็นผู้รับผิดชอบ พร้อมทั้งถ่ายโอนงบประมาณในการดำเนินการผ่านสำนักนายกรัฐมนตรี เพื่อ จัดสรรให้กับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นไปดำเนินการตามที่ต้องการต่อไป สำหรับงานโครงการขนาดกลาง และ ขนาดใหญ่ที่ดำเนินการโดยหน่วยงานต่าง ๆ ได้มอบให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องดำเนินการต่อไป นอกจากนี้ ใน การพัฒนาที่ดินทำกินให้กับราษฎรได้มีการวางแผนการใช้ที่ดินอย่างมีประสิทธิภาพ และจัดการที่ดินที่รกร้างว่าง เปล่าให้เกิดประโยชน์สูงสุด มีแผนการพัฒนาและอนุรักษ์ทั้งดินและน้ำ ป้องกันการชะล้างและพังทลายของดิน ฯลฯ (2) ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2547 กรมพัฒนาที่ดินได้จัดสรรงบประมาณเพื่อการดำเนินการแผนงาน/โครง การพัฒนาแหล่งน้ำ เป็นจำนวน 10,275 แห่ง โดยเน้นการกระจายให้แก่ราษฎรอย่างทั่วถึงในพื้นที่ที่มีปัญหาการ ขาดแคลนน้ำ มีศักยภาพที่จะพัฒนาแหล่งน้ำ และเกษตรกรมีความพร้อมในการร่วมพัฒนากับภาครัฐ และพร้อมที่ จะบริหารจัดการการใช้ประโยชน์และบูรณะฟื้นฟูแหล่งน้ำที่สร้างขึ้นได้อย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ การส่งเสริมพื้นที่ทำการ เกษตรและแหล่งน้ำ ประกอบด้วย แผนงาน/โครงการ 4 เรื่องหลัก ได้แก่ การก่อสร้างแหล่งน้ำขนาดเล็กเพื่อการ เกษตรกรรม การปรับปรุงพื้นที่และจัดทำระบบส่งน้ำในไร่นา การปรับปรุงแหล่งน้ำธรรมชาติเพื่อเป็นแหล่งผลิต ชุมชน และการก่อสร้างแหล่งน้ำในไร่นาของเกษตรกร นอกจากนี้ ในช่วงปี พ.ศ. 2546 - 2549 ยังมีเป้าหมาย ในการอนุรักษ์ดินและน้ำในพื้นที่ไม่น้อยกว่า 15 ล้านไร่ พร้อมทั้งพัฒนาแหล่งน้ำเพื่อการเกษตรอีกประมาณ 141,100 ไร่ |
||||||||||||||||||||||||
2892 | กระทู้ถามที่ 1063 ร. เรื่อง นโยบายการจัดหลักสูตรการศึกษาด้านการคุ้มครองแรงงานและการแรงงานสัมพันธ์ไว้ในแผนการศึกษาแห่งชาติ | สผ | 02/09/2546 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอคำตอบกระทู้ถามที่ 1063 ร.
เรื่อง นโยบายการจัดหลักสูตรการศึกษาด้านการคุ้มครองแรงงานและการแรงงานสัมพันธ์ไว้ในแผนการศึกษา แห่งชาติ ของนายเปรมศักดิ์ เพียยุระ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดขอนแก่น และให้ประกาศในราชกิจจา นุเบกษาต่อไป โดยสาระสำคัญของคำตอบสรุปได้ว่า รัฐบาลได้จัดทำแผนการศึกษาแห่งชาติ (พ.ศ. 2545 - 2559) โดยในแผนดังกล่าวเป็นแผนระยะยาว 15 ปี ชี้นำการดำเนินงานปฏิรูปการศึกษาของประเทศ โดยการ กำหนดกรอบแนวทางในการจัดทำแผนพัฒนาการศึกษาขั้นพื้นฐาน แผนพัฒนาการอาชีวศึกษา และแผน พัฒนาการอุดมศึกษา ซึ่งส่วนใหญ่เป็นแผนพัฒนาระยะปานกลาง 5 ปี ที่มีสาระหรือแผนงานหลักสำหรับการ จัดทำแผนปฏิบัติการ ซึ่งมีรายละเอียดของงาน โครงการ และกิจกรรมการดำเนินงานของหน่วยปฏิบัติ เพื่อให้ บรรลุตามวัตถุประสงค์และเป้าหมายของการปฏิรูปการศึกษาที่สอดคล้องต่อเนื่องกันทั้งประเทศ ดังนั้น แผน การศึกษาแห่งชาติ จึงไม่ได้มีการกล่าวถึงการจัดหลักสูตรการศึกษาเรื่องการคุ้มครองแรงงานและการแรงงาน สัมพันธ์ หรือหลักสูตรเรื่องใดเรื่องหนึ่งไว้เป็นการเฉพาะ แต่ได้กำหนดให้มีการพัฒนาหลักสูตรแกนกลางให้มี สาระของความรู้ที่สอดคล้องกับการดำรงชีวิตในสังคมเศรษฐกิจฐานความรู้และการแข่งขันในสังคมโลก รวมทั้ง การจัดกระบวนการเรียนรู้อย่างรอบด้านของผู้เรียน เพื่อให้ผู้เรียนเป็นคนเก่งที่พัฒนาตนเองได้อย่างเต็มตาม ศักยภาพ เป็นคนดี และมีความสุข สำหรับการศึกษาด้านการคุ้มครองแรงงานและแรงงานสัมพันธ์ ได้อยู่ ในหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2544 เป็นมาตรฐานการเรียนรู้อย่างกว้าง ๆ สถานศึกษา สามารถจัดการเรียนรู้ให้ครอบคลุมและหลากหลายได้ ซึ่งการกำหนดสาระการเรียนรู้ด้านการคุ้มครองแรง งานและแรงงานสัมพันธ์เป็นการเฉพาะนั้น สถานศึกษาสามารถจัดการตามสภาพท้องถิ่นของตนโดยต้องร่วม มือกันหลายฝ่ายเพื่อจะได้ครอบคลุมและเห็นผลเป็นรูปธรรม และในสถาบันอุดมศึกษาก็ได้มีการเปิดสอนและ พัฒนาหลักสูตรการวิจัยเกี่ยวข้องด้านแรงงานและแรงงานสัมพันธ์ ซึ่งนักศึกษาสามารถเลือกวิชาศึกษาได้ตาม ความถนัดและความสนใจที่สอดคล้องกับความต้องการที่จะนำไปใช้ในการประกอบอาชีพต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
2893 | กระทู้ถามที่ 1093 ร. เรื่อง ปัญหายาเสพติดที่ระบาดอยู่ตามสถานศึกษาทั่วประเทศ | สผ | 02/09/2546 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอคำตอบกระทู้ถามที่ 1093 ร.
เรื่อง ปัญหายาเสพติดที่ระบาดอยู่ตามสถานศึกษาทั่วประเทศ ของนายศิริ หวังบุญเกิด สมาชิกสภาผู้แทน ราษฎรจังหวัดกรุงเทพมหานคร และให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป โดยสาระสำคัญของคำตอบสรุป ได้ว่า กระทรวงสาธารณสุขได้ดำเนินโครงการโรงเรียนตัวอย่าง เพื่อเป็นต้นแบบของโครงการโรงเรียนสีขาว และกระทรวงศึกษาธิการเป็นผู้ดำเนินการ โดยกำหนดมาตรการป้องกันและปราบปรามการแพร่ระบาดของ ยาเสพติด และอบายมุขต่าง ๆ ในสถานศึกษา เพื่อเป็นการสร้างภูมิคุ้มกัน โดยจัดตั้งเครือข่ายโรงเรียนสีขาว ประจำโรงเรียนในรูปแบบองค์การ 4 ประสาน 2 ค้ำ ซึ่ง 4 ประสาน ได้แก่ ผู้แทนผู้บริหาร ผู้แทนครู ผู้แทน ผู้ปกครอง และผู้แทนนักเรียน ส่วน 2 ค้ำ ได้แก่ ผู้แทนผู้นำชุมชน และผู้นำภูมิปัญญาท้องถิ่น ปัจจุบันโครง การโรงเรียนสีขาวเป็นกิจกรรมทางเลือกที่ให้สถานศึกษาทุกโรงเรียนทุกสังกัดดำเนินการในการรณรงค์ป้อง กันและแก้ไขปัญหายาเสพติดในสถานศึกษา นอกจากนี้ รัฐบาลโดยกระทรวงศึกษาธิการ ได้จัดทำโครงการ ศึกษาสภาพปัญหาการใช้สารเสพติดของนักเรียนมัธยมศึกษา พ.ศ. 2545 เพื่อนำมาเป็นข้อมูล โดยระยะ แรกจะทำการสุ่มตัวอย่างเพื่อกำหนดสถานศึกษาที่จะดำเนินการเก็บข้อมูล ส่วนระยะที่สองเป็นการเตรียม ความพร้อมและนัดหมายแหล่งข้อมูล สำหรับเป้าหมายป้องกันและปราบปรามการแพร่ระบาดของยาเสพติด ตามสถานศึกษาทั่วประเทศ นั้น กระทรวงศึกษาธิการ และกระทรวงสาธารณสุข ได้ดำเนินการในส่วนต่าง ๆ ได้แก่ การจัดกิจกรรมรณรงค์ ประชาสัมพันธ์ เพื่อให้นักเรียน/นักศึกษา ตระหนักถึงสถานการณ์ความรุน แรงของปัญหายาเสพติด ปรับปรุงแบบสำรวจสภาพการใช้สารเสพติดในสถานศึกษาเพื่อคัดกรอง แยกเด็ก นักเรียน นักศึกษาออกเป็นกลุ่ม คือ กลุ่มที่ไม่เคยใช้สารเสพติด กลุ่มที่ใช้สารเสพติด กลุ่มที่ติดยาและบำบัด แล้ว กลุ่มที่สงสัยว่าค้า และกลุ่มที่ใช้เหล้า/บุหรี่ รวมทั้งได้ดำเนินการเกี่ยวกับการสร้างภูมิคุ้มกันและการเฝ้า ระวังเด็กและเยาวชนที่ยังไม่เคยใช้สารเสพติดให้มีภูมิคุ้มกันที่ดี ไม่เข้าไปเกี่ยวข้องกับยาเสพติด |
||||||||||||||||||||||||
2894 | กระทู้ถามที่ 020 ร. เรื่อง การปฏิบัติหน้าที่ของกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน กับองค์การบริหารส่วนตำบล | สว | 02/09/2546 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอคำตอบกระทู้ถามที่ 120 ร. เรื่อง การปฏิบัติ
หน้าที่ของกำนัน ผู้ใหญ่บ้านกับองค์การบริหารส่วนตำบล ของนายจำเจน จิตรธร สมาชิกวุฒิสภาจังหวัดสุโขทัย และให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป โดยสาระสำคัญของคำตอบสรุปได้ว่า กระทรวงมหาดไทยโดยกรมการ ปกครอง และกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นมีแนวทางในการดำเนินการเกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ของกำนัน ผู้ ใหญ่บ้านกับองค์การบริหารส่วนตำบล โดยได้ซักซ้อมความเข้าใจเกี่ยวกับบทบาทอำนาจหน้าที่ของแต่ละฝ่ายที่ กฎหมายกำหนดไว้ เพื่อให้เกิดความชัดเจนในการปฏิบัติงานของแต่ละฝ่าย และเป็นการลดปัญหาความขัดแย้ง ที่อาจเกิดขึ้น กำหนดแนวทางการดำเนินการร่วมกัน และเมื่อถ่ายโอนภารกิจให้กับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพิ่มขึ้นแล้ว กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน จะต้องลดบทบาทที่เคยได้รับมอบหมายในการทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยเหลือราชการ ส่วนกลางและส่วนภูมิภาค การที่กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน จะเข้าไปมีบทบาทในการประสานงานเพื่อสนับสนุนการ ปฏิบัติงานขององค์การบริหารส่วนตำบล นั้น ตามระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยการวางแผนพัฒนาองค์กร ปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2541 กำหนดให้กำนันในเขตพื้นที่ที่เป็นกรรมการพัฒนาองค์การบริหารส่วนตำบล เป็นการเปิดโอกาสให้เสนอแนะในการวางแผนพัฒนาตำบล ให้สอดคล้องกับความต้องการของประชาชนได้อย่าง แท้จริง และได้แต่งตั้งคณะกรรมการปรับปรุงแก้ไขและกำหนดบทบาทหน้าที่ของกำนัน ผู้ใหญ่บ้านให้สอดคล้อง กับสถานการณ์ปัจจุบัน นอกจากนี้ ยังมีนโยบายและแผนที่จะปรับปรุงอำนาจหน้าที่ ตลอดจนบทบาทของกำนัน ผู้ใหญ่บ้านกับองค์การบริหารส่วนตำบล โดยปรับปรุงแก้ไขพระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่ พระพุทธ ศักราช 2457 รวมทั้งกำหนดแนวคิดในการออกระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยการบูรณาการการปฏิบัติ ระหว่างกำนัน ผู้ใหญ่บ้านกับองค์การบริหารส่วนตำบล และกำหนดแนวคิดในการแก้ไขกฎหมายและระเบียบข้อ บังคับของกระทรวงมหาดไทย |
||||||||||||||||||||||||
2895 | กระทู้ถามที่ 417 เรื่อง นโยบายปลูกป่า | สผ | 02/09/2546 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอคำตอบกระทู้ถามที่ 417 ร.
เรื่อง นโยบายปลูกป่า ของนายบุญเติม จันทะวัฒน์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดร้อยเอ็ด และมอบให้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ตอบในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรต่อไป โดยสาระสำคัญของคำ ตอบสรุปได้ว่า การควบคุมและจัดการทรัพยากรป่าไม้มีกฎหมายหลายฉบับที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ พระราชบัญญัติ ป่าไม้พุทธศักราช 2484 พระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2504 พระราชบัญญัติป่าไม้สงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507 และพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2535 ปัจจุบันกรมป่าไม้รับผิดชอบดำเนิน การในส่วนของการควบคุมและจัดการทรัพยากรป่าไม้ ภายใต้พระราชบัญญัติป่าไม้ พุทธศักราช 2484 เพียง ฉบับเดียว มีวิธีการควบคุมโดยการควบคุมการทำไม้และเก็บหาของป่าในพื้นที่ป่า การควบคุมไม้และของป่า ระหว่างพื้นที่การควบคุมการแปรรูปไม้ เพื่อมิให้มีการกระทำความผิดกฎหมาย และดำเนินการตามกฎหมาย สำหรับผู้กระทำผิดโดยเน้นการมีส่วนร่วมของประชาชน องค์กรประชาชนท้องถิ่นในการอนุรักษ์และฟื้นฟูพื้น ที่ป่าในรูปของป่าชุมชน และขณะนี้อยู่ระหว่างการออกระเบียบอนุญาตให้ประชาชน องค์กรประชาชนใช้พื้นที่ ป่าเพื่อปลูกไม้เศรษฐกิจ เพื่อเพิ่มพื้นที่ป่าของประเทศ มีไม้ใช้สอยภายในประเทศ และเป็นสินค้าจำหน่าย ต่างประเทศ นอกจากนี้ รัฐบาลยังได้มีนโยบายส่งเสริมให้เกษตรกรและภาคเอกชนเข้ามามีส่วนร่วมในการ ปลูกป่า โดยการออกพระราชบัญญัติสวนป่า พ.ศ. 2535 มาใช้เพื่อให้ผู้ปลูกป่ามีความมั่นใจในสิทธิประโยชน์ ที่จะได้รับจากการปลูกสร้างสวนป่า ซึ่งในปี พ.ศ. 2537 กรมป่าไม้ได้เริ่มดำเนินโครงการส่งเสริมปลูกไม้ เศรษฐกิจ ระยะเวลาดำเนินการ 12 ปี (ปี พ.ศ. 2537-2548) โดยตั้งแต่เริ่มต้นโครงการจนถึงปัจจุบัน (ปี พ.ศ. 2537-2545) มีผู้เข้าร่วมโครงการทั้งสิ้น 167,647 ราย มีบางส่วนได้ยกเลิกการปลูกและบำรุงป่า และได้มีการส่งเสริมจัดตั้งสหกรณ์สวนป่าภาคเอกชน ซึ่งได้มีการจัดตั้ง ฯ ไปแล้ว จำนวน 36 แห่ง ใน 35 จังหวัด |
||||||||||||||||||||||||
2896 | กระทู้ถามที่ 1079 ร. เรื่อง การจัดตั้งกิ่งอำเภอ | สผ | 02/09/2546 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอคำตอบกระทู้ถามที่ 1079 ร. เรื่อง การจัดตั้งกิ่ง
อำเภอของนายเสกสรรค์ แสนภูมิ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดสุรินทร์ และให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อ ไป โดยสาระสำคัญของคำตอบสรุปได้ว่า ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม 2541 เห็นชอบให้ระงับ การจัดตั้งกิ่งอำเภอและอำเภอขึ้นใหม่ ตามความเห็นของคณะกรรมการปฏิรูประบบราชการ ที่เห็นว่า การจัดตั้งส่วน ราชการในภูมิภาคขึ้นใหม่ จะไม่สอดคล้องกับนโยบายการควบคุมจำนวนข้าราชการ จำนวนส่วนราชการและการ กระจายอำนาจให้ท้องถิ่นตามรัฐธรรมนูญ รวมทั้งมติคณะรัฐมนตรีในระยะต่อ ๆ มา ได้เห็นชอบให้ระงับการจัดตั้ง หน่วยงานใหม่ และขยายเวลาบังคับใช้มาตรการดังกล่าวถึงสิ้นปีงบประมาณ พ.ศ. 2546 กระทรวงมหาดไทย จึงได้ ระงับการจัดตั้งกิ่งเภอและอำเภอใหม่ไว้ก่อน จึงไม่อาจพิจารณาเสนอขอตั้งกิ่งอำเภอขึ้นใหม่ในขณะนี้ได้ เนื่องจากไม่ สอดคล้องกับมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าว |
||||||||||||||||||||||||
2897 | กระทู้ถามที่ 1172 ร. เรื่อง การก่อสร้างถนนลาดยางเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของราษฎร และ กระทู้ถามที่ 1174 ร. เรื่อง ถนนสายบ้านห้วยเหิน - แก่งบัวคำ ตำบลสวนเมี่ยง อำเภอชาติตระการ จังหวัดพิษณุโลก | สผ | 02/09/2546 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอคำตอบกระทู้ถามที่ 1172 ร. เรื่อง การ
ก่อสร้างถนนลาดยางเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของราษฎร ของนายกริช กงเพชร สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดมหาสารคาม และกระทู้ถามที่ 1174 ร. เรื่อง ถนนสายบ้านห้วยเหิน-แก่งบัวคำ ตำบลสวนเมี่ยง อำเภอ ชาติตระการ จังหวัดพิษณุโลก ของนายนคร มาฉิม สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดพิษณุโลก และให้ประกาศ ในราชกิจจานุเบกษาต่อไป โดยสาระสำคัญของคำตอบกระทู้ถามที่ 1172 ร. สรุปได้ว่า กระทรวงคมนาคมได้ มอบหมายให้กรมทางหลวงชนบทตรวจสอบถนนสายบ้านมะค่า-บ้านใคร่นุ่น ตำบลมะค่า อำเภอกันทรวิชัย จังหวัดมหาสารคาม พบว่า ถนนสายทางดังกล่าวได้ดำเนินการก่อสร้างเป็นทางผิวจราจรลาดยาง ระยะทาง 2.090 กิโลเมตร ส่วนที่เหลือเป็นทางผิวลูกรัง ระยะทาง 4.610 กิโลเมตร เป็นสายทางที่อยู่ในความรับผิดชอบ ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นซึ่งรัฐบาลได้จัดสรรงบประมาณอุดหนุนให้ทุกปีในการก่อสร้างและบำรุงรักษา เพื่อประชาชนสามารถใช้เป็นทางสัญจรได้อย่างปลอดภัย ทั้งนี้ กรมทางหลวงไม่สามารถคาดการณ์ได้ว่าองค์ กรปกครองส่วนท้องถิ่นจะดำเนินการได้เมื่อใด อย่างไรก็ตาม ถนนทุกสายที่กรมทางหลวงชนบทได้ถ่ายโอน ให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นนั้นจะผลักดันให้มีการสนับสนุนงบประมาณเพื่อบำรุงรักษาประจำปี และบูรณะ ซ่อมแซมให้ใช้การได้ดี โดยจะพิจารณาจัดทำแผนประจำปี พ.ศ. 2547 โครงการดังกล่าวให้ท้องถิ่น เพื่อเสนอ หน่วยงานรับผิดชอบให้จัดสรรงบประมาณอุดหนุนต่อไป และกระทู้ถามที่ 1174 ร. สรุปได้ว่า กระทรวง คมนาคม ได้มอบหมายให้กรมทางหลวงชนบทตรวจสอบถนนสาย พล 3046 บ้านแก่งบัวคำ-บ้านห้วยเหิน ตำบลสวนเมี่ยง อำเภอชาติตระการ จังหวัดพิษณุโลก พบว่า ได้ก่อสร้างเป็นทางลาดยาง ถึงปีงบประมาณ พ.ศ. 2546 รวมระยะทาง 9.188 กิโลเมตร สำหรับส่วนที่ยังไม่ได้ก่อสร้างเป็นทางลาดยางอีกระยะทาง 13.820 กิโลเมตร กรมทางหลวง ฯ จะพิจารณาถึงความจำเป็นเร่งด่วน ประโยชน์ที่ประชาชนได้รับ แล้วจัด ลำดับความสำคัญเพื่อจัดเข้าแผนงานตามงบประมาณที่ได้รับจัดสรรจากรัฐบาลต่อไป และเพื่อบรรเทาความ เดือดร้อนของประชาชนในพื้นที่ จะมอบหมายให้สำนักงานทางหลวงชนบทจังหวัดพิษณุโลกดำเนินการบูรณะ และซ่อมแซมบำรุงรักษาเป็นการชั่วคราว |
||||||||||||||||||||||||
2898 | กระทู้ถามที่ 1179 ร. เรื่อง ขอให้ตั้งกิ่งอำเภอม่วงค่อม โดยนำตำบลม่วงค่อม ตำบลห้วยหิน ตำบลเขาแหลม ตำบลมะกอกหวานมารวมกัน | สผ | 02/09/2546 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอคำตอบกระทู้ถามที่ 1179 ร. เรื่อง ขอให้ตั้ง
กิ่งอำเภอม่วงค่อม โดยนำตำบลม่วงค่อม ตำบลห้วยหิน ตำบลเขาแหลม ตำบลมะกอกหวานมารวมกัน ของนาย นิยม วรปัญญา สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดลพบุรี และให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป โดยสาระ สำคัญของคำตอบสรุปได้ว่า ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม 2541 เห็นชอบให้ระงับการจัดตั้ง กิ่งอำเภอและอำเภอขึ้นใหม่ ตามความเห็นของคณะกรรมการปฏิรูประบบราชการ ที่เห็นว่าการจัดตั้งส่วนราช การในภูมิภาคขึ้นใหม่ จะไม่สอดคล้องกับนโยบายการควบคุมจำนวนข้าราชการ จำนวนส่วนราชการ และการ กระจายอำนาจให้ท้องถิ่นตามรัฐธรรมนูญ รวมทั้งมติคณะรัฐมนตรีในระยะต่อ ๆ มา ได้เห็นชอบให้ระงับการจัด ตั้งหน่วยงานใหม่ และขยายเวลาบังคับใช้มาตรการดังกล่าวจนถึงสิ้นปีงบประมาณ พ.ศ. 2546 กระทรวงมหาด ไทยจึงได้ระงับการจัดตั้งกิ่งอำเภอและอำเภอขึ้นใหม่ไว้ก่อน จึงไม่สามารถเสนอขอตั้งเป็นกิ่งอำเภอม่วงค่อมใน ขณะนี้ได้ เนื่องจากไม่สอดคล้องกับมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าว |
||||||||||||||||||||||||
2899 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (นโยบายการพัฒนาการประมงแห่งชาติ พ.ศ. 2545 - 2549) | นร | 02/09/2546 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่สภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอความเห็นและข้อเสนอ
แนะของสภาที่ปรึกษาฯ เกี่ยวกับนโยบายการพัฒนาการประมงแห่งชาติ (พ.ศ. 2545-2549) และให้กระทรวง เกษตรและสหกรณ์ประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อจัดทำรายงานผลการพิจารณาหรือผลการดำเนินการ เสนอสภาที่ปรึกษาฯ และเปิดเผยให้สาธารณชนทราบด้วย ทั้งนี้ ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ ประกอบด้วย (1) นโยบายพัฒนาเกษตรกรประมงและองค์กรที่เกี่ยวข้อง โดยใช้หลักการเศรษฐกิจพอเพียงและ สมดุลธรรมชาติ เป็นบรรทัดฐานกำหนดแผนงานและเป้าหมาย (2) ยกเลิกการใช้เครื่องมืออวนรุนทำการ ประมงในประเทศไทย ตามสภาพความพร้อมของท้องถิ่น (3) เร่งรัดปรับปรุงแก้ไขพระราชบัญญัติการประมง พ.ศ. 2490 กฎหมายระเบียบและข้อบังคับอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องให้ทันสมัย (4) จัดตั้งคณะกรรมการร่วมระหว่างตัว แทนชาวประมง นักวิชาการ หน่วยงานราชการ เพื่อทบทวนนโยบายการประมง (5) ยกเลิกเครื่องมือทำการ ประมงที่ทำลายล้างลูกปลาวัยอ่อน และลูกปลาขนาดเล็กที่ยังไม่โตเต็มที่ (6) ดำเนินการศึกษาทดลองวิจัย เรื่องต่าง ๆ ที่เป็นส่วนสำคัญทางด้านการประมงในท้องถิ่น (7) ทบทวนแผนการพัฒนาทะเลสาบสงขลาและ แผนการพัฒนาพื้นที่ชายฝั่งและแหล่งน้ำจืดที่สำคัญทั่วประเทศตามแผนแม่บทของจังหวัด (8) ให้มีการผลิต บัณฑิตในสาขาวิชาชีววิทยาประมง การจัดการทรัพยากรประมง การบริหารจัดการกองเรือประมงทะเลและ ประมงน้ำลึก (หลักสูตรผู้จัดการกองเรือ) รวมทั้งการผลิตช่างเทคนิคต่าง ๆ สำหรับเรือประมงขนาดใหญ่ให้ เพียงพอกับความต้องการของหน่วยงานภาคเอกชนภาครัฐและโครงการที่เกี่ยวข้อง (9) พัฒนาให้ประเทศไทย เป็นศูนย์กลางตลาดปลาสวยงามและพรรณไม้น้ำของภูมิภาค (10) ปรับปรุงและพัฒนาให้มีท่าเทียบเรือประ มงน้ำลึกที่ได้มาตรฐาน พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวก และการบริหารจัดการที่ครบวงจร และ (11) ส่งเสริม และสนับสนุนให้มีการจัดหาเรือโดยเฉพาะเรือทำประมงปลาทูน่า แหล่งเงินทุน และจัดตั้งกองทุนเพื่อพัฒนา การประมงนอกน่านน้ำไทย โดยให้องค์กรประมงที่เกี่ยวข้องมีส่วนร่วมในกระบวนการจัดการ |
||||||||||||||||||||||||
2900 | โครงการถ่ายทอดเทคโนโลยีโรงงานต้นแบบผลิตปุ๋ยอินทรีย์ ปุ๋ยอินทรีย์เคมี และปุ๋ยชีวภาพ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจระดับรากหญ้า | วท | 02/09/2546 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 3 (คกก.3) ที่มี
มติเห็นชอบในหลักการตามที่กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเสนอโครงการถ่ายทอดเทคโนโลยีโรงงานต้นแบบ ผลิตปุ๋ยอินทรีย์ ปุ๋ยอินทรีย์เคมี และปุ๋ยชีวภาพ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจระดับรากหญ้า ในส่วนขยายผลส่วนที่2 และให้ สถาบันการเงินของรัฐให้การสนับสนุนสินเชื่อเพื่อการจัดตั้งโรงงาน สำหรับงบประมาณในการดำเนินโครงการ ฯ ให้ กระทรวงวิทยาศาสตร์ ฯ ประสานกับสำนักงบประมาณต่อไป รวมทั้งพิจารณากำหนดหลักการและแนวทางในการ จัดตั้งโรงงานต้นแบบ จังหวัดละไม่เกิน 2 แห่ง ตามความเห็นของ คกก.3 ทั้งนี้ ในอนาคตหากชุมชนหรือจังหวัดใด มีความพร้อมและมีความต้องการเพิ่มมากยิ่งขึ้นและโรงงานต้นแบบที่มีอยู่ไม่เพียงพอ ให้กระทรวงวิทยาศาสตร์ ฯ นำ เสนอประธาน คกก.3 เพื่อพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง นอกจากนี้ คณะรัฐมนตรีได้มีมติให้กระทรวงวิทยาศาสตร์ ฯ รับไป เร่งดำเนินการจัดตั้งโรงงานต้นแบบให้ทั่วถึงทุกจังหวัดอย่างน้อยจังหวัดละ 1 โรงงาน และควรมีการขยายผลโดยการ ถ่ายทอดเทคโนโลยีให้กับสหกรณ์การเกษตร กลุ่มเกษตรกรท้องถิ่น โดยประสานกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และอาจให้สถาบันเทคโนโลยีราชมงคล ซึ่งมีวิทยาเขตทั่วประเทศเป็นกลไกในการดำเนินการ โดยให้กระทรวงวิทยา ศาสตร์ ฯ เป็นหน่วยกำกับดูแล หากสหกรณ์การเกษตรหรือกลุ่มเกษตรกรมีปัญหาเรื่องงบประมาณ กระทรวงวิทยา ศาสตร์และเทคโนโลยีควรร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงการคลัง จัดหาสถาบันการเงินของรัฐให้ การสนับสนุนสินเชื่อต่อไป |
.....