ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 145 จากทั้งหมด 200 หน้า แสดงรายการที่ 2881 - 2900 จากข้อมูลทั้งหมด 3982 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
2881 | ขออนุมัติเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2547 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น | นร | 30/09/2546 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเบิกจ่ายเงินงบประมาณรายจ่ายประจำ
ปีงบประมาณ พ.ศ. 2547 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นจำนวน 1,760,880 บาท เพื่อจ้างลูกจ้างชั่วคราวในโครงการจ้างลูกจ้างชั่วคราว เพื่อเสริมสร้างประสิทธิภาพการปฏิบัติงานต่อไปอีก 1 ปี ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2547 ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2546-30 กันยายน 2547 สำหรับการจ้างลูกจ้างดังกล่าว อย่างต่อเนื่องในปีงบประมาณ พ.ศ. 2548-พ.ศ. 2549 ให้ขอทำความตกลงกับคณะกรรมการกำหนดเป้าหมาย และนโยบายกำลังคนภาครัฐ ทั้งนี้ เมื่อได้ประกาศใช้ระเบียบว่าด้วยลูกจ้างสัญญาจ้างของส่วนราชการ พ.ศ. .... แล้ว ให้นำมาประกอบการพิจารณาด้วย และให้เบิกจ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2547 จำนวน 8,993,100 บาท และผูกพันงบประมาณปี พ.ศ. 2548 อีกจำนวน 9,006,900 บาท โดยให้นำไปสมทบ กับงบประมาณของกองทุนสนับสนุนการวิจัย เพื่อดำเนินโครงการวิจัยและพัฒนาเรื่องการเพิ่มขีดความสามารถ ในการบริหารจัดการขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ส่วนค่าใช้จ่ายในปีงบประมาณ พ.ศ. 2548 เพื่อดำเนิน โครงการดังกล่าว ให้สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปี โดยให้ตกลงใน รายละเอียดค่าใช้จ่ายกับสำนักงบประมาณอีกครั้งหนึ่ง |
||||||||||||||||||||||||
2882 | การกำหนดเกณฑ์พื้นฐานในการดำรงชีวิตของคนไทย | นร | 30/09/2546 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายจาตุรนต์ ฉายแสง) ประธานกรรมการนโยบาย
กระจายความเจริญไปสู่ภูมิภาคและท้องถิ่น เสนอ เกณฑ์พื้นฐานในการดำรงชีวิตของคนไทย 10 ประการ เพื่อนำไป สู่การเพิ่มรายได้ให้ทุกครัวเรือนพ้นจากเกณฑ์ความยากจน ตามมติการประชุมคณะกรรมการนโยบายกระจายความ เจริญไปสู่ภูมิภาคและท้องถิ่น (กนภ.) ดังนี้ "ความสอดคล้องกับรัฐธรรมนูญ" (1) ทุกคนได้รับการศึกษาในระบบ โรงเรียนไม่น้อยกว่า 12 ปี และมีโอกาสเรียนรู้ตลอดชีวิตเพื่อพัฒนาความรู้ ทักษะฝีมือ และวิชาชีพที่จำเป็นในการ ดำรงชีวิต (2) ทุกคนได้รับการประกันสุขภาพที่ได้มาตรฐาน (3) ผู้ที่มีอายุเกิน 60 ปี และไม่มีรายได้เพียงพอ ในการยังชีพได้รับหลักประกันความมั่นคงในการดำรงชีวิต "ความจำเป็นพื้นฐานในการดำรงชีวิต" (4) ทุกคนได้รับ อาหารที่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย (5) ทุกคนมีความมั่นคงในที่พักพิง (6) ทุกคนมีน้ำสะอาดเพื่อดื่ม อย่างน้อย 5 ลิตร/คน/วัน และมีน้ำใช้อย่างน้อย 45 ลิตร/คน/วัน (7) ทุกครัวเรือนมีไฟฟ้าใช้ (8) ทุกคนมีโอกาส รับรู้ข้อมูลข่าวสารที่จำเป็นต่อการประกอบอาชีพ และ "ความมั่นคงในชีวิต" (9) ทุกคนมีโอกาสเข้าถึงทรัพยากรและ แหล่งทุนในการประกอบอาชีพ (10) ทุกครัวเรือนมีความมั่นคงปลอดภัยในชีวิต และปลอดจากยาเสพติด |
||||||||||||||||||||||||
2883 | กระทู้ถามที่ 1022 ร. เรื่อง การแก้ไขปัญหาการก่อสร้างอาคารสูงที่หยุดชะงักในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจ | สผ | 30/09/2546 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอคำตอบกระทู้ถามที่ 1022 ร.
เรื่อง การแก้ไขปัญหาการก่อสร้างอาคารสูงที่หยุดชะงักในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจ ของนายเปรมศักดิ์ เพียยุระ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดขอนแก่น และให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป โดยสาระสำคัญของคำ ตอบสรุปได้ว่า กระทรวงมหาดไทยมีนโยบายที่จะแก้ไขปัญหาโครงการก่อสร้างอาคารสูง อาคารขนาดใหญ่ พิเศษ อาคารขนาดใหญ่ อาคารชุด อาคารอยู่อาศัยรวม และอาคารซึ่งอยู่ในโครงการที่ได้รับอนุญาตให้ทำ การจัดสรรที่ดินตามกฎหมายว่าด้วยการจัดสรรที่ดินที่ดำเนินการก่อสร้างไม่แล้วเสร็จ โดยกำหนดมาตรการ ผ่อนผันให้นำอาคารดังกล่าวมาขออนุญาตใหม่ โดยให้เจ้าพนักงานท้องถิ่นพิจารณาอนุญาตตามหลักเกณฑ์ เดียวกับการพิจารณาออกใบอนุญาตเดิมโดยออกเป็นกฎกระทรวง ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาดำเนิน การของกระทรวงมหาดไทย |
||||||||||||||||||||||||
2884 | โครงการที่พักอาศัยสำหรับสถาบันราชภัฏ | พม | 23/09/2546 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 6 (คกก.6) ที่
มีมติเกี่ยวกับโครงการที่พักอาศัยสำหรับสถาบันราชภัฏตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เสนอ โดยเห็นชอบให้การเคหะแห่งชาติ (กคช.) ดำเนินการก่อสร้างโครงการที่พักอาศัยสำหรับสถาบันราชภัฏ จำนวน 11 แห่ง รวมทั้งสถาบันราชภัฏชัยภูมิ สถาบันราชภัฏพระนครวิทยาเขตชัยบาดาล (ลพบุรี) สถาบันราช ภัฏสวนดุสิตวิทยาเขตตรัง และสถาบันราชภัฏอุบลราชธานี โดยให้ กคช. สามารถปรับเพิ่มลดจำนวนหน่วยที่พัก อาศัยของสถาบันราชภัฏแต่ละแห่งดังกล่าวได้ตามความต้องการที่แท้จริง ภายในวงเงินงบประมาณ วิธีการ แหล่ง เงินกู้ที่ได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีแล้ว ทั้งนี้ ให้ กคช. รับความเห็นของ คกก.6 และความเห็นของสำนัก งานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ไปดำเนินการต่อไป โดย คกก.6 มีความเห็นว่า ตามข้อสังเกตของคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับการพิจารณาสนับสนุนให้ใช้ผู้รับจ้างในท้องถิ่นเป็นผู้รับผิดชอบดำเนินการ การจ้างแรงงาน และการใช้วัสดุในพื้นที่เพื่อเป็นการช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในท้องถิ่นนั้นผู้รับจ้างในท้องถิ่นสามารถ เข้ามาเสนอราคาตามข้อกำหนดได้อยู่แล้ว ส่วนการจะได้งานหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับการแข่งขัน เพียงแต่การระบุข้อ กำหนดให้ผู้เสนอราคาต้องแสดงฐานะทางการเงินเป็นการกีดกันผู้รับจ้างในท้องถิ่นหรือไม่ และกรณีที่บริษัทเดียว กันสามารถเสนอราคาได้งาน 2 แห่ง เห็นควรให้คณะกรรมการตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. 2535 พิจารณาจำนวนสถาปนิก วิศวกร และคนงานว่าจะสามารถรับงานได้หรือไม่ และเดิมการที่ กคช. เข้า ไปดำเนินการโครงการให้ถือว่าเป็นต้นแบบ เนื่องจากสถาบันราชภัฏยังไม่มีความชำนาญในเรื่องนี้ โดยให้สถาบัน ราชภัฏรับไปดำเนินการโครงการต่อไป โดย กคช. เป็นหน่วยงานที่ให้ความรู้และสนับสนุนทางวิชาการ เพราะ กคช. ควรดำเนินงานตามที่รัฐมอบหมายเท่านั้น สำหรับความเห็นของ สศช. มีดังนี้ ควรให้ กคช. ดำเนินการเฉพาะ โครงการที่พักอาศัยสำหรับสถาบันราชภัฏดังกล่าว และมีความพร้อมในการดำเนินงานได้จริง ส่วนสถาบันราชภัฏ อื่นที่เสนอขอดำเนินการเพิ่มเติมเพื่อทดแทนสถาบันราชภัฏที่ยกเลิกการเข้าร่วมโครงการ ให้กระทรวงศึกษาธิการ และสถาบันราชภัฏต่าง ๆ ที่ขอเพิ่มเติมรับไปดำเนินการให้สอดคล้องกับนโยบายและความต้องการของสถาบัน ฯ และมีความพร้อมในการลงทุนได้ทันทีภายหลังการอนุมัติ รวมทั้งการบริหารจัดการเพื่อให้มีรายได้เพียงพอกับค่า ใช้จ่ายในการลงทุน โดยให้กระทรวงศึกษาธิการเป็นเจ้าของโครงการ และเป็นผู้ขออนุมัติแผนงานและงบประมาณ ต่อคณะรัฐมนตรีโดยตรงแทน กคช. ต่อไป กับให้ กคช. มีบทบาทเป็นเพียงผู้รับจ้าง ดำเนินการวางผังออกแบบ และควบคุมการก่อสร้างโครงการเท่านั้น นอกจากนี้ ควรกำหนดเป็นหลักการในกรณีที่หน่วยงานของรัฐมีความ ประสงค์จะใช้บริการจาก กคช. เพื่อสร้างอาคารที่พักอาศัย ให้หน่วยงานของรัฐนั้นเป็นเจ้าของโครงการและเป็นผู้ ขออนุมัติต่อคณะรัฐมนตรี โดยจะต้องมีความชัดเจนของเป้าหมาย ระยะเวลา วงเงินลงทุน และมีความพร้อมในการ ดำเนินงาน ในกรณีที่ต้องกู้เงินมาลงทุนจะต้องกำหนดผู้รับภาระการลงทุนและรายละเอียดของแผนการชำระคืน เงินต้นและดอกเบี้ยที่ชัดเจนด้วย |
||||||||||||||||||||||||
2885 | การกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น | นร | 23/09/2546 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ โดยรับทราบสรุปผลการประชุมหา
รือเรื่อง การกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายจาตุรนต์ ฉายแสง) ประธานกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเสนอ และเห็นชอบให้ส่วนราชการที่เกี่ยว ข้องถือปฏิบัติตามผลการประชุมหารือต่อไป โดยผลการประชุมได้มีการหารือร่วมกันระหว่างนายกรัฐมนตรี รอง นายกรัฐมนตรี (นายจาตุรนต์ ฉายแสง) รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) รัฐมนตรีว่าการกระทรวง มหาดไทย และผู้ที่เกี่ยวข้อง โดยนายกรัฐมนตรีได้มอบนโยบายเกี่ยวกับการกระจายอำนาจ ว่าระบบการกระจาย อำนาจควรพิจารณาหรือคิดทบทวนว่าจะทำทีละส่วน หรือจะมองใหม่ทั้งระบบ และแต่ละองค์กรควรมีขอบเขตแค่ ไหน ถ้าไม่เหมาะสมก็ปรับใหม่ทั้งระบบ และการกระจายอำนาจโดยหลักต้องการให้ท้องถิ่นได้บอกความต้องการ ของท้องถิ่นและได้บริหารจัดการกันเอง แต่ส่วนกลางไปคิดแทน จึงมีปัญหาเพราะไม่รู้จริง ซึ่งปัจจุบันจะมีลักษณะ inside-out มาตลอด จึงควรแก้ inside-out ด้วย สำหรับการมีส่วนร่วม (participation) คือ ขอให้ไปสำรวจ ความต้องการของประชาชนและมากำหนดนโยบาย โดยพิจารณาความพร้อมเป็นหลัก ในเรื่องของผู้มีอิทธิพลที่เข้า มาบริหารจัดการเรื่องของท้องถิ่น รัฐบาลต้อง citizen-centered คือ ประชาธิปไตยนั้นเป็น means to an end โดย end ของประชาธิปไตย คือ ความผาสุกของประชาชนถือว่า ประชาธิปไตยนั้นเป็น means ที่ดี ส่วนการแก้ ปัญหาของประเทศไทยตามแนวทางที่รัฐบาลดำเนินการคือใช้ socialism economy จากฐานราก และ capitalism economy จากฐานบนเป็นการผสมผสาน และข้อคิดเห็นในเรื่องความไม่พร้อมของบุคลากรทางการเมืองด้วย นอกจากนี้ ที่ประชุมได้มีการหารือเรื่องของการจัดสรรรายได้ให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) การปรับ โครงสร้างของ อปท. ที่ยังไม่ชัดเจน ปัญหาการถ่ายโอนภารกิจ การทุจริต การขาดการติดตามตรวจสอบ ประโยชน์ที่ประชาชนได้รับ บทบาทหน้าที่ขององค์การบริหารส่วนจังหวัดกับการเลือกตั้งโดยตรงจากประชาชน รวมถึงเรื่องผู้ว่า CEO กับความสัมพันธ์ระหว่างการบริหารราชการส่วนภูมิภาคและท้องถิ่น และการมีกำนัน ผู้ ใหญ่บ้านในอปท. |
||||||||||||||||||||||||
2886 | งบกลางรายการปรับปรุงโครงสร้างทางเศรษฐกิจและสังคม วงเงิน 16,600 ล้านบาท | นร | 23/09/2546 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ ประธานคณะกรรมการพิจารณาค่าใช้
จ่ายเพื่อการเสริมสร้างศักยภาพการแข่งขันและการพัฒนาที่ยั่งยืนของประเทศ (16,500 ล้านบาท) เสนอโครง การที่ขอใช้งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการปรับปรุงโครงสร้างทางเศรษฐกิจและสังคม จำนวน 6 โครงการ วง เงินทั้งสิ้น 624.28 ล้านบาท โดยให้สำนักงบประมาณรับไปตรวจสอบข้อมูลการเบิกจ่ายเงินค่าใช้จ่ายของโครง การต่าง ๆ ที่ได้รับอนุมัติจัดสรรเงินไปแล้ว หากโครงการใดยังมิได้ดำเนินการใด ๆ และยังไม่มีการเบิกจ่ายเงิน โดยไม่มีเหตุผลจำเป็นก็ให้งบประมาณที่ได้รับจัดสรรเป็นอันพับไป และให้นำเงินงบประมาณดังกล่าวมารวมไว้ที่ สำนักงบประมาณ เพื่อพิจารณาดำเนินการตามความเหมาะสมและจำเป็นอีกครั้งหนึ่งต่อไป ทั้งนี้ ให้รายงานข้อ มูลให้นายกรัฐมนตรีทราบด้วย สำหรับโครงการที่ขอใช้งบกลาง ฯ จำนวน 6 โครงการ ได้แก่ โครงการวิจัยและ พัฒนาเทคโนโลยีชีวภาพเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน : สินค้ายุทธศาสตร์หลักทางการเกษตร 4 ราย การ วงเงิน 464 ล้านบาท โครงการศึกษาวิธีการฉายรังสีแมลงในผลิตผลการเกษตรด้วยรังสีแกมมาในทางการ ค้า วงเงิน 0.574 ล้านบาท โครงการสร้างภาคีในการผลิตบัณฑิตระดับปริญญาโท-เอก ระหว่างสถาบันวิจัย วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทยกับสถาบันการศึกษาวงเงิน 25 ล้านบาท และโครงการเผยแพร่เพื่อ การพัฒนาใช้ประโยชน์ข้อมูลดาวเทียมและภูมิสารสนเทศระดับท้องถิ่น วงเงิน 6.741 ล้านบาท ของกระทรวง วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โครงการจัดตั้งศูนย์เทคโนโลยีชีวภาพด้านการแพทย์และสาธารณสุขวงเงิน 77.965 ล้านบาท ของกระทรวงสาธารณสุข และโครงการเที่ยวเมืองงามยามราตรี (City Night Tour) วงเงิน 50.0 ล้าน บาท ของกรุงเทพมหานคร |
||||||||||||||||||||||||
2887 | การยกเลิกมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง นโยบายว่าด้วยการอนุญาตประทานบัตรทำเหมืองแร่ในทะเล | อก | 16/09/2546 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอขอยกเลิกมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง นโยบาย
ว่าด้วยการอนุญาตประทานบัตรทำเหมืองแร่ในทะเล จำนวน 3 ฉบับ คือ มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 11 เมษายน 2521 วันที่ 22 สิงหาคม 2521 และวันที่ 10 มิถุนายน 2523 โดยขอให้ยกเลิกหลักเกณฑ์และนโยบาย ว่าด้วยการอนุญาตประทานบัตรทำเหมืองแร่ในทะเลเพื่อให้การกำหนดสัดส่วนการถือหุ้นของคนต่างด้าวในการ ประกอบกิจการทำเหมืองแร่ในทะเล ให้เป็นไปตามบทบัญญัติของพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่าง ด้าว พ.ศ. 2542 ทั้งนี้ ให้รับความเห็นของส่วนราชการที่เกี่ยวข้องที่เห็นควรให้มีการยกเลิกนโยบายการกำหนด ของคนต่างด้าวในการประกอบกิจการทำเหมือง รวมทั้งสัดส่วนการถือหุ้นแร่ในทะเลตามมติคณะรัฐมนตรีดัง กล่าว อย่างไรก็ตาม เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพในการส่งเสริมธุรกิจด้านนี้ เห็นสมควรให้กระทรวงอุตสาหกรรม ศึกษาปัญหาและอุปสรรคอื่น ๆ ที่มีผลกระทบต่อการเข้าลงทุน พร้อมทั้งเสนอมาตรการหรือแนวทางแก้ไขอีก ทางหนึ่งด้วย และจากข้อเสนอของกระทรวงอุตสาหกรรมดังกล่าวนั้น ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2540 พระราชบัญญัติสภาตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบล พ.ศ. 2537 และพระราชบัญญัติกำหนด แผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2542 มีเจตนารมณ์สอดคล้องกัน ให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดยเฉพาะองค์การบริหารส่วนตำบลมีอำนาจหน้าที่ในการคุ้มครองดูแล ตลอด จนบำรุงรักษา การจัดการและการใช้ประโยชน์จากป่าไม้ ที่ดิน ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่อยู่ในเขต พื้นที่ ดังนั้น เพื่อเป็นการสนับสนุนให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีส่วนร่วมต่อการคุ้มครองดูแล บำรุงรักษา การจัดการและการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม หากพิจารณากำหนดนโยบายในเรื่อง นี้ขึ้นใหม่ นอกจากต้องพิจารณาให้สอดคล้องกับพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. 2542 แล้ว ควรกำหนดให้มีการรับฟังความเห็นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในพื้นที่ประกอบการพิจารณาอนุญาตการ ทำเหมืองแร่ไว้ในนโยบายดังกล่าวด้วย นอกจากนี้ เพื่อให้การอนุญาตประทานบัตรเกิดผลตอบแทนสูงสุดแก่ ประเทศนอกเหนือจากค่าภาคหลวง เห็นควรให้กระทรวงอุตสาหกรรมให้ความสำคัญกับการกำหนดเงื่อนไขใน การถ่ายทอดเทคโนโลยี การพัฒนาขีดความสามารถของผู้ประกอบการไทยของการลงทุนจากต่างประเทศ และ เกิดผลในทางปฏิบัติอย่างแท้จริง ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||||||||
2888 | การพิจารณาเงินบำเหน็จแก่ลูกจ้างชั่วคราวของส่วนราชการที่มีสำนักงานอยู่ในต่างประเทศ | กต | 16/09/2546 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 5 ที่มีมติอนุมัติ หลักการตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ การพิจารณาเงินบำเหน็จแก่ลูกจ้างชั่วคราวของส่วนราชการที่มีสำนัก งานในต่างประเทศ โดยให้กระทรวงการคลังผ่อนปรนให้ลูกจ้างชั่วคราวของส่วนราชการที่มีสำนักงานในต่างประเทศ ที่บรรจุก่อนวันที่ 3 มกราคม 2544 เมื่อออกจากงานให้ใช้แนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับลูกจ้างชั่วคราวของส่วนราชการที่มี สำนักงานอยู่ในต่างประเทศ ปี พ.ศ. 2529 และกรณีประเทศใดมีกฎหมายหรือประเพณีท้องถิ่น ระบุให้มีการจ่ายเงิน บำเหน็จ ก็ให้มีการพิจารณาจ่ายเงินบำเหน็จเป็นกรณี ๆ ไป
|
||||||||||||||||||||||||
2889 | การดำเนินงานการถ่ายโอนภารกิจของกองบังคับการตำรวจดับเพลิง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ไปอยู่ในความรับผิดชอบของกรุงเทพมหานคร | นร | 16/09/2546 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเกี่ยวกับการดำเนินงานการถ่ายโอนภารกิจของกองบังคับการตำรวจดับเพลิงสำนัก
งานตำรวจแห่งชาติ ไปอยู่ในความรับผิดชอบของกรุงเทพมหานคร โดยให้ดำเนินการดังนี้ อัตรากำลัง/บุคลากร ให้ดำเนินการตามข้อยุติซึ่งผู้เกี่ยวข้องได้หารือกันแล้ว เมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2546 โดยสิทธิประโยชน์ของข้า ราชการตำรวจที่ถ่ายโอนไปให้ใช้หลักเกณฑ์ในลักษณะเดียวกับข้าราชการอื่นที่มีภารกิจถ่ายโอนไปให้องค์กรปก ครองส่วนท้องถิ่น สำหรับข้าราชการตำรวจจำนวน 1,011 นาย ที่ไม่ประสงค์จะโอนไปสังกัดกรุงเทพมหานคร ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติออกคำสั่งให้ไปช่วยราชการกรุงเทพมหานครเป็นการชั่วคราว เป็นระยะเวลา 2 ปี ซึ่งระหว่างการไปช่วยราชการดังกล่าว ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติพิจารณาแต่งตั้งให้ข้าราชการตำรวจดังกล่าว ไปดำรงตำแหน่งในหน่วยต่าง ๆ ที่ขาดแคลน หรือในอัตราว่างที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติมีอยู่แล้ว โดยให้ยุบ อัตราเดิมจำนวน 1,011 อัตราเสียทั้งหมด และหากกรุงเทพมหานครสามารถฝึกฝนบุคลากรที่จะปฏิบัติภารกิจ ดับเพลิงทดแทนได้เพียงพอก่อนกำหนด 2 ปี ก็ให้รีบส่งข้าราชการตำรวจที่ยืมตัวไปช่วยราชการคืนแก่สำนัก งานตำรวจแห่งชาติโดยเร็ว ในส่วนของยานพาหนะและอุปกรณ์ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติโอนยานพาหนะและ อุปกรณ์ให้แก่กรุงเทพมหานครทั้งหมด ยกเว้นเฉพาะส่วนที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติจำเป็นต้องใช้ปฏิบัติงาน ต่อไปอย่างแท้จริงเท่านั้น ซึ่งต้องมีจำนวนไม่มากนัก โดยในส่วนที่ยังคงอยู่กับสำนักงานตำรวจแห่งชาตินั้น ให้ทำการโอนยานพาหนะและอุปกรณ์ดังกล่าว (รวมทั้งบุคลากรที่เกี่ยวข้อง) ไปสังกัดหน่วยงานที่ต้องรับผิด ชอบปฏิบัติภารกิจที่ว่านั้นโดยตรง ทั้งนี้ หน่วยงานที่ได้รับโอนจะต้องปรับปรุงสภาพยานพาหนะและอุปกรณ์ดัง กล่าวให้สอดคล้องกับหน่วยงานต้นสังกัดนั้น ๆ ด้วย สำหรับอาคารสถานที่ ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติโอน อาคารสถานที่ในส่วนที่เจ้าหน้าที่ตำรวจดับเพลิงใช้ประโยชน์อยู่ ให้แก่กรุงเทพมหานครทั้งหมด ยกเว้นในส่วน ที่เป็นอาคารสถานที่ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติหน่วยอื่นที่มิใช่กองบังคับการตำรวจดับเพลิงใช้ประโยชน์ร่วมกัน อยู่และจำเป็นต้องใช้ต่อไป นอกจากนี้ เพื่อมิให้การถ่ายโอนภารกิจกระทบต่อการเป็นเจ้าภาพจัดการประชุม เอเปคในช่วงเดือนตุลาคม 2546 เห็นชอบให้การถ่ายโอนดังกล่าวมีผลตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2546 เป็น ต้นไป และให้รายงานผลการถ่ายโอนให้นายกรัฐมนตรีทราบด้วย
|
||||||||||||||||||||||||
2890 | ขออนุมัติดำเนินโครงการวิทยุและโทรทัศน์ส่งเสริมคุณภาพ และคุณธรรมเพื่อแก้ปัญหาความรุนแรงของนักเรียน นักศึกษา | ศธ | 16/09/2546 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอการดำเนินโครงการวิทยุและโทรทัศน์ส่ง
เสริมคุณภาพและคุณธรรมเพื่อแก้ปัญหาความรุนแรงของนักเรียน นักศึกษา โดยจัดสรรงบประมาณเพิ่มเติมปี พ.ศ. 2546 จากงบกลาง จำนวน 18,985,000 บาท และให้กรมประชาสัมพันธ์ร่วมดำเนินการและจัดสรรเวลา ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์แห่งประเทศไทย ช่อง 11 และสถานีวิทยุกระจายเสียงในส่วนภูมิภาคร่วมถ่าย ทอดรายการวิทยุ และให้สถานีโทรทัศน์ช่องอื่น ๆ ร่วมเผยแพร่รายการโทรทัศน์ในช่วงเวลาที่เหมาะสม และให้ ดำเนินการต่อไปได้ โดยงบประมาณค่าใช้จ่ายให้กระทรวงศึกษาธิการปรับแผนการปฏิบัติงาน และระยะเวลา ดำเนินการไปเริ่มดำเนินการตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2546 เป็นต้นไป และให้เบิกจ่ายจากเงินงบประมาณประจำ ปีงบประมาณ พ.ศ. 2547 โดยขอตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณต่อไป และให้ถือว่าการดำเนินโครง การนี้เป็นส่วนหนึ่งของการแก้ไขปัญหาเด็กและเยาวชน ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้มีมติ (16 กันยายน 2546) เรื่อง ปัญหาเด็กและเยาวชนในปัจจุบัน และมอบให้รองนายกรัฐมนตรี (ศาสตราจารย์ ปุระชัย เปี่ยมสมบูรณ์) รับไป ดำเนินการร่วมกับผู้เกี่ยวข้องไว้แล้ว ในระยะต่อไป หากรองนายกรัฐมนตรี (ศาสตราจารย์ ปุระชัย ฯ) และผู้ที่ เกี่ยวข้องเห็นควรปรับปรุง แก้ไขหรือขยายการดำเนินโครงการ ฯ อย่างไรก็ให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณา ต่อไป ทั้งนี้ ให้กระทรวงศึกษาธิการรับความเห็นและข้อเสนอแนะเพิ่มเติมของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนา การเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ซึ่งเห็นควรจัดทำสื่อเพื่อพัฒนาคุณธรรมและจริยธรรมทั้งในและนอกระบบโรง เรียนอย่างเป็นระบบและต่อเนื่องโดยสอดแทรกศีลธรรมและจริยธรรมในหลักสูตรปกติทุกระดับการศึกษาและ สื่อต่างๆ เช่น สื่อเทคโนโลยีเพื่อการศึกษาของกรมการศึกษานอกโรงเรียน เครือข่ายคอมพิวเตอร์เพื่อโรงเรียน ไทย (School Net) สื่อท้องถิ่น และวิทยุชุมชนเป็นต้น และควรให้ความสำคัญในการจัดกิจกรรมที่เสริมสร้าง ความสามัคคีของนักเรียน นักศึกษาระหว่างสถานศึกษาต่าง ๆ เช่น การจัดกีฬา และการจัดค่ายฝึกอบรม เป็น ต้น นอกจากนี้ ควรส่งเสริมให้ภาคธุรกิจเอกชนเข้ามีส่วนร่วมในการผลิตรายการเชิงสร้างสรรค์สำหรับกลุ่มวัย รุ่นมากยิ่งขึ้น โดยการใช้มาตรการจูงใจต่าง ๆ เช่น การลดหย่อนภาษี เป็นต้น และสนับสนุนให้มีการรวมกลุ่ม วิชาชีพทางสื่อสารมวลชนที่เข้มแข็ง เพื่อกำกับดูแล และตรวจสอบสื่อมวลชนด้วยกันเองให้มีความรับผิดชอบใน การผลิตสื่อต่าง ๆ ที่มีความรุนแรงและไม่เหมาะสมต่อสังคม ไปประกอบการดำเนินการด้วย รวมทั้งรับความ เห็นของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ไปประกอบการพิจารณาดำเนินการด้วยว่า การจัดให้เด็กและเยาว ชน ที่มีประวัติและพฤติกรรมชอบใช้ความรุนแรงได้เข้าไปเห็นสภาพความเป็นอยู่ที่แท้จริงของผู้ที่กระทำความ ผิดและถูกกักขังอยู่ในเรือนจำ นั้น จะมีส่วนช่วยให้เด็กและเยาวชนเหล่านี้ปรับเปลี่ยนทัศนคติและพฤติกรรม ของตนเองให้ดีขึ้นอย่างได้ผล |
||||||||||||||||||||||||
2891 | ผลการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเอเปค ครั้งที่ 10 | กค | 16/09/2546 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการคลังรายงานผลการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการ
คลังเอเปค ครั้งที่ 10 ซึ่งจัดขึ้น เมื่อวันที่ 4 - 5 กันยายน 2546 ณ จังหวัดภูเก็ต โดยสาระสำคัญของการประชุม ฯ ได้หารือเกี่ยวกับ "การเชื่อมโยงเศรษฐกิจแนวใหม่ จากเศรษฐกิจฐานรากสู่ระดับภูมิภาคและระดับสากล (Local /Regional Link, Global Reach : A New APEC Financial Cooperation)" ภายใต้หัวข้อการประชุม 3 หัวข้อย่อย ซึ่งได้แก่ (1) การพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากและวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (Grass - Roots and SME Development) ที่ประชุม ฯ ได้หารือถึงแนวทางในการพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมและวิสาหกิจ ขนาดจิ๋ว และได้ตกลงที่จะดำเนินงานร่วมกับรัฐมนตรี APEC SMEs อย่างใกล้ชิด เพื่อให้การสนับสนุนการพัฒนา วิสาหกิจเหล่านี้ โดยเฉพาะในด้านการเสริมสร้างการเข้าถึงแหล่งเงินทุน การปรับปรุงระบบศุลกากร การให้แรง จูงใจด้านภาษี การบริหารจัดการที่ดี และภาวะของความเป็นผู้ประกอบการ ในการนี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวง การคลังเอเปคได้ร่วมเป็นสักขีพยานในพิธีลงนามในบันทึกความเข้าใจระหว่างสถาบันการเงินที่เกี่ยวข้องกับการ พัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (2) การพัฒนาตลาดพันธบัตรในภูมิภาค (Regional Bond Market Development) ที่ประชุม ฯ ได้หารือถึงแนวทางในการสร้างความร่วมมือระดับภูมิภาคที่ส่งเสริมระบบการเงินที่ มีประสิทธิภาพและเสถียรภาพ และได้ตกลงที่จะดำเนินการร่วมกันเพื่อพัฒนาตลาดพันธบัตรให้เป็นแหล่งระดม เงินทุนระยะยาวที่มีประสิทธิภาพทั้งในระดับเขตเศรษฐกิจและระดับภูมิภาค รวมทั้งรับทราบความคืบหน้ามาตร การริเริ่มของเอเปคที่จะสนับสนุนการพัฒนาตลาดการแปลงสินทรัพย์ เป็นหลักทรัพย์และตลาดค้ำประกันพันธ บัตร (APEC Policy Initiative on Development of Securitization and Credit Guarantee Markets) เพื่อเพิ่ม ประสิทธิภาพของตลาดพันธบัตรและความน่าเชื่อถือของพันธบัตรและสนับสนุนการออกผลิตภัณฑ์ทางการเงิน ใหม่ ๆ (New Financial Products) ซึ่งรวมถึงตราสารหนี้ในสกุลเงินท้องถิ่นระยะยาว ตราสารอนุพันธ์ และหลัก ทรัพย์ที่มีสินทรัพย์หนุนหลัง และ (3) ผลกระทบของการจัดตั้งเขตการค้าเสรีที่มีต่อระบบเศรษฐกิจด้านการ เงินและการคลัง (Fiscal and Financial Aspects of Regional Trade Arrangements) ที่ประชุม ฯ รับทราบ ความคืบหน้าของการสนับสนุนการค้าและการลงทุนที่เสรีและเปิดกว้างมากขึ้น โดยผ่านข้อตกลงทางการค้าภูมิ ภาค(Regional Trade Arrangements : RTA) ระหว่างสมาชิกเอเปคและผ่านระบบการค้าพหุภาคีที่เกิดขึ้นในช่วง ระยะเวลา 2 - 3 ปีที่ผ่านมา โดยให้การสนับสนุนการประสานความร่วมมือกันในการจัดทำข้อตกลงการค้าภูมิ ภาคที่แน่นแฟ้นยิ่งขึ้นเพื่อให้บรรลุเป้าหมายโบกอร์และลดต้นทุน ซึ่งเกิดจากข้อตกลงทางการค้าที่หลากหลาย ทั้งนี้ ที่ประชุม ฯ ได้เห็นชอบที่จะร่วมมือกันในการสร้างความสอดคล้องไปในทิศทางเดียวกันของระบบอัตรา ศุลกากรกฎหมายว่าด้วยแหล่งกำเนิดสินค้า และพิธีการศุลกากร เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดความบิดเบือน และในระหว่างการประชุม ฯ ครั้งนี้ ได้มีการประชุมอย่างไม่เป็นทางการระหว่างรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการ คลังเอเปค (Ministerial Retreat) ซึ่งมีการหารือเรื่อง การป้องกันธุรกรรมทางการเงินของผู้ก่อการร้าย และ การพัฒนาตลาดพันธบัตรในภูมิภาค นอกจากนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเอเปคได้หารือร่วมกับกลุ่ม นักการเงินการธนาคาร สภาที่ปรึกษาทางธุรกิจเอเปค และผู้แทนจากสภาความร่วมมือทางเศรษฐกิจในภูมิ ภาคเอเชียแปซิฟิก เกี่ยวกับแนวทางในการสร้างความแข็งแกร่งของระบบการเงิน และการสนับสนุนความร่วม มือทางการเงินในภูมิภาค และการจัดประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเอเปค ครั้งที่ 11 ที่เมืองซานดิ อาโก ชิลี ในระหว่างวันที่ 2-3 กันยายน 2547 |
||||||||||||||||||||||||
2892 | การจัดตั้งสวนสัตว์กลางคืน (โครงการเชียงใหม่ ซาฟารีไนท์) | นร | 09/09/2546 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอให้รองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์)
รับไปเร่งรัดติดตามการดำเนินการเกี่ยวกับการจัดตั้งสวนสัตว์กลางคืน (Safari Night) ขึ้นที่จังหวัดเชียงใหม่ซึ่งจะ เป็นการเพิ่มความหลากหลายของแหล่งท่องเที่ยวของไทยมากขึ้น รวมทั้งจะเป็นเครื่องมือในการสร้างรายได้และ มีส่วนช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจทั้งในระดับท้องถิ่นและระดับชาติ โดยประสานกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและ สิ่งแวดล้อม และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดต่อไป และรายงานผลให้นายกรัฐมนตรีทราบด้วย
|
||||||||||||||||||||||||
2893 | รายงานผลการจัดสัมมนาโครงการ "รัฐบาลสื่อสารสู่สื่อท้องถิ่น" ครั้งที่ 3 | นร | 09/09/2546 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีรายงานผลการจัดสัมมนาโครงการ "รัฐบาล
สื่อสารสู่สื่อท้องถิ่น" ครั้งที่ 3 ที่สำนักโฆษกได้จัดขึ้นเมื่อวันที่ 9 สิงหาคม 2546 ณ จังหวัดพิษณุโลกสรุปได้ว่า การจัด สัมมนาโครงการ "รัฐบาลสื่อสารสู่สื่อท้องถิ่น" ครั้งที่ 3 โดยมีรองนายกรัฐมนตรี (นายจาตุรนต์ ฉายแสง) ซึ่งได้ รับมอบหมายจากนายกรัฐมนตรีให้กำกับการปฏิบัติราชการในพื้นที่เขตตรวจราชการที่ 9 (จังหวัดพิษณุโลก พิจิตร เพชรบูรณ์ แพร่ น่าน และอุตรดิตถ์) เป็นประธาน โดยได้มีการหารือในประเด็นปัญหาและอุปสรรคในการทำงาน ของสื่อมวลชน ความร่วมมือระหว่างโฆษกส่วนกลางกับสื่อมวลชน และข้อชี้แจงการบริหารงานของรัฐบาล ในการนี้ รองนายกรัฐมนตรี (นายจาตุรนต์ ฉายแสง) ได้ร่วมกับโฆษกกระทรวงและผู้ตรวจราชการกระทรวงได้ตอบข้อซักถาม ของสื่อมวลชนในประเด็นปัญหาต่าง ๆ ที่สำคัญ ได้แก่ ปัญหาน้ำท่วมในลุ่มน้ำยมของจังหวัดแพร่ ปัญหาการตัดไม้ ทำลายป่าของจังหวัดแพร่และอุตรดิตถ์ ความเป็นไปได้ในการทำโครงการแก้มลิงเพื่อแก้ปัญหาน้ำท่วม ภัยแล้ง ของ จังหวัดอุตรดิตถ์ การเร่งแก้ไขปัญหาให้กับประชาชนบ้านไผ่ท่าโพธิ์ อำเภอโพธิ์ประทับช้าง จังหวัดพิจิตร ที่เดือดร้อน จากการที่ชลประทานทำพนังกั้นน้ำ กรณีชาวบ้านที่อพยพออกมาจากบริเวณพื้นที่ที่ก่อสร้างเขื่อนสิริกิติ์ ซึ่งประสบ ปัญหาที่ดินทำกินทับซ้อนและขาดแคลนน้ำทำการเกษตรและน้ำอุปโภค บริโภค การเร่งแก้ไขปัญหากลุ่มนายทุนเข้า ไปบุกรุกที่ดินบริเวณเขื่อนแควน้อย จังหวัดพิษณุโลก การเปิดด่านถาวรห้วยโก๋น อำเภอเฉลิมพระเกียรติ จังหวัดน่าน -เมืองเงิน สปป.ลาว ให้เป็นด่านสากล และการเปิดด่านถาวรบริเวณช่องมหาราช (ด่านภูดู่) จังหวัดอุตรดิตถ์ เพื่อ เชื่อมไปยังแขวงไชยบุรี สปป.ลาว ความเป็นไปได้ในการก่อสร้างสะพานที่หมู่บ้านประมงปากนาย อำเภอนาหมื่น จังหวัดน่าน เพื่อเชื่อมโยงไปยังจังหวัดอุตรดิตถ์ และความต้องการแพขนานยนต์เพื่อใช้ข้ามไป-มา จากจังหวัดน่านไป ยังจังหวัดอุตรดิตถ์ ความคืบหน้าในการก่อสร้างเขื่อนแก่งเสือเต้น การขอให้มีสนามบินพาณิชย์ที่บ้านวังยาง ตำบล ผาจุก อำเภอเมือง จังหวัดอุตรดิตถ์ ตลอดจนการแก้ปัญหาด้านบุคลากร วัสดุอุปกรณ์ในการเรียนการสอน สถานที่ ตั้งเขตพื้นที่การศึกษาหลังจากที่มีการแบ่งเขตพื้นที่การศึกษา นอกจากนี้ ยังได้มีข้อซักถามว่า รัฐบาลจะมีแผนปฏิรูป ประชาชนให้มีความพร้อม และตอบสนองต่อการดำเนินงานของรัฐบาลในยุครัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์อย่างไร และการ แก้ปัญหาหวยใต้ดิน โดยทำให้เป็นหวยบนดินที่ถูกต้องตามกฎหมาย นั้น ได้คำนึงถึงผลกระทบต่อคนระดับรากหญ้า หรือไม่ เพราะไม่ได้มีการจำกัดอายุคนซื้อสลาก และจะมีการตรวจสอบผู้ที่เป็นตัวแทนจำหน่ายหวยบนดินว่าเป็นราย เดียวกับเจ้ามือหวยเถื่อนหรือไม่ ทั้งนี้ จากการจัดสัมมนาในครั้งนี้ ได้รับความสนใจจากสื่อมวลชนท้องถิ่นเข้าร่วม สัมมนาจำนวนมาก สื่อมวลชนส่วนใหญ่พอใจและเห็นว่าเป็นการสัมมนาที่ได้ประโยชน์ร่วมกัน รวมทั้งรองนายก รัฐมนตรี (นายจาตุรนต์ ฉายแสง) ประธานการจัดสัมมนาได้ชี้แจงประเด็นข้อซักถามต่าง ๆ ของสื่อมวลชนได้อย่าง ชัดเจน |
||||||||||||||||||||||||
2894 | รายงานผลการติดตามการดำเนินงานปัญหา อุปสรรค การใช้จ่ายเงินขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น | นร | 09/09/2546 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักนายกรัฐมนตรี (สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี) รายงาน
ผลการติดตามการดำเนินงานปัญหาอุปสรรคการใช้จ่ายเงินขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดยผลการเบิกจ่าย เงินขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. 2546 ในส่วนของเงินอุดหนุนทั่วไปที่ไม่มีเงื่อนไขเพื่อ ดำเนินภารกิจตามอำนาจและหน้าที่ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และเงินอุดหนุนทั่วไปที่มีเงื่อนไขเพื่อดำเนิน ภารกิจที่สอดคล้องกับแผนปฏิบัติการกำหนดขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีการเบิก จ่ายทั้งสิ้น 11,563.1025 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 46.34 ของเงินอุดหนุนทั่วไปทั้งหมด (24,926.997 ล้านบาท) ซึ่งสาเหตุที่เงินอุดหนุนดังกล่าวมีการเบิกจ่ายได้น้อยกว่าที่ตั้งเป้าหมายไว้ เนื่องจากการกำหนดให้ใช้ เงินอุดหนุนทั่วไปในลักษณะงบลงทุนทำให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นไม่มีความคล่องตัวในการใช้จ่ายงบประมาณ เพราะองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นหลายแห่งมีความจำเป็นต้องใช้เงินอุดหนุนทั่วไปบางส่วนเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการ บริหารงานในลักษณะงบประจำ รวมทั้งการกำหนดให้ต้องเบิกจ่ายในลักษณะงบลงทุน ซึ่งองค์กรปกครองส่วน ท้องถิ่นจะเบิกเงินได้เมื่อมีหนี้ และหนี้ถึงกำหนดหรือใกล้ถึงกำหนดครบชำระทำให้ยอดการเบิกจ่ายเงินมีน้อยมาก นอกจากนี้ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นส่วนใหญ่ต้องเสียเวลาแก้ไขปรับปรุงข้อบัญญัติงบประมาณรายจ่ายหรือจัดทำ งบประมาณเพิ่มเติม ซึ่งบางแห่งยังไม่สามารถดำเนินการได้ เนื่องจากมีปัญหากับสภาท้องถิ่น และปัญหาความพร้อม ของโครงการที่มิได้จัดเตรียมไว้ล่วงหน้าทำให้ไม่สามารถใช้จ่ายเงินได้ตามปกติ |
||||||||||||||||||||||||
2895 | การปรับปรุงโครงสร้างส่วนราชการในระยะต่อไป | นร | 09/09/2546 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) เสนอว่า การปรับปรุงโครงสร้าง
ส่วนราชการ ในส่วนของการจัดโครงสร้างและการแบ่งอำนาจหน้าที่ความรับผิดชอบของบางหน่วยงานในการปฏิบัติ งานจริงยังมีความซ้ำซ้อน และขาดความเชื่อมโยงระหว่างกันอยู่บ้าง อีกทั้งในขณะดำเนินการเรื่องนี้เมื่อปีก่อน (2545) ยังขาดความเชื่อมโยงกับกฎหมายว่าด้วยการศึกษาแห่งชาติ และกฎหมายว่าด้วยแผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจ แก่ท้องถิ่น ซึ่งเป็นการดำเนินการตามบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญคนละส่วนกันกับการปฏิรูประบบราชการ สมควรที่ จะดำเนินการปรับปรุงโครงสร้างของส่วนราชการในส่วนนี้อีกครั้งหนึ่ง ซึ่งในขณะนี้ได้มอบให้สำนักงานคณะกรรม การพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.) รับไปพิจารณาดำเนินการแล้วโดยในชั้นนี้เป็นเพียงการศึกษาปัญหาและอุปสรรค รวมทั้งแนวทางการแก้ปัญหากว้าง ๆ เท่านั้นว่า จะต้องใช้มาตรการทางบริหารหรือนิติบัญญัติ ซึ่งเมื่อ ก.พ.ร. ดำเนิน การเสร็จแล้ว จะได้นำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป โดยให้รับข้อสังเกตของคณะรัฐมนตรีไปประกอบการดำเนิน การของ ก.พ.ร. ด้วย ดังนี้ การปรับปรุงโครงสร้างส่วนราชการที่ได้ดำเนินการและประกาศใช้พระราชบัญญัติปรับ ปรุงกระทรวง ทบวง กรม พ.ศ. 2545 ไปแล้วนั้น นับเป็นการดำเนินการในระยะแรก หาก ก.พ.ร. ได้พิจารณา ประกอบข้อเท็จจริงที่เป็นอยู่ในปัจจุบันแล้ว เห็นสมควรปรับปรุงแก้ไขโครงสร้างประการใดเพื่อให้เกิดความเหมาะสม สมบูรณ์ และมีประสิทธิภาพสูงสุดของระบบราชการก็ให้ดำเนินการได้ สำหรับกระทรวงมหาดไทยซึ่งเป็นกระทรวง ใหญ่แต่มีหน่วยงานและกลไกซึ่งสามารถเชื่อมโยงการดำเนินการตามนโยบายของรัฐ จากส่วนกลางลงสู่พื้นที่ได้สัม ฤทธิ์ผลอย่างรวดเร็ว เช่น นโยบายปราบปรามยาเสพติด เป็นต้น ดังนั้น หากจำเป็นจะต้องปรับโครงสร้างของ กระทรวงมหาดไทยให้กะทัดรัดและเข้มแข็งก็ควรต้องให้คงความสามารถในการเชื่อมโยงการดำเนินการตามนโยบาย ไว้ และควรปรับปรุงให้กระทรวงมหาดไทยสามารถดำเนินการตามภารกิจในด้านการรักษาความสงบเรียบร้อยได้ อย่างมีประสิทธิภาพด้วย ในส่วนของกระทรวงศึกษาธิการ อาจจะต้องพิจารณาปรับปรุงอำนาจหน้าที่บางประการ ตามพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 ให้ชัดเจนเหมาะสม เพื่อให้สามารถดำเนินการด้านต่าง ๆ ได้ อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นด้วย |
||||||||||||||||||||||||
2896 | รายงานผลการพิจารณาศึกษาระบบการประกันคุณภาพการศึกษาตามพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 | สผ | 09/09/2546 | |||||||||||||||||||||
รับทราบตามที่กระทรวงศึกษาธิการและสำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพ
การศึกษา (สมศ.) (องค์การมหาชน) รายงานผลการดำเนินการตามรายงานผลการพิจารณาศึกษาระบบการ ประกันคุณภาพการศึกษาตามพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 ของคณะกรรมาธิการการศึกษา สภาผู้แทนราษฎร โดยคณะกรรมาธิการ ฯ ได้พิจารณาเรื่องดังกล่าวแล้วมีข้อสังเกตว่า การพัฒนาระบบประกัน คุณภาพทั้งภายในและภายนอก ไม่สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 โดยขาดความเชื่อมโยงของระบบประกันคุณภาพภายใน คุณภาพภายนอก การศึกษาขั้นพื้นฐานและอุดมศึกษา ระบบประกันคุณภาพการศึกษาขั้นพื้นฐานและอุดมศึกษาในสถานศึกษาของรัฐและเอกชน รวมทั้งท้องถิ่น ขาด มาตรฐานกลาง ความสอดคล้องและความยืดหยุ่นที่เหมาะสมกับท้องถิ่น ผู้ประเมินภายนอกอยู่ในวงจำกัด ขาด หลักการที่ชัดเจนของการจัดผู้ประเมินภายนอก และยังไม่มีความชัดเจนของการประกันคุณภาพของการศึกษา นอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย และยังขาดความเข้าใจที่ถูกต้องตรงกันของการประกันคุณภาพ จึงเห็น ควรปรับปรุงระบบหลักเกณฑ์และวีธีการประกันคุณภาพตามประกาศกระทรวงศึกษาธิการให้เป็นไปตามมาตรา 47 ของพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 ให้มีความเชื่อมโยงทั้งระบบประกันคุณภาพภายในและ ภายนอกและระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานกับระดับอุดมศึกษาควรกำหนดมาตรฐานการศึกษาและตัวบ่งชี้ของการ ศึกษาทั้งระดับขั้นพื้นฐานและอุดมศึกษาต่างสังกัด ให้มีการยืดหยุ่นและเหมาะสมกับท้องถิ่นและให้มีมาตรฐาน กลางซึ่งสะท้อนคุณภาพที่แท้จริง สำหรับองค์ประกอบของคณะผู้ประเมินภายนอกควรมีความหลากหลายและมี ความเป็นผู้แทนภาคประชาชน ตัวแทนชุมชน และผู้ปกครอง ทั้งนี้ แจ้งให้สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ทราบต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
2897 | การจัดสรรรายได้ให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ปีงบประมาณ พ.ศ. 2547 | นร | 09/09/2546 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีรายงานผลการดำเนินงานเรื่อง
การจัดสรรรายได้ให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ปีงบประมาณ พ.ศ. 2547 สรุปได้ดังนี้ ตามที่คณะรัฐมนตรี ได้มีมติเมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม 2546 รับทราบหลักเกณฑ์การจัดสรรภาษีอากรและค่าธรรมเนียมให้แก่องค์กร ปกครองส่วนท้องถิ่น ปีงบประมาณ พ.ศ. 2547 และให้รองนายกรัฐมนตรี (นายจาตุรนต์ ฉายแสง) และหน่วย งานที่เกี่ยวข้องรับข้อเสนอของคณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (กกถ.) ที่จะ ปรับลดวงเงินอุดหนุนเฉพาะกิจไปเพิ่มเป็นเงินอุดหนุนทั่วไปในวงเงิน 3,000 ล้านบาท ไปพิจารณาแล้วนำเสนอ นายกรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบ และให้ดำเนินการต่อไปได้ นั้น ผลการดำเนินงานซึ่งได้มีการประชุมปรึกษาใน เรื่องดังกล่าว ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณยืนยันว่า สำนักงบประมาณไม่สามารถปรับลดเงินอุดหนุนที่ตั้งไว้ สำหรับกรุงเทพมหานคร และยอดเงินอุดหนุนเฉพาะกิจที่จัดสรรสำหรับโครงการตามยุทธศาสตร์และนโยบาย เร่งด่วนของรัฐบาลตามมติ กกถ. ได้ แต่สามารถปรับเปลี่ยนรายละเอียดการจัดสรรโครงการตามยุทธศาสตร์ ฯ ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นแต่ละแห่งเพื่อมิให้มีการกระจุกตัว และจากกรณีดังกล่าวจึงมีผลกระทบต่อการ จัดสรรภาษีอากรและค่าธรรมเนียมให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ดังนั้น กกถ. จึงมีมติเห็นชอบให้ทบทวน หลักเกณฑ์การจัดสรรภาษีอากรและค่าธรรมเนียมให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ปีงบประมาณ พ.ศ. 2547 รวมทั้งเห็นชอบหลักเกณฑ์การจัดสรรเงินอุดหนุนทั่วไปเพื่อลดช่องว่างทางการคลัง ให้แก่ เทศบาล อบจ. และ อบต. ปีงบประมาณ พ.ศ. 2547 จำนวน 23,855.3829 ล้านบาท และกรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่นได้ รายงานผลการดำเนินการจัดสรรงบประมาณในส่วนของเงินอุดหนุนเฉพาะกิจ โดยกระทรวงมหาดไทยได้จัดส่ง บัญชีโครงการเงินอุดหนุนเฉพาะกิจเพื่อพัฒนาองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นตามยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศ และแผนงานส่งเสริมและพัฒนาการท่องเที่ยวให้สำนักงบประมาณแล้ว และได้แจ้งให้คณะกรรมาธิการวิสามัญ พิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2547 ทราบด้วยแล้ว |
||||||||||||||||||||||||
2898 | กระทู้ถามที่ 1031 ร. เรื่อง ขอให้กรมพัฒนาที่ดินเร่งดำเนินการบูรณะ ปรับปรุงพัฒนาแหล่งน้ำในพื้นที่ทำการเกษตรและอื่น ๆ ทั่วประเทศ เพื่อส่งเสริมให้แก่ราษฎรมีอาชีพ มีงานทำ มีรายได้ แก้ปัญหาความเดือดร้อนให้กับราษฎร | สผ | 02/09/2546 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอคำตอบกระทู้ถามที่ 1031 ร. เรื่อง
ขอให้กรมพัฒนาที่ดินเร่งดำเนินการบูรณะ ปรับปรุง พัฒนาแหล่งน้ำในพื้นที่ทำการเกษตรและอื่น ๆ ทั่วประเทศ เพื่อส่งเสริมให้แก่ราษฎรมีอาชีพ มีงานทำ มีรายได้ แก้ปัญหาความเดือดร้อนให้กับราษฎร ของนายนิยม วรปัญญา สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดลพบุรี และให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป โดยสาระสำคัญของคำตอบสรุป ได้ว่า (1) รัฐบาลมีนโยบายและแผนงานบูรณะ ปรับปรุง พัฒนาแหล่งน้ำในพื้นที่ทำการเกษตรและที่ดินให้กับ ราษฎรในภาพรวม โดยการบูรณะ ปรับปรุง และพัฒนาแหล่งน้ำในพื้นที่ทำการเกษตรในกรณีที่เป็นแหล่งน้ำขนาด เล็กทั้งโครงการที่ได้ดำเนินการไปแล้ว และโครงการที่อยู่ในแผนงาน ซึ่งรัฐบาลได้ถ่ายโอนภารกิจให้กับองค์กรปก ครองส่วนท้องถิ่นเป็นผู้รับผิดชอบ พร้อมทั้งถ่ายโอนงบประมาณในการดำเนินการผ่านสำนักนายกรัฐมนตรี เพื่อ จัดสรรให้กับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นไปดำเนินการตามที่ต้องการต่อไป สำหรับงานโครงการขนาดกลาง และ ขนาดใหญ่ที่ดำเนินการโดยหน่วยงานต่าง ๆ ได้มอบให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องดำเนินการต่อไป นอกจากนี้ ใน การพัฒนาที่ดินทำกินให้กับราษฎรได้มีการวางแผนการใช้ที่ดินอย่างมีประสิทธิภาพ และจัดการที่ดินที่รกร้างว่าง เปล่าให้เกิดประโยชน์สูงสุด มีแผนการพัฒนาและอนุรักษ์ทั้งดินและน้ำ ป้องกันการชะล้างและพังทลายของดิน ฯลฯ (2) ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2547 กรมพัฒนาที่ดินได้จัดสรรงบประมาณเพื่อการดำเนินการแผนงาน/โครง การพัฒนาแหล่งน้ำ เป็นจำนวน 10,275 แห่ง โดยเน้นการกระจายให้แก่ราษฎรอย่างทั่วถึงในพื้นที่ที่มีปัญหาการ ขาดแคลนน้ำ มีศักยภาพที่จะพัฒนาแหล่งน้ำ และเกษตรกรมีความพร้อมในการร่วมพัฒนากับภาครัฐ และพร้อมที่ จะบริหารจัดการการใช้ประโยชน์และบูรณะฟื้นฟูแหล่งน้ำที่สร้างขึ้นได้อย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ การส่งเสริมพื้นที่ทำการ เกษตรและแหล่งน้ำ ประกอบด้วย แผนงาน/โครงการ 4 เรื่องหลัก ได้แก่ การก่อสร้างแหล่งน้ำขนาดเล็กเพื่อการ เกษตรกรรม การปรับปรุงพื้นที่และจัดทำระบบส่งน้ำในไร่นา การปรับปรุงแหล่งน้ำธรรมชาติเพื่อเป็นแหล่งผลิต ชุมชน และการก่อสร้างแหล่งน้ำในไร่นาของเกษตรกร นอกจากนี้ ในช่วงปี พ.ศ. 2546 - 2549 ยังมีเป้าหมาย ในการอนุรักษ์ดินและน้ำในพื้นที่ไม่น้อยกว่า 15 ล้านไร่ พร้อมทั้งพัฒนาแหล่งน้ำเพื่อการเกษตรอีกประมาณ 141,100 ไร่ |
||||||||||||||||||||||||
2899 | กระทู้ถามที่ 1063 ร. เรื่อง นโยบายการจัดหลักสูตรการศึกษาด้านการคุ้มครองแรงงานและการแรงงานสัมพันธ์ไว้ในแผนการศึกษาแห่งชาติ | สผ | 02/09/2546 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอคำตอบกระทู้ถามที่ 1063 ร.
เรื่อง นโยบายการจัดหลักสูตรการศึกษาด้านการคุ้มครองแรงงานและการแรงงานสัมพันธ์ไว้ในแผนการศึกษา แห่งชาติ ของนายเปรมศักดิ์ เพียยุระ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดขอนแก่น และให้ประกาศในราชกิจจา นุเบกษาต่อไป โดยสาระสำคัญของคำตอบสรุปได้ว่า รัฐบาลได้จัดทำแผนการศึกษาแห่งชาติ (พ.ศ. 2545 - 2559) โดยในแผนดังกล่าวเป็นแผนระยะยาว 15 ปี ชี้นำการดำเนินงานปฏิรูปการศึกษาของประเทศ โดยการ กำหนดกรอบแนวทางในการจัดทำแผนพัฒนาการศึกษาขั้นพื้นฐาน แผนพัฒนาการอาชีวศึกษา และแผน พัฒนาการอุดมศึกษา ซึ่งส่วนใหญ่เป็นแผนพัฒนาระยะปานกลาง 5 ปี ที่มีสาระหรือแผนงานหลักสำหรับการ จัดทำแผนปฏิบัติการ ซึ่งมีรายละเอียดของงาน โครงการ และกิจกรรมการดำเนินงานของหน่วยปฏิบัติ เพื่อให้ บรรลุตามวัตถุประสงค์และเป้าหมายของการปฏิรูปการศึกษาที่สอดคล้องต่อเนื่องกันทั้งประเทศ ดังนั้น แผน การศึกษาแห่งชาติ จึงไม่ได้มีการกล่าวถึงการจัดหลักสูตรการศึกษาเรื่องการคุ้มครองแรงงานและการแรงงาน สัมพันธ์ หรือหลักสูตรเรื่องใดเรื่องหนึ่งไว้เป็นการเฉพาะ แต่ได้กำหนดให้มีการพัฒนาหลักสูตรแกนกลางให้มี สาระของความรู้ที่สอดคล้องกับการดำรงชีวิตในสังคมเศรษฐกิจฐานความรู้และการแข่งขันในสังคมโลก รวมทั้ง การจัดกระบวนการเรียนรู้อย่างรอบด้านของผู้เรียน เพื่อให้ผู้เรียนเป็นคนเก่งที่พัฒนาตนเองได้อย่างเต็มตาม ศักยภาพ เป็นคนดี และมีความสุข สำหรับการศึกษาด้านการคุ้มครองแรงงานและแรงงานสัมพันธ์ ได้อยู่ ในหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2544 เป็นมาตรฐานการเรียนรู้อย่างกว้าง ๆ สถานศึกษา สามารถจัดการเรียนรู้ให้ครอบคลุมและหลากหลายได้ ซึ่งการกำหนดสาระการเรียนรู้ด้านการคุ้มครองแรง งานและแรงงานสัมพันธ์เป็นการเฉพาะนั้น สถานศึกษาสามารถจัดการตามสภาพท้องถิ่นของตนโดยต้องร่วม มือกันหลายฝ่ายเพื่อจะได้ครอบคลุมและเห็นผลเป็นรูปธรรม และในสถาบันอุดมศึกษาก็ได้มีการเปิดสอนและ พัฒนาหลักสูตรการวิจัยเกี่ยวข้องด้านแรงงานและแรงงานสัมพันธ์ ซึ่งนักศึกษาสามารถเลือกวิชาศึกษาได้ตาม ความถนัดและความสนใจที่สอดคล้องกับความต้องการที่จะนำไปใช้ในการประกอบอาชีพต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
2900 | กระทู้ถามที่ 1093 ร. เรื่อง ปัญหายาเสพติดที่ระบาดอยู่ตามสถานศึกษาทั่วประเทศ | สผ | 02/09/2546 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอคำตอบกระทู้ถามที่ 1093 ร.
เรื่อง ปัญหายาเสพติดที่ระบาดอยู่ตามสถานศึกษาทั่วประเทศ ของนายศิริ หวังบุญเกิด สมาชิกสภาผู้แทน ราษฎรจังหวัดกรุงเทพมหานคร และให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป โดยสาระสำคัญของคำตอบสรุป ได้ว่า กระทรวงสาธารณสุขได้ดำเนินโครงการโรงเรียนตัวอย่าง เพื่อเป็นต้นแบบของโครงการโรงเรียนสีขาว และกระทรวงศึกษาธิการเป็นผู้ดำเนินการ โดยกำหนดมาตรการป้องกันและปราบปรามการแพร่ระบาดของ ยาเสพติด และอบายมุขต่าง ๆ ในสถานศึกษา เพื่อเป็นการสร้างภูมิคุ้มกัน โดยจัดตั้งเครือข่ายโรงเรียนสีขาว ประจำโรงเรียนในรูปแบบองค์การ 4 ประสาน 2 ค้ำ ซึ่ง 4 ประสาน ได้แก่ ผู้แทนผู้บริหาร ผู้แทนครู ผู้แทน ผู้ปกครอง และผู้แทนนักเรียน ส่วน 2 ค้ำ ได้แก่ ผู้แทนผู้นำชุมชน และผู้นำภูมิปัญญาท้องถิ่น ปัจจุบันโครง การโรงเรียนสีขาวเป็นกิจกรรมทางเลือกที่ให้สถานศึกษาทุกโรงเรียนทุกสังกัดดำเนินการในการรณรงค์ป้อง กันและแก้ไขปัญหายาเสพติดในสถานศึกษา นอกจากนี้ รัฐบาลโดยกระทรวงศึกษาธิการ ได้จัดทำโครงการ ศึกษาสภาพปัญหาการใช้สารเสพติดของนักเรียนมัธยมศึกษา พ.ศ. 2545 เพื่อนำมาเป็นข้อมูล โดยระยะ แรกจะทำการสุ่มตัวอย่างเพื่อกำหนดสถานศึกษาที่จะดำเนินการเก็บข้อมูล ส่วนระยะที่สองเป็นการเตรียม ความพร้อมและนัดหมายแหล่งข้อมูล สำหรับเป้าหมายป้องกันและปราบปรามการแพร่ระบาดของยาเสพติด ตามสถานศึกษาทั่วประเทศ นั้น กระทรวงศึกษาธิการ และกระทรวงสาธารณสุข ได้ดำเนินการในส่วนต่าง ๆ ได้แก่ การจัดกิจกรรมรณรงค์ ประชาสัมพันธ์ เพื่อให้นักเรียน/นักศึกษา ตระหนักถึงสถานการณ์ความรุน แรงของปัญหายาเสพติด ปรับปรุงแบบสำรวจสภาพการใช้สารเสพติดในสถานศึกษาเพื่อคัดกรอง แยกเด็ก นักเรียน นักศึกษาออกเป็นกลุ่ม คือ กลุ่มที่ไม่เคยใช้สารเสพติด กลุ่มที่ใช้สารเสพติด กลุ่มที่ติดยาและบำบัด แล้ว กลุ่มที่สงสัยว่าค้า และกลุ่มที่ใช้เหล้า/บุหรี่ รวมทั้งได้ดำเนินการเกี่ยวกับการสร้างภูมิคุ้มกันและการเฝ้า ระวังเด็กและเยาวชนที่ยังไม่เคยใช้สารเสพติดให้มีภูมิคุ้มกันที่ดี ไม่เข้าไปเกี่ยวข้องกับยาเสพติด |
.....