ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 22 จากทั้งหมด 55 หน้า แสดงรายการที่ 421 - 440 จากข้อมูลทั้งหมด 1095 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
421 | การขอรับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2555 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อเป็นงบประมาณสำหรับอัตรากำลังใหม่ที่ได้รับอนุมัติในปีงบประมาณ พ.ศ. 2554 | สธ | 19/06/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ดังนี้ ๑.๑ เนื่องจากกระทรวงสาธารณสุขได้ดำเนินการบรรจุอัตรากำลังใหม่สำหรับนักเรียนทุนแพทย์ ทันตแพทย์ เภสัชกร และพยาบาลวิชาชีพในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่ได้รับอนุมัติในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ จำนวน ๔,๘๔๖ อัตรา ก่อนขอทำความตกลงในกรอบวงเงินค่าใช้จ่าย จึงเป็นเหตุให้งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ มีไม่เพียงพอสำหรับรองรับการบรรจุอัตรากำลังใหม่ดังกล่าว ประกอบกับคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๓ พฤษภาคม ๒๕๕๔ เห็นชอบให้คณะอนุกรรมการบริหารจัดการกำลังคนและภารกิจด้านสุขภาพของกระทรวงสาธารณสุข ที่ประธานกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐแต่งตั้ง ศึกษาภาพรวมและจัดทำข้อเสนอในการแก้ปัญหากำลังคนและการบริหารจัดการภารกิจด้านสุขภาพของกระทรวงสาธารณสุขเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ดังนั้น กระทรวงสาธารณสุขจึงควรเร่งรัดการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓ พฤษภาคม ๒๕๕๔ เพื่อจะได้เป็นกรอบในการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีกรณีต้องกำหนดอัตรากำลังใหม่เพิ่มเติมต่อไป ๑.๒ เพื่อให้การบริหารงานบุคคลและสิทธิประโยชน์ของนักเรียนทุนรัฐบาลและพยาบาลวิชาชีพในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นไปอย่างต่อเนื่อง กรณีค่าใช้จ่ายในการบรรจุนักเรียนทุนรัฐบาลและพยาบาลวิชาชีพในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ตั้งแต่วันที่ ๓ พฤษภาคม ๒๕๕๔ ถึงวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๔ จำนวน ๒๙๘.๙๙๕๕ ล้านบาท เห็นสมควรที่กระทรวงสาธารณสุขจะใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ งบบุคลากรของกระทรวงสาธารณสุข หรือพิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ จากงานที่ดำเนินการล่าช้า เบิกจ่ายไม่ทัน รวมทั้งพิจารณาจากรายการเงินกันไว้เบิกเหลื่อมปีตามลำดับ โดยให้กระทรวงสาธารณสุขขอทำความตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณต่อไป ๒. ให้กระทรวงสาธารณสุขเป็นเจ้าภาพในการเร่งรัดคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ (คปร.) ในการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓ พฤษภาคม ๒๕๕๔ วันที่ ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๕๔ และวันที่ ๑๐ เมษายน ๒๕๕๕ เกี่ยวกับการศึกษาภาพรวมอัตรากำลังทั้งระบบและจัดทำข้อเสนอในการแก้ไขปัญหาอัตรากำลังคนและการบริหารจัดการภารกิจด้านสุขภาพของกระทรวงสาธารณสุข โดยให้กระทรวงสาธารณสุขหารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงกลาโหม กระทรวงศึกษาธิการ เพื่อจัดทำแผนรายปีในการบรรจุนักเรียนทุนรัฐบาล (แพทย์ ทันตแพทย์ เภสัชกร) พยาบาลวิชาชีพ และบุคลากร เช่น พนักงานราชการ ลูกจ้างชั่วคราว โดยกำหนดสัดส่วนให้เหมาะสมกับจำนวนประชากร ทั้งนี้ ให้คำนึงถึงการกระจายตัวไปในพื้นที่ชนบทเป็นหลัก เพื่อประกอบการพิจารณาของ คปร. ในภาพรวมด้วย แล้วเสนอคณะรัฐมนตรีโดยด่วนต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||
422 | การขอรับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2555 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อเป็นงบประมาณสำหรับตำแหน่งเพิ่มใหม่ 3 สายงาน (แพทย์ ทันตแพทย์ และเภสัชกร) | สธ | 12/06/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ดังนี้
๑. ให้กระทรวงสาธารณสุขปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๐ เมษายน ๒๕๕๕ (เรื่อง ขออนุมัติกำหนดตำแหน่งเพิ่มใหม่) ที่กำหนดให้กระทรวงสาธารณสุขดำเนินการตามความเห็นของสำนักงาน ก.พ. และคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ (คปร.) โดยการตรึงอัตรากำลังใหม่ (แพทย์ ทันตแพทย์ และเภสัชกร) ไว้สำหรับการบรรจุนักเรียนทุนคู่สัญญา และรายงานการบรรจุแต่งตั้งนักศึกษาคู่สัญญาที่ได้รับการบรรจุในครั้งนี้ไปยัง คปร. โดยในระยะต่อไป ให้กระทรวงสาธารณสุขพิจารณาภาพรวมอัตรากำลังทั้งระบบเพื่อวางระบบการบริหารอัตรากำลังและวางแผนกำลังคนของกระทรวงสาธารณสุขให้การจัดการภารกิจบริการสุขภาพมีคุณภาพและประสิทธิภาพให้แล้วเสร็จโดยเร็ว เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ๒. ตามที่คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ ๑๐ เมษายน ๒๕๕๕ อนุมัติให้กระทรวงสาธารณสุขบรรจุนักเรียนทุนรัฐบาล ๓ สายงาน (แพทย์ ทันตแพทย์ และเภสัชกร) ที่สำเร็จการศึกษาในปี ๒๕๕๕ จำนวนทั้งสิ้น ๒,๖๖๖ อัตรา โดยใช้ตำแหน่งที่ว่างอยู่ของสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งได้รับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ แล้ว จำนวน ๕๒๑ อัตรา และส่วนที่เหลือเป็นอัตรากำลังเพิ่มใหม่ จำนวน ๒,๑๔๕ อัตรา ซึ่งไม่ได้จัดสรรงบประมาณไว้ โดยอนุมัติในหลักการการบรรจุนักเรียนทุนรัฐบาล ๓ สายงาน (แพทย์ ทันตแพทย์ และเภสัชกร) และกรอบวงเงินค่าใช้จ่ายสำหรับอัตรากำลังเพิ่มใหม่ดังกล่าว จำนวน ๒๐๗,๐๓๔,๐๐๐ บาท โดยให้กระทรวงสาธารณสุขปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ จากงานที่ดำเนินการล่าช้าหรือเบิกจ่ายไม่ทัน จำนวน ๕๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท และส่วนที่เหลือใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน ๑๕๗,๐๓๔,๐๐๐ บาท โดยให้กระทรวงสาธารณสุขขอทำความตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณต่อไป สำหรับในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ สำนักงบประมาณได้เสนอตั้งงบประมาณรองรับการบรรจุอัตรากำลังดังกล่าวไว้แล้ว
|
|||||||||||||||||||||||||||
423 | ขอรับการสนับสนุนงบประมาณเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการจัดการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดเชียงใหม่ เขตเลือกตั้งที่ 3 แทนตำแหน่งที่ว่าง | ลต | 29/05/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติในหลักการสนับสนุนงบประมาณเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการจัดการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดเชียงใหม่ เขตเลือกตั้งที่ ๓ แทนตำแหน่งที่ว่าง โดยให้สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งพิจารณาใช้จ่ายจากเงินรายได้ โดยปรับแผนการใช้จ่ายเงินอุดหนุนที่ได้รับการจัดสรรจากรัฐ และหากพิจารณาตรวจสอบแล้วมีไม่เพียงพอ ก็ให้เสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณอีกครั้ง ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
|||||||||||||||||||||||||||
424 | ผลการประชุมร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจในภูมิภาค ครั้งที่ 4/2555 | นร | 20/05/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจในภูมิภาค ครั้งที่ ๔/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๑๙ พฤษภาคม ๒๕๕๕ ณ จังหวัดกาญจนบุรี โดยพิจารณาข้อเสนอของคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน ๓ สถาบัน (กกร.) และสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (สทท.) ๒. เห็นชอบตามมติที่ประชุมร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ปัญหาทางเศรษฐกิจในภูมิภาค ครั้งที่ ๔/๒๕๕๕ ณ จังหวัดกาญจนบุรี และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปดำเนินการตามมติที่ประชุมและรายงานผลการดำเนินงานให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ดังนี้ ๒.๑ ข้อเสนอของ กกร./สทท. จำนวน ๙ เรื่อง ได้แก่ ๒.๑.๑ การพัฒนาโครงการท่าเรือน้ำลึกและนิคมอุตสาหกรรมทวาย ที่ประชุมมีมติเห็นชอบการสนับสนุนการพัฒนาโครงการดังกล่าว และให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเป็นหน่วยงานหลักในการจัดทำแผนพัฒนาความเชื่อมโยงของไทยกับท่าเรือน้ำลึกและนิคมอุตสาหกรรมทวาย รวมทั้งบูรณาการแผนงานและโครงการโดยประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ๒.๑.๒ การเร่งรัดการพัฒนาเส้นทางเชื่อมโยงภาคตะวันตก ที่ประชุมมีมติให้กระทรวงคมนาคมพิจารณาจัดทำแผนแม่บทการพัฒนาโครงข่ายคมนาคมขนส่งเพื่อรองรับการพัฒนาท่าเรือทวายและการเปิดด่านบ้านพุน้ำร้อน พร้อมทั้งจัดลำดับความสำคัญของถนนสายทางหลักและสายทางรอง และเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาตามขั้นตอนต่อไป ๒.๑.๓ การเตรียมความพร้อมรองรับการพัฒนาโครงการท่าเรือน้ำลึกทวาย และการเชื่อมโยงระเบียงเศรษฐกิจ Southern Economic Corridor (SEC) ที่ประชุมมีมติให้กระทรวงการต่างประเทศร่วมกับสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงกลาโหม และจังหวัดกาญจนบุรี ประสานงานกับรัฐบาลเมียนมาร์ในการเร่งรัดการเปิดจุดผ่านแดนชั่วคราว และเจรจาเพื่อขอเปิดจุดผ่านแดนถาวรบ้านพุน้ำร้อน จังหวัดกาญจนบุรีต่อไป ๒.๑.๔ การส่งเสริมและอำนวยความสะดวกการค้าชายแดนและการค้าข้ามแดนไทย - เมียนมาร์ ที่ประชุมมีมติ ดังนี้ ๒.๑.๔.๑ ให้กระทรวงการต่างประเทศเป็นหน่วยงานหลักในการรวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวข้องของพื้นที่ที่มีศักยภาพในการยกระดับเป็นจุดผ่านแดนระหว่างไทย - เมียนมาร์ เพื่อเตรียมความพร้อมในการเจรจากับรัฐบาลเมียนมาร์ ๒.๑.๔.๒ รับทราบแนวทางการดำเนินงานของกองกำลังสุรสีห์ กระทรวงกลาโหม ในการแก้ไขปัญหาร่วมกับเมียนมาร์ เพื่อให้มีการเปิดจุดผ่านแดนชั่วคราวพระเจดีย์สามองค์ และเมื่อทั้งสองฝ่ายมีความพร้อม เห็นควรส่งเรื่องให้สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติพิจารณาความเหมาะสมในการยกระดับเป็นจุดผ่านแดนถาวร และให้กระทรวงกลาโหมประสานกับกระทรวงมหาดไทยในด้านความมั่นคงอย่างใกล้ชิด ๒.๑.๔.๓ ให้กระทรวงมหาดไทยร่วมกับกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงกลาโหม และสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ ติดตามและประเมินสถานการณ์การพัฒนาในเมียนมาร์ ทั้งในมิติด้านเศรษฐกิจ สังคม และความมั่นคง หากเห็นสมควรให้มีการเปิดจุดผ่อนปรนการค้าตะโกบนให้ดำเนินการตามระเบียบและขั้นตอนต่อไป ๒.๑.๔.๔ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์พิจารณาผลกระทบจากการเปิดจุดผ่านแดนระหว่างไทย - เมียนมาร์ โดยเฉพาะการดำเนินงานเพื่อสนับสนุนการพัฒนาความสามารถแข่งขันของสินค้าเกษตรไทย ๒.๑.๕ โครงการลดการสูญเสียในวงจรการผลิต และโครงการบริหารจัดการพลังงานแบบบูรณาการเพื่อลดต้นทุนและส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทน หรือพลังงานชีวมวล เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในโรงงานอุตสาหกรรม ที่ประชุมมีมติเห็นชอบในหลักการ โดยให้กระทรวงแรงงานร่วมกับกระทรวงอุตสาหกรรมนำโครงการลดการสูญเสียในวงจรการผลิตไปพิจารณาดำเนินการ และให้กระทรวงอุตสาหกรรมร่วมกับกระทรวงพลังงานดำเนินการในรายละเอียดของการดำเนินโครงการบริหารจัดการพลังงานแบบบูรณาการ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในโรงงานอุตสาหกรรม สามารถลดต้นทุนและส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทนหรือพลังงานชีวมวล ๒.๑.๖. การส่งเสริมและอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในกลุ่มภาคกลางตอนล่าง ที่ประชุมมีมติ ดังนี้ ๒.๑.๖.๑ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณเพื่อดำเนินโครงการปรับปรุงสภาพคลองตาหลวงจากสำนักงบประมาณ ภายใต้กรอบวงเงินการให้ความช่วยเหลือ ฟื้นฟู เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัยตามขั้นตอนต่อไป ๒.๑.๖.๒ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับข้อเสนอโครงการปรับปรุงระบบนิเวศคลองดำเนินสะดวกและคลองสาขา จังหวัดราชบุรี - สมุทรสาคร - สมุทรสงคราม และการพัฒนาระบบบริหารจัดการทรัพยากรน้ำแบบบูรณาการของแม่น้ำท่าจีนในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคกลางตอนล่าง ๑ (จังหวัดนครปฐม กาญจนบุรี ราชบุรี และสุพรรณบุรี) ไปพิจารณาในรายละเอียดแล้วเสนอคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย (กบอ.) เพื่อขอรับการสนับสนุนในการดำเนินการต่อไป ๒.๑.๖.๓ ให้กระทรวงอุตสาหกรรมพิจารณาโครงการนำร่องสู่อุตสาหกรรมเชิงนิเวศพื้นที่ภาคกลางตอนล่าง โดยให้สอดคล้องกับแผนยุทธศาสตร์ส่งเสริมเมืองอุตสาหกรรมนิเวศ และให้ความสำคัญกับการสร้างเครือข่ายและการพัฒนาศักยภาพของท้องถิ่น ๒.๑.๗ โครงการถนนท่องเที่ยวเลียบชายฝั่งทะเลอ่าวไทย จังหวัดสมุทรสาคร - สมุทรสงคราม (Royal Coast Road) ที่ประชุมมีมติให้กระทรวงคมนาคมรับไปศึกษารายละเอียดของโครงการดังกล่าว เพื่อขอรับการจัดสรรงบประมาณประจำปีตามขั้นตอนต่อไป ๒.๑.๘ การประกาศเขตพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนเมืองหัวหินและพื้นที่เชื่อมโยง (ชะอำและปราณบุรี) ที่ประชุมมีมติให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาพิจารณาดำเนินการประกาศเมืองหัวหินและพื้นที่เชื่อมโยง (ชะอำ - ปราณบุรี) ภายในกลุ่มท่องเที่ยว The Royal Coast ให้เป็นเขตพื้นที่พิเศษตามขั้นตอนต่อไป ๒.๑.๙ การปรับปรุงอุทยานประวัติศาสตร์สงคราม ๙ ทัพ จังหวัดกาญจนบุรี ให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวมีชีวิต ที่ประชุมมีมติให้กระทรวงกลาโหมขอรับการจัดสรรงบประมาณเพื่อปรับปรุงอุทยานประวัติศาสตร์สงคราม ๙ ทัพ จังหวัดกาญจนบุรี ให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวมีชีวิต โดยหารือกับกระทรวงวัฒนธรรม และกระทรวงการต่างประเทศในรายละเอียดของการจัดแสดงนิทรรศการด้วย ๒.๒ เรื่องอื่น ๆ ที่ภาคเอกชนเสนอเพิ่มเติม ได้แก่ ๒.๒.๑ ร่างพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้าย พ.ศ. .... (ผลกระทบตามประกาศ Financial Action Task Force : FATF) ที่ประชุมมีมติรับทราบและให้นำความเห็นที่ประชุมที่เห็นว่าประเทศไทยถูกจัดอยู่ในกลุ่มประเทศที่มีความเสี่ยงในการป้องกันและปราบปรามในการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้าย เนื่องจากยังไม่มีกฎหมายที่เข้มงวดในการติดตามธุรกรรมทางการเงิน การอายัดทรัพย์ หรือการดำเนินทางกฎหมายผู้ที่อยู่ในข่ายต้องสงสัยว่ามีส่วนเกี่ยวข้องหรือสนับสนุนการก่อการร้าย ซึ่งจะส่งผลต่อความเชื่อมั่นในการทำธุรกรรมการเงินระหว่างประเทศ รวมทั้งการออกพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้าย พ.ศ. .... จะต้องดำเนินการอย่างรอบคอบ โดยคำนึงถึงความพร้อมของภาคเอกชนไทย และความเป็นไปได้ในการบังคับใช้ ไปประกอบการพิจารณาของคณะรัฐมนตรีในวันที่ ๒๐ พฤษภาคม ๒๕๕๕ ซึ่งจะมีการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว ๒.๒.๒ การปรับกลไกและกระบวนการบริหารจัดการด้าน Climate Change ของประเทศไทยให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ที่ประชุมมีมติให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับข้อเสนอของ กกร. เกี่ยวกับการปรับปรุงโครงสร้างการบริหารจัดการด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของประเทศไทย กำหนดยุทธศาสตร์ นโยบายและเป้าหมายในการลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศโดยสมัครใจ และจัดทำแผนแม่บทการดำเนินการลดก๊าซเรือนกระจกที่เหมาะสมของประเทศ ไปพิจารณาดำเนินการ
|
|||||||||||||||||||||||||||
425 | ขอรับการสนับสนุนงบประมาณ เพื่อดำเนินการตามโครงการปราบปรามการบุกรุกพื้นที่อุทยานแห่งชาติ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า และพื้นที่ต้นน้ำลำธาร เพื่อปลูกไม้ยางพารา ในท้องที่จังหวัดภาคใต้ | ทส | 20/05/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช พิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ เพื่อไปดำเนินการตามโครงการปราบปรามการบุกรุกพื้นที่อุทยานแห่งชาติ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า และพื้นที่ต้นน้ำลำธารเพื่อปลูกไม้ยางพารา ในท้องที่จังหวัดภาคใต้ในโอกาสแรก และหากมีความจำเป็นต้องดำเนินการอย่างต่อเนื่อง ให้เสนอขอตั้งในงบประมาณรายจ่ายประจำปีต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช รับความเห็นของกระทรวงกลาโหมและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรปลูกฝังแนวคิดที่ทำให้ประชาชนในพื้นที่เห็นคุณค่าของการดำรงไว้ซึ่งทรัพยากรธรรมชาติและป่าไม้ การมีส่วนร่วมในการป้องกัน ปราบปราม และฟื้นฟูสภาพป่าไม้ การเสริมกำลังทั้งด้านกำลังคนและด้านค่าใช้จ่ายอื่นที่เป็นประโยชน์ต่อการปฏิบัติหน้าที่ในการยับยั้งการบุกรุกทำลายพื้นที่ป่าอนุรักษ์ เพื่อปลูกไม้ยางพาราในท้องที่จังหวัดภาคใต้และพื้นที่อื่นไปพร้อมกันด้วย สำหรับการรื้อถอนพืชอาสินและสิ่งปลูกสร้าง เห็นควรดำเนินการเฉพาะในพื้นที่ที่ผ่านกระบวนการพิสูจน์สิทธิ์แล้วเสร็จ และ/หรือ มีหลักฐานชัดเจนว่าเป็นการปลูกในพื้นที่ป่าอนุรักษ์โดยมิชอบด้วยกฎหมาย ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
426 | ขอรับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2555 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อจัดงานเทิดพระเกียรติ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ | มท | 20/05/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้กระทรวงมหาดไทยจัดงานเทิดพระเกียรติ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ในปี พ.ศ. ๒๕๕๕ เนื่องในโอกาสที่ครบ ๑๕๐ ปี วันประสูติ และครบ ๕๐ ปี ที่องค์การศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมสหประชาชาติ (UNESCO) ถวายพระเกียรติให้เป็นบุคคลสำคัญของโลก ในนามรัฐบาล โดยจัดทำโครงการเพื่อเผยแพร่เกียรติคุณ จำนวน ๑๙ โครงการ ในวงเงิน ๑๒๗,๘๐๗,๙๑๖ บาท แต่เนื่องจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น มีจำนวนจำกัด จึงเห็นควรให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องโอนเปลี่ยนแปลงงบประมาณรายจ่ายที่กันไว้เบิกเหลื่อมปีไปดำเนินการในโอกาสแรกก่อน และหากไม่เพียงพอก็สมควรให้ปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ไปดำเนินการต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องขอทำความตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณตามขั้นตอนต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||
427 | ขอขยายระยะเวลาดำเนินมาตรการลดภาระค่าครองชีพของประชาชนด้านการเดินทาง (ระยะที่ 10) | กค | 01/05/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบการขยายระยะเวลาดำเนินมาตรการลดภาระค่าครองชีพของประชาชนด้านการเดินทางต่อไป เป็นระยะที่ ๑๐ ตั้งแต่วันที่ ๑ พฤษภาคม ๒๕๕๕ จนสิ้นสุดปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ในวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๕ ทั้งนี้ การดำเนินการขอรับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายตามมาตรการดังกล่าว ประกอบด้วย ๑.๑.๑ มาตรการลดค่าใช้จ่ายเดินทางรถโดยสารประจำทาง : ดำเนินการผ่านองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) โดยรัฐรับภาระค่าใช้จ่ายการจัดรถโดยสารประจำทางธรรมดา จำนวน ๘๐๐ คันต่อวัน ใน ๗๓ เส้นทาง ให้บริการแก่ประชาชนโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ซึ่งได้ประมาณการค่าใช้จ่ายในวงเงินจำนวน ๑,๒๐๘ ล้านบาท ๑.๑.๒ มาตรการลดค่าใช้จ่ายเดินทางโดยรถไฟชั้น ๓ : ดำเนินการผ่านการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) โดยรัฐรับภาระค่าใช้จ่ายการจัดรถไฟชั้น ๓ เชิงสังคม จำนวน ๑๖๔ ขบวนต่อวัน และรถไฟชั้น ๓ ระยะทางไกลในขบวนรถเชิงพาณิชย์ จำนวน ๘ ขบวนต่อวัน ให้บริการแก่ประชาชนโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ซึ่งได้ประมาณการค่าใช้จ่ายในวงเงินจำนวน ๔๕๘ ล้านบาท ๑.๒ ให้กระทรวงคมนาคมเร่งดำเนินการศึกษาแนวทางการสนับสนุนมาตรการการลดค่าครองชีพด้านการเดินทางที่มีความเหมาะสม มีประสิทธิภาพ และเป็นประโยชน์ต่อประชาชนอย่างแท้จริง แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาต่อไป ๒. สำหรับงบประมาณเพื่อดำเนินการตามมาตรการที่เกี่ยวข้องให้เป็นไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณ โดยให้ ขสมก. และ รฟท. กู้เงินเพื่อชดเชยการดำเนินการตามมาตรการดังกล่าว โดยให้กระทรวงการคลังเป็นผู้ค้ำประกันเงินกู้ และสำนักงบประมาณจะพิจารณาจัดสรรเงินงบประมาณรายจ่ายเพื่อชดเชยเงินต้นและดอกเบี้ยที่เกิดขึ้นให้แก่ ขสมก. และ รฟท. สำหรับการดำเนินการตามมาตรการดังกล่าวต่อไป และให้กระทรวงคมนาคมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้กระทรวงคมนาคม กระทรวงการคลัง และสำนักงบประมาณร่วมกันหารือเพื่อเร่งจัดหาเงินชดเชยให้แก่ ขสมก. และ รฟท. ตามขั้นตอน โดยเฉพาะในส่วนที่ยังไม่มีแหล่งเงิน ทั้งที่ยังไม่ได้รับอนุมัติเงินกู้และไม่ได้รับการจัดสรรเงินงบประมาณ เพื่อลดผลกระทบต่อฐานะการเงินของรัฐวิสาหกิจดังกล่าว ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๓. ให้กระทรวงคมนาคมรับไปพิจารณาตรวจสอบและติดตามการกำหนดเส้นทางและช่วงเวลาการปล่อยขบวนรถของ รฟท. และ ขสมก. ตามมาตรการลดภาระค่าครองชีพของประชาชนด้านการเดินทางให้สอดคล้องกับจำนวนผู้โดยสารและเป็นประโยชน์สูงสุดแก่ประชาชนผู้ใช้บริการด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
428 | ผลการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอย่างไม่เป็นทางการ ครั้งที่ 18 และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง | พณ | 24/04/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอย่างไม่เป็นทางการ ครั้งที่ ๑๘ และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ระหว่างวันที่ ๒๔ - ๒๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ ณ กรุงเนปิดอว์ ประเทศเมียนมาร์ โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทยในการประชุมฯ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ สรุปสาระสำคัญของการประชุมฯ ได้ ดังนี้
๑. รัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนเห็นร่วมกันว่าอาเซียนต้องพิจารณา Template การเจรจาจัดทำ ASEAN ++ FTA ของอาเซียนให้ชัดเจนโดยเร็ว เนื่องจากขณะนี้การเจรจาจัดทำข้อตกลงหุ้นส่วนภาคพื้นแปซิฟิก (TPP) และเขตการค้าเสรีเอเชียตะวันออกระหว่างจีน ญี่ปุ่น และเกาหลี เป็นปัจจัยที่ลดทอนการให้ความสำคัญต่ออาเซียนของคู่เจรจาลง และอาจทำให้อาเซียนสูญเสียความเป็นศูนย์กลาง (ASEAN - Centrality) ได้ พร้อมทั้งเห็นชอบการจัดตั้งคณะทำงานด้านการค้าสินค้า การค้าบริการ การลงทุน และกฎว่าด้วยถิ่นกำเนิดสินค้าเพื่อให้ผู้เชี่ยวชาญในแต่ละด้านดำเนินการจัดทำ Template สำหรับการเจรจา ASEAN ++ FTA ของอาเซียน ๒. ที่ประชุมเร่งรัดให้ทุกประเทศยื่นข้อผูกพันการเปิดเสรีการค้าบริการชุดที่ ๘ โดยเร็วที่สุด และเตรียมจัดทำแผนงานสำหรับการจัดทำข้อผูกพันชุดที่เหลือคือ ชุดที่ ๙ - ๑๑ ไปพร้อม ๆ กันกับชุดที่ ๘ ด้วย โดยให้ยุบรวมข้อผูกพันชุดที่ ๙ - ๑๑ ให้เหลือเพียง ๒ ชุด และยื่นภายในปี ๒๐๑๓ และ ๒๐๑๕ ตามลำดับ โดยให้ขอรับการสนับสนุนจากฝ่ายการเมืองเพื่อให้สามารถเปิดเสรีการค้าบริการในทุกสาขาได้ภายในปี ๒๐๑๕ ตามที่ตกลงกันไว้ ๓. ทุกประเทศได้ให้สัตยาบันความตกลงว่าด้วยการลงทุนของอาเซียน (ACIA) แล้ว รอเพียงให้ทุกประเทศให้ความเห็นชอบตารางข้อสงวนการเปิดเสรีการลงทุนของ ACIA ให้ครบ ขณะนี้เหลือเพียงฟิลิปปินส์และเวียดนามซึ่งแจ้งว่าจะเร่งรัดการดำเนินการภายในประเทศเพื่อให้การรับรองข้อสงวนภายในปลายเดือนกุมภาพันธ์หรือต้นเดือนมีนาคมศกนี้ ๔. ที่ประชุมให้ความสำคัญกับการจัดตั้ง ASEAN Single Window (ASW) และมีมติให้พิจารณาใช้ข้อมูลที่มีใน ASW เป็นพื้นฐานในการจัดทำ ATR โดยให้สำนักเลขาธิการอาเซียนพิจารณาแหล่งเงินทุนสำหรับการแปลกฎหมายที่เกี่ยวข้องของประเทศสมาชิกเป็นภาษาอังกฤษด้วย ๕. รัฐมนตรีเศรษฐกิจได้เน้นย้ำความสำคัญของการลด/เลิกมาตรการที่มิใช่ภาษี (NTM) โดยให้เจ้าหน้าที่อาวุโสวิเคราะห์ผลกระทบของมาตรการดังกล่าวต่อการค้าและการลงทุนภายในอาเซียน รวมทั้งจัดทำแผนงานในการจัดตั้งกลไกเพื่อดูแลการใช้มาตรการต่าง ๆ ไม่ให้เป็นอุปสรรคต่อการเคลื่อนย้ายสินค้าโดยเสรี
|
|||||||||||||||||||||||||||
429 | แผนพัฒนาจังหวัด แผนพัฒนากลุ่มจังหวัด แผนปฏิบัติราชการประจำปีของจังหวัด แผนปฏิบัติราชการประจำปีของกลุ่มจังหวัด และคำของบประมาณของจังหวัดและกลุ่มจังหวัด ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2556 | นร | 17/04/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามผลการพิจารณาของคณะกรรมการนโยบายการบริหารจังหวัดและกลุ่มจังหวัดแบบบูรณาการ (ก.น.จ.) ในการประชุมครั้งที่ ๒/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๗ เมษายน ๒๕๕๕ เกี่ยวกับแผนพัฒนาจังหวัด แผนพัฒนากลุ่มจังหวัด แผนปฏิบัติราชการประจำปีของจังหวัด แผนปฏิบัติราชการประจำปีของกลุ่มจังหวัด คำของบประมาณของจังหวัดและกลุ่มจังหวัด ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ตามที่เลขาธิการ ก.พ.ร. กรรมการและเลขานุการคณะกรรมการนโยบายการบริหารงานจังหวัดและกลุ่มจังหวัดแบบบูรณาการเสนอ โดยมีผลการพิจารณา ดังนี้
๑. เห็นชอบกับแผนพัฒนาจังหวัด จำนวน ๗๖ จังหวัด และแผนพัฒนากลุ่มจังหวัด จำนวน ๑๘ กลุ่มจังหวัด ตามความเห็นของอนุกรรมการนโยบายการบริหารงานจังหวัดและกลุ่มจังหวัดแบบบูรณาการ (อ.ก.น.จ.) ด้านแผนและด้านงบประมาณ โดยเห็นว่าภาพรวมแผนพัฒนาจังหวัดและกลุ่มจังหวัดมีความสอดคล้องเชื่อมโยงกับนโยบายของรัฐบาล แผนพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กรอบยุทธศาสตร์การพัฒนาภาค รวมถึงยุทธศาสตร์รายสาขา รวมทั้งความสอดคล้องกับศักยภาพ โอกาส สภาพปัญหา และความต้องการของประชาชนในพื้นที่ ๒. เห็นชอบแผนปฏิบัติราชการประจำปีของจังหวัด ๗๖ จังหวัด แผนปฏิบัติราชการประจำปีของกลุ่มจังหวัด ๑๘ กลุ่มจังหวัด และคำของบประมาณของจังหวัดและกลุ่มจังหวัด ๗๖ จังหวัด/๑๘ กลุ่มจังหวัด ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ตามความเห็นของ อ.ก.น.จ. ด้านแผนและด้านงบประมาณ โดยมีโครงการที่สมควรได้รับการสนับสนุนงบประมาณจังหวัดและกลุ่มจังหวัด ดังนี้ ๒.๑ โครงการที่สมควรได้รับการสนับสนุน เป็นงบประมาณกลุ่มจังหวัด ๑๘ กลุ่มจังหวัด จำนวน ๓๐๘ โครงการ รวม ๗,๑๗๗,๘๑๖,๗๙๔ บาท ๒.๒ โครงการที่สมควรได้รับการสนับสนุน เป็นงบประมาณจังหวัด ๗๖ จังหวัด จำนวน ๒,๙๑๖ โครงการ รวม ๑๘,๘๖๐,๙๗๓,๘๐๔ บาท ทั้งนี้ โครงการที่เห็นควรสนับสนุนข้างต้นเป็นโครงการที่สอดคล้องกับประเด็นยุทธศาสตร์จังหวัด/กลุ่มจังหวัด แต่จากข้อจำกัดทางด้านงบประมาณอาจไม่ได้รับการจัดสรรทุกโครงการ ดังนั้น กรณีที่มีการพิจารณาต้นทุนต่อหน่วยของโครงการที่ได้รับการจัดสรรงบประมาณแล้วยังมีงบประมาณเหลืออยู่ เห็นชอบให้นำโครงการที่ไม่ได้รับการจัดสรรมาพิจารณาสนับสนุนเพิ่มเติมตามลำดับความสำคัญหรือที่สำรองไว้ในกรณีที่มีการแปรญัตติงบประมาณเพิ่มเติม ๒.๓ ในส่วนของโครงการที่ดำเนินการโดยกระทรวง ทบวง กรม องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หรือหน่วยงานอื่นใดของรัฐ หรือเอกชนตามที่ปรากฏในแผนปฏิบัติราชการประจำปีของจังหวัดและกลุ่มจังหวัด ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ มอบให้จังหวัดหรือกลุ่มจังหวัดประสานขอรับการสนับสนุนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยตรง ๓. ให้คณะกรรมการบริหารงานจังหวัดแบบบูรณาการ (ก.บ.จ.) และคณะกรรมการบริหารงานกลุ่มจังหวัดแบบบูรณาการ (ก.บ.ก.) พิจารณาแผนปฏิบัติราชการประจำปีของจังหวัด และแผนปฏิบัติราชการประจำปีของกลุ่มจังหวัด ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ แล้วแต่กรณี ว่ามีโครงการตามนโยบายสำคัญของรัฐบาล ซึ่งได้แก่ การบริหารจัดการน้ำแบบบูรณาการ การเชื่อมโยงระบบสาธารณูปโภคให้สอดคล้องกัน และการพัฒนาเตรียมการเพื่อการเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนอยู่ในกรอบวงเงินงบประมาณที่จะได้รับการจัดสรรหรือไม่ หากไม่มีและต้องการปรับปรุงแผนปฏิบัติราชการประจำปีของจังหวัด หรือแผนปฏิบัติราชการประจำปีของกลุ่มจังหวัดให้สอดคล้องกับนโยบายสำคัญของรัฐบาลดังกล่าว ให้ ก.บ.จ. หรือ ก.บ.ก. ปรับปรุงแผนปฏิบัติราชการประจำปีของจังหวัด หรือแผนปฏิบัติราชการประจำปีของกลุ่มจังหวัด โดยการทำโครงการที่ ก.น.จ. ให้ความเห็นชอบในหลักการ ซึ่งอยู่ในกรอบวงเงินงบประมาณที่จะได้รับการจัดสรรไปเป็นโครงการสำรอง แล้วเสนอโครงการใหม่ หรือนำโครงการสำรองมาแทนที่โครงการเดิม และหากโครงการใหม่นั้นไม่อยู่ในแผนพัฒนาจังหวัด หรือแผนพัฒนากลุ่มจังหวัด ให้ ก.บ.จ. หรือ ก.บ.ก. ปรับปรุงแผนพัฒนาจังหวัด หรือแผนพัฒนากลุ่มจังหวัด แล้วส่งให้ฝ่ายเลขานุการ ก.น.จ. และสำนักงบประมาณ ภายในวันที่ ๑๐ พฤษภาคม ๒๕๕๕ และให้ฝ่ายเลขานุการ ก.น.จ. รวบรวมเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาปรับปรุงแผนดังกล่าวโดยตรงต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
430 | ขอรับการสนับสนุนงบประมาณเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการจัดการเลือกตั้งเลือกสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดปทุมธานี เขตเลือกตั้งที่ 5 แทนตำแหน่งที่ว่าง | ลต | 10/04/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามความเห็นของสำนักงบประมาณกรณีสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งขอรับการสนับสนุนงบประมาณเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการจัดการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดปทุมธานี เขตเลือกตั้งที่ ๕ แทนตำแหน่งที่ว่าง โดยให้สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งพิจารณาใช่จายจากเงินรายได้ โดยการปรับแผนการมใช้จ่ายเงินอุดหนุนที่ได้รับการจัดสรรจากรัฐ และหากพิจารณาตรวจสอบแล้วมีไม่เพียงพอ ก็ให้เสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณอีกครั้งหนึ่ง ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
|||||||||||||||||||||||||||
431 | ผลการประชุมคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศ (กยอ.) ครั้งที่ 2/2555 | นร | 29/03/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศ (กยอ.) ครั้งที่ ๒/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๒๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ ตามที่เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กรรมการและเลขานุการคณะกรรมการ กยอ. เสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบแนวทางการดำเนินงานของกองทุนส่งเสริมการประกันภัยพิบัติ ตามที่คณะกรรมการบริหารกองทุนส่งเสริมการประกันภัยเสนอ โดยให้รับข้อสังเกตและความเห็นของคณะกรรมการ กยอ. เรื่องการพิจารณาทบทวนการประเมินความเสี่ยงของพื้นที่ซึ่งจะมีผลต่ออัตราเบี้ยประกันภัย ไปประกอบการพิจารณาปรับปรุงแนวทางการดำเนินงานของกองทุนฯ ต่อไป ๑.๒ รับทราบความคืบหน้าการดำเนินงานของกระทรวงอุตสาหกรรมและการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เพื่อฟื้นฟูนิคมอุตสาหกรรม และมอบให้กระทรวงอุตสาหกรรมและการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อพิจารณาปรับปรุงหลักเกณฑ์พร้อมทั้งกำหนดแนวทางปฏิบัติในเรื่องของโครงการสินเชื่อเพื่อพัฒนาระบบป้องกันอุทกภัยให้เกิดความชัดเจนและถูกต้องตามข้อกฎหมาย แล้วรายงานผลให้คณะกรรมการ กยอ. ทราบต่อไป ๑.๓ เห็นชอบประเด็นการศึกษาเพื่อจัดทำรายละเอียดของยุทธศาสตร์เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศ ด้านการปรับโครงสร้างอุตสาหกรรม การพัฒนาพื้นที่เศรษฐกิจใหม่ และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน รวมทั้งรูปแบบการทำงานของที่ปรึกษา ตามที่ฝ่ายเลขานุการเสนอ และมอบให้ฝ่ายเลขานุการดำเนินการจัดทำข้อกำหนดโครงการ (Term of Reference) และดำเนินการจัดจ้างที่ปรึกษาต่อไป รวมทั้งเห็นชอบวงเงินงบประมาณในการดำเนินโครงการ จำนวน ๖๐ ล้านบาท โดยให้ฝ่ายเลขานุการประสานกับสำนักงบประมาณเพื่อขอรับการสนับสนุนงบประมาณต่อไป และให้ฝ่ายเลขานุการเร่งนำเสนอเรื่องแผนงานการลงทุนพัฒนาระบบรางให้คณะกรรมการ กยอ. พิจารณา โดยไม่ต้องรอการศึกษาในภาพรวม ๑.๔ ให้คณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อวางระบบการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ (กยน.) โดยคณะอนุกรรมการฟื้นฟูและอนุรักษ์ป่าต้นน้ำรับไปดำเนินการศึกษาประเมินความเป็นไปได้แบบเร่งด่วน (Rapid Assessment) ถึงความเหมาะสมของรูปแบบและวิธีการดำเนินงานของการจัดตั้งองค์กรขับเคลื่อนภารกิจและบูรณาการยุทธศาสตร์การฟื้นฟูและอนุรักษ์ป่าต้นน้ำต่อไป โดยให้รับข้อสังเกตเรื่องการสนับสนุนให้ภาคเอกชนและประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการฟื้นฟูและอนุรักษ์ป่าต้นน้ำด้วย ๒. ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติรับไปจัดทำรายละเอียดของยุทธศาสตร์เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศและข้อกำหนดการศึกษาที่เกี่ยวข้องให้ชัดเจน และประสานงานกับสำนักงบประมาณเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายสำหรับการดำเนินงานของสำนักงานเลขานุการคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศ (สกยอ.) ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๖ ธันวาคม ๒๕๕๔ (เรื่อง ผลการประชุมคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศ (กยอ.) ครั้งที่ ๑/๒๕๕๔) แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีอีกครั้งหนึ่ง
|
|||||||||||||||||||||||||||
432 | ความคืบหน้าการดำเนินการตามแผนปฏิบัติการและงบประมาณ ระยะ 3 ปี (พ.ศ. 2554 - 2556) ภายใต้แผนแม่บทป้องกันและบรรเทาภัยจากคลื่นสึนามิ พ.ศ. 2552 - 2556 | มท | 29/03/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความคืบหน้าการดำเนินการตามแผนปฏิบัติการและงบประมาณ ระยะ ๓ ปี (พ.ศ. ๒๕๕๔ - ๒๕๕๖) ภายใต้แผนแม่บทป้องกันและบรรเทาภัยจากคลื่นสึนามิ พ.ศ. ๒๕๕๒ - ๒๕๕๖ ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การดำเนินงานตามแผนปฏิบัติการและงบประมาณ ระยะ ๓ ปีฯ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ มีแผนงาน/โครงการได้รับงบประมาณ จำนวน ๔๑ แผนงาน/โครงการ เป็นเงิน ๒๗๐.๘๘๔๕ ล้านบาท ดำเนินการแล้วเสร็จ จำนวน ๓๑ แผนงาน/โครงการ อยู่ระหว่างดำเนินการ จำนวน ๔ แผนงาน/โครงการ และไม่ได้รายงานผลการดำเนินการ จำนวน ๖ แผนงาน/โครงการ ๒. ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ มีแผนงาน/โครงการภายใต้แผนปฏิบัติการและงบประมาณ ระยะ ๓ ปีฯ ที่ขอรับการสนับสนุนงบประมาณ จำนวน ๒๒๘ แผนงาน/โครงการ งบประมาณ ๒,๖๓๐.๒๘๑๗ ล้านบาท โดยมีแผนงาน/โครงการได้รับงบประมาณประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๕ จำนวน ๑๕ แผนงาน/โครงการ เป็นเงิน ๓๖๙.๐๖๑๑ ล้านบาท ประกอบด้วย ยุทธศาสตร์ด้านการป้องกันและลดผลกระทบ จำนวน ๑๑ แผนงาน/โครงการ งบประมาณที่ได้รับ จำนวน ๓๐๐.๖๓๐๐ ล้านบาท ยุทธศาสตร์ด้านการเตรียมพร้อมรับภัย จำนวน ๒ แผนงาน/โครงการ งบประมาณที่ได้รับ จำนวน ๕๕.๐๐๐๐ ล้านบาท และยุทธศาสตร์ด้านการจัดการหลังเกิดภัย จำนวน ๒ แผนงาน/โครงการ งบประมาณที่ได้รับ จำนวน ๑๓.๔๓๑๑ ล้านบาท ๓. กรณีแผนงาน/โครงการที่ไม่ได้รับการจัดสรรงบประมาณในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ หน่วยงานได้มีการปรับแผนการดำเนินงานเป็นปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ จำนวน ๑๐ โครงการ ขอรับการสนับสนุนจากงบประมาณอื่น จำนวน ๗ โครงการ เจียดจ่ายจากงบประมาณปกติมาดำเนินโครงการ จำนวน ๒ โครงการ และขอใช้งบประมาณเหลือจ่ายจากปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ มาดำเนินโครงการ จำนวน ๑ โครงการ |
|||||||||||||||||||||||||||
433 | รายงานผลการตรวจสอบสภาพพื้นที่เพื่อประกอบการพิจารณาสนับสนุนการพัฒนาศักยภาพด้านการท่องเที่ยวของจังหวัดพังงาและกลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอันดามัน | นร | 20/03/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการการสนับสนุนการพัฒนาศักยภาพด้านการท่องเที่ยวของจังหวัดพังงาและกลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอันดามัน ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ให้กระทรวงคมนาคม การท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย (ทอท.) และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการขยายสนามบินนานาชาติภูเก็ตซึ่งได้จัดสรรงบประมาณไว้แล้ว พร้อมทั้งศึกษาความเป็นไปได้ในการก่อสร้างสนามบินพังงาในโอกาสต่อไป ทั้งนี้ เพื่อรองรับจำนวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้นทุกปี ๑.๒ ให้กระทรวงคมนาคม กรมทางหลวง จังหวัดพังงา และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องพิจารณาความเหมาะสมในการจัดตั้งสำนักงานแขวงการทางพังงา เพื่อให้หน่วยงานดังกล่าวสามารถพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ อาทิ ถนน หรือสะพานเข้าแหล่งท่องเที่ยวให้แก่จังหวัดพังงาได้อย่างคล่องตัวและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น รวมทั้งพิจารณาการอนุมัติงบประมาณเพื่อก่อสร้างสะพานข้ามจากฝั่งไปบนเกาะคอเขา เพื่อสนับสนุนนโยบายการสร้างรายได้ให้แก่ประชาชน ๑.๓ ให้กระทรวงคมนาคม กรมเจ้าท่า กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องพิจารณาความเหมาะสมในการก่อสร้างท่าเทียบเรือท่องเที่ยวในพื้นที่อำเภอคุระบุรีและทับละมุ อำเภอท้ายเหมือง จังหวัดพังงา เพื่อให้เป็นท่าเทียบเรือท่องเที่ยวที่ได้มาตรฐานและมีความปลอดภัยต่อนักท่องเที่ยว ๑.๔ ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องพิจารณาความเหมาะสมในการจัดตั้งสำนักงานการท่องเที่ยวพังงาเพื่อให้หน่วยงานดังกล่าวสามารถบริหารจัดการท่องเที่ยวจังหวัดพังงาได้อย่างคล่องตัวและมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยเฉพาะการพัฒนาด้านการตลาด และการประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยวของจังหวัดให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้ประกอบการธุรกิจการท่องเที่ยวและนักท่องเที่ยวให้มากยิ่งขึ้น ๑.๕ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย และกลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอันดามัน พิจารณาความเหมาะสมในการจัดสรรงบประมาณเพื่อใช้ในการพัฒนาและแก้ไขปัญหาพื้นที่อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสุรินทร์ และหมู่เกาะสิมิลัน อาทิ ปัญหาขยะมูลฝอย และปัญหาปะการังฟอกขาว รวมทั้งกำหนดเขตพื้นที่ที่นักท่องเที่ยวสามารถเข้าไปท่องเที่ยวได้ให้ชัดเจน ทั้งนี้ เพื่อจัดระเบียบและมาตรฐานความปลอดภัยของนักท่องเที่ยวให้เป็นมาตรฐานสากล ๑.๖ ให้กระทรวงการต่างประเทศพิจารณาความเหมาะสมในการลดอัตราค่าธรรมเนียมวีซ่าเข้าประเทศของนักท่องเที่ยวจากประเทศยุโรป โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศในแถบสแกนดิเนเวีย ซึ่งเป็นนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ของจังหวัดพังงา ทั้งนี้ เพื่อเป็นการกระตุ้นการท่องเที่ยวของจังหวัดพังงาในช่วงนอกฤดูกาลท่องเที่ยว ๒. ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับข้อเสนอของสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีไปพิจารณาดำเนินการ และให้รับความเห็นของส่วนราชการที่เกี่ยวข้องไปประกอบการพิจารณาดำเนินการ ดังนี้ ๒.๑ ให้กระทรวงคมนาคม โดย ทอท. เร่งดำเนินโครงการพัฒนาท่าอากาศยานภูเก็ตให้แล้วเสร็จและเปิดให้บริการภายในปี พ.ศ. ๒๕๕๗ โดยให้ ทอท. จัดทำแผนรองรับชั่วคราวในการบริหารจัดการจราจรภายในท่าอากาศยานเพื่อบรรเทาปัญหาความแออัด และมิให้ส่งผลกระทบต่อความพึงพอใจของผู้ใช้บริการ สำหรับการรองรับปริมาณการจราจรทางอากาศในระยะยาว ให้กระทรวงคมนาคมพิจารณาท่าอากาศยานในจังหวัดใกล้เคียงเป็นลำดับแรก โดยศึกษาการบริหารจัดการใช้ประโยชน์สนามบินในลักษณะที่เป็นเครือข่ายเชื่อมโยงในการแบ่งปริมาณการจราจรไม่ให้เกิดความแออัดเพื่อสนับสนุนการท่องเทียว รวมทั้งเชื่อมโยงโครงข่ายไปยังกลุ่มจังหวัดใกล้เคียง เช่น กระบี่ และตรัง เป็นต้น ๒.๒ ให้กระทรวงคมนาคม โดยกรมทางหลวง ศึกษาและพิจารณารายละเอียดความเหมาะสมในการดำเนินการจัดตั้งแขวงการทางพังงา และการก่อสร้างสะพานข้ามจากฝั่งไปบนเกาะคอเขา และให้กรมเจ้าท่าศึกษารายละเอียดความเหมาะสมในการก่อสร้างท่าเทียบเรือในพื้นที่อำเภอคุระบุรีและทับละมุ ๒.๓ ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และกลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอันดามันบูรณาการแผนพัฒนาการท่องเที่ยวและการส่งเสริมประชาสัมพันธ์ตลาดท่องเที่ยวของกลุ่มจังหวัดให้มีการดำเนินงานภายใต้กรอบทิศทางและเป้าหมายเดียวกัน เพื่อบรรลุวิสัยทัศน์ด้านการท่องเที่ยวของจังหวัดและกลุ่มจังหวัดตามที่ได้ร่วมกำหนดไว้ ๒.๔ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ให้ความสำคัญลำดับแรกกับการดำเนินโครงการเพื่อการแก้ปัญหาในพื้นที่อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสุรินทร์ และหมู่เกาะสิมิลัน ภายใต้แผนงานการอนุรักษ์และจัดการทรัพยากรธรรมชาติที่ได้รับการจัดสรรงบประมาณประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ เพื่อยกระดับคุณภาพการท่องเที่ยวในเขตพื้นที่อุทยานแห่งชาติให้มีมาตรฐานในระดับสากล ๓. ให้กระทรวงมหาดไทย (จังหวัดพังงาและกลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งทะเลอันดามัน) นำโครงการตามข้อเสนอดังกล่าวไปบรรจุไว้ในแผนพัฒนาจังหวัดและกลุ่มจังหวัด และแผนปฏิบัติราชการประจำปีของจังหวัดและกลุ่มจังหวัด ตามกระบวนการและขั้นตอนที่กำหนดไว้ในพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการบริหารงานจังหวัดและกลุ่มจังหวัดแบบบูรณาการ พ.ศ. ๒๕๕๑ โดยจัดลำดับความสำคัญและความจำเป็นเร่งด่วน รวมทั้งประสานกับส่วนราชการที่เกี่ยวข้องเพื่อนำโครงการไปบรรจุไว้ในแผนปฏิบัติราชการประจำปีของส่วนราชการ เพื่อขอรับการสนับสนุนงบประมาณตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ |
|||||||||||||||||||||||||||
434 | ผลการประชุมร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจในภูมิภาค ครั้งที่ 3/2555 | นร | 20/03/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจในภูมิภาค ครั้งที่ ๓/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๑๙ มีนาคม ๒๕๕๕ ณ จังหวัดภูเก็ต โดยได้พิจารณาข้อเสนอของคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน ๓ สถาบัน (กกร.) และสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (สทท.) ๒. เห็นชอบตามมติที่ประชุมและข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีตามผลการประชุมร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจในภูมิภาค ครั้งที่ ๓/๒๕๕๕ จังหวัดภูเก็ต และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการตามมติที่ประชุม และรายงานผลการดำเนินงานให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ดังนี้ ๒.๑ ข้อเสนอของ กกร./สทท. จำนวน ๘ เรื่อง ได้แก่ ๒.๑.๑ โครงการขยายถนนฝั่งอันดามัน (ทางหลวงหมายเลข ๔) ให้เป็นถนน ๔ ช่องทางจราจรทั้งระบบ ที่ประชุมมีมติให้กระทรวงคมนาคมพิจารณาเร่งรัดดำเนินการโครงการดังกล่าว ตั้งแต่แยกปฐมพร จังหวัดชุมพร - ระนอง - พังงา - ตรัง เชื่อมทางหลวงหมายเลข ๔๐๔ - หมายเลข ๔๑๖ และหมายเลข ๔๑๘๔ - ด่านวังประจัน จังหวัดสตูล โดยให้ยึดเส้นทางเพื่อเชื่อมโยงการท่องเที่ยวเป็นหลัก และคำนึงถึงหลักความปลอดภัยในการเดินทางของนักท่องเที่ยวและประชาชน ๒.๑.๒ โครงการรถไฟทางคู่ภาคใต้ (เส้นทางกรุงเทพฯ - ชุมพร - สุไหงโก-ลก และปาดังเบซาร์) ที่ประชุมมีมติให้กระทรวงคมนาคมศึกษาความเป็นไปได้และความเหมาะสมในการพัฒนาเร่งรัดระบบโครงการรถไฟทางคู่ภาคใต้ (เส้นทางกรุงเทพฯ - ชุมพร - สุไหงโก-ลก และปาดังเบซาร์) ให้สอดคล้องกับแนวทางการพัฒนาระบบรางและรถไฟความเร็วสูงที่กระทรวงคมนาคมได้ศึกษาไว้ รวมทั้งเร่งรัดการดำเนินการตามแผนการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐาน ระยะเร่งด่วน พ.ศ. ๒๕๕๓ - ๒๕๕๗ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๗ เมษายน ๒๕๕๓ (เรื่อง ผลการประชุมคณะกรรมการรัฐมนตรีเศรษฐกิจ ครั้งที่ ๕/๒๕๕๓) ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการขนส่งสินค้าทางรางให้เป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ ๒.๑.๓ โครงการ “ทางรถไฟสายอันดามัน” ที่ประชุมมีมติให้ สทท. ศึกษาความเป็นไปได้ และจัดทำรายละเอียดของโครงการทั้งปริมาณการขนส่ง ผู้โดยสารและสินค้า ความคุ้มค่าในการลงทุน ตลอดจนผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ๒.๑.๔ การศึกษาโอกาสและความเป็นไปได้ในการพัฒนาสนามบินในกลุ่มพื้นที่อันดามัน (สนามบินนานาชาติภูเก็ต สนามบินกระบี่ และสนามบินตรัง) ที่ประชุมมีมติให้กระทรวงคมนาคมพิจารณาแต่งตั้งคณะทำงานร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อศึกษาแนวทางการปรับปรุงประสิทธิภาพการให้บริการของท่าอากาศยานทั่วประเทศ ทั้งในด้านการแก้ไขปัญหาความแออัดและการอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้โดยสาร การจัดเตรียมอัตรากำลังของภาครัฐที่เหมาะสม การปรับปรุงระบบเทคโนโลยีสารสนเทศของท่าอากาศยาน รวมทั้งการบริหารจัดการของท่าอากาศยาน และความเป็นไปได้ในการจัดจ้างหน่วยงานภายนอกมาให้บริการ โดยให้ สทท. จัดทำรายละเอียดข้อมูลที่เกี่ยวข้องเพื่อประกอบการดำเนินงานของคณะทำงานต่อไป ๒.๑.๕ การอำนวยพิธีการตรวจคนเข้าเมือง เข้า - ออก ณ สนามบินนานาชาติสุวรรณภูมิ ที่ประชุมมีมติให้กระทรวงคมนาคมรับไปดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๘ มีนาคม ๒๕๕๔ (เรื่อง ผลการประชุมคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจ ครั้งที่ ๑/๒๕๕๔) ซึ่งมีมติให้กระทรวงคมนาคมเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงการคลัง และ สทท. แก้ไขปัญหาและอุปสรรคในการอำนวยความสะดวกแก่ผู้โดยสารและนักท่องเที่ยวและรายงานผลการดำเนินงานให้คณะรัฐมนตรีทราบ และให้สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองพิจารณาภาพรวมการปรับปรุงการให้บริการ ณ จุดตรวจคนเข้าเมือง โดยพิจารณารูปแบบ เทคโนโลยี และกำลังพลที่เหมาะสม และให้หารือกับกระทรวงคมนาคมในเรื่องความเพียงพอของพื้นที่กายภาพที่จะให้บริการ ๒.๑.๖ โครงการบ้านปลาเฉลิมพระเกียรติทะเลไทย (ปะการังเทียม) ฝั่งอันดามัน ที่ประชุมมีมติให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมบูรณาการโครงการดังกล่าวและข้อเสนอของภาคเอกชนทั้งในเรื่องการกำหนดพื้นที่ เทคนิคการวางปะการัง งบประมาณที่เหมาะสม และการร่วมกันรับภาระค่าใช้จ่ายระหว่างภาครัฐและเอกชน เพื่อขอรับการสนับสนุนงบประมาณในปี พ.ศ. ๒๕๕๖ ต่อไป ๒.๑.๗ การเร่งรัดดำเนินการ เรื่อง แนวทาง/มาตรการส่งเสริมอุตสาหกรรมไม้ยางพารา ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๘ มีนาคม ๒๕๕๔ (เรื่อง ผลการประชุมคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจ ครั้งที่ ๑/๒๕๕๔) เกี่ยวกับการขยายระยะเวลาการจัดทำบัญชีไม้ การกำหนดค่ามาตรฐานในการแปลงค่าน้ำหนักเป็นปริมาตรเพื่อประกอบการจัดทำบัญชีไม้ และปรับปรุงการออกใบอนุญาตและต่ออายุใบอนุญาตจัดตั้งโรงงานแปรรูปไม้ยางพารา ที่ประชุมมีมติให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติสิ่งแวดล้อมเร่งรัดการพิจารณาการออกระเบียบ ข้อกำหนด และกฎกระทรวงที่เกี่ยวข้องภายใต้พระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. ๒๔๘๔ ๒.๑.๘ กลไกในการขับเคลื่อนการพัฒนาและการแก้ปัญหาที่สามารถปฏิบัติและหวังผลได้ในกลุ่มจังหวัดอันดามัน โดยการจัดตั้ง “คณะกรรมการการพัฒนาและแก้ไขปัญหาการท่องเที่ยวจังหวัดเชิงปฏิบัติการ” ทำหน้าที่ติดตามความก้าวหน้าของงานด้านต่าง ๆ จากหน่วยงานที่รับผิดชอบ และเสนอโครงการต่อนายกรัฐมนตรีหรือผู้ที่นายกรัฐมนตรีมอบหมาย ที่ประชุมมีมติให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล) ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาพิจารณากำหนดรูปแบบของกลไกที่สามารถขับเคลื่อนการบูรณาการการแก้ไขปัญหาการท่องเที่ยวทั้งในระดับภาพรวม และระดับพื้นที่/กลุ่มจังหวัด ๒.๒ ข้อสั่งการเพิ่มเติมของนายกรัฐมนตรี จำนวน ๕ เรื่อง ได้แก่ ๒.๒.๑ การแก้ปัญหาจากการเติบโตอย่างรวดเร็วที่ส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมท่องเที่ยว ๒.๒.๑.๑ ให้กระทรวงคมนาคมร่วมกับจังหวัดในการแก้ไขปัญหาระบบขนส่งมวลชน โดยเฉพาะด้านความเพียงพอและคุณภาพการให้บริการ ๒.๒.๒.๑ ให้กระทรวงคมนาคมแต่งตั้งคณะทำงานร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อบูรณาการการแก้ไขปัญหาความแออัดของสนามบินภูเก็ต การให้บริการ และการบริหารจัดการสนามบิน ๒.๒.๒.๓ ให้กระทรวงมหาดไทยและจังหวัดรับไปดำเนินการในเรื่องระบบบำบัดน้ำเสียและกำจัดขยะ รวมทั้งเรื่องน้ำประปาไม่เพียงพอ ๒.๒.๒ การแก้ไขปัญหาหลอกลวงเอาเปรียบนักท่องเที่ยวและปัญหาผู้มีอิทธิพลในท้องถิ่นคุกคามผู้ประกอบการ ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พิจารณาดำเนินการ โดยเร่งพัฒนายกระดับมาตรฐานด้านความปลอดภัยของนักท่องเที่ยวและให้มีการบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง ๒.๒.๓ การแก้ปัญหาการบุกรุกของผู้มีอิทธิพลในพื้นที่ และคุณภาพของชายหาดและน้ำทะเลของชายหาดสาธารณะที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวหลักของกลุ่มจังหวัดอันดามัน ให้กระทรวงมหาดไทยร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและพื้นที่ (จังหวัด ท้องถิ่น และสมาคมธุรกิจการท่องเที่ยว) ศึกษาแนวทางการแก้ไขปัญหาในการพิจารณากำหนดแนวทางการบริหารจัดการอย่างยั่งยืน ๒.๒.๔ การสร้างศักยภาพด้านการท่องเที่ยวของกลุ่มจังหวัดอันดามันเพื่อตอบสนองแนวโน้มการท่องเที่ยวรูปแบบใหม่ โดยเห็นควรส่งเสริมเส้นทางการท่องเที่ยวทางทะเลในกลุ่มจังหวัดสามเหลี่ยมอันดามัน (ภูเก็ต - กระบี่ - พังงา) เพื่อดึงดูดเม็ดเงินจากนักท่องเที่ยวระดับบน และส่งเสริมกิจกรรมการท่องเที่ยวรูปแบบใหม่ให้สอดคล้องกับศักยภาพของพื้นที่และความต้องการของตลาดที่กำลังได้รับความนิยมอย่างสูง ๒.๒.๕ การแก้ปัญหาพื้นที่ป่าชายเลนเริ่มเสื่อมโทรม ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมร่วมกับองค์กรภาคเอกชน และประชาชนร่วมกันดำเนินกิจกรรมการอนุรักษ์ ฟื้นฟู และมาตรการดูแลและป้องกันผลกระทบที่มีต่อพื้นที่ป่าชายเลนในพื้นที่ ๒.๓ เรื่องอื่นที่ ๆ ที่ภาคเอกชนเสนอเพิ่มเติม จำนวน ๔ เรื่อง ได้แก่ ๒.๓.๑ การเร่งรัดการขยายด่านศุลกากรสะเดา ที่ประชุมมีมติให้กระทรวงการคลังร่วมกับกระทรวงมหาดไทยเร่งรัดกระบวนการเจรจาความตกลงกับประชาชนและจ่ายค่าผลอาสินโดยเร็ว เพื่อให้สามารถพัฒนาบริการของด่านศุลกากรสะเดาต่อไป ๒.๓.๒ การขยายระยะเวลาการใช้มาตรการสนับสนุนเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจจังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่ประชุมมีมติเห็นชอบในหลักการการขยายระยะเวลาการใช้มาตรการสนับสนุนเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจจังหวัดชายแดนภาคใต้ และให้กระทรวงการคลังรับไปดำเนินการโดยประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อร่วมกันพิจารณาตามระเบียบและขั้นตอนต่อไป ๒.๓.๓ การพัฒนาท่าเรือน้ำลึกปากบารา จังหวัดสตูล ที่ประชุมมีมติให้กระทรวงคมนาคมรับไปพิจารณาศึกษารายละเอียดให้รอบครอบ โดยคำนึงถึงมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ๒.๓.๔ การจัดตั้งอุทยานวิทยาศาสตร์ภาคใต้อย่างเต็มรูปแบบในระยะที่ ๒ ที่ประชุมมีมติให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีรับไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
435 | ผลการปฏิบัติราชการของคณะรัฐมนตรีในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอันดามัน | นร | 20/03/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแหงชาติเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบแนวทางและข้อสั่งการในการแก้ไขปัญหาของรัฐมนตรีที่ปฏิบัติราชการในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอันดามันรวม ๔ จังหวัด (จังหวัดภูเก็ต พังงา กระบี่ และตรัง) โดยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำรายละเอียดโครงการและรับข้อสั่งการของรัฐมนตรีไปดำเนินการ ดังนี้ ๑.๑ จังหวัดภูเก็ต ๑.๑.๑ เห็นชอบโครงการแก้มลิงเพื่อแก้ไขปัญหาการขาดแคลนน้ำ จังหวัดภูเก็ต โดยสนับสนุนงบประมาณดำเนินการในปี พ.ศ. ๒๕๕๕ วงเงิน ๒๕ ล้านบาท เพื่อดำเนินการขุดลอกขุมน้ำเฉลิมพระเกียรติ และขุมน้ำราชภัฏพร้อมก่อสร้างอาคารบังคับน้ำ ๑.๑.๒ เห็นชอบหลักการโครงการก่อสร้างระบบรวบรวมและบำบัดน้ำเสียบริเวณพื้นที่สามกอง เทศบาลนครภูเก็ต วงเงิน ๖๐ ล้านบาท โดยให้เทศบาลนครภูเก็ตบรรจุโครงการไว้ในแผนปฏิบัติราชการประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๖ และให้กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นสนับสนุนงบประมาณในการดำเนินงานต่อไป ๑.๑.๓ เห็นชอบโครงการก่อสร้างระบบบำบัดน้ำเสียระยะที่ ๔ วงเงิน ๙๕ ล้านบาท โดยให้กองทุนสิ่งแวดล้อมเร่งรัดพิจารณาการจัดสรรงบประมาณสนับสนุนการดำเนินโครงการ และโครงการก่อสร้างอาคารกำจัดกากตะกอนจุลินทรีย์ วงเงิน ๖๕ ล้านบาท โดยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการกู้เงินเพื่อดำเนินโครงการต่อไป ๑.๑.๔ เห็นชอบโครงการระบบท่อส่งน้ำจากโรงกรองน้ำบ้านบางโจไปยังท่าอากาศยานภูเก็ต โดยสนับสนุนงบประมาณปี พ.ศ. ๒๕๕๕ จำนวน ๒๕ ล้านบาท จากวงเงินงบประมาณ ๔๙.๖๘ ล้านบาท งบประมาณที่เหลือ จำนวน ๒๔.๖๘ ล้านบาท ให้บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) สมทบงบประมาณดำเนินการ ๑.๑.๕ เห็นชอบโครงการพัฒนาระบบควบคุมการจราจรทางน้ำจังหวัดภูเก็ต โดยสนับสนุนงบประมาณปี พ.ศ. ๒๕๕๕ วงเงิน ๒๐ ล้านบาท และให้มีการประชาสัมพันธ์การให้บริการแบบ One Stop Service ๑.๑.๖ เห็นชอบโครงการพัฒนาระบบตรวจจับรถยนต์วิ่งด้วยความเร็วเกินอัตราที่กำหนดและระบบตรวจจับรถยนต์ฝ่าฝืนสัญญาณไฟจราจรในเขตจังหวัดภูเก็ต โดยจัดลำดับความสำคัญของจุดติดตั้งระบบตรวจจับความเร็วรถยนต์ในพื้นที่ถนนหลัก จากเดิม ๖ จุด ลดเหลือ ๓ จุดที่สำคัญ และปรับลดวงเงินเหลือ ๑๗ ล้านบาท ๑.๑.๗ เห็นชอบในหลักการโครงการอุโมงค์ลอดเข้าหาดป่าตอง เพื่อเป็นการแก้ปัญหาการจราจร วงเงิน ๕,๕๕๖.๐๔ ล้านบาท โดยให้กระทรวงคมนาคมศึกษาความเหมาะสมเพิ่มเติม และให้เทศบาลเมืองป่าตองหารือกับท้องถิ่นใกล้เคียงในการพิจารณากำหนดสัดส่วนเงินสมทบของท้องถิ่นในการลงทุนก่อสร้างอุโมงค์ รวมทั้งการกำหนดแนวทางการร่วมลงทุนภาครัฐและเอกชน และการกำหนดอัตราการจัดเก็บค่าธรรมเนียมผ่านทางที่เหมาะสม ๑.๑.๘ เห็นชอบในหลักการโครงการก่อสร้างศาลากลางจังหวัดภูเก็ตหลังใหม่ โดยให้คณะกรรมการอำนวยการจัดระบบศูนย์ราชการ (กศร.) และคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบแผนแม่บทตามขั้นตอนของระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการอำนวยการจัดระบบศูนย์ราชการ พ.ศ. ๒๕๓๙ ก่อนพิจารณาให้การสนับสนุนงบประมาณต่อไป ๑.๑.๙ เห็นชอบในหลักการโครงการก่อสร้างถนนสี่ช่องจราจรถนนวิชิตสงคราม (ระยะที่ ๔) กม. ๑๑+๙๕๐ - กม. ๑๓+๓๐๐ และ กม. ๑๓+๗๔๕ - กม. ๑๔+๕๔๖ วงเงิน ๗๖ ล้านบาท โดยให้กระทรวงคมนาคมพิจารณาศึกษาความเหมาะสมในการแก้ปัญหาจราจรในเมืองภูเก็ต โดยบูรณาการแผนงานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้การแก้ไขปัญหาเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ๑.๑.๑๐ เห็นชอบโครงการอนุรักษ์และพัฒนาโบราณสถานบ้านพระยาวิชิตสงคราม โดยสนับสนุงบประมาณปี พ.ศ. ๒๕๕๕ วงเงิน ๙.๑๑ ล้านบาท ๑.๑.๑๑ เห็นชอบในหลักการโครงการก่อสร้างอนุสรณ์สถานเมืองถลาง อำเภอถลาง จังหวัดภูเก็ต วงเงิน ๕๐๐ ล้านบาท โดยให้จังหวัดภูเก็ตหารือกับกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาและกระทรวงวัฒนธรรม เพื่อบูรณาการการทำงานและจัดทำแผนแม่บท โดยมีรายละเอียดกิจกรรม งบประมาณและแผนบริหารจัดการโครงการที่ระบุหน่วยงานรับผิดชอบดำเนินงานที่ชัดเจน ๑.๒ จังหวัดพังงา ๑.๒.๑ สนับสนุนงบประมาณโครงการเตรียมพื้นที่ ปรับปรุงพื้นที่ ถมดินบริเวณโครงการจัดตั้งศูนย์ราชการระดับจังหวัด จังหวัดพังงา วงเงิน ๓๕ ล้านบาท โดยให้เร่งรัดดำเนินการให้เป็นไปตามขั้นตอนของระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการอำนวยการจัดระบบศูนย์ราชการ พ.ศ. ๒๕๓๙ และจัดทำข้อตกลงกับสำนักงบประมาณต่อไป ๑.๒.๒ เห็นชอบในหลักการโครงการพัฒนาเครือข่ายเชื่อมโยงอันดามัน (Hub & Double Main Corridors) รวม ๓๕ โครงการ วงเงิน ๑๗,๑๐๗.๘๒ ล้านบาท โดยให้กรมทางหลวง กระทรวงคมนาคม บรรจุโครงการไว้ในแผนแม่บทระยะ ๕ ปี และจัดลำดับความสำคัญของเส้นทางเพื่อเสนอขอรับการจัสรรงบประมาณประจำปี ๑.๒.๓ เห็นชอบในหลักการโครงการก่อสร้างศูนย์บริการนักท่องเที่ยวอันดามัน วงเงิน ๒๐ ล้านบาท โดยเร่งรัดให้หน่วยงานรับผิดชอบดำเนินการตามขั้นตอนและระเบียบที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้สามารถดำเนินโครงการได้ตามระยะเวลาที่กำหนด ๑.๒.๔ เห็นชอบโครงการปรับปรุงเส้นทางสายเพชรเกษม ช่วงเขาหลัก - บางเนียง โดยสนับสนุนงบประมาณปี พ.ศ. ๒๕๕๕ วงเงิน ๓๐ ล้านบาท ๑.๒.๕ เห็นชอบโครงการก่อสร้างสะพานท่าเทียบเรือเพื่อการท่องเที่ยว (ท่ามาเนาะห์) ตำบลเกาะยาวน้อย อำเภอเกาะยาว จังหวัดพังงา โดยสนับสนุนงบประมาณปี พ.ศ. ๒๕๕๕ วงเงิน ๓๐ ล้านบาท ๑.๓ จังหวัดกระบี่ ๑.๓.๑ เห็นชอบในหลักการโครงการสำรวจและออกแบบเพื่อการก่อสร้างทางเลี่ยงเมืองกระบี่ วงเงิน ๖๐ ล้านบาท เพื่อจัดจ้างที่ปรึกษาสำรวจและออกแบบรายละเอียดโครงการเพื่อเตรียมความพร้อมก่อนดำเนินการก่อสร้างต่อไป ๑.๓.๒ เห็นชอบการเร่งรัดการแก้ไขปัญหาการสัญจรไปยังเกาะลันตา ส่วนการแก้ปัญหาโดยการขุดลอกร่องน้ำบริเวณท่าเทียบแพขนานยนต์ข้ามฟากเกาะลันตา เห็นควรให้เปลี่ยนจากการขุดลอกร่องน้ำ เป็นการขยายการก่อสร้างสะพานเพื่อให้แพขนานยนต์สามารถเข้าเทียบท่าได้ตลอดเวลา ๑.๓.๓ เห็นชอบโครงการก่อสร้างอาคารอุบัติเหตุ - ฉุกเฉิน และอุบัติภัยธรรมชาติ เพื่อรองรับคุณภาพชีวิตที่ดีและการท่องเที่ยว โดยสนับสนุนงบประมาณปี พ.ศ. ๒๕๕๕ วงเงิน ๙๙.๓๔ ล้านบาท ๑.๓.๔ รับทราบข้อเสนอโครงการจัดตั้งมหาวิทยาลัยของฝั่งทะเลอันดามันในพื้นที่จังหวัดกระบี่ โดยให้กระทรวงศึกษาธิการร่วมกับจังหวัดกระบี่ศึกษาโครงการและนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ๑.๔ จังหวัดตรัง ๑.๔.๑ เห็นชอบโครงการการพัฒนาแหล่งน้ำจังหวัดตรัง โดยสนับสนุนงบประมาณปี พ.ศ. ๒๕๕๕ วงเงิน ๖๔ ล้านบาท โดยทำความตกลงรายละเอียดกับสำนักงบประมาณ ๑.๔.๒ เห็นชอบในหลักการโครงการการพัฒนาท่าเทียบเรือเพื่อการท่องเที่ยว วงเงิน ๓๐ ล้านบาท โดยให้องค์การบริหารส่วนจังหวัดตรังจัดทำแผนการบริหารท่าเรือและบำรุงรักษาในระยะยาว โดยใช้งบประมาณท้องถิ่น และให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและสำนักงบประมาณพิจารณาแหล่งงบประมาณในการดำเนินโครงการต่อไป ๑.๔.๓ เห็นชอบในหลักการโครงการขยายลานจอดเครื่องบินและก่อสร้างทางขับท่าอากาศยานตรัง โดยให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและสำนักงบประมาณพิจารณาสนับสนุนงบประมาณ และการปรับปรุงอาคารผู้โดยสารเดิมที่มีระบบอุปกรณ์พื้นฐานที่จำเป็นในการบริการผู้โดยสาร รวมทั้งพิจารณาอุดหนุนงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น สนับสนุนการดำเนินการต่อไป ๑.๔.๔ เห็นชอบโครงการพัฒนาเกาะสุกรเป็นแหล่งท่องเที่ยวอันดามัน โดยสนับสนุนงบประมาณดำเนินการปี พ.ศ. ๒๕๕๕ วงเงิน ๒๕.๙๔ ล้านบาท ๒. เห็นชอบโครงการที่มีความพร้อมและมีความจำเป็นเร่งด่วนซึ่งสามารถดำเนินการได้ทันที โดยให้หน่วยงานเจ้าของโครงการจัดทำรายละเอียดคำขอรับการจัดสรรงบประมาณประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๕ จัดส่งให้สำนักงบประมาณโดยเร่งด่วน ๓. เห็นชอบตามความเห็นและข้อสั่งการเพิ่มเติมที่นอกเหนือจากโครงการในพื้นที่ดูงานของรัฐมนตรีในพื้นที่จังหวัดภูเก็ต พังงา กระบี่ และตรัง ดังนี้ ๓.๑ จังหวัดภูเก็ต ๓.๑.๑ ให้แขวงการทางภูเก็ต สำนักงานทางหลวงกระบี่ (สุราษฎร์ธานี) จัดทำโครงการปรับปรุงเรขาคณิตของทางหลวงหมายเลข ๔๐๒ (บริเวณโค้งคอเอน) เพิ่มเติม เพื่อขอรับการสนับสนุนงบประมาณปี พ.ศ. ๒๕๕๕ วงเงิน ๒๐ ล้านบาท ๓.๑.๒ เห็นชอบในหลักการโครงการของโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลฉลอง จำนวน ๒ โครงการ ประกอบด้วย โครงการก่อสร้างอาคารผู้ป่วยนอกบำบัดรักษาโรงพยาบาลฉลอง วงเงิน ๑๐๒ ล้านบาท และโครงการก่อสร้างอาคารบ้านพักแพทย์/พยาบาล เจ้าหน้าที่ ๒๐ ยูนิต ๖ ชั้น รพ.สต.ฉลอง วงเงิน ๘๔ ล้านบาท โดยให้กระทรวงสาธารณสุขพิจารณาจัดสรรงบประมาณในการดำเนินการต่อไป ๓.๑.๓ เห็นชอบหลักการโครงการของโรงพยาบาลถลาง จำนวน ๒ โครงการ ประกอบด้วย โครงการจัดหาครุภัณฑ์ทางการแพทย์ วงเงิน ๑๐๖ ล้านบาท โดยให้กระทรวงสาธารณสุขสนับสนุนงบประมาณในปี พ.ศ. ๒๕๕๖ และโครงการก่อสร้างแฟลตพยาบาล ๗ ชั้น ๘๐ ยูนิต วเงิน ๖๐ ล้านบาท
|
|||||||||||||||||||||||||||
436 | ขอรับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2555 งบกลาง สำหรับเป็นค่าใช้จ่ายในการฝึกอบรมข้าราชการตำรวจชั้นประทวน ยศดาบตำรวจที่มีอายุ 53 ปีขึ้นไป เพื่อเลื่อนตำแหน่งและเลื่อนยศแบบเลื่อนไหลเป็นชั้นสัญญาบัตรถึงยศร้อยตำรวจเอก | นร | 06/03/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติดำเนินการฝึกอบรมข้าราชการตำรวจชั้นประทวนยศดาบตำรวจที่มีอายุ ๕๓ ปีขึ้นไป เพื่อเลื่อนตำแหน่งและเลื่อนยศแบบเลื่อนไหลเป็นชั้นสัญญาบัตรถึงยศร้อยตำรวจเอก ตามที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติเสนอ สำหรับงบประมาณให้เบิกจ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน ๗๖,๒๖๗,๗๖๐ บาท ที่ได้รับอนุมัติให้กันเงินไว้เบิกเหลื่อมปี เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายการฝึกอบรมฯ ส่วนเงินปรับพอกสำหรับตำแหน่งผู้ปฏิบัติงานในสายงานต่าง ๆ ที่มีเงินเพิ่มพิเศษ จำนวน ๗๓,๔๗๓,๖๐๐๐ บาท ให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ งบบุคลากร รายการเงินเดือนในส่วนของอัตราว่างที่ได้ตั้งงบประมาณรองรับไว้ประมาณ ๖๖๓ ล้านบาท ซึ่งหากไม่เพียงพอ ก็ให้ขอรับการจัดสรรจากงบกลาง รายการเงินเลื่อนเงินเดือนและเงินปรับวุฒิข้าราชการเพิ่มเติมต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติรับความเห็นของกรรมการและเลขานุการร่วมคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐเกี่ยวกับการใช้เงินปรับพอกสำหรับตำแหน่งผู้ปฏิบัติงานในสายงานต่าง ๆ ที่มีเงินเพิ่มพิเศษ ซึ่งมีผลให้ค่าใช้จ่ายด้านบุคคลเพิ่มขึ้น รวมทั้งมีผลให้โครงสร้างอัตรากำลังของข้าราชการตำรวจเปลี่ยนแปลงไป เห็นควรดำเนินการบริหารจัดการภายในกรอบงบประมาณที่มีอยู่ เช่นเดียวกับข้าราชการพลเรือนสามัญ หากส่วนราชการมีการปรับปรุงการกำหนดตำแหน่งให้เป็นตำแหน่งระดับสูงขึ้น ก็ต้องยุบเลิกตำแหน่งเพื่อให้ครอบคลุมค่าใช้จ่ายด้านบุคคลที่เพิ่มขึ้นจากการปรับปรุงการกำหนดตำแหน่งนั้น รวมทั้งเพิจารณาจัดลำดับความสำคัญ การประเมินความคุ้มค่าของการฝึกอบรมโครงการพัฒนาบุคลากรต่าง ๆ เพื่อใช้งบประมาณที่มีอยู่อย่างมีประสิทธิภาพ และประสิทธิผล ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๓. ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติดำเนินการตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอเพิ่มเติมว่า การเลื่อนตำแหน่งและเลื่อนยศแบบเลื่อนไหลเป็นชั้นสัญญาบัตร จะทำให้เกิดผลกระทบต่ออัตรากำลังในชั้นประทวน ดังนั้น ในกรณีที่จะมีการเสนอขออัตรากำลังข้าราชการตำรวจชั้นประทวนเพิ่มใหม่ ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติดำเนินการให้เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง โดยพิจารณากำหนดคุณสมบัติของผู้ที่จะบรรจุเข้ารับราชการเป็นข้าราชการตำรวจชั้นประทวนให้มีประสิทธิภาพด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
437 | ขออนุมัติก่อหนี้ผูกพันเกินวงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2554 และขอรับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่าย เพิ่มเติม งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อชำระหนี้ค่าวัสดุอาหาร ปีงบประมาณ พ.ศ. 2554 | ยธ | 22/02/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ดังนี้
๑. ให้กรมราชทัณฑ์ก่อหนี้ผูกพันเกินกว่าที่ได้รับการจัดสรรงบประมาณ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายวัสดุอาหารผู้ต้องขังและผู้เข้ารับการตรวจพิสูจน์ ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ๒. สำหรับงบประมาณรายจ่ายเพื่อชำระหนี้ค่าวัสดุอาหารค้างชำระที่เกิดขึ้นในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ จำนวน ๓๑๘,๙๒๕,๑๗๐ บาท นั้น เมื่อพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ประกาศใช้บังคับแล้ว เห็นสมควรให้กรมราชทัณฑ์เบิกจ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ที่ได้รับจัดสรรงบประมาณเป็นค่าวัสดุอาหารไว้แล้ว จำนวน ๒,๕๘๗,๐๔๔,๐๐๐ บาท ไปก่อน หากงบประมาณที่ได้รับจัดสรรดังกล่าวมีไม่เพียงพอ ให้ขอรับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่าย งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพิ่มเติมในระหว่างปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ตามความจำเป็นต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
438 | ขอรับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2555 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อสนับสนุนการดำเนินงานของสถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย (องค์การมหาชน) | ยธ | 22/02/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้สถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย (องค์การมหาชน) ใช้จ่ายงบประมาณจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน ๑๙๘,๙๖๒,๕๐๐ บาท เพื่อเป็นทุนประเดิมในการจัดตั้งสถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย จำนวน ๙๘,๙๖๒,๕๐๐ บาท และเป็นค่าดำเนินการอนุวัติข้อกำหนดสหประชาชาติว่าด้วยการปฏิบัติต่อผู้ต้องขังหญิงและมาตรการที่มิใช่การคุมขัง หรือ “Bangkok Rules” จำนวน ๑๐๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท โดยให้สถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย (องค์การมหาชน) ขอทำความตกลงในรายละเอียดค่าใช้จ่ายกับสำนักงบประมาณโดยตรงต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
|||||||||||||||||||||||||||
439 | รายงานผลการประชุมคณะมนตรี คณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง ครั้งที่ 18 | ทส | 07/02/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบผลการประชุมคณะมนตรี คณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง ครั้งที่ ๑๘ ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ ๘ - ๙ ธันวาคม ๒๕๕๔ ณ เมืองเสียมราฐ ราชอาณาจักรกัมพูชา สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑.๑ โครงการไฟฟ้าพลังน้ำเขื่อนไซยะบุรี เป็นโครงการพัฒนาไฟฟ้าพลังน้ำในแม่น้ำโขง สายประธานในสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวจะต้องดำเนินการตามระเบียบปฏิบัติ ว่าด้วยการปรึกษาหารือกันก่อน (Prior Consultation : PC) ซึ่งกระบวนการปรึกษาหารือดังกล่าวต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน ๖ เดือน (๒๒ ตุลาคม ๒๕๕๓ - ๒๒ เมษายน ๒๕๕๔) แต่ประเทศภาคีสมาชิกไม่สามารถหาข้อสรุปร่วมกันได้ เนื่องจากมีความไม่ชัดเจนในผลการศึกษาและมาตรการลดผลกระทบสิ่งแวดล้อมข้ามพรมแดนหลายประการ คณะมนตรีฯ จึงได้มีการหารือระหว่างการประชุมผู้นำลุ่มน้ำโขง - ญี่ปุ่น (Mekong - Japan Summit) ครั้งที่ ๓ เดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๔ ณ เมืองบาหลี สาธารณรัฐอินโดนีเซีย และมีมติอนุมัติในหลักการให้มีการศึกษาเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนในลุ่มน้ำโขง และแม่น้ำโขงสายประธาน รวมทั้งได้พิจารณาขอรับการสนับสนุนจากรัฐบาลญี่ปุ่นและหุ้นส่วนการพัฒนาอื่น (Development Partners) เพื่อศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อมและการพัฒนาอย่างยั่งยืนในลุ่มน้ำโขงตอนล่าง ซึ่งประเทศภาคีสมาชิกต้องมีนโยบายที่ชัดเจนในกระบวนการปรึกษาหารือและการเจรจากับรัฐบาลญี่ปุ่นและหุ้นส่วนการพัฒนาอื่น เพื่อกำหนดแนวทางและระยะเวลาการดำเนินการที่เหมาะสม ๑.๑.๒ การประชุมผู้นำลุ่มน้ำโขงตอนล่างอย่างไม่เป็นทางการ (Informal MRC Summit) จะมีขึ้นทุก ๆ ๔ ปี โดยการประชุมครั้งแรกมีขึ้นในประเทศไทยเมื่อเดือนเมษายน ๒๕๕๓ (ค.ศ. ๒๐๑๐) ณ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ผลลัพธ์ที่ได้ คือ Hua Hin Declaration ซึ่งเป็นการตกลงร่วมกันว่าประเทศภาคีสมาชิกจะมีการพัฒนาลุ่มน้ำโขงตอนล่างโดยคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ และสังคมให้เป็นรูปธรรมโดยเร็วที่สุด สำหรับการประชุมครั้งที่ ๒ จะมีขึ้น ณ สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม ในปี พ.ศ. ๒๕๕๗ (๒๐๑๔) ซึ่งคณะมนตรีฯ พิจารณาเห็นว่าภารกิจต่าง ๆ ที่ดำเนินการตาม Hua Hin Declaration มีจำนวนมากและการพัฒนาในลุ่มน้ำโขงตอนล่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว หากรอให้มีการรายงานความก้าวหน้าของการดำเนินงานต่อการประชุม MRC Summit ครั้งต่อไปอาจนานเกินไป จึงมีมติให้มีเวทีหารือของผู้นำลุ่มน้ำโขงตอนล่างอย่างไม่เป็นทางการ (Informal MRC Summit) เป็นครั้งแรก โดยให้เป็นวาระของการประชุมหนึ่งในการประชุม ASEAN Summit ครั้งที่ ๒๐ ณ ราชอาณาจักรกัมพูชา ในปี พ.ศ. ๒๕๕๕ (ค.ศ. ๑๐๑๒) และให้สมาชิกคณะมนตรีคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขงนำประเด็นดังกล่าวหารือและขอความเห็นชอบภายในประเทศของตน ๑.๑.๓ คณะมนตรีฯ มีมติอนุมัติงบประมาณในการบริหารองค์กร ประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๕ (Operating Expenses Budget for 2012) เพื่อจ่ายเป็นเงินเดือนและการบริหารงานทั่วไปขององค์กร สำหรับในปี พ.ศ. ๒๕๕๕ จำนวน ๓,๖๑๙,๓๔๖ ดอลลาร์สหรัฐ ๑.๑.๔ คณะมนตรีฯ มีมติเห็นชอบให้ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมผู้บริหารระดับสูงลุ่มน้ำนานาชาติ - ลุ่มน้ำโขง (Mekong 2 Rio: Mekong to Rio + 20) ระหว่างวันที่ ๑ - ๓ พฤษภาคม ๒๕๕๕ ณ จังหวัดภูเก็ต เพื่อจัดทำ Mekong Messages นำเสนอผลงาน คณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง และการพัฒนาอย่างยั่งยืนในลุ่มน้ำโขงตอนล่าง ซึ่งเป็นการอนุวัตตามเป้าหมายแห่งสหัสวรรษ (Millennium Development Goals : MDG) โดยจะนำเสนอต่อที่ประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการพัฒนาที่ยั่งยืน ค.ศ. ๒๐๑๒ (Rio + 20) ในเดือนมิถุนายน ๒๕๕๕ ณ เมืองริโอ เดอ จาเนโร สหพันธ์สาธารณรัฐบราซิล ๑.๒ เห็นชอบการประสานความร่วมมือกับรัฐบาลญี่ปุ่นและหุ้นส่วนการพัฒนาอื่นในการศึกษาเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืนในลุ่มน้ำโขงตอนล่าง ๑.๓ เห็นชอบให้มีเวทีหารือผู้นำลุ่มน้ำโขงตอนล่าง ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของกระทรวงพลังงานและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการสนับสนุนให้มีการศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับผลกระทบสิ่งแวดล้อม และการพัฒนาอย่างยั่งยืนในลุ่มน้ำโขงตอนล่าง เพื่อเป็นข้อมูลสำหรับประเทศภาคีสมาชิกในลุ่มน้ำโขง (MRC) นำไปใช้ประโยชน์ในการพัฒนาโครงการต่าง ๆ ในลุ่มน้ำโขงให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ประเทศภาคีสมาชิกร่วมกันอย่างยั่งยืน สำหรับในการประสานความร่วมมือกับรัฐบาลญี่ปุ่นและหุ้นส่วนการพัฒนาอื่นในการศึกษาเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืนในลุ่มน้ำโขงตอนล่าง เห็นควรให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมหารือกับหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชน และภาคประชาสังคมที่เกี่ยวข้องเพื่อกำหนดแนวทาง ขอบเขต และระยะเวลาการดำเนินการศึกษาที่เหมาะสม รวมทั้งการจัดให้มีเวทีหารือผู้นำลุ่มน้ำโขงตอนล่างอย่างไม่เป็นทางการ เห็นควรให้ดำเนินการก่อนการประชุมผู้บริหารระดับสูงลุ่มน้ำนานาชาติ - ลุ่มน้ำโขง ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
440 | ขอรับการสนับสนุนงบประมาณ เพื่อดำเนินการตามแผนการป้องกันและปราบปรามการลักลอบตัดไม้พะยูงในพื้นที่ป่าอนุรักษ์ | ทส | 24/01/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืชดำเนินการตามแผนการป้องกันและปราบปรามการลักลอบตัดไม้พะยูงในพื้นที่ป่าอนุรักษ์ โดยใช้จ่ายจากงบประมาณภายใต้ผลผลิตพื้นที่ป่าอนุรักษ์ได้รับการบริหารจัดการ งบดำเนินงาน จำนวน ๒,๘๐๓.๖๒๙๖ ล้านบาท ตามร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ หรือพิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นก่อน และหากไม่เพียงพอให้ขออนุมัติงบกลางตามขั้นตอนอีกครั้งต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช รับความเห็นของกระทรวงกลาโหม กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการปฏิบัติตามแผนงานดังกล่าวในพื้นที่ที่มีเขตติดต่อกับประเทศเพื่อนบ้านต้องใช้ช่องทางทางการทูตเพื่อดำเนินการร่วมกัน ความต่อเนื่องและมีการประเมินผลในการปฏิบัติตามแผนฯ การติดตั้งกล้องวงจรปิด (CCTV) ประจำจุดสกัดทุกจุด การจัดตั้งศูนย์ข้อมูลรับแจ้งเหตุและเบาะแสผู้ลักลอบตัดไม้พะยูงในพื้นที่ป่าอนุรักษ์ การเพิ่มกิจกรรมการประเมินผลการดำเนินงานเพื่อเป็นข้อมูลในการปรับปรุงการดำเนินงานให้ดีขึ้น การดำเนินการป้องกันการบุกรุกทำลายป่าในภาพรวม การกำหนดรายละเอียดการดำเนินงานและเกณฑ์ชี้วัดความสำเร็จที่ชัดเจนและเป็นรูปธรรมเพื่อช่วยเสริมประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ การนำเครื่องมือและเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาใช้ประกอบการปฏิบัติงาน การจัดสรรงบประมาณปกติเพื่อสนับสนุนการดำเนินงานอย่างต่อเนื่องและเป็นระบบ รวมทั้งการสร้างการมีส่วนร่วมของชุมชนท้องถิ่นและผนึกประสานกำลังและทรัพยากรของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งตำรวจ ทหาร องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และกรมป่าไม้ซึ่งปฏิบัติงานในพื้นที่ใกล้เคียง เพื่อให้มีการใช้งบประมาณของรัฐและทรัพยากรที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
.....