ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1 จากทั้งหมด 9 หน้า แสดงรายการที่ 1 - 20 จากข้อมูลทั้งหมด 179 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
1 | การดำเนินโครงการเพื่อมอบเป็นของขวัญปีใหม่ พ.ศ. 2567 ให้แก่ประชาชน : แคมเปญ "รวมพลังลดท่วม ลดแล้งรับมือภัยเอลนีโญ" | นร.14 | 26/12/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการดำเนินโครงการเพื่อมอบเป็นของขวัญปีใหม่
พ.ศ. ๒๕๖๗ ให้แก่ประชาชน : แคมเปญ “รวมพลังลดท่วม ลดแล้งรับมือภัยเอลนีโญ” ตามที่สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติเสนอ ดังนี้ ๑. เร่งบูรณาการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องลงพื้นที่ติดตาม ตรวจสอบ
และแก้ไขปัญหาพื้นที่เสี่ยงขาดแคลนน้ำ โดยเฉพาะน้ำเพื่อการอุปโภค-บริโภค
พร้อมทั้งดำเนินการจัดทำแผนป้องกันและแก้ไขเพื่อช่วยเหลือประชาชนให้มีน้ำใช้อย่างเพียงพอตลอดช่วงฤดูแล้ง
ซึ่งจะดำเนินการตั้งแต่เดือนธันวาคม ๒๕๖๖-มกราคม ๒๕๖๗ ๒. จัดตั้งศูนย์บริหารจัดการน้ำส่วนหน้าในพื้นที่เสี่ยงอุทกภัยภาคใต้
โดยบูรณาการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่เสี่ยงอุทกภัยที่ยังมีสถานการณ์น้ำหลาก
เช่น บริเวณพื้นที่ภาคใต้ในการขับเคลื่อนการปฏิบัติงาน เตรียมเจ้าหน้าที่ ทรัพยากร
สถานที่ สิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ให้พร้อมรับมือสถานการณ์
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2 | ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (การขยายระยะเวลามาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการบริจาคให้แก่กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา) | กค. | 26/12/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
เห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่
..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการขยายระยะเวลาการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีสำหรับการบริจาคเงินหรือทรัพย์สินให้แก่กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา
โดยให้หักลดหย่อนหรือหักเป็นรายจ่ายได้ ๒ เท่า ของจำนวนเงินที่บริจาค
สำหรับการบริจาคที่กระทำผ่านระบบบริจาคอิเล็กทรอนิกส์ (e-Donation) ของกรมสรรพากร
ตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๖๗ ถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๗๑
และเพิ่มเติมการยกเว้นภาษีสำหรับการบริจาคทรัพย์สินให้แก่กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษาให้เหมือนกันกับการบริจาคทรัพย์สินให้แก่สถานศึกษา
ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว และให้ดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
3 | การดำเนินการโครงการเพื่อมอบเป็นของขวัญปีใหม่ พ.ศ. 2567 ให้แก่ประชาชน (กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม) | ดศ. | 26/12/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการดำเนินการโครงการเพื่อมอบเป็นของขวัญปีใหม่
พ.ศ. ๒๕๖๗ ให้แก่ประชาชน ของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเสนอ
ดังนี้ ๑. บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) (NT) ได้แก่ (๑) บริการ NT Mobile/บริการ my โทรฟรีทุกโครงข่าย และส่ง SMS ฟรีทุกโครงข่ายไม่จำกัดจำนวนครั้ง
และใช้งานอินเทอร์เน็ตที่ความเร็วสูงสุดไม่จำกัดปริมาณ ระหว่างวันที่ ๓๑ ธันวาคม
๒๕๖๖-๑ มกราคม ๒๕๖๗ และ (๒). การให้บริการ Free
Wi-Fi เพื่ออำนวยความสะดวกประชาชน/ นักท่องเที่ยวที่เดินทางในช่วงเทศกาลปีใหม่
โดยขยายความจุระบบ Wi-Fi ที่มีอยู่ให้สามารถรองรับจำนวนผู้ใช้บริการให้มากขึ้น ๒. บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด ได้แก่ (๑) กิจกรรม Unbox Happiness โดยการส่ง EMS World ส่งด่วนทั่วโลก ส่งสิ่งของ ๕ ประเทศ ปลายทาง ได้แก่ สิงคโปร์ จีน ฮ่องกง
มาเลเซีย และเยอรมนี ลดทุกชิ้นสูงสุดร้อยละ ๒๕
ใช้บริการได้ ณ ที่ทำการไปรษณีย์ทั่วประเทศ ตั้งแต่วันที่ ๑๔ พฤศจิกายน ๒๕๖๖-๓๑
ธันวาคม ๒๕๖๖ Courier One Price ส่งด่วนแบบราคาเบา ๆ เหมาจ่าย
๑๙ ปลายทางทั่วโลก สมาชิก POST Family ที่มียอดใช้บริการส่งต่างประเทตตั้งแต่
๕,๐๐๐ บาทขึ้นไป รับส่วนลดสูงสุดร้อยละ ๑๐ สำหรับใช้บริการ EMS
World/Courier Post/ePacket และบริการเสริมพิเศษฟรี
โดยส่งความรู้สึกแทนใจไปกับสิ่งของผ่านคลิป VDO ที่สร้างจากภาพถ่ายของผู้ส่งแปลและพูดภาษาของผู้รับได้หลากหลายภาษา
และ (๒)กิจกรรม Happy Days โดยมอบส่วนลดในการสั่งซื้อสินค้าผ่านเว็บไซต์
ThailandPostMart.com โดยมอบส่วนลดพิเศษ ๒ แบรนด์ดัง
แหนมเนือง แดงแหนมเนือง จังหวัดหนองคาย และวีที แหนมเนือง จังหวัดอุดรธานี ทุกวันอังคาร
พุธ พฤหัสบดีของทุกสัปดาห์ ระหว่างวันที่ ๗ พฤศจิกายน-๒๘ ธันวาคม ๒๕๖๖
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
4 | การดำเนินการโครงการเพื่อมอบเป็นของขวัญปีใหม่ พ.ศ. 2567 ให้แก่ประชาชน (กระทรวงพาณิชย์) | พณ. | 26/12/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการดำเนินการโครงการเพื่อมอบเป็นของขวัญปีใหม่ พ.ศ.
๒๕๖๗ ให้แก่ประชาชน (กระทรวงพาณิชย์) ดังนี้ ๑) เพิ่มอาชีพ ได้แก่ โครงการแฟรนไชส์สร้างอาชีพสำหรับผู้ประสงค์จะทำธุรกิจด้าน
Soft Power ธุรกิจแฟรนไชส์ และสินค้า
Gl ลดค่าแพคเกจแฟรนไชส์ให้สูงสุด ร้อยละ ๓๐ ๒) เพิ่มทักษะ
เช่น โครงการ “ติดปีกทางการค้าให้ผู้ประกอบการไทยด้วย Soft Power x ทรัพย์สินทางปัญญา” โดยการนำแนวคิด Soft Power มาปรับใช้เพื่อเพิ่มมูลค่าให้สินค้าและบริการ
๓) เพิ่มโอกาส เช่น จับคู่เจรจาธุรกิจการค้าออนไลน์กับผู้ซื้อศักยภาพในตลาดโลก
ให้ผู้ประกอบการและบุคคลทั่วไป และ ๔) เพิ่มความสุข เช่น ดำเนินโครงการ “พาณิชย์ลดราคา
New Year Mega Sale 2024” โดยร่วมกับผู้จำหน่าย
ห้างสรรพสินค้า ห้างท้องถิ่น ร้านสะดวกซื้อ และธุรกิจแฟรนไชส์
ลดราคาสินค้าและค่าบริการ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
5 | โครงการของขวัญปีใหม่ ประจำปี พ.ศ. 2567 กระทรวงสาธารณสุข | สธ. | 26/12/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบโครงการของขวัญปีใหม่ ประจำปี พ.ศ. ๒๕๖๗ กระทรวงสาธารณสุข
โดยได้จัดทำ
“โครงการของขวัญปีใหม่ ๒๕๖๗ พาหมอไปหาประชาชน กระทรวงสาธารณสุข”
เพื่อให้บริการคัดกรองและวินิจฉัยโรคหรือปัญหาสุขภาพที่สำคัญ ได้แก่ โรคมะเร็ง
โรคหรือปัญหาสายตา ทันตกรรม รวมถึงกระดูกและข้อ ให้กับประชาชนไทยในพื้นที่ ๗๗
จังหวัด โดยเฉพาะประชาชนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ห่างไกล ทุรกันดาร
และในพื้นที่ที่มีประชากรอาศัยอยู่หนาแน่น
รวมถึงขาดโอกาสในการเข้าถึงบริการสาธารณสุข โดยโครงการดังกล่าว จะให้บริการตั้งแต่เดือนมกราคม-ธันวาคม
๒๕๖๗ โดยมีแนวทางการดำเนินการ เช่น จัดกิจกรรม kick off โครงการดังกล่าว จำนวน ๑
ครั้ง ในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ หรือวันหยุดนักขัตฤกษ์ในเดือนมกราคม ๒๕๖๗
ดำเนินกิจกรรมออกหน่วยบริการเคลื่อนที่ให้กับประชาชนทุกเขตสุขภาพ (๑๓ เขตสุขภาพ
เขตสุขภาพละ ๖ ครั้ง ในวันหยุดสุดสัปดาห์หรือวันหยุดนักขัตฤกษ์
ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
6 | โครงการเพื่อมอบเป็นของขวัญปีใหม่ พ.ศ. 2567 ให้แก่ประชาชน (สำนักงานคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ) | สคทช | 26/12/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบโครงการเพื่อมอบเป็นของขวัญปีใหม่ พ.ศ. ๒๕๖๗ ให้แก่ประชาชน
(สำนักงานคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ) โดยได้จัดทำ “โครงการมอบหนังสืออนุญาตที่ดินทำกินให้ประชาชน
๑.๓๘ ล้านไร่”
เป็นการมอบหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์หรืออยู่อาศัยในเขตป่าสงวนแห่งชาติ ใน ๕๐
จังหวัด ๒๑๒ พื้นที่ จำนวน ๑,๓๘๐,๘๔๘ ไร่ ให้แก่ผู้ว่าราชการจังหวัด
เพื่อดำเนินการพัฒนาพื้นที่และส่งเสริมการประกอบอาชีพตามศักยภาพของพื้นที่ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
7 | การจัดทำร่างแก้ไขข้อตกลงระหว่างกระทรวงการต่างประเทศแห่งราชอาณาจักรไทยกับสำนักงานเพื่อการพัฒนาแห่งฝรั่งเศส (AFD) ว่าด้วยการจัดตั้งสำนักงาน AFD ในประเทศไทย | กต. | 26/12/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
เห็นชอบร่างแก้ไขข้อตกลงระหว่างกระทรวงการต่างประเทศแห่งราชอาณาจักรไทยกับสำนักงานเพื่อการพัฒนาแห่งฝรั่งเศส
(Agence Francaise de Developpement : AFD) ว่าด้วยการจัดตั้งสำนักงาน AFD ในประเทศไทย พ.ศ.
๒๕๖๖ (ค.ศ. ๒๐๒๓) และให้อธิบดีกรมความร่วมมือระหว่างประเทศเป็นผู้ลงนามในร่างแก้ไขข้อตกลงฯ
โดยร่างแก้ไขข้อตกลงฯ
เป็นการปรับแก้และเพิ่มเติมข้อความในข้อตกลงว่าด้วยการจัดตั้งสำนักงาน AFD พ.ศ. ๒๕๔๙ (ค.ศ. ๒๐๐๖) เช่น (๑) ปรับแก้ข้อบทที่ ๒ วรรค ๑
เพื่อเพิ่มจำนวนเจ้าหน้าที่ต่างชาติของสำนักงาน AFD ประเทศไทยจากเดิม
๖ คน เพิ่มขึ้นเป็นจำนวน ๑๑ คน และ (๒) เพิ่มวรรคที่ ๗ ในข้อบทที่ ๒
เพื่อรองรับการเข้ามาดำเนินงานความร่วมมือเพื่อการพัฒนาของ Expertise
France (EF) ในประเทศไทย เป็นต้น โดยร่างแก้ไขข้อตกลงฯ
จะถูกผนวกเข้ากับและเป็นส่วนหนึ่งของข้อตกลงฯ พ.ศ. ๒๕๔๙
และมีผลใช้บังคับในวันที่มีการลงนาม ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ๒.
หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างแก้ไขข้อตกลงฯ
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
ด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
8 | รายงานการสอบบัญชีและงบการเงินของกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการและบริษัทย่อย สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2565 และข้อเสนอแนะจากการประชุมใหญ่ผู้แทนสมาชิก กบข. ประจำปี 2566 | กค. | 26/12/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการสอบบัญชีและงบการเงินของกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ
(กบข.) และบริษัทย่อย สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๖๕ ประกอบด้วย
งบแสดงฐานะการเงิน และงบกำไรขาดทุนและกำไรขาดทุนเบ็ดเสร็จอื่น
ซึ่งสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินได้ตรวจสอบงบการเงินแล้ว เห็นว่าถูกต้องตามที่ควรในสาระสำคัญตามมาตรฐานการรายงานทางการเงิน
และข้อเสนอแนะจากการประชุมใหญ่ผู้แทนสมาชิก กบข.ประจำปี ๒๕๖๖
ซึ่งได้แสดงความคิดเห็นและข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการดำเนินงานด้านการลงทุน
และด้านสมาชิก ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
9 | การเปิดตลาดนำเข้านมผงขาดมันเนย นมและครีม ปี 2566 เพิ่มเติม | กษ. | 26/12/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบการเปิดตลาดนำเข้านมผงขาดมันเนย
นมและครีม ปี ๒๕๖๖ เพิ่มเติม ปริมาณ ๑๐,๐๓๑.๕๕ ตัน ในอัตราภาษีร้อยละ ๕ มติคณะกรรมการโคนมและผลิตภัณฑ์นม
ในการประชุม ครั้งที่ ๓/๒๕๖๖ เมื่อวันที่ ๑๒ กันยายน ๒๕๖๖
และเนื่องจากการขอโควตานำเข้านมผงขาดมันเนย ปี ๒๕๖๖ เพิ่มเติม เป็นการพิจารณาจัดสรรให้กับผู้ประกอบการตามความจำเป็นและเดือดร้อนจากการขาดแคลนวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิต
จึงให้ยกเว้นการจัดสรรโควตาตามสัดส่วนผู้ประกอบการ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๙ พฤศจิกายน ๒๕๔๘ และเห็นชอบในการเปิดตลาดนำเข้านมและครีม
ปี ๒๕๖๖ เพิ่มเติม ปริมาณ ๗๐๐.๑๘ ตัน ในอัตราภาษีร้อยละ ๒๐
มติคณะกรรมการโคนมและผลิตภัณฑ์นม ในการประชุม ครั้งที่ ๓/๒๕๖๖ เมื่อวันที่ ๑๒
กันยายน ๒๕๖๖ โดยมอบหมายให้คณะกรรมการโคนมและผลิตภัณฑ์นมเป็นผู้บริหารการจัดสรรโควตานำเข้านมผงขาดมันเนย
นมและครีม ปี ๒๕๖๖ เพิ่มเติมดังกล่าว ให้กับผู้ประกอบการตามความจำเป็นและเดือดร้อนจากการขาดแคลนวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิต
โดยต้องนำเข้าให้แล้วเสร็จภายในวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๖๖ และต้องไม่กระทบต่อมาตรการและปริมาณการรับซื้อน้ำนมดิบจากเกษตรกรและเดือดร้อนจากการขาดแคลนวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิต
ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ
กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น
ควรพิจารณาให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปริมาณน้ำนมดิบของไทย เพื่อไม่ให้การเปิดตลาดนำเข้าดังกล่าว
ส่งผลกระทบต่อผู้เลี้ยงโคนมของไทย ทั้งนี้ การเปิดตลาดนำเข้าเพิ่มเติมดังกล่าว
สอดคล้องกับความตกลงว่าด้วยการเกษตรภายใต้องค์การการค้าโลก (WTO) ที่ไทยผูกพันไว้ การเปิดตลาดนำเข้านมผงขาดมันเนยนมและครีม ปี ๒๕๖๖
เพิ่มเติม ต้องไม่กระทบต่อมาตรการและปริมาณการรับซื้อน้ำนมดิบจากเกษตรกร และควรให้ความสำคัญต่อการแก้ปัญหาการขาดแคลนวัตถุดิบในระยะยาว
โดยนำข้อมูลพยากรณ์อุปสงค์และอุปทานของน้ำนมดิบภายในประเทศมาวางแผนการจัดสรรโควตานำเข้าสินค้าในกลุ่มนมและผลิตภัณฑ์นมให้มีความถูกต้อง
เป็นธรรมต่อผู้ประกอบการและไม่กระทบต่อเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมในประเทศ
ตลอดจนเพื่อประโยชน์ในการวางแผนธุรกิจของผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมนมของไทยให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
และก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อเกษตรกร ผู้ประกอบการตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ
และผู้บริโภคภายในประเทศเป็นผู้บริหารการจัดสรรโควตานำเข้านมผงขาดมันเนย นมและครีม
ปี ๒๕๖๖ เพิ่มเติม
ให้กับผู้ประกอบการตามความจำเป็นและเดือดร้อนจากการขาดแคลนวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิต
ทั้งนี้ การเปิดตลาดนำเข้านมผงขาดมันเนยนมและครีม ปี ๒๕๖๖ เพิ่มเติม
ต้องไม่กระทบต่อมาตรการและปริมาณการรับซื้อน้ำนมดิบจากเกษตรกร ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๒.
ให้คณะกรรมการโคนมและผลิตภัณฑ์นมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดดำเนินการตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๒ ตุลาคม ๒๕๖๖ (เรื่อง
ขออนุมัติปรับเพิ่มราคาน้ำนมดิบเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรโคนม)
ที่ให้ทบทวนแนวทางการให้ความช่วยเหลือแก่เกษตรกรโคนมให้เหมาะสมและตรงกลุ่มเป้าหมายมากยิ่งขึ้น
ให้เกิดผลเป็นรูปธรรมและมีความยั่งยืนต่อไป เช่น
การลดต้นทุนการผลิตและเพิ่มประสิทธิภาพ การผลิตน้ำนมโค การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันและสร้างรายได้เพิ่มขึ้นให้กับอุตสาหกรรมนมและผลิตภัณฑ์นมของไทย
การจูงใจให้ผู้ประกอบการผลิตภัณฑ์นมเพื่อการส่งออกนำน้ำนมดิบจากเกษตรกรโคนมในประเทศมาใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตทดแทนการนำเข้า
๓.
ให้คณะกรรมการโคนมและผลิตภัณฑ์นมร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณากำหนดมาตรการเตรียมความพร้อมในการดำเนินการเพื่อรองรับผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับอุตสาหกรรมโคนมและเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมภายในประเทศจากการยกเลิกโควตาภาษีสินค้าเกษตรทั้งหมดตามความตกลงต่าง
ๆ เช่น ความตกลงการค้าเสรีไทย-ออสเตรเลีย (TAFTA) และความตกลงความเป็นหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจที่ใกล้ชิดยิ่งขึ้นไทย-นิวซีแลนด์
(TNZCEP) ในปี ๒๕๖๘ ด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
10 | รายงานสรุปคำวินิจฉัยชี้ขาดของคณะกรรมการพิจารณาชี้ขาดการยุติข้อพิพาทระหว่างหน่วยงานของรัฐและการดำเนินคดี | อส. | 19/12/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสรุปคำวินิจฉัยชี้ขาดของคณะกรรมการพิจารณาขี้ขาดการยุติข้อพิพาทระหว่างหน่วยงานของรัฐและการดำเนินคดี
ที่สำนักงานอัยการสูงสุจัดทำขึ้น
มีสาระสำคัญเป็นการรายงานผลการพิจารณาชี้ขาดข้อพิพาทระหว่างส่วนราชการ
หน่วยงานของรัฐ และรัฐวิสาหกิจด้วยกันเองและการดำเนินคดี รวม ๕๒ เรื่อง ตามที่คณะกรรมการพิจารณาชี้ขาดการยุติข้อพิพาทระหว่างหน่วยงานของรัฐและการดำเนินคดีเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11 | รายงานผลการปฏิบัติงานของสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 | ปปง. | 19/12/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการปฏิบัติงานของสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.
๒๕๖๕ โดยมีรายละเอียดที่สำคัญรวม ๘ ด้าน คือ (๑)
ผลการปฏิบัติงานด้านการป้องกันการฟอกเงิน (๒)
ผลการปฏิบัติงานด้านการปราบปรามการฟอกเงิน (๓) ผลการปฏิบัติงานด้านการกำกับและตรวจสอบผู้มีหน้าที่รายงาน
(๔) ผลการปฏิบัติงานด้านความร่วมมือและพัฒนา (๕) การพัฒนาองค์การ (๖) ผลการปฏิบัติงานด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ
การตรวจพิสูจน์หลักฐานทางคอมพิวเตอร์ และการตรวจสอบการกระทำความผิดทางเทคโนโลยี
(๗) ผลการปฏิบัติงานด้านการแก้ไขกฎหมายและออกกฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง และ (๘)
ผลการเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๕ ตามที่สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินเสนอ
และให้เสนอรายงานฯ พร้อมข้อสังเกตของคณะรัฐมนตรีต่อสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12 | ภาวะเศรษฐกิจไทยไตรมาสที่สามของปี 2566 และแนวโน้มปี 2566 - 2567 | นร.11 สศช | 19/12/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. รับทราบภาวะเศรษฐกิจไทยไตรมาสที่สามของปี ๒๕๖๖
และแนวโน้มปี ๒๕๖๖-๒๕๖๗ สรุปได้ ดังนี้ (๑) เศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่สามของปี ๒๕๖๖
มูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (Gross Domestic Product : GDP) ขยายตัวร้อยละ ๑.๕ เทียบกับการขยายตัวร้อยละ
๑.๘ ในไตรมาสก่อนหน้า ซึ่งเมื่อรวม ๙ เดือนแรกของปี ๒๕๖๖ เศรษฐกิจไทยขยายตัวร้อยละ
๑.๙ โดยด้านการใช้จ่าย การบริโภคภาคเอกชนขยายตัวในเกณฑ์สูง การลงทุนภาคเอกชนขยายตัวต่อเนื่อง
ส่วนการส่งออกสินค้าการอุปโภคของรัฐบาลและการลงทุนภาครัฐปรับตัวลดลงต่อเนื่อง สำหรับด้านการผลิต
สาขาที่พักแรมและบริการด้านอาหาร และสาขาการขนส่งและสถานที่เก็บสินค้าขยายตัวในเกณฑ์สูง
สาขาเกษตรกรรม สาขาการขายส่งและการขายปลีก และสาขาการก่อสร้างขยายตัว
ส่วนสาขาการผลิตสินค้าอุตสาหกรรมลดลงต่อเนื่อง (๒) แนวโน้มเศรษฐกิจไทย ปี ๒๕๖๖ และ
๒๕๖๗ แนวโน้มเศรษฐกิจไทยในปี ๒๕๖๖ คาดว่า GDP จะขยายตัวร้อยละ
๒.๕ ต่อเนื่องจากการขยายตัวร้อยละ ๒.๖ ในปี ๒๕๖๕ อัตราเงินเฟ้อคาดว่าจะอยู่ที่ร้อยละ
๑.๔ และดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุลร้อยละ ๑.๐ ของ GDP สำหรับปี
๒๕๖๗ คาดว่า GDP จะขยายตัวในช่วงร้อยละ ๒.๗-๓.๗ ตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ
ทั้งนี้
ให้กระทรวงการคลังนำข้อมูลในเรื่องนี้ของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปตรวจสอบและวิเคราะห์ให้ถูกต้อง
ชัดเจน เพื่อใช้ประโยชน์ในการดำเนินการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของประเทศได้อย่างถูกต้อง
เหมาะสม และรวดเร็วมากยิ่งขึ้นต่อไป ๒.
ให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติวิเคราะห์ข้อมูลอื่น ๆ
เพิ่มเติมด้วย เช่น หนี้ภาคครัวเรือน รายได้ของประชาชน
หนี้และศักยภาพในการประกอบธุรกิจของวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม
เพื่อสะท้อนให้เห็นถึงภาวะเศรษฐกิจของประเทศให้รอบด้านมากยิ่งขึ้น
และรายงานให้คณะรัฐมนตรีทราบต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13 | การประชุมระดับรัฐมนตรีแผนงานความร่วมมือทางเศรษฐกิจในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง 6 ประเทศ ครั้งที่ 26 (The 26th GMS Ministerial Conference) | นร.11 สศช | 12/12/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบต่อเอกสารที่จะมีการรับรองในการประชุมระดับรัฐมนตรีแผนงาน
GMS ครั้งที่ ๒๖
ได้แก่ (๑) ร่างแถลงการณ์ร่วมระดับรัฐมนตรีแผนงาน GMS ครั้งที่
๒๖ มีสาระสำคัญเป็นการแสดงความชื่นชมและรับทราบผลการดำเนินงานของภาคส่วนต่าง ๆ
ที่มีความสำคัญภายใต้แผนงาน GMS รวมถึงการแสดงเจตจำนงที่จะให้ความร่วมมือเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขงต่อไป
และ (๒)
ร่างข้อเสนอแนวคิดสำหรับการยกร่างยุทธศาสตร์นวัตกรรมเพื่อการพัฒนาของอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง
พ.ศ. ๒๕๗๓ และอนุมัติให้รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง (นายจุลพันธ์
อมรวิวัฒน์) หรือผู้แทนที่รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง (นายจุลพันธ์
อมรวิวัฒน์) มอบหมาย
ปฏิบัติหน้าที่เป็นรัฐมนตรีประจำแผนงานความร่วมมือทางเศรษฐกิจในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง
๖ ประเทศ (GMS Minister) และเป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทยเข้าร่วมการประชุมระดับรัฐนตรีแผนงาน
GMS ครั้งที่ ๒๖ ในวันที่ ๑๕ ธันวาคม ๒๕๖๖ รวมทั้งเห็นชอบให้รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง
(นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์) หรือผู้แทนที่รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง
(นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์) มอบหมายได้ร่วมกับรัฐมนตรีของประเทศลุ่มกลุ่มแม่น้ำโขงให้การรับรอง
(๑) แถลงการณ์ร่วมระดับรัฐมนตรีแผนงาน GMS ครั้งที่ ๒๖ และ (๒)
ข้อเสนอแนวคิดสำหรับการยกร่างยุทธศาสตร์นวัตกรรมเพื่อการพัฒนาของอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง
พ.ศ. ๒๕๗๓ ในวันที่ ๑๕ ธันวาคม ๒๕๖๖ โดยไม่มีการลงนาม ตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ
ทั้งนี้
หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างแถลงการณ์ร่วมระดับรัฐมนตรีแผนงานความร่วมมือทางเศรษฐกิจในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง
๖ ประเทศ ครั้งที่ ๒๖
และร่างข้อเสนอแนวคิดสำหรับการยกร่างยุทธศาสตร์นวัตกรรมเพื่อการพัฒนาของอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง
พ.ศ. ๒๕๗๓
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติดำเนินการได้
โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14 | ร่างถ้อยแถลงการณ์ร่วมของการประชุม Asia Zero Emission Community (AZEC) Leaders Meeting [Asia Zero Emission Community (AZEC) Leaders’ Joint Statement] | พน. | 12/12/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบต่อร่างถ้อยแถลงการณ์ร่วมของการประชุม Asia Zero Emission Community
(AZEC) Leaders Meeting ( Asia Zero Emission Community (AZEC) Leaders’ Joint Statement และอนุมัติให้นายกรัฐมนตรี
(หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายจากนายกรัฐมนตรี)
เป็นผู้ให้การรับรองร่างถ้อยแถลงการณ์ร่วมฯ ดังกล่าว ในระหว่างการประชุม Asia
Zero Emission Community (AZEC) Leaders Meeting โดยร่างถ้อยแถลงการณ์การร่วมฯ มีสาระสำคัญที่มุ่งส่งเสริมการดำเนินความร่วมมือของประเทศพันธมิตร
AZEC โดยตั้งอยู่บนพื้นฐานของแนวทางที่หลากหลายและความสามารถในการปฏิบัติได้จริงตามสถานการณ์ของแต่ละประเทศ
เพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศควบคู่ไปกับการเสริมสร้างความมั่นคงด้านพลังงาน
ผ่านการพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีพลังงานสะอาด
การใช้ประโยชน์จากเชื้อเพลิงที่หลากหลาย การเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานให้สามารถรองรับการเติบโตของการใช้พลังงานหมุนเวียน
การแบ่งปันข้อมูลและแนวปฏิบัติที่เป็นเลิศ การส่งเสริมเวทีหารือเชิงนโยบาย
การแลกเปลี่ยนและพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ การส่งเสริมความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน
ตลอดจนการจัดหาแหล่งเงินทุน
และการพัฒนาตลาดพลังงานสะอาดเพื่อสนับสนุนการเร่งการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานในภูมิภาค
ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ ทั้งนี้
หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างถ้อยแถลงการณ์ร่วมของการประชุม Asia
Zero Emission Community (AZEC) Leaders Meeting ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงพลังงานดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว
และให้กระทรวงพลังงานรับความเห็นของสำนักงบประมาณ เกี่ยวกับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นให้กระทรวงพลังงาน
โดยสำนักงานปลัดกระทรวงพลังงานพิจารณาใช้จ่ายตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๖ ไปพลางก่อน ตามขั้นตอนต่อไป ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15 | การขอรับความเห็นชอบต่อร่างหนังสือแสดงเจตจำนงระหว่างกรมความร่วมมือระหว่างประเทศและองค์การความร่วมมือเพื่อการพัฒนาแห่งสมาพันธรัฐสวิส ร่วมกับองค์การระหว่างประเทศเพื่อการโยกย้ายถิ่นฐาน เพื่อดำเนินความร่วมมือในโครงการลดปัญหาความยากจนโดยการโยกย้ายถิ่นฐานที่ปลอดภัย การพัฒนาทักษะแรงงาน และการยกระดับโอกาสการเข้าถึงการจ้างงานในประเทศกัมพูชา สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว เมียนมา และไทย ระยะที่ 2 | กต. | 12/12/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างหนังสือแสดงเจตจำนงระหว่างกรมความร่วมมือระหว่างประเทศและองค์การความร่วมมือเพื่อการพัฒนาแห่งสมาพันธรัฐสวิส
ร่วมกับองค์การระหว่างประเทศเพื่อการโยกย้ายถิ่นฐาน
เพื่อดำเนินความร่วมมือในโครงการลดปัญหาความยากจนโดยการโยกย้ายถิ่นฐานที่ปลอดภัย การพัฒนาทักษะแรงงาน
และการยกระดับโอกาสการเข้าถึงการจ้างงานในประเทศกัมพูชา สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว
เมียนมา และไทย ระยะที่ ๒ และอนุมัติให้อธิบดีกรมความร่วมมือระหว่างประเทศเป็นผู้ลงนามในหนังสือแสดงเจตจำนงข้างต้น
โดยร่างหนังสือแสดงเจตจำนงฯ มีวัตถุประสงค์เพื่อให้แรงงานข้ามชาติจากกัมพูชา
สปป.ลาว และเมียนมาในประเทศไทยตลอดจนแรงงานข้ามชาติที่เดินทางกลับไปยังภูมิลำเนาเดิม
ได้รับการจ้างงานอย่างเหมาะสมเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิต ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างหนังสือแสดงเจตจำนงระหว่างกรมความร่วมมือระหว่างประเทศและองค์การความร่วมมือเพื่อการพัฒนาแห่งสมาพันธรัฐสวิส
ร่วมกับองค์การระหว่างประเทศเพื่อการโยกย้ายถิ่นฐาน
เพื่อดำเนินความร่วมมือในโครงการลดปัญหาความยากจนโดยการโยกย้ายถิ่นฐานที่ปลอดภัย
การพัฒนาทักษะแรงงาน และการยกระดับโอกาสการเข้าถึงการจ้างงานในประเทศกัมพูชา
สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว เมียนมา และไทย ระยะที่ ๒
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
และให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ
เกี่ยวกับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นจากการดำเนินโครงการความร่วมมือดังกล่าว
ให้กระทรวงการต่างประเทศพิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ
โอนงบประมาณรายจ่าย โอนเงินจัดสรรหรือเปลี่ยนแปลงเงินจัดสรรงบประมาณ แล้วแต่กรณี
ตามระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ ตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ
ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วนในทุกมิติ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16 | โครงการสนับสนุนเกษตรกรชาวไร่อ้อยตัดอ้อยสดคุณภาพดีเพื่อลดฝุ่น PM2.5 | อก. | 04/12/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. รับทราบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมชี้แจงเพิ่มเติมว่า การจ่ายเงินให้แก่เกษตรกรชาวไร่อ้อยตามโครงการสนับสนุนเกษตรกรชาวไร่อ้อยตัดอ้อยสดคุณภาพดีเพื่อลดฝุ่น
PM2.5
สามารถดำเนินการได้โดยไม่ขัดต่อพันธกรณีภายใต้องค์การการค้าโลก (WTO) เนื่องจากเป็นการจ่ายเงินตามหลักการ De minimis (การอุดหนุนขั้นต่ำไม่เกินร้อยละ
๑๐ ของมูลค่าผลผลิตรวมในแต่ละปีของพืชชนิดนั้น) ของ WTO ซึ่งเป็นการอุดหนุนภายในที่มีผลต่อการบิดเบือนการค้าน้อยหรืออาจไม่มีผลต่อการบิดเบือนเลย ๒.
อนุมัติในหลักการโครงการสนับสนุนเกษตรกรชาวไร่อ้อยตัดอ้อยสดคุณภาพดีเพื่อลดฝุ่น PM2.5 ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้
โดยค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นและเป็นภาระต่องบประมาณนั้น
ให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามผลการดำเนินงานจริงตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป
ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้
ให้กระทรวงอุตสาหกรรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย
สำนักงบประมาณ และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ รวมทั้งข้อสังเกตและข้อเสนอแนะของธนาคารแห่งประเทศไทย
เช่น ควรมีมาตรการหรือแนวทางรองรับเพื่อแก้ไขปัญหาได้อย่างยั่งยืน
และหาแนวทางในการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและเก็บเกี่ยวอ้อยให้ได้คุณภาพดียิ่งขึ้น
เพื่อลดภาระงบประมาณรายจ่ายที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
ควรกำกับติดตามการดำเนินงานอย่างใกล้ชิด
เพื่อให้การดำเนินงานเป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้
ให้ดำเนินการตามระเบียบและกฎหมายที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด หน่วยงานผู้รับผิดชอบควรมีกลไกและแนวทางการแก้ปัญหาการเผาพื้นที่ไร่อ้อยของเกษตรกรเพื่อลดปัญหามลพิษทางอากาศในระยะยาว
และพิจารณาหาแหล่งเงินที่เหมาะสมอื่นจากห่วงโซ่อุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาล
เพื่อให้สามารถลดภาระงบประมาณในอนาคตของภาครัฐ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17 | ร่างกฎกระทรวงสถานที่เก็บรักษาน้ำมัน พ.ศ. .... | พน. | 04/12/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงสถานที่เก็บรักษาน้ำมัน
พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงกฎกระทรวงสถานที่เก็บรักษาน้ำมันเชื้อเพลิง
พ.ศ. ๒๕๕๑ และที่แก้ไขเพิ่มเติม โดยกำหนดเพิ่มเติมหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการประกอบกิจการสถานที่เก็บรักษาน้ำมัน
[เฉพาะสถานที่เก็บรักษาน้ำมันลักษณะที่สาม (โรงงานหรือสถานประกอบกิจการขนาดใหญ่)]
โดยเพิ่มเติมหลักเกณฑ์การจัดเก็บภาชนะบรรจุน้ำมันภายในอาคารเก็บภาชนะบรรจุน้ำมัน
และกำหนดเพิ่ม “อาคารติดตั้งถังเก็บน้ำมันโดยเฉพาะ”
ที่เป็นรูปแบบใหม่ขึ้นอีกหนึ่งลักษณะ รวมทั้งกำหนดเพิ่มเติมการควบคุมที่จำเป็นในการป้องกันและระงับอัคคีภัยเพื่อความปลอดภัยและป้องกันอันตรายที่อาจเกิดขึ้น
ตลอดจนนำไปแก้ไขข้อกำหนดอื่นที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้มีความชัดเจน
สอดคล้องกับมาตรฐานสากล และแผนการดำเนินงานของผู้ประกอบธุรกิจศูนย์ข้อมูล (Data Center) ที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุนจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน
ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ
และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน
แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
18 | ยุทธศาสตร์การจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 | นร.07 | 04/12/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. เห็นชอบยุทธศาสตร์การจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๘ ประกอบด้วย โครงสร้างยุทธศาสตร์การจัดสรรงบฯ พ.ศ. ๒๕๖๘ ตามยุทธศาสตร์ชาติ
๖ ด้าน ได้แก่ (๑) ยุทธศาสตร์ด้านความมั่นคง (๒)
ยุทธศาสตร์ด้านการสร้างความสามารถในการแข่งขัน (๓) ยุทธศาสตร์ด้านการพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพทรัพยากรมนุษย์
(๔) ยุทธศาสตร์ด้านการสร้างโอกาสและความเสมอภาคทางสังคม (๕)
ยุทธศาสตร์ด้านการสร้างการเติบโตบนคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และ (๖)
ยุทธศาสตร์ด้านการปรับสมดุลและพัฒนาระบบการบริหารจัดการภาครัฐ และรายการค่าดำเนินการภาครัฐ
ประกอบด้วย รายจ่ายเพื่อรองรับกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น
รายจ่ายเพื่อการชำระหนี้ภาครัฐ และรายจ่ายเพื่อชดใช้เงินคงคลัง ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ
ทั้งนี้
ให้สำนักงบประมาณและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ
และสำนักงานคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ ที่เห็นว่าในการจัดทำยุทธศาสตร์การจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณต่อไป
ควรมีการเพิ่มเติมเป้าหมายและตัวชี้วัดของนโยบายและแผนระดับชาติว่าด้วยความมั่นคงแห่งชาติ
(พ.ศ. ๒๕๖๖-๒๕๗๐) ที่สามารถประเมินและวัดผลสัมฤทธิ์ของนโยบายการจัดสรรงบประมาณ
ที่เป็นประเด็นการดำเนินการเร่งด่วน
รวมทั้งการเพิ่มเติมการเชื่อมโยงเป้าหมายและตัวชี้วัดของนโยบายและแผนฯ (พ.ศ. ๒๕๖๖-๒๕๗๐)
ในระบบการจัดการงบประมาณอิเล็กทรอนิกส์ (e-Budgeting) ของสำนักงบประมาณ
เพื่อให้การจัดทำงบประมาณสามารถบรรลุเป้าหมายในการขับเคลื่อนภารกิจงานความมั่นคงได้อย่างมีประสิทธิภาพต่อไป
พ.ศ. ๒๕๖๘ ประเด็นแผนแม่บทการบริหารจัดการน้ำทั้งระบบ
ควรพิจารณาให้สอดคล้องกับกรอบการจัดสรรงบประมาณประจำปี และอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ
เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องสามารถดำเนินการได้ตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ ควรเพิ่มประเด็นแนวทางบูรณาการด้านที่ดินและทรัพยากรดินของประเทศ
ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๘ ในยุทธศาสตร์ด้านการสร้างโอกาสและความเสมอภาคทางสังคม
เพื่อให้เร่งรัดการขับเคลื่อนภารกิจงาน “การปรับปรุงแผนที่แนวเขตที่ดินของรัฐฯ (One
Map)” และ “การจัดที่ดินทำกิน” ให้เป็นภารกิจพิเศษ (Agenda
Base) รวมทั้งเพื่อเสริมสร้างความเป็นเอกภาพในการบริหารจัดการที่ดินและทรัพยากรดินเพื่อความยั่งยืน
ให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
19 | รายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง การปฏิรูปกองทุนส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ ของคณะกรรมาธิการการพัฒนาสังคม และกิจการเด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ คนพิการ และผู้ด้อยโอกาส วุฒิสภา | สว. | 28/11/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. รับทราบรายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง
การปฏิรูปกองทุนส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการของคณะกรรมาธิการการพัฒนาสังคม
และกิจการเด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ คนพิการ และผู้ด้อยโอกาส วุฒิสภา ซึ่งได้พิจารณาศึกษาการปฏิรูปกองทุนส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ
โดยมีข้อเสนอแนะเกี่ยวกับแนวทางการปฏิรูปกองทุนส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ
เช่น ควรปรับปรุงโครงสร้างและการบริหารจัดการของกองทุนส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ
สนับสนุนงบประมาณในการจัดตั้งศูนย์บริการคนพิการทั่วไป
และควรเร่งดำเนินการออกกฎหมายเพื่อให้องค์กรเอกชน
องค์กรภาคประชาสังคมและองค์กรด้านคนพิการที่สนับสนุนภาครัฐในการทำงานส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการได้รับยกเว้นภาษีสำหรับเงินที่ได้รับการอุดหนุนจากกองทุน
รวมถึงควรส่งเสริมบทบาทขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในการส่งเสริมลและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ
เป็นต้น ตามที่สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาเสนอ ๒.
มอบหมายให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เป็นหน่วยงานหลักรับรายงานและข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงการคลัง
กระทรวงมหาดไทย กระทรวงแรงงาน สำนักงบประมาณ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อพิจารณาศึกษาแนวทางและความเหมาะสมของข้อเสนอแนะดังกล่าว
และสรุปผลการพิจารณาหรือผลการดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวในภาพรวม แล้วส่งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีภายใน
๓๐ วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งจากสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
20 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดวันเวลาเปิดปิดของสถานบริการ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | มท. | 28/11/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
เห็นชอบร่างกฎกระทรวงกำหนดวันเวลาเปิดปิดของสถานบริการ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....
มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้เป็นการแก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวงกำหนดวันเวลาเปิดปิดของสถานบริการ
พ.ศ. ๒๕๔๗
เพื่อกำหนดวันเวลาเปิดปิดของสถานบริการทุกประเภทที่ตั้งอยู่ในเขตพื้นที่เพื่อการอนุญาตให้ตั้งสถานบริการ
เพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจของประเทศที่เพิ่งผ่านพ้นสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรค
COVID ๑๙
จึงจำเป็นเร่งด่วนที่จะต้องดำเนินการขยายเวลาเปิดสถานบริการที่อยู่ในสถานที่ตั้งโรงแรมตามกฎหมายว่าด้วยโรงแรม
และสถานบริการที่ตั้งอยู่ในท้องที่กรุงเทพมหานคร จังหวัดภูเก็ต จังหวัดชลบุรี
จังหวัดเชียงใหม่ และท้องที่อำเภอเกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี
ซึ่งจะมีส่วนช่วยกระตุ้นการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจได้อย่างต่อเนื่องสร้างรายได้ให้แก่ประเทศ
ผู้ประกอบธุรกิจ และประชาชนในพื้นที่
สมควรกำหนดเป็นท้องที่นำร่องขยายเวลาเปิดสถานบริการถึง ๐๔.๐๐ นาฬิกา
ของวันรุ่งขึ้น ส่วนท้องที่อื่นที่ประสงค์จะขยายเวลาเปิดสถานบริการถึง ๐๔.๐๐
นาฬิกา ของวันรุ่งขึ้น
ให้เป็นไปตามประกาศจังหวัดภายใต้หลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่ปลัดกระทรวงมหาดไทย กำหนด ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ
ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว และให้ดำเนินการต่อไปได้
|