ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 9 จากทั้งหมด 9 หน้า แสดงรายการที่ 161 - 179 จากข้อมูลทั้งหมด 179 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
161 | ร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในพระราชบัญญัติยา พ.ศ. 2510 | สธ. | 31/01/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในพระราชบัญญัติยา
พ.ศ.๒๕๑๐ มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงรายการและอัตราค่าธรรมเนียมตามกฎกระทรวง
ฉบับที่ ๒๖ (พ.ศ. ๒๕๓๗) ออกตามความในพระราชบัญญัติยา พ.ศ. ๒๕๑๐
ให้มีความเหมาะสมและสอดคล้องกับกฎหมาย และการดำเนินงานในปัจจุบัน ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ
และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒.
ให้กระทรวงสาธารณสุขรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงอุตสาหกรรม
และสำนักงบประมาณ ที่เห็นว่าเมื่อออกกฎกระทรวงที่เป็นประโยชน์ต่อผู้รับอนุญาต
ควรให้มีมาตรการในการควบคุมราคาเภสัชภัณฑ์เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงเภสัชภัณฑ์ในราคาที่สมเหตุสมผลมากยิ่งขึ้น
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ยาสำหรับสัตว์ ซึ่งถือเป็นต้นทุนในการผลิตปศุสัตว์ ควรเน้นการส่งเสริมและสนับสนุนการวิจัยพัฒนาตำรับยาและเป็นการต่อยอดให้เกิดนวัตกรรมผลิตภัณฑ์ยาใหม่เชิงอุตสาหกรรมในประเทศต่อไป
และควรสร้างการรับรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับการปรับปรุงอัตราค่าธรรมเนียมท้ายพระราชบัญญัติยา
พ.ศ. ๒๕๑๐ ดังกล่าว ให้ประชาชนได้รับทราบอย่างทั่วถึง ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
162 | ร่างเอกสารที่จะรับรองในการประชุมรัฐมนตรีท่องเที่ยวอาเซียน ครั้งที่ 26 และการประชุมระดับรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง | กก. | 31/01/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
163 | ขออนุมัติการตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 สำหรับรายการงบประมาณที่มีวงเงินตั้งแต่หนึ่งพันล้านบาทขึ้นไป (กระทรวงเกษตรและสหกรณ์) | กษ. | 24/01/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติในหลักการให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์นำรายการที่มีวงเงินตั้งแต่
๑,๐๐๐
ล้านบาทขึ้นไป จำนวน ๕ โครงการ ๗ รายการ วงเงินรวมทั้งสิ้น ๑๓,๘๓๔,๒๕๓,๔๐๐ บาท เพื่อเสนอเป็นคำขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๗ จำนวน ๒,๗๖๖,๘๕๐,๗๐๐ บาท และผูกพันปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๘-พ.ศ. ๒๕๗๐ อีกจำนวน ๑๑,๐๖๗,๔๐๒,๗๐๐ บาท ตามนัยมาตรา
๒๖ ของพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑
โดยให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์จัดทำแผนการดำเนินการ
และยืนยันความพร้อมของโครงการและรายการดังกล่าว โดยมีรายละเอียดแบบรูปรายการ
ประมาณการค่าสิ่งก่อสร้าง สถานที่/พื้นที่พร้อมที่จะดำเนินการและกำหนดรูปแบบรายการก่อสร้างให้มีความเหมาะสม
รวมถึงการดำเนินการตามระเบียบและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
ตลอดจนสถานะการเงินการคลังของประเทศ
และคำนึงถึงภาระผูกพันงบประมาณในแต่ละปีงบประมาณให้เป็นไปตามสัดส่วนของรายจ่ายลงทุนที่กำหนด
ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
164 | การจัดทำคำของบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 (สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ) | ศร. | 24/01/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบคำขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๗
ของสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ จำนวน ๔๔๘,๕๖๖,๘๐๐ บาท ทั้งนี้
การจัดทำคำของบประมาณรายจ่ายของหน่วยรับงบประมาณดังกล่าวเป็นการยื่นคำขอตั้งงบประมาณรายจ่ายต่อคณะรัฐมนตรีภายในระยะเวลาที่คณะรัฐมนตรีกำหนด
โดยแสดงวัตถุประสงค์ แผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ และรายงานเกี่ยวกับเงินนอกงบประมาณ ตามนัยมาตรา ๒๘
แห่งพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ เพื่อสำนักงบประมาณจะได้จัดทำงบประมาณตามขั้นตอนต่อไป
ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้
ให้สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญรับความเห็นของกระทรวงการคลัง
ที่เห็นควรให้ความสำคัญกับการควบคุม และกำกับดูแลการใช้จ่ายงบประมาณให้เป็นไปตามกฎหมาย
ระเบียบ ข้อบังคับ และหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง
เพื่อให้การใช้จ่ายงบประมาณมีความคุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุด
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
165 | โครงการพัฒนาเครือข่ายระบบด้านการดูแลสุขภาพจิต | สธ. | 24/01/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการของโครงการพัฒนาเครือข่ายระบบด้านการดูแลสุขภาพจิต
ภายในระยะเวลา ๕ ปี ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๖-๒๕๗๐
และกรอบวงเงินงบประมาณในการดำเนินการโครงการฯ จำนวน ๖๘๖.๐๗๕๑ ล้านบาท
ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ สำหรับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๖ และในปีงบประมาณต่อ
ๆ ไป ให้กระทรวงสาธารณสุข (กรมสุขภาพจิต) ดำเนินการตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
(หนังสือสำนักงบประมาณ ด่วนที่สุด ที่ นร ๐๗๑๒/๒๖๕๙ ลงวันที่ ๒๙ ธันวาคม ๒๕๖๕)
ทั้งนี้ ให้กระทรวงสาธารณสุขรับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงาน ก.พ.
รวมทั้งข้อเสนอแนะของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมและสำนักงาน
ก.พ.ร. ที่เห็นควรให้ความสำคัญกับการควบคุม
และกำกับดูแลการดำเนินโครงการให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ
และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้การใช้จ่ายงบประมาณมีความคุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุด
กรมสุขภาพจิตควรพิจารณาจัดสรรจำนวนบุคลากรที่จะเข้ารับการอบรมไปยังพื้นที่ต่าง ๆ
โดยพิจารณาจากความจำเป็นของแต่ละเขตสุขภาพที่มีข้อมูลของผู้มีความเสี่ยงและต้องการได้รับการรักษาทางจิตเวชอย่างเร่งด่วนต่อไป
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
166 | ร่างกฎกระทรวงออกตามความในพระราชบัญญัติการปฏิบัติการตามความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งประเทศสหรัฐอเมริกาเพื่อความร่วมมือในการปรับปรุงการปฏิบัติตามการภาษีอากรระหว่างประเทศ พ.ศ. 2560 รวม 2 ฉบับ | กค. | 24/01/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. อนุมัติหลักการ ๑.๑ ร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์
วิธีการ และเงื่อนไขให้ผู้มีหน้าที่รายงานรวบรวม
และนำส่งข้อมูลที่ต้องการรายงานให้แก่เจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดหน้าที่ของผู้มีหน้าที่รายงานในการรวบรวมข้อมูลที่ต้องรายงานและนำส่งข้อมูลดังกล่าวต่อเจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจ
ตลอดจนหน้าที่ในการจัดเก็บรักษาข้อมูลดังกล่าวเพื่อประโยชน์ในการตรวจสอบ ๑.๒
ร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการสำหรับการขอหนังสือรับรองสถานะว่าเป็นหรือไม่เป็นผู้มีหน้าที่รายงาน
พ.ศ. ..... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการในการยื่นขอหนังสือรับรองสถานะของการเป็นหรือไม่เป็นผู้มีหน้าที่รายงาน
กรอบระยะเวลาในการยื่นคำขอ ช่องทางการดำเนินการ ตลอดจนขั้นตอนการพิจารณารับรองสถานะของผู้มีหน้าที่รายงาน รวม ๒ ฉบับ
ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน
โดยให้รับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ และธนาคารแห่งประเทศไทย ที่เห็นควรปรับแก้ข้อ
๒ ของร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขให้ผู้มีหน้าที่รายงานรวบรวมและนำส่งข้อมูลที่ต้องการรายงานให้แก่เจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจ
พ.ศ. .... เป็น “ข้อ ๒
ให้ผู้มีหน้าที่รายงานมีหน้าที่ดำเนินการเพื่อให้ได้มาซึ่งข้อมูลบัญชีสหรัฐที่ต้องรายงานทุกประเภทบัญชี
โดยแต่ละบัญชีต้องมีรายการครบถ้วนตามข้อ ๒ อนุวรรค ๒ ก) ของความตกลง...” เพื่อให้สอดคล้องกับความตกลง FATCA ฉบับภาษาอังกฤษ และควรมีการประสานกับผู้มีหน้าที่รายงานเพื่อขอความเห็นเกี่ยวกับความเหมาะสมของกฎหมายและการนำไปใช้ในทางปฏิบัติ
เพื่อเป็นข้อมูลเพิ่มเติมประกอบการพิจารณาของคณะรัฐมนตรี ไปประกอบการพิจารณาด้วย
แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของธนาคารแห่งประเทศไทย ที่เห็นว่าควรมีการประสานกับผู้มีหน้าที่รายงานเพื่อขอความเห็นเกี่ยวกับความเหมาะสมของกฎหมายและการนำไปใช้ในทางปฏิบัติ
เพื่อเป็นข้อมูลเพิ่มเติมประกอบการพิจารณาของคณะรัฐมนตรี
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
167 | การลงทุนโครงการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) | อก. | 24/01/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
รับทราบตามที่ผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยชี้แจงว่า
เนื่องจากไม่มีที่ราชพัสดุในบริเวณใกล้เคียงที่มีขนาดใหญ่เพียงพอสำหรับดำเนินโครงการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก
(EEC) ประกอบกับผลการสำรวจความต้องการของนักลงทุนพบว่านักลงทุนมีความสนใจที่จะลงทุนในโครงการนี้มากยิ่งขึ้นหากสามารถได้รับกรรมสิทธิ์ในที่ดินของโครงการฯ
ด้วย ดังนั้น
การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยจึงมีความจำเป็นต้องซื้อที่ดินจากเอกชนเพื่อดำเนินโครงการนี้ ๒. เห็นชอบการลงทุนจัดซื้อที่ดินโครงการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก
(EEC) ตั้งอยู่ในท้องที่ตำบลสำนักทอง
อำเภอเมืองระยอง จังหวัดระยอง เนื้อที่ประมาณ ๑,๔๘๒ ไร่ วงเงิน ๒,๖๖๘ ล้านบาท
และการลงทุนจัดซื้อที่ดินโครงการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมในพื้นที่จังหวัดลำพูน
พื้นที่ตำบลมะเขือแจ้ ตำบลบ้านกลาง อำเภอเมืองลำพูน จังหวัดลำพูน เนื้อที่ประมาณ
๖๕๓ ไร่ และที่ดินถนนทางเข้าประมาณ ๒๕ ไร่ วงเงิน ๘๔๒ ล้านบาท ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ
และให้กระทรวงอุตสาหกรรม (การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย)
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
กระทรวงคมนาคม และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควร (๑)
จัดทำแผนการพัฒนานิคมอุตสาหกรรมในภาพรวม
และจัดทำแผนการตลาดของโครงการการศึกษาความต้องการของนักลงทุนในพื้นที่ (๒)
พัฒนานิคมอุตสาหกรรมให้มีลักษณะเป็นนิคมอุตสาหกรรม Smart Park (๓) ในกระบวนการจัดทำ EIA/EHIA ควรให้ความสำคัญกับความพอเพียงของการจัดการน้ำผิวดิน
น้ำบาดาล และการทำให้เกิด Circular Economy รวมถึงกำหนดให้แบบก่อสร้างมีทางไหลของน้ำเพื่อเลี่ยงกรณีน้ำท่วมใหญ่และไม่ขวางเส้นทางน้ำธรรมชาติ
(๔) ทบทวนรูปแบบการบริหารจัดการนิคมอุตสาหกรรมในระยะที่ผ่านมา
รวมทั้งทบทวนวิธีการการคำนวณผลตอบแทนทางการเงิน (๕)
ประชาสัมพันธ์และจัดทำแผนการตลาดเพื่อเชิญชวนและจูงใจกลุ่มนักลงทุนเป้าหมาย และ
(๖) สร้างความร่วมมือกับสถาบันการศึกษา สถาบันวิจัย
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการผลิตกำลังคนให้มีความพร้อม และจัดทำมาตรการส่งเสริมการถ่ายทอดเทคโนโลยีและนวัตกรรมจากผู้ประกอบการหรือบริษัทข้ามชาติในนิคมอุตสาหกรรม
สู่ผู้ประกอบการรายย่อย ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
168 | ถ้อยแถลงร่วมเกี่ยวกับการเสด็จพระราชดำเนินเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการของมกุฎราชกุมาร และนายกรัฐมนตรีแห่งราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย | กต. | 24/01/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบเนื้อหาของถ้อยแถลงร่วมเกี่ยวกับการเสด็จพระราชดำเนินเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการของมกุฎราชกุมาร
และนายกรัฐมนตรีแห่งราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย ระหว่างวันที่ ๑๗-๑๙ พฤศจิกายน ๒๕๖๕
มีสาระสำคัญเกี่ยวกับความร่วมมือทวิภาคีไทย-ซาอุดีอาระเบีย ในด้านต่าง ๆ ได้แก่
ด้านการเมือง กลาโหมและความมั่นคง เศรษฐกิจ การค้าและการลงทุน สังคมและการศึกษา
ความร่วมมือทางวิทยาศาสตร์ การวิจัย และความร่วมมือด้านฮัจย์
รวมถึงประเด็นพัฒนาการในภูมิภาคและความร่วมมือในกรอบพหุภาคี
ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ และให้กระทรวงการต่างประเทศและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงคมนาคมที่ขอให้ดำเนินการตามระเบียบ
กฎหมาย และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
169 | ขออนุมัติก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณโครงการพัฒนาพื้นที่ส่วนขยายศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา 5 ธันวาคม 2550 พื้นที่โซน C | กค. | 24/01/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
รับทราบผลการดำเนินงานโครงการพัฒนาพื้นที่ส่วนขยายศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ ๘๐
พรรษา ๕ ธันวาคม ๒๕๕๐ พื้นที่โซน C ของบริษัท ธนารักษ์พัฒนาสินทรัพย์ จำกัด (ธพส.)
ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
และให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นควรให้กระทรวงการคลัง
กำกับดูแลให้ ธพส. เร่งรัดการก่อสร้างโครงการฯ ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว พร้อมทั้งร่วมกับกรมธนารักษ์ในการประสานส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจในการเข้าใช้ประโยชน์พื้นที่โครงการฯ
เพื่อส่งเสริมการจัดระบบศูนย์ราชการและรับรองความต้องการใช้ประโยชน์พื้นที่เป็นสำนักงานของหน่วยราชการและรัฐวิสาหกิจ
ซึ่งจะช่วยให้การดำเนินโครงการฯ เป็นไปอย่างคุ้มค่า
ทั้งทางการเงินและเศรษฐกิจตามเป้าหมายที่กำหนด ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๒.อนุมัติให้กระทรวงการคลังนำรายการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณที่มีวงเงินตั้งแต่
๑,๐๐๐ ล้านบาทขึ้นไป โครงการพัฒนาพื้นที่ส่วนขยายศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ
๘๐ พรรษา ๕ ธันวาคม ๒๕๕๐ พื้นที่โซน C เพื่อเป็นค่าเช่าอาคารให้กับ ธพส. เป็นเวลา ๓๐ ปี
และปรับปรุงอัตราค่าเช่าเพิ่มขึ้นร้อยละ ๗ ของอัตราค่าเช่าเดิมทุก ๓ ปี รวม ๓๐ ปี
วงเงินรวมทั้งสิ้น ๙๘,๙๓๑,๒๙๓,๙๘๒ บาท
เสนอเป็นคำขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๗ ตามนัยมาตรา ๒๖
ของพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
170 | ธรรมนูญว่าด้วยระบบสุขภาพแห่งชาติ ฉบับที่ 3 พ.ศ. 2565 และเอกสารประกอบ | สช. | 24/01/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบธรรมนูญว่าด้วยระบบสุขภาพแห่งชาติ ฉบับที่ ๓ พ.ศ. ๒๕๖๕
และเอกสารประกอบ ซึ่งได้ปรับปรุงตามข้อแนะนำของสภาผู้แทนราษฎร
ตามที่คณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติเสนอ
และให้รายงานต่อสภาผู้แทนราษฎรเพื่อทราบอีกครั้งหนึ่ง
แล้วประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
171 | รายงานสถานการณ์ผู้สูงอายุไทย พ.ศ. 2564 | พม. | 24/01/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบรายงานสถานการณ์ผู้สูงอายุ
พ.ศ. ๒๕๖๔ ตามมติคณะกรรมการผู้สูงอายุ และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องขับเคลื่อนในเชิงนโยบายต่อไป
โดยรายงานฯ มีสาระสำคัญ เช่น สถานการณ์ผู้สูงอายุของโลกและสถานการณ์ในประเทศไทย
สถานการณ์ผู้สูงอายุกับโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (โควิด-๑๙) ปี ๒๕๖๔
การปรับตัวและการเข้าถึงเทคโนโลยีดิจิทัลของผู้สูงอายุในช่วงโควิด-๑๙
การดำเนินงานด้านผู้สูงอายุในไทย งานวิจัยเพื่อสังคมผู้สูงอายุ
และข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ
ทั้งนี้ ให้คณะกรรมการผู้สูงอายุแห่งชาติ
กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงแรงงาน
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง
รวมทั้งข้อเสนอแนะของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์
วิจัยและนวัตกรรมและกระทรวงคมนาคม ที่เห็นว่า
ในประเด็นข้อเสนอการมุ่งพัฒนาระบบบำนาญให้ครอบคลุมผู้สูงอายุอย่างถ้วนหน้า
รวมทั้งการปรับปรุงเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุให้เหมาะสมกับค่าครองชีพหรือภาวะเงินเฟ้อที่สูงขึ้น
ควรคำนึงถึงภาระผูกพันงบประมาณในอนาคตอันเนื่องมาจากการปรับเพิ่มเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุและแนวทางเพื่อลดภาระผูกพันงบประมาณดังกล่าว
ให้ความสำคัญเรื่องการสูงวัยในถิ่นเดิม นอกเหนือจากการสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อสุขภาวะด้านร่างกายและจิตใจ
ควรมุ่งเน้นด้านระบบการบริหารจัดการ การดูแลและช่วยเหลือผู้สูงอายุ
และให้ถือปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ มติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง
และหลักธรรมาภิบาลอย่างเคร่งครัด ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
172 | สรุปมติการประชุมคณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ ครั้งที่ 3/2565 | กษ. | 17/01/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. รับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ
ครั้งที่ ๓/๒๕๖๕ เมื่อวันที่ ๑๙ ตุลาคม ๒๕๖๕ ได้มีมติเห็นชอบให้มีการดำเนินการ ๖
เรื่อง ได้แก่ การกำหนดมาตรฐานการรับซื้อผลปาล์ม
โครงการติดตั้งเครื่องมือวัดปริมาณน้ำมันปาล์มเพื่อบริหารจัดการและควบคุมสต็อกน้ำมันปาล์ม
การเปิดตลาดน้ำมันปาล์มและน้ำมันเนื้อในเมล็ดปาล์มภายใต้กรอบการค้าระหว่างประเทศ
ปี ๒๕๖๖-๒๕๖๘
การขยายระยะเวลาโครงการผลักดันการส่งออกน้ำมันปาล์มเพื่อลดผลผลิตส่วนเกิน ปี ๒๕๖๕
โครงการประกันรายได้เกษตรกรชาวสวนปาล์มน้ำมัน ปี ๒๕๖๕-ปี๒๕๖๖ และมาตรการคู่ขนาน ปี
๒๕๖๖ และ การสรรหากรรมการผู้ทรงคุณวุฒิใน กนป. ตามที่คณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
173 | ขออนุมัติดำเนินโครงการอ่างเก็บน้ำน้ำกิ จังหวัดน่าน | กษ. | 17/01/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑. เห็นชอบให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
โดยกรมชลประทานดำเนินโครงการอ่างเก็บน้ำน้ำกิ จังหวัดน่าน ภายในกรอบวงเงิน ๖,๒๐๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท ระยะเวลาดำเนินโครงการ ๗ ปี (ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๗-พ.ศ. ๒๕๗๓)
โดยขอให้กรมชลประทานเร่งรัดการดำเนินการเตรียมความพร้อมด้านจัดหาที่ดินในการก่อสร้าง
พร้อมทั้งจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณตามความสามารถในการใช้จ่ายและก่อหนี้ผูกพันภายในปีงบประมาณที่สอดคล้องกับแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติอย่างเคร่งครัด
ตลอดจนปฏิบัติตามนัยมาตรา ๒๖ แห่งพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑
สำหรับกรณีที่มีรายการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณมากกว่าหนึ่งปีงบประมาณ
และมีวงเงินตั้งแต่หนึ่งพันล้านบาทขึ้นไป จะต้องเสนอคณะรัฐมนตรีอนุมัติก่อน
เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความพร้อม ความจำเป็นและเหมาะสม
ตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
(กรมชลประทาน) รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงสาธารณสุข
สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ และสำนักงานคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ เช่น
ให้ความสำคัญกับการควบคุม และการกำกับดูแลการดำเนินโครงการให้เป็นไปตามกฎหมาย
ระเบียบ ข้อบังคับ และหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง
ให้หน่วยงานเจ้าของโครงการปฏิบัติตามมาตรการและแก้ไขผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
และมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมอย่างเคร่งครัด ควรรายงานความคืบหน้าการดำเนินโครงการอ่างเก็บน้ำน้ำกิ
จังหวัดน่าน ต่อคณะกรรมการลุ่มน้ำที่เกี่ยวข้องและ กนช. ทราบทุก ๖ เดือน
เพื่อติดตามและกำกับโครงการดังกล่าวให้แล้วเสร็จตามแผนงานและบรรลุวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้
ควรเร่งรัดการดำเนินการให้เป็นไปตามเป้าหมาย
ตามแผนแม่บทการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ ๒๐ ปี (พ.ศ. ๒๕๖๑-๒๕๘๐) เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
174 | หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการกำหนดค่าใช้จ่ายในการดำเนินการผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤต (ฉบับที่ 4) | สธ. | 17/01/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบหลักเกณฑ์ วิธีการ
และเงื่อนไขการกำหนดค่าใช้จ่ายในการดำเนินการผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤต (ฉบับที่ ๔) (หลักเกณฑ์ UCEP) ซึ่งได้ปรับปรุงหลักเกณฑ์ UCEP ๒ รายการ ได้แก่
(๑) การจัดทำรายการ หมวดค่ายาและสารอาหารทางเส้นเลือด
เป็นการปรับรายการยาในบัญชีแนบท้ายหลักเกณฑ์ UCEP จากจำนวน ๓,๑๓๘ รายการ คงเหลือ ๑,๒๘๗ รายการ
โดยปรับการกำหนดชื่อรายการยา จากเดิม กำหนดตามชื่อการค้า (Trade name) ของยา ๓,๑๓๘ รายการ ปรับเป็น (๑)
ใช้เฉพาะชื่อสามัญทางยา (Generic name) (สำหรับยาสามัญ จำนวน
๑,๐๖๐ รายการ) และ (๒) ใช้ทั้งชื่อสามัญทางยาและชื่อการค้า
(สำหรับยาต้นแบบ จำนวน ๒๒๗ รายการ) รวมทั้งได้มีการปรับอัตราค่ายาทั้ง ๑,๒๘๗ รายการ ให้สอดคล้องกับค่าใช้จ่ายในปัจจุบันแล้ว และ (๒) ค่าธรรมเนียมแพทย์
ในหมวดที่ ๑๒ ค่าบริการวิชาชีพ เป็นการปรับอัตราค่าบริการทางการแพทย์ เพื่อให้เป็นไปตามคู่มือแนวทางการกำหนดค่าธรรมเนียมการแพทย์
ปี ๒๕๖๓ เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน
โดยปรับเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ ๓๐ เช่น การซ่อมแซมหลอดเลือดแดงโปร่งพองในสมอง
จาก ๖๐,๐๐๐ ยาท เป็น ๙๐,๐๐๐ บาท
เพิ่มขึ้น ๓๐,๐๐๐ บาท หรือประมาณร้อยละ ๓๓.๓๔ ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ
และให้กระทรวงสาธารณสุขรับข้อสังเกตของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์
วิจัยและนวัตกรรม และความเห็นของสำนักงบประมาณ ที่เห็นว่าบัญชีรายการยาควรครอบคลุมไม่ต่ำกว่าสิทธิการรักษาพยาบาลของ
สปสช. ควรพิจารณาทบทวนการจัดกลุ่มให้ชัดเจนเพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย
ในกรณีของโรงพยาบาลเอกชนอาจมีรายการดังกล่าวในกลุ่มต้นแบบเท่านั้น
และสร้างการรับรู้และความเข้าใจที่ถูกต้อง
เกี่ยวกับการดำเนินการแก่ผู้ป่วยวิกฤตและประโยชน์ที่ผู้ป่วยจะได้รับเป็นสำคัญ
กำกับ ติดตาม และตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณดังกล่าวให้มีประสิทธิภาพตามหลักเกณฑ์ วิธีการ
เงื่อนไข และอัตราที่กำหนด ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
175 | ผลการคัดเลือกเอกชนและร่างสัญญาร่วมลงทุน (โดยวิธีการอนุญาต) สำหรับโครงการพัฒนาปรับปรุงท่าเรือสงขลา รวมทั้งการสนับสนุนงบประมาณให้แก่กรมเจ้าท่าในการขุดลอกและบำรุงรักษาความลึกของร่องน้ำสงขลา | กค. | 10/01/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบผลการคัดเลือกเอกชนและร่างสัญญาร่วมลงทุน
(โดยวิธีการอนุญาต) สำหรับโครงการพัฒนาปรับปรุงท่าเรือสงขลา ตามนัยมาตรา ๔๑
แห่งพระราชบัญญัติการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ. ๒๕๕๖ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
และให้กระทรวงการคลัง (กรมธนารักษ์) ตรวจสอบความถูกต้องในสัญญาและเอกสารแนบท้ายสัญญาต่าง
ๆ รวมทั้งความถูกต้องเหมาะสมด้านเทคนิค ด้านการเงิน และการกำหนดสัดส่วนค่าตอบแทนที่ภาครัฐจะได้รับตามที่ระบุไว้ในร่างสัญญาร่วมทุน
(โดยวิธีการอนุญาต) สำหรับโครงการพัฒนาปรับปรุงท่าเรือสงขลาและในเอกสารแนบท้ายสัญญาต่าง
ๆ โดยคำนึงถึงประโยชน์ของรัฐเป็นสำคัญ ก่อนลงนามในสัญญาตามขั้นตอนต่อไป
ตามข้อสังเกตของสำนักงานอัยการสูงสุด (หนังสือสำนักงานอัยการสูงสุด ด่วนที่สุด ที่
อส ๐๐๐๗/๒๒๗๔ ลงวันที่ ๒๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๔)
ทั้งนี้ ให้รับความเห็นของกระทรวงคมนาคมและกระทรวงพาณิชย์ ที่เห็นควรให้หน่วยงานเจ้าของโครงการดำเนินโครงการเป็นไปตามระเบียบ
กฎหมาย มติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง และหลักธรรมาภิบาลอย่างถูกต้องและครบถ้วนด้วย
ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการต่อไปด้วย ๒. ในส่วนของการขุดลอกและบำรุงรักษาร่องน้ำท่าเรือสงขลานั้น
ให้กระทรวงคมนาคม (กรมเจ้าท่า) เร่งรัดดำเนินการให้ได้ความลึกที่ระดับ ๙ เมตร
จากระดับน้ำลงต่ำสุดตามที่ได้กำหนดไว้ในแผนการขุดลอกร่องน้ำท่าเรือสงขลาในกรอบระยะเวลา
๒๕ ปี อย่างเคร่งครัด เพื่อให้สามารถใช้งานร่องน้ำสงขลาในการคมนาคมขนส่งได้ตลอดเวลา
สำหรับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในการขุดลอกคูคลองและบำรุงรักษาร่องน้ำสงขลา
ให้กระทรวงคมนาคม (กรมเจ้าท่า) ดำเนินการตามความเห็นของสำนักงบประมาณ |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
176 | การขอขยายระยะเวลาในการออกกฎกระทรวงซึ่งออกตามความในหมวด 4 การจัดสรรน้ำและการใช้น้ำแห่งพระราชบัญญัติทรัพยากรน้ำ พ.ศ. 2561 รวม 3 ฉบับ | นร.14 | 10/01/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้ขยายระยะเวลาในการออกกฎกระทรวงซึ่งออกตามความในหมวด
๔ การจัดสรรน้ำและการใช้น้ำ แห่งพระราชบัญญัติทรัพยากรน้ำ พ.ศ. ๒๕๖๑ รวม ๓ ฉบับ
ได้แก่ ร่างกฎกระทรวงกำหนดลักษณะหรือรายละเอียดการใช้น้ำแต่ละประเภท พ.ศ. ....
ร่างกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมในอนุญาตการใช้น้ำประเภทที่สองและค่าธรรมเนียมใบอนุญาตการใช้น้ำประเภทที่สาม
พ..ศ. .... และร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์การกำหนดอัตราค่าใช้น้ำสำหรับการใช้น้ำประเภทที่สองและการใช้น้ำประเภทที่
๓ และหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการเรียกเก็บ ลดหย่อน หรือยกเว้นค่าใช้น้ำ พ.ศ.
.... ออกไปอีกหนึ่งปี ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ ๒๗ มกราคม ๒๕๖๖ เป็นต้นไป
ตามที่สำนักงานทรัพยากรน้ำเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
177 | ความช่วยเหลือแบบให้เปล่าภายใต้แผนงาน The Programme for COVID-19 Crisis Response Emergency Support จากรัฐบาลญี่ปุ่น | กต. | 10/01/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบร่าง Agent Agreement between Thailand international Cooperation
Agency (TICA) and Japan International Cooperation System (JICS) for Procurement
Services under Japanese Grant Assistance for the Programme for COVID 19 Crisis
Response Emergency Support FY2022 และอนุมัติให้อธิบดีกรมความร่วมมือระหว่างประเทศ
กระทรวงการต่างประเทศ ลงนามในร่าง Agent Agreement ดังกล่าว
ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
และให้กระทรวงการต่างประเทศและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
รวมทั้งข้อสังเกตของสำนักงานอัยการสูงสุด (หนังสือสำนักงานอัยการสูงสุด ด่วนมาก
ที่ อส ๐๐๐๖/๑๗๘๓๐ ลงวันที่ ๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๖๕) เช่น
เกี่ยวกับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่าย
โอนเงินจัดสรรหรือเปลี่ยนแปลงเงินจัดสรรงบประมาณ แล้วแต่กรณี
ตามระเบียบวาระว่าด้วยการบริหารงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ ตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ
ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วนในทุกมิติ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่าง Agent Agreement between
Thailand international Cooperation Agency (TICA) and Japan International
Cooperation System (JICS) for Procurement Services under Japanese Grant
Assistance for the Programme for COVID 19 Crisis Response Emergency Support
FY2022 ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
ด้วย ๒.
ให้กระทรวงการต่างประเทศได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔
พฤศจิกายน๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
178 | ขอความเห็นชอบการจัดการประชุมเชิงปฏิบัติการ CTBTO On - site Inspection Regional Introductory Course (OSI-RIC24) | อว. | 10/01/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
เห็นชอบให้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
โดยสำนักงานปรมาณูเพื่อสันติในฐานะตัวแทนของประเทศไทยซึ่งเป็นสมาชิกของ CTBTO On-site Inspection Regional
Introductory Course (OSI-RIC24) ณ จังหวัดเชียงใหม่ ตั้งแต่วันที่
๑๕-๒๑ มกราคม ๒๕๖๖ ร่วมกับส่วนราชการที่เกี่ยวข้องตามหนังสือแลกเปลี่ยนสำหรับการประชุมดังกล่าว
และอนุมัติให้เลขาธิการสำนักงานปรมาณูเพื่อสันติหรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมาย
เป็นผู้ลงนามในหนังสือตอบรับการเป็นเจ้าภาพการประชุมดังกล่าวไปยัง CTBTO PrepCom ตามที่กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์
วิจัยและนวัตกรรมเสนอ และหากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างหนังสือแลกเปลี่ยนสำหรับการจัดการประชุมเชิงปฏิบัติการ
CTBTO On-site Inspection Regional Introductory Course (OSI-RIC24) ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมดำเนินการได้
โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว
ทั้งนี้ ให้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์
วิจัยและนวัตกรรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณ ที่เห็นสมควรให้ปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมาย
ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วนในทุกขั้นตอนด้วย
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
179 | (ร่าง) แผนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ ฉบับที่ 7 (พ.ศ. 2566 - 2570) | กก. | 03/01/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบ (ร่าง) แผนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ
ฉบับที่ ๗ (พ.ศ. ๒๕๖๖-๒๕๗๐) โดยแผนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ
ฉบับที่ ๗ มีสาระสำคัญเพื่อให้หน่วยงานต่าง ๆ
ทั้งภาครัฐและเอกชนใช้เป็นกรอบแนวทางในการจัดทำแผนปฏิบัติการประจำปีของแต่ละหน่วยงานเพื่อช่วยผลักดันและขับเคลื่อนการพัฒนาตามแผนสู่การปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม
เพื่อให้การกีฬาเป็นกลไกสำคัญในการเสริมสร้างความมั่นคงทางสังคมและความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจของประเทศอย่างยั่งยืนต่อไป
ตามที่คณะกรรมการนโยบายการกีฬาแห่งชาติเสนอ และให้คณะกรรมการนโยบายการกีฬาแห่งชาติ
กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กระทรวงคมนาคม
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น
ควรให้ความสำคัญกับการให้ความรู้เกี่ยวกับวิธีการ กติกาสากล
รวมถึงการป้องกันอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้นจากการเล่นกีฬาชนิดต่าง ๆ
ควรพิจารณาถึงประเด็นโภชนาการของนักกีฬาและการหลีกเลี่ยงการใช้สารกระตุ้น
เพื่อเพิ่มสมรรถภาพหรือข้อได้เปรียบทางร่างกายของนักกีฬา
ควรพิจารณากีฬาอีสปอร์ตเพื่อเป็นอีกส่วนหนึ่งช่องทางใหม่ในการเข้าถึงประชาชน
รวมถึงกีฬาพื้นบ้านของไทยซึ่งเป็นกีฬาที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของประเทศไทย ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๒.
ให้กระทรวงมหาดไทยพิจารณากำหนดมาตรการ/แนวทางการดำเนินการสนับสนุนส่งเสริมการออกกำลังกายและการเล่นกีฬาของประชาชนในชุมชนและท้องถิ่นต่าง
ๆ ทั่วประเทศให้เพิ่มมากขึ้นและมีความต่อเนื่อง
๓.
ให้กระทรวงศึกษาธิการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณากำหนดมาตรการ/แนวทางการดำเนินการสนับสนุนส่งเสริมให้นักเรียนได้มีเวลาในการออกกำลังกายและเล่นกีฬาในแต่ละสัปดาห์มากยิ่งขึ้น
โดยอาจพิจารณาให้สถานศึกษาจัดตั้งชมรมกีฬาประเภทต่าง ๆ
เพิ่มขึ้นตามความจำเป็นเหมาะสม เพื่อรองรับกิจกรรมดังกล่าวของนักเรียนต่อไป |