ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 12 จากทั้งหมด 13 หน้า แสดงรายการที่ 221 - 240 จากข้อมูลทั้งหมด 252 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 221 | การลดหย่อนค่าธรรมเนียมในการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมในการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม [ร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง หลักเกณฑ์การลดหย่อนค่าธรรมเนียมจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมเป็นพิเศษ ตามประมวลกฎหมายที่ดิน สำหรับกรณีการโอนอสังหาริมทรัพย์ในการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม] | กษ. | 07/02/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. เห็นชอบการขยายระยะเวลาการลดหย่อนค่าธรรมเนียมในการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมในการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม
ตามอัตราการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมให้เหลือในอัตราร้อยละ
๐.๐๑ ตามราคาประเมินทุนทรัพย์ ออกไปจนถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๖๙
ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ๒.
เห็นชอบร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง
หลักเกณฑ์การลดหย่อนค่าธรรมเนียมจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมเป็นพิเศษ
ตามประมวลกฎหมายที่ดิน สำหรับการโอนอสังหาริมทรัพย์ในการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม
ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้ ๓.
ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงบประมาณ ที่ควรจะต้องพิจารณาถึงความสอดคล้องกับประโยชน์สาธารณะหรือความมั่นคงในทางเศรษฐกิจของประเทศเป็นสำคัญ
ควรเร่งดำเนินการแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องให้สอดคล้องกับการปฏิบัติงานในระยะยาว
โดยเฉพาะการยกร่างพระราชบัญญัติการปฏิรูปที่ดินและคุ้มครองพื้นที่เกษตรกรรม พ.ศ.
.... ทั้งฉบับ รวมถึงพิจารณาแนวทางการลดขั้นตอนหรือระยะเวลาการโอนกรรมสิทธิ์
และเตรียมความพร้อมด้านการประสานงานและเอกสารหลักฐานที่เกี่ยวข้องให้กับเกษตรกรและเจ้าของที่ดินสำหรับขั้นตอนการโอนกรรมสิทธิ์ตั้งแต่ก่อนครบกำหนดตามสัญญา
เพื่อให้กระบวนการโอนกรรมสิทธิ์เป็นไปด้วยความรวดเร็วและมีส่วนช่วยลดภาระให้กับเกษตรกรได้อีกทางหนึ่ง
และควรสร้างการรับรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับการขยายระยะเวลาการลดหย่อนค่าธรรมเนียมดังกล่าวให้กับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง
ตลอดจนการติดตามและประเมินผลการดำเนินงานทั้งในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 222 | การกําหนดระยะเวลาการให้อัตราดอกเบี้ยผ่อนปรนสําหรับโครงการ "บ้านคนไทยประชารัฐ" บนที่ดินราชพัสดุ | กค. | 07/02/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติ
ดังนี้ ๑.
รับทราบผลการดำเนิน “โครงการบ้านคนไทยประชารัฐ” และอนุมัติให้ขยายระยะเวลาการให้อัตราดอกเบี้ยผ่อนปรน
(Pre Finance และ Post Finance)
สำหรับธุรกรรมนโยบายภาครัฐ “โครงการบ้านคนไทยประชารัฐ” ออกไปอีก ๑ ปี
(ตั้งแต่วันที่ ๓ มกราคม ๒๕๖๖ ถึงวันที่ ๒ มกราคม ๒๕๖๗) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๒.อนุมัติให้ยกเลิกการดำเนิน
“โครงการบ้านคนไทยประชารัฐ” ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓ มกราคม ๒๕๖๑ ในพื้นที่
๗ จังหวัด ประกอบด้วย (๑) พื้นที่ชลบุรี (๒) พื้นที่เชียงใหม่ (๓) พื้นที่เชียงราย
(๔) พื้นที่ขอนแก่น (๕) พื้นที่ลำปาง (๖) พื้นที่นครพนม และ (๗) พื้นที่อุดรธานี ๓.
ให้กระทรวงการคลัง (กรมธนารักษ์)
และหน่วยงานที่เกี่ยข้องรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและธนาคารแห่งประเทศไทย
เช่น ควรมีกระบวนการคัดกรองลูกค้ากลุ่มเป้าหมายที่เหมาะสม
ปล่อยสินเชื่อให้ลูกหนี้ที่มีความจำเป็น และได้รับสิทธิตามเงื่อนไขของโครงการ
เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 223 | ทบทวนมาตรการส่งเสริมการถ่ายทําภาพยนตร์ต่างประเทศในประเทศไทย | กก. | 07/02/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. รับทราบผลการดำเนินการตามมาตรการส่งเสริมการถ่ายทำภาพยนตร์ต่างประเทศในประเทศไทยและเห็นชอบรายการปรับหลักเกณฑ์
วิธีการ และเงื่อนไขของมาตรการดังกล่าว ตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอ
ทั้งนี้ ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาพิจารณาปรับรายละเอียดเงื่อนไขการรับสิทธิประโยชน์เพิ่มเติมและอัตราการคืนเงินของเงื่อนไขต่าง
ๆ ให้เหมาะสม โดยให้ความสำคัญกับปัจจัยที่ส่งผลต่อการฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศโดยตรงเป็นลำดับแรก
เช่น การกระจายรายได้สู่เมืองรอง การเพิ่มการจ้างแรงงานไทย
และการเพิ่มมูลค่าค่าใช้จ่ายในประเทศ เป็นต้น ซึ่งจะเป็นการสร้างรายได้ให้แก่ชุมชนและประชาชนในพื้นที่โดยตรง
๒. ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นและข้อสังเกตของกระทรวงการคลัง
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงอุตสาหกรรม
สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี (สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค)
สำนักงบประมาณ และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น จะต้องพิจารณาถึงผลกระทบของการใช้ทรัพยากรในประเทศอย่างคุ้มค่าและยั่งยืน
และไม่เป็นการเพิ่มภาระงบประมาณให้แก่รัฐบาล การดำเนินการใด ๆ ในพื้นที่ป่า
ให้ดำเนินการเป็นไปตามระเบียบ กฎหมาย
และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด
ควรดำเนินการติดตามและประเมินผลการดำเนินมาตรการส่งเสริมการถ่ายทำภาพยนตร์ต่างประเทศในประเทศไทยที่ผ่านมา
ทั้งด้านผลตอบแทนทางเศรษฐกิจ และผลกระทบทางสังคม วัฒนธรรม สิ่งแวดล้อม โดยละเอียด
ตั้งแต่ก่อนการถ่ายทำ ระหว่างถ่ายทำ และหลังการถ่ายทำ เร่งดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๓ สิงหาคม ๒๕๕๙ ปรับปรุงแก้ไขพระราชบัญญัติภาพยนตร์และวีดิทัศน์
พ.ศ. ๒๕๕๑ ในส่วนของการจัดตั้งกองทุนส่งเสริมภาพยนตร์และวีดิทัศน์ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว
เตรียมความพร้อมและประเมินทิศทางและแนวโน้มการขยายตัวของการเข้ามาถ่ายทำภาพยนตร์ในประเทศไทยล่วงหน้าเพื่อกำหนดมาตรการส่งเสริมให้มีความครอบคลุม
โดยเฉพาะการจัดหาแหล่งเงินงบประมาณให้เพียงพอเหมาะสมกับความต้องการ เป็นต้น
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 224 | การสร้างหลักประกันความเป็นธรรมให้แก่เจ้าหน้าที่ของรัฐเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการปฏิบัติราชการ | ยธ. | 31/01/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้กระทรวงยุติธรรมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
เช่น สำนักงานอัยการสูงสุด สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ
สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงาน ก.พ.ร.
รับไปพิจารณาความจำเป็นเหมาะสมในการดำเนินการเรื่องนี้ให้ชัดเจนอีกครั้งหนึ่ง
โดยให้คำนึงถึงกฎหมายเกี่ยวกับการคุ้มครองการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ใช้บังคับอยู่แล้วในปัจจุบัน
รวมทั้งบริบทแวดล้อมอื่น ๆ ให้ครอบคลุม ครบถ้วนในทุกมิติ ตลอดจนภาระงบประมาณที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต
โดยให้รับความเห็น ข้อเสนอแนะ และข้อสังเกตของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม
กระทรวงมหาดไทย สำนักงานคระกรรมการกฤษฎีกา สำนักงาน ก.พ.ร. สำนักงานอัยการสูงสุด
สำนักงานศาลยุติธรรม สำนักงานคระกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ
สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ
และประธานกรรมการพัฒนาการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติไปประกอบการพิจารณาด้วย
แล้วให้กระทรวงยุติธรรมนำเสนอคณะกรรมการพัฒนาการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติพิจารณาในภาพรวม
ก่อนดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 225 | ผลการประชุมระดับผู้นำ ครั้งที่ 14 แผนงานการพัฒนาเขตเศรษฐกิจสามฝ่าย อินโดนีเซีย-มาเลเซีย-ไทย (The 14th IMT-GT Summit) | นร.11 สศช | 31/01/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. รับทราบผลการประชุมระดับผู้นำ
ครั้งที่ ๑๔ แผนงานการพัฒนาเขตเศรษฐกิจสามฝ่าย อินโดนีเซีย-มาเลเซีย-ไทย [The 14th IMT-GT (Indonesia-Malaysia-Thailand
Growth Triangle) Summit] เมื่อวันที่ ๑๐ พฤศจิกายน ๒๕๖๕ ณ
ราชอาณาจักรกัมพูชา โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานการประชุมฯ
และเห็นชอบการมอบหมายภารกิจหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของไทยตามแผนการดำเนินงานในระยะต่อไปและพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง
โดยสาระสำคัญของการประชุมฯ ได้หารือเกี่ยวกับความก้าวหน้า ผลการดำเนินงานที่ผ่านมา
และทิศทางการดำเนินงานในอนาคตของแผน IMT-GT ได้แก่ (๑)
ความคืบหน้าโครงการความเชื่อมโยงทางกายภาพ (Physical Connectivity Projects
: PCPs) มีมูลค่าการลงทุนกว่า ๕๗,๐๐๐ ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ ๒.๑
ล้านล้านบาท) โดยประเทศไทยมีโครงการที่อยู่ระหว่างดำเนินการและมีความคืบหน้า เช่น โครงการก่อสร้างสะพานข้ามแม่น้ำโก-ลก
แห่งใหม่ อำเภอตากใบ จังหวัดนราธิวาส-เมืองเปิงกาลันกุโบร์ รัฐกลันตัน (๒)
ความคืบหน้าการดำเนินงานในสาขาความร่วมมือต่าง ๆ เช่น การลงนามบันทึกความเข้าใจ (Memorandum
of Understanding : MOU)
โครงการเมืองยางพาราและความร่วมมือด้านอุตสาหกรรมยาง มูลค่าการลงทุนประมาณ ๑,๖๐๐
ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยมีจังหวัดสงขลาเข้าร่วมโครงการ และการเสริมสร้างศักยภาพที่เกี่ยวข้องกับการรับรองและการลงทะเบียนมาตรฐานผลิตภัณฑ์ฮาลาล
และ (๓) ผู้นำแผนงาน IMT-GT ได้ร่วมกันรับรอง IB 2022-2026
ซึ่งเป็นกรอบยุทธศาสตร์การดำเนินงานเพื่อบรรลุเป้าหมายภายใต้วิสัยทัศน์ พ.ศ. ๒๕๗๙
และเห็นชอบการเฉลิมฉลองครบรอบ ๓๐ ปี แผนงาน IMT-GT ในปี ๒๕๖๖
และกิจกรรมต่าง ๆ ในปีแห่งการท่องเที่ยว IMT-GT พ.ศ.
๒๕๖๖-๒๕๖๘ (IMT-GT Visit Year 2023-2025) นอกจากนี้ ที่ประชุมฯ
เห็นชอบแถลงการณ์ร่วมการประชุมระดับผู้นำ ครั้งที่ ๑๔ แผนงาน IMT-GT โดยไม่มีการปรับปรุงสาระเพิ่มเติม และเห็นชอบ IB 2022-2026 ตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ๒. ให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม และกระทรวงคมนาคม เช่น ขอให้ปฏิบัติตามกฎหมาย
ระเบียบและมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องโดยเคร่งครัด เป็นต้น ไปดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 226 | การขยายอายุบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการดำเนินการกับมาตรการที่มิใช่ภาษีสำหรับสินค้าจำเป็นภายใต้แผนปฏิบัติการฮานอยว่าด้วยการส่งเสริมความร่วมมือด้านเศรษฐกิจและความเชื่อมโยงห่วงโซ่อุปทานของอาเซียนให้เข้มแข็งในการตอบสนองต่อการระบาดใหญ่ของโควิด-19 และการขยายบัญชีรายการสินค้าจำเป็น | พณ. | 31/01/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 227 | ขอขยายระยะเวลาการดำเนินงานโครงการส่งเสริมการผลิตข้าวอินทรีย์ | กษ. | 31/01/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบการขยายระยะเวลาการดำเนินงานโครงการส่งเสริมการผลิตข้าวอินทรีย์
จากเดิมสิ้นสุดปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๕ เป็นสิ้นสุดปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๖
ตามปริมาณงานที่ยังเหลือ และตามมติที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายและบริหารข้าวแห่งชาติ
ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมการข้าว)
รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงอุตสาหกรรม
สำนักงบประมาณ และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น
ควรพัฒนาช่องทางการขายข้าวอินทรีย์ เช่น การค้าออนไลน์
เพื่อให้สามารถเข้าถึงผู้บริโภคได้โดยตรง
ตลอดจนพัฒนาการตลาดและการแปรรูปผลิตภัณฑ์ข้าวอินทรีย์ เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภคทุกช่วงวัย
ให้ความสำคัญกับการควบคุมและกำกับดูแลการดำเนินโครงการให้เป็นไปตามระเบียบ กฎหมาย
ข้อบังคับ และหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง
เพื่อให้การใช้จ่ายงบประมาณมีความคุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุด
ควรให้มีการกำกับติดตามประเมินผลความสำเร็จการดำเนินงานของโครงการให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
โปร่งใส
บรรลุวัตถุประสงค์ตามเป้าหมายเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อเกษตรกรอย่างนั่งยืนและสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาล
เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาแนวทาง/มาตรการในการดำเนินการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่แปรรูปจากข้าวอินทรีย์ให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภคทุกช่วงวัยทั้งในและต่างประเทศ
รวมทั้งพัฒนาช่องทางการตลาดของข้าวอินทรีย์และผลิตภัณฑ์จากข้าวอินทรีย์ให้ขยายเพิ่มมากขึ้น
เพื่อเป็นการส่งเสริมศักยภาพของข้าวอินทรีย์และผลิตภัณฑ์ข้าวอินทรีย์และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของเกษตรกรด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 228 | ผลการประชุมระดับสูงในห้วงสัปดาห์ผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค ประจำปี 2565 | กต. | 31/01/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
(๑) รับทราบผลการประชุมระดับสูงในห้วงสัปดาห์ผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค ประจำปี ๒๕๖๕
ซึ่งภาพรวมการประชุมประสบผลเป็นไปตามเจตนารมณ์และเป้าหมายที่ตั้งไว้
ภายใต้หัวข้อหลัก “เปิดกว้างสร้างสัมพันธ์ เชื่อมโยงกัน สู่สมดุล (Open. Connect. Balance.) โดยสามารถผลักดันประเด็นสำคัญ
(Priorities) ๓ ประการ ได้แก่
การอำนวยความสะดวกการค้าและการลงทุน การฟื้นฟูความเชื่อมโยง
โดยเฉพาะการเดินทางและการท่องเที่ยว และการผลักดันการเติบโตที่ยั่งยืนและครอบคลุม
โดยมีแนวคิดเศรษฐกิจชีวภาพ-เศรษฐกิจหมุนเวียน-เศรษฐกิจสีเขียว [Bio-Circular-Green
(BCG) Economy] เป็นแนวคิดหลัก (๒) มอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำผลการประชุมไปปฏิบัติและติดตามความคืบหน้า
รวมถึงดำเนินภารกิจเพื่อต่อยอดการเป็นเจ้าภาพเอเปคในปี ๒๕๖๕ ของไทยต่อไป และ (๓) มอบหมายคณะกรรมการบริหารการพัฒนาเศรษฐกิจ
BCG Model และคณะกรรมการขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจ BCG
Model เป็นกลไกหลักในการผลักดันการขับเคลื่อน ประเมินผล
และติดตามความคืบหน้าของการดำเนินการตามเป้าหมายกรุงเทพฯ
ภายในประเทศอย่างบูรณาการระหว่างทุกภาคส่วนและทุกคน (whole-of-society
partnerships) โดยอาศัยกลไกจตุภาคีของคณะกรรมการฯ ทั้งสองคณะ
ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
และให้กระทรวงการต่างประเทศและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงพลังงานและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
เช่น ให้กระทรวงการต่างประเทศวิเคราะห์และประเมินผลการดำเนินงาน
รวมถึงสื่อสารผลลัพธ์การดำเนินงานให้สาธารณชนและทุกภาคส่วนรับทราบถึงประโยชน์ที่ไทยได้รับในโอกาสแรก
เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 229 | ขออนุมัติเป็นหลักการให้จ่ายเงินสนับสนุนด้านงบประมาณในการดำเนินกิจกรรมของสถาบันวิจัยเศรษฐกิจเพื่ออาเซียนและเอเชียตะวันออก (Economic Research lnstitute for ASEAN and East Asia : ERIA) | พณ. | 31/01/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการการสนับสนุนด้านงบประมาณในการดำเนินกิจกรรมของสถาบันวิจัยเศรษฐกิจเพื่ออาเซียนและเอเชียตะวันออก
(Economic Research lnstitute for ASEAN and East
Asia : ERIA) สำหรับปี
๒๕๖๔-๒๕๖๙ จำนวน ๖๐,๐๐๐ ดอลลาร์สหรัฐ โดยให้กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศจัดทำแผนปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๗ ตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป
โดยคำนึงถึงความประหยัดและประโยชน์สูงสุดของทางราชการเป็นสำคัญ
ตามนัยพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
ทั้งนี้ ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
กระทรวงคมนาคม กระทรวงอุตสาหกรรม และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
รวมทั้งข้อเสนอแนะของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เช่น เห็นควรให้กระทรวงพาณิชย์พิจารณาความเหมาะสมของการใช้จ่ายงบประมาณ
โดยคำนึงถึงผลประโยชน์ของประเทศเป็นสำคัญ ดำเนินการตามระเบียบ กฎหมาย
และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องโดยเคร่งครัด และเน้นย้ำให้สถาบัน ERIA เผยแพร่การศึกษาค้นคว้าและวิจัยให้ทุกภาคส่วนได้รับทราบเพื่อเป็นสาธารณประโยชน์
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 230 | ร่างเอกสารที่จะรับรองในการประชุมรัฐมนตรีท่องเที่ยวอาเซียน ครั้งที่ 26 และการประชุมระดับรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง | กก. | 31/01/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 231 | ผลการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยความร่วมมือทวิภาคี (JC) ครั้งที่ 14 และการประชุมคณะกรรมการว่าด้วยยุทธศาสตร์การพัฒนาร่วมสำหรับพื้นที่ชายแดน (JDS) ระดับรัฐมนตรี ครั้งที่ 5 ระหว่างไทยกับมาเลเซีย | กต. | 31/01/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 232 | มาตรการทางภาษีและค่าธรรมเนียมเพื่อส่งเสริมการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ผ่านกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ | กค. | 24/01/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบมาตรการทางภาษีและค่าธรรรมเนียมเพื่อส่งเสริมการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ผ่านกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์
เพื่อเสริมสภาพคล่องให้แก่ภาคธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ (COVID-๑๙)
และจากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวให้สามารถดำเนินธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในรูปแบบกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ต่อไปได้
ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๒. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร
ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษี
โดยการยกเว้นภาษีเงินได้ให้แก่ผู้ถือหน่วยลงทุนของกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์
สำหรับเงินได้ที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของหน่วยลงทุนของกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ไปเป็นใบทรัสต์
และยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีธุรกิจเฉพาะ และอากรแสตมป์ให้แก่กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์
สำหรับมูลค่าของฐานภาษีรายรับ หรือการกระทำตราสารที่เกิดขึ้นหรือเนื่องมาจากการโอนหรือก่อทรัพย์สิทธิหรือสิทธิใด
ๆ ในทรัพย์สิน อันเนื่องมาจากการแปลงสภาพกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์เป็นกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์
โดยมีระยะเวลาตั้งแต่วันที่ร่างพระราชกฤษฎีกานี้มีผลใช้บังคับจนถึงวันที่ ๓๑
ธันวาคม ๒๕๖๗ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน
แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๓.
ให้กระทรวงมหาดไทย (กรมที่ดิน) ดำเนินการตามร่างกฎหมายกำหนดค่าธรรมเนียมการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์สำหรับการแปลงสภาพกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ให้เป็นกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์
พ.ศ. ....
และร่างกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับอาคารชุดสำหรับการแปลงสภาพกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ไปเป็นกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์
พ.ศ. .... รวม ๒ ฉบับ ต่อคณะรัฐมนตรีต่อไป ๔.
ให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ที่เห็นควรสร้างการรับรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับมาตรการภาษีดังกล่าว
รวมถึงสถานการณ์ ความจำเป็นและประโยชน์ที่จะได้รับ
ให้กับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในโอกาสแรก
ตลอดจนติดตามประเมินผลสัมฤทธิ์และรายงานผลการดำเนินงานตามมาตรการภาษีดังกล่าวเมื่อสิ้นสุดระยะเวลาการดำเนินการ
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 233 | การลงทุนโครงการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) | อก. | 24/01/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
รับทราบตามที่ผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยชี้แจงว่า
เนื่องจากไม่มีที่ราชพัสดุในบริเวณใกล้เคียงที่มีขนาดใหญ่เพียงพอสำหรับดำเนินโครงการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก
(EEC) ประกอบกับผลการสำรวจความต้องการของนักลงทุนพบว่านักลงทุนมีความสนใจที่จะลงทุนในโครงการนี้มากยิ่งขึ้นหากสามารถได้รับกรรมสิทธิ์ในที่ดินของโครงการฯ
ด้วย ดังนั้น
การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยจึงมีความจำเป็นต้องซื้อที่ดินจากเอกชนเพื่อดำเนินโครงการนี้ ๒. เห็นชอบการลงทุนจัดซื้อที่ดินโครงการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก
(EEC) ตั้งอยู่ในท้องที่ตำบลสำนักทอง
อำเภอเมืองระยอง จังหวัดระยอง เนื้อที่ประมาณ ๑,๔๘๒ ไร่ วงเงิน ๒,๖๖๘ ล้านบาท
และการลงทุนจัดซื้อที่ดินโครงการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมในพื้นที่จังหวัดลำพูน
พื้นที่ตำบลมะเขือแจ้ ตำบลบ้านกลาง อำเภอเมืองลำพูน จังหวัดลำพูน เนื้อที่ประมาณ
๖๕๓ ไร่ และที่ดินถนนทางเข้าประมาณ ๒๕ ไร่ วงเงิน ๘๔๒ ล้านบาท ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ
และให้กระทรวงอุตสาหกรรม (การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย)
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
กระทรวงคมนาคม และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควร (๑)
จัดทำแผนการพัฒนานิคมอุตสาหกรรมในภาพรวม
และจัดทำแผนการตลาดของโครงการการศึกษาความต้องการของนักลงทุนในพื้นที่ (๒)
พัฒนานิคมอุตสาหกรรมให้มีลักษณะเป็นนิคมอุตสาหกรรม Smart Park (๓) ในกระบวนการจัดทำ EIA/EHIA ควรให้ความสำคัญกับความพอเพียงของการจัดการน้ำผิวดิน
น้ำบาดาล และการทำให้เกิด Circular Economy รวมถึงกำหนดให้แบบก่อสร้างมีทางไหลของน้ำเพื่อเลี่ยงกรณีน้ำท่วมใหญ่และไม่ขวางเส้นทางน้ำธรรมชาติ
(๔) ทบทวนรูปแบบการบริหารจัดการนิคมอุตสาหกรรมในระยะที่ผ่านมา
รวมทั้งทบทวนวิธีการการคำนวณผลตอบแทนทางการเงิน (๕)
ประชาสัมพันธ์และจัดทำแผนการตลาดเพื่อเชิญชวนและจูงใจกลุ่มนักลงทุนเป้าหมาย และ
(๖) สร้างความร่วมมือกับสถาบันการศึกษา สถาบันวิจัย
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการผลิตกำลังคนให้มีความพร้อม และจัดทำมาตรการส่งเสริมการถ่ายทอดเทคโนโลยีและนวัตกรรมจากผู้ประกอบการหรือบริษัทข้ามชาติในนิคมอุตสาหกรรม
สู่ผู้ประกอบการรายย่อย ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 234 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดอัตราการจ่ายเงินสะสมและเงินสมทบ พ.ศ. .... | กค. | 24/01/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดอัตราการจ่ายเงินสะสมและเงินสมทบ
พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการปรับเพิ่มจำนวนเงินสะสมและเงินสมทบของกองทุนการออมแห่งชาติ
โดยให้สมาชิกจ่ายเงินสะสมเข้ากองทุนสูงสุดไม่เกิน ๓๐,๐๐๐ บาทต่อปี (เดิมไม่เกิน ๑๓,๒๐๐ บาท) และให้รัฐบาลจ่ายเงินสมทบเข้ากองทุนสำหรับสมาชิกในอัตราที่กำหนดตามช่วงอายุไม่เกิน
๑,๘๐๐ บาทต่อปี (เดิมอายุไม่เกิน ๓๐ ปี
รัฐจ่ายเงินสมทบไม่เกิน ๖๐๐ บาท ใหม่ ไม่เกิน ๑,๘๐๐ บาท,
เดิมอายุเกิน ๓๐ ปี แต่ไม่เกิน ๕๐ ปี รัฐจ่ายเงินสมทบไม่เกิน ๙๖๐
บาท ใหม่ ไม่เกิน ๑,๘๐๐ บาท,
และเดิมอายุเกิน ๕๐ ปีขึ้นไป รัฐจ่ายเงินสมทบไม่เกิน ๑,๒๐๐
บาท ใหม่ ไม่เกิน ๑,๘๐๐ บาท) ตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๖๖
เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน
แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒.
ให้กระทรวงการคลัง (กองทุนการออมแห่งชาติ)
รับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับภาระงบประมาณที่จะเกิดขึ้นให้กองทุนการออมแห่งชาติตรวจสอบสถานะเงินกองทุนฯ และใช้จ่ายจากเงินกองทุนการออมแห่งชาติก่อน
หากไม่เพียงพอให้ทำความตกลงกับสำนักงบประมาณต่อไป ควรสร้างการรับรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับการปรับเพิ่มจำนวนเงินสะสมของสมาชิกและจำนวนเงินสมทบที่รัฐบาลต้องจ่ายแก่สมาชิกกองทุน
และประชาชนรับทราบในโอกาสแรก
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรให้ความสำคัญกับการสร้างการรับรู้ความเข้าใจ
และความจำเป็นของการออมในวัยเกษียณอายุ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 235 | ขออนุมัติเงินจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น | กก. | 24/01/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. อนุมัติเงินจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๖ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น วงเงินรวม ๓,๙๔๖,๔๓๔,๘๐๐ บาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศไทย ด้านการท่องเที่ยว จำนวน ๒ โครงการ ได้แก่
โครงการเราเที่ยวด้วยกัน เฟส ๕ วงเงิน ๒,๐๑๖,๐๐๐,๐๐๐ บาท และโครงการกระตุ้นการท่องเที่ยวเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศ
วงเงิน ๑,๙๓๐,๔๓๔,๘๐๐ บาท ตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอ
และให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาและการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
และสำนักงบประมาณ (หนังสือสำนักงบประมาณ ที่ นร ๐๗๑๓/๓๒๓๓ ลงวันที่ ๑๖ มกราคม
๒๕๖๖) ที่เห็นควรให้ความสำคัญกับการผลักดันการกระจายการท่องเที่ยวสู่เมืองรอง
และขยายฐานตลาดกลุ่มนักท่องเที่ยวที่มีความต้องการเฉพาะ
โดยมุ่งเน้นการเชื่อมโยงการท่องเที่ยวไปยังอุตสาหกรรมบริการที่มีมูลค่าสูง
รวมทั้งพัฒนาสิ่งอำนวยความสะดวกพื้นฐานให้พร้อมรองรับนักท่องเที่ยว
และพิจารณากำหนดกลไกการขับเคลื่อนให้บรรลุเป้าหมายและบรรลุวัตถุประสงค์อย่างมีประสิทธิภาพ
โดยคำนึงถึงความประหยัด ความคุ้มค่า ผลสัมฤทธิ์หรือผลประโยชน์ที่จะได้รับ
และการมีส่วนร่วมกับทุกภาคส่วน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๒. ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ เรื่อง การเสนอเรื่องด่วนต่อคณะรัฐมนตรี (ในการเสนอเรื่องนี้)
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 236 | การลงทุนโครงการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมในพื้นที่จังหวัดลำพูน | อก. | 24/01/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. รับทราบตามที่ผู้ว่าการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยชี้แจงว่า เนื่องจากไม่มีที่ราชพัสดุในบริเวณใกล้เคียงที่มีขนาดใหญ่เพียงพอสำหรับดำเนินโครงการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมในพื้นที่จังหวัดลำพูน
ประกอบกับผลการสำรวจความต้องการของนักลงทุนพบว่านักลงทุนมีความสนใจที่จะลงทุนในโครงการนี้มากยิ่งขึ้นหากสามารถได้รับกรรมสิทธิ์ในที่ดินของโครงการฯ
ด้วย ดังนั้น
การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยจึงมีความจำเป็นต้องซื้อที่ดินจากเอกชนเพื่อดำเนินโครงการนี้ ๒. เห็นชอบการลงทุนจัดซื้อที่ดินโครงการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก
(EEC)
ตั้งอยู่ในพื้นที่ตำบลสำนักทอง อำเภอเมืองระยอง จังหวัดระยอง เนื้อที่ประมาณ ๑,๔๘๒ ไร่ วงเงิน ๒,๖๖๘ ล้านบาท และการลงทุนจัดซื้อที่ดินโครงการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมในพื้นที่จังหวัดลำพูน
พื้นที่ตำบลมะเขือแจ้ ตำบลบ้านกลาง อำเภอเมืองลำพูน จังหวัดลำพูน เนื้อที่ประมาณ
๖๕๓ ไร่ และที่ดินถนนทางเข้าประมาณ ๒๕ ไร่ วงเงิน ๘๔๒ ล้านบาท ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ
และให้กระทรวงอุตสาหกรรม (การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย)
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง การะทรวงเกษตรและสหกรณ์
กระทรวงคมนาคม และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น ควรจัดทำแผนบริหารความเสี่ยงให้ครอบคลุมการดำเนินงานทั้งโครงการ
โดยเน้นปัจจัยที่มีผลกระทบต่อความล่าช้าของโครงการ
ควรให้ความสำคัญกับการพัฒนาอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ ซึ่งต้องคำนึงถึงผลกระทบต่อชุมชนเป็นสำคัญ เพื่อให้เกิดการพัฒนาที่ยั่งยืนบนพื้นฐานความสมดุลของเศรษฐกิจ
สังคม และสิ่งแวดล้อม ในชั้นการออกแบบรายละเอียดเพื่อการก่อสร้างนิคมอุตสาหกรรมในอนาคตควรคำนึงถึงความเชื่อมโยงโครงข่ายระบบการขนส่งทางถนนและเส้นทางรถไฟสายเด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ
รวมทั้งศูนย์เปลี่ยนถ่ายรูปแบบการขนส่งสินค้าเชียงของ จังหวัดเชียงราย
ควรจัดทำแผนการพัฒนานิคมอุตสาหกรรมในภาพรวม
ที่ครอบคลุมไปถึงประเด็นการมีแผนรองรับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น เป็นต้น
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 237 | ผลการดำเนินโครงการความร่วมมือระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (United Nations Development Programme: UNDP) ในการดำเนินงานศูนย์นวัตกรรมระดับภูมิภาค กรุงเทพมหานคร-UNDP (Bangkok-UNDP Regional Innovation Center: RIC) ประจำปี พ.ศ. 2564 ความก้าวหน้าของกิจกรรมประจำปี พ.ศ. 2565 และการขยายระยะเวลาการดำเนินโครงการฯ | นร.11 สศช | 24/01/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 238 | การขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 ของสำนักงานคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า | สขค | 24/01/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบคำขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๗ ของสำนักงานคณะกรรมการแข่งขันทางการค้า จำนวน ๔๗๓,๑๑๙,๗๐๐ บาท ทั้งนี้
การจัดทำคำของบประมาณรายจ่ายของหน่วยรับงบประมาณดังกล่าวเป็นการยื่นคำขอตั้งงบประมาณรายจ่ายต่อคณะรัฐมนตรีภายในระยะเวลาที่คณะรัฐมนตรีกำหนด
โดยแสดงวัตถุประสงค์ แผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ และรายงานเกี่ยวกับเงินนอกงบประมาณ
ตามนัยพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ และให้สำนักงบประมาณพิจารณาตามแนวทางการจัดทำงบประมาณตามขั้นตอนต่อไป
ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้ ให้สำนักงานคณะกรรมการแข่งขันทางการค้ารับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ที่เห็นควรมุ่งเน้นการดำเนินการที่สำคัญอันจะช่วยเสริมสร้างให้เกิดบรรยากาศการแข่งขันทางการค้าที่เสรี
และเป็นธรรม สอดคล้องกับอำนาจหน้าที่ภายใต้พระราชบัญญัติการแข่งขันทางการค้า พ.ศ.
๒๕๖๐ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 239 | ร่างกฎหมายการขยายระยะเวลามาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมระบบภาษีอิเล็กทรอนิกส์ | กค. | 24/01/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
อนุมัติหลักการพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร
(ฉบับที่..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการขยายระยะเวลามาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการลงทุนในระบบอิเล็กทรอนิกส์
โดยกำหนดให้บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลได้รับยกเว้นภาษีเงินได้เป็นจำนวน ๒
เท่าของรายจ่าย ดังนี้ ๑)
รายจ่ายเพื่อการลงทุนในระบบใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์และใบรับอิเล็กทรอนิกส์ ๒.
รายจ่ายเพื่อการลงทุนในระบบภาษีหัก ณ ที่จ่ายอิเล็กทรอนิกส์ ๓)
รายจ่ายจากการใช้บริการระบบใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์และใบรับอิเล็กทรอนิกส์
และระบบภาษีหัก ณ ที่จ่ายอิเล็กทรอนิกส์จากผู้ให้บริการ ตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม
๒๕๖๖ ถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๖๘ และอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวง (ฉบับที่..) พ.ศ.
.... ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยภาษีเงินได้ มีสาระสำคัญเป็นการขยายระยะเวลามาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการใช้ระบบภาษีหัก
ณ ที่จ่ายอิเล็กทรอนิกส์ โดยมีการเพิ่มเติมให้ลดอัตราภาษีเงินได้หัก ณ
ที่จ่ายที่มีอัตราร้อยละ ๕ อัตราร้อยละ ๓ และอัตราร้อยละ ๒ เหลืออัตราร้อยละ ๑ สำหรับการจ่ายเงินได้พึงประเมินผ่านระบบภาษีหัก
ณ ที่จ่ายอิเล็กทรอนิกส์ ตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๖๖ ถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๖๘
(เดิมร้อยละ ๒) รวม ๒ ฉบับ
ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน
แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒.ให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณ
ที่เห็นควรสร้างการรับรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับมาตรการภาษีดังกล่าว
รวมถึงสถานการณ์ ความจำเป็นและประโยชน์ที่จะได้รับให้กับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในโอกาสแรก
รวมทั้งจัดทำประมาณการรายได้เพื่อกำหนดไว้ในแผนการคลังระยะปานกลางให้ถูกต้องครบถ้วน
ไปพิจารณาดำเนินการ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 240 | สรุปมติการประชุมคณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ ครั้งที่ 3/2565 | กษ. | 17/01/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. รับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ
ครั้งที่ ๓/๒๕๖๕ เมื่อวันที่ ๑๙ ตุลาคม ๒๕๖๕ ได้มีมติเห็นชอบให้มีการดำเนินการ ๖
เรื่อง ได้แก่ การกำหนดมาตรฐานการรับซื้อผลปาล์ม
โครงการติดตั้งเครื่องมือวัดปริมาณน้ำมันปาล์มเพื่อบริหารจัดการและควบคุมสต็อกน้ำมันปาล์ม
การเปิดตลาดน้ำมันปาล์มและน้ำมันเนื้อในเมล็ดปาล์มภายใต้กรอบการค้าระหว่างประเทศ
ปี ๒๕๖๖-๒๕๖๘
การขยายระยะเวลาโครงการผลักดันการส่งออกน้ำมันปาล์มเพื่อลดผลผลิตส่วนเกิน ปี ๒๕๖๕
โครงการประกันรายได้เกษตรกรชาวสวนปาล์มน้ำมัน ปี ๒๕๖๕-ปี๒๕๖๖ และมาตรการคู่ขนาน ปี
๒๕๖๖ และ การสรรหากรรมการผู้ทรงคุณวุฒิใน กนป. ตามที่คณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
