ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 787 จากทั้งหมด 6200 หน้า แสดงรายการที่ 15721 - 15740 จากข้อมูลทั้งหมด 123994 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
15721 | ร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสำหรับสาขาวิชา ครุยวิทยฐานะ เข็มวิทยฐานะ และครุยประจำตำแหน่งของมหาวิทยาลัยนครพนม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | ศธ | 20/02/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสำหรับสาขาวิชา ครุยวิทยฐานะ เข็มวิทยฐานะ และครุยประจำตำแหน่งของมหาวิทยาลัยนครพนม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดปริญญาในสาขาวิชาและอักษรย่อสำหรับสาขาวิชานิติศาสตร์ของมหาวิทยาลัยนครพนม ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15722 | การจัดทำความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐโมซัมบิก ว่าด้วยการยกเว้นการตรวจลงตราสำหรับผู้ถือหนังสือเดินทางทูตและหนังสือเดินทางราชการ | กต | 20/02/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐโมซัมบิกว่าด้วยการยกเว้นการตรวจลงตราสำหรับผู้ถือหนังสือเดินทางทูตและหนังสือเดินทางราชการ (Agreement between the Government of the Kingdom of Thailand and the Government of the Republic of Mozambique on Visa Exemption for Holders of Diplomatic and Official Passports) มีสาระสำคัญ เช่น การยกเว้นการตรวจลงตราแก่บุคคลที่ถือหนังสือเดินทางทูตและหนังสือเดินทางราชการของแต่ละฝ่าย รวมถึงการยกเว้นการตรวจลงตราแก่บุคคลที่เป็นสมาชิกในคณะผู้แทนทางการทูต หรือทางกงสุล หรือผู้แทนของแต่ละฝ่ายในองค์การระหว่างประเทศที่อยู่ในดินแดนของอีกฝ่ายหนึ่ง รวมทั้งสมาชิกในครอบครัวของบุคคลเหล่านั้นของแต่ละฝ่าย ๒. อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามในร่างความตกลงฯ ๓. มอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้แก่ผู้ลงนามในร่างความตกลงฯ ๔. หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงร่างความตกลงฯ โดยไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติหรือให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงการต่างประเทศสามารถดำเนินการได้ โดยนำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15723 | การประสานงานกับองค์การระหว่างประเทศตามบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัติองค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. 2553 และที่แก้ไขเพิ่มเติม | ดศ | 20/02/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมมีหนังสือแจ้งไปยังสหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศ (International Telecommunication Union : ITU) ว่าคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ จะทำหน้าที่เป็นหน่วยงานอำนวยการในนามของรัฐบาลไทยกับสหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศต่อไป ตามความในมาตรา ๒๗ (๑๔) แห่งพระราชบัญญัติองค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. ๒๕๕๓ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติองค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๖๐ ตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15724 | ท่าทีไทยสำหรับการประชุมคณะกรรมการร่วมทางการค้า (JTC) ไทย - กัมพูชา ครั้งที่ 6 | พณ | 20/02/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบท่าทีไทยสำหรับการประชุมคณะกรรมการร่วมทางการค้า (Joint Trade Committee : JTC) ไทย-กัมพูชา ครั้งที่ ๖ ซึ่งกัมพูชามีกำหนดเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมในวันที่ ๒๑-๒๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๑ ณ กรุงพนมเปญ ราชอาณาจักรกัมพูชา โดยท่าทีไทยสำหรับการประชุม JTC ไทย-กัมพูชา ครั้งที่ ๖ มีสาระสำคัญเกี่ยวกับการกำหนดทิศทางความสัมพันธ์ทางการค้าและการลงทุนระหว่างไทย-กัมพูชา และแนวทางจัดทำความร่วมมือทางเศรษฐกิจที่ทั้งสองฝ่ายมีศักยภาพร่วมกันหรือเอื้อประโยชน์ต่อกัน เช่น การกำหนดเป้าหมายการค้า การส่งเสริมการค้าชายแดนไทย-กัมพูชา ความร่วมมือด้านสินค้าเกษตร การอำนวยความสะดวกทางการค้า ความร่วมมือด้านการเชื่อมโยง ความร่วมมือด้านการค้าและการลงทุน ความร่วมมือเพื่อพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษ ความร่วมมือด้านการท่องเที่ยว ความร่วมมือด้านการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ การพัฒนา CLMVT Forum 2018 รวมทั้งการพิจารณาหาแนวทางความร่วมมือใหม่ ๆ ระหว่างกัน ๑.๒ หากในการประชุม JTC ไทย-กัมพูชา ครั้งที่ ๖ มีผลให้มีการตกลงเรื่องความร่วมมือด้านเศรษฐกิจการค้าในประเด็นอื่น ๆ อันจะเป็นประโยชน์ต่อการส่งเสริมความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจการค้าสองฝ่ายระหว่างไทยกับกัมพูชาโดยไม่มีการจัดทำเป็นความตกลงหรือหนังสือสัญญาขึ้นมา ให้กระทรวงพาณิชย์และผู้แทนไทยที่เข้าร่วมการประชุมดังกล่าวสามารถดำเนินการได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้ง ๑.๓ อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายรับรองผลการประชุม JTC ไทย-กัมพูชา ครั้งที่ ๖ รวมถึงเอกสารอื่น ๆ ที่เป็นผลจากการหารือขยายความร่วมมือเฉพาะด้าน (หากมี) ๑.๔ อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายลงนามในเอกสารยุทธศาสตร์การสร้างความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของเมืองหน้าด่านชายแดนไทย-กัมพูชา ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น การจัดตั้งคณะกรรมการการค้าชายแดนร่วมไทย-กัมพูชา ในเบื้องต้นควรมีผู้แทนภาคเอกชนร่วมเป็นองค์ประกอบด้วย เพื่อบูรณาการขับเคลื่อนการดำเนินงานให้ครอบคลุมและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น และให้ความสำคัญกับการพัฒนาระบบพิธีการศุลกากรให้มีมาตรฐานที่ใกล้เคียงกัน เพื่อลดต้นทุนด้านการขนส่งและโลจิสติกส์ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการให้เป็นไปตามความเห็นของนายกรัฐมนตรีในคราวประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๗ มีนาคม ๒๕๖๐ ที่เห็นควรให้ใช้การประชุม JTC ไทย-กัมพูชา เป็นเวทีในการเสริมสร้างความสัมพันธ์อันดีของทั้งสองประเทศ รวมทั้งส่งเสริมความร่วมมือทางเศรษฐกิจให้เกิดผลสัมฤทธิ์เป็นรูปธรรม และควรเพิ่มประเด็นข้อหารือเกี่ยวกับความร่วมมือด้านการจัดการท่องเที่ยวทางทะเลให้เชื่อมโยงกันด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15725 | ขออนุมัติการจัดทำและลงนามความตกลงความร่วมมือระหว่างประเทศระหว่างองค์การวิจัยนิวเคลียร์ยุโรป (เซิร์น) และราชอาณาจักรไทยเกี่ยวกับความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีด้านฟิสิกส์พลังงานสูง | วท | 20/02/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติการจัดทำและลงนามความตกลงความร่วมมือระหว่างประเทศระหว่างองค์การวิจัยนิวเคลียร์ยุโรป (เซิร์น) (The European Organization for Nuclear Research : CERN) และราชอาณาจักรไทยเกี่ยวกับความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีด้านฟิสิกส์พลังงานสูง มีสาระสำคัญเป็นการเปิดโอกาสให้นักวิทยาศาสตร์ วิศวกร และผู้ปฏิบัติงานด้านเทคนิคของไทยได้เข้าร่วมในโครงการวิจัยต่าง ๆ ของเซิร์น โดยไทยจะสนับสนุนให้ผู้เชี่ยวชาญจากมหาวิทยาลัยและสถาบันวิจัยต่าง ๆ ของไทยได้เข้าร่วมในโครงการวิจัยของเซิร์น โดยเฉพาะสาขาฟิสิกส์เชิงทฤษฎีและฟิสิกส์เชิงทดลอง วิศวกรรมด้านเครื่องเร่งอนุภาคและเครื่องตรวจวัด และการคำนวณ และเซิร์นจะเปิดโอกาสให้ผู้เชี่ยวชาญของไทยสามารถสมัครเข้ารับการพิจารณาเป็น Associate Member ของเซิร์น รวมทั้งอาจพิจารณาให้การสนับสนุนค่าใช้จ่ายในระหว่างที่ปฏิบัติงานที่เซิร์นด้วย ๑.๒ อนุมัติให้ปลัดกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเป็นผู้ลงนามในร่างความตกลงความร่วมมือฯ ๑.๓ มอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้แก่ผู้ลงนามในร่างความตกลงความร่วมมือฯ ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างความตกลงความร่วมมือฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย ๓. ให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่าข้อ ๕ ของร่างความตกลงความร่วมมือฯ ระบุว่า การดำเนินการตามความตกลงนี้ให้เป็นไปตามพิธีสารที่จัดทำขึ้นระหว่างเซิร์นและไทย และ/หรือสถาบันทางวิทยาศาสตร์และมหาวิทยาลัยของไทย ดังนั้น หากมีกรณีที่กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมิได้เข้าร่วมจัดทำหรือกำหนดรายละเอียดในการจัดทำพิธีสารดังกล่าวด้วย ก็ควรที่จะต้องมีกลไกในการกำกับดูแลเพื่อตรวจสอบการทำพิธีสารให้อยู่ภายใต้กรอบของความตกลงความร่วมมือฯ ต่อไป และเห็นควรเร่งเตรียมความพร้อมของบุคลากรไทยให้สามารถรองรับการถ่ายทอดองค์ความรู้ด้านฟิสิกส์พลังงานสูง และมีความพร้อมต่อการพัฒนาความร่วมมือกับเซิร์นต่อไปในอนาคต รวมทั้งควรเร่งพัฒนาความเข้มแข็งในการดำเนินงานวิจัยขั้นพื้นฐานของประเทศเพื่อนำสู่การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีฟิสิกส์พลังงานสูงในอนาคต โดยให้ความสำคัญกับการทำงานในเชิงบูรณาการระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๔. สำหรับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นจากการดำเนินโครงการ กิจกรรมความตกลงความร่วมมือฯ เห็นควรให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. ๒๕๖๑ ตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๕. ให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีร่วมกับมหาวิทยาลัยและสถาบันวิจัยต่าง ๆ พิจารณาเสนอหัวข้อของงานวิจัยในด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีด้านฟิสิกส์พลังงานสูงที่เป็นประโยชน์และสอดคล้องกับนโยบายที่สำคัญต่าง ๆ ของประเทศ เช่น นโยบายประเทศไทย ๔.๐ โครงการระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) และ ๑๐ อุตสาหกรรมเป้าหมาย (S-Curve) เป็นต้น เพื่อให้งานวิจัยตามความตกลงความร่วมมือฯ สามารถนำมาประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศไทยได้อย่างเป็นรูปธรรมต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15726 | การทบทวนภารกิจการรายงานผลการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาลและข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | นร04 | 20/02/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและเห็นชอบการทบทวนภารกิจการรายงานผลการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาลและข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีที่มอบหมายให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องต้องจัดทำรายงานตามห้วงเวลาที่กำหนด จำนวนทั้งสิ้น ๗ เรื่อง ตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ เรื่องที่ยุติ/ภารกิจเสร็จสิ้นแล้ว ได้แก่ (๑) จัดทำรายงานผลการดำเนินการในด้านที่รับผิดชอบเป็นรายสัปดาห์ (๒) การจัดทำแผนปฏิบัติการตามประเด็นการปฏิรูปของสภาปฏิรูปแห่งชาติ (๓) รายงานผลงาน ๒ ปี และแผนที่นำทางในระยะ ๑ ปี และการส่งผ่านให้รัฐบาลต่อไป และ (๔) รายงานสรุปผลการดำเนินงานที่สำคัญของส่วนราชการในช่วงเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๗-พฤษภาคม ๒๕๖๐ ๑.๒ เรื่องที่อยู่ระหว่างดำเนินการ ได้แก่ (๑) รายงานผลการออกใบอนุญาต โดยมอบหมายให้สำนักงานบริหารนโยบายของนายกรัฐนตรี (PMDU) ติดตามการรายงานแทน (๒) กลไกประชารัฐ โดยมอบหมายสำนักงาน ก.พ.ร. เป็นผู้รวบรวมและสรุปประมวลผลเสนอนายกรัฐมนตรี และ (๓) การติดตามขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ โดยส่งมอบภารกิจให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการปฏิรูปประเทศรวบรวมรายงานและสรุปประมวลผลเสนอคณะรัฐมนตรี ๒. สำหรับการรายงานความก้าวหน้าในเรื่องกลไกประชารัฐที่ให้สำนักงาน ก.พ.ร. รวบรวมและสรุปประมวลผลนำเสนอนายกรัฐมนตรี นั้น ให้รวมถึงการดำเนินงานเรื่องไทยนิยม ยั่งยืน ด้วย ส่วนการติดตามขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศที่ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการปฏิรูปประเทศรวบรวมและสรุปประมวลผลนำเสนอนายกรัฐมนตรีต่อไป นั้น ให้รวมถึงการขับเคลื่อนตามกรอบยุทธศาสตร์ชาติ ระยะ ๒๐ ปี (พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๗๙) ด้วย ๓. ให้ทุกส่วนราชการทบทวนภารกิจการรายงานผลการดำเนินการตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีและคณะกรรมการให้ทันสมัย แล้วส่งให้สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาดำเนินการก่อนเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15727 | ร่างพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการฝ่ายอัยการ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | อส | 20/02/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการฝ่ายอัยการ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมองค์ประกอบคณะกรรมการอัยการและกำหนดมาตรการในการดำรงตำแหน่งของพนักงานอัยการ เพื่อให้เป็นไปตามบทบัญญัติมาตรา ๒๔๘ ประกอบมาตรา ๒๗๗ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ซึ่งกำหนดให้คณะรัฐมนตรีเสนอกฎหมายในเรื่องนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติภายในหนึ่งปีนับแต่วันประกาศใช้รัฐธรรมนูญ (ภายในวันที่ ๕ เมษายน ๒๕๖๑) ตามที่สำนักงานอัยการสูงสุดเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๒. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลา และกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวตามที่สำนักงานอัยการสูงสุดเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15728 | ขออนุมัติลงนามในความตกลงว่าด้วยการซื้อขายสะพานเครื่องหนุนมั่น (Modular Fast Bridge) จำนวน 1 ชุด ในฐานะผู้แทนรัฐบาลไทย | กห | 20/02/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้ผู้บัญชาการทหารบก หรือผู้แทน (เจ้ากรมการทหารช่าง) เป็นผู้ลงนามในความตกลงว่าด้วยการซื้อขายสะพานเครื่องหนุนมั่น (Modular Fast Bridge) จำนวน ๑ ชุด ในฐานะผู้แทนรัฐบาลไทย รวมทั้งการลงนามในเอกสารการแก้ไขความตกลงดังกล่าวในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญที่อาจเกิดขึ้นในภายหลัง ตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอ ๒. ให้กระทรวงกลาโหมถือปฏิบัติให้เป็นไปตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) รวมทั้งให้รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรสร้างองค์ความรู้และแลกเปลี่ยนเทคโนโลยีเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการพัฒนาอาวุธยุทโธปกรณ์และยุทธภัณฑ์เพื่อใช้ภายในกองทัพ ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15729 | แผนงานโครงการขับเคลื่อนการยกระดับการบริการภาครัฐที่จะขอใช้เงินกู้เพื่อปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจ (Structural Adjustment Loan: SAL) | นร12 | 20/02/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบให้ยกเลิกการดำเนินโครงการบูรณาการงานบริการภาครัฐให้มีประสิทธิภาพ (Thailand Gateway) ตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอ ๒. เห็นชอบในหลักการให้กันวงเงินกู้เพื่อปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจ (Structural Adjustment Loan : SAL) ที่เหลือ จำนวน ๘๐๐ ล้านบาท เพื่อสนับสนุนการดำเนินการตามแผนการยกระดับการบริการภาครัฐ ระยะที่ ๒ ตามพระราชบัญญัติการอำนวยความสะดวกในการพิจารณาอนุญาตของทางราชการ พ.ศ. ๒๕๕๘ เพื่อขับเคลื่อนการยกระดับการบริการภาครัฐใน ๓ เรื่อง ได้แก่ ๑) การพัฒนาระบบการประเมินความพึงพอใจของประชาชนต่อการให้บริการของหน่วยงานภาครัฐ (Citizen Feedback) ๒) การพัฒนาระบบติดตามการให้บริการ (Tracking System) และ ๓) การพัฒนาระบบการจองคิวกลาง (Queue Online) ตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอ และให้สำนักงาน ก.พ.ร. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามความเห็นของกระทรวงการคลังที่เห็นว่า เพื่อไม่ให้เกิดความซ้ำซ้อนในการดำเนินงาน แผนงานดังกล่าวจะต้องไม่ได้รับจัดสรรเงินจัดสรรเงินงบประมาณและสำนักงาน ก.พ.ร. จะต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณารายละเอียดโครงการและการขอใช้เงินกู้ SAL คงเหลืออีกครั้งก่อนการดำเนินการ และให้เร่งรัดติดตามการดำเนินงานภายใต้แผนการส่งเสริมและพัฒนาธรรมาภิบาลในภาคราชการเพื่อการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดีอย่างยั่งยืน ของกรมสนับสนุนบริการสุขภาพที่ยังไม่ได้รายงานการปิดโครงการให้เสร็จสิ้นโดยเร็ว และส่งคืนเงินเหลือจ่ายก่อนเริ่มดำเนินการตามแผนดังกล่าว รวมทั้งเห็นควรให้ดำเนินการตามระยะที่ ๑ ก่อน และให้ประเมินผลการดำเนินโครงการ ซึ่งหากเห็นว่าการดำเนินการเกิดความคุ้มค่า เกิดประสิทธิภาพและเป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม จึงจะดำเนินการในระยะต่อ ๆ ไป โดยให้สำนักงาน ก.พ.ร. ขออนุมัติจากคณะรัฐมนตรี ทั้งนี้ โครงการดังกล่าวต้องพิจารณาค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานและบำรุงรักษา (Operation and Maintenance : O&M) รวมถึงผู้รับผิดชอบภายหลังจากการดำเนินโครงการ ๓ ปีด้วย ตลอดจนให้สำนักงาน ก.พ.ร. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ และหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด และสำหรับกรณีที่ต้องจัดหาระบบคอมพิวเตอร์ของรัฐที่มีวงเงินเกิน ๑๐๐ ล้านบาท ขึ้นไป จะต้องปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๓ มีนาคม ๒๕๔๗ (เรื่อง หลักเกณฑ์และแนวทางการปฏิบัติจัดหาระบบคอมพิวเตอร์ของรัฐ) และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง นอกจากนี้กระทรวงการคลังจะจัดสรรเงินให้กับสำนักงาน ก.พ.ร. ตามแผนงาน/แผนเงินที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติตามความก้าวหน้าในการดำเนินงานที่เกิดขึ้นจริง และให้สำนักงาน ก.พ.ร. รายงานความก้าวหน้าของโครงการให้กระทรวงการคลังทราบภายในวันที่ ๗ ของทุกเดือน รวมทั้งให้รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า โครงการดังกล่าวจะต้องมีแผนงานโครงการที่ชัดเจนมีความพร้อมในการดำเนินโครงการและอยู่ภายใต้หลักเกณฑ์การจัดสรรเงินกู้ที่ได้กำหนดไว้ ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๓. ให้สำนักงาน ก.พ.ร. นำเงินกู้ SAL คงเหลือ (จากการกันวงเงินไว้) จำนวน ๓๐๒,๔๒๗,๔๕๑.๒๗ บาท รวมถึงเงินที่สำนักงาน ก.พ.ร. ขอกันไว้และไม่มีการใช้จ่ายตามระยะเวลาและตามแผนที่กำหนดในครั้งนี้ ส่งคืนคลังเป็นรายได้แผ่นดินต่อไป ตามความเห็นของกระทรวงการคลัง
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15730 | ขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 28 เมษายน 2552 เพื่อปรับปรุงมาตรการป้องกัน ควบคุม และกำจัดชนิดพันธุ์ต่างถิ่น | ทส | 20/02/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบในหลักการการขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๘ เมษายน ๒๕๕๒ (เรื่อง ร่างมาตรการป้องกัน ควบคุม และกำจัดชนิดพันธุ์ต่างถิ่น) เพื่อปรับปรุงมาตรการป้องกัน ควบคุม และกำจัดชนิดพันธุ์ต่างถิ่น ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ปรับปรุงมาตรการและแนวทางปฏิบัติในการป้องกัน ควบคุม และกำจัดชนิดพันธุ์ต่างถิ่น จากเดิม ๔ มาตรการ ๑๕ แนวทางปฏิบัติ เป็น ๕ มาตรการ ๒๒ แนวทางปฏิบัติ และได้กำหนดให้มีแนวทางปฏิบัติในการควบคุมหรือกำจัดชนิดพันธุ์ต่างถิ่น (ชนิดพันธุ์พืชต่างถิ่นและชนิดพันธุ์สัตว์ต่างถิ่น) ที่มีลำดับความสำคัญสูงของประเทศไทยแยกออกเป็นการเฉพาะ ๑.๒ ปรับปรุงทะเบียนรายการชนิดพันธุ์ต่างถิ่นที่ควรควบคุม ป้องกัน และกำจัด จากทะเบียนรายการเดิมในปี ๒๕๕๒ ที่มีจำนวน ๒๗๓ ชนิด ปรับปรุงเป็นจำนวน ๓๒๓ ชนิด ซี่งได้เพิ่มการจำแนกชนิดพันธุ์ต่างถิ่นที่มีการส่งเสริมการใช้ประโยชน์ทางเศรษฐกิจออกมาให้ชัดเจนว่าสามารถขยายพันธุ์ ขยายถิ่นที่เพาะเลี้ยง และแจกจ่ายพันธุ์ได้แต่ต้องมีมาตรการป้องกันเฉพาะที่รัดกุม เพื่อมิให้เกิดการแพร่กระจายเข้าไปในเขตพื้นที่อนุรักษ์ ๒. สำหรับภาระค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นจากการดำเนินงานมาตรการป้องกัน ควบคุม และกำจัดชนิดพันธุ์ต่างถิ่น ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการในลักษณะบูรณาการ โดยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของกระทรวงคมนาคม กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงศึกษาธิการ รวมทั้งข้อสังเกตและข้อเสนอแนะของสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ เช่น ควรสนับสนุนการสร้างเครือข่ายวิจัยกับสถาบันวิจัยที่อยู่ในประเทศที่มีชนิดพันธุ์ต่างถิ่นทั้งที่เป็นประเทศต้นกำเนิดและประเทศที่พบการระบาด ควรให้ความสำคัญกับการจัดเก็บและรวบรวมข้อมูลชนิดพันธุ์ต่างถิ่นอย่างเป็นระบบ และมีการเผยแพร่ความรู้ชนิดพันธุ์ต่างถิ่นต่อสาธารณะอย่างถูกต้อง ทั่วถึง และต่อเนื่อง รวมทั้งการสร้างเครือข่ายความร่วมมือในกลุ่มประเทศภูมิภาคอาเซียนเพื่อการเฝ้าระวังและการแจ้งเตือนการรุกรานของชนิดพันธุ์ต่างถิ่น รวมถึงสนับสนุนการวิจัยร่วมกับนักวิจัยในภูมิภาคอาเซียน เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ความสำคัญกับการสร้างการรับรู้และความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับมาตรการป้องกัน ควบคุม และกำจัดชนิดพันธุ์ต่างถิ่น ให้แก่สาธารณชนทราบอย่างทั่วถึง โดยเฉพาะการระบุให้ชัดเจนเกี่ยวกับชนิดพันธุ์ต่างถิ่นที่มีผลกระทบต่อระบบนิเวศของไทย หรือที่เป็นพาหะของโรค ก่อให้เกิดอันตราย และมีผลกระทบต่อสุขภาพอนามัยของประชาชนด้วย ทั้งนี้ ในการสร้างการรับรู้ดังกล่าวให้ดำเนินการในรูปแบบและการใช้ถ้อยคำที่ประชาชนทั่วไปเข้าใจได้ง่ายด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15731 | รายงานมาตรการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย | นร07 | 20/02/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบตามที่สำนักงบประมาณรายงานมาตรการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่น ไตรมาสที่ ๑ (ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๙ ถึงวันที่ ๓๐ ธันวาคม ๒๕๖๐) จำนวนเงินทั้งสิ้น ๑,๖๙๖.๐๗ ล้านบาท สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ จำแนกตามพื้นที่ หรือจังหวัดที่ดำเนินการ มีการดำเนินการในพื้นที่ ๕๓ จังหวัด เป็นเงินทั้งสิ้น ๑,๖๙๖.๐๗ ล้านบาท ประกอบด้วย ภาคเหนือ รวม ๑๒ จังหวัด จำนวน ๓๘๓.๔๙ ล้านบาท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ รวม ๑๔ จังหวัด จำนวน ๔๖๕.๕๕ ล้านบาท ภาคกลาง รวม ๑๒ จังหวัด จำนวน ๒๐๘.๗๘ ล้านบาท ภาคตะวันออก รวม ๔ จังหวัด จำนวน ๑๑๘.๘๐ ล้านบาท ภาคใต้ รวม ๘ จังหวัด จำนวน ๓๓๒.๑๖ ล้านบาท และภาคใต้ชายแดน รวม ๓ จังหวัด จำนวน ๔๓.๐๑ ล้านบาท และอื่น ๆ (ไม่สามารถจำแนกได้) จำนวน ๑๔๔.๒๘ ล้านบาท ๑.๒ จำแนกตามลักษณะการดำเนินการ โดยเป็นการช่วยเหลือ เยียวยา ฟื้นฟูผู้ประสบอุทกภัยและทรัพย์สินสาธารณประโยชน์ รวม ๕ หน่วยงาน จำนวน ๑,๔๗๐.๒๖ ล้านบาท รายการปรับปรุงซ่อมแซมสถานที่ราชการ จำนวน ๒ หน่วยงาน จำนวน ๘๑.๕๓ ล้านบาท และรายการเพื่อป้องกันเหตุอุทกภัยที่จะเกิดขึ้น จำนวน ๑ หน่วยงาน จำนวน ๑๔๔.๒๘ ล้านบาท ๒. มอบหมายให้สำนักงบประมาณร่วมกับส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องเร่งสำรวจสถานการณ์ช่วยเหลือ เยียวยา ฟื้นฟูผู้ประสบอุทกภัยหรือปรับปรุงซ่อมแซมสถานที่ราชการอันเนื่องมาจากเหตุอุทกภัยที่เกิดขึ้นในปี ๒๕๖๐ ว่าได้ดำเนินการครบถ้วนแล้วหรือไม่ ทั้งนี้ หากหน่วยงานใดยังมีความจำเป็นต้องดำเนินการโครงการเพื่อช่วยเหลือ เยียวยา ฟื้นฟูผู้ประสบอุทกภัยหรือปรับปรุงซ่อมแซมสถานที่ราชการอันเนื่องมาจากเหตุอุทกภัยที่เกิดขึ้นในปี ๒๕๖๐ เพิ่มเติมจากที่ได้ขอก่อหนี้ผูกพันงบประมาณไว้ ให้หน่วยงานนั้นพิจารณาปรับแผนงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ และ/หรือโอนเปลี่ยนแปลงรายการงบประมาณรายจ่าย และเสนอสำนักงบประมาณเพื่อดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องให้แล้วเสร็จโดยด่วน และให้สำนักงบประมาณรวบรวมข้อมูลและรายงานผลการดำเนินการตามมาตรการดังกล่าวเพื่อเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายในเดือนเมษายน ๒๕๖๑ ด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15732 | ความช่วยเหลือให้เปล่าจากรัฐบาลญี่ปุ่น Grant Aid "Economic and Social Development Programme" (Counterterrorism and Public Security) | กต | 20/02/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่าง Exchange of Notes (EN), Agreed Minutes on Procedural Details (AM) และ Record of Discussions (RD) โดยร่าง EN และ AM เป็นเอกสารตามตกลงระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลญี่ปุ่นเกี่ยวกับการรับเงินช่วยเหลือจากรัฐบาลญี่ปุ่น โดยมีเงื่อนไขว่ารัฐบาลไทยจะต้องจัดซื้อสินค้าซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มศักยภาพในการต่อต้านการก่อการร้ายและความมั่นคงแห่งรัฐ รวมถึงสินค้าและบริการที่เกี่ยวข้องกับการจัดซื้อจัดจ้าง การขนส่ง การซ่อมบำรุง และการใช้งานอุปกรณ์เท่านั้น และมีพันธกรณีที่รัฐบาลไทยต้องดำเนินการเพื่อรับเงินช่วยเหลือและจัดซื้อสินค้า เช่น การเปิดบัญชีกับธนาคารญี่ปุ่น (Bank of Tokyo-Mitsubishi UFJ, Ltd : BTMU) การทำสัญญาจ้างตัวแทน (Japan international Cooperation Systems : JICS) เพื่อกระทำการแทนรัฐบาลไทยในการจัดซื้อผลิตภัณฑ์/บริการ การยกเว้นภาษี การจัดทำรายงานเกี่ยวกับบัญชี เป็นต้น ส่วนร่าง RD เป็นเอกสารเกี่ยวกับการดำเนินมาตรการที่จำเป็นของฝ่ายไทยเพื่อป้องกันการทุจริตในการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องตามร่าง EN และ AM ๑.๒ อนุมัติให้อธิบดีกรมความร่วมมือระหว่างประเทศหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายลงนามในเอกสาร EN, AM และ RD ๑.๓ มอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้แก่อธิบดีกรมความร่วมมือระหว่างประเทศ หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายสำหรับการลงนามในเอกสาร EN และ AM ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศและสำนักงานตำรวจแห่งชาติดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัดต่อไป โดยให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติรับความเห็นของสำนักงบประมาณเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายในการดำเนินการภายใต้ความตกลงและค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๓. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่าง EN, AM และ RD ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย ๔. ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติติดตามและประเมินผลการใช้ประโยชน์จากการนำเงินให้เปล่าไปซื้อผลิตภัณฑ์และ/หรือบริการที่เกี่ยวกับความมั่นคงแห่งรัฐเพื่อให้เกิดความคุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุดต่อประเทศต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15733 | ขออนุมัติงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายส่งเสริมและสร้างความเข็มแข็งเศรษฐกิจภายในประเทศ ครั้งที่ 4 | นร07 | 20/02/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายส่งเสริมและสร้างความเข้มแข็งเศรษฐกิจภายในประเทศ วงเงินทั้งสิ้น ๕,๕๔๗,๓๔๔,๙๐๐ บาท ให้แก่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมและกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการ จำนวน ๑๙ โครงการ ซึ่งสำนักงบประมาณจะได้จัดสรรงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมฯ ให้กับหน่วยงานภายใต้ทั้ง ๒ กระทรวงดังกล่าวต่อไป สำหรับวงเงินที่เหลืออยู่อีกจำนวน ๘๐๕,๓๑๐,๐๔๐ บาท สำนักงบประมาณจะพิจารณาจัดสรรให้หน่วยงานที่มีความจำเป็นต้องใช้จ่ายงบประมาณตามที่คณะกรรมการกลั่นกรองโครงการในการขอรับการสนับสนุนงบกลาง รายการค่าใช้จ่ายส่งเสริมและสร้างความเข้มแข็งเศรษฐกิจภายในประเทศ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ จะได้พิจารณาอนุมัติต่อไป ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ ๒. ให้สำนักงบประมาณได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15734 | สรุปภาพรวมสถานการณ์ด้านราคาสินค้าและบริการประจำเดือนมกราคม 2561 | พณ | 20/02/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปภาพรวมสถานการณ์ด้านราคาสินค้าและบริการประจำเดือนมกราคม ๒๕๖๑ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ดัชนีราคาผู้บริโภค (เงินเฟ้อทั่วไป) เดือนมกราคม ๒๕๖๑ เทียบกับเดือนมกราคม ๒๕๖๐ ปรับตัวสูงขึ้นร้อยละ ๐.๖๘ ซึ่งเป็นอัตราการขยายตัวที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยของปี ๒๕๖๐ ที่ร้อยละ ๐.๖๖ และหากเทียบกับเดือนธันวาคม ๒๕๖๐ อัตราเงินเฟ้อในเดือนนี้สูงขึ้นร้อยละ ๐.๐๗ จากการปรับขึ้นราคาของน้ำมันเชื้อเพลิงตามราคาตลาดโลก การปรับขึ้นราคาเครื่องดื่มและยาสูบ อาหารสำเร็จรูป การขนส่ง และเคหสถาน ในขณะที่เครื่องนุ่งห่ม ผลไม้และสินค้าเกษตรบางรายการลดลงตามการผลิตที่เพิ่มขึ้น รวมทั้งราคาก๊าซหุงต้มที่ลดลงจากการลอยตัวราคาตามกลไกตลาด ๒. ดัชนีราคาผู้ผลิตเดือนมกราคม ๒๕๖๑ เทียบกับเดือนมกราคม ๒๕๖๐ ปรับตัวลดลงร้อยละ ๑.๑ จากการลดลงของราคาหมวดผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมและหมวดเกษตรกรรม โดยเฉพาะสินค้ากลุ่มผลิตภัณฑ์อาหาร ไม้ ยางและพลาสติก เครื่องไฟฟ้า ยานพาหนะ ขณะที่หมวดผลิตภัณฑ์จากเหมืองสูงขึ้น โดยเฉพาะจากกลุ่มปิโตรเลียมและก๊าซธรรมชาติ และกลุ่มแร่โลหะ ทั้งนี้ หากเทียบกับเดือนธันวาคม ๒๕๖๐ ดัชนีราคาผู้ผลิตเดือนนี้สูงขึ้นร้อยละ ๐.๔ ในทุกหมวด ๓. ดัชนีราคาวัสดุก่อสร้างเดือนมกราคม ๒๕๖๑ เทียบกับเดือนมกราคม ๒๕๖๐ สูงขึ้นร้อยละ ๒.๘ และเมื่อเทียบกับเดือนธันวาคม ๒๕๖๐ สูงขึ้นร้อยละ ๐.๗ จากการปรับขึ้นราคาของหมวดต่าง ๆ เช่น เหล็ก ซีเมนต์ ไม้ และคอนกรีต รวมทั้งหมวดวัสดุก่อสร้างอื่น ๆ อาทิ ยางมะตอย ๔. แนวโน้มสถานการณ์ราคาสินค้าและบริการ ดัชนีราคาผู้บริโภคเดือนมกราคม ๒๕๖๑ เทียบกับเดือนมกราคม ๒๕๖๐ ปรับตัวสูงขึ้นร้อยละ ๐.๖๘ ซึ่งเป็นอัตราการขยายตัวที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยปี ๒๕๖๐ ที่ร้อยละ ๐.๖๖ รวมทั้งเพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม ๒๕๖๐ ซึ่งเป็นเดือนที่มีอัตราเงินเฟ้อสูงที่สุดของปี ๒๕๖๐ สะท้อนว่าแนวโน้มเงินเฟ้อในปี ๒๕๖๑ เริ่มมีทิศทางเข้าสู่เป้าหมายนโยบายการเงินสำหรับระยะปานกลางที่รัฐบาลกำหนดไว้ที่ร้อยละ ๒.๕?๑.๕ มากขึ้น กระทรวงพาณิชย์จึงได้ปรับคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อปี ๒๕๖๑ ให้อยู่ระหว่างร้อยละ ๐.๗-๑.๗ ต่อปี เพื่อให้สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบันและแนวโน้มในอนาคต ทั้งนี้ จากดัชนีราคาผู้บริโภคที่เพิ่มขึ้น ในขณะที่ดัชนีราคาผู้ผลิตลดลง ชี้ให้เห็นว่าการเพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ยของดัชนีราคาผู้บริโภคน่าจะเป็นผลจากการเพิ่มขึ้นของอุปสงค์และกำลังซื้อในภาคการผลิตและบริการ คิดเป็นสัดส่วนประมาณร้อยละ ๘๕ ของ GDP และมีอิทธิพลมากกว่าการลดลงของราคาและกำลังซื้อในภาคเกษตร คิดเป็นสัดส่วนประมาณร้อยละ ๑๕ ของ GDP สะท้อนว่าภาคเศรษฐกิจส่วนใหญ่ของไทยยังมีแนวโน้มขยายตัวในทิศทางที่สนับสนุนต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15735 | การประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ครั้งที่ 2/2561 | นร04 | 20/02/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการจัดประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ครั้งที่ ๒/๒๕๖๑ ระหว่างวันที่ ๕-๖ มีนาคม ๒๕๖๑ ในพื้นที่ภาคกลาง และกำหนดการนายกรัฐมนตรีตรวจราชการในพื้นที่จังหวัดสมุทรสาคร และจังหวัดเพชรบุรี และจัดการประชุมคณะรัฐมนตรี ในวันอังคารที่ ๖ มีนาคม ๒๕๖๑ ณ จังหวัดเพชรบุรี รวมทั้งนายกรัฐมนตรีได้มีบัญชามอบหมายภารกิจที่เกี่ยวข้องกับการจัดประชุมฯ ดังกล่าว ให้รองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อดำเนินการต่อไป ตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15736 | ร่างพระราชบัญญัติกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา พ.ศ. .... | ศธ | 20/02/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างพระราชบัญญัติกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา พ.ศ. .... ของคณะกรรมการอิสระเพื่อการปฏิรูปการศึกษา ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้มี “กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา” เพื่อใช้ในการช่วยเหลือผู้ขาดแคลนทุนทรัพย์ เพื่อลดความเหลื่อมล้ำในการศึกษา เพื่อเสริมสร้างและพัฒนาคุณภาพและประสิทธิภาพครูและอาจารย์ และเพื่อพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ของชาติให้มีความรู้ ความสามารถ และคุณธรรม รวมทั้งมีศักยภาพที่จะดำรงชีวิตโดยพึ่งพาตนเองได้อย่างมั่นคง ทั้งนี้ เพื่อให้เป็นไปตามมาตรา ๕๔ วรรคหก ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และให้เสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติเป็นเรื่องด่วนต่อไป โดยให้แจ้งประธานรัฐสภาทราบด้วยว่าร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้เป็นร่างพระราชบัญญัติที่จะตราขึ้นเพื่อดำเนินการตามหมวด ๑๖ การปฏิรูปประเทศของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ๒. ให้หน่วยงานและกองทุนอื่น ๆ ตามกฎหมายที่มีวัตถุประสงค์ที่สอดคล้องตามนัยมาตรา ๖ ของร่างพระราชบัญญัติกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา พ.ศ. .... รับข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีเกี่ยวกับการกำหนดเป้าหมาย การลดหย่อน ซึ่งการมุ่งสู่เป้าหมายของรัฐบาล คือ เด็กปฐมวัย ทุนการศึกษา ผู้เข้าไม่ถึงระบบการศึกษา การออกจากการศึกษากลางคัน การศึกษาดิจิทัลให้สอดคล้องกับระดับรายได้โดยไม่ซ้ำซ้อน เป็นการเสริมช่องว่างการทำงาน มีการบูรณาการสนับสนุนเกื้อกูลกับกระทรวงศึกษาธิการ และข้อสังเกตของสำนักงบประมาณเกี่ยวกับการดำเนินการจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ โดยให้เสนอคณะกรรมการบริหารกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษาพิจารณาให้ความเห็นประกอบการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามขั้นตอนต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15737 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม) (นางสาวจงจิตร์ นีรนาทเมธีกุล) | ทส | 20/02/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นางสาวจงจิตร์ นีรนาทเมธีกุล ข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมทรัพยากรน้ำบาดาล กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่าง ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15738 | รายงานความก้าวหน้าโครงการส่งเสริมการใช้ยางของหน่วยงานภาครัฐ ปี 2561 | กษ | 20/02/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานความก้าวหน้าโครงการส่งเสริมการใช้ยางของหน่วยงานภาครัฐ ปี ๒๕๖๑ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ หน่วยงานภาครัฐที่ได้รับการจัดสรรงบประมาณ ปี ๒๕๖๑ ในการจัดซื้อยางพารา จำนวน ๗ กระทรวง ได้รับการจัดสรรงบประมาณ จำนวน ๑๐,๗๕๖,๗๑๒,๕๕๕.๐๐ บาท โดยมีปริมาณการใช้น้ำยางข้น ๘,๑๕๔.๔๖๓ ตัน และปริมาณการใช้ยางแห้ง ๗๘๕.๘๕๐ ตัน ๑.๒ หน่วยงานที่อยู่ระหว่างการพิจารณาของสำนักงบประมาณงบกลางรายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ปี ๒๕๖๑ จำนวน ๔ หน่วยงาน เป็นวงเงินงบประมาณ ๒๗,๕๔๓,๒๕๓,๓๓๕.๐๐ บาท โดยมีปริมาณการใช้น้ำยางข้น ๕๙,๓๓๐.๐๕๐ ตัน ปริมาณการใช้ยางแห้ง ๔๐๑.๔๙๐ ตัน ๑.๓ หน่วยงานที่อยู่ระหว่างการขอรับงบประมาณเพิ่มเติม ปี ๒๕๖๑ จำนวน ๑ หน่วยงาน เป็นวงเงินงบประมาณ ๓,๕๔๘,๐๒๐,๙๐๐.๐๐ บาท โดยมีปริมาณการใช้น้ำยางข้น ๓,๕๐๙.๕๐๐ ตัน ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงกลาโหม กระทรวงคมนาคม กระทรวงยุติธรรม รับความเห็นของสำนักงบประมาณเกี่ยวกับการดำเนินโครงการส่งเสริมการใช้ยางของหน่วยงานภาครัฐฯ จะต้องคำนึงถึงความเหมาะสมและความพร้อมในการดำเนินการที่ทันต่อสถานการณ์ของปริมาณน้ำยางในตลาด รวมถึงประโยชน์ที่ทางราชการจะได้รับจากการดำเนินโครงการ โดยมีการติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผลการดำเนินงาน เพื่อให้การใช้จ่ายงบประมาณบรรลุวัตถุประสงค์และเกิดผลสัมฤทธิ์สูงสุด ไปดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๓. ในการดำเนินโครงการส่งเสริมการใช้ยางของหน่วยงานภาครัฐ ให้หน่วยงานภาครัฐดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างเพื่อนำยางไปใช้ตามความต้องการของหน่วยงาน โดยใช้งบประมาณของหน่วยงานเป็นหลัก ทั้งนี้ รัฐบาลจะจัดสรรงบประมาณเท่าที่จำเป็น ให้การยางแห่งประเทศไทยเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการรับซื้อยางจากเกษตรกรผู้ปลูกยางพาราเท่านั้น ๔. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15739 | สรุปผลการดำเนินงานที่สำคัญของสำนักงานบริหารนโยบายของนายกรัฐมนตรีและการทบทวนกลไกคณะกรรมการเพื่อขับเคลื่อนการดำเนินงานของรัฐบาลและการแต่งตั้งบุคคลเพื่อมาปฏิบัติหน้าที่ในสำนักงาน | นร | 20/02/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานบริหารนโยบายของนายกรัฐมนตรี (สบนร.) เสนอ ดังนี้
๑. สรุปผลการดำเนินงานที่สำคัญของสำนักงานบริหารนโยบายของนายกรัฐมนตรี โดยมีผลงานที่สำคัญ ได้แก่ การปลดล็อกและขับเคลื่อน เช่น การเปิดการเดินรถ ๑ สถานี เชื่อมต่อรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินและสายสีม่วง การแก้ไขปัญหาเรื่องความล่าช้าในการดำเนินการโครงการรถไฟไทย-จีน การเร่งแก้ไขปัญหาอุปสรรคในการประกอบธุรกิจของไทย (Doing Business) เป็นต้น การสร้างการรับรู้ โดยให้ความสำคัญในการสร้างการรับรู้แก่ประชาชนทั้งเรื่องที่เป็นผลงานที่ สบนร. ได้ดำเนินการปลดล็อกหรือขับเคลื่อนเรื่องที่หน่วยงานดำเนินการล่าช้าหรือไม่สามารถดำเนินการได้เอง รวมทั้งสร้างการรับรู้เกี่ยวกับความคืบหน้าผลการดำเนินงานเรื่องอื่น ๆ ของรัฐบาล ในรูปแบบที่หลากหลาย เช่น Infographic Video Clip ที่เข้าใจได้โดยง่าย ใช้ภาษาในการนำเสนอที่กระชับ ผ่านช่องทางการสื่อสารที่เป็นสื่อสังคมออนไลน์ (Social Network) ซึ่งได้รับความนิยม ได้แก่ Facebook Twitter YouTube channel และ Website เป็นต้น ๒. การทบทวนกลไกคณะกรรมการเพื่อขับเคลื่อนการดำเนินงานของรัฐบาล ประกอบด้วย (๑) คณะกรรมการเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน (๒) คณะกรรมการขับเคลื่อนการปฏิรูปเพื่อรองรับการปรับเปลี่ยนตามนโยบาย THAILAND 4.0 (๓) คณะกรรมการสานพลังประชารัฐ (๔) คณะกรรมการบูรณาการนโยบายพัฒนาภาค (๕) คณะกรรมการขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศตามโครงการไทยนิยมยั่งยืน และ (๗) คณะกรรมการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาล ๓. การแต่งตั้งบุคคลเพื่อมาปฏิบัติหน้าที่ใน สบนร. โดยยกเลิกคำสั่ง จำนวน ๓ ฉบับ ได้แก่ คำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ ๑๕/๒๕๖๐ เรื่อง ให้ข้าราชการและพนักงานราชการมาปฏิบัติหน้าที่ ใน สบนร. อีกหน้าที่หนึ่ง คำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ ๑๖/๒๕๖๐ เรื่อง แต่งตั้งรองผู้อำนวยการ ที่ปรึกษาประจำสำนักงาน ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สบนร. และคำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ ๑๗/๒๕๖๐ เรื่อง แต่งตั้งผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการบริหาร สบนร. และเสนอร่างคำสั่งนายกรัฐมนตรี จำนวน ๓ ฉบับ ประกอบด้วย (๑) เรื่อง แต่งตั้งเลขานุการคณะกรรมการบริหารราชการแผ่นดินตามกรอบการปฏิรูปประเทศ ยุทธศาสตร์ชาติ และการสร้างความสามัคคีปรองดอง (๒) เรื่อง แต่งตั้งรองผู้อำนวยการ ที่ปรึกษาประจำสำนักงาน ผู้ช่วยผู้อำนวยการ และผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการบริหารสำนักงานบริหารนโยบายของนายกรัฐมนตรี และ (๓) เรื่อง แต่งตั้งบุคคลเพื่อมาปฏิบัติหน้าที่ในสำนักงานบริหารนโยบายของนายกรัฐมนตรีตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยสำนักงานบริหารนโยบายของนายกรัฐมนตรี พ.ศ. ๒๕๖๐
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15740 | ภาวะเศรษฐกิจไทยไตรมาสที่สี่ของปี 2560 ทั้งปี 2560 และแนวโน้มปี 2561 | นร11 | 20/02/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบภาวะเศรษฐกิจไตรมาสที่สี่ของปี ๒๕๖๐ ทั้งปี ๒๕๖๐ และแนวโน้มปี ๒๕๖๑ โดยผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ในไตรมาสที่สี่ของปี ๒๕๖๐ ขยายตัวในเกณฑ์ดีร้อยละ ๔.๐ ต่อเนื่องจากการขยายตัวร้อยละ ๔.๓ ในไตรมาสก่อนหน้า และเมื่อปรับผลของฤดูกาลออกแล้ว เศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่สี่ของปี ๒๕๖๐ ขยายตัวจากไตรมาสที่สามของปี ๒๕๖๐ ร้อยละ ๐.๕ (QoQ_SA) รวมทั้งปี ๒๕๖๐ เศรษฐกิจไทยขยายตัวร้อยละ ๓.๙ ปรับตัวดีขึ้นจากการขยายตัวร้อยละ ๓.๓ ในปี ๒๕๕๙ สำหรับเศรษฐกิจไทยโดยรวมทั้งปี ๒๕๖๐ ขยายตัวร้อยละ ๓.๙ ปรับตัวดีขึ้นจากการขยายตัวร้อยละ ๓.๓ ในปี ๒๕๕๙ ส่วนแนวโน้มเศรษฐกิจไทย ปี ๒๕๖๑ คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ ๓.๖-๔.๖ โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการปรับตัวดีขึ้นของเศรษฐกิจโลกที่จะส่งผลให้การผลิตภาคอุตสาหกรรมขยายตัวเร่งขึ้นและสนับสนุนเศรษฐกิจในภาพรวมได้มากขึ้น แรงขับเคลื่อนจากการใช้จ่ายภาครัฐบาลที่ยังอยู่ในเกณฑ์ดี และการลงทุนภาครัฐที่มีแนวโน้มเร่งตัวขึ้น รวมทั้งการขยายตัวในเกณฑ์ดีของสาขาเศรษฐกิจสำคัญ ๆ ต่อเนื่องจากปี ๒๕๖๐ และการปรับตัวดีขึ้นของการจ้างงานและฐานรายได้ของประชาชนในระบบเศรษฐกิจ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ และให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้ ๒. ให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำข้อมูลจากรายงานภาวะเศรษฐกิจไทยไตรมาสที่สี่ของปี ๒๕๖๐ ทั้งปี ๒๕๖๐ และแนวโน้มปี ๒๕๖๑ ของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปประกอบการพิจารณากำหนดนโยบาย/แผนงาน/โครงการในส่วนที่เกี่ยวข้องให้เหมาะสม สอดคล้องกับสถานการณ์ทางเศรษฐกิจของประเทศต่อไป ๓. ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจของประเทศและการดำเนินการของรัฐบาลให้ประชาชนทราบเป็นระยะอย่างถูกต้องและทั่วถึง โดยให้พิจารณาช่องทางการสื่อสารที่หลากหลายและสามารถเข้าถึงประชาชนได้ทุกกลุ่มด้วย
|
.....