ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 441 จากทั้งหมด 6199 หน้า แสดงรายการที่ 8801 - 8820 จากข้อมูลทั้งหมด 123972 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
8801 | ผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายเศรษฐกิจระหว่างประเทศ (กนศ.) ครั้งที่ 1/2564 | พณ. | 09/03/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายเศรษฐกิจระหว่างประเทศ
(กนศ.) ครั้งที่ ๑/๒๕๖๔ เมื่อวันที่ ๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๔
เกี่ยวกับการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๖ มกราคม ๒๕๖๔ ที่มอบหมายให้
กนศ.
ดำเนินการจัดทำกรอบการทำงานเพื่อติดตามการจัดทำแผนงานการดำเนินการเพื่อปรับตัวของส่วนราชการที่เกี่ยวข้องตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาผลกระทบจากการเข้าร่วมความตกลงที่ครอบคลุมและก้าวหน้าสำหรับหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก
(CPTPP)
ของสภาผู้แทนราษฎร โดยที่ประชุม กนศ.
มีมติเห็นชอบในหลักการให้จัดตั้งคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าว
จำนวน ๘ คณะ ซึ่งฝ่ายเลขานุการได้ประสานรายละเอียดกับทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
และจัดทำคำสั่งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการทั้ง ๘ คณะเรียบร้อยแล้ว ทั้งนี้ กนศ.
ขอให้คณะอนุกรรมการขับเคลื่อนฯ ทุกคณะเร่งจัดทำกรอบการทำงานเพื่อติดตามการจัดทำแผนงาน
การดำเนินการเพื่อปรับตัวของส่วนราชการที่เกี่ยวข้องตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ
โดยหารือร่วมกับหน่วยงานที่มีภารกิจเกี่ยวเนื่อง รวมทั้งภาคส่วนต่าง ๆ อาทิ
ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม
รวบรวมข้อมูลและจัดทำข้อเสนอแนะเกี่ยวกับความพร้อมและเงื่อนเวลาในการขอเจรจาเข้าร่วมความตกลง
CPTPP หรือความไม่พร้อมของไทยให้แล้วเสร็จ
และเสนอต่อที่ประชุม กนศ. ครั้งต่อไปเพื่อพิจารณารายงานผลต่อคณะรัฐมนตรีต่อไป
ตามที่ กนศ. เสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
8802 | ขอเพิ่มวงเงินงบประมาณโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี 2563/64 รอบที่ 1 และโครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 2563/64 | พณ. | 09/03/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑. อนุมัติตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ
ดังนี้
๑.๑ การปรับเพิ่มวงเงินโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี ๒๕๖๓/๖๔
รอบที่ ๑ จากที่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบเมื่อวันที่ ๑ ธันวาคม ๒๕๖๓ จำนวน
๔๖,๘๐๗.๓๕ ล้านบาท โดยขอเพิ่มเติมอีก จำนวน ๓,๘๓๘.๙๒ ล้านบาท เป็น ๕๐,๖๔๖.๒๗
ล้านบาท
๑.๒ การขยายปริมาณข้าวเปลือก วงเงินงบประมาณ
และระยะเวลาดำเนินโครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต ๒๕๖๓/๖๔
จากที่คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติเมื่อวันที่ ๓ พฤศจิกายน ๒๕๖๓ ปริมาณ ๑.๕๐
ล้านตันข้าวเปลือก วงเงินงบประมาณ ๑๙,๘๒๖.๗๖ ล้านบาท เพิ่มเติมอีก ๐.๓๒ ล้านตันข้าวเปลือก
เป็น ๑.๘๒ ล้านตันข้าวเปลือก และงบประมาณเพิ่มเติมอีก จำนวน ๔,๕๐๔.๒๗ ล้านบาท
(โดยเป็นวงเงินจ่ายขาด ๑,๐๐๓.๗๗ ล้านบาท) เป็น ๒๔,๓๓๑.๐๓ ล้านบาท
และขยายระยะเวลาจัดทำสัญญากู้โครงการสินเชื่อชะลอขายข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต
๒๕๖๓/๖๔ ถึงวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๖๔ (ภาคใต้ ถึงวันที่ ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๖๔) ๒.
สำหรับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามผลการดำเนินการจริง
ตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป โดยให้กระทรวงพาณิชย์หารือร่วมกับธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรในการจัดทำประมาณการค่าชดเชยต้นทุนเงินให้สอดคล้องกับอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ
๑๒ เดือน ณ ปัจจุบัน ของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรด้วย
ส่วนค่าบริหารจัดการของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรให้คงอัตราเช่นเดิมตามที่ได้ช่วยเหลือพืชชนิดอื่น
ๆ ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๓. ให้กระทรวงพาณิชย์
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงอุตสาหกรรม
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ รวมทั้งความเห็นและข้อเสนอแนะของกระทรวงการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม และข้อสังเกตของสำนักงบประมาณ เช่น
ควรดำเนินการตรวจสอบเกษตรกรผู้มีสิทธิและชนิดข้าวที่สามารถเข้าร่วมโครงการให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และข้อกำหนดที่เกี่ยวข้อง
และควรรวบรวมข้อมูลงบประมาณที่ภาครัฐได้เคยสนับสนุนเกษตรกรไปแล้วในอดีต
เพื่อจัดทำประมาณการตัวเลขงบประมาณที่เหมาะสมในการช่วยเหลือเกษตรกร
โดยครอบคลุมทุกมิติ เช่น งบประมาณสนับสนุนต่อครัวเรือนต่อปี
โดยแยกประมาณการดังกล่าวเป็นรายพืช และแยกเป็นรายโครงการ
ตลอดจนประเมินผลสัมฤทธิ์ของแต่ละโครงการที่เกี่ยวข้องกับการให้ความช่วยเหลือเกษตรกร
เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๔.
ให้กระทรวงพาณิชย์ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการนโยบายและบริหารข้าวแห่งชาติร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
กระทรวงการคลัง กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดดำเนินการตามข้อสั่งการนายกรัฐมนตรีในคราวประชุมคณะกรรมการนโยบายและบริหารข้าวแห่งชาติ
(นบข.) ครั้งที่ ๑/๒๕๖๔ เมื่อวันที่ ๑๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๔ ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว
แล้วนำเสนอ นบข. พิจารณาต่อไป ทั้งนี้ ในกรณีที่จะเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาเกี่ยวกับการให้ความช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าว
ผู้ประกอบการ หรือผู้ที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมข้าวในโอกาสต่อไป
ให้นำเสนอผลการดำเนินการตามข้อสั่งการนายกรัฐมนตรีดังกล่าวมาพร้อมกันด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
8803 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขเกี่ยวกับการระงับข้อพิพาทแรงงานทางทะเล การปิดงาน การนัดหยุดงาน และการกระทำอันไม่เป็นธรรม พ.ศ. .... | รง. | 09/03/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ
และเงื่อนไขเกี่ยวกับการระงับข้อพิพาทแรงงานทางทะเล การปิดงาน การนัดหยุดงาน
และการกระทำอันไม่เป็นธรรม พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดหลักเกณฑ์การระงับข้อพิพาทแรงงานทางทะเลเกี่ยวกับสภาพการจ้างระหว่างเจ้าของเรือกับคนประจำเรือ
กำหนดแนวทางกรณีเจ้าของเรืออาจปิดงานหรือคนประจำเรืออาจนัดหยุดงาน กำหนดกรณีเจ้าของเรือมีการฝ่าฝืนตามมาตรา
๙๔ อาทิ ห้ามเจ้าของเรือเลิกจ้าง หรือกระทำการใด ๆ
อันเป็นผลให้คนประจำเรือไม่สามารถทนทำงานต่อไปได้เพราะเหตุคนประจำเรือมีการรวมตัวกันเรียกร้องสิทธิหรือประโยชน์
หรือรวมตัวกันจัดตั้งองค์กรของตน คนประจำเรืออาจยื่นคำร้องต่อคณะกรรมการแรงงานทางทะเลเพื่อพิจารณาวินิจฉัยชี้ขาด
ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา
โดยให้รับข้อสังเกตของสำนักงานศาลยุติธรรมเกี่ยวกับกรณีบทนิยามคำว่า
“พนักงานเจ้าหน้าที่” ตามข้อ ๓ (๑) และข้อ ๕ วรรคท้าย ที่ทำหน้าที่ไกล่เกลี่ย
และรับแจ้งการปิดงาน หรือนัดหยุดงาน
เห็นควรนิยามให้ชัดเจนให้อยู่ในความรับผิดชอบของพนักงานประนอมข้อพิพาทแรงงาน
กรณีร่างกฎกระทรวงข้อ ๓ (๒) กำหนดว่า
“ตกลงกันนำข้อพิพาทแรงงานทางทะเลที่ตกลงกันไม่ได้นั้น ไปเจรจาตกลงกันเอง”
อาจทำให้เกิดความไม่เป็นธรรมขึ้นได้ และกรณีร่างกฎกระทรวงข้อ ๕
ห้ามมิให้เจ้าของเรือปิดงาน
หรือคนประจำเรือนัดหยุดงานในระหว่างที่มีการเดินเรือทางทะเล
ผู้ใดฝ่าฝืนมีโทษจำคุกตามมาตรา ๗๗ จะนำมาใช้บังคับโดยอนุโลมตามมาตรา ๙๒ วรรค ๓
ได้หรือไม่ และในกรณีตามข้อ ๓ (๒) ถ้าไม่สามารถที่จะตกลงกันได้กลายเป็นข้อพิพาทแรงงานทางทะเลที่ตกลงกันไม่ได้จะสามารถปิดงานหรือนัดหยุดงานได้หรือไม่
เพราะกรณีตามข้อ ๓ (๒) ไม่อยู่ในเงื่อนไข หลักเกณฑ์ของข้อ ๕ (๒)
ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงแรงงานรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรเร่งรัดสร้างการรับรู้ให้กับคนประจำเรือและเจ้าของเรือ
รวมทั้งติดตามและประเมินผลภายหลังการบังคับใช้ เพื่อให้การนำร่างกฎกระทรวงดังกล่าวสู่การปฏิบัติเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
8804 | รัฐบาลราชอาณาจักรเนเธอร์แลนด์เสนอขอแต่งตั้งเอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็มแห่งราชอาณาจักรเนเธอร์แลนด์ประจำประเทศไทย (นายแร็มโก โยฮันเนิส ฟัน ไวน์คาร์เดิน) | กต. | 09/03/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นายแร็มโก โยฮันเนิส ฟัน ไวน์คาร์เดิน (Mr. Remco Johannes
van Wijngaarden)
ให้ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็มแห่งราชอาณาจักรเนเธอร์แลนด์ประจำประเทศไทยคนใหม่
โดยมีถิ่นพำนัก ณ กรุงเทพมหานคร สืบแทน นายเกส ปีเตอร์ ราเดอ (Mr. Kees Pieter Rade)
ซึ่งครบวาระการดำรงตำแหน่ง ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
8805 | การโอนข้าราชการพลเรือนสามัญตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (นางปฐมพร ศิรประภาศิริ) | สธ. | 09/03/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติการโอน นางปฐมพร ศิรประภาศิริ ข้าราชการพลเรือนสามัญ
ตำแหน่งนายแพทย์ทรงคุณวุฒิ (ด้านเวชกรรม สาขารังสีวิทยา) สถาบันมะเร็งแห่งชาติ
กรมการแพทย์
และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งนายแพทย์ทรงคุณวุฒิด้านบำบัดรักษาและฟื้นฟูสมรรถภาพ
(นายแพทย์ทรงคุณวุฒิ) (ด้านเวชกรรม) สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงสาธารณสุข
ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป
ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
8806 | แต่งตั้งกรรมการอื่นในคณะกรรมการขององค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ (1. นายพีรพันธ์ คอทอง) | ทส. | 09/03/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแต่งตั้งกรรมการอื่นในคณะกรรมการองค์การอุตสาหกรรมป่าไม้
จำนวน ๕ คน เนื่องจากกรรมการอื่นเดิมได้ดำรงตำแหน่งครบวาระสามปี โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๙ มีนาคม ๒๕๖๔) เป็นต้นไป
ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้ ๑. นายพีรพันธ์ คอทอง ๒. นายภูมิพัฒน์ สินาเจริญ ๓. นายอภิสิทธิ์ ไล่สัตรูไกล ๔. พลตำรวจตรี วิวัฒน์ ชัยสังฆะ ๕. นายกิตติศักดิ์ ศรีประเสริฐ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
8807 | การแต่งตั้งประธานกรรมการในคณะกรรมการโรงพยาบาลบ้านแพ้ว | สธ. | 09/03/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแต่งตั้ง
นายวิศิษฎ์ ตั้งนภากร เป็นประธานกรรมการในคณะกรรมการโรงพยาบาลบ้านแพร้ว
แทนประธานกรรมการเดิมที่มีอายุครบเจ็ดสิบปีบริบูรณ์
โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๙ มีนาคม ๒๕๖๔) เป็นต้นไป
และให้ผู้ที่ได้รับแต่งตั้งแทนตำแหน่งที่ว่างนั้นอยู่ในตำแหน่งเท่ากับวาระที่เหลืออยู่ของผู้ซึ่งได้แต่งตั้งไว้แล้ว
ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
8808 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (นางสาวนัทรียา ทวีวงศ์) | นร.04 | 09/03/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง
นางสาวนัทรียา ทวีวงศ์ ข้าราชการพลเรือนสามัญ ตำแหน่งผู้อำนวยการสำนัก (ผู้อำนวยการระดับสูง) สำนักโฆษก
สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีฝ่ายข้าราชการประจำ
ด้านประสานกิจการภายในประเทศ (นักวิเคราะห์นโยบายและแผนทรงคุณวุฒิ) สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
สำนักนายกรัฐมนตรี ตั้งแต่วันที่ ๑๖ ธันวาคม ๒๕๖๓ ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์
ตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
8809 | รายงานของผู้สอบบัญชีและรายงานการเงินกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2562 | รง. | 02/03/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานของผู้สอบบัญชีและรายงานการเงินสำหรับปีสิ้นสุดวันที่
๓๑ ธันวาคม ๒๕๖๒ ของกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน ประกอบด้วย
งบแสดงฐานะทางการเงิน งบแสดงผลการดำเนินงาน
และงบแสดงการเปลี่ยนแปลงสินทรัพย์สุทธิ/ส่วนทุน
ซึ่งสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินตรวจสอบรับรองแล้วเห็นว่า
ถูกต้องตามที่ควรในสาระสำคัญตามมาตรฐานและนโยบายการบัญชีภาครัฐที่กระทรวงการคลังกำหนด
ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
8810 | ผลการพิจารณารายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง การทบทวนกระบวนการพิจารณาคำสั่งไม่ฟ้องของพนักงานอัยการ ของคณะกรรมาธิการการกฎหมาย การยุติธรรมและสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนราษฎร | สผ. | 02/03/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการพิจารณารายงานการพิจารณาศึกษา
เรื่อง การทบทวนกระบวนการพิจารณาคำสั่งไม่ฟ้องของพนักงานอัยการ
ของคณะกรรมาธิการการกฎหมาย การยุติธรรมและสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนราษฎร โดยกระทรวงยุติธรรมได้ร่วมประชุมหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้ว
สรุปผลการพิจารณาได้ว่า กรณียกเลิกมาตรา ๑๔๕/๑
แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา และให้ใช้มาตรา ๑๔๕ (เดิม)
โดยมีความเห็นเป็นสองฝ่าย โดยฝ่ายที่หนึ่ง
เห็นควรให้มีการทบทวนกระบวนการพิจารณาสั่งไม่ฟ้องของพนักงานอัยการ ตามมาตรา ๑๔๕/๑
เพื่อให้การทบทวนความเหมาะสมของกระบวนการพิจารณาคำสั่งไม่ฟ้องของพนักงานอัยการมีความละเอียด
รอบคอบ โดยคำนึงถึงกระบวนการยุติธรรมทั้งระบบ และฝ่ายที่สอง
เห็นควรให้คงไว้เพื่อให้มีระบบถ่วงดุลการใช้ดุลพินิจซึ่งกันและกันระหว่างพนักงานสอบสวนและพนักงานอัยการ
และให้กระบวนการยุติธรรมทางอาญาของประเทศทั้งในเขตกรุงเทพมหานครและในจังหวัดอื่นเป็นระบบอย่างเดียวกัน
ในส่วนการตรวจสอบถ่วงดุลคำสั่งไม่ฟ้องคดีของพนักงานอัยการโดยผู้ว่าราชการจังหวัด
ควรเพิ่มเติมคณะกรรมการกลั่นกรองการสั่งไม่ฟ้องของพนักงานอัยการเพื่อเป็นการส่งเสริมหลักการมีส่วนร่วมของประชาชนและภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในกระบวนการยุติธรรมทางอาญาให้การดำเนินคดีอาญาในชั้นการสอบสวนฟ้องร้องมีความรอบคอบและครอบคลุมมากยิ่งขึ้น
ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรทราบต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
8811 | ญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล ตามมาตรา 151 ของรัฐธรรมนูญ | สผ. | 02/03/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบมติที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรเกี่ยวกับญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล
ตามมาตรา ๑๕๑ ของรัฐธรรมนูญ เมื่อวันเสาร์ที่ ๒๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๔
ซึ่งลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีทั้ง ๑๐ คน
ด้วยคะแนนเสียงไม่มากกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของสภาผู้แทนราษฎร
จึงถือว่ารัฐมนตรีทั้ง ๑๐ คน ได้รับความไว้วางใจจากสภาผู้แทนราษฎร
ตามที่สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
8812 | ผลการพิจารณารายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง การจ้างงานข้าราชการภายหลังเกษียณอายุ 60 ปี เพื่อรองรับสังคมสูงวัย ของคณะกรรมาธิการการพัฒนาสังคม และกิจการเด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ คนพิการ และผู้ด้อยโอกาส วุฒิสภา | สว. | 02/03/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการพิจารณารายงานการพิจารณาศึกษา
เรื่อง การจ้างงานข้าราชการภายหลังเกษียณอายุ ๖๐ ปี เพื่อรองรับสังคมสูงวัย
ของคณะกรรมาธิการการพัฒนาสังคม และกิจการเด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ คนพิการ
และผู้ด้อยโอกาส วุฒิสภา โดยสำนักงาน ก.พ. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้พิจารณารายงานและข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการฯ
แล้ว เห็นด้วยกับข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการฯ
โดยเห็นควรให้ชะลอหรือทบทวนการดำเนินงานตามแผนการปฏิรูปประเทศด้านสังคม
ซึ่งควรใช้จ่ายงบประมาณที่มีจำกัดเพื่อให้เกิดการจ้างงานที่จำเป็นและควรพิจารณาดำเนินการให้สอดคล้องกับสถานการณ์เพื่อความยั่งยืนทางการคลัง
การจ้างงานเพื่อใช้ศักยภาพข้าราชการเกษียณให้พิจารณาตามความจำเป็นและความต้องการของบุคลากรในแต่ละตำแหน่งหรือสาขา
และการศึกษาเพื่อปฏิรูประบบบำเหน็จบำนาญของข้าราชการส่วนท้องถิ่น
มีการวิเคราะห์ข้อมูลในส่วนที่เกี่ยวข้องอย่างต่อเนื่อง
รวมถึงการปรับปรุงกฎหมายที่เกี่ยวข้องให้สอดรับกันต่อไป ตามที่สำนักงาน ก.พ. เสนอ
และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาทราบต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
8813 | ร่างประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง ขยายระยะเวลาการใช้บังคับประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม ในบริเวณท้องที่ตำบลตลิ่งงาม ตำบลบ่อผุด ตำบลมะเร็ต ตำบลแม่น้ำ ตำบลหน้าเมือง ตำบลอ่างทอง ตำบลลิปะน้อย อำเภอเกาะสมุย และตำบลเกาะพะงัน ตำบลบ้านใต้ ตำบลเกาะเต่า อำเภอเกาะพะงัน จังหวัดสุราษฎร์ธานี พ.ศ. 2557 | ทส. | 02/03/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบในหลักการร่างประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
เรื่อง ขยายระยะเวลาการใช้บังคับประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
เรื่อง กำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม ในบริเวณท้องที่ตำบลตลิ่งงาม
ตำบลบ่อผุด ตำบลมะเร็ต ตำบลแม่น้ำ ตำบลหน้าเมือง ตำบลอ่างทอง ตำบลลิปะน้อย
อำเภอเกาะสมุย และตำบลเกาะพะงัน ตำบลบ้านใต้ ตำบลเกาะเต่า อำเภอเกาะพะงัน
จังหวัดสุราษฎร์ธานี พ.ศ. ๒๕๕๗
มีสาระสำคัญเป็นการขอขยายระยะเวลาการใช้บังคับประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
เรื่อง กำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม ในบริเวณท้องที่ตำบลตลิ่งงาม
ตำบลบ่อผุด ตำบลมะเร็ต ตำบลแม่น้ำ ตำบลหน้าเมือง ตำบลอ่างทอง ตำบลลิปะน้อย อำเภอเกาะสมุย
และตำบลเกาะพะงัน ตำบลบ้านใต้ ตำบลเกาะเต่า อำเภอเกาะพะงัน จังหวัดสุราษฎร์ธานี พ.ศ.
๒๕๕๗ ออกไปอีก ๒ ปีนับแต่วันที่ ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๖๔ เป็นต้นไป
เพื่อกำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมต่อไป
ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา
แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒.
ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับข้อสังเกตของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเกี่ยวกับมาตรการคุ้มครองทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งที่กำหนดอยู่ในประกาศฯ
เป็นกรณีที่อยู่ในหน้าที่และอำนาจของกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งตามพระราชบัญญัติส่งเสริมการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง
พ.ศ. ๒๕๕๘ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมควรพิจารณาถึงหน้าที่และอำนาจของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
และเลือกใช้มาตรการตามกฎหมายที่จะเป็นเครื่องมือในการแก้ไขปัญหาให้เหมาะสมกับสภาพปัญหาที่เกิดขึ้น
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
8814 | ร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการส่งกำลังบำรุงและอุตสาหกรรมป้องกันประเทศระหว่างกระทรวงกลาโหมแห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงกลาโหมแห่งสาธารณรัฐฟิลิปปินส์ | กห. | 02/03/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการส่งกำลังบำรุงและอุตสาหกรรมป้องกันประเทศระหว่างกระทรวงกลาโหมแห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงกลาโหมแห่งสาธารณรัฐฟิลิปปินส์
(Memorandum
of Understanding on Logistics and Defense Industry Cooperation between the
Ministry of Defence of the Kingdom of Thailand and the Department of National
Defense of the Republic of the Philippines) และให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม
หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมาย เป็นผู้ร่วมลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจฯ
โดยร่างบันทึกความเข้าใจฯ มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดแนวทางความร่วมมือด้านการส่งกำลังบำรุงและอุตสาหกรรมป้องกันประเทศในรูปแบบต่าง
ๆ เช่น การพัฒนา การผลิต การปฏิบัติการ และการบริหารจัดการสิ่งอุปกรณ์ทางทหาร
การจัดหาหรือถ่ายโอนหรือแลกเปลี่ยนยุทโธปกรณ์ สิ่งอุปกรณ์ทางทหารและการบริการ
และการแลกเปลี่ยนเจ้าหน้าที่ด้านการส่งกำลังบำรุงและด้านอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ ตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอ
ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างบันทึกความเข้าใจฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงกลาโหมดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว
ตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
ด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
8815 | ร่างพระราชกฤษฎีกายกเว้นภาษีตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนและการได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. 2562 | กค. | 02/03/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร
ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....
มีสาระสำคัญเป็นการยกเว้นภาษีธุรกิจเฉพาะให้แก่นิติบุคคล
สำหรับรายรับที่เป็นเงินค่าทดแทนตามกฎหมายว่าด้วยการเวนคืนและการได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์
และยกเว้นอากรแสตมป์สำหรับการกระทำตราสารอันเนื่องมาจากการขายหรือถูกเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ตามกฎหมายดังกล่าว
ตั้งแต่วันที่ ๓๐ พฤษภาคม ๒๕๖๒ เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒.
ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงบประมาณเกี่ยวกับกรณีการกำหนดวงเงินค่าทดแทนในการเวนคืนที่ดิน
เห็นควรให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาดำเนินการตามนัยพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนและการได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์
พ.ศ. ๒๕๖๒ โดยคำนึงถึงประโยชน์สาธารณะด้วย
และเห็นควรสร้างการรับรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับมาตรการยกเว้นภาษีดังกล่าวให้กับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในโอกาสแรก
รวมทั้งจัดทำประมาณการรายได้เพื่อกำหนดไว้ในแผนการคลังระยะปานกลางให้ถูกต้อง
ครบถ้วน
และใช้เป็นกรอบในการวางแผนการดำเนินการทางการเงินการคลังและงบประมาณของประเทศ
ตลอดจนติดตามประเมินผลสัมฤทธิ์และรายงานผลการดำเนินงานตามมาตรการภาษีดังกล่าวเป็นระยะ
ๆ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
8816 | การพัฒนานักกฎหมายภาครัฐ (การปรับปรุงหลักสูตรการพัฒนานักกฎหมายภาครัฐ) | นร.09 | 02/03/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑. เห็นชอบตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอ
ดังนี้
๑.๑ ทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๖ กรกฎาคม ๒๕๔๗ และวันที่ ๖ กันยายน
๒๕๔๘
ที่มีมติรับทราบและเห็นชอบการพัฒนากฎหมายตามนโยบายรัฐบาลตามที่คณะกรรมการนโยบายแห่งชาติว่าด้วยการพัฒนากฎหมายเสนอ
ซึ่งรวมถึงแนวทางการพัฒนานักกฎหมายภาครัฐ โดยมอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีการับผิดชอบพัฒนาหลักสูตรการพัฒนานักกฎหมายภาครัฐให้เหมาะสมแก่กาลสมัย
โดยไม่ต้องนำเสนอหลักสูตรให้คณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาเห็นชอบอีก
แต่ให้รายงานผลการดำเนินงานต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบเป็นระยะ ทั้งนี้ ผู้ซึ่งจะผ่านการฝึกอบรมต้องมีผลงานวิชาการส่วนบุคคลเกี่ยวกับการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมายที่อยู่ในความรับผิดชอบของหน่วยงานต้นสังกัดเผยแพร่ต่อสาธารณะในเว็บไซต์ของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาด้วย
๑.๒ ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาพัฒนาวิธีการฝึกการอบรมและพัฒนานักกฎหมายภาครัฐให้ทันสมัยและสอดคล้องกับบริบทที่เปลี่ยนแปลงไป
และอาจมอบหมายให้หน่วยงานภาครัฐจัดการฝึกอบรมนักกฎหมายภาครัฐในสังกัดของตนเองตามหลักสูตรที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกากำหนด
ทั้งนี้
ผู้ผ่านการฝึกอบรมต้องได้รับการอนุมัติให้ผ่านการฝึกอบรมจากสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตามหลักเกณฑ์ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกากำหนดเพื่อเป็นการควบคุมคุณภาพการฝึกอบรม
๒.
ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีการับความเห็นของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม สำนักงาน
ก.พ. สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงบประมาณ เช่น (๑) การกำหนดให้ผู้ซึ่งจะผ่านการฝึกอบรมต้องมีผลงานวิชาการส่วนบุคคลเกี่ยวกับการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมายที่อยู่ในความรับผิดชอบของหน่วยงานต้นสังกัดเผยแพร่ต่อสาธารณะในเว็บไซต์ของสำนักงานคณะกรรมการกฤษีกา
ควรมีการกำหนดรายละเอียดหลักเกณฑ์การประเมินดังกล่าวให้ชัดเจน เพื่อให้ทุกหน่วยงานมีความเข้าใจและดำเนินการให้เป็นไปในแนวทางเดียวกัน
(๒) การมอบหมายให้หน่วยงานภาครัฐจัดการฝึกอบรมนักกฎหมายภาครัฐในสังกัดของตนเองตามหลักเกณฑ์ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกากำหนด
ควรคำนึงถึงความพร้อมของหน่วยงานและความคุ้มค่าในการจัดฝึกอบรมประกอบด้วย และ (๓)
สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาควรให้ความสำคัญกับการพัฒนาหลักสูตรที่จะทำให้นักกฎหมายภาครัฐมีศักยภาพ
จรรยาบรรณ และจริยธรรม
นอกเหนือจากการมีความรู้และทักษะที่เกี่ยวข้องในการพัฒนากฎหมาย เป็นต้น
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
8817 | ผลการประชุมคณะอนุกรรมาธิการด้านการค้าและความร่วมมือทางเศรษฐกิจไทย-สหพันธรัฐรัสเซีย ครั้งที่ 4 และบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการขยายความร่วมมือทางการค้าและเศรษฐกิจระหว่างกระทรวงพาณิชย์ของราชอาณาจักรไทยและกระทรวงการพัฒนาเศรษฐกิจของสหพันธรัฐรัสเซีย | พณ. | 02/03/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมคณะอนุกรรมาธิการด้านการค้าและความร่วมมือทางเศรษฐกิจไทย-สหพันธรัฐรัสเซีย
ครั้งที่ ๔ เมื่อวันที่ ๒๒ ตุลาคม ๒๕๖๓ ในรูปแบบวีดิทัศน์ทางไกล (video
conference) ซึ่งสหพันธรัฐรัสเซียเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมฯ โดยมีรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์
(นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์) และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการพัฒนาเศรษฐกิจของสหพันธรัฐรัสเซียเป็นประธานร่วม
โดยมีสาระสำคัญคือ การตั้งเป้าหมายใหม่สำหรับการแลกเปลี่ยนข้อมูลความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจการค้าในปี
๒๕๖๒ และมาตรการรองรับผลกระทบทางเศรษฐกิจจากการแพร่ระบาดของโควิด-๑๙ รวมทั้งการลงนามในบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการขยายความร่วมมือทางการค้าและเศรษฐกิจระหว่างกระทรวงพาณิชย์ของราชอาณาจักรไทยและกระทรวงการพัฒนาเศรษฐกิจของสหพันธรัฐรัสเซีย
ซึ่งไม่ได้เปลี่ยนแปลงสาระสำคัญตามที่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบเมื่อวันที่ ๒๐
ตุลาคม ๒๕๖๓ และมอบหมายหน่วยงานต่าง ๆ ดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ
ทั้งนี้ ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์
วิจัยและนวัตกรรม กระทรวงสาธารณสุข และสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน เช่น
ขอแก้ไขผลการประชุมฯ ในหัวข้อ Overview of the current economic and trade
relation between the Russian Federation and the Kingdom of Thailand and
Russian-Thai bilateral trade เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
8818 | การจัดสรรอัตราข้าราชการตั้งใหม่ให้กับส่วนราชการในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ | คปร. | 02/03/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. อนุมัติจัดสรรอัตราข้าราชการตั้งใหม่ให้กับส่วนราชการในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
(กรมปศุสัตว์และกรมฝนหลวงและการบินเกษตร) รวมทั้งสิ้น ๗๒ อัตรา ได้แก่ กรมปศุสัตว์
จำนวน ๓๐ อัตรา และกรมฝนหลวงและการบินเกษตร จำนวน ๔๒ อัตรา ตามมติคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ
ในการประชุมครั้งที่ ๓/๒๕๖๓ เมื่อวันที่ ๒๘ ธันวาคม ๒๕๖๓ ตามที่สำนักงาน ก.พ.
ในฐานะฝ่ายเลขานุการร่วมคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐเสนอ
สำหรับค่าใช้จ่ายด้านบุคลากรในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔ และในปีงบประมาณต่อ ๆ ไป
ให้ส่วนราชการดังกล่าวดำเนินการตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
(กรมปศุสัตว์และกรมฝนหลวงและการบินเกษตร) รับความเห็นของสำนักงาน ก.พ. และสำนักงาน
ก.พ.ร. ที่เห็นควรให้กรมปศุสัตว์กำหนดตัวชี้วัดติดตามและประเมินผลประสิทธิภาพการตรวจวิเคราะห์คุณภาพสินค้าปศุสัตว์ทางห้องปฏิบัติการ
และให้กรมฝนหลวงและการบินเกษตรบูรณาการความร่วมมือด้านการปฏิบัติการฝนหลวงร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
รวมทั้งเห็นควรให้กรมปศุสัตว์พัฒนาระบบอิเล็กทรอนิกส์เข้ามาใช้ในการปฏิบัติงานด้านการควบคุม
กำกับ ตรวจสอบคุณภาพและมาตรฐานสินค้าปศุสัตว์เพื่อการส่งออก
และให้กรมฝนหลวงและการบินเกษตรกำหนดตัวชี้วัดการนำเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาใช้ในการปฏิบัติการฝนหลวงที่สามารถให้บริการครอบคลุมพื้นที่หรือมีความแม่นยำเพิ่มมากขึ้น
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
8819 | รายงานผลการวิเคราะห์ดัชนีการรับรู้การทุจริต (Corruption Perceptions Index : CPI) ประจำปี 2563 | ปปท. | 02/03/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรางานผลการวิเคราะห์ดัชนีการรับรู้การทุจริต
(Corruption
Perceptions Index : CPI) ประจำปี ๒๕๖๓
โดยองค์กรเพื่อความโปร่งใสนานาชาติ (Transparency International) ได้ประกาศผลคะแนนดัชนีชี้วัดการรับรู้การทุจริต ประจำปี พ.ศ. ๒๕๖๓
เมื่อวันที่ ๒๘ มกราคม ๒๕๖๔ โดยมีประเทศที่เข้าร่วมการประเมินทั้งหมด ๑๘๐ ประเทศ
โดยประเทศไทยได้รับคะแนน ๓๖ คะแนน อยู่ในลำดับที่ ๑๐๔
จากประเทศที่เข้าร่วมประเมินทั้งหมด ซึ่งเท่ากับปี ๒๕๖๒
และเมื่อเปรียบเทียบคะแนนดัชนีการรับรู้การทุจริตของประเทศไทยกับประเทศในภูมิภาคอาเซียนพบว่า
ในหลายประเทศมีผลคะแนนลดลง ดังนั้น
จึงเป็นเครื่องสะท้อนว่าประเทศไทยยังคงรักษาสถานะในการแข่งขันระดับนานาชาติไว้ได้ในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ (โควิด-๑๙) ในการนี้
องค์กรเพื่อความโปร่งใสนานาชาติได้มีข้อเสนอแนะโดยให้ความสำคัญกับการดำเนินการในสถานการณ์โควิด-๑๙
เช่น การเพิ่มความโปร่งใสในการจัดซื้อจัดจ้าง เนื่องจากหลายประเทศมีการผ่อนคลายกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างในการดำเนินการป้องกันและบริหารสถานการณ์โควิด-๑๙
จึงอาจจะทำให้เกิดปัญหาทุจริตในกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างได้ และการเปิดเผยข้อมูลสถานการณ์ต่าง
ๆ เกี่ยวกับความรุนแรงของสถานการณ์และการรับมือของรัฐบาลให้ประชาชนรับรู้และสามารถเข้าถึงได้ง่าย
เป็นต้น ตามที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
8820 | ร่างประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง ขยายระยะเวลาการใช้บังคับประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม ในท้องที่อำเภอคุระบุรี อำเภอตะกั่วป่า อำเภอท้ายเหมือง อำเภอทับปุด อำเภอเมืองพังงา อำเภอตะกั่วทุ่ง และอำเภอเกาะยาว จังหวัดพังงา พ.ศ. 2559 | ทส. | 02/03/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการร่างประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
เรื่อง ขยายระยะเวลาการใช้บังคับประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
เรื่อง กำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม ในท้องที่อำเภอคุระบุรี
อำเภอตะกั่วป่า อำเภอท้ายเหมือง อำเภอทับปุด อำเภอเมืองพังงา อำเภอตะกั่วทุ่ง
และอำเภอเกาะยาว จังหวัดพังงา พ.ศ. ๒๕๕๙ มีสาระสำคัญเป็นการขยายระยะเวลาการใช้บังคับประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
เรื่อง กำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม ในท้องที่อำเภอคุระบุรี
อำเภอตะกั่วป่า อำเภอท้ายเหมือง อำเภอทับปุด อำเภอเมืองพังงา อำเภอตะกั่วทุ่ง
และอำเภอเกาะยาว จังหวัดพังงา พ.ศ. ๒๕๕๙ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ออกไปอีก ๒ ปี
นับแต่วันที่ ๑ เมษายน ๒๕๖๔ เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน
แล้วดำเนินการต่อไปได้ |