ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 446 จากทั้งหมด 6199 หน้า แสดงรายการที่ 8901 - 8920 จากข้อมูลทั้งหมด 123972 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
8901 | ร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองและส่งเสริมภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | สธ. | 15/02/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองและส่งเสริมภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย
(ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....
มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติคุ้มครองและส่งเสริมภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย
พ.ศ. ๒๕๔๒ เกี่ยวกับการกำหนดคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามทั่วไป
และคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามเฉพาะของกรรมการผู้ทรงคณวุฒิ
กำหนดให้มีคณะกรรมการสรรหากรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ แก้ไขเพิ่มเติมหน้าที่และอำนาจของคณะกรรมการคุ้มครองและส่งเสริมภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย
ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา
โดยให้แก้ไขเพิ่มเติมร่างมาตรา ๔ (ตัดความในวรรคสองของร่างมาตรา ๕/๑ ออก)
และให้นำไปรวมพิจารณากับร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองและส่งเสริมภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย
(ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติ (๔ เมษายน ๒๕๖๐)
อนุมัติหลักการและอยู่ระหว่างการตรวจพิจารณาของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาในคราวเดียวกัน
โดยให้รับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรพิจารณาทบทวนการกำหนดบทบัญญัติเพิ่มเติมเกี่ยวกับกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการคุ้มครองและส่งเสริมภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทยที่หากพ้นจากตำแหน่งก่อนวาระให้กรรมการเท่าที่เหลืออยู่สามารถปฏิบัติงานต่อไปได้
ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพการดำเนินงานที่รอบด้าน
รวมถึงทบทวนการเพิ่มเติมอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการดังกล่าวในการวางระเบียบเกี่ยวกับการคัดค้านการจดทะเบียนสิทธิในภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย
ซี่งถือเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการขั้นตอนการขอยื่นจดทะเบียนสิทธิในภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทยที่สามารถดำเนินการภายใต้กฎกระทรวงในการขอจดทะเบียนสิทธิได้
ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา
ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป
๒. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง
กรอบระยะเวลา
และกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว
ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
8902 | สรุปผลการดำเนินการเรื่องร้องทุกข์/เสนอความคิดเห็นจากประชาชน ไตรมาสที่ 3 ของปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 และในปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 | นร.01 | 15/02/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑.
รับทราบสรุปผลการดำเนินการเรื่องร้องทุกข์/เสนอความคิดเห็นจากประชาชน ไตรมาสที่ ๓
ของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ และในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓
พร้อมผลการวิเคราะห์เรื่องร้องทุกข์/เสนอความคิดเห็น พบว่า
ประชาชนได้ยื่นเรื่องร้องทุกข์/เสนอความคิดเห็นผ่านช่องสายด่วนของรัฐบาล ๑๑๑๑
มากที่สุด โดยยื่นเรื่องประเด็นค่าครองชีพมากที่สุด ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการขอความช่วยเหลือของผู้ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
2019 (โควิด-19) และขอให้พิจารณาทบทวนสิทธิและเร่งรัดการจ่ายเงินตามมาตรการดูแลและเยียวยาต่าง
ๆ เนื่องจากเป็นปัญหาที่เกี่ยวกับชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน ซึ่งสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีจะประสานไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อแก้ไขปัญหาต่าง
ๆ โดยเร็ว ๒.
ขอความร่วมมือให้ทุกส่วนราชการพิจารณาดำเนินการ ดังนี้
๒.๑
แจ้งความคืบหน้าการดำเนินการเรื่องร้องทุกข์และเร่งรัดการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนให้มีผลเป็นที่ยุติด้วยความเป็นธรรม
ภายในระยะเวลาที่เหมาะสม
๒.๒
รวบรวมสถิติระยะเวลาที่ใช้ในการแก้ไขปัญหาเรื่องร้องทุกข์ในแต่ละประเภทเรื่องที่ประชาชนร้องทุกข์ไปยังหน่วยงาน
เพื่อใช้เป็นข้อมูลสำหรับการกำหนดเป็นข้อตกลงระยะเวลาแล้วเสร็จของงานการแก้ไขปัญหาเรื่องร้องทุกข์ต่อไป
๒.๓
เชื่อมโยงข้อมูลกับระบบการจัดการเรื่องราวร้องทุกข์ของหน่วยงานเข้ากับสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเพื่อให้เกิดผลเป็นรูปธรรมโดยเร็ว
และให้หน่วยงานที่ไม่มีระบบบฐานข้อมูลเรื่องร้องทุกข์ของตนเองเข้าร่วมใช้งานระบบการจัดการเรื่องราวร้องทุกข์ของสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี
เพื่อเป็นการรวบรวมเรื่องร้องทุกข์ให้เป็นภาพรวมของประเทศ ๓.
มอบหมายให้สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีขยายผลการดำเนินโครงการศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ของรัฐบาล
โดยพัฒนาให้มีระบบการติดตามผลและสถานะเรื่องร้องทุกข์ (Tracking
System) เพื่อให้ประชาชนสามารถติดตามเรื่องร้องทุกข์ด้วยตนเองได้ทุกที่ทุกเวลา
รวมทั้งจัดให้มีระบบรายงานผล (Dashboard) สำหรับผู้บริหารใช้ในการกำกับติดตามการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
8903 | รายงานสรุปผลการดำเนินการตามยุทธศาสตร์ชาติ ประจำปี 2563 และรายงานสรุปผลการดำเนินการตามแผนการปฏิรูปประเทศ ประจำปี 2563 | นร.11 | 15/02/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสรุปผลการดำเนินการตามยุทธศาสตร์ชาติ
ประจำปี ๒๕๖๓ และรายงานสรุปผลการดำเนินการตามแผนการปฏิรูปประเทศ ประจำปี ๒๕๖๓
ประกอบด้วย ผลการดำเนินการตามยุทธศาสตร์ชาติและแผนการปฏิรูปประเทศ
และประเด็นท้าทาย และการดำเนินการในระยะต่อไป
ตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ในฐานะสำนักงานเลขานุการของคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติ
คณะกรรมการจัดทำยุทธศาสตร์ชาติ และคณะกรรมการปฏิรูปประเทศเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
8904 | ผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ในคราวประชุม ครั้งที่ 6/2564 | นร.11 | 15/02/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
อนุมัติตามผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้
ในคราวประชุมครั้งที่ ๖/๒๕๖๔ เมื่อวันที่ ๑๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๔
ซึ่งได้พิจารณาอนุมัติให้นำกรอบวงเงินกู้เพื่อการตามมาตรา ๕ (๓)
มาใช้เพื่อการตามมาตรา ๕ (๒) (ครั้งที่ ๒) จำนวน ๓๕,๐๐๐ ล้านบาท อนุมัติโครงการ ม
๓๓ เรารักกัน ของกระทรวงแรงงาน และอนุมัติให้สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง
กระทรวงการคลังปรับปรุงรายละเอียดโครงการเราชนะ
ตามที่คณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้เสนอ ตามที่เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ประธานกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้เสนอ ทั้งนี้
ในส่วนของการนำกรอบวงเงินกู้เพื่อการตามมาตรา ๕ (๓)
แห่งพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหา เยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ พ.ศ. ๒๕๖๓ มาใช้เพื่อการตามมาตรา ๕ (๒) นั้น
คณะรัฐมนตรีเห็นว่าเป็นกรณีจำเป็นอันมิอาจจะหลีกเลี่ยงได้ เนื่องจากวงเงินกู้เพื่อการตามมาตรา
๕ (๒) คงเหลือ ๖,๒๔๖.๗๘๘๕ ล้านบาท ซึ่งไม่เพียงพอสำหรับดำเนินโครงการ ม ๓๓
เรารักกัน ของสำนักงานประกันสังคม กระทรวงแรงงาน
คณะรัฐมนตรีจึงมีมติให้นำวงเงินกู้เพื่อการตามมาตรา ๕ (๓) มาใช้เพื่อการตามมาตรา ๕
(๒) เพิ่มเติมเป็นจำนวน ๓๕,๐๐๐ ล้านบาทได้ โดยเมื่อรวมวงเงินกู้ทั้งหมดยังไม่เกินหนึ่งล้านล้านบาท
ตามที่กฎหมายกำหนด ๒.
ให้หน่วยงานรับผิดชอบโครงการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นและข้อสังเกตของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
สำนักงบประมาณ
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรเร่งปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมาย
ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง
ตลอดจนความเหมาะสมของค่าใช้จ่ายที่จะต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์
อัตราค่าใช้จ่ายมาตรฐานของทางราชการอย่างประหยัด
โดยไม่มีความซ้ำซ้อนของกลุ่มเป้าหมาย
หรือสิทธิที่พึงได้รับจากภาครัฐไปแล้วผ่านกลไกการตรวจสอบจากเลขบัตรประจำตัวประชาชน
๑๓ หลัก อย่างเคร่งครัด และพิจารณาให้ความช่วยเหลือกลุ่มผู้ที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ ระลอกใหม่ เป็นสำคัญ รวมทั้งเร่งประชาสัมพันธ์ สร้างความรับรู้ ความเข้าใจ
ให้ถูกต้องครบถ้วน ถึงสิทธิและข้อจำกัดของการเข้าร่วมโครงการที่กลุ่มเป้าหมายจะได้รับในครั้งนี้
และให้ความสำคัญกับระบบการติดตามและประเมินผลให้ทันต่อสถานการณ์
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๓.
ให้เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ประธานกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี)
ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
8905 | (ร่าง) นโยบายและแผนการส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. 2560 – 2580 | ทส. | 15/02/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
เห็นชอบ (ร่าง) นโยบายและแผนการส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ.
๒๕๖๐-๒๕๘๐ จัดทำขึ้นเพื่อเป็นกรอบนโยบายและทิศทางการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมของประเทศอย่างบูรณาการในระยะ
๒๐ ปีข้างหน้า
และให้ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องใช้เป็นกรอบแนวทางในการจัดทำแผนปฏิบัติการระยะกลาง
(๕ ปี) สามารถนำไปขับเคลื่อนให้การบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมของประเทศเป็นไปอย่างเหมาะสม
เป็นเชิงรุก และมีประสิทธิภาพ
รวมทั้งเพิ่มขีดสมรรถนะในการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่เอื้อต่อการเสริมสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจและสังคมอย่างเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
สามารถสร้างความสมดุลและยั่งยืนในการพัฒนาประเทศและรองรับการเปลี่ยนแปลงของโลกและภูมิภาค
ประกอบด้วย ๔ นโยบายหลัก ได้แก่ (๑) การจัดการฐานทรัพยากรธรรมชาติอย่างมั่นคงเพื่อความสมดุล
เป็นธรรม และยั่งยืน (๒) การสร้างการเติบโตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมเพื่อความมั่งคั่งและยั่งยืน
(๓) การเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และ (๔)
การสร้างความเป็นหุ้นส่วนในการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ๒.
ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นและข้อสังเกตของกระทรวงการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กระทรวงสาธารณสุข สำนักนายกรัฐมนตรี (สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี)
สำนักงบประมาณ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
และสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ เช่น ควรมีมาตรการควบคุมและจัดการปัญหามลพิษในสิ่งแวดล้อมที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อชุมชน
สังคม และสุขอนามัย
ควรมุ่งเน้นการกำหนดตัวชี้วัดและค่าเป้าหมายเชิงปริมาณที่สามารถดำเนินการได้อย่างเป็นรูปธรรม
ควรกำหนดระยะเวลาดำเนินการในแต่ละปีงบประมาณให้มีความชัดเจน และควรพิจารณาปัญหาและอุปสรรคในการขับเคลื่อนนโยบายและแผนการส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ
พ.ศ. ๒๕๔๐-๒๕๕๙
เพื่อนำมาเป็นข้อเสนอแนวทางการขับเคลื่อนในร่างฉบับนี้ให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
8906 | (ร่าง) แผนปฏิบัติการด้านการจัดการขยะพลาสติก ระยะที่ 1 (พ.ศ. 2563–2565) | ทส. | 15/02/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
เห็นชอบ (ร่าง) แผนปฏิบัติการด้านการจัดการขยะพลาสติก ระยะที่ ๑ (พ.ศ. ๒๕๖๓-๒๕๖๕)
มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นกรอบและแนวทางการดำเนินงานร่วมกันจากทุกภาคส่วนในการป้องกันและแก้ไขปัญหาขยะพลาสติกที่สำคัญและต้องเร่งดำเนินการให้เกิดผลเป็นรูปธรรม
ในช่วง ๓ ปีแรก (ปี พ.ศ. ๒๕๖๓-๒๕๖๕) โดยมี ๒ เป้าหมาย ได้แก่ (๑) การลด
เลิกใช้พลาสติกเป้าหมาย (ถุงพลาสติกหูหิ้วบาง กล่องโฟมบรรจุอาหาร แก้วพลาสติกบาง
และหลอดพลาสติก) ด้วยการใช้วัสดุทดแทนที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ร้อยละ ๑๐๐
ภายในปี พ.ศ. ๒๕๖๕ และ (๒) การนำพลาสติกเป้าหมาย (๗ ชนิด เช่น
ถุงพลาสติกหูหิ้วอื่น ๆ ขวดพลาสติก ถาด/กล่องอาหาร)
กลับไปใช้ประโยชน์เข้าสู่ระบบเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular
Economy) ไม่น้อยกว่าร้อยละ ๕๐ ของพลาสติกเป้าหมาย ภายในปี พ.ศ.
๒๕๖๕ ผ่าน ๓ มาตรการ ได้แก่ มาตรการลดการเกิดขยะพลาสติก ณ แหล่งกำเนิด มาตรการลด
เลิกใช้พลาสติก ณ ขั้นตอนการบริโภค และมาตรการจัดการขยะพลาสติกหลังการบริโภค
โดยคาดว่าจะลดปริมาณขยะพลาสติกที่ต้องนำไปกำจัดได้ประมาณ ๐.๗๘ ล้านตันต่อปี
และประหยัดงบประมาณจัดการขยะมูลฝอย ๓,๙๐๐ ล้านบาทต่อปี ประหยัดพื้นที่รองรับพื้นที่ฝังกลบประมาณ
๒,๕๐๐ ไร่ และลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเทียบเท่าคาร์บอนไดออกไซด์ ๑.๒
ล้านตัน ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
และให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการดำเนินการตาม
(ร่าง) แผนปฏิบัติการฯ ให้เกิดผลเป็นรูปธรรมตามเป้าหมายที่กำหนดไว้
และให้รายงานผลการดำเนินการต่อนายกรัฐมนตรีเป็นระยะ ๆ เป็นรายไตรมาส ๒.
ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง
กระทรวงมหาดไทย กระทรวงพลังงาน กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงบประมาณ
สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และข้อคิดเห็น ข้อสังเกต
และข้อเสนอแนะของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เช่น (๑)
ควรให้ความสำคัญกับการสนับสนุนและเตรียมความพร้อมให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในการดำเนินการตาม
(ร่าง) แผนปฏิบัติการฯ (๒) การพัฒนาให้มีกฎหมายเพื่อการจัดการขยะพลาสติกเป็นการเฉพาะ
สมควรที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจะได้พิจารณาแนวทางการแก้ไขปัญหาดังกล่าวในภาพรวมรวมกับส่วนราชการและหน่วยงานอื่นที่มีหน้าที่รับผิดชอบและดำเนินการให้สอดคล้องกับพระราชบัญญัติหลักเกณฑ์การจัดทำร่างกฎหมายและการประเมินผลสัมฤทธิ์ทางกฎหมาย
พ.ศ. ๒๕๖๒ และ (๓) ค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔
พิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ โอนงบประมาณรายจ่าย
โอนเงินจัดสรรหรือเปลี่ยนแปลงเงินจัดสรร แล้วแต่กรณี ส่วนค่าใช้จ่ายในปีต่อ ๆ ไป ให้จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป
เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
8907 | ร่างประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง ขยายระยะเวลาการใช้บังคับประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม ในท้องที่อำเภออ่าวลึก อำเภอเมืองกระบี่ อำเภอเหนือคลอง อำเภอคลองท่อม และอำเภอเกาะลันตา จังหวัดกระบี่ พ.ศ. 2559 | ทส. | 15/02/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีติ ดังนี้ ๑.
เห็นชอบในหลักการร่างประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง
ขยายระยะเวลาการใช้บังคับประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง
กำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม ในท้องที่อำเภออ่าวลึก อำเภอเมืองกระบี่
อำเภอเหนือคลอง อำเภอคลองท่อม และอำเภอเกาะลันตา จังหวัดกระบี่ พ.ศ. ๒๕๕๙
มีสาระสำคัญเป็นการขอขยายระยะเวลาการใช้บังคับประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
เรื่อง กำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม ในท้องที่อำเภออ่าวลึก
อำเภอเมืองกระบี่ อำเภอเหนือคลอง อำเภอคลองท่อม และอำเภอเกาะลันตา จังหวัดกระบี่
พ.ศ. ๒๕๕๙ ออกไปอีก ๒ ปี นับแต่วันที่ ๑ เมษายน ๒๕๖๔ เป็นต้นไป
เพื่อกำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมต่อไป ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน
แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒.
ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของกระทรวงคมนาคมที่เห็นควรให้ปฏิบัติตามกฎหมาย
ระเบียบ มติคณะรัฐมนตรี และความเห็นของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้เกิดความโปร่งใสในการดำเนินงานตามหลักธรรมาภิบาล
เกิดผลสัมฤทธิ์ หรือประโยชน์ต่อภาครัฐและประชาชนเป็นสำคัญ
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
8908 | มาตรการด้านการเงินเพื่อดูแลและเยียวยาผลกระทบจากเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) เพิ่มเติม | กค. | 15/02/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
ดังนี้
๑.๑ การปรับปรุงการดำเนินโครงการสินเชื่อเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับผู้มีอาชีพอิสระที่ได้รับผลกระทบจากไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ (COVID-19) โดยขยายระยะเวลาปลอดชำระเงินต้นและดอกเบี้ยเพิ่มเติม
จากเดิม ๖ เดือน เป็นไม่เกิน ๑๒ เดือน
โดยให้ธนาคารออมสินและธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) สามารถกำหนดระยะเวลาปลอดชำระเงินต้นและดอกเบี้ยได้ตามความเหมาะสมเป็นรายกรณีสูงสุดไม่เกิน
๑๒ เดือน โดยหลักเกณฑ์และเงื่อนไขให้เป็นไปตามที่ธนาคารออมสิน และ ธ.ก.ส. กำหนด
รวมทั้งขยายระยะเวลากู้ จากเดิมไม่เกิน ๒ ปี ๖ เดือน เป็นไม่เกิน ๓ ปี
๑.๒ โครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ SMEs มีที่ มีเงิน
สำหรับธุรกิจการท่องเที่ยว เพื่อเสริมสภาพคล่องให้กิจการ
และเพื่อไถ่ถอนจากการขายฝากเอกชนที่ทำสัญญาขายฝาก
โดยธนาคารออมสินสนับสนุนสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ วงเงินรวม ๑๐,๐๐๐ ล้านบาท
ให้แก่ผู้ประกอบการ SMEs ในภาคธุรกิจการท่องเที่ยวและสาขาธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง
(Supply Chain) โดยใช้ที่ดินว่างเปล่า
และ/หรือที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่มีเอกสารสิทธิเป็นโฉนดที่ดินเป็นหลักประกัน
และไม่ต้องผ่านการตรวจสอบข้อมูลเครดิตบูโร วงเงินสินเชื่อต่อรายไม่เกินร้อยละ ๗๐
ของราคาประเมินที่ดินของทางราชการ สูงสุดไม่เกิน ๑๐ ล้านบาท
กรณีผู้กู้เป็นบุคคลธรรมดา และสูงสุดไม่เกิน ๕๐ ล้านบาท กรณีผู้กู้เป็นนิติบุคคล
ระยะเวลากู้ ๓ ปี คิดอัตราดอกเบี้ยร้อยละ ๐.๑๐ ต่อปี ในปีแรก ร้อยละ ๐.๙๙ ต่อปี
ในปีที่ ๒ และร้อยละ ๕.๙๙ ต่อปี ในปีที่ ๓ ระยะเวลายื่นขอสินเชื่อกับธนาคารออมสินได้ตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบถึงวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๖๔ หรือจนกว่าวงเงินโครงการจะหมด แล้วแต่อย่างใดอย่างหนึ่งก่อน
และให้ธนาคารออมสินเบิกจ่ายสินเชื่อให้เสร็จสิ้นภายใน ๖ เดือน นับตั้งแต่วันสิ้นสุดรับคำขอกู้
และรัฐบาลชดเชยต้นทุนเงินให้กับธนาคารออมสินในอัตราร้อยละ ๓ ต่อปี เป็นระยะเวลา ๒
ปี รวมทั้งสิ้นไม่เกิน ๖๐๐ ล้านบาท ๒. สำหรับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นตามโครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ
SMEs
มีที่ มีเงิน สำหรับธุรกิจการท่องเที่ยว
ให้ธนาคารออมสินจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ
เพื่อเสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามภาระค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริงตามขั้นตอนต่อไป
ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
และให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรสร้างการรับรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับมาตรการให้ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในโอกาสแรก
รวมทั้งจัดทำประมาณการรายได้เพื่อกำหนดไว้ในแผนการคลังระยะปานกลางให้ถูกต้องครบถ้วน
และใช้เป็นกรอบในการวางแผนการดำเนินการทางการเงินการคลังและงบประมาณของประเทศ
ตลอดจนติดตามประเมินผลสัมฤทธิ์และรายงานการดำเนินงานตามมาตรการเมื่อสิ้นสุดระยะเวลาดำเนินการ
นอกจากนี้ ควรทำการติดตาม ศึกษา
และวิเคราะห์ปัญหาอุปสรรคของการดำเนินมาตรการในช่วงที่ผ่านมา
โดยเฉพาะมาตรการที่ยังมีวงเงินคงเหลือและไม่สามารถจัดสรรให้กับประชาชนและผู้ประกอบการได้ตามเป้าหมายที่กำหนดไว้
เพื่อนำข้อมูลมาใช้เป็นแนวทางในการปรับมาตรการและกำหนดมาตรการที่มีความเหมาะสม
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
8909 | การจัดทำประกาศ (Declaration) เกี่ยวกับสถานะอาวุธนิวเคลียร์สำหรับสนธิสัญญาห้ามอาวุธนิวเคลียร์ (Treaty on the Prohibition of Nuclear Weapons–TPNW) | กต. | 15/02/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบร่างประกาศ (Declaration) เกี่ยวกับสถานะอาวุธนิวเคลียร์สำหรับสนธิสัญญาห้ามอาวุธนิวเคลียร์ (Treaty
on the Prohibition of Nuclear Weapons-TPNW) และให้กระทรวงการต่างประเทศ
โดยคณะผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติ ณ นครนิวยอร์ก จัดทำและนำส่งประกาศฯ
ต่อเลขาธิการสหประชาชาติ โดยร่างประกาศฯ
มีสาระสำคัญเป็นการประกาศเกี่ยวกับสถานะอาวุธนิวเคลียร์ของประเทศไทย โดยประกาศว่าราชอาณาจักรไทยไม่เป็นหรือเคยเป็นเจ้าของ
ครอบครอง หรือควบคุมอาวุธนิวเคลียร์ หรือระเบิดนิวเคลียร์อื่น ๆ
รวมถึงไม่เคยมีโครงการด้านอาวุธนิวเคลียร์และไม่มีอาวุธนิวเคลียร์หรือระเบิดนิวเคลียร์อื่น
ๆ ในอาณาเขตของราชอาณาจักรไทย หรือ ณ ที่ใด
ภายใต้เขตอำนาจหรือการควบคุมของราชอาณาจักรไทยที่รัฐอื่นเป็นเจ้าของ ครอบครอง
หรือควบคุม ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างประกาศฯ
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย ๒.
และให้กระทรวงการต่างประเทศรับข้อสังเกตของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์
วิจัยและนวัตกรรม และสำนักงานปรมาณูเพื่อสันติ
ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการพลังงานนิวเคลียร์เพื่อสันติ ที่เห็นว่า ข้อ ๑
(บรรทัดที่ ๓) ของประกาศฯ ใช้ถ้อยคำว่า ‘…nuclear weapons-programme
…” แต่ ข้อ ๒ วรรคหนึ่ง (เอ)
ของตัวบทของสนธิสัญญาห้ามอาวุธนิวเคลียร์ ใช้ถ้อยคำว่า ‘…nuclear-weapos programme …” ดังนั้น
จึงควรพิจารณาเปลี่ยนข้อความในร่างประกาศ ให้ตรงตามถ้อยคำดังกล่าวในตัวบทของสนธิสัญญาห้ามอาวุธนิวเคลียร์
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
8910 | รายงานสรุปผลการพิจารณาต่อข้อเสนอแนะมาตรการหรือแนวทางในการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชน เรื่อง ธุรกิจกับสิทธิมนุษยชน กรณีการลงทุนของภาคธุรกิจไทยในต่างประเทศ | สม. | 15/02/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการพิจารณาต่อข้อเสนอแนะมาตรการหรือแนวทางในการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชน
เรื่อง ธุรกิจกับสิทธิมนุษยชน กรณีการลงทุนของภาคธุรกิจไทยในต่างประเทศ ของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ
ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ และแจ้งให้คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติทราบต่อไป สรุปได้
ดังนี้ ๑.
ประเทศไทยตระหนักถึงความสำคัญของการกำกับดูแลนักลงทุนไทยที่ไปลงทุนในต่างประเทศให้ดำเนินธุรกิจโดยเคารพสิทธิมนุษยชนตามกรอบของหลักการชี้แนะของสหประชาชาติว่าด้วยธุรกิจกับสิทธิมนุษยชน
โดยเฉพาะการพิจารณาจัดตั้งกลไกในการตรวจสอบการละเมิดสิทธิมนุษยชนที่เป็นรูปธรรม
ซึ่งได้กำหนดเป็นหนึ่งในกิจกรรมสำคัญตามแผนปฏิบัติการระดับชาติว่าด้วยธุรกิจกับสิทธิมนุษยชน
ระยะที่ ๑ (พ.ศ. ๒๕๖๒-๒๕๖๕) ด้านการลงทุนระหว่างประเทศและบรรษัทข้ามชาติ
โดยกำหนดให้กระทรวงการต่างประเทศและกระทรวงยุติธรรมดำเนินการศึกษาและหารือร่วมกับภาคีส่วนต่าง
ๆ ที่เกี่ยวข้องเพื่อพิจารณาแนวทางพัฒนากฎหมาย นโยบาย
หรือกลไกที่เป็นรูปธรรมในการตรวจสอบการละเมิดสิทธิมนุษยชนนอกอาณาเขตเพื่อให้เกิดการป้องกัน
คุ้มครอง เยียวยา และเกิดความรับผิดชอบข้ามพรมแดนที่สอดคล้องกับมาตรฐานสากล
ทั้งนี้ คณะกรรมการขับเคลื่อนงานด้านสิทธิมนุษยชนของประเทศไทย ได้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนแผนปฏิบัติการระดับชาติว่าด้วยธุรกิจกับสิทธิมนุษยชน
โดยมีอำนาจหน้าที่ในการพิจารณาให้ข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะเพื่อแก้ไขปัญหาในกรณีที่มีข้อร้องเรียน
หรือร้องทุกข์จากการดำเนินธุรกิจของสถานประกอบการ
หรือนักลงทุนซึ่งส่งผลกระทบเชิงลบหรือก่อให้เกิดการละเมิดสิทธิมนุษยชน ทั้งกรณีการลงทุนในประเทศ
และการลงทุนของสถานประกอบการ หรือนักลงทุนไทยที่ไปลงทุนในต่างประเทศ เพื่อสร้างหลักประกันให้การดำเนินธุรกิจที่เคารพสิทธิมนุษยชนได้รับการเคารพและยึดถือปฏิบัติอย่างจริงจัง ๒. ประเทศไทยตระหนักถึงความสำคัญของธนาคารในการกำกับดูแลการประกอบธุรกิจที่สอดคล้องกับประเด็นสิ่งแวดล้อม
สังคม และธรรมาภิบาล (Environmental,
Social and Governance : ESG) ตามแนวทางการดำเนินกิจการธนาคารเพื่อความยั่งยืน
(Sustainable Banking Guidelines) โดยธนาคารแห่งประเทศไทยได้กำหนดให้ประเด็นความยั่งยืนด้าน
ESG เป็นกลยุทธ์ภายใต้แผนยุทธศาสตร์ธนาคารแห่งประเทศไทย พ.ศ.
๒๕๖๓-๒๕๖๕ รวมทั้งได้ผลักดันให้สมาคมธนาคารไทย สมาคมธนาคารนานาชาติ
พร้อมทั้งธนาคารสมาชิก ลงนามร่วมกันในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือกำหนดแนวทางการดำเนินกิจการธนาคารอย่างยั่งยืนในด้านการให้สินเชื่ออย่างรับผิดชอบ
(Responsible Lending) ซึ่งสนับสนุนให้ธนาคารต่าง ๆ
บูรณาการปัจจัยด้าน ESG ซี่งรวมถึงประเด็นด้านสิทธิมนุษยชนเข้าสู่การดำเนินกิจการของธนาคารในทุกขั้นตอน
ตั้งแต่การกำหนดนโยบาย การพัฒนากระบวนการรับฟังความคิดเห็นจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย
การพัฒนากระบวนการบริหารจัดการความเสี่ยงและผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการให้สินเชื่อของธนาคาร
ตลอดจนการเปิดเผยข้อมูลอย่างโปร่งใสต่อสาธารณชน นอกจากนี้
ธนาคารแห่งประเทศไทยยังได้จัดการอบรมเพื่อสร้างความตระหนักรู้และพัฒนาศักยภาพบุคลากรในเรื่องธนาคารเพื่อความยั่งยืนให้แก่ผู้บริหารระดับสูงและพนักงานของสถาบันการเงินอย่างต่อเนื่องอีกด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
8911 | การกำหนดราคาอ้อยขั้นสุดท้ายและผลตอบแทนการผลิตและจำหน่ายน้ำตาลทรายขั้นสุดท้าย ฤดูการผลิตปี 2562/2563 | อก. | 15/02/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการกำหนดราคาอ้อยขั้นสุดท้ายและผลตอบแทนการผลิตและจำหน่ายน้ำตาลทรายขั้นสุดท้าย
ฤดูการผลิตปี ๒๕๖๒/๒๕๖๓ เป็นรายเขต ๙ เขต
โดยมีอัตราเฉลี่ยทั่วประเทศในอัตราตันอ้อยละ ๘๓๓.๒๒ บาท ณ ระดับความหวานที่ ๑๐ ซี.ซี.เอส.
และกำหนดอัตราขึ้น/ลงของราคาอ้อยเฉลี่ยทั่วประเทศเท่ากับ ๔๙.๙๙ บาท ต่อ ๑ หน่วย
ซี.ซี.เอส และผลตอบแทนการผลิตและจำหน่ายน้ำตาลทรายขั้นสุดท้ายเฉลี่ยทั่วประเทศ
ฤดูการผลิตปี ๒๕๖๒/๒๕๖๓ เท่ากับ ๓๕๗.๐๙ บาทต่อตันอ้อย ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ
และให้กระทรวงอุตสาหกรรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นควรให้กระทรวงอุตสาหกรรม
โดยสำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย
ดำเนินการให้โรงงานน้ำตาลนำส่งเงินส่วนต่างระหว่างรายได้สุทธิและราคาอ้อยขั้นสุดท้าย
ฤดูการผลิตปี ๒๕๖๒/๒๕๖๓ ให้กับกองทุนอ้อยและน้ำตาลทราย ตามมาตรา ๕๗
แห่งพระราชบัญญัติอ้อยและน้ำตาลทราย พ.ศ. ๒๕๒๗ เพื่อรักษาเสถียรภาพของอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทราย
และข้อสังเกตของกระทรวงการต่างประเทศเกี่ยวกับผลกระทบต่อพันธกรณีภายใต้องค์การการค้าโลก
(WTO)
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
8912 | ภาวะเศรษฐกิจไทยไตรมาสที่สี่ของปี 2563 ทั้งปี 2563 และแนวโน้มปี 2564 | นร.11 | 15/02/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานภาวะเศรษฐกิจไทยไตรมาสที่สี่ของปี
๒๕๖๓ ทั้งปี ๒๕๖๓ และแนวโน้มปี ๒๕๖๔
ตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑. เศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่สี่ของปี
๒๕๖๓ ลดลงร้อยละ ๔.๒ ปรับตัวดีขึ้นเมื่อเทียบกับการลดลงร้อยละ ๖.๔ ในไตรมาสที่สาม (%YoY) และเมื่อปรับผลของฤดูกาลออกแล้ว เศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่สี่ของปี ๒๕๖๓
ขยายตัวจากไตรมาสที่สามของปี ๒๕๖๓ ร้อยละ ๑.๓ (QoQ_SA) ๒. ด้านการใช้จ่าย
การอุปโภคบริโภคภาคเอกชนกลับมาขยายตัว การลงทุนภาคเอกชนและการส่งออกสินค้าลดลงในอัตราที่ชะลอลง
ขณะที่การใช้จ่ายและการลงทุนภาครัฐขยายตัว การส่งออกบริการลดลงต่อเนื่อง
ด้านการผลิต สาขาเกษตรกรรมกลับมาขยายตัว ส่วนการผลิตสาขาอุตสาหกรรม
สาขาที่พักแรมและบริการด้านอาหาร สาขาการขนส่งและสถานที่เก็บสินค้า
และสาขาการขายส่ง การขายปลีก การซ่อมยานยนต์และจักรยานยนต์ ลดลงในอัตราที่ชะลอลง ขณะที่สาขาไฟฟ้า
ก๊าซ และระบบปรับอากาศ ลดลงต่อเนื่อง ๓.
เศรษฐกิจไทยโดยรวมทั้งปี ๒๕๖๓ ลดลงร้อยละ ๖.๑ เทียบกับการขยายตัวร้อยละ ๒.๓ ในปี
๒๕๖๒ โดยมูลค่าการส่งออกสินค้า การอุปโภคบริโภคภาคเอกชน และการลงทุนรวมลดลงร้อยละ
๖.๖ ร้อยละ ๑.๐ และร้อยละ ๔.๘ ตามลำดับ อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ
-๐.๘ และดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุลร้อยละ ๓.๓ ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ๔. แนวโน้มเศรษฐกิจไทยปี
๒๕๖๔ คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ ๒.๕-๓.๕ โดยมีปัจจัยสนับสนุนสำคัญ ประกอบด้วย (๑)
แนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและปริมาณการค้าโลก (๒) แรงขับเคลื่อนจากการใช้จ่ายภาครัฐ
(๓) การกลับมาขยายตัวของอุปสงค์ภาคเอกชนในประเทศ และ (๔)
การปรับตัวตามฐานการขยายตัวที่ต่ำผิดปกติในปี ๒๕๖๓ ทั้งนี้
คาดว่ามูลค่าการส่งออกสินค้าในรูปดอลลาร์สหรัฐจะขยายตัวร้อยละ ๕.๘ การอุปโภคบริโภคภาคเอกชน
และการลงทุนรวมขยายตัวร้อยละ ๒.๐ และร้อยละ ๕.๗ ตามลำดับ อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ยอยู่ในช่วงร้อยละ
๑.๐-๒.๐ และบัญชีเดินสะพัดเกินดุลร้อยละ ๒.๓ ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP)
๕.
ประเด็นการบริหารเศรษฐกิจในปี ๒๕๖๔ ควรให้ความสำคัญกับ (๑) การควบคุมการแพร่ระบาดและการป้องกันการกลับมาระบาดรุนแรงภายในประเทศ
(๒) การรักษาบรรยากาศทางการเมืองภายในประเทศ (๓)
การดูแลภาคเศรษฐกิจที่ยังมีข้อจำกัดในการฟื้นตัว (๔)
การรักษาแรงขับเคลื่อนการขยายตัวทางเศรษฐกิจจากการใช้จ่ายและการลงทุนภาครัฐ (๕)
การขับเคลื่อนการส่งออกสินค้าเพื่อสร้างรายได้เงินตราต่างประเทศ (๖)
การส่งเสริมการลงทุนภาคเอกชน (๗)
การเตรียมความพร้อมสำหรับการเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ (๘)
การเตรียมมาตรการรองรับความเสี่ยงจากสถานการณ์ภัยแล้งและการดูแลรายได้เกษตรกร และ
(๙) การติดตามและเตรียมการรองรับความเสี่ยงจากความผันผวนในระบบเศรษฐกิจและการเงินโลก
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
8913 | รายงานผลการดำเนินงานประชาสัมพันธ์ของโฆษกกระทรวง โฆษกประจำรองนายกรัฐมนตรี และผลการดำเนินงานประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อของกรมประชาสัมพันธ์ ประจำเดือนตุลาคม - ธันวาคม 2563 | นร.02 | 15/02/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินงานประชาสัมพันธ์ของโฆษกกระทรวง
โฆษกประจำรองนายกรัฐมนตรี
และผลการดำเนินงานประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อของกรมประชาสัมพันธ์
ประจำเดือนตุลาคม-ธันวาคม ๒๕๖๓
ซึ่งในครั้งนี้ได้มีการประชาสัมพันธ์และชี้แจงในประเด็น (๑)
มาตรการแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของโควิด-๑๙ ระลอกใหม่ (๒)
การเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์
น้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณและแสดงความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์
รวมถึงประโยชน์ที่ประชาชนได้รับจากพระราชดำริ และ (๓) มาตรการการแก้ไขปัญหาฝุ่น PM2.5 ตามที่คณะกรรมการประชาสัมพันธ์แห่งชาติเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
8914 | แต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการในคณะกรรมการองค์การสะพานปลา (1. นายประยูร ดำรงชิตานนท์) | กษ. | 09/02/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการในคณะกรรมการองค์การสะพานปลา
รวม ๗ คน เนื่องจากประธานกรรมการและกรรมการเดิมได้ดำรงตำแหน่งครบวาระสองปี
โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๔) เป็นต้นไป
ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ดังนี้ ๑. นายประยูร ดำรงชิตานนท์ ประธานกรรมการ ๒. นายอำพันธุ์ เวฬุตันติ กรรมการ (ผู้แทนกระทรวงเกษตรและสหกรณ์) ๓. นางรัชดาภรณ์ ราชเทวินทร์ กรรมการ ๔. นายสมิทธิ ดารากร ณ อยุธยา กรรมการ ๕. นายภัทระ คำพิทักษ์ กรรมการ ๖. นางสาวจูอะดี พงศ์มณีรัตน์ กรรมการ ๗. นางสาวชุติมา ศรีปราขญ์ กรรมการ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
8915 | แต่งตั้งกรรมการอื่นในคณะกรรมการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (1. นายประพันธ์ เทียนวิหาร) | กษ. | 09/02/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งกรรมการอื่นในคณะกรรมการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม
จำนวน ๙ คน เนื่องจากกรรมการอื่นเดิมได้ดำรงตำแหน่งครบวาระสองปี ทั้งนี้
ให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๔) ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ดังนี้ ๑. นายประพันธ์ เทียนวิหาร ผู้แทนเกษตรกร ๒. นายเด่นณรงค์ ธรรมมา ผู้แทนเกษตรกร ๓. นายมีชัย ดีมะการ ผู้แทนเกษตรกร ๔. นายบุญช่วย มหิวรรณ ผู้แทนเกษตรกร ๕. นายเผด็จ ดิฐษดี ผู้แทนเกษตรกร ๖. นายสุวิทย์ ไทยเอียด ผู้แทนเกษตรกร ๗. นายสรรเสริญ อัจจุตมานัส ผู้ทรงคุณวุฒิ ๘. นายเกษมสันต์ จิณณวาโส ผู้ทรงคุณวุฒิ ๙. นายวีระชัย นาควิบูลย์วงศ์ ผู้ทรงคุณวุฒิ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
8916 | รายงานผลการดำเนินการตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและพิจารณาคดีปกครอง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ของสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา (วุฒิสภา) | สว. | 09/02/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง
(ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ของสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา โดยสำนักงานศาลปกครอง
(คณะกรรมการบริหารศาลปกครอง)
ได้มีมติมอบหมายให้คณะอนุกรรมการบริหารศาลปกครองด้านกฎหมายและระเบียบและคณะอนุกรรมการบริหารศาลปกครองศึกษาแนวทางเร่งรัดในการพิจารณาคดีของศาลปกครองนำข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ
ในประเด็นเกี่ยวกับการพิจารณาแก้ไขเพิ่มเติมมาตรา ๖๘
แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒
และการออกระเบียบเกี่ยวกับการกำหนดเบี้ยประชุมสำหรับข้าราชการตุลาการศาลปกครองซึ่งเข้าร่วมการประชุมตุลาการในศาลปกครองสูงสุด
รวมทั้งการบริหารจัดการคดีที่ค้างการพิจารณาให้เสร็จไปโดยเร็ว
ไปพิจารณาดำเนินการให้เป็นไปตามข้อสังเกตดังกล่าว
ส่วนข้อสังเกตที่เกี่ยวข้องกับการเสนอผลการดำเนินงานประจำปีของสำนักงานศาลปกครองที่ต้องเสนอต่อวุฒิสภา
ควรกำหนดหัวข้อการประเมินผลสัมฤทธิ์จากการเบิกจ่ายเบี้ยประชุมสำหรับข้าราชการตุลาการศาลปกครองซึ่งเข้าร่วมประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุด
สำนักงานศาลปกครองจะได้ดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ตามที่สำนักงานศาลปกครองเสนอ
และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรและสำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาทราบต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
8917 | รายงานผลการดำเนินการตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ของวุฒิสภา | สว. | 09/02/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
(ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ของวุฒิสภา
โดยสำนักงานศาลยุติธรรมได้ประชุมร่วมกับผู้แทนสำนักงานศาลปกครอง ผู้แทนกระทรวงกลาโหม
และผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้ว
ซึ่งผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับประเด็นข้อสังเกตและเห็นด้วยกับข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ
และรับที่จะดำเนินการในเรื่องดังกล่าวให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อยและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
โดยคำนึงถึงประโยชน์แห่งความยุติธรรมและการอำนวยความสะดวกแก่ประชาชนเป็นหลัก
ตามที่สำนักงานศาลยุติธรรมเสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาทราบต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
8918 | รายงานผลการดำเนินการตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและพิจารณาคดีปกครอง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ของสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา (สภาผู้แทนราษฎร) | สผ. | 09/02/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง
(ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ของสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา โดยสำนักงานศาลปกครอง
(คณะกรรมการบริหารศาลปกครอง)
ได้มีมติมอบหมายให้คณะอนุกรรมการบริหารศาลปกครองด้านกฎหมายและระเบียบและคณะอนุกรรมการบริหารศาลปกครองศึกษาแนวทางเร่งรัดในการพิจารณาคดีของศาลปกครองนำข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ
ในประเด็นเกี่ยวกับการพิจารณาแก้ไขเพิ่มเติมมาตรา ๖๘
แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒
และการออกระเบียบเกี่ยวกับการกำหนดเบี้ยประชุมสำหรับข้าราชการตุลาการศาลปกครองซึ่งเข้าร่วมการประชุมตุลาการในศาลปกครองสูงสุด
รวมทั้งการบริหารจัดการคดีที่ค้างการพิจารณาให้เสร็จไปโดยเร็ว
ไปพิจารณาดำเนินการให้เป็นไปตามข้อสังเกตดังกล่าว
ส่วนข้อสังเกตที่เกี่ยวข้องกับการเสนอผลการดำเนินงานประจำปีของสำนักงานศาลปกครองที่ต้องเสนอต่อวุฒิสภา
ควรกำหนดหัวข้อการประเมินผลสัมฤทธิ์จากการเบิกจ่ายเบี้ยประชุมสำหรับข้าราชการตุลาการศาลปกครองซึ่งเข้าร่วมประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุด
สำนักงานศาลปกครองจะได้ดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ตามที่สำนักงานศาลปกครองเสนอ
และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรและสำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาทราบต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
8919 | รายงานประจำปี 2562 ของสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) | สธ. | 09/02/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานประจำปี
๒๕๖๒ ชองสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) ประกอบด้วย ผลการดำเนินงานที่เด่น
และงบแสดงฐานะการเงินและงบแสดงผลการดำเนินงานทางการเงิน ณ วันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๖๒
ซึ่งสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินได้ตรวจสอบรับรองแล้วเห็นว่า ถูกต้องตามที่ควรในสาระสำคัญตามมาตรฐานและนโยบายการบัญชีภาครัฐที่กระทรวงการคลังกำหนด
ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
8920 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการว่าด้วยการซื้อหุ้นคืน การจำหน่ายหุ้นที่ซื้อคืน และการตัดหุ้นที่ซื้อคืนของบริษัท (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | พณ. | 09/02/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการว่าด้วยการซื้อหุ้นคืน
การจำหน่ายหุ้นที่ซื้อคืน และการตัดหุ้นที่ซื้อคืนของบริษัท (ฉบับที่ ..) พ.ศ.
.... มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการว่าด้วยการซื้อหุ้นคืน
การจำหน่ายหุ้นที่ซื้อคืน และการตัดหุ้นที่ซื้อคืนของบริษัท พ.ศ. ๒๕๔๔
โดยปรับปรุงหลักเกณฑ์และวิธีการเกี่ยวกับการซื้อหุ้นคืน
ข้อกำหนดเกี่ยวกับระยะเวลาที่บริษัทต้องเปิดเผยข้อมูลโครงการซื้อหุ้นคืนแก่สาธารณะ
ข้อกำหนดเกี่ยวกับระยะเวลาที่บริษัทจะทำโครงการซื้อหุ้นคืนครั้งใหม่
และข้อกำหนดเกี่ยวกับระยะเวลาที่บริษัทจะจำหน่ายหุ้นที่ซื้อคืนของบริษัทมหาชนจำกัด
เพื่อให้บริษัทสามารถบริหารสภาพคล่องทางการเงินให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา
แล้วดำเนินการต่อไปได้
|