ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 442 จากทั้งหมด 6199 หน้า แสดงรายการที่ 8821 - 8840 จากข้อมูลทั้งหมด 123972 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
8821 | ร่างกฎกระทรวงการประกาศกำหนดตำรับยาแผนไทยทั่วไปหรือตำราการแพทย์แผนไทยทั่วไป พ.ศ. .... | สธ. | 02/03/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงการประกาศกำหนดตำรับยาแผนไทยทั่วไปหรือตำราการแพทย์แผนไทยทั่วไป
พ.ศ. ....
มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงกฎกระทรวงการประกาศกำหนดตำรับยาแผนไทยทั่วไปหรือตำราการแพทย์แผนไทยทั่วไป
พ.ศ. ๒๕๕๘
โดยแก้ไขหลักเกณฑ์การพิจารณาประกาศกำหนดตำรับยาแผนไทยทั่วไปไม่ให้ผูกโยงกับตำรับยาแผนไทยซึ่งเป็นยาสามัญประจำบ้านในส่วนของยาแผนโบราณตามกฎหมายว่าด้วยยา
หรือเป็นตำรับยาแผนไทยที่ใช้ในงานสาธารณสุขมูลฐาน ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ
และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
8822 | ให้กรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีคงอยู่ปฏิบัติหน้าที่ต่ออีกหนึ่งวาระ | นร.04 | 02/03/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้ นายประพนธ์ ตั้งศรีเกียรติกุล
กรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี ซี่งจะครบวาระการดำรงตำแหน่งหนึ่งปี ในวันที่ ๒๓ มีนาคม
๒๕๖๔ คงอยู่ปฏิบัติหน้าที่ต่ออีกหนึ่งวาระ ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ ๒๔ มีนาคม ๒๕๖๔
ตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
8823 | ร่างพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยนเรศวร พ.ศ. …. | อว. | 02/03/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยนเรศวร พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยนเรศวร
พ.ศ. ๒๕๓๓ และที่แก้ไขเพิ่มเติม
โดยเปลี่ยนสถานะของมหาวิทยาลัยนเรศวรที่เป็นส่วนราชการ
เป็นมหาวิทยาลัยที่มีฐานะเป็นหน่วยงานในกำกับของรัฐ
(สถาบันอุดมศึกษาในกำกับของรัฐ) ที่ไม่เป็นส่วนราชการ เพื่อปรับปรุงการศึกษาระดับอุดมศึกษาให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคม
และเป็นไปตามแนวทางการปฏิรูปมหาวิทยาลัยให้เป็นมหาวิทยาลัย ๔.๐ และนโยบายของรัฐบาล
ตามที่กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมเสนอ
และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้พิจารณาในประเด็นตามข้อสังเกตของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาที่เห็นว่า
(๑) การกำหนดให้อธิการบดีเลือกผู้ดำรงตำแหน่งรองอธิการบดีเป็นกรรมการสภามหาวิทยาลัย
อาจไม่สอดคล้องกับมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๙ สิงหาคม ๒๕๔๖ (๒) วาระการดำรงตำแหน่งของนายกสภามหาวิทยาลัย
กรรมการสภามหาวิทยาลัย ผู้ทรงคุณวุฒิ
และกรรมการสภามหาวิทยาลัยประเภทตัวแทนผู้บริหารและคณาจารย์ที่กำหนดไว้คราวละสองปีอาจไม่เหมาะสม
จึงสมควรกำหนดให้นายกสภามหาวิทยาลัยและกรรมการสภามหาวิทยาลัยดังกล่าวมีวาระการดำรงตำแหน่งคราวละสามปีหรือสี่ปีเช่นเดียวกับมหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐอื่น
ๆ และ (๓) มีการกำหนดให้แต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นหลายคณะโดยไม่มีการกำหนดหน้าที่และอำนาจไว้อย่างชัดเจน
ซึ่งไม่สอดคล้องกับพระราชบัญญัติหลักเกณฑ์การจัดทำร่างกฎหมายและการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย
พ.ศ. ๒๕๖๒ จึงไม่ควรบัญญัติมาตราเฉพาะกำหนดให้มีคณะกรรมการดังกล่าว
และให้รับความเห็นเพิ่มเติมบางประการของสำนักงบประมาณ สำนักงาน ก.พ. และสำนักงาน
ก.พ.ร. ไปประกอบการพิจารณา แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา
ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรต่อไป ๒. ให้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์
วิจัยและนวัตกรรมรับความเห็นของสำนักงบประมาณ สำนักงาน ก.พ.
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น กรณีเงินรายได้ของมหาวิทยาลัยนเรศวรที่ไม่ต้องนำส่งคืนคลังเป็นรายได้แผ่นดิน
เห็นควรที่จะกำหนดให้มีการวางหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการเกี่ยวกับการเบิกเงิน
การรับเงินและการเก็บรักษาเงินรายได้ที่ชัดเจนด้วยความระมัดระวังและรอบคอบอย่างต่อเนื่อง
มีการบริหารความเสี่ยงที่เหมาะสม มีความโปร่งใส และตรวจสอบได้
และกรณีค่าใช้จ่ายที่อาจเกิดขึ้นจากการเปลี่ยนสถานภาพของข้าราชการและลูกจ้างประจำเป็นพนักงานมหาวิทยาลัย
หรือลูกจ้างของมหาวิทยาลัยในระยะแรกของการเปลี่ยนผ่าน
ควรกำหนดบทเฉพาะกาลให้ชัดเจนเกี่ยวกับเงื่อนเวลาและภาระของงบประมาณที่เกิดขึ้นให้ใช้จ่ายจากเงินรายได้ของมหาวิทยาลัยเป็นลำดับแรก
รวมทั้งเห็นควรมุ่งเน้นการจัดการศึกษาในสาขาที่สถาบันมีศักยภาพและเป็นจุดเด่นหรือมีความเชี่ยวชาญ
และควรให้ความสำคัญกับกระบวนการการคัดเลือกผู้บริหารและองค์ประกอบของสภามหาวิทยาลัยและคณะกรรมการต่าง
ๆ ให้มีความโปร่งใส เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง
กรอบระยะเวลา และกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวตามที่กระทรวงการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมเสนอ |
|||||||||||||||||||||||||||||||||
8824 | การประชาสัมพันธ์เผยแพร่ผลงานของหน่วยงานและของรัฐบาล | นร. | 02/03/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีพิจารณาแล้วเห็นว่า
ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๒๐ ตุลาคม ๒๕๖๓ (เรื่อง
การประชาสัมพันธ์เผยแพร่ผลงานของหน่วยงานและของรัฐบาล)
ให้ทุกส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐนำเสนอข้อมูลผลการปฏิบัติงานของหน่วยงานในเรื่องต่าง
ๆ ที่แสดงให้เห็นถึงผลลัพธ์ ผลสัมฤทธิ์ หรือประโยชน์ที่ประชาชนได้รับที่ชัดเจนและเป็นรูปธรรม
โดยอาจจัดทำในรูปแบบของวีดิทัศน์หรือสื่อรูปแบบอื่น ๆ ที่มีความทันสมัย
มีสาระสำคัญที่กระชับ เป็นที่น่าสนใจ และเข้าใจง่าย
เผยแพร่ผ่านช่องทางการสื่อสารต่าง ๆ
เพื่อสร้างการรับรู้ที่ถูกต้องแก่ประชาชนกลุ่มเป้าหมายอย่างรวดเร็วและเท่าทันสถานการณ์มากขึ้น
นั้น
ให้ทุกส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐเร่งรัดการดำเนินการดังกล่าวข้างต้นอย่างต่อเนื่อง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลงานด้านการแก้ไขปัญหาสำคัญ การปรับปรุง พัฒนา
การอำนวยความสะดวกและให้บริการประชาชนในเรื่องต่าง ๆ ตามยุทธศาสตร์ชาติและแผนการปฏิรูปประเทศ
ทั้งนี้ ให้เผยแพร่ข้อมูลผลงานดังกล่าวผ่านช่องทางการสื่อสารต่าง ๆ
ตามความเหมาะสมเพื่อให้สาธารณชนได้ทราบอย่างถูกต้องและทั่วถึงต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
8825 | ขออนุมัติเปลี่ยนแปลงสถานที่ก่อสร้างรายการที่ได้รับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 รายการก่อสร้างอาคารเภสัชกรรม ทันตกรรม อำนวยการ เป็นอาคาร คสล. 3 ชั้น พื้นที่ใช้สอยประมาณ 2,250 ตารางเมตร (โครงสร้างต้านแผ่นดินไหว) โรงพยาบาลลำพูน ตำบลต้นธง อำเภอเมืองลำพูน จังหวัดลำพูน 1 หลัง | สธ. | 02/03/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. อนุมัติเปลี่ยนแปลงสถานที่ก่อสร้างรายการที่ได้รับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๔ จากการก่อสร้างอาคารเภสัชกรรม ทันตกรรม อำนวยการ
เป็นอาคารคอนกรีตเสริมเหล็ก (คสล.) ๓ ชั้น พื้นที่ใช้สอยประมาณ ๒,๒๕๐ ตารางเมตร
(โครงสร้างต้านแผ่นดินไหว) โรงพยาบาลลำพูน ตำบลต้นธง อำเภอเมืองลำพูน จังหวัดลำพูน
(รพ.ลำพูน ต.ต้นธง) ๑ หลัง เป็นการก่อสร้างอาคารเภสัชกรรม ทันตกรรม อำนวยการ
เป็นอาคาร คสล. ๓ ชั้น พื้นที่ใช้สอยประมาณ ๒,๒๕๐ ตารางเมตร
(โครงสร้างต้านแผ่นดินไหว) โรงพยาบาลลำพูน ตำบลเวียงยอง อำเภอเมืองลำพูน
จังหวัดลำพูน (รพ.ลำพูน ต.เวียงยอง) ๑ หลัง ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ
และให้กระทรวงสาธารณสุขเร่งดำเนินการให้เป็นไปตามแผนงานก่อสร้างอาคารเภสัชกรรม
ทันตกรรม อำนวยการ เป็นอาคาร คสล. ๓ ชั้น พื้นที่ใช้สอยประมาณ ๒,๒๕๐ ตารางเมตร (โครงสร้างต้านแผ่นดินไหว) โรงพยาบาลลำพูน
ตำบลเวียงยอง อำเภอเมืองลำพูน จังหวัดลำพูน ๑ หลัง
โดยให้ความสำคัญกับขั้นตอนและกระบวนการคัดเลือกผู้รับจ้างตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
เพื่อให้ประชาชนในพื้นที่สามารถเข้าถึงบริการสุขภาพระดับปฐมภูมิได้อย่างสะดวก
รวดเร็ว และได้มาตรฐาน ทั้งนี้ ให้รับความเห็นของกระทรวงการคลังที่เห็นควรให้ความสำคัญในการควบคุม
กำกับ ดูแล และดำเนินการให้เป็นไปตามระเบียบและข้อบังคับที่เกี่ยวข้องเพื่อให้การใช้จ่ายงบประมาณมีความคุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุด
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
๒. ในการริเริ่มแผนงาน/โครงการต่าง ๆ
ในระยะต่อไป
ให้กระทรวงสาธารณสุขตรวจสอบความเหมาะสมและความพร้อมของพื้นที่ดำเนินโครงการ
ตลอดจนความสอดคล้องกับแผนแม่บทหรือแผนพัฒนาพื้นที่ของโรงพยาบาลแต่ละแห่งอย่างละเอียดรอบคอบ
เพื่อให้การดำเนินโครงการเป็นไปด้วยความเรียบร้อย ถูกต้อง
และสอดคล้องกับทิศทางการพัฒนาพื้นที่การให้บริการของโรงพยาบาลแต่ละแห่งในภาพรวมตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๑ มีนาคม ๒๕๖๐ (เรื่อง
การพิจารณาและตรวจสอบความพร้อมในการดำเนินการตามแผนงาน/โครงการของส่วนราชการและการตรวจสอบข้อมูลผู้ละทิ้งงานราชการ)
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
8826 | การเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมรัฐมนตรีสารนิเทศอาเซียน ครั้งที่ 15 การประชุมรัฐมนตรีสารนิเทศอาเซียนกับประเทศคู่เจรจา+3 ครั้งที่ 6 และการประชุมที่เกี่ยวข้อง ผ่านระบบการประชุมทางไกล | นร. | 02/03/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบให้สำนักนายกรัฐมนตรี
(กรมประชาสัมพันธ์) จัดการประชุมรัฐมนตรีสารนิเทศอาเซียน ครั้งที่ ๑๕
การประชุมรัฐมนตรีสารนิเทศอาเซียนกับประเทศคู่เจรจา+๓ ครั้งที่ ๖
และการประชุมที่เกี่ยวข้อง ที่ไทยเป็นเจ้าภาพ ผ่านระบบการประชุมทางไกล ในวันที่ ๑๐
และ ๑๒ มีนาคม ๒๕๖๔ โดยมีรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี
หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นประธานการประชุมในระดับรัฐมนตรี และเห็นชอบต่อร่างแถลงการณ์ร่วมรัฐมนตรีสารนิเทศอาเซียน
(Joint
Media Statement) มีสาระสำคัญเป็นการแสดงเจตนารมณ์ร่วมกันในระดับรัฐมนตรีอาเซียนเกี่ยวกับการรับมือสถานการณ์โควิด-๑๙
ของอาเซียน การส่งเสริมการเข้าถึงสื่อดิจิทัล การพัฒนาทักษะดิจิทัล
การสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับประชาคมอาเซียน และรับทราบผลการดำเนินงานของคณะทำงานต่าง
ๆ และความร่วมมือกับประเทศคู่เจรจา โดยอนุมัติให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี
ในฐานะรัฐมนตรีสารนิเทศอาเซียนของไทยหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายร่วมให้การรับรองร่างแถลงการณ์ร่วมฯ
ในที่ประชุมรัฐมนตรีสารนิเทศอาเซียน ครั้งที่ ๑๕ ผ่านระบบการประชุมทางไกล ในวันที่
๑๒ มีนาคม ๒๕๖๔ ตามที่สำนักนายกรัฐมนตรี (กรมประชาสัมพันธ์) เสนอ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างแถลงการณ์ร่วมฯ
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้สำนักนายกรัฐมนตรี (กรมประชาสัมพันธ์) ดำเนินการได้
โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย ๒. ให้สำนักนายกรัฐมนตรี
(กรมประชาสัมพันธ์) ได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔
พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
8827 | มติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ครั้งที่ 3/2563 (ครั้งที่ 152) | พน. | 02/03/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
รับทราบมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ครั้งที่ ๓/๒๕๖๓ (ครั้งที่ ๑๕๒)
เมื่อวันที่ ๒๕ ธันวาคม ๒๕๖๓ จำนวน ๒ เรื่อง ได้แก่
แนวทางการส่งเสริมการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนหลังคา (โครงการโซลาร์ภาคประชาชน
ระยะที่ ๑) และแนวทางการกำหนดมาตรการช่วยเหลือค่าไฟฟ้าสำหรับประชาชน
ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ และให้กระทรวงพลังงาน กระทรวงมหาดไทย
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ
และข้อสังเกตของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เช่น (๑)
การใช้ที่ราชพัสดุเพื่อจัดหาประโยชน์ ให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ
และหลักเกณฑ์เกี่ยวกับที่ราชพัสดุที่มีอยู่ในปัจจุบัน (๒)
ควรให้ความรู้แก่ประชาชนเกี่ยวกับการใช้งานและดูแลรักษาระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์
และ (๓)
ควรกำหนดแหล่งเงินสนับสนุนหรือชดเชยการดำเนินมาตรการช่วยเหลือค่าไฟฟ้าสำหรับประชาชนให้ชัดเจน
เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๒. ให้กระทรวงพลังงาน
คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องเพื่อกำหนดรายละเอียดคุณสมบัติของผู้เข้าร่วมโครงการโซลาร์ภาคประชาชน
ระยะที่ ๑ ในแต่ละกลุ่มเป้าหมาย การคัดเลือก ขั้นตอนดำเนินการ
และกรอบระยะเวลาดำเนินงานให้ชัดเจน โดยคำนึงถึงกฎหมาย ระเบียบ หลักเกณฑ์
และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างครบถ้วน และเร่งดำเนินการประชาสัมพันธ์โครงการฯ
ให้ประชาชนทราบอย่างถูกต้องและทั่วถึง
เพื่อส่งเสริมให้การผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนหลังคาเกิดผลเป็นรูปธรรมโดยเร็ว
รวมทั้งให้ติดตามและประเมินผลการดำเนินโครงการฯ อย่างเป็นระบบ
โดยให้ความสำคัญกับการวิเคราะห์ปัญหาและอุปสรรคที่อาจเกิดขึ้นในการดำเนินโครงการฯ
เพื่อนำข้อมูลมาพิจารณาประกอบการดำเนินโครงการฯ ในระยะต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||||||||
8828 | ขอรับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการบรรเทา แก้ไขปัญหา และเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 สำหรับโครงการจัดหาวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) สำหรับบริการประชากรในประเทศไทย เพิ่มเติม จำนวน 35 ล้านโดส | สธ. | 02/03/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. รับทราบรายละเอียดโครงการจัดหาวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
2019 (COVID-19)
สำหรับบริการประชากรในประเทศไทย เพิ่มเติม จำนวน ๓๕ ล้านโดส
กรอบวงเงินจำนวน ๖,๓๘๗,๒๘๕,๙๐๐ บาท
และอนุมัติรับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔ งบกลาง
รายการค่าใช้จ่ายในการบรรเทา แก้ไขปัญหา
และเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ กรอบวงเงิน
๖,๓๘๗,๒๘๕,๙๐๐ บาท สำหรับโครงการจัดหาวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19)
สำหรับบริการประชากรในประเทศไทย เพิ่มเติม จำนวน ๓๕ ล้านโดส
ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ ทั้งนี้
ให้กระทรวงสาธารณสุขเร่งดำเนินการตามแผนกลยุทธ์การบริหารจัดการการให้วัคซีนโควิด
19 ในประเทศไทย รวมทั้งกำกับติดตามการดำเนินการที่เกี่ยวข้องให้เป็นไปอย่างโปร่งใส
และตรวจสอบได้ เพื่อให้คนไทยทุกคนได้รับวัคซีนอย่างทั่วถึงมีประสิทธิภาพสูงสุด ๒. ให้กระทรวงสาธารณสุขได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี)
ในการเสนอเรื่องนี้ |
|||||||||||||||||||||||||||||||||
8829 | ขออนุมัติเงินกู้เพื่อเสริมสภาพคล่อง ประจำปีงบประมาณ 2564 ของการยาสูบแห่งประเทศไทย | กค. | 02/03/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบให้การยาสูบแห่งประเทศไทยเปิดวงเงินกู้ระยะสั้นในรูป
Credit
Line โดยวิธีกู้เบิกเงินเกินบัญชี (Overdraft : OD) วงเงิน ๑,๕๐๐ ล้านบาท
เพื่อเสริมสภาพคล่องในการดำเนินงานและรองรับค่าใช้จ่ายต่าง ๆ เช่น
ค่าแสตมป์ยาสูบและภาระภาษีต่าง ๆ ค่าซื้อใบยาและวัตถุดิบในการผลิตบุหรี่ เป็นต้น
ทั้งนี้ วงเงินกู้ดังกล่าวอยู่ภายใต้แผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๔
แล้ว ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ทั้งนี้
ให้กระทรวงการคลังและการยาสูบแห่งประเทศไทยรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้การยาสูบแห่งประเทศไทยปฏิบัติตามกฎหมาย
และอยู่ภายใต้วัตถุประสงค์และอำนาจหน้าที่ของหน่วยงาน
และควรเบิกใช้เงินกู้เท่าที่จำเป็น
โดยคำนึงถึงความสามารถในการชำระหนี้และความยั่งยืนทางการคลัง
รวมทั้งให้กระทรวงการคลังกำกับดูแลการดำเนินงานของการยาสูบแห่งประเทศไทยอย่างใกล้ชิดเพื่อให้เป็นไปตามแผนยุทธศาสตร์ขององค์กร
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๒. ให้กระทรวงการคลัง (การยาสูบแห่งประเทศไทย)
รับไปพิจารณากำหนดแนวทางการปรับปรุงการดำเนินกิจการของการยาสูบแห่งประเทศไทยให้มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลมากยิ่งขึ้น
ทั้งในด้านระบบบริหารจัดการ สินค้าและผลิตภัณฑ์ เพื่อให้สามารถลดรายจ่าย
เพิ่มรายได้ รวมทั้งสอดคล้องกับสภาวการณ์ด้านยาสูบในปัจจุบัน
๓. ให้กระทรวงการคลัง กระทรวงสาธารณสุข
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาดำเนินการตามหน้าที่และอำนาจเพื่อส่งเสริมสนับสนุนให้เกษตรกรที่เพาะปลูกยาสูบปรับเปลี่ยนไปเพาะปลูกพืชชนิดอื่น
ปรับเปลี่ยนไปประกอบอาชีพอื่นที่มีศักยภาพมากกว่าแทน
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
8830 | การดำเนินงานโครงการพัฒนากำลังคนด้านวิศวกรรมศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมสนับสนุนการลงทุนและเพิ่มขีดความสามารถภาคอุตสาหกรรมในประเทศและภูมิภาค (โครงการจัดตั้งสถาบันไทยโคเซ็น) | ศธ. | 02/03/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. อนุมัติให้กระทรวงศึกษาธิการ
โดยสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ
หรือโอนงบประมาณรายจ่าย หรือโอนเงินจัดสรร หรือเปลี่ยนแปลงเงินจัดสรร
ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔ แล้วแต่กรณี ตามระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณ พ.ศ.
๒๕๖๒ หรือใช้จ่ายจากเงินนอกงบประมาณหรือเงินอื่นใดที่มีอยู่หรือนำมาใช้จ่ายได้ตามขั้นตอนต่อไป
เพื่อชำระค่าใช้จ่ายในการวางระบบการศึกษาตามแนวทางโคเซ็นในประเทศไทย ของสถาบันโคเซ็นแห่งสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบังคืนให้กับสถาบันเทคโนโลยีแห่งชาติญี่ปุ่น
(NIT)
ประเทศญี่ปุ่น จำนวน ๒๔.๕๐ ล้านบาท ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. เห็นชอบในหลักการให้สำนักงานปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมเป็นหน่วยงานรับผิดชอบโครงการฯ ร่วมกับ สพฐ.
และสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงศึกษาธิการ
สำหรับค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการฯ รายจ่ายประจำปีเพื่อสนับสนุนการจัดการศึกษา
และรายจ่ายลงทุน
ของสถาบันโคเซ็นแห่งสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง
และสถาบันโคเซ็นแห่งมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี
เห็นควรให้สำนักงานปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์
วิจัยและนวัตกรรมเป็นหน่วยรับงบประมาณ และขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๕ ตามขั้นตอนต่อไป ยกเว้นกรณีรายการผูกพันข้ามปีงบประมาณที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่
๓ มีนาคม ๒๕๖๓ อนุมัติให้ สพฐ. ก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณไว้แล้ว เห็นควรให้
สพฐ. เป็นหน่วยรับงบประมาณต่อไปจนแล้วเสร็จ ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๓.
ในส่วนของการยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ภาษีเงินได้นิติบุคคล
และภาษีมูลค่าเพิ่ม ให้กระทรวงศึกษาธิการดำเนินการตามความเห็นของกระทรวงการคลัง โดยกรณีการขอยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
หากครูชาวญี่ปุ่นเข้ามาสอนในประเทศโดยมีระยะเวลาไม่เกิน ๒ ปี จะได้รับยกเว้นภาษีเงินได้ในประเทศไทย
ตามอนุสัญญาภาษีซ้อน
เช่นเดียวกันกับหลักเกณฑ์การยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับครูชาวต่างชาติอื่นซึ่งเป็นผู้มีถิ่นที่อยู่ในประเทศที่มีอนุสัญญาเพื่อการเว้นการเก็บภาษีซ้อนกับประเทศไทย
กรณีการขอยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล NIT ประเทศญี่ปุ่น ไม่เข้าลักษณะกิจการซึ่งดำเนินการเป็นทางค้าหรือหากำไรโดยรัฐบาลต่างประเทศ
องค์การของรัฐบาลต่างประเทศ และไม่อยู่ในความหมายของ
“บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล” ตามมาตรา ๓๙ แห่งประมวลรัษฎากร
จึงไม่มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้นิติบุคคล และกรณีการขอยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม สพฐ.
ในฐานะผู้จ่ายเงินค่าบริการมีหน้าที่นำส่งเงินภาษีมูลค่าเพิ่มที่ NIT ประเทศญี่ปุ่น มีหน้าที่ต้องเสีย ตามมาตรา ๘๓/๖ แห่งประมวลรัษฎากร ๔.
ให้กระทรวงศึกษาธิการและกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์
วิจัยและนวัตกรรมรับความเห็นของสำนักงาน ก.พ. และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า
กรณีมีการปรับปรุงเรื่องต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับการบริหารจัดการโครงการฯ
ควรเป็นไปตามเจตนารมณ์และวัตถุประสงค์ของโครงการฯ ที่กำหนดไว้
และกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมควรเร่งดำเนินการปรับโครงสร้างส่วนราชการ
พัฒนากลไกการประเมินผล ขีดความสามารถในการจัดการเรียนการสอน
และการบูรณาการการเรียนการสอนเข้ากับการวิจัยกับภาคอุตสาหกรรม
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||||||||
8831 | ผลการประชุมรัฐมนตรีหุ้นส่วนลุ่มน้ำโขง - สหรัฐฯ ครั้งที่ 1 | กต. | 02/03/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
รับทราบผลการประชุมรัฐมนตรีหุ้นส่วนลุ่มน้ำโขง-สหรัฐอเมริกา ครั้งที่ ๑
ผ่านระบบการประชุมทางไกล เมื่อวันที่ ๑๑ กันยายน ๒๕๖๓ โดยผลการประชุมฯ มีสาระสำคัญ
ประกอบด้วย (๑) การรับรองถ้อยแถลงร่วมรัฐมนตรีหุ้นส่วนลุ่มน้ำโขง-สหรัฐฯ
ซึ่งมีการเพิ่มประเด็นต่าง ๆ เช่น
การขยายสาขาความร่วมมือด้านการบริหารจัดการน้ำและทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน
และการบริจาคเงินของสหรัฐฯ จำนวนเงิน ๑๕๓.๖ ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
เพื่อดำเนินกิจกรรมและโครงการเพื่อประโยชน์ร่วมกันในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง (๒)
สาระสำคัญของถ้อยแถลงของผู้แทนประเทศต่าง ๆ และ (๓) ประเด็นที่ไทยให้ความสำคัญ
เช่น การส่งเสริมความเชื่อมโยงในทุกมิติ การสนับสนุนการดำเนินการภายใต้หุ้นส่วนพลังงานลุ่มน้ำโขง
ญี่ปุ่น-สหรัฐฯ
และการเร่งพัฒนาให้อนุภูมิภาคสามารถปรับตัวสู่ภาวะปกติใหม่และปกติต่อไป และมอบหมายส่วนราชการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง
ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
๒.
ให้กระทรวงการต่างประเทศและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า
กระทรวงการต่างประเทศและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรเร่งดำเนินการวิเคราะห์ผลกระทบของเหตุการณ์ทางการเมืองภายในประเทศเพื่อนบ้านที่อาจเกิดขึ้นต่อหุ้นส่วนลุ่มน้ำโขง-สหรัฐฯ
รวมทั้งผลกระทบต่อไทยในมิติต่าง ๆ เช่น การค้าชายแดน
การลงทุนของผู้ประกอบการไทยในประเทศเพื่อนบ้าน และการเคลื่อนย้ายแรงงานข้ามชาติที่อาจเพิ่มขึ้น
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||
8832 | ขออนุมัติขยายระยะเวลาการเช่า และเพิ่มกรอบวงเงินก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ ค่าเช่าอาคารเพื่อเป็นที่ทำการชั่วคราว ของสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ | นร.14 | 02/03/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติขยายระยะเวลาการเช่าอาคารที่ทำการชั่วคราว
จากเดิม ๓๐ เดือน เป็น ๓๖.๕ เดือน
และเพิ่มวงเงินก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณรายการค่าเช่าอาคารเพื่อเป็นที่ทำการชั่วคราวของสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ
จากวงเงินเดิม ๖๗,๔๐๒,๕๐๐ บาท เป็นวงเงิน ๘๒,๐๐๖,๔๐๐ บาท
ตามระเบียบว่าด้วยการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ ข้อ ๗ (๓)
โดยวงเงินค่าเช่าอาคารดังกล่าวที่เพิ่มขึ้น ให้สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติพิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ
ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔ โอนงบประมาณรายจ่าย หรือโอนเงินจัดสรร
หรือเปลี่ยนแปลงเงินจัดสรร แล้วแต่กรณี ตามระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณ พ.ศ.
๒๕๖๒ โดยให้สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติเร่งรัดการดำเนินงานก่อสร้างอาคารที่ทำการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติให้แล้วเสร็จตามแผนที่กำหนดไว้ด้วย
ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
และให้สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติรับความเห็นของกระทรวงการคลังที่เห็นควรให้ความสำคัญในการควบคุม
กำกับ ดูแล และดำเนินการให้เป็นไปตามระเบียบและข้อบังคับอย่างเคร่งครัด
ไปดำเนินการด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
8833 | การขอต่อระยะเวลาผลิตปิโตรเลียมของบริษัท เอ็กซอนโมบิล เอ็กซ์โพลเรชั่น แอนด์ โพรดักชั่น โคราช อิงค์ ผู้รับสัมปทานปิโตรเลียมเลขที่ 2/2522/17 แปลงสำรวจบนบกหมายเลข E5 (นอกพื้นที่โคราช) | พน. | 02/03/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. อนุมัติให้บริษัท เอ็กซอนโมบิล
เอ็กซ์โพลเรชั่น แอนด์ โพรดักชั่น โคราช อิงค์
ต่อระยะเวลาผลิตปิโตรเลียมสำหรับสัมปทานปิโตรเลียมเลขที่ ๒/๒๕๒๒/๑๗
แปลงสำรวจบนบกหมายเลข E5
(นอกพื้นที่โคราช) ออกไปอีก ๑๐ ปี นับตั้งแต่วันที่ ๑๖ มีนาคม ๒๕๖๔
ถึงวันที่ ๑๕ มีนาคม ๒๕๗๔ โดยอาศัยความตามมาตรา ๒๖ แห่งพระราชบัญญัติปิโตรเลียม พ.ศ.
๒๕๑๔ ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ
๒. ให้กระทรวงพลังงานตรวจสอบรายละเอียดของสัญญาสัมปทานปิโตรเลียมเพิ่มเติม
(ฉบับที่ ๗) ของสัมปทานปิโตรเลียมเลขที่ ๒/๒๕๒๒/๑๗ อย่างรอบคอบ
และกำกับดูแลผู้รับสัมปทานให้ดำเนินการให้ถูกต้องเป็นไปตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
ข้อกำหนด ข้อผูกพัน และเงื่อนไขต่าง ๆ ตามสัญญา อย่างเคร่งครัด รวมทั้งให้รับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่เห็นว่า
การดำเนินการโครงการใด ๆ ในพื้นที่ป่าไม้ จะต้องดำเนินการตามกฎ ระเบียบ กฎหมาย
และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ก่อนดำเนินการตามวัตถุประสงค์ที่ขออนุญาต
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||
8834 | ขออนุมัติจ่ายค่าชดเชยพิเศษแทนการจัดสรรที่ดินแปลงอพยพในโครงการเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ | กษ. | 02/03/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. อนุมัติให้มีการจ่ายเงินชดเชยพิเศษแทนการจัดสรรที่ดินแปลงอพยพให้แก่ราษฎรที่ได้รับผลกระทบจากการก่อสร้างโครงการเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ที่ผ่านการตรวจสอบข้อเท็จจริงและรับรองรายชื่อจากคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงการจ่ายค่าชดเชยพิเศษแทนการจัดสรรที่ดินแปลงอพยพในโครงการเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์แล้ว
จำนวน ๑๑๘ ราย เป็นเงินจำนวนทั้งสิ้น ๓๔.๓๔ ล้านบาท (รายละ ๑๗๐,๐๐๐-๗๗๐,๐๐๐ บาท
หรือเฉลี่ยรายละ ๒๙๑,๐๑๓.๑๐ บาท) รวมทั้งอนุมัติแต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบและกำกับดูแลการจ่ายเงิน
โดยมีผู้ว่าราชการจังหวัดลพบุรีเป็นประธานกรรมการ
โดยให้มีอำนาจหน้าที่พิจารณาและควบคุมการโอนจ่ายเงินชดเชยพิเศษฯ
ให้ถูกต้องครบถ้วนตรงตามบัญชีรายชื่อผู้มีสิทธิได้รับเงินชดเชยพิเศษฯ
ที่ผ่านการรับรองของคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงฯ สำหรับการจ่ายเงินเห็นสมควรให้จ่ายโดยวิธีโอนเงินเข้าบัญชีธนาคาร
(จ่ายตรง) ตามบัญชีรายชื่อบุคคลผู้มีสิทธิหรือทายาทของบุคคลดังกล่าว
โดยถือความเห็นของคณะกรรมการตรวจสอบและกำกับดูแลการจ่ายเงินเป็นหลักฐานการจ่ายเงิน
และให้ระบุในหลักฐานการรับเงินด้วยว่า “ข้าพเจ้ายินยอมรับเงินชดเชยพิเศษฯ
ในครั้งนี้ และจะไม่เรียกร้องหรือขอรับความช่วยเหลือใด ๆ
ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับโครงการเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์จากทางราชการอีก” ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ
ทั้งนี้ ค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้น หากกรมชลประทานมีความจำเป็นที่จะต้องดำเนินการจ่ายเงินชดเชยพิเศษฯ
เห็นสมควรให้ใช้จ่ายจากการปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๔ หรือโอนเงินจัดสรร
หรือเปลี่ยนแปลงเงินจัดสรรตามระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒
แล้วแต่กรณี โดยการจ่ายเงินจะต้องเป็นไปอย่างถูกต้อง โปร่งใส ไม่ซ้ำซ้อน
โดยสอดคล้องกับข้อเท็จจริงและประโยชน์ที่ภาครัฐและประชาชนจะได้รับอย่างรอบคอบ ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒.
ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของกระทรวงการคลัง
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ
และสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี
ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการแก้ไขปัญหาของขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรมที่เห็นควรให้ความสำคัญในการควบคุม
กำกับ ดูแล และดำเนินการให้เป็นไปตามระเบียบและข้อบังคับที่เกี่ยวข้อง
เพื่อให้การใช้จ่ายงบประมาณมีความคุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุด และควรเร่งรัดกระบวนการพิจารณาจ่ายค่าชดเชยให้ราษฎรให้แล้วเสร็จโดยเร็ว
ทั้งกลุ่มราษฎรที่อยู่ระหว่างการรอพิจารณาตรวจสอบสิทธิจากคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงฯ
และกลุ่มราษฎรที่คณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงฯ ยังไม่พิจารณาสิทธิ
รวมทั้งควรติดตาม ตรวจสอบ ประเมินผลโครงการชลประทานที่ได้ดำเนินการแล้วแต่ยังจ่ายค่าชดเชยให้แก่ราษฎรไม่แล้วเสร็จ
ว่ามีปัญหาอุปสรรคและแนวทางแก้ไขอย่างไร นอกจากนี้
โครงการพัฒนาแหล่งน้ำที่จะดำเนินการต่อไป หน่วยงานควรกำหนดนโยบาย หลักเกณฑ์
และแนวทางการดำเนินงานของกระบวนการจัดหาที่ดินให้ชัดเจนและครอบคลุม ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
๓.
ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์พิจารณาเร่งรัดการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๘ (เรื่อง
ขออนุมัติงบประมาณจ่ายค่าชดเชยพิเศษแทนการจัดสรรที่ดินแปลงอพยพโครงการเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์)
ที่กำหนดให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เร่งรัดกระบวนการพิจารณาการจ่ายค่าชดเชยสำหรับราษฎรส่วนที่เหลือจากที่เสนอในครั้งนี้ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว
รวมทั้งให้ตรวจสอบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับกรณีที่มีผู้ร้องเรียนว่าการดำเนินการของเจ้าหน้าที่ของรัฐที่เกี่ยวข้องหลายฝ่ายมีการทุจริตและมีการเลือกปฏิบัติจนเป็นเหตุให้ราษฎรไม่ได้รับเงินค่าชดเชยที่ดินหรือรับเงินค่าชดเชยพิเศษไม่ตรงกับความเป็นจริง
แล้วให้รายงานผลการตรวจสอบต่อคณะรัฐมนตรีโดยด่วน |
|||||||||||||||||||||||||||||||||
8835 | รัฐบาลสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนามเสนอขอแต่งตั้งกงสุลใหญ่สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม ณ จังหวัดขอนแก่น (นายจู ดึ๊ก สุง) | กต. | 02/03/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง
นายจู ดึ๊ก สุง (Mr. Chu Duc Dung)
ให้ดำรงตำแหน่งกงสุลใหญ่สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม ณ จังหวัดขอนแก่น โดยมีเขตกงสุลครอบคลุม ๒๐ จังหวัด ได้แก่ ขอนแก่น อำนาจเจริญ บึงกาฬ
บุรีรัมย์ ชัยภูมิ กาฬสินธุ์ เลย มหาสารคาม มุกดาหาร นครพนม นครราชสีมา หนองบัวลำภู หนองคาย ร้อยเอ็ด สกลนคร ศรีสะเกษ
สุรินทร์ อุบลราชธานี อุดรธานี และยโสธร สืบแทน นายหว่าง หง็อก เซิน (Mr.
Hoang Ngoc Son)
ซึ่งครบวาระการดำรงตำแหน่ง ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
8836 | รัฐบาลราชอาณาจักรสวีเดนเสนอขอเปิดสถานกงสุลกิตติมศักดิ์ราชอาณาจักรสวีเดน ณ จังหวัดขอนแก่น และแต่งตั้งกงสุลกิตติมศักดิ์ราชอาณาจักรสวีเดน ณ จังหวัดขอนแก่น (นายวิทยา วรรณวิเชษฐ์) | กต. | 02/03/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติ
ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑. เปิดสถานกงสุลกิตติมศักดิ์ราชอาณาจักรสวีเดน ณ จังหวัดขอนแก่น
โดยมีเขตกงสุลครอบคลุม ๒๐ จังหวัด ได้แก่ ขอนแก่น อำนาจเจริญ บึงกาฬ บุรีรัมย์
ชัยภูมิ กาฬสินธุ์ เลย มหาสารคาม มุกดาหาร นครพนม นครราชสีมา หนองบัวลำภู หนองคาย
ร้อยเอ็ด สกลนคร ศรีสะเกษ สุรินทร์ อุบลราชธานี อุดรธานี และยโสธร ๒. แต่งตั้งนายวิทยา
วรรณวิเชษฐ์ ให้ดำรงตำแหน่งกงสุลกิตติมศักดิ์ราชอาณาจักรสวีเดน ณ จังหวัดขอนแก่น
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
8837 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (นางสาววิลาวัลย์ วีระกุล) | กค. | 02/03/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นางสาววิลาวัลย์ วีระกุล
ข้าราชการพลเรือนสามัญ ตำแหน่งรองอธิบดีกรมธนารักษ์ ให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาด้านพัฒนาอสังหาริมทรัพย์
(นักวิเคราะห์นโยบายและแผนทรงคุณวุฒิ) กรมธนารักษ์ กระทรวงการคลัง ตั้งแต่วันที่ ๑๘
กันยายน ๒๕๖๓ ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
8838 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (1. นายพุฒิพงศ์ ศิริมาตย์) | มท. | 02/03/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ
สังกัดกระทรวงมหาดไทย ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน ๔ ราย เพื่อสับเปลี่ยนหมุนเวียน
และทดแทนตำแหน่งที่ว่าง ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยเสนอ
ดังนี้ ๑. นายพุฒิพงศ์ ศิริมาตย์ ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ๒. นายวิเชียร จันทรโณทัย ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัดชัยภูมิ
สำนักงานปลัดกระทรวง ๓. นายกอบชัย บุณอรณะ ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา
สำนักงานปลัดกระทรวง ๔. นายโชคดี อมรวัฒน์ ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัดพะเยา สำนักงานปลัดกระทรวง
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
8839 | การทบทวนมติคณะรัฐมนตรีกรณีการเปิดสถานกงสุลกิตติมศักดิ์สาธารณรัฐฝรั่งเศสประจำจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ และการเสนอขอแต่งตั้งกงสุลกิตติมศักดิ์สาธารณรัฐฝรั่งเศส ณ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ (นายสเตฟาน รูโซ) | กต. | 02/03/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะค คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติ
ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑. ทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๔ เมษายน ๒๕๖๐ เรื่อง การเปิดสถานกงสุลกิตติมศักดิ์และแต่งตั้งกงสุลกิตติมศักดิ์สาธารณรัฐฝรั่งเศสประจำจังหวัดประจวบคีรีขันธ์
เฉพาะในส่วนเขตกงสุล โดยปรับเปลี่ยนเขตกงสุลของสถานกงสุลกิตติมศักดิ์สาธารณรัฐฝรั่งเศส
ณ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ จากเดิมที่มีเขตกงสุลครอบคลุมจังหวัดประจวบคีรีขันธ์
เป็น มีเขตกงสุลครอบคลุม ๓ จังหวัด ได้แก่ ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร และเพชรบุรี ๒. แต่งตั้งนายสเตฟาน
รูโซ (Mr. Stephane Rousseau) ให้ดำรงตำแหน่งกงสุลกิตติมศักดิ์สาธารณรัฐฝรั่งเศส ณ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ สืบแทน
นางอาน-มารี ตูดิก (Mrs. Anne-Marie) ซึ่งเกษียณอายุเมื่อวันที่
๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๔
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
8840 | การทบทวนมติคณะรัฐมนตรีกรณีการเปิดสถานกงสุลกิตติมศักดิ์สาธารณรัฐฝรั่งเศส ณ จังหวัดขอนแก่น และเสนอขอแต่งตั้งกงสุลกิตติมศักดิ์สาธารณรัฐฝรั่งเศส ณ จังหวัดขอนแก่น (นายมาร์ก นูว์โซม) | กต. | 02/03/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรั คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติ
ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑. ทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ พฤษภาคม ๒๕๖๐ เรื่อง สาธารณรัฐฝรั่งเศสขอเปิดสถานกงสุลกิตติมศักดิ์สาธารณรัฐฝรั่งเศส ณ จังหวัดขอนแก่น
เฉพาะในส่วนเขตกงสุล โดยปรับเปลี่ยนเขตกงสุลจากเดิมที่มีเขตกงสุลครอบคลุมจังหวัดขอนแก่น
เป็น มีเขตกงสุลครอบคลุม ๒๐ จังหวัด ได้แก่ ขอนแก่น อำนาจเจริญ บึงกาฬ
บุรีรัมย์ ชัยภูมิ กาฬสินธุ์ เลย มหาสารคาม มุกดาหาร นครพนม นครราชสีมา
หนองบัวลำภู หนองคาย ร้อยเอ็ด สกลนคร ศรีสะเกษ สุรินทร์ อุบลราชธานี อุดรธานี
ยโสธร และแต่งตั้งนายมาร์ก นูว์โซม (Mr. Marc Nussaume) ให้ดำรงตำแหน่งกงสุลกิตติมศักดิ์สาธารณรัฐฝรั่งเศส ณ จังหวัดขอนแก่น
สืบแทน นายฌ็อง-มีแชล, อีฟว์, ดีดีเย
แปรัว (Mr. Jean-Michel, Yves, Didier Perroy)
ซึ่งเกษียณอายุเมื่อวันที่ ๓๐ กรกฎาคม ๒๕๖๓ ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศรับไปพิจารณากำหนดกรอบ/หลักเกณฑ์ในภาพรวมเกี่ยวกับการขอเปิดสถานกงสุลกิตติมศักดิ์
การกำหนดเขตกงสุล และการแต่งตั้งกงสุลกิตติมศักดิ์ของรัฐบาลต่างประเทศประจำประเทศไทยให้ชัดเจน
เหมาะสม สอดคล้องกับบริบทของสภาพเศรษฐกิจ สังคม รวมทั้งการดำเนินงานด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของไทยในปัจจุบัน
เพื่อใช้เป็นแนวทางปฏิบัติต่อไป
|