ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1761 จากทั้งหมด 6201 หน้า แสดงรายการที่ 35201 - 35220 จากข้อมูลทั้งหมด 124013 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
35201 | ร่างพระราชบัญญัติมาตรฐานสินค้าเกษตร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | กษ | 07/09/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติมาตรฐานสินค้าเกษตร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่กระทรวง เกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยร่างพระราชบัญญัติฯ มีสาระสำคัญคือ แก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติมาตรฐานสินค้าเกษตร พ.ศ. 2551 ดังต่อไปนี้ 1.1 แก้ไขบทนิยามในมาตรา 3 จากคำว่า "ผู้อำนวยการ" เป็น "เลขาธิการ" และแก้ไขคำว่า "ผู้อำนวยการ" ในพระราชบัญญัติมาตรฐานสินค้าเกษตร พ.ศ. 2551 และในกฎหมายอื่นเป็นคำว่า "เลขาธิ การ" ทุกแห่ง 1.2 แก้ไขเพิ่มเติมองค์ประกอบของคณะกรรมการมาตรฐานสินค้าเกษตร 1.3 แก้ไขเพิ่มเติมองค์ประกอบของคณะกรรมการวิชาการ 1.4 แก้ไขเพิ่มเติมคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของผู้ขอรับใบอนุญาตเป็นผู้ประกอบการตรวจ สอบ 2. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของสำนักงาน ก.พ. และกระทรวงพาณิชย์ เกี่ยวกับ การเปลี่ยนแปลงคุณสมบัติของผู้รับใบอนุญาตเป็นผู้ประกอบการตรวจสอบมาตรฐาน จากเดิมที่กำหนดเป็น บริษัทโดยมีทุนจดทะเบียนซึ่งชำระแล้ว ตามที่คณะกรรมการประกาศกำหนดมาเป็นนิติบุคคลตามกฎหมาย ไทย และให้มีห้องปฏิบัติการที่มีขีดความสามารถและคุณสมบัติตามที่คณะกรรมการประกาศกำหนด แต่ร่าง พระราชบัญญัติฉบับใหม่ไม่มีการกำหนดไว้ ซึ่งการแก้ไขเพิ่มเติมในประเด็นดังกล่าว อาจแก้ปัญหาการขาด แคลนผู้ประกอบการตรวจสอบมาตรฐานได้แต่ก็จะส่งผลกระทบต่อความน่าเชื่อถือและการยอมรับจากผู้ผลิต ผู้ส่งออก หรือผู้นำเข้าสินค้าเกษตร ว่าผู้ประกอบการตรวจสอบมาตรฐานเหล่านั้น จะมีมาตรฐานอยู่ในระดับ ที่เป็นที่ยอมรับโดยทั่วไปหรือไม่ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการตรวจสอบรับรองมาตรฐานก่อนทำการซื้อขายได้ ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภา ผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป 3. เมื่อร่างพระราชบัญญัติมาตรฐานสินค้าเกษตร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีผลใช้บังคับแล้ว ให้สำนัก งานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ ดำเนินการเปลี่ยนชื่อตำแหน่งในการบริหารงานของหัวหน้า ส่วนราชการจากชื่อตำแหน่ง "ผู้อำนวยการ" เป็นชื่อตำแหน่ง "เลขาธิการ" ในบัญชีจัดตำแหน่งข้าราชการ พลเรือน ของสำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติไปยัง อ.ก.พ. กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และแจ้ง ก.พ. เพื่อทราบต่อไป ตามความเห็นของ ก.พ. ต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
35202 | ขออนุญาตให้กระทรวงมหาดไทยยกเว้นกฎกระทรวงกำหนดบริเวณห้ามก่อสร้าง ดัดแปลง หรือเปลี่ยนการใช้อาคารบางชนิดหรือบางประเภทในพื้นที่บางส่วนในท้องที่อำเภอพุทธมณฑล อำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม และเขตทวีวัฒนา กรุงเทพมหานคร พ.ศ. 2549 | ศธ | 07/09/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุญาตให้มหาวิทยาลัยมหิดลดำเนินการก่อสร้างอาคารและกลุ่มอาคารต่าง ๆ รวม
21 หลัง ตามแผนแม่บทปี 2551 และโครงการดำเนินการก่อสร้างอาคารในระยะเวลา 10 ปี ภายในมหาวิทยาลัย มหิดล (พ.ศ. 2551-2560) ซึ่งที่ประชุมสภามหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหิดล ครั้งที่ 412 เมื่อวันที่ 19 มีนาคม 2553 ได้ให้ความเห็นชอบแล้ว เป็นกรณีพิเศษ |
||||||||||||||||||||||||
35203 | ขออนุมัติงบกลางสำหรับชดเชยค่าปฏิบัติการฉุกเฉินที่สูงกว่าเป้าหมายที่ได้รับจัดสรร ปี 2552 - 2553 | สธ | 07/09/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. อนุมัติในหลักการตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ประธานกรรมการการแพทย์ฉุกเฉิน เสนอขออนุมัติงบกลางให้แก่สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ สำหรับชดเชยค่าปฏิบัติการฉุกเฉินที่สูงกว่าเป้า หมายที่ได้รับจัดสรรในปีงบประมาณ พ.ศ. 2552-2553 จำนวน 794,647 ครั้ง วงเงินทั้งสิ้น 417,189,675 บาท จำแนกเป็น 1.1 งบชดเชยค่าปฏิบัติการฉุกเฉินที่ผลงานสูงกว่าเป้าหมายในปีงบประมาณ พ.ศ. 2552 จำนวน 163,062 ครั้ง วงเงิน 85,607,550 บาท 1.2 งบชดเชยค่าปฏิบัติการฉุกเฉินที่คาดว่าจะสูงกว่าเป้าหมายในปีงบประมาณ พ.ศ. 2553 จำนวน 631,585 ครั้ง วงเงิน 331,582,125 บาท 2. ให้สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติจัดทำรายละเอียดการใช้จ่ายตามเกณฑ์ แล้วขอทำความตกลง กับสำนักงบประมาณอีกครั้งหนึ่ง ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
||||||||||||||||||||||||
35204 | แผนแม่บทการพัฒนาอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ | ทส | 07/09/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. เห็นชอบให้กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ดำเนินการตามแผนแม่บทการพัฒนาอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ในการพัฒนาสิ่งอำนวยความสะดวกของอุทยานแห่ง ชาติเขาใหญ่ทั้งในปัจจุบันและอนาคตอย่างยั่งยืนต่อไป เนื่องจากสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ที่หน่วยงานต่าง ๆ สร้างไว้ภายในเขตอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่เริ่มทรุดโทรม สภาพไม่ปลอดภัย และมีผังบริเวณไม่เหมาะสมต่อการจัด การอุทยานแห่งชาติ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ โดยให้รับความเห็นของกระทรวง มหาดไทย กระทรวงสาธารณสุข และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่าแผน แม่บทการพัฒนาอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ เน้นการพัฒนาและแก้ไขปัญหาทางด้านสิ่งอำนวยความสะดวกเป็นหลัก เห็นควรเพิ่มเติมแนวทางการดำเนินงานให้ครอบคลุมมิติการพัฒนาและการแก้ไขปัญหาให้ครบทั้งด้านการอนุรักษ์ และป้องกันทรัพยากรธรรมชาติ และการปรับปรุงระเบียบปฏิบัติที่สอดคล้องกับสภาพปัญหา รวมทั้งปัญหาพื้น ที่ทับซ้อนของแนวเขตอุทยานฯ และควรมีแผนบริหารจัดการการใช้ประโยชน์ทุกด้าน คือ ด้านการอนุรักษ์สภาพ ธรรมชาติ การท่องเที่ยวพักผ่อนหย่อยใจ และการศึกษาค้นคว้าวิจัยทางธรรมชาติให้ชัดเจนในแผนแม่บทฯ นอก จากนี้ ให้นำเรื่องของความสามารถในการรองรับการท่องเที่ยวของพื้นที่อุทยานฯ มาเป็นหลักในการวิเคราะห์และ พิจารณาในการวางแผนดำเนินการ รวมทั้งระบุผลลัพธ์ที่คาดว่าจะได้รับหลังจากการดำเนินการไว้ในแผนแม่บทฯ ไปพิจารณาดำเนินการด้วย 2. ให้กระทรวงคมนาคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัด การดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการก่อสร้างและการฟื้นฟูสภาพภูมิทัศน์และระบบนิเวศบริเวณทางหลวงหมาย เลข 2090 (ถนนธนะรัชต์) ตอนแยกทางหลวงหมายเลข 2-ต่อเขตอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 8 มิถุนายน 2553 [เรื่อง โครงการเพิ่มประสิทธิภาพทางหลวงหมายเลข 2090 และเรื่อง รายงานผล กระทบและความเสียหายกรณีการตัดไม้จากการดำเนินการก่อสร้างทางหลวงหมายเลข 2090 (ถนนธนะรัชต์)] ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว |
||||||||||||||||||||||||
35205 | ร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนน พ.ศ. .... | มท | 07/09/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. เห็นชอบในหลักการร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดหน้าที่และองค์กรรับผิดชอบในการกำหนดนโยบาย ยุทธศาสตร์ แนวทาง และมาตรการ รวมทั้งการปฏิบัติการในการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนให้มีประสิทธิภาพและประสิทธิผล ครอบคลุมทุกพื้นที่ เพื่อลดความสูญเสียชีวิต ร่างกาย และทรัพย์สินของประชาชนจากอุบัติเหตุทางถนน ตามที่ ประธานกรรมการและผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนนเสนอ และส่งคณะกรรมการตรวจ สอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา 2. ให้รับความเห็นของกระทรวงศึกษาธิการ ที่เห็นควรเพิ่มผู้อำนวยการสำนักบริหารงานคณะกรรม การส่งเสริมการศึกษาเอกชน ผู้บังคับการกองพัฒนาการจราจรและบริการประชาชน สำนักงานตำรวจแห่ง ชาติ อธิบดีกรมโยธาธิการและผังเมือง และผู้จัดการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ เป็นคณะกรรม การของศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนนเพื่อรับทราบสถิติข้อมูลด้านการจราจร เพื่อการวางแผน การ วิจัยป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนน ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ |
||||||||||||||||||||||||
35206 | รายงานผลการปฏิบัติงานของสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินประจำปี พ.ศ. 2551 | ปง | 07/09/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. เห็นชอบให้นำรายงานผลการปฏิบัติงานของสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (สำนักงาน ปปง.) ประจำปี พ.ศ. 2551 เสนอต่อสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาต่อไป 2. ให้สำนักงาน ปปง. รับความเห็นของกระทรวงการคลังไปพิจารณาดำเนินการ และให้เร่งรัดจัดทำราย งานผลการปฏิบัติงานฯ ในแต่ละปีให้แล้วเสร็จโดยเร็ว เพื่อเสนอคณะรัฐมนตรี สภาผู้แทนราษฎร และวุฒิสภาต่อไป ทั้งนี้ ความเห็นของกระทรวงการคลังมีดังนี้ 2.1 การจัดทำรายงานผลการปฏิบัติงานของสำนักงาน ปปง. ประจำปี พ.ศ. 2551 เสนอคณะรัฐมนตรี หลังจากสิ้นระยะเวลาการดำเนินงานเป็นเวลา 18 เดือน ควรมีการจัดทำรายงานดังกล่าวหลังสิ้นงวดการดำเนินงาน ประจำปีในระยะเวลาไม่เกิน 9 เดือน เพื่อให้คณะรัฐมนตรีได้ทราบผลการดำเนินงานได้รวดเร็วและสามารถกำหนด นโยบายในการป้องกันและแก้ไขปัญหาการฟอกเงินได้เหมาะสมและทันกับสถานการณ์ปัจจุบัน 2.2 ควรนำข้อมูลตัวเลขผลการปฏิบัติงานย้อนหลังจัดทำเป็นสรุปตาราง แผนภาพ เปรียบเทียบผล การปฏิบัติงานประจำปี พ.ศ. 2551 เพื่อเป็นข้อมูลสำหรับการพิจารณาติดตาม ประเมินผลงาน/โครงการที่มีระยะ เวลาการดำเนินการต่อเนื่องข้ามปี 2.3 ควรจัดทำแผ่น CD ประกอบรายงานประจำปีที่มีข้อมูลในลักษณะมัลติมีเดีย เพื่อให้สามารถแสดง ข้อมูลผลการปฏิบัติงานได้ชัดเจนและมีรายละเอียดมากยิ่งขึ้น รวมทั้งมีการนำผลการศึกษาวิเคราะห์วิจัยที่เกี่ยวข้อง มารวมไว้ในรายงาน เพื่อเป็นประโยชน์ต่อผู้ใช้ข้อมูลดังกล่าว |
||||||||||||||||||||||||
35207 | การลักลอบตัดไม้ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ จังหวัดพิษณุโลก | ทส | 07/09/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. รับทราบความก้าวหน้าของผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับการลักลอบตัดไม้ในเขตป่า สงวนแห่งชาติ จังหวัดพิษณุโลก และเห็นชอบให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาดำเนินการ ตามที่กระทรวงทรัพยากร ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้ 1.1 สำนักงานตำรวจแห่งชาติพิจารณาดำเนินการกับเจ้าหน้าที่ของรัฐที่มีส่วนร่วมหรือรู้เห็น หรือเป็น ตัวการในการกระทำผิดอย่างเคร่งครัด โดยให้โยกย้ายเจ้าหน้าที่ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีออกนอกพื้นที่ และกำชับ เจ้าหน้าที่ในสังกัดมิให้มีส่วนเกี่ยวข้อง หรือสนับสนุนการกระทำผิดเกี่ยวกับการบุกรุกตัดไม้ทำลายป่าอย่างเด็ดขาด 1.2 กระทรวงมหาดไทยพิจารณาแจ้งผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัดกำชับเจ้าหน้าที่ในสังกัด กำนัน ผู้ ใหญ่บ้านและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมิให้เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องหรือสนับสนุนการลักลอบตัดไม้ทำลายป่าในพื้น ที่ที่รับผิดชอบ เข้มงวดกวดขัน และเร่งรัดการดำเนินคดีให้เสร็จสิ้นโดยเร็ว 1.3 หน่วยงานภาครัฐทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการส่งเสริมและพัฒนาการเกษตรกำชับเจ้าหน้าที่ ให้สนับสนุน ส่งเสริมเฉพาะพื้นที่ที่มีเอกสารสิทธิ์ สิทธิครอบครอง และพื้นที่ที่ได้รับอนุญาตโดยชอบด้วยกฎหมาย เท่านั้น 2. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงกลาโหม และ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เป็นต้น รับข้อสังเกตของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารที่ เห็นว่า ด่านตรวจของเจ้าหน้าที่ตำรวจและของเจ้าหน้าที่ป่าไม้ที่ตั้งอยู่ตามเส้นทางเข้า-ออกพื้นที่ป่า รวมทั้งจุดผ่าน ต่าง ๆ ควรมีการติดตั้งกล้องวงจรปิด (CCTV) ให้พร้อมใช้งานตลอดเวลา และควรให้ฝ่ายทหารเข้าร่วมดำเนินการ ด้วยเพื่อให้การดำเนินการดังกล่าวมีความเข้มแข็งและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
35208 | ร่างกฎสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการกำหนดเครื่องแบบพิเศษสำหรับข้าราชการสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | นร | 07/09/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. อนุมัติหลักการร่างกฎสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการกำหนดเครื่องแบบพิเศษสำหรับข้าราชการสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ แก้ไขเพิ่มเติมกฎสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการกำหนดเครื่องแบบพิเศษสำหรับข้าราชการสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2546 ในส่วนของเครื่องหมายแสดงระดับและส่วนประกอบบนอินทรธนูของเครื่องแบบพิเศษข้าราชการสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ โดยให้รับข้อสังเกตของคณะกรรมการกลั่นกรองการกำหนดเครื่องแบบพิเศษของส่วนราชการที่มอบให้กระทรวงยุติธรรมรับไปดำเนินการในการปรับปรุงแก้ไขการกำหนดกลุ่มประเภทตำแหน่งในการแบ่งชั้นให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่กำหนด สำหรับการเปลี่ยนแปลงรูปแบบในการประดับเครื่องหมายแสดงระดับ ระดับ 7-10 เดิม จากที่กำหนดให้ประดับเครื่องหมายหยดน้ำอยู่บนปีกนกเบื้องบนเปล่งรัศมี เหนือหยดน้ำ ขึ้นไปมีรูปดาว 8 แฉก ประดับเรียงตามแนวหยดน้ำและกำหนดให้ประดับเครื่องหมายหยดน้ำไว้ที่ “กึ่งกลางแถบดิ้นทองบนอินทรธนู” เป็น “เรียงตามแนวเหนือหยดน้ำ” และประดับรูปดาว 8 แฉกอยู่ด้านล่าง โดยประดับเรียงเป็นรูปแบบต่าง ๆ เช่น รูปสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูน รูปสามเหลี่ยมด้านเท่าและรูปแนวตั้ง เป็นต้น ซึ่งการเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้สามารถที่จะใช้อินทรธนูและเครื่องหมายแสดงระดับที่กำหนดไว้เดิมได้ทั้งหมด จึงสมควรที่จะคงรูปแบบที่กำหนดไว้เดิมทำนองเดียวกับการแก้ไขเปลี่ยนแปลงอินทรธนูของข้าราชการพลเรือนสามัญทั่วไปที่ยึดหลักการให้คงรูปแบบเดิมให้มากที่สุด โดยให้กระทรวงยุติธรรมรับไปพิจารณาดำเนินการตามสมควรแก่กรณี ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ 2. เห็นชอบตามข้อสังเกตของคณะกรรมการกลั่นกรองฯ เกี่ยวกับการกำหนดรูปดาวเป็นเครื่องหมายแสดงระดับของเครื่องแบบพิเศษของข้าราชการพลเรือน อาจทำให้เกิดความสับสนระหว่างข้าราชการแต่ละประเภทได้ ดังนั้น หากเป็นกรณีที่ส่วนราชการที่กำหนดรูปดาวเป็นเครื่องหมายแสดงระดับไว้แล้วเห็นควรให้คงตามเดิม ส่วนกรณีที่ส่วนราชการจะกำหนดเครื่องหมายดาวขึ้นใหม่เห็นควรให้ใช้เครื่องหมายอื่นแทน และให้แจ้งเวียนส่วนราชการต่าง ๆ ทราบและถือปฏิบัติตามข้อสังเกตดังกล่าวต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
35209 | ร่างกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น รวม 4 ฉบับ | นร | 07/09/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. เห็นชอบร่างกฎหมาย จำนวน 4 ฉบับ ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่ สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ ดังนี้ 1.1 ร่างพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. .... มีสาระสำคัญ คือ รวบรวมกฎหมายว่าด้วยการกำหนดแผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กฎ หมายรายได้ท้องถิ่น กฎหมายจัดตั้งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กฎหมายเกี่ยวกับข้าราชการส่วนท้องถิ่น และกฎ หมายอื่นตามหมวด 14 การปกครองส่วนท้องถิ่น จัดทำเป็นประมวลกฎหมายองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อ ประโยชน์ในการอ้างอิงและใช้กฎหมายที่จะรวมอยู่ในฉบับเดียวกัน และปรับปรุงบทบัญญัติในกฎหมายดังกล่าวให้ เหมาะสมกับสภาพปัจจุบัน 1.2 ร่างประมวลกฎหมายองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น มีสาระสำคัญคือ รวมบทบัญญัติเกี่ยวกับการ จัดตั้ง การบริหาร อำนาจหน้าที่ รายได้ และการกำกับดูแลองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น อันได้แก่ องค์การบริหาร ส่วนจังหวัด เทศบาล และองค์การบริหารส่วนตำบล เข้าไว้ด้วยกัน (ยกเว้นกรุงเทพมหานครและการปกครองท้อง ถิ่นรูปแบบอื่น) รวมทั้งประมวลบทบัญญัติเกี่ยวกับการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทั้งหมด เข้าไว้ด้วยกัน 1.3 ร่างพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการส่วนท้องถิ่น พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ปรับปรุงกฎหมาย ว่าด้วยระเบียบบริหารงานบุคคลส่วนท้องถิ่นให้เหมาะสมกับการบริหารงานบุคคลส่วนท้องถิ่นในปัจจุบันและสอด คล้องกับหลักการตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย 1.4 ร่างพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ แก้ไข เพิ่มเติมพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม พ.ศ. 2545 โดยจัดตั้งสำนักงานคณะกรรมการการกระจาย อำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และจัดตั้งสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการส่วนท้องถิ่นในสังกัดสำนัก นายกรัฐมนตรี 2. ให้สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีแก้ไขในส่วนของร่างประมวลกฎหมายองค์กรปกครองส่วน ท้องถิ่นเกี่ยวกับการกำหนดให้ผู้บริหารท้องถิ่นวาระอยู่ในตำแหน่งคราวละสี่ปี และดำรงตำแหน่งติดต่อกันเกิน สองวาระไม่ได้ ไม่สอดคล้องกับกฎหมายจัดตั้งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่ใช้บังคับอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งไม่ได้จำกัด วาระการดำรงตำแหน่งของผู้บริหาร จึงสมควรแก้ไขให้สอดคล้องกัน ตามความเห็นของคณะรัฐมนตรี และให้ส่ง คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
35210 | การนำผลดำเนินการจัดหาพัสดุของโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 มาใช้กับโครงการที่ได้รับการพิจารณาให้อยู่ในร่างพระราชบัญญัติเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. 2554 | กค | 07/09/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติมอบหมายให้คณะกรรมการว่าด้วยการพัสดุรับเรื่อง การนำผลดำเนินการจัดหาพัสดุ
ของโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 มาใช้กับโครงการที่ได้รับการพิจารณาให้อยู่ในร่างพระราช บัญญัติเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. 2554 ไปพิจารณาตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. 2535 และที่แก้ไขเพิ่มเติมต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
35211 | ขออนุมัติก่อหนี้ผูกพันก่อนได้รับงบประมาณ และขอใช้งบกลาง รายการเงินสำรองจ่าย เพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น สำหรับดำเนินโครงการผลิตและพัฒนาศักยภาพแพทย์และบุคลากรตามโครงการลงทุนภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 | สธ | 07/09/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. อนุมัติตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ ดังนี้ 1.1 ให้กระทรวงสาธารณสุขก่อหนี้ผูกพันก่อนได้รับงบประมาณตามพระราชบัญญัติงบประมาณราย จ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2553 เพื่อดำเนินโครงการผลิตและพัฒนาศักยภาพแพทย์และบุคลากร ในส่วนของ การผลิตแพทย์ ตามโครงการลงทุนภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 1.2 สนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2553 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่าย เพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อดำเนินโครงการผลิตและพัฒนาศักยภาพแพทย์และบุคลากร ในส่วนของการผลิต แพทย์ตามโครงการลงทุนภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 เฉพาะในส่วนของการดำเนินการผลิตแพทย์ ในงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2553 จำนวน 482 คน เป็นงบอุดหนุนเพื่อการผลิตแพทย์ เป็น เงินจำนวน 48,200,000 บาท 2. ให้กระทรวงสาธารณสุขรับข้อสังเกตของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อ สารที่ว่า ควรมีการปรับปรุงเรื่องการชดใช้ทุนของแพทย์ โดยเพิ่มค่าปรับให้สูงขึ้นกรณีที่ผิดสัญญาชดใช้ทุนและเพิ่ม ระยะเวลาการชดใช้ทุนให้นานกว่าในปัจจุบัน เพื่อให้แพทย์สามารถปฏิบัติงานให้เกิดประโยชน์แก่ทางราชการนาน ยิ่งขึ้น ไปพิจารณาดำเนินการด้วย
|
||||||||||||||||||||||||
35212 | สรุปผลการประชุมโต๊ะกลมรัฐมนตรีจีน - อาเซียน ด้านการศึกษา ครั้งที่ 1 | ศธ | 07/09/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอสรุปผลการประชุมโต๊ะกลมรัฐมนตรีจีน-อาเซียน ด้านการศึกษา ครั้งที่ 1 ซึ่งเป็นกิจกรรมส่วนหนึ่งของการจัดเทศกาลสัปดาห์การศึกษาจีน-อาเซียน ครั้งที่ 3 โดยกระทรงศึกษาธิการ กระทรวงการต่างประเทศ และจังหวัดกุ้ยโจว สาธารณรัฐประชาชนจีน ตามนโยบายของนายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐประชาชนจีน ที่ประสงค์จะเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างอาเซียน และจีน ด้านการศึกษา มีพิธีเปิดการประชุมฯ เมื่อวันที่ 3 สิงหาคม 2553 โดยในส่วนของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการของไทยได้กล่าวสุนทรพจน์ในหัวข้อ “การเสริมสร้างความร่วมมือด้านการศึกษาจีน-อาเซียน การแลกเปลี่ยนนักเรียน และการสอนภาษา” โดยขอส่งเสริมความร่วมมือระหว่างอาเซียนและจีนภายใต้กรอบการประชุมสุดยอดเอเชียตะวันออกเพื่อยกระดับการแข่งขันภูมิภาค การร่วมแบ่งปันทรัพยากรทางการศึกษาระหว่างกัน นำไปสู่การส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมเพื่อรองรับการปรับตัว และการเคลื่อนย้ายประชาชนในภูมิภาค รวมทั้งการสนับสนุนการดำเนินการของอาเซียน ซีมีโอ และเครือข่ายมหาวิทยาลัยอาเซียน เพื่อร่วมมือกันดำเนินโครงการในการเพิ่มโอกาสทางการศึกษา ส่งเสริมการไหลเวียนขององค์ความรู้อย่างเสรี สร้างเสริมทักษะของแรงงาน และการเพิ่มโอกาสในการประกอบอาชีพให้แก่ประชาชนในภูมิภาค ทั้งนี้ ภายหลังจากการประชุมฯ แล้ว ได้มีการออกแถลงการณ์กุ้ยหยาง (the Guiyang Declaration) ร่วมกัน สาระสำคัญมีดังนี้
1. การเสริมสร้างความร่วมมือในการสร้างกลไกเพื่อส่งเสริมการติดต่อสื่อสารระหว่างประชาชนกับประชาชน และการหารือกันระหว่างผู้บริหารระดับสูง เพื่อเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างกันในด้านการศึกษา วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี การสาธารณสุข และกีฬา 2. การส่งเสริมการเพิ่มจำนวนทุนการศึกษาจากทั้งสองฝ่าย โดยสาธารณรัฐประชาชนจีนจะเริ่มต้นโครงการแลกเปลี่ยนนักเรียนจีนอาเซียน จำนวน 100,000 คน ภายในปี 2563 3. การพัฒนาคุณภาพการศึกษาโดยการเรียนรู้จากแนวปฏิบัติที่ดีของแต่ละประเทศเพื่อที่จะสามารถรับมือกับสิ่งท้าทายที่เกิดจากความก้าวหน้าทางสังคมเศรษฐกิจที่เป็นไปอย่างรวดเร็ว และการพัฒนาในด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยจะมีการพัฒนาโครงการร่วมปริญญาโทและเอกในสาขาด้านการศึกษา สิ่งแวดล้อม การแพทย์ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 4. การดำเนินการเพื่อมุ่งไปสู่การยอมรับคุณวุฒิการศึกษาระหว่างกันในระหว่างประเทศสมาชิกรวมถึงการรับรองและถ่ายโอนหน่วยกิตระหว่างมหาวิทยาลัย ในสาธารณรัฐประชาชนจีน และประเทศอาเซียน 5. การสนับสนุนโครงการแลกเปลี่ยนเยาวชนจีนอาเซียน 100,000 คน เพื่อส่งเสริมการแลกเปลี่ยน การเรียนรู้ด้านภาษา วัฒนธรรม การกีฬาภายในปี 2563
|
||||||||||||||||||||||||
35213 | โครงการสินเชื่อสำหรับการจัดซื้อรถตัดอ้อยเพื่อแก้ไขปัญหาอ้อยไฟไหม้และการขาดแคลนแรงงาน | กค | 07/09/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. เห็นชอบในหลักการและอนุมัติตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ 1.1 เห็นชอบในหลักการตามโครงการสินเชื่อสำหรับการจัดซื้อรถตัดอ้อยเพื่อแก้ไขปัญหาอ้อยไฟไหม้ และการขาดแคลนแรงงานของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) มีสาระสำคัญ ดังนี้ 1.1.1 ให้การสนับสนุนสินเชื่อโครงการฯ ปีละ 1,000 ล้านบาท ระยะเวลา 3 ปี รวมเป็นวงเงินทั้ง สิ้น 3,000 ล้านบาท 1.1.2 ให้เงินกู้ตามโครงการฯ แก่ชาวไร่อ้อย กลุ่มชาวไร่อ้อย สหกรณ์ชาวไร่อ้อยหรือโรงงานน้ำ ตาล และสหกรณ์การเกษตรเพื่อการตลาดลูกค้า ธ.ก.ส. (สกต.) เพื่อจัดซื้อรถตัดอ้อยต่อรายหรือต่อกลุ่ม ภายใน วงเงินไม่เกิน 15 ล้านบาท กำหนดชำระหนี้เสร็จสิ้นภายใน 6 ปี นับแต่วันกู้ 1.1.3 กำหนดอัตราดอกเบี้ยโครงการฯ เท่ากับโครงการแก้ไขปัญหาภัยแล้งให้กับเกษตรกรชาวไร่ อ้อย ระยะที่ 2 คือ MRR-2.00 ต่อปี โดยเรียกเก็บจากผู้กู้ในอัตราร้อยละ 2.00 ต่อปี รัฐบาลเป็นผู้รับภาระชดเชย ดอกเบี้ยส่วนต่างร้อยละ 2.75 ต่อปี (อัตราดอกเบี้ยตามโครงการที่ MRR-2.00 ต่อปี ปัจจุบัน MRR เท่ากับ 6.75 ต่อปี หักด้วยอัตราดอกเบี้ยที่เรียกเก็บจากผู้กู้ร้อยละ 2.00 ต่อปี เท่ากับ 2.75 ต่อปี) รวมเป็นเงินชดเชยดอกเบี้ย ส่วนต่างตลอดระยะเวลาดำเนินงานตามโครงการฯ ทั้งสิ้นประมาณ 288.75 ล้านบาท 1.1.4 ผ่อนผันหลักเกณฑ์ในการดำเนินงานสินเชื่อตามโครงการฯ โดยแยกวงเงินกู้ตามโครงการฯ ออกจากวงเงินกู้ปกติของผู้กู้แต่ละราย 1.1.5 ให้โรงงานน้ำตาลเป็นผู้ค้ำประกันหนี้ตามโครงการฯ ของผู้กู้ทุกราย กรณีที่โรงงานน้ำตาล เป็นผู้กู้เงินตามโครงการฯ ต้องจัดให้มีกรรมการของโรงงานน้ำตาล และหรือบุคคลที่ ธ.ก.ส. พิจารณาเห็นสมควร เป็นผู้ค้ำประกันอย่างน้อย 2 คน 1.2 อนุมัติเงินงบประมาณเพื่อชดเชยดอกเบี้ยส่วนต่างให้ ธ.ก.ส. ในการดำเนินการตามโครงการฯ วง เงินงบประมาณ 288.75 ล้านบาท โดยให้มีการชดเชยแก่ ธ.ก.ส. เป็นปี ๆ ไป ตามข้อเท็จจริง 2. ให้กระทรวงการคลัง โดย ธ.ก.ส. รับไปพิจารณากำหนดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขในการอุดหนุนสินเชื่อ ให้มีมาตรฐานโดยเฉพาะเกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ย ซึ่งอาจจำแนกเป็น กลุ่มผู้ประกอบการ กลุ่มเกษตรกรรายใหญ่และ กลุ่มเกษตรกรรายย่อย เพื่อใช้ประโยชน์ในการอุดหนุนให้เหมาะสมและเป็นธรรมมากยิ่งขั้นในโอกาสต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
35214 | ขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 3 มกราคม 2529 เกี่ยวกับเงินผลกำไรที่ธนาคารพาณิชย์ได้รับอันเนื่องมาจากการปรับปรุงระบบการแลกเปลี่ยนเงินตรา | กค | 07/09/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้กระทรวงการคลังนำส่งเงินผลกำไรที่ธนาคารพาณิชย์ได้รับอันเนื่องมาจาก
การปรับปรุงระบบการแลกเปลี่ยนเงินตราเมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน 2527 จำนวน 102,085,542.56 บาท พร้อม ดอกเบี้ย (ถ้ามี) เข้าเป็นรายได้แผ่นดิน ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ |
||||||||||||||||||||||||
35215 | ข้อเสนอการขอรับเงินอุดหนุนบริการสาธารณะประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2554 ขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ และการประปาส่วนภูมิภาค | กค | 07/09/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติมอบหมายให้คณะกรรมการกำกับนโยบายด้านรัฐวิสาหกิจรับเรื่อง ข้อเสนอการขอรับเงิน
อุดหนุนบริการสาธารณะประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2554 ขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) และการประปา ส่วนภูมิภาค (กปภ.) ไปพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง โดยในส่วนของ ขสมก. เนื่องจากได้มีมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 29 มิถุนา ยน 2553 ให้ขยายระยะเวลามาตรการลดภาระค่าครองชีพประชาชนในส่วนของการเดินทางโดยรถโดยสารประจำทาง ของ ขสมก. ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม-31 ธันวาคม 2553 เป็นผลให้วงเงินอุดหนุนบริการสาธารณะในช่วง 3 เดือน แรกของปีงบประมาณ พ.ศ. 2554 (ตุลาคม-ธันวาคม 2553) ซ้ำซ้อนกับการให้เงินอุดหนุนตามมาตรการลดภาระค่า ครองชีพประชาชนในช่วงเวลาดังกล่าว ดังนั้น ในขั้นตอนของการพิจารณาจัดทำบันทึกข้อตกลงการให้บริการสาธารณะ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2554 เห็นควรที่คณะกรรมการเงินอุดหนุน ฯ จะพิจารณาปรับลดวงเงินให้สอดคล้องกับข้อ เท็จจริงด้วย ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ไปประกอบการพิจารณาด้วย และให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
35216 | โครงการฟอนต์มาตรฐานราชการไทย | ทก | 07/09/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้หน่วยงานภาครัฐทุกหน่วยดำเนินการติดตั้งฟอนต์สารบรรณและฟอนต์
อื่น ๆ ทั้งหมด จำนวน 13 ฟอนต์ ของสำนักงานส่งเสริมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) และ กรมทรัพย์สินทางปัญญาเพิ่มเข้าไปในระบบปฏิบัติการ Thai OS (Thai Operating System) และใช้ฟอนต์ดังกล่าว แทนฟอนต์เดิม ตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเสนอ โดยให้รับความเห็นและข้อสังเกตของ สำนักนายกรัฐมนตรี (สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี) ที่เห็นควรให้จัดพิมพ์ตัวเลขเป็นเลขไทย เพื่อเป็นการ ส่งเสริมการใช้เลขไทย ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม 2543 แจ้งตามหนังสือสำนักเลขาธิการคณะ รัฐมนตรี ที่ นร 0205/ว 62 ลงวันที่ 10 พฤษภาคม 2543 เรื่อง การดูแลกำชับให้หน่วยราชการทุกแห่งใช้ เลขศักราชเป็นเลขปีพุทธศักราชในกิจกรรมทุกด้านของหน่วยราชการไปพิจารณา ทั้งนี้ หากหน่วยงานใดประสบ ปัญหาอุปสรรคในการใช้งานตามโครงการฟอนต์มาตรฐานราชการไทยให้รายงานคณะรัฐมนตรีด้วย |
||||||||||||||||||||||||
35217 | ขออนุมัติผ่อนผันการก่อหนี้ผูกพันการดำเนินงานโครงการต้นกล้าอาชีพ รุ่นที่ 8 ก่อนได้รับอนุมัติเงินประจำงวด | ศธ | 07/09/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติผ่อนผันการก่อหนี้ผูกพันก่อนได้รับอนุมัติเงินประจำงวดจากสำนักงบประมาณ
แก่สถานศึกษา จำนวน 35 แห่ง ที่ได้ดำเนินการจัดฝึกอบรมแก่ประชาชนตามโครงการเพิ่มศักยภาพผู้ว่างงานเพื่อ สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจและสังคมในชุมชน เป็นเงินจำนวน 43,916,691 บาท ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||
35218 | รายงานผลการประชุมคณะกรรมการเขตแดนร่วมไทย - พม่า อย่างไม่เป็นทางการ ณ เมืองเมียวดี ประเทศสหภาพพม่า | กต | 07/09/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการต่างประเทศรายงานผลการประชุมคณะกรรมการเขตแดน
ร่วมไทย-พม่า (Joint Boundary Committee-JBC) อย่างไม่เป็นทางการ ณ เมืองเมียวดี ประเทศสหภาพพม่า โดย คณะกรรมการเขตแดนร่วมไทย-พม่า (ฝ่ายไทย) และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเดินทางไปเข้าร่วมการประชุมดังกล่าว ตามคำเชิญของประธานคณะกรรมการเขตแดนร่วมไทย-พม่า (ฝ่ายพม่า) เมื่อวันที่ ๓๐ กรกฎาคม ๒๕๕๓ เพื่อหา รือเกี่ยวกับปัญหาเขตแดนกับฝ่ายพม่าอย่างไม่เป็นทางการโดยเฉพาะปัญหาการก่อสร้างเขื่อนป้องกันตลิ่งของไทย บริเวณแม่น้ำเมย ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญที่พม่าใช้อ้างในการปิดด่านบริเวณอำเภอแม่สอด จังหวัดตาก สรุปได้ดังนี้ ๑. ผลการประชุมอย่างไม่เป็นทางการ ประธาน JBC ฝ่ายไทย กล่าวว่า เรื่องเขตแดนเป็นเรื่องที่ละเอียด อ่อนซึ่งอาจทำให้กระทบไปถึงความสัมพันธ์อันดีที่มีอยู่ จึงจำเป็นที่จะต้องแยกประเด็นเขตแดนออกจากประเด็นอื่น โดยเห็นว่าบทบาทของ JBC ในการแก้ไขปัญหาเขตแดนมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง และหาก JBC สามารถพบปะ หารือกันได้อย่างสม่ำเสมอก็จะสามารถแก้ไขปัญหาเรื่องเขตแดนได้เป็นอย่างดีและพร้อมที่จะผลักดันให้การดำเนิน การภายใต้กรอบ JBC มีความคืบหน้าโดยเร็วเท่าที่จะทำได้ เนื่องจากประเด็นเรื่องเขตแดนเป็นความสำคัญสูงสุด ในความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้าน โดยในส่วนของฝ่ายพม่าเสนอให้มีการหารืออย่างไม่เป็นทางการ โดยมอบ หมายให้อธิบดีกรมการกงสุลและกฎหมาย (Consular and Legal Affairs Department) เป็นผู้หารือกับฝ่ายไทย ส่วนฝ่ายไทยได้มอบหมายให้อธิบดีกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย เป็นประธานในการหารือฝ่ายไทย โดยประธาน JBC ทั้งสองฝ่ายได้หารือกันแบบ four-eye ๒. ผลการหารือระหว่างอธิบดีกรมสนธิสัญญาและกฎหมายกับอธิบดีกรมการกงสุลและกฎหมายของพม่า ทั้งสองฝ่ายตกลงกันตามข้อเสนอของฝ่ายพม่าว่า การประชุมครั้งนี้มิได้ประชุมเพื่อให้ได้ข้อสรุปใด ๆ แต่จะเป็นการ ชี้แจง ส่งข้อความ ท่าทีของแต่ละฝ่ายให้อีกฝ่ายได้รับทราบ โดยฝ่ายพม่าได้ยืนยันหลักการตามกฎหมายระหว่าง ประเทศว่าก่อนการดำเนินการก่อสร้างบริเวณแม่น้ำเขตแดนจะต้องมีการแจ้งอีกฝ่ายก่อนเสมอ และได้หยิบยกปัญหา การสร้างเขื่อนป้องกันตลิ่งบริเวณแม่น้ำเมย ปัญหาเขื่อนป้องกันตลิ่งบริเวณแม่น้ำปากจั่น ปัญหาเกี่ยวกับเกาะกลาง แม่น้ำเมย (บริเวณใต้สะพานมิตรภาพ) อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก และปัญหาเกาะตายิ้ม (Lone Phaw Gyi) จังหวัด ระยอง ขึ้นหารือ ซึ่งฝ่ายไทยได้รับทราบปัญหาและท่าทีของฝ่ายพม่า โดยชี้แจงว่าในการก่อสร้างเขื่อนป้องกันตลิ่ง ทำไปด้วยความมั่นใจว่าจะไม่กระทบต่อตลิ่งฝั่งพม่าและเป็นการก่อสร้างเพื่อป้องกันมิให้มีการกัดเซาะตลิ่ง พร้อมทั้ง เห็นชอบตามข้อเสนอของฝ่ายพม่าให้มีคณะกรรมการเทคนิคร่วมภายใต้กรอบของ JBC เพื่อพิจารณาประเด็นเกี่ยว กับการก่อสร้างบริเวณแม่น้ำที่เป็นเขตแดนระหว่างไทย-พม่าตลอดแนว และหาแนวทางการแก้ไขปัญหาที่สอดคล้อง กับกฎหมายระหว่างประเทศและสามารถเป็นที่ยอมรับได้ของทั้งสองฝ่าย โดยทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องกันว่าประเด็น เรื่องแม่น้ำเมยถือเป็น priority ที่ทั้งสองฝ่ายจะต้องหยิบยกขึ้นพิจารณาเป็นลำดับแรก
|
||||||||||||||||||||||||
35219 | ผลการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศลุ่มน้ำโขงกับญี่ปุ่น ครั้งที่ 3 ที่กรุงฮานอย | กต | 07/09/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศลุ่มน้ำโขงกับญี่ปุ่น ครั้งที่ 3 ที่กรุงฮานอย
เมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม 2553 ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ สรุปผลการประชุมได้ดังนี้ 1. ที่ประชุมฯ ได้หารือเกี่ยวกับความคืบหน้าในการปฏิบัติตามเอกสารผลการประชุมผู้นำฯ ครั้งที่ 1 และ แนวทางความร่วมมือในอนาคต โดยญี่ปุ่นยืนยันการให้ความช่วยเหลือต่อประเทศลุ่มน้ำโขงอย่างต่อเนื่อง และได้มี ข้อเสนอเรื่อง "หนึ่งทศวรรษสู่แม่โขงเขียวขจี" (A Decade toward the Green Mekong) โดยเน้นประเด็นด้านการ จัดการกับปัญหาสิ่งแวดล้อม และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในลุ่มน้ำโขง และจะให้ความช่วยเหลือประเทศ ลุ่มน้ำโขงด้านวิชาการและการถ่ายทอดเทคโนโลยี ผ่านงบประมาณของรัฐบาลญี่ปุ่น ความช่วยเหลือในการพัฒนา อย่างเป็นการทาง (Official Development Assistance : ODA) และความช่วยเหลือทางการเงินจากภาคเอกชนของ ญี่ปุ่น จำนวน 500,000 ล้านเยน (ประมาณ 17,000 ล้านบาท) ภายในระยะเวลา 3 ปี ระหว่างปี พ.ศ. 2553- 2555 2. ที่ประชุมได้หารือเกี่ยวกับประเด็นข้อห่วงกังวลในภูมิภาคและระหว่างประเทศโดยมีหัวข้อสถานการณ์ ในคาบสมุทรเกาหลี สถานการณ์ในพม่า การปฏิรูปสหประชาชาติ รวมทั้งการยืนยันการสนับสนุนของประเทศ ลุ่มน้ำโขงต่อการเป็นสมาชิกถาวรของญี่ปุ่นในคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ 3. ที่ประชุมได้รับรองแถลงการณ์ของประธานเป็นเอกสารผลการประชุม ซึ่งสะท้อนถึงผลการประชุมที่ ได้หารือถึงความคืบหน้าและแนวทางในอนาคตของความร่วมมือ Mekong-Japan เพื่อสันติสุข การพัฒนา และ ความเจริญรุ่งเรืองในลุ่มน้ำโขงและในภูมิภาคเอเชียตะวันออกโดยรวม
|
||||||||||||||||||||||||
35220 | ข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติองค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. .... | สว | 07/09/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติองค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. .... เกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ตามมาตรา ๒๗ ควรรวมไปถึงการส่งเสริมสนับสนุนการวิจัยและพัฒนากิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ เทคโนโลยีด้านโทรคมนาคม เทคโนโลยีสารสนเทศ อุตสาหกรรมโทรคมนาคม และอุตสาหกรรมที่ต่อเนื่อง รวมถึงส่งเสริมให้มีการฝึกอบรมและพัฒนาบุคลากรด้านกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และบุคลากรด้านโทรคมนาคมและเทคโนโลยีสารสนเทศด้วย ตามที่สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาเสนอ ๒. รับทราบผลการพิจารณาของกระทรวงเทคโนโลยีและการสื่อสาร สำนักนายกรัฐมนตรี (กรมประชาสัมพันธ์) ที่เห็นด้วยกับข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ และผลการพิจารณาของสำนักงานคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติที่เห็นว่า กสทช. ควรมีอำนาจหน้าที่ในส่วนที่เกี่ยวเนื่องเพื่อการพัฒนาอุตสาหกรรมในกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมให้ครบถ้วนและเกิดความต่อเนื่องจากสิ่งที่ได้ดำเนินการไปแล้ว ดังนั้น อำนาจหน้าที่ของ กสทช. ตามร่างมาตรา ๒๗ ควรรวมไปถึงการส่งเสริมสนับสนุนการวิจัยและพัฒนาด้านกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม เทคโนโลยีด้านโทรคมนาคม เทคโนโลยีสารสนเทศ อุตสาหกรรมโทรคมนาคมและอุตสาหกรรมที่ต่อเนื่อง รวมถึงส่งเสริมให้มีการฝึกอบรมและพัฒนาบุคลากรด้านกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และบุคลากรด้านโทรคมนาคมและเทคโนโลยีสารสนเทศ ตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ และให้แจ้งสำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาทราบต่อไป
|
.....