ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1481 จากทั้งหมด 6212 หน้า แสดงรายการที่ 29601 - 29620 จากข้อมูลทั้งหมด 124231 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
29601 | ร่างพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | นร09 | 09/10/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว และให้ส่งคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป โดยร่างพระราชบัญญัติฯ มีสาระสำคัญคือ แก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. ๒๕๓๗ ดังนี้
๑. เพิ่มบทนิยามคำว่า “ข้อมูลการบริหารสิทธิ” “มาตรการทางเทคโนโลยี” และ “การหลบเลี่ยงมาตรการทางเทคโนโลยี” ๒. เพิ่มข้อยกเว้นการละเมิดลิขสิทธิ์กรณีการจำหน่ายต้นฉบับหรือสำเนางานอันมีลิขสิทธิ์ ๓. เพิ่มข้อยกเว้นการละเมิดลิขสิทธิ์และสิทธิของนักแสดงกรณีการทำซ้ำที่จำเป็นในระบบคอมพิวเตอร์ และกรณีละเมิดลิขสิทธิ์หรือสิทธิของนักแสดงโดยผู้ให้บริการซึ่งมิใช่ผู้ควบคุม ริเริ่ม หรือสั่งการให้มีการละเมิดลิขสิทธิ์หรือสิทธิของนักแสดงในระบบคอมพิวเตอร์ของผู้ให้บริการ ๔. เพิ่มสิทธิของนักแสดงในการแสดงว่าตนเป็นนักแสดงและสิทธิที่จะห้ามผู้รับโอนสิทธิหรือบุคคลอื่นกระทำต่อการแสดงอันทำให้นักแสดงเสียหายต่อชื่อเสียงหรือเกียรติคุณ ๕. เพิ่มการคุ้มครองข้อมูลการบริหารสิทธิและมาตรการทางเทคโนโลยี การฟ้องคดี บทกำหนดโทษเกี่ยวกับการละเมิดข้อมูลการบริหารสิทธิและมาตรการทางเทคโนโลยี และการเปรียบเทียบคดี ๖. กำหนดให้ศาลมีอำนาจสั่งให้ผู้ละเมิดลิขสิทธิ์หรือสิทธิของนักแสดงจ่ายค่าเสียหายเพิ่มขึ้นไม่เกินสองเท่าของค่าเสียหายในกรณีที่เป็นการกระทำโดยจงใจหรือมีเจตนาให้งานอันมีลิขสิทธิ์หรือสิทธิของนักแสดงสามารถเข้าถึงโดยสาธารณชนได้อย่างแพร่หลาย ๗. แก้ไขเพิ่มเติมอำนาจศาลในคดีอาญาให้มีอำนาจสั่งริบสิ่งที่ได้ทำขึ้นหรือนำเข้ามาในราชอาณาจักรอันเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์หรือสิทธิของนักแสดงและสิ่งที่ได้ใช้ในการกระทำความผิดหรืออาจสั่งให้ทำให้สิ่งนั้นใช้ไม่ได้หรือจะสั่งทำลายสิ่งนั้นก็ได้
|
||||||||||||||||||
29602 | ขออนุมัติการจัดทำหนังสือแลกเปลี่ยนเกี่ยวกับการจัดตั้งกลไกคณะกรรมการร่วมไทย - เมียนมาร์ เพื่อการพัฒนาที่ครอบคลุมในเขตเศรษฐกิจพิเศษทวายและพื้นที่โครงการที่เกี่ยวข้อง | กต | 09/10/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ๑.๑ เห็นชอบร่างหนังสือแลกเปลี่ยนเกี่ยวกับการจัดตั้งกลไกคณะกรรมการร่วมไทย-เมียนมาร์ว่าด้วยการพัฒนาที่ครอบคลุมในเขตเศรษฐกิจพิเศษทวายและพื้นที่โครงการที่เกี่ยวข้อง โดยมีสาระสำคัญสรุปได้ ดังนี้ ๑.๑.๑ ทั้งสองฝ่ายตกลงที่จะจัดตั้งกลไกคณะกรรมการร่วม ๓ ระดับ เพื่อเป็นการดำเนินการตามบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์ว่าด้วยการพัฒนาที่ครอบคลุมในเขตเศรษฐกิจพิเศษทวายและพื้นที่โครงการที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ ๑.๑.๑.๑ คณะกรรมการร่วมระดับสูงระหว่างไทย-เมียนมาร์เพื่อการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษทวายและพื้นที่โครงการที่เกี่ยวข้อง (Myanmar-Thailand Joint High-level Committee for the Comprehensive Development in the Dawei SEZ and Its Related Project Areas-JHC) เป็นกลไกระดับนโยบาย มีหน้าที่ประสานนโยบายเพื่อผลักดันความคืบหน้าและการดำเนินตามบันทึกความเข้าใจฯ อย่างมีประสิทธิภาพ และส่งเสริมความร่วมมือเพื่อการพัฒนา Southern Economic Corridor (SEC) ๑.๑.๑.๒ คณะกรรมการประสานงานระหว่างไทย-เมียนมาร์เพื่อการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษทวายและพื้นที่โครงการที่เกี่ยวข้อง (Myanmar-Thailand Joint Coordinating Committee for the Comprehensive Development in the Dawei SEZ and Its Related Project Areas-JCC) ทำหน้าที่ฝ่ายเลขานุการของ JHC พิจารณายุทธศาสตร์ความร่วมมือ ติดตามการพัฒนาโครงการในภาพรวม และประสานงานการดำเนินการตามบันทึกความเข้าใจฯ รวมทั้งประสานงานการดำเนินการของแต่ละคณะอนุกรรมการและระหว่างคณะอนุกรรมการย่อย ๖ สาขา ติดตามประเมินผลความคืบหน้าการดำเนินการตามบันทึกความเข้าใจฯ และภารกิจอื่น ๆ ที่ได้รับมอบหมายจาก JHC ๑.๑.๑.๓ คณะอนุกรรมการ (Sub-Committees) ใน ๖ สาขา ได้แก่ โครงสร้างพื้นฐานและการก่อสร้าง สาขาอุตสาหกรรมเฉพาะด้านและการพัฒนาธุรกิจ พลังงาน การพัฒนาชุมชน กฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง และการเงิน ๑.๑.๒ ร่างหนังสือแลกเปลี่ยนฯ จะมีผลใช้บังคับเมื่อมีการแลกเปลี่ยนหนังสือระหว่างกัน ๑.๒ อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศหรือผู้แทนเป็นผู้ลงนามในร่างหนังสือแลกเปลี่ยนฯ ๑.๓ ให้มีคำสั่งจัดตั้งองค์ประกอบคณะกรรมการร่วมไทย-เมียนมาร์ เพื่อการพัฒนาที่ครอบคลุมในเขตเศรษฐกิจพิเศษทวายและพื้นที่โครงการที่เกี่ยวข้องในส่วนของฝ่ายไทย และจัดการประชุมองค์ประกอบคณะกรรมการร่วมฯ ฝ่ายไทยในโอกาสแรก เพื่อเตรียมการสำหรับการประชุมร่วมกับผู้แทนจากฝ่ายเมียนมาร์ต่อไป ๑.๔ หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขร่างหนังสือแลกเปลี่ยนฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญก่อนการลงนาม ซึ่งรวมทั้งการปรับเปลี่ยนรูปแบบโดยไม่กระทบสาระสำคัญหรือไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของประเทศไทย ให้กระทรวงการต่างประเทศสามารถดำเนินการได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง ๒. ให้กำหนดและเปลี่ยนแปลงผู้เป็นประธานร่วมฝ่ายไทยในคณะกรรมการต่าง ๆ จากเดิมที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ได้แก่ คณะกรรมการร่วมระดับสูงระหว่างไทย-เมียนมาร์ฯ มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) เป็นประธานร่วมฝ่ายไทย และคณะกรรมการประสานงานระหว่างไทย-เมียนมาร์ฯ มอบหมายให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล) เป็นประธานร่วมฝ่ายไทย โดยให้เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเป็นฝ่ายเลขานุการในคณะกรรมการประสานงานฯ และให้กระทรวงการต่างประเทศร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเร่งรัดดำเนินการและเตรียมการในส่วนที่เกี่ยวข้องเพื่อให้สามารถจัดการประชุมร่วมกับฝ่ายเมียนมาร์ได้โดยเร็วต่อไป |
||||||||||||||||||
29603 | แจ้งผลคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด กรณี ว่าที่พันตรี นิพนธ์ ซิ้มประยูร อุทธรณ์คำพิพากษาศาลปกครองกลาง เรื่อง คดีพิพาทเกี่ยวกับการที่เจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย | อส | 09/10/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานอัยการสูงสุดแจ้งผลคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด คดีหมายเลขแดงที่ อ. ๑๐๘/๒๕๕๕ ระหว่าง ว่าที่พันตรี นิพนธ์ ซิ้มประยูร ผู้ฟ้องคดี กับนายกรัฐมนตรี คณะรัฐมนตรี และคณะกรรมการการเลือกตั้ง ผู้ถูกฟ้องคดี เรื่อง คดีพิพาทเกี่ยวกับการที่เจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย (อุทธรณ์คำพิพากษา) ซึ่งศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลปกครองกลางที่ให้ยกคำฟ้องของผู้ฟ้องคดี เนื่องจากผู้ฟ้องคดีมิได้เป็นผู้มีสิทธิฟ้องคดี
|
||||||||||||||||||
29604 | แผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ 2556 | กค | 09/10/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ประธานกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะเสนอ ดังนี้ ๑.๑ แผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ซึ่งประกอบด้วย ๓ แผนย่อย ได้แก่ แผนการก่อหนี้ใหม่ วงเงินในประเทศ ๙๔๓,๙๓๖.๑๐ ล้านบาท วงเงินต่างประเทศ ๑๕,๔๕๕.๗๗ ล้านบาท รวม ๙๕๙,๓๙๑.๘๗ ล้านบาท แผนการปรับโครงสร้างหนี้ วงเงินในประเทศ ๗๐๓,๓๙๔.๕๐ ล้านบาท วงเงินต่างประเทศ ๓๔,๒๐๘.๔๐ ล้านบาท รวม ๗๓๗,๖๐๒.๙๐ ล้านบาท และแผนการบริหารความเสี่ยง วงเงินในประเทศ ๔๗,๑๐๐.๐๐ ล้านบาท วงเงินต่างประเทศ ๑๗๖,๐๓๘.๓๘ ล้านบาท รวม ๒๒๓,๑๓๘.๓๘ ล้านบาท และรับทราบแผนการบริหารจัดการหนี้ของรัฐวิสาหกิจที่ไม่ต้องขออนุมัติภายใต้กรอบแผนฯ วงเงิน ๑๒๗,๘๘๕.๒๑ ล้านบาท ๑.๒ การกู้เงินของรัฐบาล การกู้มาเพื่อให้กู้ต่อ การกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้ และการค้ำประกันเงินกู้ให้กับรัฐวิสาหกิจภายใต้กรอบวงเงินของแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ๑.๓ ให้กระทรวงการคลังเป็นผู้พิจารณาการกู้เงิน วิธีการกู้เงิน เงื่อนไข และรายละเอียดต่าง ๆ ของการกู้เงินและการค้ำประกันในแต่ละครั้งได้ตามความเหมาะสมและจำเป็น ภายใต้แผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ แต่หากรัฐวิสาหกิจสามารถดำเนินการกู้เงินได้เอง ก็ให้สามารถดำเนินการได้ตามความเหมาะสมและจำเป็นของรัฐวิสาหกิจนั้น ๆ ๑.๔ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังหรือผู้ที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังมอบหมายเป็นผู้ลงนามผูกพันการกู้เงินและหรือการค้ำประกันเงินกู้ และเอกสารที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ กระทรวงการคลังจะรายงานผลการดำเนินการตามแผนการบริหารหนี้สาธารณะดังกล่าวตามที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๘ และที่แก้ไขเพิ่มเติม และระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๙ ๒. ให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงพาณิชย์ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นควรรายงานผลการดำเนินการตามแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ตามที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๘ และที่แก้ไขเพิ่มเติม และระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๙ การกำกับดูแลส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจให้ดำเนินการตามแผนการบริหารหนี้สาธารณะดังกล่าว เพื่อให้การใช้เงินกู้ตามแผนเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และการให้หน่วยงานที่มีความประสงค์ในการกู้เงินให้ความสำคัญกับการกู้เงินในประเทศมากกว่าการกู้เงินจากต่างประเทศ เพื่อลดความเสี่ยงจากความผันผวนของสกุลเงินตราต่างประเทศและปัญหาการขาดดุลบัญชีเดินสะพัด รวมทั้งข้อสังเกตของสำนักงบประมาณเกี่ยวกับแผนการก่อหนี้ใหม่ของรัฐวิสาหกิจที่เป็นสถาบันการเงินที่กระทรวงการคลังจะค้ำประกันและให้กู้ต่อ โดยเป็นเงินกู้เพื่อเป็นทุนหมุนเวียนในการดำเนินโครงการที่มีวัตถุประสงค์ในการแก้ไขปัญหาราคาผลิตผลทางการเกษตรตามนโยบายรัฐบาลและเงินกู้เพื่อเป็นทุนหมุนเวียนในการปล่อยสินเชื่อ วงเงิน ๑๖๐,๐๐๐ ล้านบาท อาจจะต้องมีการปรับปรุงวงเงินดังกล่าวให้สอดคล้องกับการดำเนินโครงการรับจำนำผลผลิตการเกษตร ที่จำเป็นต้องดำเนินการในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ อีกครั้งหนึ่ง ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||
29605 | กรอบและงบประมาณของรัฐวิสาหกิจประจำปีงบประมาณ 2556 [คณะรัฐมนตรีมีมติให้เลื่อนไปประชุม ครั้งที่ 41/2555 วันที่ 9 ตุลาคม 2555 และให้นำเอกสารงบประมาณของรัฐวิสาหกิจ ประจำปี 2556 จำนวน 4 เล่ม ซึ่งเป็นเอกสารประกอบระเบียบวาระการประชุมคณะรัฐมนตรี ครั้งที่ 39/2555 (เพิ่มเติม ครั้งที่ 2) เรื่องที่ 14 มาใช้ในการประชุมฯ ครั้งนี้] | นร11 | 09/10/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและเห็นชอบกรอบและงบประมาณของรัฐวิสาหกิจประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ตามที่รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล) เสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบประมาณการงบทำการประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ที่คาดว่าจะมีกำไรสุทธิประมาณ ๗๙,๗๘๒ ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ร้อยละ ๑๓.๕ โดยสามารถจัดหาเงินสดเพื่อใช้ลงทุนได้ประมาณ ๒๑๕,๒๔๙ ล้านบาท และรับทราบประมาณการแนวโน้มการดำเนินงานช่วงปี พ.ศ. ๒๕๕๗-๒๕๕๙ ของรัฐวิสาหกิจที่คาดว่าผลประกอบการจะมีกำไรสุทธิรวม ๒๒๒,๓๒๒ ล้านบาท หรือเฉลี่ยประมาณปีละ ๗๔,๑๐๗ ล้านบาท และการเบิกจ่ายลงทุนรวม ๒,๓๐๕,๔๒๖ ล้านบาท หรือเฉลี่ยประมาณปีละ ๗๖๘,๔๗๕ ล้านบาท ๑.๒ เห็นชอบกรอบและงบประมาณของรัฐวิสาหกิจประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ วงเงินดำเนินการ จำนวน ๑,๐๔๖,๕๓๓ ล้านบาท และวงเงินเบิกจ่ายลงทุน จำนวน ๖๓๗,๑๑๑ ล้านบาท ประกอบด้วย ๑.๒.๑ การลงทุนโครงการต่อเนื่องที่ได้รับอนุมัติให้ดำเนินการแล้วและงานตามภารกิจปกติ วงเงินดำเนินการ จำนวน ๙๔๖,๕๓๓ ล้านบาท และวงเงินเบิกจ่ายลงทุน จำนวน ๕๕๗,๑๑๑ ล้านบาท ๑.๒.๒ การลงทุนที่ขอเพิ่มเติมระหว่างปี (การเปลี่ยนแปลงหรือเพิ่มเติมงบลงทุนเพื่อการดำเนินงานปกติ) วงเงินดำเนินการ จำนวน ๑๐๐,๐๐๐ ล้านบาท และวงเงินเบิกจ่ายลงทุน จำนวน ๘๐,๐๐๐ ล้านบาท สำหรับโครงการลงทุนที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติเพิ่มเติมระหว่างปี โดยให้ สศช. ปรับเพิ่มกรอบวงเงินดำเนินการและกรอบวงเงินเบิกจ่ายลงทุนให้สอดคล้องกับมติคณะรัฐมนตรีได้ เพื่อให้รัฐวิสาหกิจสามารถดำเนินการได้ทันทีภายในปีงบประมาณ และมอบคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเป็นผู้พิจารณาอนุมัติการเปลี่ยนแปลงหรือเพิ่มเติมงบลงทุนระหว่างปีดังกล่าว สำหรับโครงการที่ยังไม่ได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีและการลงทุนที่ใช้เงินงบประมาณตามพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ให้ดำเนินการได้เมื่อได้รับอนุมัติตามขั้นตอนแล้ว ทั้งนี้ ให้รัฐวิสาหกิจเบิกจ่ายลงทุนตามเป้าหมายร้อยละ ๙๕ ของวงเงินอนุมัติให้เบิกจ่ายลงทุน ๑.๒.๓ ให้กระทรวงเจ้าสังกัดรับข้อเสนอแนะเชิงนโยบายระดับกระทรวงและระดับองค์กรไปพิจารณาดำเนินการ รวมทั้งรายงานผลความก้าวหน้าของการดำเนินงานและการเบิกจ่ายลงทุนในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ให้ สศช. ทราบภายในทุกวันที่ ๕ ของเดือนอย่างเคร่งครัด และรายงานผลการดำเนินงานตามข้อเสนอแนะและความก้าวหน้าการดำเนินโครงการลงทุนทุกไตรมาส ทั้งนี้ เพื่อประโยชน์ในการติดตามประเมินผลการดำเนินงานและการลงทุนของรัฐวิสาหกิจได้อย่างต่อเนื่อง ๑.๒.๔ เห็นชอบในหลักการให้ สศช. ปรับวงเงินลงทุนของรัฐวิสาหกิจประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ให้สอดคล้องกับผลการจัดสรรงบประมาณตามพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ และการอนุมัติโครงการของคณะรัฐมนตรี ๒. ให้ สศช. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลังเกี่ยวกับความเป็นไปได้ในการรายงานความก้าวหน้าของการดำเนินงานและการเบิกจ่ายลงทุนให้เป็นรายงานเดียวที่สามารถใช้ประโยชน์ได้ทั้ง สศช. และกระทรวงการคลัง การกำหนดให้การเบิกจ่ายงบลงทุนเป็นตัวชี้วัดการประเมินผลการดำเนินงานของกระทรวงเจ้าสังกัด คณะกรรมการรัฐวิสาหกิจ และผู้บริหารสูงสุดของรัฐวิสาหกิจ การให้กระทรวงเจ้าสังกัดจัดทำกรอบนโยบายและแผนงานโครงการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐวิสาหกิจระหว่างปี พ.ศ. ๒๕๕๖-๒๕๖๐ เพื่อประกอบการจัดทำแผนยุทธศาสตร์การให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ ให้ทุกรัฐวิสาหกิจรายงานความก้าวหน้าของการดำเนินงานและการเบิกจ่ายลงทุนไปยัง สศช. ทุกเดือนภายในวันที่ สศช. กำหนด และให้ สศช. ประมวลข้อมูลของรัฐวิสาหกิจในภาพรวมทั้งหมดเพื่อเสนอคณะรัฐมนตรีทุก ๓ เดือน ๓. ในกรณีของบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) (บกท.) ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจที่มีวงเงินเบิกจ่ายลงทุนจำนวนมาก โดยมีโครงการจัดหาเครื่องบินปี ๒๕๕๔-๒๕๖๕ จำนวน ๗๕ ลำ วงเงินรวมทั้งสิ้น ๔๕๗,๑๒๗ ล้านบาท (ประกอบด้วยโครงการจัดหาเครื่องบินระยะแรก ปี ๒๕๕๔-๒๕๖๐ จำนวน ๓๗ ลำ วงเงินลงทุนรวม ๒๑๖,๐๗๕ ล้านบาท และโครงการจัดหาเครื่องบินระยะที่สอง ปี ๒๕๖๑-๒๕๖๕ จำนวน ๓๘ ลำ วงเงินลงทุนรวม ๒๔๑,๐๕๒ ล้านบาท) นั้น โดยที่สภาวะเศรษฐกิจและสภาพการแข่งขันในธุรกิจการบิน รวมทั้งสถานะทางการเงินของ บกท. ในปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงและมีผลกระทบต่อแผนการลงทุนของ บกท. อย่างมีนัยสำคัญ ให้กระทรวงคมนาคม โดย บกท. ดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๐ เมษายน ๒๕๕๔ [เรื่อง โครงการจัดหาเครื่องบินของบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน)] อย่างเคร่งครัด โดยนำโครงการจัดหาเครื่องบิน ระยะที่สอง ปี ๒๕๖๑-๒๕๖๕ จำนวน ๓๘ ลำ เสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง |
||||||||||||||||||
29606 | ความตกลงว่าด้วยความร่วมมือทางวัฒนธรรมระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งรัฐกาตาร์ | กต | 09/10/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในการดำเนินการเพื่อให้ความตกลงว่าด้วยความร่วมมือทางวัฒนธรรมระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งรัฐกาตาร์มีผลใช้บังคับตามแนวทางที่ระบุไว้ในความตกลงฯ คือ การจัดทำสัตยาบันสารหรือหนังสือแจ้งฝ่ายกาตาร์ทราบว่าฝ่ายไทยได้ดำเนินการตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องของตนแล้ว ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
|
||||||||||||||||||
29607 | การรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง โครงการพัฒนาศิริราชสู่สถาบันการแพทย์ชั้นเลิศในเอเชียอาคเนย์ ครั้งที่ 9 และครั้งที่ 10 | ศธ | 09/10/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงศึกษาธิการรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง โครงการพัฒนาศิริราชสู่สถาบันการแพทย์ชั้นเลิศในเอเชียอาคเนย์ ครั้งที่ ๙ ณ วันที่ ๒๙ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ และครั้งที่ ๑๐ ณ วันที่ ๒๙ พฤษภาคม ๒๕๕๕ ดังนี้
๑. สรุปการดำเนินงานก่อสร้างในส่วนของอาคารชั้นใต้ดินและอาคารโรงพยาบาล อาคารศูนย์วิจัย อาคารสถานีไฟฟ้าย่อย งานภายนอกอาคารและงานภูมิสถาปัตยกรรม โดยรายงานฯ ครั้งที่ ๙ ผลการดำเนินงานถึงเดือนกันยายน ๒๕๕๔ คิดเป็นร้อยละ ๘๖.๑๕ ของงานก่อสร้างทั้งโครงการ และรายงานฯ ครั้งที่ ๑๐ ผลการดำเนินงานถึงเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๕ คิดเป็นร้อยละ ๙๔.๑๓ ของงานก่อสร้างทั้งโครงการ ๒. จำนวนเงินงบประมาณที่เบิกจ่ายระหว่างปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๐-๒๕๕๔ โดยใช้จ่ายจากงบประมาณแผ่นดิน รวม ๒,๕๐๐,๐๐๐,๐๐๐.๐๐ บาท และเงินนอกงบประมาณแผ่นดิน รวม ๒,๔๖๗,๑๒๓,๑๔๑.๑๑ บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๔,๙๖๗,๑๒๓,๑๔๑.๑๑ บาท ๓. ปัญหา/อุปสรรคในการดำเนินการ และแนวทางการแก้ไขปัญหา ได้แก่ งานก่อสร้างได้รับผลกระทบจากอุทกภัยในบริเวณเขตพื้นที่อุตสาหกรรม เขตพื้นที่ที่ใช้เส้นทางการขนส่งวัสดุ และเขตพื้นที่ที่พักอาศัยของแรงงาน ซึ่งผู้รับจ้างจะเร่งงานก่อสร้างให้แล้วเสร็จภายในกำหนดระยะเวลาสัญญา โดยเร่งการขนส่งวัสดุ การเพิ่มแรงงาน ๔. ระยะเวลาสิ้นสุดโครงการ สัญญาก่อสร้างสิ้นสุดวันที่ ๑๖ มีนาคม ๒๕๕๕ (ขยายสัญญา) ผู้รับจ้างขอขยายระยะเวลาสัญญาต่อไปอีกถึงวันที่ ๑๓ สิงหาคม ๒๕๕๕ และขอสงวนสิทธิขยายระยะเวลาสัญญา ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๖ มีนาคม ๒๕๕๕ (เรื่อง มาตรการการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากเหตุอุทกภัย) ทั้งนี้ ทางมหาวิทยาลัยมหิดลได้มีหนังสือขออนุมัติขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ โครงการพัฒนาศิริราชสู่สถาบันการแพทย์ชั้นเลิศในเอเชียอาคเนย์ ซึ่งอยู่ระหว่างการดำเนินการของสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา
|
||||||||||||||||||
29608 | ข้อเสนอ แนวทาง มาตรการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ ในรูปแบบแรงงานประมง | พม | 09/10/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามมติคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ ในการประชุมครั้งที่ ๒/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๑๖ กรกฎาคม ๒๕๕๕ ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ โดยคณะกรรมการฯ มีมติ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบข้อเสนอ แนวทาง มาตรการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ในรูปแบบแรงงานประมง และแนวทางการจัดตั้งศูนย์ประสานแรงงานประมง เพื่อสกัดกั้นและขจัดขบวนการการค้ามนุษย์ ในรูปแบบแรงงานประมง ประกอบด้วยประเด็นสำคัญ ๓ เรื่อง ดังนี้ ๑.๑.๑ การปรับปรุงแก้ไขกฎหมาย กฎ ระเบียบ และข้อปฏิบัติที่เกี่ยวข้องกับตัวเรือ บุคคลบนเรือ ให้สอดคล้องกับวิธีการทำประมงของไทย ได้แก่ การปรับปรุงกฎกระทรวง ฉบับที่ ๑๐ (พ.ศ. ๒๕๔๑) ออกตามความในพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ ข้อ ๒ และข้อ ๔ การปรับปรุงพระราชบัญญัติการเดินเรือในน่านน้ำไทย พ.ศ. ๒๔๕๖ มาตรา ๒๘๕-๒๙๐ ว่าด้วยการจ้างและเลิกจ้างคนทำงานบนเรือ การปรับปรุงตำแหน่งหน้าที่และเอกสารรับรองคุณสมบัติคนบนเรือให้สอดคล้องกับศักยภาพขั้นต่ำและประสบการณ์ของแรงงานไทย และการปรับปรุงวิธีการจดทะเบียนแรงงานต่างด้าว ตามเงื่อนไขของบันทึกความเข้าใจทวิภาคีกับประเทศเพื่อนบ้าน ๓ สัญชาติ (กัมพูชา ลาว และเมียนมาร์) และคณะกรรมการบริหารแรงงานต่างด้าว ๑.๑.๒ การบังคับใช้กฎระเบียบและการตรวจสอบ ได้แก่ การดำเนินคดีกับสาย/นายหน้าที่หลอกลวงคนหางาน ตามพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. ๒๕๒๘ การควบคุมเรือเข้า-ออกท่า การจัดระเบียบเรือประมงเข้าระบบอย่างถูกต้อง ทั้งตัวเรือ และตัวบุคคลบนเรือ การตรวจสอบเรือประมง คนทำงานบนเรือ และอุปกรณ์การทำงาน ให้เป็นไปตามกฎหมาย และกฎระเบียบต่าง ๆ การติดตั้งหรือพัฒนาระบบเพื่อใช้ในการบอกตำแหน่งเรือ/ติดตามเรือประมง การสร้างความเข้าใจในพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ พ.ศ. ๒๕๕๑ ให้กับผู้เกี่ยวข้องในการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ รูปแบบแรงงานประมง และการเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างประเทศในการต่อต้านและเฝ้าระวังการแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบจากการผลักดันแรงงานอพยพไปทำงานในประเทศปลายทาง ๑.๑.๓ การแก้ไขการขาดแคลนแรงงานและการบังคับใช้แรงงานที่นำไปสู่การค้ามนุษย์ ได้แก่ การทบทวนและปรับปรุงบันทึกความเข้าใจทวิภาคีกับประเทศเพื่อนบ้าน ๓ สัญชาติ (กัมพูชา ลาว และเมียนมาร์) เกี่ยวกับขั้นตอน ค่าธรรมเนียม และการเตรียมความพร้อมในการทำงานตามลักษณะ/สภาพงาน เพื่อให้สามารถรองรับแรงงานย้ายถิ่น การสร้างมาตรฐานลักษณะการปฏิบัติงานและการดำรงชีวิตบนเรือ/ในโรงงานอุตสาหกรรม การส่งเสริมให้มีการใช้จรรยาบรรณของผู้ประกอบการภาคประมง การส่งเสริมและสนับสนุนการวิจัยและพัฒนาเพื่อสร้างเทคโนโลยีลดจำนวนการใช้แรงงานบนเรือ และการจัดตั้งศูนย์ประสานแรงงานประมง เป็นโครงการนำร่อง ๗ ศูนย์ (ในพื้นที่จังหวัดสมุทรสาคร ระยอง ตราด ชุมพร สงขลา ระนอง และสตูล) ที่จะนำแรงงานที่ถูกต้องตามกฎหมาย และได้รับอนุญาตให้ทำงานเฉพาะกิจการบนเรือประมงเท่านั้น โดยมีระบบการควบคุม ตรวจสอบ คุ้มครองแรงงาน ให้ความรู้เรื่องสิทธิที่พึงจะได้รับแก่นายจ้างและลูกจ้าง จัดทำข้อตกลงการจ้างที่ชัดเจน ฯลฯ ๑.๒ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน กรมเจ้าท่า กรมการจัดหางาน สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง กองบังคับการตำรวจน้ำ กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการค้ามนุษย์) สำนักงานอัยการสูงสุด กองทัพเรือ กรมประมง กรมสอบสวนคดีพิเศษ ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ กระทรวงการต่างประเทศ และกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เร่งดำเนินการตามข้อเสนอ แนวทาง มาตรการดังกล่าว และดำเนินการจัดตั้งศูนย์ประสานแรงงานประมง เพื่อสกัดกั้นและขจัดขบวนการการค้ามนุษย์ ทั้งนี้ ให้รับข้อสังเกต/ข้อเสนอแนะของที่ประชุมคณะกรรมการฯ ไปประกอบการดำเนินงานด้วย ๑.๓ รายงานผลการดำเนินงานและความคืบหน้าให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ทราบภายใน ๖ เดือน เพื่อรวบรวมนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ๒. ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์รับความเห็นของกระทรวงคมนาคม กระทรวงแรงงาน ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ เกี่ยวกับการดำเนินงานของกรมเจ้าท่า โดยการจัดหลักสูตรสำหรับผู้ควบคุมเรือกลประมงโดยเฉพาะให้สามารถสอบประเมินความรู้เพื่อรับประกาศนียบัตรตามข้อบังคับกรมเจ้าท่าว่าด้วยการสอบความรู้ผู้ทำการในเรือ พ.ศ. ๒๕๓๒ รวมทั้งการออกมาตรการเพื่อให้เรือประมงทะเล โดยเฉพาะเรือประมงทะเลลึกที่มีเขตการเดินเรือไปต่างประเทศมาทำสัญญาคนประจำเรือกับกรมเจ้าท่า เพื่อช่วยในการตรวจสอบติดตามข้อมูลของคนประจำเรือ ซึ่งมาตรการดังกล่าวควรมีการหารือร่วมกันระหว่างผู้ที่เกี่ยวข้องและผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย เพื่อกำหนดแนวทางที่เป็นประโยชน์ร่วมกัน ดำเนินการได้จริง และเกิดผลในทางปฏิบัติ สำหรับการติดตั้งหรือพัฒนาระบบเพื่อใช้ในการบอกตำแหน่งเรือ/ติดตามเรือประมง โดยการใช้เทคโนโลยี Global Positioning System (GPS) ร่วมกับเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตและเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ เนื่องจากในบางพื้นที่เครือข่ายอินเทอร์เน็ตและโทรศัพท์เคลื่อนที่อาจไม่ครอบคลุม ควรมีการสนับสนุนให้เกิดการขยายบริการของเครือข่ายดังกล่าวให้ครอบคลุมในอนาคต เพื่อให้เกิดการใช้ประโยชน์จากการติดตั้งหรือพัฒนาระบบเพื่อใช้การบอกตำแหน่งเรือ/ติดตามเรือประมงได้อย่างเต็มที่ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป |
||||||||||||||||||
29609 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดิน ในท้องที่ตำบลรางสาลี่ อำเภอท่าม่วง จังหวัดกาญจนบุรี ให้เป็นเขตโครงการจัดรูปที่ดิน พ.ศ. .... | กษ | 09/10/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดิน ในท้องที่ตำบลรางสาลี่ อำเภอท่าม่วง จังหวัดกาญจนบุรี ให้เป็นเขตโครงการจัดรูปที่ดิน พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญคือ กำหนดเขตที่ดิน ในท้องที่ตำบลรางสาลี่ อำเภอท่าม่วง จังหวัดกาญจนบุรี ให้เป็นเขตโครงการจัดรูปที่ดิน ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||
29610 | ขออนุมัติกู้เงินในประเทศเพื่อการปรับโครงสร้างหนี้เงินกู้ของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย ในปีงบประมาณ 2556 วงเงิน 5,600 ล้านบาท โดยการกู้ Roll-Over | คค | 09/10/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้การทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) กู้เงินในประเทศเพื่อการปรับโครงสร้างหนี้เงินกู้ของ กทพ. ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ วงเงิน ๕,๖๐๐ ล้านบาท โดยการกู้เงินเพื่อการปรับโครงสร้างหนี้ (Roll-Over) ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ โดยให้ กทพ. เป็นผู้รับผิดชอบภาระหนี้เองทั้งหมด
|
||||||||||||||||||
29611 | ขออนุมัติกู้เงินเพื่อนำไปชำระหนี้ค่าน้ำมันเชื้อเพลิงและค่าเหมาซ่อม ในปีงบประมาณ 2556 ขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ | คค | 09/10/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) กู้เงินเพื่อชำระหนี้ค่าน้ำมันและค่าเหมาซ่อมปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ตามที่จ่ายจริงแต่ไม่เกินวงเงิน ๕,๔๐๒.๘๐๘ ล้านบาท โดยกระทรวงการคลังเป็นผู้ค้ำประกันเงินกู้ ปรับยอดวงเงินกู้ตามที่ ขสมก. ต้องจ่ายจริง กำหนดเงื่อนไข และรายละเอียดต่าง ๆ ในการกู้เงินตามความเหมาะสมและจำเป็น โดยกระทรวงการคลังจะพิจารณาปรับยอดวงเงินกู้ร่วมกับ ขสมก. ก่อนการกู้เงิน เนื่องจากการดำเนินการตามมาตรการลดภาระค่าครองชีพประชาชนของ ขสมก. และการได้รับเงินอุดหนุนบริการสาธารณะ (PSO) ซึ่งรัฐบาลจะเป็นผู้รับภาระค่าใช้จ่าย โดยมีส่วนของค่าน้ำมันเชื้อเพลิงและค่าเหมาซ่อมสำหรับรถโดยสารธรรมดาประกอบอยู่ด้วย ตามความเห็นของกระทรวงการคลัง ๒. ให้กระทรวงคมนาคม โดย ขสมก. รับความเห็นของกระทรวงพลังงานและข้อสังเกตของกระทรวงการคลังเกี่ยวกับการเร่งผลักดันแผนฟื้นฟูกิจการของ ขสมก. ให้สามารถดำเนินการได้อย่างเป็นรูปธรรมเพื่อบริหารจัดการหนี้และปรับปรุงประสิทธิภาพในการบริหารจัดการให้สามารถลดภาระหนี้ที่จะเกิดเพิ่มขึ้นอีกในอนาคตโดยเฉพาะหนี้ค่าน้ำมันเชื้อเพลิง รวมทั้งปรับปรุงการบริหารจัดการด้านการเงิน และปรับปรุงประสิทธิภาพในการดำเนินงานเพื่อให้ประชาชนหันมาใช้บริการสาธารณะมากขึ้น ไปดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||
29612 | ร่างกฎกระทรวงการขออนุญาตและการอนุญาตให้ส่งออกไปนอกและนำเข้ามาในราชอาณาจักรซึ่งสินค้า พ.ศ. .... | นร09 | 09/10/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงการขออนุญาตและการอนุญาตให้ส่งออกไปนอกและนำเข้ามาในราชอาณาจักรซึ่งสินค้า พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญคือ ปรับปรุงหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการขออนุญาตและการอนุญาตให้ส่งออกไปนอกและนำเข้ามาในราชอาณาจักรซึ่งสินค้า ทั้งนี้ ให้ใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนดเก้าสิบวันนับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป และให้ดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||
29613 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงสาธารณสุข) (นางศุภลักษณ์ รายยวา) | สธ | 09/10/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นางศุภลักษณ์ รายยวา ข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งนายแพทย์ทรงคุณวุฒิ (ด้านเวชกรรม สาขาจักษุวิทยา) กลุ่มศูนย์การแพทย์เฉพาะทางด้านจักษุวิทยา กลุ่มภารกิจวิชาการ โรงพยาบาลเมตตาประชารักษ์ (วัดไร่ขิง) กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ตั้งแต่วันที่ ๑๑ กันยายน ๒๕๕๕ ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ
|
||||||||||||||||||
29614 | บันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการเกษตรและข้อตกลงว่าด้วยความร่วมมือทางวิชาการด้านมาตรฐานสุขอนามัยและสุขอนามัยพืชระหว่าง ไทยกับสาธารณรัฐชิลี | กษ | 09/10/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รายงานการลงนามในบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการเกษตรระหว่างราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐชิลี และความตกลงความร่วมมือด้านวิชาการของมาตรการสุขอนามัยและสุขอนามัยพืชระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐชิลี เมื่อวันที่ ๑๕ สิงหาคม ๒๕๕๕ ณ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรสาธารณรัฐชิลี สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
๑. ข้อตกลงความร่วมมือด้านวิชาการของมาตรการสุขอนามัยและสุขอนามัยพืชฯ ๑.๑ ภาคีคู่สัญญาจะร่วมกันดำเนินกิจกรรมเพื่อส่งเสริมการพัฒนาด้านมาตรการสุขอนามัยและสุขอนามัยพืชของทั้ง ๒ ประเทศเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรคศัตรูพืชและสัตว์พาหะ ตลอดจนสนับสนุนอำนวยความสะดวกระหว่างกัน ๑.๒ กิจกรรมที่จะดำเนินการจะครอบคลุมการแลกเปลี่ยนข้อมูลทางกฎหมาย กฎระเบียบ มาตรการ และข้อมูลข่าวสารที่เกี่ยวข้องกับด้านสุขอนามัยและสุขอนามัยพืช การแลกเปลี่ยนผู้แทนเพื่อร่วมประชุม สัมมนา ฝึกอบรมตลอดจนการแจ้งเตือนภาคีคู่สัญญากรณีการเกิดการแพร่ระบาดของโรค และมาตรการในการควบคุมโรค ศัตรูพืชและสัตว์พาหะ รวมทั้งความร่วมมืออื่น ๆ ๑.๓ มีการจัดตั้งคณะกรรมการร่วม และแต่งตั้งหน่วยประสานงาน โดยหน่วยงานรับผิดชอบฝ่ายไทย คือ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ฝ่ายชิลี คือ กระทรวงเกษตร ๒. บันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการเกษตรฯ ๒.๑ วัตถุประสงค์ ร่วมมือในสาขาอื่น ๆ ซึ่งอาจมีการพิจารณาในอนาคต ๒.๒ ขอบเขตความร่วมมือ ได้แก่ การเกษตรซึ่งรวมทั้งสัตว์และพืช การพัฒนาสหกรณ์การเกษตรและสถาบันภาคเกษตรกร การจัดการและการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพด้านการเกษตร เป็นต้น ๒.๓ กำหนดให้จัดตั้งคณะทำงานร่วมด้านการเกษตร หรือเรียกว่า “JAWG” เพื่อการดำเนินการตามบันทึกความเข้าใจฯ โดยคณะทำงานร่วมด้านการเกษตรจะรับผิดชอบในการประเมินผลโครงการ หรือเสนอโครงการเพื่อการพัฒนาและปรับปรุงในอนาคต รวมทั้งให้คำแนะนำ ๒.๔ รูปแบบของความร่วมมือ ความร่วมมือจะอยู่ในรูปแบบของการแลกเปลี่ยนนักวิชาการและนักวิจัย การศึกษาและการจัดทำโครงการให้ความช่วยเหลือทางวิชาการ การวิจัยร่วมด้านการเกษตร รวมถึงการแลกเปลี่ยนข้อมูลทางวิทยาศาสตร์และทางวิชาการ เป็นต้น ๒.๕ การระงับข้อพิพาท ข้อพิพาทระหว่างคู่ภาคีที่เกิดจากการตีความหรือการดำเนินการตามบันทึกความเข้าใจฉบับนี้ให้ระงับโดยฉันท์มิตรด้วยการหารือหรือเจรจา ๒.๖ การมีผลบังคับใช้ และการสิ้นสุด บันทึกความเข้าใจฯ มีผลบังคับในวันที่มีการลงนาม และจะมีผลใช้บังคับนับจากวันที่มีการลงนามเป็นระยะเวลา ๕ ปี และหลังจากนั้นจะขยายอายุโดยอัตโนมัติอีกครั้งละ ๕ ปี แต่อาจสิ้นสุดโดยภาคีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งแจ้งเป็นลายลักษณ์อักษรให้อีกฝ่ายหนึ่งทราบล่วงหน้า ๓ เดือน ก่อนบันทึกความเข้าใจฯ จะสิ้นสุด
|
||||||||||||||||||
29615 | ข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการเศรษฐกิจ การพาณิชย์และอุตสาหกรรมพิจารณาร่างพระราชบัญญัติเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ ในท้องที่ตำบลห้วยโป่ง และตำบลมาบตาพุด อำเภอเมืองระยอง จังหวัดระยอง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | สว | 09/10/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการเศรษฐกิจ การพาณิชย์และอุตสาหกรรมพิจารณาร่างพระราชบัญญัติเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ ในท้องที่ตำบลห้วยโป่ง และตำบลมาบตาพุด อำเภอเมืองระยอง จังหวัดระยอง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และให้นำเหตุผลของร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวที่คณะกรรมาธิการฯ แก้ไข ซึ่งวุฒิสภาเห็นชอบด้วยแล้ว เป็นเหตุผลของร่างพระราชบัญญัติในเรื่องนี้ในการประกาศราชกิจจานุเบกษา และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาทราบต่อไป ซึ่งคณะกรรมาธิการฯ ตั้งข้อสังเกต โดยแก้ไขเพิ่มเติมเหตุผลประกอบร่างพระราชบัญญัติ ดังนี้ "เนื่องจากการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์เพื่อจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรม และกิจการอื่นที่เป็นประโยชน์หรือเกี่ยวเนื่องกับนิคมอุตสาหกรรมตามพระราชบัญญัติเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ในท้องที่ตำบลห้วยโป่ง และตำบลมาบตาพุด อำเภอเมืองระยอง จังหวัดระยอง พ.ศ. ๒๕๒๗ มีข้อผิดพลาดคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง ทำให้การเวนคืนอสังหาริมทรัพย์มีที่ดินอยู่ในแนวเขตที่ต้องเวนคืนตามแผนที่ท้ายพระราชบัญญัติ ด้วยไม่ปรากฏรายชื่อเจ้าของหรือผู้ครอบครองที่ดินโดยชอบด้วยกฎหมายที่ต้องเวนคืนตามบัญชีท้ายพระราชบัญญัตินี้ ซึ่งการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยได้เจรจาเพื่อทำความตกลงขอซื้อที่ดินแปลงดังกล่าวจากเจ้าของที่ดินแล้วแต่ไม่สามารถตกลงได้ จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้"
|
||||||||||||||||||
29616 | รายงานสถานะความก้าวหน้าการดำเนินโครงการภายใต้งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ และการจัดสรรเงินกู้โครงการเพื่อการวางระบบบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศ พ.ศ. 2555 | นร07 | 09/10/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสถานะความก้าวหน้าการดำเนินโครงการภายใต้งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ และการจัดสรรเงินกู้โครงการเพื่อการวางระบบบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศ พ.ศ. ๒๕๕๕ ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. โครงการภายใต้งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ (วงเงิน ๑๒๐,๐๐๐ ล้านบาท) ๑.๑ การจัดสรร/การเบิกจ่าย/ลงนามในสัญญาหรือดำเนินการเอง สำนักงบประมาณจัดสรรสุทธิเป็นเงิน ๑๑๘,๗๐๕.๖๑๗๖ ล้านบาท ลงนามในสัญญาหรือดำเนินการเองแล้ว เป็นเงิน ๑๑๓,๔๖๕.๒๕๖๓ ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากวันที่ ๒๖ กันยายน ๒๕๕๕ เป็นเงิน ๔๓๙.๗๘๔๗ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๐.๓๙ และผลการเบิกจ่ายจากระบบอิเล็กทรอนิกส์ (GFMIS) เป็นเงิน ๙๙,๗๕๘.๖๕๘๘ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๘๔.๐๔ จากยอดจัดสรร ๑.๒ ผลการดำเนินงาน มิติส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นของรัฐที่มีผลการดำเนินงานสูงกว่าร้อยละ ๘๐ มีจำนวน ๙ กระทรวง ที่เหลือมีผลการดำเนินงานต่ำกว่าร้อยละ ๘๐ จำนวน ๙ กระทรวง และมิติจังหวัดที่มีผลการดำเนินงานสูงกว่าร้อยละ ๘๐ มีจำนวน ๕๐ จังหวัด ส่วนจังหวัดที่เหลือมีผลการดำเนินงานต่ำกว่าร้อยละ ๘๐ จำนวน ๒๓ จังหวัด ๑.๓ การส่งคืนเงินงบประมาณและการใช้จ่ายเงินที่แจ้งส่งคืน ส่วนราชการฯ ส่งเงินคืนในระบบ GFMIS เป็นเงิน ๖,๐๑๐.๔๕๐๓ ล้านบาท คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้ใช้จ่ายจากเงินที่ส่วนราชการฯ ส่งคืนงบประมาณ รวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๕,๗๐๒.๕๙๘๕ ล้านบาท รวมค่าใช้จ่ายของสำนักงานนโยบายและบริหารจัดการน้ำและอุทกภัยแห่งชาติ (สบอช.) จำนวน ๑๖๔.๙๔๐๐ ล้านบาท ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้เห็นชอบให้คณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัยพิจารณาทบทวนค่าใช้จ่ายดังกล่าว และต่อมาคณะรัฐมนตรีได้อนุมัติโครงการเพิ่มเติมให้กระทรวงการต่างประเทศและกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี รวม ๒ โครงการ วงเงิน ๔๐.๒๖๓๕ ล้านบาท โดยใช้จ่ายจากกรอบวงเงินที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติให้ สบอช. พิจารณาทบทวน วงเงิน ๑๖๔.๙๔๐๐ ล้านบาท ได้แก่ โครงการการเป็นเจ้าภาพร่วมกับสาธารณรัฐเกาหลีใต้ในการฝึกซ้อมการบรรเทาภัยพิบัติปี ๒๕๕๖ ภายใต้กรอบการประชุมอาเซียนว่าด้วยความร่วมมือด้านการเมืองและความมั่นคงในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก (ASEAN Regional Forum-ARF) ของกระทรวงการต่างประเทศ วงเงิน ๒๐.๐๐๐๐ ล้านบาท และค่าใช้จ่ายในการดำเนินการบริหารจัดการของสำนักบริหารจัดการทรัพยากรน้ำอย่างยั่งยืนและระบบแก้ไขปัญหาอุทกภัยของประเทศ ของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี วงเงิน ๒๐.๒๖๓๕ ล้านบาท ทั้งนี้ เมื่อรวมวงเงินนำส่งคืนคงเหลือ จำนวน ๓๒๐.๑๓๐๗ ล้านบาท และวงเงินที่สำนักงบประมาณพิจารณาจัดสรรต่ำกว่ากรอบวงเงินตามมติคณะรัฐมนตรี จำนวน ๒๓๘.๑๐๒๙ ล้านบาท คงเหลือวงเงินที่คณะรัฐมนตรีจะอนุมัติเพิ่มเติมได้อีกทั้งสิ้น ๕๕๘.๒๓๓๖ ล้านบาท ๑.๔ สถานะเงินงบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ (วงเงิน ๑๒๐,๐๐๐ ล้านบาท) ณ สิ้นปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ มีวงเงินคงเหลือที่คณะรัฐมนตรีจะอนุมัติเพิ่มเติมได้อีกทั้งสิ้น ๕๕๘.๒๓๓๖ ล้านบาท รวมกับวงเงินที่ส่วนราชการฯ อยู่ระหว่างขอรับจัดสรรจากสำนักงบประมาณ จำนวน ๗๓๖.๑๔๘๘ ล้านบาท ดังนั้น สำนักงบประมาณจึงกันเงินไว้เพื่อเบิกเหลื่อมปี งบกลาง รายการดังกล่าว จำนวน ๑,๒๙๔.๓๘๒๔ ล้านบาท ๒. การจัดสรรเงินกู้โครงการเพื่อการวางระบบบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศ พ.ศ. ๒๕๕๕ (วงเงิน ๓๕๐,๐๐๐ ล้านบาท) คณะรัฐมนตรีอนุมัติวงเงินรวมทั้งสิ้น ๒๙,๘๓๖.๗๙๒๖ ล้านบาท และสำนักงบประมาณจัดสรรเงินกู้ฯ ให้ส่วนราชการ จำนวน ๒๒,๐๖๑.๗๓๔๘ ล้านบาท คงเหลือ จำนวน ๗,๗๗๕.๐๕๗๘ ล้านบาท ได้แก่ กระทรวงคมนาคม จำนวน ๔,๐๐๔.๑๔๔๐ ล้านบาท กระทรวงอุตสาหกรรม จำนวน ๓,๒๓๖.๖๙๔๐ ล้านบาท กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จำนวน ๑๙๖.๘๐๔๓ ล้านบาท กระทรวงมหาดไทย จำนวน ๑๒๘.๙๗๐๐ ล้านบาท กระทรวงกลาโหม จำนวน ๑๙.๘๕๐๐ ล้านบาท กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จำนวน ๑๗.๑๒๕๐ ล้านบาท และกระทรวงศึกษาธิการ จำนวน ๑๗๑.๔๗๐๕ ล้านบาท
|
||||||||||||||||||
29617 | การกำหนดแนวทางการจัดทำงบประมาณและปฏิทินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2557 | นร07 | 09/10/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบตามที่สำนักงบประมาณเสนอ ๑.๑ การกำหนดแนวทางการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ เพื่อให้การจัดทำงบประมาณสามารถขับเคลื่อนนโยบายสำคัญของรัฐบาลได้อย่างต่อเนื่องและประสบผลสำเร็จตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ โดยให้กระทรวง ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นดำเนินการ ดังนี้ ๑.๑.๑. ให้ความสำคัญกับการจัดทำงบประมาณในลักษณะบูรณาการ ทั้งมิตินโยบายสำคัญของรัฐบาลและมิติของพื้นที่เพื่อให้การดำเนินงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ประหยัด และประสานสอดคล้องกัน โดยร่วมกันกำหนดเป้าหมายการดำเนินงานและติดตามผลการดำเนินงาน เพื่อนำมาปรับปรุงวิธีการดำเนินงานให้เหมาะสมมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ๑.๑.๒ ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่น จัดทำแผนความต้องการงบลงทุนเบื้องต้นประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ ในขั้นตอนการวางแผนงบประมาณ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการจัดการงบลงทุนให้สอดคล้องกับนโยบายรัฐบาล โดยเพิ่มระยะเวลาการจัดทำและวิเคราะห์งบลงทุนในการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปี ตามหลักเกณฑ์พิจารณาแผนความต้องการงบลงทุน ๑.๒ การกำหนดปฏิทินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ เป็นการกำหนดแผนและขั้นตอนการปฏิบัติงานในการจัดทำร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ ให้เป็นไปตามกรอบระยะเวลาที่กฎหมายกำหนดไว้ ๒. ให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล) รับไปดำเนินการจัดประชุมเชิงปฏิบัติการ (Workshop) ร่วมกับกระทรวงมหาดไทย สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงบประมาณ สำนักงาน ก.พ.ร. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อบูรณาการการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ ให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์และนโยบายหลักที่สำคัญของรัฐบาล และการเชื่อมโยงกับจังหวัดและท้องถิ่น เช่น นโยบายด้านการเกษตร การพัฒนาสังคม การจ้างแรงงาน การส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) สินค้าหนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ (OTOP) และการดำเนินการเพื่อรองรับการก้าวเข้าสู่การเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) เป็นต้น เพื่อให้หน่วยงานต่างๆ ใช้เป็นกรอบในการจัดทำแผนการลงทุน แผนการใช้จ่าย และแผนอัตรากำลังของแต่ละหน่วยงาน โดยให้นำผลการบูรณาการดังกล่าวเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||
29618 | (ร่าง) แผนจัดการเพื่อคุ้มครองสมุนไพรในพื้นที่เขตอนุรักษ์ พ.ศ. 2556-2558 (แผนระยะสั้น) ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองและส่งเสริมภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย พ.ศ. 2542 | สธ | 09/10/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบ (ร่าง) แผนจัดการเพื่อคุ้มครองสมุนไพรในพื้นที่เขตอนุรักษ์ พ.ศ. ๒๕๕๖-๒๕๕๘ (แผนระยะสั้น) ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองและส่งเสริมภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย พ.ศ. ๒๕๔๒ ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ โดยมีสาระสำคัญ ดังนี้ ๑.๑ แผนจัดการเพื่อคุ้มครองสมุนไพรในพื้นที่เขตอนุรักษ์ฯ ประกอบด้วยพื้นที่เขตอนุรักษ์ จำนวน ๕ แห่ง ได้แก่ ๑.๑.๑ พื้นที่เขตอนุรักษ์ป่าชุมชนบ้านทุ่งสูงในเขตป่าสงวนแห่งชาติเขาไม้แก้ว-ควนยิงวัว อำเภออ่าวลึก จังหวัดกระบี่ ๑.๑.๒ พื้นที่เขตอนุรักษ์พื้นที่ป่าภูคำบก อำเภอหนองพอก จังหวัดร้อยเอ็ด ๑.๑.๓ พื้นที่เขตอนุรักษ์ ป่าดอยม่อนฤาษี ในเขตป่าสงวนแห่งชาติป่าขุนแม่กวง ตำบลเทพเสด็จ อำเภอดอยสะเก็ด จังหวัดเชียงใหม่ ๑.๑.๔ พื้นที่เขตอนุรักษ์ ป่าชุมชนขุนน้ำวอง ในเขตป่าสงวนแห่งชาติแม่อิงฝั่งขวา บ้านม่วงยายเหนือ-ใต้ ตำบลม่วงยาย อำเภอเวียงแก่น จังหวัดเชียงราย ๑.๑.๕ พื้นที่ป่าตำบลแม่ยวม ในเขตป่าสงวนแห่งชาติแม่ยวมฝั่งขวา อำเภอแม่สะเรียง จังหวัดแม่ฮ่องสอน ๑.๒ แผนงานและแนวทางดำเนินงาน ได้แก่ ๑.๒.๑ การเสริมสร้างความรู้ ความเข้าใจและประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับเงื่อนไขในการอนุญาตให้บุคคลเข้าไปในพื้นที่เขตอนุรักษ์อย่างถูกต้อง ๑.๒.๒ การกำหนดวิธีการจัดการเฉพาะในพื้นที่ โดยประสานความร่วมมือกับส่วนราชการที่เกี่ยวข้องและชุมชนเพื่อให้เกิดกระบวนการมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์ คุ้มครองสมุนไพรและถิ่นกำเนิด ๑.๒.๓ การสำรวจและศึกษาสมุนไพรแต่ละพื้นที่ เพื่อให้มีระบบฐานข้อมูล และนำไปสู่การจัดการอนุรักษ์และใช้ประโยชน์อย่างเหมาะสม ๑.๒.๔ การกำกับติดตาม ตรวจสอบและประเมินผลการดำเนินการตามแผนและกฎหมาย รวมทั้งรวบรวมรายชื่อสมุนไพรที่สำรวจพบในแต่ละพื้นที่ และจำแนกเป็น ๓ กลุ่ม ได้แก่ สมุนไพรที่มีค่าต่อการศึกษาหรือวิจัย สมุนไพรที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจ สมุนไพรที่อาจจะสูญพันธุ์ ๑.๓ งบประมาณที่ใช้ตามแผนจัดการเพื่อคุ้มครองสมุนไพรในพื้นที่เขตอนุรักษ์ฯ จำนวน ๕ แห่ง รวมวงเงินทั้งสิ้น ๗,๙๘๐,๐๐๐ บาท ๒. สำหรับกรอบวงเงินเพื่อดำเนินการในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ จำนวน ๒,๙๐๐,๐๐๐ บาท ให้ใช้จ่ายจากเงินกองทุนภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย กรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก ที่ได้จัดสรรงบประมาณรองรับไว้แล้ว จำนวน ๑๒๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท ส่วนค่าใช้จ่ายในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗-๒๕๕๘ ให้กรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือกเสนอขอตั้งงบประมาณตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๓. ให้กระทรวงสาธารณสุขรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นควรเพิ่มพื้นที่การสำรวจในเขต ๓ จังหวัดของภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ได้แก่ จังหวัดศรีสะเกษ สุรินทร์ และบุรีรัมย์ การจัดทำแผนที่ภาพถ่ายและระบุขอบเขตที่ชัดเจนที่จะประกาศเป็นพื้นที่คุ้มครองสมุนไพรและถิ่นกำเนิดสมุนไพร การตรวจสอบรายชื่อชนิดของสมุนไพรทั้งชื่อพื้นเมืองและชื่อวิทยาศาสตร์ให้ถูกต้องสมบูรณ์โดยระบุทั้งชื่อพื้นเมืองควบคู่ไปกับชื่อวิทยาศาสตร์ การติดตามผลในพื้นที่ที่ได้ประกาศเป็นพื้นที่คุ้มครองสมุนไพรและถิ่นกำเนิดของสมุนไพรเมื่อสิ้นสุดการดำเนินการตามแผนว่ามีชนิดและความหนาแน่นของสมุนไพรมากขึ้นหรือน้อยลงอย่างไร การวางแผนระยะยาวหลังจากที่โครงการสิ้นสุดจะให้หน่วยงาน/องค์กร/ชุมชนใด เป็นหน่วยงานที่ดูแลรับผิดชอบต่อไป การคัดเลือกพื้นที่สำรวจและศึกษาวิจัยโดยนำหลักการจำแนกพื้นที่ตามลักษณะการใช้ประโยชน์พื้นที่ป่าตามกฎหมายมาร่วมกำหนดพื้นที่เป้าหมาย การให้บุคลากรภาคการศึกษาระดับอุดมศึกษาในพื้นที่เข้ามามีส่วนร่วมในกระบวนการศึกษาวิจัยเพื่อให้เกิดการต่อยอดสู่ภาคการศึกษา รวมทั้งมีกลไกในการเพิ่มสมรรถนะและเสริมสร้างความเข้มแข็งให้แก่เครือข่ายภูมิปัญญาท้องถิ่นที่มีอยู่ให้สามารถร่วมกันวางแนวทางที่ชัดเจนเป็นรูปธรรมในการดำเนินงานตามแผนฯ นอกจากนี้ ควรเพิ่มแนวทางการส่งเสริมการใช้สมุนไพรที่เป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มและสามารถสร้างรายได้ให้กับชุมชนและประเทศ และมีการรณรงค์เผยแพร่สรรพคุณของสมุนไพรไทยเพื่อนำไปสู่การคุ้มครองและการใช้ประโยชน์จากสมุนไพรอย่างมีประสิทธิภาพ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||
29619 | ร่างพระราชกฤษฎีกาการได้รับเงินประจำตำแหน่งของข้าราชการตำรวจ พ.ศ. .... | ตช | 09/10/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาการได้รับเงินประจำตำแหน่งของข้าราชการตำรวจ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดประเภทตำแหน่งและการได้รับเงินประจำตำแหน่งของข้าราชการตำรวจเพื่อให้การได้รับเงินประจำตำแหน่งของข้าราชการตำรวจเป็นไปตามมาตรา ๖๗ วรรคสาม แห่งพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๗ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๔ ตามที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา ๒. ให้รับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณเกี่ยวกับร่างมาตรา ๑๙ ที่บัญญัติให้ข้าราชการตำรวจที่มีสิทธิได้รับเงินประจำตำแหน่งมีสิทธิได้รับเงินประจำตำแหน่งในระหว่างลาคลอดบุตร หรือลาเนื่องจากการคลอดบุตรของคู่สมรสได้ตามวันลาที่กำหนดไว้ในระเบียบว่าด้วยการลาของข้าราชการ ซึ่งหากบัญญัติให้ข้าราชการตำรวจมีสิทธิได้รับเงินประจำตำแหน่งในลักษณะดังกล่าว ย่อมจะทำให้ข้าราชการตำรวจได้รับสิทธิในเงินประจำตำแหน่งเหลื่อมล้ำกับข้าราชการประเภทอื่นซึ่งไม่มีสิทธิได้รับเงินประจำตำแหน่งในระหว่างลาเนื่องจากการคลอดบุตรของคู่สมรส คงมีสิทธิได้รับเงินประจำตำแหน่งเฉพาะระหว่างลาคลอดบุตรและได้รับเงินประจำตำแหน่งระหว่างลาได้ไม่เกินเก้าสิบวัน จึงเห็นควรแก้ไขร่างมาตราดังกล่าวให้สอดคล้องกับข้าราชการประเภทอื่น รวมทั้งการกำหนดให้ข้าราชการตำรวจที่ปฏิบัติงานในตำแหน่งประเภทวิชาชีพเฉพาะ (วช.) และประเภทผู้เชี่ยวชาญเฉพาะ (ชช.) มีสิทธิได้รับเงินประจำตำแหน่งเพิ่มขึ้นจากตำแหน่งที่กำหนดไว้เดิม ควรพิจารณาให้มีความสอดคล้องและเท่าเทียมกับข้าราชการประเภทอื่นที่มีลักษณะการปฏิบัติงานเช่นเดียวกัน ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ |
||||||||||||||||||
29620 | ขอให้รัฐบาลไทยเป็นเจ้าภาพในการจัดการฝึกอบรมร่วมกับทบวงการพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ | วท | 09/10/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยสำนักงานปรมาณูเพื่อสันติตอบรับการเป็นเจ้าภาพในการจัดฝึกอบรมร่วมกับทบวงการพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ (International Atomie Energy Agency : IAEA) ของประเทศไทย จำนวน ๓ รายการ ได้แก่ ๑.๑.๑ การฝึกอบรม Regional Training Course on the Quality Assurance (QA) in Radiotherapy ณ กรุงเทพมหานคร ระหว่างวันที่ ๑๙-๒๓ ตุลาคม ๒๕๕๕ ภายใต้กรอบโครงการภูมิภาค RAS/6/070 “Supporting Quality Assurance Team for Radiation Oncology (QUATRO) Training” (การสนับสนุนการฝึกอบรมสำหรับทีมประกันคุณภาพทางรังสีรักษา) ๑.๑.๒ การฝึกอบรม Interregional Training Course on Quality Management Audits in Nuclear Medicine Practices (QUANUM) Master’s Course : Train the Trainers ณ กรุงเทพมหานคร ระหว่างวันที่ ๕-๙ พฤศจิกายน ๒๕๕๕ ภายใต้กรอบการดำเนินงานของโครงการความร่วมมือทางวิชาการของทบวงการพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ INT6056 [การสนับสนุนการตรวจสอบการจัดการคุณภาพในการปฏิบัติงานทางเวชศาสตร์นิวเคลียร์ (ควอนนัม)] ๑.๑.๓ การฝึกอบรม Regional Training Course on Radiation Protection in Vascular Surgery ณ กรุงเทพมหานคร ระหว่างวันที่ ๑๒-๑๔ ธันวาคม ๒๕๕๕ ภายใต้กรอบโครงการภูมิภาค RAS/9/065 “Strengthening Radiation Protection of Patients in Medical Exposure” (การเสริมสร้างความแข็งแกร่งในการป้องกันอันตรายจากรังสีในผู้ป่วยที่ได้รับปริมาณรังสีจากการรับบริการทางการแพทย์) ๑.๒ เห็นชอบร่างหนังสือตอบรับการเป็นเจ้าภาพจัดการฝึกอบรม และหากมีการเปลี่ยนแปลงถ้อยคำที่มิใช่สารัตถะของร่างหนังสือตอบรับการเป็นเจ้าภาพจัดการฝึกอบรม ให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีหารือร่วมกับกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กระทรวงการต่างประเทศ เพื่อพิจารณาดำเนินการแทนคณะรัฐมนตรี โดยไม่ต้องเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีก ๑.๓ อนุมัติให้เลขาธิการสำนักงานปรมาณูเพื่อสันติเป็นผู้ลงนามในร่างหนังสือตอบรับการเป็นเจ้าภาพจัดการฝึกอบรมทั้ง ๓ รายการ ๒. ให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศในประเด็นด้านถ้อยคำในหนังสือ IAEA และร่างหนังสือตอบรับการเป็นเจ้าภาพของฝ่ายไทย ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
.....