ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1487 จากทั้งหมด 6199 หน้า แสดงรายการที่ 29721 - 29740 จากข้อมูลทั้งหมด 123961 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
29721 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (นายวีระพงษ์ แพสุวรรณ) | วท | 28/08/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นายวีระพงษ์ แพสุวรรณ ข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๕ เพื่อทดแทนผู้เกษียณอายุราชการ ตามที่กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||
29722 | การแต่งตั้งผู้อำนวยการสถาบันคุ้มครองเงินฝาก (นายสรสิทธิ์ สุนทรเกศ) | กค | 28/08/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการแต่งตั้งนายสรสิทธิ์ สุนทรเกศ ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสถาบันคุ้มครองเงินฝาก ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ ๒ กันยายน ๒๕๕๕ เป็นต้นไป
|
||||||||||||||||||||||||
29723 | การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการคดีพิเศษ (จำนวน 4 คน 1. นายไกรสร บารมีอวยชัย ฯลฯ) | ยธ | 28/08/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ (๓๐ กรกฎาคม ๒๕๕๕) อนุมัติแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการคดีพิเศษ จำนวน ๙ คน ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ ๗ กันยายน ๒๕๕๕ เป็นต้นไป ดังนี้
๑. นายไกรสร บารมีอวยชัย ผู้ทรงคุณวุฒิด้านกฎหมายและการบริหารงานยุติธรรม ๒. ศาสตราจารย์ (พิเศษ) ชัยเกษม นิติสิริ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านกฎหมายและกระบวนการดำเนินคดีอาญา ๓. นายนรินท์พงศ์ จินาภักดิ์ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านกฎหมายและการคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ ๔. นายประดิษฐ์ เอกมณี ผู้ทรงคุณวุฒิด้านกฎหมายและการพิจารณาพิพากษาคดี ๕. รองศาสตราจารย์ มนตรี โสคติยานุรักษ์ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านเศรษฐศาสตร์และการเงินการธนาคาร ๖. นายมหิดล จันทรางกูร ผู้ทรงคุณวุฒิด้านการเงินการธนาคารและเทคโนโลยีสารสนเทศ ๗. นายเรวัต วิศรุตเวช ผู้ทรงคุณวุฒิด้านการแพทย์และการสาธารณสุข ๘. พลตำรวจโท สุชาติ เหมือนแก้ว ผู้ทรงคุณวุฒิด้านกระบวนการสืบสวนสอบสวนคดีอาญา ๙. นายอนุพร อรุณรัตน์ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านกฎหมายและธุรกิจการค้าระหว่างประเทศ ต่อมาคณะรัฐมนตรีมีมติ (๒๘ สิงหาคม ๒๕๕๕) อนุมัติตามที่กระทรวงยุติธรรมขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าว โดยให้แก้ไขเพิ่มเติมการกำหนดตัวบุคคลเฉพาะที่ทรงคุณวุฒิในด้านเศรษฐศาสตร์ การเงินการธนาคาร เทคโนโลยีสารสนเทศ และกฎหมาย จำนวน ๔ คน นอกนั้นให้คงเดิม โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ ๗ กันยายน ๒๕๕๕ เป็นต้นไป ดังนี้ ๑. นายไกรสร บารมีอวยชัย ผู้ทรงคุณวุฒิด้านกฎหมาย ๒. ศาสตราจารย์ (พิเศษ) ชัยเกษม นิติสิริ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านการเงินการธนาคาร ๓. รองศาสตราจารย์ มนตรี โสคติยานุรักษ์ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านเศรษฐศาสตร์ ๔. นายมหิดล จันทรางกูร ผู้ทรงคุณวุฒิด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ
|
||||||||||||||||||||||||
29724 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (จำนวน 6 คน 1. นายรังสรรค์ ศรีวรศาสตร์ ฯลฯ) | กค | 28/08/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือน สังกัดกระทรวงการคลัง ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน ๖ ราย ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๕ เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้
๑. นายรังสรรค์ ศรีวรศาสตร์ ให้ดำรงตำแหน่งรองปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ๒. นายจักรกฤศฏิ์ พาราพันธกุล ให้ดำรงตำแหน่งรองปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ๓. นางเบญจา หลุยเจริญ ให้ดำรงตำแหน่งอธิบดี กรมศุลกากร ๔. นายสมชาย พูลสวัสดิ์ ให้ดำรงตำแหน่ง อธิบดี กรมสรรพสามิต ๕. นายมนัส แจ่มเวหา ให้ดำรงตำแหน่งอธิบดี กรมบัญชีกลาง ๖. นางสาวจุฬารัตน์ สุธีธร ให้ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการ สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ
|
||||||||||||||||||||||||
29725 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (นายณรงค์ สหเมธาพัฒน์) | สธ | 28/08/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นายณรงค์ สหเมธาพัฒน์ ข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงสาธารณสุข ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๕ เพื่อทดแทนผู้เกษียณอายุราชการ ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||
29726 | การจัดทำความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรโมร็อกโกว่าด้วยการยกเว้นการตรวจลงตราสำหรับผู้ถือหนังสือเดินทางทูต หนังสือเดินทางราชการ และหนังสือเดินทางพิเศษ | กต | 28/08/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้
๑. ยืนยันมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๖ กันยายน ๒๕๔๘ ที่อนุมัติการจัดทำความตกลงยกเว้นการตรวจลงตราสำหรับผู้ถือหนังสือเดินทางทูต หนังสือเดินทางราชการ และหนังสือเดินทางพิเศษระหว่างไทยกับโมร็อกโก โดยร่างความตกลงฯ มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นกลไกในการส่งเสริมความร่วมมือและกระชับความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างกัน และสนับสนุนการแลกเปลี่ยนการเยือนที่สม่ำเสมอ ทั้งนี้ คนชาติไทยและโมร็อกโกซึ่งถือหนังสือเดินทางทูตหรือหนังสือเดินทางราชการสามารถเดินทางเข้าไปยังประเทศของอีกฝ่ายหนึ่ง และพำนักอยู่ได้ไม่เกิน ๙๐ วัน โดยไม่ต้องขอรับการตรวจลงตรา และทั้งสองฝ่ายสามารถระงับการปฏิบัติตามบางส่วนหรือทั้งหมดของความตกลงฯ ได้ หากมีเหตุจำเป็นด้านความมั่นคง หรือความปลอดภัยของประชาชนโดยต้องแจ้งให้อีกฝ่ายทราบเป็นลายลักษณ์อักษร ความตกลงฯ จะเริ่มมีผลบังคับใช้ในหกสิบวันนับจากวันที่ลงนาม และทั้งสองฝ่ายสามารถขอยกเลิกความตกลงฯ ได้โดยการแจ้งให้อีกฝ่ายหนึ่งทราบเป็นลายลักษณ์อักษรโดยผ่านช่องทางการทูต ๒. หากก่อนการลงนามมีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขร่างความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรโมร็อกโกว่าด้วยการยกเว้นการตรวจลงตราสำหรับผู้ถือหนังสือเดินทางทูต หนังสือเดินทางราชการ และหนังสือเดินทางพิเศษ ในส่วนที่มิใช่สาระสำคัญ โดยถ้อยคำดังกล่าวสอดคล้องกับผลประโยชน์และนโยบายของประเทศไทย ให้กระทรวงการต่างประเทศพิจารณาดำเนินการได้โดยไม่ต้องขอความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีอีกครั้ง |
||||||||||||||||||||||||
29727 | ขออนุมัติกู้เงินโดยการออกพันธบัตรเพื่อการลงทุน สำหรับโครงการงบลงทุน จำนวน 9 โครงการ | มท | 28/08/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ โดย ๑.๑ ให้การประปาส่วนภูมิภาคกู้เงินโดยการออกพันธบัตรเพื่อการลงทุน สำหรับโครงการงบลงทุน (โครงการต่อเนื่อง) จำนวน ๙ โครงการ วงเงินรวมทั้งสิ้น ๘๕๐ ล้านบาท ได้แก่ ๑.๑.๑ โครงการก่อสร้างปรับปรุงขยายประปาขอนแก่น (ระยะที่ ๓) จังหวัดขอนแก่น วงเงิน ๑๘๗.๓๔๘ ล้านบาท ๑.๑.๒ โครงการก่อสร้างปรับปรุงขยายประปาอุดรธานี (ระยะที่ ๒) จังหวัดอุดรธานี วงเงิน ๒๐๓.๘๖๐ ล้านบาท ๑.๑.๓ โครงการก่อสร้างปรับปรุงขยายประปาฉะเชิงเทรา (หน่วยบริการเทพราช) จังหวัดฉะเชิงเทรา วงเงิน ๑๑๔.๔๔๙ ล้านบาท ๑.๑.๔ โครงการก่อสร้างปรับปรุงขยายประปาโชคชัย อำเภอโชคชัย จังหวัดนครราชสีมา วงเงิน ๔๔.๔๐๒ ล้านบาท ๑.๑.๕ โครงการก่อสร้างปรับปรุงขยายประปาปากท่อ อำเภอปากท่อ-เขาย้อย จังหวัดราชบุรี-เพชรบุรี วงเงิน ๔๕.๙๔๑ ล้านบาท ๑.๑.๖ โครงการก่อสร้างปรับปรุงขยายประปาปราจีนบุรี อำเภอเมือง, ประจันตคาม, ศรีมหาโพธิ์ จังหวัดปราจีนบุรี วงเงิน ๘๒.๐๐๐ ล้านบาท ๑.๑.๗ โครงการก่อสร้างปรับปรุงขยายประปาอรัญประเทศ อำเภออรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว วงเงิน ๔๐.๐๐๐ ล้านบาท ๑.๑.๘ โครงการก่อสร้างปรับปรุงขยายประปาร้อยเอ็ด อำเภอเมือง จังหวัดร้อยเอ็ด วงเงิน ๖๕.๐๐๐ ล้านบาท ๑.๑.๙ โครงการก่อสร้างปรับปรุงขยายประปาบุรีรัมย์ อำเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์ วงเงิน ๖๗.๐๐๐ ล้านบาท ๑.๒ ให้กระทรวงการคลังค้ำประกันเงินกู้ รวมทั้งเป็นผู้พิจารณาวิธีการกู้เงิน เงื่อนไขและรายละเอียดต่าง ๆ ของการกู้เงินตามความเหมาะสมและจำเป็น ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้ กปภ. เร่งหาทางแก้ไขปัญหาระบบส่งจ่ายน้ำซึ่งได้รับความเสียหายจากอุทกภัยที่เกิดขึ้นเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ส่งผลให้อัตราน้ำสูญเสียของ กปภ. เพิ่มขึ้นสูง และเร่งดำเนินโครงการให้เป็นไปตามแผนที่วางไว้ โดยคำนึงถึงแผนป้องกันผลกระทบจากภัยธรรมชาติที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต รวมทั้งเร่งรัดการลงทุนโครงการให้แล้วเสร็จตามเป้าหมายโดยเร็ว เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของระบบประปาให้สามารถบริการน้ำประปาแก่ประชาชนได้อย่างเพียงพอและทั่วถึงเพิ่มขึ้น ไปประกอบการพิจารณาดำเนินการต่อไป ๓. รับทราบตามที่รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ) เสนอ ทั้งนี้ หากสหกรณ์ใดประสงค์ที่จะซื้อพันธบัตรจากโครงการดังกล่าว ให้ประสานกับกระทรวงมหาดไทย (การประปาส่วนภูมิภาค) เพื่อดำเนินการต่อไป โดยอัตราดอกเบี้ยให้เป็นไปตามกลไกตลาด |
||||||||||||||||||||||||
29728 | การขอความเห็นชอบร่างความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลยูเครน ว่าด้วยความร่วมมือด้านการป้องกันประเทศ (Agreement between the Government of the Kingdom of Thailand and the Government of Ukraine on Co-operation in the Field of Defence) | กห | 28/08/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ให้กระทรวงกลาโหมจัดทำความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลยูเครน ว่าด้วยความร่วมมือด้านการป้องกันประเทศ (Agreement between the Government of the Kingdom of Thailand and the Government of Ukraine on Co-operation in the Field of Defence) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสถาปนาความร่วมมือด้านการทหาร ซึ่งจะนำไปสู่การยกระดับความร่วมมือด้านความมั่นคงและเสริมสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างกองทัพของทั้งสองประเทศในอนาคต โดยมีสาขาความร่วมมือต่าง ๆ ได้แก่ การจัดให้มีการหารือด้านนโยบาย และยุทธศาสตร์ด้านการป้องกันประเทศ การส่งกำลังบำรุงและสิ่งอุปกรณ์ อุตสาหกรรมป้องกันประเทศ อาวุธและยุทโธปกรณ์ เทคโนโลยี การวิจัย และพัฒนาทางวิทยาศาสตร์ การปฏิรูปกองทัพ และการบริหารทรัพยากรบุคคล การปฏิบัติการเพื่อสันติภาพ และมนุษยธรรม การบริการทางการแพทย์ทหาร การแลกเปลี่ยนการเยือนของกำลังพล ประวัติศาสตร์ กีฬา และดุริยางค์ทหาร ๑.๒ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมเป็นผู้ลงนามฝ่ายไทยในร่างความตกลงฯ ๑.๓ หากมีความจำเป็นที่จะต้องเปลี่ยนแปลงรายละเอียดของร่างความตกลงฯ โดยไม่ส่งผลกระทบต่อสาระสำคัญของร่างความตกลงฯ ให้กระทรวงกลาโหมพิจารณาดำเนินการได้ตามความเหมาะสม ๒. ให้กระทรวงกลาโหมรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศและสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเกี่ยวกับภาษาและถ้อยคำของร่างความตกลงฯ ฉบับภาษาอังกฤษ อาทิ ข้อ ๑ ย่อหน้าที่ ๑ บรรทัดที่ ๑ เห็นควรเพิ่มคำว่า “shall” หน้าคำว่า “develop” และข้อ ๒ ย่อหน้าที่ ๑ บรรทัดที่ ๑ อาจพิจารณาเพิ่ม “are” หลังคำว่า “the Parties” บรรทัดที่ ๒ และ ๔ อาจพิจารณาเปลี่ยนคำว่า “the Ukrainian Party” และ “the Thai Party” เป็น “the Government of Ukraine” และ “the Government of the Kingdom of Thailand” ตามลำดับ เป็นต้น นอกจากนี้ เนื้อหาของร่างความตกลงฯ ฉบับภาษาอังกฤษและฉบับภาษาไทยที่ยังมีความแตกต่างกันในบางประการ เช่น ร่างข้อ ๓ วรรคสาม ความในฉบับภาษาอังกฤษกำหนดว่า “Neither Party without written consent shall sell and/or provide to third party …” ในขณะที่ความในฉบับภาษาไทยกำหนดเพียงว่า “คู่ภาคีใดคู่ภาคีหนึ่งจะต้องไม่ขาย และ/หรือ จัดหา ...” โดยไม่มีเงื่อนไขว่า “หากไม่ได้รับความยินยอมเป็นลายลักษณ์อักษรจากอีกฝ่ายหนึ่ง” ตามฉบับภาษาอังกฤษ และร่างข้อ ๑๐ ความในฉบับภาษาอังกฤษกำหนดคำว่า “in duplicate in the Thai, Ukrainian, and English languages” ในขณะที่ความในฉบับภาษาไทยกำหนดว่า “จำนวน ๒ ฉบับ” ซึ่งอาจก่อให้เกิดความสับสนว่ามีการจัดทำความตกลงฯ จำนวนเท่าใด จึงควรแก้ไขถ้อยคำในฉบับภาษาไทยเพื่อความเข้าใจที่ถูกต้องว่า “ความตกลงนี้ได้จัดทำเป็นคู่ฉบับทั้งในฉบับภาษาไทย ภาษายูเครน และภาษาอังกฤษ” ไปดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||||||||
29729 | แผนยุทธศาสตร์เตรียมความพร้อม ป้องกัน และแก้ไขปัญหาโรคติดต่ออุบัติใหม่แห่งชาติ (พ.ศ. 2556-2559) | สธ | 28/08/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบแผนยุทธศาสตร์เตรียมความพร้อม ป้องกัน และแก้ไขปัญหาโรคติดต่ออุบัติใหม่แห่งชาติ (พ.ศ. ๒๕๕๖-๒๕๕๙) และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำแผนยุทธศาสตร์ฯ ไปสู่การปฏิบัติต่อไป ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ ทั้งนี้ แผนยุทธศาสตร์ฯ มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อลดการป่วย การตาย และลดผลกระทบทางเศรษฐกิจ สังคมและสิ่งแวดล้อม อันเนื่องมาจากการระบาดของโรคติดต่ออุบัติใหม่ ซึ่งประกอบด้วย ๕ ยุทธศาสตร์ ๒๕ กลยุทธ์ ๑๖๐ มาตรการ ดังนี้ ๑.๑ ยุทธศาสตร์ที่ ๑ พัฒนาระบบเฝ้าระวัง ป้องกัน รักษา และควบคุมโรคภายใต้แนวคิดสุขภาพหนึ่งเดียว ประกอบด้วย ๕ กลยุทธ์ ๔๒ มาตรการ ๑.๒ ยุทธศาสตร์ที่ ๒ การจัดการระบบการเลี้ยง และสุขภาพสัตว์และสัตว์ป่า ให้ปลอดโรค ประกอบด้วย ๘ กลยุทธ์ ๓๔ มาตรการ ๑.๓ ยุทธศาสตร์ที่ ๓ พัฒนาระบบจัดการความรู้ และส่งเสริมการวิจัยพัฒนา ประกอบด้วย ๓ กลยุทธ์ ๒๐ มาตรการ ๑.๔ ยุทธศาสตร์ที่ ๔ พัฒนาระบบบริหารจัดการเชิงบูรณาการและเตรียมความพร้อมตอบโต้ภาวะฉุกเฉิน ประกอบด้วย ๔ กลยุทธ์ ๓๖ มาตรการ ๑.๕ ยุทธศาสตร์ที่ ๕ การสื่อสาร และประชาสัมพันธ์ความเสี่ยงของโรคติดต่ออุบัติใหม่ ประกอบด้วย ๕ กลยุทธ์ ๒๘ มาตรการ ๒. ให้กระทรวงสาธารณสุขจัดทำแผนยุทธศาสตร์ฯ ให้สอดคล้องกับแผนการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ และรูปแบบการบริหารจัดการแบบ Single Command โดยคำนึงถึงการใช้ทรัพยากรร่วมกัน เพื่อไม่ให้เกิดภาระงบประมาณในภาพรวมอย่างต่อเนื่อง ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๓. ให้กระทรวงสาธารณสุขรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับการเร่งจัดทำกรอบเวลาในการดำเนินการและงบประมาณให้มีความชัดเจนเพื่อเป็นการผลักดันให้แผนยุทธศาสตร์ฯ สามารถดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพ การกำหนดมาตรการป้องกัน และแก้ไขปัญหาโรคติดต่ออุบัติใหม่แห่งชาติ ตามแนวชายแดนเพื่อมิให้มีการนำโรคติดต่อมาจากประเทศเพื่อนบ้าน การพิจารณาความเชื่อมโยงระหว่างรายละเอียดของแต่ละยุทธศาสตร์เพื่อให้แผนยุทธศาสตร์ฯ มีความเข้มแข็งขึ้น การระบุความเสี่ยงของการเกิดโรคอุบัติใหม่ในแต่ละพื้นที่ เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้เตรียมการและกำหนดมาตรการป้องกันได้อย่างทันท่วงที การสร้างเครือข่ายการพัฒนาความร่วมมือระหว่างประเทศเพื่อเป็นการป้องกันโรคติดต่อจากภายนอกเข้ามาสู่ในประเทศ การกำหนดตัวชี้วัดในแต่ละยุทธศาสตร์โดยระบุค่าเป้าหมายและระดับความสำเร็จที่มุ่งหวังให้ชัดเจน และกำหนดตัวชี้วัดร่วมในการดำเนินงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อเป็นการกำหนดระดับผลสัมฤทธิ์และก่อให้เกิดการบูรณาการการดำเนินงานอย่างแท้จริง รวมทั้งควรเน้นให้ความสำคัญกับการสนับสนุนการจัดทำแผนประคองกิจการ (Bussiness Continuity Plan : BCP) ในหน่วยงานต่าง ๆ เพื่อให้แต่ละหน่วยงานมีแผนเตรียมความพร้อมและแนวทางการเผชิญเหตุที่เหมาะสม ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||||||||
29730 | ร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมพระราชกำหนดนิติบุคคลเฉพาะกิจเพื่อการแปลงสินทรัพย์เป็นหลักทรัพย์ พ.ศ. 2540 พ.ศ. .... | กค | 28/08/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบตามที่เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอว่า ร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมพระราชกำหนดนิติบุคคลเฉพาะกิจเพื่อการแปลงสินทรัพย์เป็นหลักทรัพย์ พ.ศ. ๒๕๔๐ พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ได้แก้ไขเพิ่มเติมสาระสำคัญแตกต่างจากร่างพระราชบัญญัติฯ ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาหลายประการ โดยมีประเด็นข้อกฎหมายที่สำคัญที่ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ จึงขอรับร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวไปตรวจพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง และให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีการับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้ธนาคารแห่งประเทศไทย สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ กระทรวงการคลัง สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องร่วมกันพิจารณาหลักเกณฑ์การกำหนดประเภทธุรกิจและประเภทสินทรัพย์ ตลอดจนเกณฑ์ในการกำกับดูแล ที่คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์จะประกาศกำหนด ภายใต้ร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมพระราชกำหนดนิติบุคคลเฉพาะกิจเพื่อการแปลงสินทรัพย์เป็นหลักทรัพย์ พ.ศ. ๒๕๔๐ พ.ศ. .... โดยเฉพาะการแปลงสินทรัพย์เป็นหลักทรัพย์ที่เป็นการทำธุรกรรมที่ซับซ้อน การทำธุรกรรมไขว้ และการโอนสินทรัพย์เป็นทอด ๆ และในระยะต่อไปหากมีการปรับปรุงกฎหมายที่เกี่ยวข้องอย่างครบถ้วนแล้ว เห็นควรให้สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ศึกษาเพิ่มเติมถึงความเหมาะสมของการแปลงสินทรัพย์เป็นหลักทรัพย์ประเภทต่าง ๆ เช่น การแปลงสินทรัพย์ที่เคลื่อนที่ได้ (Movable asset) เป็นต้น เพื่อให้ภาคธุรกิจมีแหล่งสนับสนุนเงินทุนเพิ่มขึ้น อีกทั้งยังเป็นการพัฒนาตราสารทางการเงินประเภทใหม่ตามแผนพัฒนาตลาดทุนไทย ไปประกอบการตรวจพิจารณาด้วย แล้วให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
29731 | ขออนุมัติกำหนดอัตรากำลังข้าราชการเพิ่ม | ปง | 28/08/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติอัตรากำลังข้าราชการเพิ่มใหม่ให้สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (สำนักงาน ปปง.) จำนวน ๑๓๐ อัตรา เพื่อปฏิบัติงานตามภารกิจและปริมาณงานที่เพิ่มขึ้นในปัจจุบันได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยยกเว้นการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๘ กันยายน ๒๕๕๓ [เรื่อง มาตรการบริหารกำลังคนภาครัฐ (พ.ศ. ๒๕๕๒ - ๒๕๕๖)] ตามความเห็นของสำนักงาน ก.พ. และฝ่ายเลขานุการร่วมคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ ๒. ส่วนงบประมาณเพื่อสนับสนุนกรอบอัตรากำลังดังกล่าว หากสำนักงาน ปปง. ได้รับการอนุมัติกรอบอัตรากำลังข้าราชการเพิ่มใหม่แล้ว ให้สำนักงาน ปปง. ดำเนินการปรับแผนการดำเนินงานและแผนการใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีที่ได้รับการจัดสรรไว้แล้วมาดำเนินการในโอกาสแรกก่อน หากไม่เพียงพอจึงขอทำความตกลงกับสำนักงบประมาณเพื่อขอรับการสนับสนุนงบประมาณเพิ่มเติมต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ |
||||||||||||||||||||||||
29732 | ผลการประชุมคณะกรรมการร่วมทางการค้าระหว่างเวียดนามและไทย ครั้งที่ 1 | พณ | 28/08/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามผลการประชุมคณะกรรมการร่วมทางการค้า (Joint Trade Committee-JTC) ระหว่างเวียดนามและไทย ครั้งที่ ๑ ระหว่างวันที่ ๑๐-๑๒ กรกฎาคม ๒๕๕๕ ณ กรุงฮานอย สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม เพื่อให้มีการทำงานอย่างบูรณาการและเกิดผลเป็นรูปธรรม ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ การทบทวนการค้าสองฝ่าย ทั้งสองฝ่ายรับทราบแนวโน้มการขยายตัวการค้าและการลงทุนระหว่างเวียดนามและไทยที่เป็นไปในทิศทางเดียวกับการไปสู่เป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic Community : AEC) ๑.๒ เป้าหมายการค้าเวียดนาม-ไทย ทั้งสองฝ่ายเห็นชอบให้ตั้งเป้าหมายการขยายตัวทางการค้าประมาณร้อยละ ๒๐ ต่อปี ในช่วงปี พ.ศ. ๒๕๕๕-๒๕๕๘ และตกลงที่จะจัดระดับความสำคัญของสาขา (Sector) สินค้าและบริการที่มีศักยภาพในการขยายการค้าและการลงทุนระหว่างกัน ๑.๓ การเสริมสร้างความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจและการค้าทวิภาคี ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องให้มีการส่งเสริมการแลกเปลี่ยนข้อมูลด้านกฎระเบียบผ่านช่องทางภาครัฐ และการจัดกิจกรรมสร้างความรู้ความเข้าใจให้แก่ภาคเอกชนเพื่อส่งเสริมการใช้ประโยชน์จากสิทธิอันพึงมีจากความตกลงในกรอบอาเซียน และการส่งเสริมความร่วมมือของภาคเอกชนในการสร้างเครือข่ายธุรกิจภายใต้บรรยากาศการทำธุรกิจในภูมิภาคที่เปิดกว้างมากขึ้น รวมทั้งเห็นควรให้มีการจัดตั้งสายด่วน (hotline) โดยแบ่งออกเป็น ๓ ระดับ ได้แก่ ระดับรัฐมนตรี ระดับปลัดกระทรวง และระดับอธิบดี เพื่อเป็นกลไกในการแก้ไขปัญหาการค้าการลงทุนระดับทวิภาคีที่มีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ ที่ประชุมได้ให้การสนับสนุนการแลกเปลี่ยนบุคลากรทั้งภาครัฐและภาคเอกชนเพื่อสร้างความเข้าใจระหว่างกันในนโยบายการค้าและการลงทุน รวมถึงความร่วมมือระหว่างสำนักงานส่งเสริมการค้าเวียดนาม (VIETTRADE) และกรมส่งเสริมการส่งออกในการจัดงานแสดงสินค้า นิทรรศการ การจับคู่และสร้างเครือข่ายธุรกิจ นอกจากนี้ ที่ประชุมได้ตกลงที่จะมีความร่วมมือด้านการคุ้มครองสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาและการประเมินราคาศุลกากร ๑.๔ ความร่วมมือข้าวและมันสำปะหลัง ทั้งสองฝ่ายเห็นชอบให้มีการแต่งตั้งผู้ประสานงานความร่วมมือข้าวระดับเจ้าหน้าที่อาวุโส ระดับผู้ส่งออก และระดับชาวนา โดยใช้แนวทางความร่วมมือในกรอบ ACMECS เป็นฐานในการขยายรูปแบบความร่วมมือข้าว ประกอบด้วย ระดับเจ้าหน้าที่อาวุโส ได้แก่ กรมนำเข้าและส่งออก กระทรวงอุตสาหกรรมและการค้าแห่งเวียดนาม และกรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ ระดับผู้ส่งออก ได้แก่ สมาคมอาหารเวียดนามและสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย และระดับชาวนา ได้แก่ สหภาพชาวนาเวียดนามและสมาคมชาวนาไทย ทั้งนี้ ฝ่ายเวียดนามรับพิจารณาข้อเสนอของไทยในเรื่องการจัดตั้ง “สมาพันธ์โรงสีข้าวและผู้ค้าข้าวแห่งอาเซียน” และ “สมาพันธ์ผู้ค้ามันสำปะหลังแห่งอาเซียน” และเห็นด้วยต่อข้อเสนอความร่วมมือเรื่องข้าวของไทย โดยเห็นว่าขอบเขตของความร่วมมือเรื่องข้าว ควรประกอบด้วย ๒ ส่วน คือ การส่งออก (export) และการผลิต (production) พร้อมทั้งยินดีให้ไทยเป็นผู้นำในการเสนอแนวทางและกลไกความร่วมมือฯ เพื่อให้เกิดผลในทางปฏิบัติต่อไป ๑.๕ ความร่วมมือภาคเอกชน ที่ประชุมรับทราบความคืบหน้าการจัดตั้งสภาธุรกิจเวียดนาม-ไทย และเห็นควรให้มีการส่งเสริมและอำนวยความสะดวกความร่วมมือในสาขาที่มีศักยภาพ ได้แก่ อุตสาหกรรมยานยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ ปิโตรเลียม และอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง โดยจะหารือรายละเอียดมาตรการที่เกี่ยวข้องในการประชุม JTC ครั้งต่อไป ๑.๖ เรื่องอื่นๆ ที่ประชุมรับทราบนโยบายการพัฒนาโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนของเวียดนามในเมืองกวางจิ ซึ่งรัฐมนตรีกระทรวงพลังงานของทั้งสองประเทศตกลงที่จะร่วมมือกัน โดยฝ่ายไทยยินดีที่จะเข้าไปลงทุนในสาขาดังกล่าว ส่วนฝ่ายเวียดนามได้ขอให้ไทยพิจารณาจัดการประชุมสามฝ่าย (ไทย-สปป.ลาว-เวียดนาม) เรื่องการส่งเสริมการใช้ประโยชน์จากเส้นทางหมายเลข ๙ (ลาวบาว-สะหวันนะเขต-มุกดาหาร) หรือ East-West Economic Corridor (EWEC) ซึ่งฝ่ายไทยรับจะพิจารณาจัดการประชุมดังกล่าว ณ จังหวัดชายแดนของไทย โดยจะแจ้งผลให้ฝ่ายเวียดนามทราบในโอกาสต่อไป ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงคมนาคม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นและข้อสังเกตของกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงมหาดไทย และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นควรเร่งดำเนินการตามผลการประชุม JTC ครั้งที่ ๑ เพื่อให้สามารถรายงานความคืบหน้าต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรีร่วมอย่างไม่เป็นทางการ (Joint Cabinet Retreat-JCR) ครั้งที่ ๒ ในช่วงเดือนตุลาคม ๒๕๕๕ ซึ่งประเทศไทยจะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมดังกล่าว และเห็นควรบูรณาการความร่วมมือกับภาคีการพัฒนาทุกภาคส่วนภายใต้ข้อกฎหมาย กฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้เกิดการมีส่วนร่วมและเกิดเอกภาพในการปฏิบัติสู่ผลสัมฤทธิ์ นอกจากนี้ เห็นควรให้ความสำคัญและติดตามการดำเนินงานความร่วมมือด้านการส่งเสริมและอำนวยความสะดวกทางการค้าและการลงทุน โดยเฉพาะความร่วมมือข้าวระหว่างไทยและเวียดนาม การติดตามด้านการส่งเสริมการลงทุนของภาคเอกชนไทยในเวียดนามในธุรกิจพลังงานเพื่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังความร้อนจากแหล่งถ่านหินคุณภาพดีในจังหวัดกวางจิ การพิจารณาผลักดันการพัฒนาความร่วมมือทางการค้า/การจำหน่าย มากกว่าการแข่งขันเพื่อตัดราคาสินค้าเกษตร และการวิจัยพัฒนาการผลิตร่วมกัน ควบคู่ไปกับการสนับสนุนการจัดตั้งสมาพันธ์ผู้สีข้าวและผู้ค้าข้าวอาเซียน และสมาพันธ์ผู้ค้ามันสำปะหลังอาเซียน รวมทั้งการประสานงานอย่างใกล้ชิดกับหน่วยงานของ สปป.ลาว และเวียดนาม เพื่อสร้างความเข้าใจให้แก่ผู้ประกอบการที่ได้รับอนุญาตเดินรถในเส้นทาง EWEC และส่วนที่ขยายตามร่างบทเพิ่มเติมฯ ทั้งในเรื่องรายละเอียดของแนวเส้นทางและจุดแวะพักรถ กฎระเบียบที่สำคัญของแต่ละประเทศ และการประกันภัย ซึ่งรวมถึงการประกันภัยบุคคลที่สาม ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||
29733 | ขออนุมัติผ่อนผันการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับหลักเกณฑ์การก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณและมาตรการอื่นที่เกี่ยวข้อง และขอเพิ่มวงเงินก่อหนี้ผูกพันรายการก่อสร้างอาคารศูนย์การศึกษาและบริการวิชาการ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ | ศธ | 28/08/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์เปลี่ยนแปลงรายการและเพิ่มวงเงินการก่อสร้างอาคารศูนย์การศึกษาและบริการวิชาการ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ในวงเงินจำนวน ๕๒๕,๕๐๐,๐๐๐ บาท ตามผลประกวดราคา โดยให้ใช้จ่ายจากเงินงบประมาณ จำนวน ๑๑๗,๐๐๐,๐๐๐ บาท ซึ่งเบิกจ่ายจากงบประมาณรายจ่ายที่ได้รับจัดสรรแล้ว ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ จำนวน ๒๓,๔๐๐,๐๐๐ บาท ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ จำนวน ๒๑,๔๒๐,๐๐๐ บาท และผูกพันงบประมาณรายจ่ายประจำปีต่อ ๆ ไป อีกจำนวน ๗๒,๑๘๐,๐๐๐ บาท และขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันจากเดิมปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ - พ.ศ. ๒๕๕๖ เป็นปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ - พ.ศ. ๒๕๕๘ พร้อมทั้งให้ผ่อนผันการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒ เรื่อง การปรับปรุงแก้ไขมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับหลักเกณฑ์การก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณและมาตรการอื่นที่เกี่ยวข้อง ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
||||||||||||||||||||||||
29734 | การรับรองเอกสารสำคัญที่จะรับรองในการประชุมรัฐมนตรีเอเปค ครั้งที่ 24 และการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค ครั้งที่ 20 | กต | 28/08/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างปฏิญญาผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค ครั้งที่ ๒๐ และอนุมัติให้นายกรัฐมนตรีรับรองเอกสารดังกล่าวในการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค ครั้งที่ ๒๐ ระหว่างวันที่ ๘-๙ กันยายน ๒๕๕๕ ซึ่งสหพันธรัฐรัสเซียจะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมดังกล่าว และเห็นชอบร่างแถลงการณ์รัฐมนตรีเอเปค ครั้งที่ ๒๔ และอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์รับรองเอกสารดังกล่าวในการประชุมรัฐมนตรีเอเปค ครั้งที่ ๒๔ ระหว่างวันที่ ๕-๖ กันยายน ๒๕๕๕ ณ นครวลาดิวอสต็อก ทั้งนี้ สาระสำคัญของร่างปฏิญญาฯ และร่างแถลงการณ์ฯ เป็นการประกาศเจตนารมณ์ร่วมกันในการส่งเสริมความร่วมมือทางเศรษฐกิจเพื่อส่งเสริมการเปิดตลาดการค้า การลงทุน และการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจของภูมิภาค ความร่วมมือด้านความมั่นคงทางอาหาร ความร่วมมือเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพในห่วงโซ่อุปทาน และความร่วมมือเพื่อให้เกิดการขับเคลื่อนระหว่างประเทศ ๑.๒ หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงร่างเอกสารทั้งสองฉบับดังกล่าวในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญก่อนมีการรับรอง เพื่อให้สอดคล้องกับผลประโยชน์ของประเทศไทย ให้กระทรวงการต่างประเทศและกระทรวงพาณิชย์สามารถดำเนินการได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้ง ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงอุตสาหกรรม และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องด้วย ดังนี้ ๒.๑ ประเทศไทยควรมีมาตรการในการแก้ไขปัญหาและเตรียมความพร้อมเมื่อเข้าสู่การเปิดเสรีในภาคการค้าบริการด้านการศึกษา เช่น ส่งเสริมการเรียนการสอนภาษาอังกฤษ (และภาษาต่างประเทศอื่น ๆ) ส่งเสริมการผลิตและพัฒนาอาจารย์ด้านการสอนภาษาอังกฤษ (ภาษาต่างประเทศอื่นๆ) รวมทั้งส่งเสริมการจัดกิจกรรมให้นักศึกษาไทยได้แสดงความสามารถในเวทีระดับนานาชาติ และสร้างแรงจูงใจให้นักศึกษาจากต่างประเทศ โดยเฉพาะในภูมิภาคเข้ามาศึกษาในสถาบันการศึกษาในประเทศไทยมากขึ้น ๒.๒ การยอมรับรายการสินค้าสิ่งแวดล้อม ภายใต้หัวข้อ การเปิดเสรีการค้าและการลงทุน เนื่องจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของไทยยังไม่ได้มีการพิจารณารายการสินค้าดังกล่าว ประกอบกับอาจมีรายการสินค้าที่เป็นสินค้าอ่อนไหวของไทยหรือเมื่อลดภาษีไปแล้วอาจส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการภายในประเทศ จึงไม่สมควรที่จะยอมรับรายการสินค้าดังกล่าวจนกว่าหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะได้มีการพิจารณาอย่างรอบคอบร่วมกันก่อน ๒.๓ ให้มีการหารือถึงแนวทางการประเมินผลการดำเนินการให้เป็นไปตามเป้าหมาย เพื่อปรับปรุงสมรรถนะห่วงโซ่อุปทานให้ได้ร้อยละ ๑๐ ภายในปี พ.ศ. ๒๕๕๘ โดยการลดต้นทุน ระยะเวลา และความไม่แน่นอนในการเคลื่อนย้ายสินค้าและบริการภายในภูมิภาคให้เป็นรูปธรรมชัดเจน |
||||||||||||||||||||||||
29735 | ขอความเห็นชอบการดำเนินงานชุมนุมยุวเกษตรกรโลก ครั้งที่ 10 ปี 2556 | กษ | 28/08/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการดำเนินงานชุมนุมยุวเกษตรกรโลก ครั้งที่ ๑๐ ปี ๒๕๕๖ หรือ 10th World IFYE Conference 2013 ระหว่างวันที่ ๑๒- ๑๙ พฤศจิกายน ๒๕๕๖ ณ จังหวัดชลบุรี วัตถุประสงค์เพื่อแลกเปลี่ยนแนวทางการพัฒนายุวเกษตรกร เสริมสร้างเครือข่ายและความสัมพันธ์อันดีในการพัฒนายุวเกษตรกรระหว่างประเทศ หรือ International Farm Youth Exchange (IFYE) งบประมาณดำเนินงานทั้งสิ้น ๒๖,๒๖๓,๐๐๐ บาท และให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมส่งเสริมการเกษตรเป็นหน่วยงานหลักรับผิดชอบดำเนินการจัดงาน ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ๒. ในส่วนของงบประมาณสำหรับการดำเนินงานชุมนุมยุวเกษตรกรโลก ครั้งที่ ๑๐ ปี ๒๕๕๖ นั้น เนื่องจากในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ กรมส่งเสริมการเกษตรไม่ได้ขอรับการจัดสรรงบประมาณปี พ.ศ. ๒๕๕๖ เพื่อการจัดเตรียมงานดังกล่าวไว้ จึงเห็นควรให้กรมส่งเสริมการเกษตรปรับแผนการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ มาดำเนินการร่วมกับรายได้อื่นที่จะเกิดขึ้น ทั้งนี้ ให้คำนึงถึงความคุ้มค่าและประหยัด โดยให้ถือปฏิบัติตามระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๒๘ และที่แก้ไขเพิ่มเติม สำหรับค่าใช้จ่ายในส่วนที่เหลือ ให้กรมส่งเสริมการเกษตรและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ ตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๓. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับแผนงานประชุมสัมมนาและจัดกิจกรรมยุวเกษตรกร ควรเพิ่มแผนหรือกิจกรรมที่สร้างแรงจูงใจและให้กำลังใจแก่ยุวเกษตรกรไทย อาทิ จัดกิจกรรมประกวดผลงานของยุวเกษตรกรไทย และมอบรางวัลในงานนี้ ส่วนการศึกษาดูงาน ควรเน้นที่เป็นผลงานของยุวเกษตรกร โดยเฉพาะอย่างยิ่งกิจกรรมศึกษาดูงานที่แสดงให้เห็นถึงการใช้ความรู้สมัยใหม่ (วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม) เชื่อมต่อจากภูมิปัญญาไทย และเห็นควรให้ความสำคัญกับกิจกรรมเพื่อเผยแพร่พระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและพระบรมวงศานุวงศ์ที่มีต่อเกษตรกรและภาคเกษตรกรรมของไทย การกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการคัดเลือกเป้าหมายยุวเกษตรกรไทยให้ได้ยุวเกษตรกรที่มีศักยภาพในการผลักดันการพัฒนางานยุวเกษตรในทุกสาขาเกษตรทั่วทุกภูมิภาค รวมทั้งจัดเตรียมงาน สถานที่ และการเดินทางสำหรับผู้เข้าร่วมประชุมฯ ให้ได้รับความสะดวก ปลอดภัย และเป็นไปอย่างคุ้มค่า ตลอดจนเกิดความโปร่งใสในการจัดซื้อจัดจ้างตามขั้นตอนและระเบียบที่เกี่ยวข้องของทางราชการ ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||||||||
29736 | สรุปผลการสำรวจภาวะการทำงานของประชากร เดือนมิถุนายน พ.ศ. 2555 | ทก | 28/08/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการสำรวจภาวะการทำงานของประชากร เดือนมิถุนายน พ.ศ. ๒๕๕๕ ตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ผู้ที่อยู่ในกำลังแรงงาน มีจำนวนทั้งสิ้น ๓๙.๘๙ ล้านคน ประกอบด้วย ผู้มีงานทำ ๓๙.๕๓ ล้านคน ผู้ว่างงาน ๒.๖๗ แสนคน และผู้ที่รอฤดูกาล ๐.๘๗ แสนคน โดยผู้ที่อยู่ในกำลังแรงงานมีจำนวนเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันกับปี พ.ศ. ๒๕๕๔ จำนวน ๗.๗ แสนคน (จาก ๓๙.๑๒ ล้านคน เป็น ๓๙.๘๙ ล้านคน) ๒. ผู้มีงานทำ มีจำนวนทั้งสิ้น ๓๙.๕๓ ล้านคน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันกับปี พ.ศ. ๒๕๕๔ จำนวน ๖.๕ แสนคน (จาก ๓๘.๘๘ ล้านคน เป็น ๓๙.๕๓ ล้านคน) หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ ๑.๗ โดยผู้ทำงานเพิ่มขึ้น ได้แก่ ผู้ทำงานภาคเกษตรกรรม จำนวน ๕.๒ แสนคน สาขาการผลิต จำนวน ๓.๗ แสนคน สาขาการบริหารราชการ การป้องกันประเทศ การประกันสังคมภาคบังคับ จำนวน ๒.๖ แสนคน และสาขาการก่อสร้าง จำนวน ๑.๗ แสนคน ส่วนผู้ทำงานลดลง ได้แก่ ผู้ทำงานในสาขาที่พักแรมและการบริการด้านอาหาร จำนวน ๔.๕ แสนคน สาขาการศึกษา จำนวน ๑.๑ แสนคน สาขากิจกรรมทางการเงิน และการประกันภัย จำนวน ๙.๐ หมื่นคน สาขาการขายส่ง การขายปลีก การซ่อมยานยนต์ และรถจักรยานยนต์ จำนวน ๕ หมื่นคน ๓. ผู้ว่างงานทั่วประเทศ มีจำนวน ๒.๖๗ แสนคน คิดเป็นอัตราการว่างงาน ร้อยละ ๐.๗ ของกำลังแรงงานรวม (เพิ่มขั้น ๑.๐๔ แสนคน เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันกับปี พ.ศ. ๒๕๕๔) ประกอบด้วย ผู่ว่างงานที่ไม่เคยทำงานมาก่อน จำนวน ๑.๒๑ แสนคน และผู้ว่างงานที่เคยทำงานมาก่อน จำนวน ๑.๔๖ แสนคน โดยเป็นผู้ว่างงานที่มาจากภาคการผลิต จำนวน ๕.๐ หมื่นคน ภาคการบริการและการค้า จำนวน ๘.๕ หมื่นคน และภาคเกษตรกรรม จำนวน ๑.๑ หมื่นคน ผู้ว่างงานเป็นผู้มีการศึกษาอยู่ในระดับอุดมศึกษา จำนวน ๑.๐๙ แสนคน ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น จำนวน ๖.๕ หมื่นคน ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย จำนวน ๔.๕ หมื่นคน ระดับประถมศึกษา จำนวน ๒.๕ หมื่นคน และไม่มีการศึกษาและต่ำกว่าประถมศึกษา จำนวน ๒.๓ หมื่นคน นอกจากนี้ ผู้ว่างงานส่วนใหญ่อยู่ในภาคกลาง ๗.๗ หมื่นคน ภาคเหนือ ๗.๓ หมื่นคน ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ๖.๔ หมื่นคน ภาคใต้ ๓.๖ หมื่นคน และกรุงเทพมหานคร จำนวน ๑.๗ หมื่นคน หากคิดเป็นอัตราการว่างงาน ภาคเหนือมีอัตราการว่างงานสูงสุด ร้อยละ ๑.๐ ภาคกลางมีอัตราการว่างงานร้อยละ ๐.๘ ภาคใต้มีอัตราการว่างงานร้อยละ ๐.๗ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีอัตราการว่างงานร้อยละ ๐.๕ กรุงเทพมหานครมีอัตราการว่างงานร้อยละ ๐.๔
|
||||||||||||||||||||||||
29737 | ขออนุมัติเพิ่มกรอบอัตรากำลังพลสมาชิกกองอาสารักษาดินแดน ในส่วนภูมิภาค | มท | 28/08/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการเพิ่มกรอบอัตรากำลังพลสมาชิกกองอาสารักษาดินแดน จำนวน ๘๒ อัตรา เพื่อบรรจุสั่งใช้ให้แก่กองบังคับการกองอาสารักษาดินแดน จังหวัดบึงกาฬ จำนวน ๒ กองร้อย ได้แก่ กองร้อยอาสารักษาดินแดนจังหวัดบึงกาฬ จำนวน ๖๐ อัตรา และกองร้อยบังคับการและบริการจังหวัดบึงกาฬ จำนวน ๒๒ อัตรา และให้กระทรวงมหาดไทยปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ของกรมการปกครอง สำหรับเป็นค่าใช้จ่ายที่จำเป็นเบื้องต้นในการบรรจุสั่งใช้กำลังพลสมาชิกกองอาสารักษาดินแดน จำนวน ๘๒ อัตราดังกล่าว ซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายในเดือนกันยายน ๒๕๕๕ ตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๔ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ในการประชุมครั้งที่ ๑๐/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๙ สิงหาคม ๒๕๕๕ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ประธานกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๔ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) เสนอ
|
||||||||||||||||||||||||
29738 | การจัดผู้เข้ารับการศึกษาหลักสูตรของวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร ประจำปีการศึกษา 2555 - 2556 แทนผู้ที่ขอสละสิทธิ์ | กห | 28/08/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการขอสละสิทธิ์เข้ารับการศึกษาหลักสูตรการป้องกันราชอาณาจักรภาครัฐ เอกชน และการเมือง (วปม.) รุ่นที่ ๖ ของนายธนา ตันศิริ ผู้ชำนาญการกฎหมาย บริษัท บี.ดี.ดี. ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด และอนุมัติให้นางสาวแก้วใจ เผอิญโชค ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทย วี.พี. คอร์ปอร์เรชั่น จำกัด เป็นผู้เข้ารับการศึกษาแทน ตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||
29739 | การรายงานความก้าวหน้าผลการดำเนินงานและการขออนุมัติเพิ่มวงเงินกู้ตามโครงการพัฒนาศักยภาพสถาบันเกษตรกรเพื่อรักษาเสถียรภาพราคายาง | กษ | 28/08/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานความก้าวหน้าการดำเนินงานและปัญหาอุปสรรคที่เกิดขึ้นในโครงการพัฒนาศักยภาพสถาบันเกษตรกรเพื่อรักษาเสถียรภาพราคายาง ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ ความก้าวหน้าการดำเนินโครงการฯ มีสถาบันเกษตรกรสนใจเข้าร่วมโครงการฯ จำนวน ๕๒ จังหวัด เพิ่มขึ้นจากเดิม ๓ จังหวัด มีสถาบันเกษตรกรเข้าร่วมโครงการฯ จำนวน ๖๗๖ สถาบัน เพิ่มขึ้นจากเดิม จำนวน ๑๓๖ แห่ง โดยอนุมัติให้เข้าร่วมโครงการฯ แล้ว จำนวน ๖๑๑ แห่ง เพิ่มขึ้นจากเดิม จำนวน ๑๑๗ แห่ง อยู่ระหว่างการพิจารณา จำนวน ๔๗ แห่ง และไม่ผ่านการอนุมัติ จำนวน ๕ แห่ง องค์การสวนยาง (อ.ส.ย.) เปิดจุดรับซื้อยางตามโครงการฯ เพิ่มขึ้น จำนวน ๑๑ จุด คือ ภาคใต้ ๗ จุด ภาคตะวันออก ๑ จุด ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ๓ จุด รวมทั้งสิ้น ๔๒ จุด การรับซื้อยางจากสถาบันเกษตรกร ข้อมูล ณ วันที่ ๑ สิงหาคม ๒๕๕๕ อ.ส.ย. ซื้อยางไปแล้ว จำนวน ๖๑,๗๖๒ ตัน คงเหลือพื้นที่โกดังเก็บยางได้อีก ๑๓,๐๐๐ ตัน ซึ่ง อ.ส.ย. ได้ประสานงานหาสถานที่เก็บยางเพิ่มอีก ๘,๐๐๐ ตัน การเบิกเงินกู้ อ.ส.ย. ได้เบิกเงินเต็มจำนวน ๑๐,๐๐๐ ล้านบาท ๑.๒ ปัญหาและอุปสรรคของการดำเนินโครงการฯ ๑.๒.๑ จุดรับซื้อของ อ.ส.ย. ยังไม่ครอบคลุมทุกพื้นที่ เนื่องจากยังไม่มีโรงงานแปรรูปยาง โดยเฉพาะพื้นที่ที่มีการปลูกยาง และสถาบันเกษตรกรเข้าร่วมโครงการฯ มาก เช่น จังหวัดพัทลุง และตามพื้นที่ที่มีปัญหาเกี่ยวกับความปลอดภัย เช่น จังหวัดชายแดนภาคใต้ เป็นต้น ๑.๒.๒ จุดรับซื้อของ อ.ส.ย. อยู่ไกล ทำให้สถาบันเกษตรกรต้องแบกรับภาระค่าขนส่ง ๑.๒.๓ อ.ส.ย. ยังไม่ได้มีการเปิดรับซื้อน้ำยางสด ทำให้สถาบันเกษตรกรที่ซื้อขายน้ำยางสดไม่ได้รับประโยชน์จากโครงการฯ โดยเฉพาะในเขตจังหวัดชายแดนภาคใต้ ๑.๒.๔ การคัดชั้นยาง ณ จุดรับซื้อยางของ อ.ส.ย. เป็นไปตามมาตรฐานของกรมวิชาการเกษตร โดยมีคณะกรรมการคัดชั้นยางที่คณะกรรมการบริหารกิจการขององค์การสวนยางแต่งตั้งขึ้นเป็นผู้ตรวจสอบคุณภาพและน้ำหนักยางทำให้สถาบันเกษตรกรบางแห่งที่ไม่ได้คัดคุณภาพยางตามมาตรฐานมีความเห็นขัดแย้ง ๑.๒.๕ การลงยาง ณ จุดรับซื้อล่าช้า สหกรณ์/กลุ่มเกษตรกรติดคิวในการลงยางทำให้ไม่สามารถนำส่งยางได้ภายใน ๑ วัน ทำให้เกิดการสะสมและไม่สามารถขายยางที่เหลือต่อได้ ๑.๒.๖ สถาบันเกษตรกรมีการนำยางซึ่งไม่ใช่ของสมาชิกมาสวมสิทธิ์สมาชิกแล้วคิดค่าบริหารจัดการเพื่อหากำไรจากโครงการฯ ๑.๒.๗ ผลผลิตยางจากวิสาหกิจชุมชนมาจากหลายสถานที่และคุณภาพไม่สม่ำเสมอ ไม่สามารถควบคุมคุณภาพและปริมาณได้ ๑.๒.๘ เกษตรกรไม่สามารถเข้าร่วมเป็นสมาชิกหรือสมาชิกสมทบของสหกรณ์ได้ เนื่องจากสหกรณ์มีผลผลิตยางเต็มกำลังการผลิต จึงไม่สามารถรับสมาชิกเพิ่มได้ ๒. อนุมัติให้ อ.ส.ย. กู้เงินจากธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) จากวงเงิน ๕,๐๐๐ ล้านบาท ในส่วนของสถาบันเกษตรกร จำนวน ๒,๐๐๐ ล้านบาท ในอัตราดอกเบี้ยร้อยละ ๐ เพื่อดำเนินการตามโครงการพัฒนาศักยภาพสถาบันเกษตรกรเพื่อรักษาเสถียรภาพราคายางให้เป็นไปอย่างต่อเนื่อง โดยให้กระทรวงการคลังค้ำประกันและยกเว้นค่าธรรมเนียมในการค้ำประกัน รวมทั้งให้สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะบรรจุวงเงินส่วนของสถาบันเกษตรกร จำนวน ๒,๐๐๐ ล้านบาทดังกล่าวในแผนบริหารหนี้สาธารณะปี พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๖ ด้วย ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ๓. ให้รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ประธานกรรมการนโยบายยางธรรมชาติ (กนย.) รับไปเร่งรัดจัดประชุมคณะกรรมการนโยบายยางธรรมชาติร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงอุตสาหกรรม เพื่อพิจารณาและจัดทำแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาศักยภาพสถาบันเกษตรกรเพื่อรักษาเสถียรภาพราคายางให้แล้วเสร็จโดยเร็ว โดยให้มีรายละเอียดแนวทางการดำเนินการต่าง ๆ ที่ชัดเจน เป็นระบบ ครอบคลุมถึงการรับซื้อในราคาที่เหมาะสม การบริหารจัดการสต๊อก (stock) ยางพารา และแนวทางการนำยางพาราไปใช้ประโยชน์ในการประกอบการต่าง ๆ ให้แพร่หลายมากขึ้นเพื่อเพิ่มอุปสงค์ของยางพารา โดยให้นำผลงานศึกษาวิจัยที่เกี่ยวข้องไปประกอบการพิจารณาด้วย เช่น การนำยางพาราไปเป็นวัตถุดิบในการผลิตยางล้อเครื่องบินทดแทนส่วนผสมที่เป็นโลหะมากขึ้น และการนำยางพาราไปเป็นวัตถุดิบในการก่อสร้างถนนแทนยางแอสฟัลต์ เป็นต้น ๔. ให้รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและสำนักงบประมาณที่เห็นควรให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และ อ.ส.ย. เร่งดำเนินการแก้ไขข้อจำกัดในการดำเนินโครงการฯ โดยเฉพาะการเพิ่มจุดรับซื้อเพื่ออำนวยความสะดวกและลดต้นทุนการขนส่งให้กับเกษตรกร การคัดชั้นยางตามมาตรฐานทางวิชาการอย่างโปร่งใสและเป็นที่ยอมรับจากเกษตรกร การพิจารณาความเหมาะสมในการเปิดโอกาสให้กับเกษตรกรผู้ปลูกยางทั่วไปสามารถขายยางให้กับ อ.ส.ย. ได้ และให้ กนย. กำกับให้ อ.ส.ย. จัดทำแผนบริหารจัดการระบายยางในสต๊อก และช่วงจังหวะเวลาที่เหมาะสมให้ชัดเจน รวมถึงอัตราการขาดทุนที่ยอมรับได้ และแผนการบริหารเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินโครงการฯ โดยไม่ต้องขอรับสนับสนุนงบประมาณเพิ่มเติม พร้อมทั้งปรับปรุงหลักเกณฑ์การตั้งราคารับซื้อยางพาราให้มีความยืดหยุ่นเพื่อให้ดำเนินธุรกิจของ อ.ส.ย. มีความคล่องตัวและไม่เป็นภาระในการชดเชยส่วนต่างของราคาซึ่งสูงกว่าที่ควรจะเป็น นอกจากนี้ ให้ กนย. กำกับและติดตามการดำเนินโครงการฯ ให้เหมาะสมและสอดคล้องกับภาวะตลาดทั้งในและต่างประเทศเพื่อให้เกิดภาระงบประมาณที่เกิดจากการชดเชยผลการขาดทุนน้อยที่สุด ไปประกอบการพิจารณาดำเนินการด้วย แล้วให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
29740 | ขอความเห็นชอบร่างเอกสารว่าด้วยหลักการทั่วไปและวัตถุประสงค์ของการเจรจาความตกลง RCEP | พณ | 28/08/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ โดย
๑. เห็นชอบร่างเอกสารว่าด้วยหลักการทั่วไปและวัตถุประสงค์ของการเจรจาความตกลง RCEP (Guiding Principles and Objectives for Negotiating the Regional Comprehensive Economic Partnership) ที่จะมีการรับรองในระหว่างการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน ครั้งที่ ๔๔ และการประชุมที่เกี่ยวข้อง ระหว่างวันที่ ๒๖-๓๑ สิงหาคม ๒๕๕๕ ณ เสียมราฐ ประเทศกัมพูชา โดยร่างเอกสาร RCEP เป็นการกำหนดหลักการทั่วไปและวัตถุประสงค์สำหรับการเจรจาความตกลง RCEP เพื่อให้บรรลุเป้าหมายในการเป็นความตกลงที่ทันสมัยและมีคุณภาพสูงบนพื้นฐานของผลประโยชน์ร่วมกันรอบด้านโดยครอบคลุมการค้าสินค้า การค้าบริการ การลงทุน ความร่วมมือทางเศรษฐกิจและทางเทคนิค และประเด็นอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการค้า ซึ่งการเจรจาจะตระหนักถึงบทบาทของอาเซียนในการเป็นศูนย์กลาง (ASEAN Centrality) ของภูมิภาคและสนับสนุนการรวมกลุ่มเศรษฐกิจในภูมิภาค โดยหัวข้อสำคัญอย่างกว้าง ๆ ดังนี้ ๑.๑ สอดคล้องกับกฎกติกาภายใต้ความตกลงขององค์การการค้าโลก ๑.๒ สร้างผลประโยชน์เพิ่มเติมจากความตกลงการค้าเสรีอาเซียนกับประเทศคู่ภาคีที่มีอยู่ในปัจจุบัน โดยตระหนักถึงระดับการพัฒนาทางเศรษฐกิจที่แตกต่างกันระหว่างประเทศสมาชิก และให้ความยืดหยุ่นที่เหมาะสมแก่ประเทศกำลังพัฒนาและประเทศด้อยพัฒนา ๑.๓ ส่งเสริมการอำนวยความสะดวกและความโปร่งใสทางการค้าสินค้า การค้าบริการ และการลงทุน รวมทั้งส่งเสริมการเข้าสู่ห่วงโซ่อุปทานภายในภูมิภาคและตลาดโลก ๑.๔ ส่งเสริมความร่วมมือทางเศรษฐกิจและขีดความสามารถเพื่อลดช่องว่างความแตกต่างของการพัฒนา ๑.๕ ส่งเสริมความร่วมมือด้านประเด็นอื่นที่มีบทบาทต่อการค้ายุคใหม่ อาทิ ทรัพย์สินทางปัญญา การแข่งขัน รวมทั้งเปิดโอกาสให้พิจารณาประเด็นอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการค้า อาทิ สิ่งแวดล้อม การจัดซื้อจัดจ้างโดยรัฐ และแรงงาน โดยคำนึงถึงสภาพความเป็นจริงทางธุรกิจ ๑.๖ เปิดโอกาสให้ประเทศอื่น ๆ ที่สนใจเข้าร่วมในภายหลัง ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขร่างเอกสาร RCEP ที่ไม่ใช่สาระสำคัญหรือไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของประเทศไทย ให้กระทรวงพาณิชย์พิจารณาดำเนินการได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีก ๓. ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายรับรองเอกสาร RCEP ร่วมกับประเทศสมาชิกอาเซียนและประเทศภาคีความตกลงการค้าเสรีของอาเซียน |
.....