ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1483 จากทั้งหมด 6199 หน้า แสดงรายการที่ 29641 - 29660 จากข้อมูลทั้งหมด 123961 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
29641 | ร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมจังหวัดจันทบุรี พ.ศ. .... | นร09 | 04/09/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมจังหวัดจันทบุรี พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญคือ ให้ใช้บังคับผังเมืองรวม ในท้องที่จังหวัดจันทบุรี เพื่อใช้เป็นแนวทางในการพัฒนา และการดำรงรักษาเมืองและบริเวณที่เกี่ยวข้องหรือชนบท ในด้านการใช้ประโยชน์ในทรัพย์สิน การคมนาคมและการขนส่ง การสาธารณูปโภค บริการสาธารณะ และสภาพแวดล้อม และให้ดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||
29642 | ร่างพระราชบัญญัติความรับผิดทางแพ่งเพื่อความเสียหายจากมลพิษน้ำมัน พ.ศ. .... | คค | 04/09/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติความรับผิดทางแพ่งเพื่อความเสียหายจากมลพิษน้ำมัน พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญคือ ให้มีกฎหมายว่าด้วยความรับผิดทางแพ่งเพื่อความเสียหายจากมลพิษน้ำมัน เพื่อให้มีการชดใช้ความเสียหายจากมลพิษน้ำมัน โดยกำหนดให้เจ้าของเรือต้องรับผิดอย่างเคร่งครัดและต้องเอาประกันภัยหรือจัดหาหลักประกันทางการเงินอื่นใดเพื่อชดใช้ความเสียหายดังกล่าว ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป
|
||||||||||||||||||
29643 | แนวทางการอนุรักษ์และใช้ประโยชน์ความหลากหลายทางชีวภาพอย่างยั่งยืนโดยการมีส่วนร่วมของภาคธุรกิจ | ทส | 04/09/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรายงานความก้าวหน้าผลการดำเนินงานตามแนวทางการอนุรักษ์และใช้ประโยชน์ความหลากหลายทางชีวภาพอย่างยั่งยืนโดยการมีส่วนร่วมของภาคธุรกิจในส่วนที่เกี่ยวข้องของประเทศไทยต่อสมัชชาภาคีอนุสัญญาว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ สมัยที่ ๑๑ ที่จะมีขึ้นในเดือนตุลาคม ๒๕๕๕ ณ สาธารณรัฐอินเดีย ทั้งนี้ การรายงานความก้าวหน้าฯ ดังกล่าวต้องเป็นเพียงการแสดงความตั้งใจของประเทศไทยที่จะดำเนินการให้สนองต่อเป้าหมายของแผนกลยุทธ์อนุสัญญาว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ ระยะ ๒๐๑๑ - ๒๐๒๐ และทศวรรษแห่งความหลากหลายทางชีวภาพขององค์การสหประชาชาติ พ.ศ. ๒๕๕๔ - ๒๕๖๓ โดยไม่ก่อให้เกิดพันธกรณีหรือมีผลผูกพันต่องบประมาณหรือการต้องออกกฎหมายใหม่ และอยู่ภายใต้กฎหมายภายในของประเทศไทย ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพ (องค์การมหาชน) รวมทั้งหน่วยงาน คณะกรรมการ และภาคส่วนที่เกี่ยวข้องร่วมกันพิจารณาทบทวนและบูรณาการการจัดทำแผนยุทธศาสตร์เกี่ยวกับความหลากหลายทางชีวภาพให้ชัดเจน ครบถ้วน ครอบคลุมถึงการเข้าถึงและการใช้ประโยชน์ การอนุรักษ์ การพัฒนาอย่างยั่งยืน ประโยชน์ที่จะได้รับ สิทธิชุมชน และการแบ่งปันผลประโยชน์อย่างเป็นธรรม เพื่อใช้เป็นกรอบแนวทางในการพิจารณาจัดสรรงบประมาณและทรัพยากรต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องในการดำเนินการตามแผนงาน/โครงการต่าง ๆ ภายใต้แผนยุทธศาสตร์ดังกล่าวให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และไม่เกิดความซ้ำซ้อน ๓. ให้รับความเห็นของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่เห็นควรทำการสำรวจและวิเคราะห์ถึงศักยภาพของภาคธุรกิจในประเทศไทยที่สามารถจะเข้ามามีส่วนร่วมในการดำเนินการ และกำหนดกลุ่มเป้าหมายให้ชัดเจน เพื่อปรับปรุง (ร่าง) แนวทางการอนุรักษ์และใช้ประโยชน์ความหลากหลายทางชีวภาพดังกล่าวให้ถูกต้องครบถ้วนและสามารถประเมินความเป็นไปได้จากการดำเนินการเพื่อให้บรรลุเป้าประสงค์ที่กำหนดไว้ รวมทั้งควรเปิดโอกาสให้ภาคธุรกิจที่ได้กำหนดเป็นกลุ่มเป้าหมายเข้ามามีส่วนร่วมในการกำหนดแนวคิดและแนวทางดำเนินการตั้งแต่เริ่มต้นเพื่อให้มีความสอดคล้องกับศักยภาพของภาคธุรกิจ และมีความเป็นไปได้ในการปฏิบัติ ไปประกอบการพิจารณาด้วย และให้ดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องให้แล้วเสร็จ แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีโดยด่วนต่อไป |
||||||||||||||||||
29644 | แนวทางการดำเนินงานด้านการสื่อสาร การให้การศึกษา และการเสริมสร้างความตระหนักแก่สาธารณชนเรื่องความหลากหลายทางชีวภาพ (CEPA) เพื่อตอบสนองต่อทศวรรษแห่งความหลากหลายทางชีวภาพขององค์การสหประชาชาติ พ.ศ. 2554-2563 | ทส | 04/09/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรายงานความก้าวหน้าผลการดำเนินงานด้านการสื่อสาร การให้การศึกษา และการเสริมสร้างความตระหนักแก่สาธารณชนเรื่องความหลากหลายทางชีวภาพ (CEPA) เพื่อตอบสนองต่อทศวรรษแห่งความหลากหลายทางชีวภาพขององค์การสหประชาชาติ พ.ศ. ๒๕๕๔ - ๒๕๖๓ ในส่วนที่เกี่ยวข้องของประเทศไทยต่อสมัชชาภาคีอนุสัญญาว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ สมัยที่ ๑๑ ที่จะมีขึ้นในเดือนตุลาคม ๒๕๕๕ ณ สาธารณรัฐอินเดีย ทั้งนี้ การรายงานความก้าวหน้าฯ ดังกล่าวต้องเป็นเพียงการแสดงความตั้งใจของประเทศไทยที่จะดำเนินการให้สนองต่อเป้าหมายของแผนกลยุทธ์อนุสัญญาว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพระยะ ๒๐๑๑ - ๒๐๒๐ และทศวรรษแห่งความหลากหลายทางชีวภาพขององค์การสหประชาชาติ พ.ศ. ๒๕๕๔ - ๒๕๖๓ โดยไม่ก่อให้เกิดพันธกรณีหรือมีผลผูกพันต่องบประมาณหรือการต้องออกกฎหมายใหม่และอยู่ภายใต้กฎหมายภายในของประเทศไทย ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพ (องค์การมหาชน) รวมทั้งหน่วยงาน คณะกรรมการ และภาคส่วนที่เกี่ยวข้องร่วมกันพิจารณาทบทวนและบูรณาการการจัดทำแผนยุทธศาสตร์เกี่ยวกับความหลากหลายทางชีวภาพให้ชัดเจน ครบถ้วน ครอบคลุมถึงการเข้าถึงและการใช้ประโยชน์การอนุรักษ์ การพัฒนาอย่างยั่งยืน ประโยชน์ที่จะได้รับสิทธิชุมชน และการแบ่งปันผลประโยชน์อย่างเป็นธรรม เพื่อใช้เป็นกรอบแนวทางในการพิจารณาจัดสรรงบประมาณและทรัพยากรต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องในการดำเนินการตามแผนงาน/โครงการต่าง ๆ ภายใต้แผนยุทธศาสตร์ดังกล่าวให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและไม่เกิดความซ้ำซ้อน ๓. ให้รับความเห็นของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่เห็นควรดำเนินการบูรณาการรวบรวมและจัดทำกรอบประเด็นที่จะต้องรายงานต่อสมัชชาภาคีอนุสัญญาว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ สมัยที่ ๑๑ ณ สาธารณรัฐอินเดีย ให้ครบถ้วน เพื่อให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาในคราวเดียวกันและเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผลสูงสุด และใช้เป็นแนวทางในการดำเนินงานของทุกภาคส่วนในการปฏิบัติและการจัดสรรงบประมาณสนับสนุน รวมทั้งทำการประเมินสถานภาพของความตระหนักถึงความสำคัญของความหลากหลายทางชีวภาพที่มีอยู่ในสังคมไทยอย่างแท้จริง พร้อมปรับวัตถุประสงค์กับตัวชี้วัดให้สอดคล้องกัน และมีความเป็นไปได้ในทางปฏิบัติ เพื่อให้แนวทางการดำเนินการสามารถวัดผลได้ชัดเจนและมีประสิทธิภาพ และขอความร่วมมือภาคเอกชนและองค์กรพัฒนาเอกชนเพื่อให้การสนับสนุนแนวทางการดำเนินงานด้านการติดต่อสื่อสารฯ โดยกำหนดแผนงาน แนวทาง กฎระเบียบ และมาตรการสร้างแรงจูงใจให้กับภาคเอกชนในการเข้าร่วมที่ชัดเจน ไปประกอบการพิจารณาด้วย และให้ดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องให้แล้วเสร็จ แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีโดยด่วนต่อไป |
||||||||||||||||||
29645 | แนวทางการวิจัยความหลากหลายทางชีวภาพที่จำเป็นและสนองต่อเป้าหมายของแผนกลยุทธ์อนุสัญญาว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ ระยะ 2011 - 2020 (พ.ศ. 2554 - 2563) | ทส | 04/09/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรายงานความก้าวหน้าผลการดำเนินงานตามแนวทางการวิจัยความหลากหลายทางชีวภาพที่จำเป็นและสนองต่อเป้าหมายของแผนกลยุทธ์อนุสัญญาว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ ระยะ ๒๐๑๑ - ๒๐๒๐ (พ.ศ. ๒๕๕๔ - ๒๕๖๓) ในส่วนที่เกี่ยวข้องของประเทศไทยต่อสมัชชาภาคีอนุสัญญาว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ สมัยที่ ๑๑ ที่จะมีขึ้นในเดือนตุลาคม ๒๕๕๕ ณ สาธารณรัฐอินเดีย ทั้งนี้ การรายงานความก้าวหน้าฯ ดังกล่าวต้องเป็นเพียงการแสดงความตั้งใจของประเทศไทยที่จะดำเนินการให้สนองต่อเป้าหมายของแผนกลยุทธ์อนุสัญญาว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ ระยะ ๒๐๑๑ - ๒๐๒๐ และทศวรรษแห่งความหลากหลายทางชีวภาพขององค์การสหประชาชาติ พ.ศ. ๒๕๕๔ - ๒๕๖๓ โดยไม่ก่อให้เกิดพันธกรณีหรือมีผลผูกพันต่องบประมาณหรือการต้องออกกฎหมายใหม่ และอยู่ภายใต้กฎหมายภายในของประเทศไทย ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพ (องค์การมหาชน) รวมทั้งหน่วยงาน คณะกรรมการ และภาคส่วนที่เกี่ยวข้องร่วมกันพิจารณาทบทวนและบูรณาการการจัดทำแผนยุทธศาสตร์เกี่ยวกับความหลากหลายทางชีวภาพให้ชัดเจน ครบถ้วน ครอบคลุมถึงการเข้าถึงและการใช้ประโยชน์ การอนุรักษ์ การพัฒนาอย่างยั่งยืน ประโยชน์ที่จะได้รับ สิทธิชุมชน และการแบ่งปันผลประโยชน์อย่างเป็นธรรมในการดำเนินการตามแผนงาน/โครงการต่าง ๆ ภายใต้แผนยุทธศาสตร์ดังกล่าวให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและไม่เกิดความซ้ำซ้อน ๓. ให้รับความเห็นของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่เห็นควรทำการศึกษาประเมินสถานการณ์งานวิจัยด้านความหลากหลายทางชีวภาพของประเทศอย่างละเอียด เพื่อให้ทราบถึงสถานภาพของข้อมูลและงานวิจัยต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับความหลากหลายทางชีวภาพฯ รวมทั้งจัดทำยุทธศาสตร์การวิจัยด้านความหลากหลายทางชีวภาพ เพื่อกำหนดประเด็นการวิจัยสำคัญที่ต้องเร่งรัดดำเนินการ เพื่อการรักษาผลประโยชน์ของประเทศและใช้เป็นกรอบในการจัดสรรทรัพยากร กำลังคน และงบประมาณอย่างเหมาะสม นอกจากนี้ ควรมีแผนงานที่มีรายละเอียดแสดงถึงเป้าหมายและประโยชน์ต่อหน่วยธุรกิจและระดับชาติที่จะได้รับอย่างชัดเจน พร้อมทั้งมีมาตรการเพื่อสร้างแรงจูงใจให้ภาคเอกชนมีส่วนร่วมสนับสนุนการวิจัยความหลากหลายทางชีวภาพฯ อาทิ มาตรการทางด้านภาษี มาตรการส่งเสริมการตลาดและการดำเนินธุรกิจ เป็นต้น ไปประกอบการพิจารณาด้วย และให้ดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องให้แล้วเสร็จ แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีโดยด่วน |
||||||||||||||||||
29646 | ร่างพระราชกฤษฎีกาโอนที่วัด วัดท่าขี้เหล็ก (ร้าง) ตำบลวัดขวาง อำเภอโพทะเล จังหวัดพิจิตร ให้แก่กรมชลประทาน พ.ศ. .... | พศ | 04/09/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาโอนที่วัด วัดท่าขี้เหล็ก (ร้าง) ตำบลวัดขวาง อำเภอโพทะเล จังหวัดพิจิตร ให้แก่กรมชลประทาน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ โอนที่วัด วัดท่าขี้เหล็ก (ร้าง) ตำบลวัดขวาง อำเภอโพทะเล จังหวัดพิจิตร ตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. ๓ ก.) เลขที่ ๙๙๘ (บางส่วน) เนื้อที่ ๗๖ ตารางวา ให้แก่กรมชลประทาน เพื่อก่อสร้างคลองส่งน้ำพีอาร์. ๗๙.๙ อาร์. ตามที่สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||
29647 | ร่างพระราชกฤษฎีกาโอนกรรมสิทธิ์ที่วัด วัดตาลเสี้ยน ตำบลหนองแก อำเภอพระพุทธบาท จังหวัดสระบุรี ให้แก่กรมทางหลวง พ.ศ. .... | พศ | 04/09/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาโอนกรรมสิทธิ์ที่วัด วัดตาลเสี้ยน ตำบลหนองแก อำเภอพระพุทธบาท จังหวัดสระบุรี ให้แก่กรมทางหลวง พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ โอนกรรมสิทธิ์ที่วัด วัดตาลเสี้ยน ตำบลหนองแก อำเภอพระพุทธบาท จังหวัดสระบุรี ตามโฉนดที่ดินเลขที่ ๔๒๕๖๐ (บางส่วน) เนื้อที่ ๒ งาน ๐๖ ตารางวา ให้แก่กรมทางหลวง เพื่อขยายทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๓๐๒๐ สายแยกทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๓๐๒๒ (พระพุทธบาท) - หนองโดน ตามที่สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||
29648 | ร่างพระราชกฤษฎีกาโอนที่วัด วัดคลองข่อย ตำบลไทรโรงโขน อำเภอตะพานหิน จังหวัดพิจิตร ให้แก่กรมชลประทาน พ.ศ. .... | พศ | 04/09/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาโอนที่วัด วัดคลองข่อย ตำบลไทรโรงโขน อำเภอตะพานหิน จังหวัดพิจิตร ให้แก่กรมชลประทาน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ โอนที่วัด วัดคลองข่อย ตำบลไทรโรงโขน อำเภอตะพานหิน จังหวัดพิจิตร ตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. ๓ ก.) เลขที่ ๑๓๖ (บางส่วน) เนื้อที่ ๒ ไร่ ๗๒ ตารางวา ให้แก่กรมชลประทาน เพื่อก่อสร้างคลองส่งน้ำพีอาร์ ๙๕.๕ แอล ตามที่สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||
29649 | กรอบแนวทางการดำเนินงานของคณะกรรมการบูรณาการการบริหารจัดการที่ดินเชิงระบบ | มท | 04/09/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบผลการประชุมคณะกรรมการบูรณาการการบริหารจัดการที่ดินเชิงระบบ ครั้งที่ ๑/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๕ กรกฎาคม ๒๕๕๕ ตามที่คณะกรรมการบูรณาการการบริหารจัดการที่ดินเชิงระบบเสนอ สรุปผลการประชุมได้ ดังนี้ ๑.๑ กรอบการดำเนินงานของคณะกรรมการบูรณาการการบริหารจัดการที่ดินเชิงระบบ ๑.๑.๑ คณะกรรมการบูรณาการฯ ทำหน้าที่ในการบูรณาการการทำงานของทุกส่วนราชการในการจัดการและกระจายการถือครองที่ดินทั่วประเทศให้เหมาะสมและสอดคล้องต่อยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศ โดยมีสถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดินเป็นกลไก ซึ่งมีแผนปฏิบัติการบริหารจัดการที่ดินเชิงระบบ โดยการจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการที่ดินระดับจังหวัด มีผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นประธาน ๑.๑.๒ ให้สถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดิน (องค์การมหาชน) (บจธ.) เสนอขอแปรญัตติเพื่อขอรับการสนับสนุนงบประมาณในการดำเนินงานของศูนย์ปฏิบัติการ เป็นเงินรวมทั้งสิ้น ๒,๕๗๐,๕๓๕,๒๐๐ บาท ๑.๑.๓ แต่งตั้งคณะอนุกรรมการ รวม ๓ คณะ โดยมีรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล) เป็นประธาน ประกอบด้วยคณะอนุกรรมการแก้ไขปัญหาด้านกฎหมาย คณะอนุกรรมการจัดรูปที่ดิน และคณะอนุกรรมการบริหารจัดการที่ดิน ๑.๑.๔ จัดให้มีการประชุมคณะกรรมการบูรณาการฯ อย่างน้อยทุก ๆ ๒ เดือน หากมีความจำเป็นเร่งด่วน อาจจัดให้มีการประชุมเดือนละ ๑ ครั้ง แล้วแต่กรณี ๑.๑.๕ คณะกรรมการบูรณาการฯ จะเป็นผู้แต่งตั้งศูนย์ปฏิบัติการที่ดินระดับจังหวัดในภาพรวม โดยให้คณะอนุกรรมการบริหารจัดการที่ดินเป็นผู้พิจารณาเสนอ ๑.๒ การดำเนินงานของ บจธ. คณะกรรมการบูรณาการฯ ได้พิจารณาถึงกรอบอำนาจหน้าที่ของ บจธ. ประกอบกับอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการบูรณาการฯ แล้ว เห็นว่า บจธ. มีความเหมาะสมและเป็นกลไกสำคัญสำหรับการดำเนินงานของคณะกรรมการบูรณาการฯ ควรให้มีการดำเนินงานตามพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดิน (องค์การมหาชน) พ.ศ. ๒๕๕๔ ต่อไป ๒. เห็นชอบการจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการที่ดินระดับจังหวัด ตามที่คณะกรรมการบูรณาการฯ เสนอ โดยให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เป็นกรรมการ เพิ่มเติม และการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการด้านต่าง ๆ ให้คณะกรรมการบูรณาการฯ ดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ต่อไป ทั้งนี้ ให้คณะกรรมการบูรณาการฯ รับความเห็นและข้อสังเกตของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงาน ก.พ.ร. และคณะกรรมการประสานงานเพื่อให้มีโฉนดชุมชน เกี่ยวกับการพิจารณาให้มีกระบวนการมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในพื้นที่ การผลักดันร่างพระราชบัญญัติคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ พ.ศ. .... ซึ่งเป็นกฎหมายที่จัดตั้งคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ เป็นองค์กรกลางทำหน้าที่กำหนดนโยบายและแผนการบริหารจัดการที่ดินของประเทศให้มีผลบังคับใช้ การดำเนินงานของคณะอนุกรรมการด้านต่าง ๆ ควรมีเป้าหมายสำคัญร่วมกันในการบูรณาการการแก้ไขปัญหาที่ดินอย่างเป็นระบบ การให้ความสำคัญในเรื่องการรับรองสิทธิของชุมชนในการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยการปฏิรูปการจัดการที่ดินโดยให้มีการกระจายสิทธิที่ดินอย่างเป็นธรรมและยั่งยืน รวมทั้งการรับรองสิทธิของชุมชนในการจัดการทรัพยากร ที่ดิน น้ำ ป่าไม้ ทะเล การจัดทำระบบฐานข้อมูลที่ดินของประเทศ และมีแนวเขตการถือครองที่ดินของรัฐที่ชัดเจน การเร่งดำเนินการปรับปรุงแนวเขตที่ดินของรัฐทั่วประเทศให้เป็นแนวเดียวกัน การกำหนดโครงสร้างและบทบาทหน้าที่ของ บจธ. ที่เชื่อมโยงกับการดำเนินงานของคณะกรรมการบูรณาการฯ การกำหนดรูปแบบและความสัมพันธ์เชื่อมโยงการทำงานระหว่าง บจธ. กับศูนย์ปฏิบัติการที่ดินระดับจังหวัด เพื่อให้เกิดความชัดเจนในการดำเนินงานร่วมกัน การวางระบบกลไกการกำกับดูแลและสั่งการของศูนย์ปฏิบัติการที่ดินระดับจังหวัด เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องสามารถตอบสนองนโยบายการแก้ไขปัญหาที่ดินเชิงระบบได้อย่างเป็นรูปธรรม รวมทั้งการพิจารณานโยบายการดำเนินงานโฉนดชุมชน ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๓. ส่วนการให้ บจธ. เป็นกลไกในการขับเคลื่อนการดำเนินงานของคณะกรรมการบูรณาการฯ นั้น ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีการับไปพิจารณาทบทวนพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดิน (องค์การมหาชน) พ.ศ. ๒๕๕๔ หากเห็นว่า โครงสร้าง อำนาจหน้าที่ และการดำเนินการของ บจธ. ไม่สอดคล้องกับการดำเนินนโยบายของรัฐบาลในเรื่องนี้ สมควรปรับปรุงแก้ไขพระราชกฤษฎีกาดังกล่าว ให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป |
||||||||||||||||||
29650 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงสาธารณสุข) (นายประสงค์ วิทยถาวรวงศ์) | สธ | 04/09/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นายประสงค์ วิทยถาวรวงศ์ ข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่ง นายแพทย์ทรงคุณวุฒิ (ด้านเวชกรรม สาขากุมารเวชกรรม) กลุ่มงานกุมารเวชกรรม โรงพยาบาลเพชรบูรณ์ สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเพชรบูรณ์ สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงสาธารณสุข ตั้งแต่วันที่ ๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ ซึ่งเป็นวันที่มีคำสั่งให้รักษาการในตำแหน่งดังกล่าว (ไม่ก่อนวันที่ ๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์) ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ
|
||||||||||||||||||
29651 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืนในท้องที่ ตำบลหนองตำลึง อำเภอพานทอง และตำบลดอนหัวฬ่อ อำเภอเมืองชลบุรี จังหวัดชลบุรี พ.ศ. .... | คค | 04/09/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืนในท้องที่ ตำบลหนองตำลึง อำเภอพานทอง และตำบลดอนหัวฬ่อ อำเภอเมืองชลบุรี จังหวัดชลบุรี พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลหนองตำลึง อำเภอพานทอง และตำบลดอนหัวฬ่อ อำเภอเมืองชลบุรี จังหวัดชลบุรี เพื่อสร้างสะพานข้ามทางรถไฟ บริเวณทางหลวงชนบท ชบ. ๓๐๒๒ เพื่ออำนวยความสะดวกและความรวดเร็วแก่การจราจรและการขนส่งอันเป็นกิจการสาธารณูปโภค และเพื่อให้เจ้าหน้าที่หรือผู้ซึ่งได้รับมอบหมายจากเจ้าหน้าที่มีสิทธิเข้าไปทำการสำรวจและเพื่อทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ที่จะต้องเวนคืนที่แน่นอน ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||
29652 | รายงานประจำปี 2554 คณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น | นร01 | 04/09/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานประจำปี ๒๕๕๔ ของคณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (กกถ.) ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ โดยรายงานดังกล่าวมีสาระสำคัญ ๓ ส่วน ดังนี้
๑. ส่วนที่ ๑ กล่าวถึงองค์ประกอบและอำนาจหน้าที่ของ กกถ. รวมทั้งคณะอนุกรรมการคณะต่าง ๆ ที่ กกถ. แต่งตั้งขึ้นเพื่อช่วยเหลือ กำกับ ดูแล ในภารกิจสำคัญในด้านนั้น ๆ ก่อนที่จะเสนอ กกถ. พิจารณา ๒. ส่วนที่ ๒ กล่าวถึงผลการปฏิบัติงานประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ของ กกถ. และคณะอนุกรรมการคณะต่าง ๆ ดังนี้ ๒.๑ การรวบรวมผลการดำเนินงานในเรื่องแผนการกระจายอำนาจ ได้แก่ การถ่ายโอนภารกิจตามแผนปฏิบัติการกำหนดขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) การจัดทำแผนการกระจายอำนาจ การกระจายอำนาจด้านสาธารณสุข และหลักสูตรการเรียนรู้ด้วยตนเอง (E-learning) ๒.๒ การรวบรวมผลการดำเนินงานในเรื่องต่าง ๆ ได้แก่ การกำหนดสัดส่วนรายได้ของ อปท. การกำหนดหลักเกณฑ์การจัดสรรภาษีและเงินอุดหนุนให้แก่ อปท. หลักเกณฑ์การจัดสรรเงินอุดหนุนเฉพาะกิจ การจัดสรรเงินอุดหนุนเพื่อเป็นรางวัลสำหรับ อปท. ที่มีการบริหารจัดการที่ดี และที่มีการเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดเก็บรายได้ เป็นต้น ๒.๓ สรุปผลการดำเนินงานเกี่ยวกับผลการดำเนินงานการแก้ไขปรับปรุงกฎหมายให้เป็นไปตามแผนปฏิบัติการฯ ร่างพระราชบัญญัติการมีส่วนร่วมของประชาชนในการบริหารงานขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. .... และการวินิจฉัยและให้ความเห็นทางกฎหมาย ๒.๔ การรวบรวมผลการดำเนินงานด้านการติดตามประเมินผลในด้านต่าง ๆ ได้แก่ ด้านโครงสร้างพื้นฐาน ด้านงานส่งเสริมคุณภาพชีวิต ด้านการจัดระเบียบชุมชน สังคม และการรักษาความสงบเรียบร้อย และด้านการบริหารจัดการและการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นต้น ๓. ส่วนที่ ๓ กล่าวถึงผลการดำเนินงานของสำนักงานคณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ประจำปี ๒๕๕๔ ได้แก่ การพัฒนาและฝึกอบรมด้านต่าง ๆ การเผยแพร่ประชาสัมพันธ์และรายงานผลการดำเนินงานของคณะกรรมการพิจารณาแนวทางการแก้ไขรัฐธรรมนูญตามข้อเสนอของคณะกรรมการสมานฉันฑ์เพื่อการปฏิรูปการเมืองและศึกษาการแก้ไขรัฐธรรมนูญ
|
||||||||||||||||||
29653 | ร่างพระราชกฤษฎีกาและร่างกฎกระทรวงที่ออกตามพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. 2542 | พณ | 04/09/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาและร่างกฎกระทรวง รวม ๒ ฉบับ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้ ๑.๑ ร่างพระราชกฤษฎีกาแก้ไขประเภทธุรกิจตามบัญชีท้ายพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. ๒๕๔๒ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ แก้ไขประเภทธุรกิจใน (๑๓) ของบัญชีสาม ท้ายพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. ๒๕๔๒ โดยยกเว้นการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้าในตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้าแห่งประเทศไทย โดยไม่มีการส่งมอบหรือรับมอบสินค้าเกษตรภายในประเทศ ๑.๒ ร่างกฎกระทรวงกำหนดธุรกิจบริการที่ไม่ต้องขอใบอนุญาตในการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดธุรกิจบริการที่ยกเว้นไม่อยู่ใน (๒๑) ของบัญชีสาม ท้ายพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. ๒๕๔๒ จำนวน ๑๘ รายการ ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์รับข้อสังเกตของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรประสานสำนักงานคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า และสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ เพื่อให้สามารถจัดทำฐานข้อมูลการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าวในประเทศไทยได้อย่างครบถ้วนและเป็นระบบ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป |
||||||||||||||||||
29654 | รายงานผลการลงนามในสัญญาเงินกู้โครงการปรับปรุงถนนในนครหลวง เวียงจันทน์ เพื่อรองรับการเป็นเจ้าภาพประชุมสุดยอดผู้นำเอเชีย - ยุโรป (ASEM Summit) ครั้งที่ 9 | กค | 04/09/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการลงนามในสัญญาเงินกู้ระหว่างสำนักงานความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน (องค์การมหาชน) (สพพ.) กับรัฐบาลสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) สำหรับโครงการปรับปรุงถนนในนครหลวงเวียงจันทน์ เพื่อรองรับการเป็นเจ้าภาพประชุมสุดยอดผู้นำเอเชีย - ยุโรป (ASEM Summit) ครั้งที่ ๙ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. สพพ. ได้ดำเนินการลงนามในสัญญากู้เงินกับธนาคารออมสิน เมื่อวันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๕๕๕ เพื่อนำไปให้กู้ต่อแก่ สปป.ลาว โดยมีเงื่อนไขทางการเงิน ๑.๑ วงเงินกู้ จำนวน ๑๙๐.๗๐ ล้านบาท ๑.๒ อัตราดอกเบี้ยลอยตัวเท่ากับอัตราต่ำสุดของอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ ๖ เดือน บวกส่วนต่างร้อยละ ๑.๖๕ ต่อปี (เปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยทุก ๖ เดือน ปัจจุบันคิดเป็นดอกเบี้ยร้อยละ ๔.๐๒๕) ๑.๓ อายุเงินกู้ ๑๐ ปี (นับตั้งแต่วันที่ลงนามในสัญญา) ๑.๔ ระยะเวลาการเบิกเงิน ๒ ปี (นับตั้งแต่วันที่ลงนามในสัญญา) ๒. สพพ. ได้ลงนามในสัญญาเงินกู้กับรัฐบาล สปป.ลาว สำหรับโครงการฯ เมื่อวันที่ ๖ เมษายน ๒๕๕๕ โดยมีเงื่อนไขทางการเงิน ๒.๑ วงเงินกู้ จำนวน ๑๙๐.๗๐ ล้านบาท ๒.๒ อัตราดอกเบี้ยร้อยละ ๑.๕ ต่อปี ๒.๓ อายุสัญญา ๒๐ ปี (รวมระยะเวลาปลอดหนี้ ๕ ปี) ๒.๔ กำหนดชำระดอกเบี้ย วันที่ ๒๐ พฤษภาคม และ ๒๐ พฤศจิกายน ของทุกปี ๒.๕ การชำระคืนเงินกู้ เริ่มชำระคืนวันที่ ๒๐ พฤษภาคม ๒๕๖๐ และสิ้นสุดวันที่ ๒๐ พฤศจิกายน ๒๕๗๔ ๒.๖ ระยะเวลาสิ้นสุดการเบิกจ่าย วันที่ ๖ เมษายน ๒๕๕๘
|
||||||||||||||||||
29655 | ขออนุมัติให้เอกชนร่วมงานในโครงการพัฒนาที่ดินบริเวณพื้นที่สยามสแควร์บางส่วน (อาคารกลุ่ม L) ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงานหรือดำเนินการในกิจการของรัฐ พ.ศ. 2535 | กค | 04/09/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบในหลักการให้เอกชนเข้าร่วมงานในโครงการพัฒนาที่ดินบริเวณพื้นที่สยามสแควร์บางส่วน (อาคารกลุ่ม L) ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงานหรือดำเนินการในกิจการของรัฐ พ.ศ. ๒๕๓๕ โดยจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้จัดสรรพื้นที่สยามสแควร์บางส่วน (อาคารกลุ่ม L) ไว้เป็นพื้นที่สำหรับประกอบกิจกรรมเชิงพาณิชย์ในรูปแบบอาคารสูงขนาด ๓๔ ชั้น พื้นที่ใช้สอยประมาณ ๘๐,๐๐๐ ตารางเมตร ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ โดยให้รับข้อเสนอแนะของกระทรวงการคลังไปพิจารณาดำเนินการด้วย ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ให้จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยพิจารณาปรับปรุงหลักการคิดประเมินผลประโยชน์ตอบแทนนอกเหนือจากค่าเช่าที่ดินของโครงการ โดยกำหนดให้มีผลตอบแทนในลักษณะส่วนแบ่งรายได้จากกิจกรรมเชิงพาณิชย์ประเภทต่าง ๆ ของโครงการในกรณีที่โครงการมีรายได้สูงกว่าที่ประมาณการไว้เช่นเดียวกับโครงการพัฒนาบริเวณแยกปทุมวัน (MBK) และโครงการโรงแรมโนโวเทลสยามสแควร์ รวมทั้งกำหนดให้มีการจ่ายผลประโยชน์ตอบแทนการได้สิทธิ (Upfront) เพื่อสร้างความมั่นใจและเป็นหลักประกันการดำเนินโครงการของเอกชน ๑.๒ ที่ตั้งของโครงการอยู่ใกล้ศูนย์กลางธุรกิจ หากมีการใช้ประโยชน์และเปิดบริการเชิงพาณิชย์เต็มพื้นที่จะมีผู้ใช้บริการเป็นจำนวนมาก ส่งผลต่อปัญหาการจราจรในโครงข่ายถนนโดยรอบ จึงควรพิจารณาลดผลกระทบดังกล่าว โดยอาจประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการวางแผนการจัดการจราจรที่เหมาะสม และในขั้นตอนการออกแบบโครงการ ควรกำหนดเงื่อนไขให้เอกชนจัดทำแผนการลดผลกระทบการจราจรบริเวณโดยรอบโครงการดังกล่าว รวมทั้งจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม (EIA) ตามขั้นตอนของกฎหมาย และให้ความสำคัญกับการกำกับดูแลการดำเนินการตามมาตรการลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมของโครงการอย่างเคร่งครัดด้วย ๒. ให้จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยรับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการปฏิบัติตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม และมาตรการติดตามตรวจสอบคุณภาพสิ่งแวดล้อมที่เสนอไว้ในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมอย่างเคร่งครัด การเปิดโอกาสให้เอกชนเสนอรูปแบบการพัฒนาที่เหมาะสม การคัดเลือกเอกชนที่มีความเชี่ยวชาญในการบริหารจัดการกิจกรรมเชิงพาณิชย์ของโครงการ การให้ความสำคัญกับการจัดทำแผนการบริหารจัดการพื้นที่จอดรถและการสัญจรภายในโครงการ โดยมีการออกแบบทางเข้า - ออกโครงการ และจุดรับส่งรถบัสขนาดใหญ่อย่างเหมาะสม รวมทั้งจัดหาพื้นที่จอดรถอย่างพอเพียง การสรรหาบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญและมีประสบการณ์ในการบริหารจัดการโครงการเชิงพาณิชย์และสร้างความร่วมมือกับเอกชนในการถ่ายทอดองค์ความรู้ในการบริหารจัดการกิจการเชิงพาณิชย์รูปแบบต่าง ๆ การจัดพื้นที่สีเขียวและพื้นที่จัดกิจกรรมเชิงสร้างสรรค์ เช่น สวนสาธารณะ และศูนย์การเรียนรู้สำหรับประชาชน นอกจากนี้ ให้กระทรวงการคลัง โดยสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ พิจารณาหลักเกณฑ์ และแนวทางการจัดทำ Market Sounding ที่เหมาะสม เพื่อใช้เป็นคู่มือในการปฏิบัติงานของหน่วยงานต่อไป เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||
29656 | ผลการเยือนไทยเพื่อเจรจาทำงาน (Working Visit) ของประธานาธิบดีศรีลังกา | นร04 | 04/09/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการเยือนไทยเพื่อเจรจาทำงาน (Working Visit) ของประธานาธิบดีศรีลังกา ในโอกาสเยือนไทย ระหว่างวันที่ ๒๙ - ๓๐ พฤษภาคม ๒๕๕๕ และให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามผลการเยือนในประเด็นต่าง ๆ ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. นายกรัฐมนตรีเสนอให้ทั้งสองฝ่ายเพิ่มมูลค่าการค้า จาก ๕๘๐ ล้านดอลลาร์สหรัฐในปัจจุบัน โดยเน้นการแลกเปลี่ยนระหว่างภาคเอกชนของทั้งสองฝ่าย และเสนอให้ภาคเอกชนไทยเข้าไปมีส่วนร่วมในการก่อสร้างระบบโครงสร้างพื้นฐานของศรีลังกา รวมทั้งช่วยพัฒนาอุตสาหกรรมด้านการท่องเที่ยวและการโรงแรม ซึ่งประธานาธิบดีศรีลังกาเห็นพ้องกับข้อเสนอดังกล่าว พร้อมทั้งเสนอให้ภาคเอกชนไทยไปลงทุนในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและการโรงแรมเพื่อขยายความร่วมมือด้านการท่องเที่ยวและการเชื่อมโยง (connectivity) ซึ่งรวมการท่องเที่ยวเชิงพุทธศาสนาในลักษณะ Combined Destination และการขยายการลงทุนในธุรกิจอัญมณีในศรีลังกา โดยจะได้หารือกันภายใต้กรอบคณะกรรมาธิการร่วม ไทย - ศรีลังกา ต่อไป ๒. นายกรัฐมนตรีเสนอให้มีความร่วมมือจัดกิจกรรมเฉลิมฉลองครบรอบ ๒๖๐ ปี ของการสถาปนาสยามนิกายในศรีลังกาในปี พ.ศ. ๒๕๕๖ โดยขอให้ศรีลังกาสนับสนุนการจัดแสดงนิทรรศการเกี่ยวกับพระอุบาลีมหาเถระที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เพื่อส่งเสริมความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับความสัมพันธ์ทางประวัติศาสตร์อันใกล้ชิดระหว่างกัน และขอให้กระทรวงวัฒนธรรมของทั้งสองฝ่ายหารือในรายละเอียดต่อไป ในการนี้ ประธานาธิบดีศรีลังกาได้เชิญนายกรัฐมนตรีเยือนศรีลังกาในโอกาสเฉลิมฉลองดังกล่าว ซึ่งนายกรัฐมนตรีตอบรับในหลักการ โดยขอให้ประสานช่วงเวลาสำหรับการเยือนผ่านช่องทางการทูต ๓. ประธานาธิบดีศรีลังกาขอให้ไทยพิจารณาให้ความร่วมมือเพิ่มเติมในสาขาการประมง การอบรมและพัฒนาทรัพยากรบุคคล ด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ ซึ่งนายกรัฐมนตรียินดีให้การสนับสนุน โดยขอหารือในรายละเอียดกับสำนักงานความร่วมมือเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศ กระทรวงการต่างประเทศต่อไป ๔. ประธานาธิบดีศรีลังกาเสนอให้ทั้งสองฝ่ายขยายความร่วมมือและแลกเปลี่ยนประสบการณ์ในด้านความมั่นคง โดยเฉพาะการต่อต้านการก่อการร้าย รวมทั้งบทบาทของสตรีและชุมชนที่มีส่วนสำคัญในการแก้ไขปัญหาความขัดแย้ง ซึ่งนายกรัฐมนตรีเห็นว่าการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ดังกล่าวน่าจะเป็นประโยชน์ และขอให้เอกอัครราชทูตศรีลังกาประจำประเทศไทยหารือกับกระทรวงกลาโหมของไทยต่อไป ๕. นายกรัฐมนตรีเสนอให้ทั้งสองฝ่ายร่วมมือกันในกรอบความริเริ่มแห่งอ่าวเบงกอลสำหรับความร่วมมือหลากหลายสาขาทางวิชาการและเศรษฐกิจ (Bay of Bengal Initiative for Multi - Sectoral Technical and Economic Cooperation : BIMSTEC) และกรอบความร่วมมือเอเชีย (Asia Cooperation Dialogue : ACD) เพื่อผลักดันความเชื่อมโยงระดับภูมิภาค พร้อมทั้งได้ขอให้ศรีลังกาสนับสนุนไทยในการสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (UN Human Rights Council : HRC) วาระปี ค.ศ. ๒๐๑๕ ส่วนประธานาธิบดีศรีลังกาขอบคุณไทยที่ให้การสนับสนุนศรีลังกาในร่างข้อมติเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชนในศรีลังกาในการประชุม HRC ๖. นายกรัฐมนตรีและประธานาธิบดีศรีลังกาเป็นสักขีพยานในการลงนามบันทึกความเข้าใจระหว่างกระทรวงการต่างประเทศไทย - ศรีลังกา ว่าด้วยการหารือทางการเมืองทวิภาคี และบันทึกวาจา (Proces - Verbal) การแลกเปลี่ยนสัตยาบันสารของสนธิสัญญาระหว่าง ไทย - ศรีลังกา ว่าด้วยความช่วยเหลือซึ่งกันและกันทางกฎหมายในเรื่องทางอาญา
|
||||||||||||||||||
29657 | การปรับปรุงสวัสดิการค่ารักษาพยาบาล ประเภทค่าธรรมเนียมการแพทย์หรือเรียกชื่ออย่างอื่นให้พนักงานสำนักงานธนานุเคราะห์ คู่สมรส และบุตร | พม | 04/09/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามมติคณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ ในการประชุมเมื่อวันที่ ๒๒ มิถุนายน ๒๕๕๕ ที่เห็นชอบให้สำนักงานธนานุเคราะห์ปรับปรุงสวัสดิการเกี่ยวกับการเบิกจ่ายค่ารักษาพยาบาลของพนักงานสำนักงานธนานุเคราะห์ให้มีสิทธิการเบิกจ่ายค่ารักษาพยาบาล ประเภทค่าธรรมเนียมการแพทย์ หรือที่เรียกชื่ออย่างอื่นได้เฉพาะตัวพนักงาน คู่สมรส และบุตร กรณีเข้ารับการรักษาพยาบาลในสถานพยาบาลของทางราชการนอกเวลาราชการประเภทผู้ป่วยนอกเท่าที่จ่ายจริงครั้งละไม่เกิน ๓๐๐ บาท รวมปีละไม่เกิน ๓,๖๐๐ บาท ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ
|
||||||||||||||||||
29658 | ผลการดำเนินงานตามแผนปฏิบัติการลดความเสี่ยงจากภัยพิบัติแห่งชาติในเชิงยุทธศาสตร์ พ.ศ. 2553 - 2562 ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2554 | มท | 04/09/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการดำเนินงานตามแผนปฏิบัติการลดความเสี่ยงจากภัยพิบัติแห่งชาติในเชิงยุทธศาสตร์ พ.ศ. ๒๕๕๓ - ๒๕๖๒ [Strategic National Action Plan (SNAP) on Disaster Risk Reduction] ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. กระทรวงมหาดไทย โดยกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยได้แจ้งหน่วยงานที่มีส่วนร่วมในแผนปฏิบัติการลดความเสี่ยงฯ จำนวน ๑๓๖ หน่วยงาน เพื่อขอความร่วมมือให้รายงานแผนงานปกติและแผนงานภาคบังคับที่เกี่ยวข้องกับการลดความเสี่ยงจากภัยพิบัติภายใต้แผนปฏิบัติการลดความเสี่ยงฯ ให้กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยทราบภายในเดือนตุลาคมทุกปีงบประมาณเพื่อให้การขับเคลื่อนแผนปฏิบัติการลดความเสี่ยงฯ บรรลุวัตถุประสงค์ ๒. ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยได้รับรายงานผลการดำเนินการในส่วนเกี่ยวข้องกับการลดความเสี่ยงจากภัยพิบัติภายใต้แผนปฏิบัติการลดความเสี่ยงฯ จากหน่วยงานที่ร่วมบูรณาการ จำนวนทั้งสิ้น ๘๔ หน่วยงาน โดยมีรายละเอียด ดังนี้ ๒.๑ แผนงานภาคบังคับ มีหน่วยงานที่ร่วมบูรณาการรายงานผลการดำเนินงานในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการลดความเสี่ยงจากภัยพิบัติ จำนวนทั้งสิ้น ๓๗๓ แผนงาน/โครงการ ครอบคลุม ๕๘ กิจกรรมหลัก ๒๐ ประเด็นยุทธศาสตร์ และ ๔ ยุทธศาสตร์ (ด้านป้องกันและลดผลกระทบ ด้านการเตรียมความพร้อม ด้านการบริหารจัดการฉุกเฉิน และด้านการจัดการหลังเกิดภัย) ๒.๒ แผนงานปกติ หน่วยงานที่ร่วมบูรณาการรายงานผลการดำเนินงานเพื่อลดความเสี่ยงจากภัยพิบัติ รวมจำนวน ๕๖๓ แผนงาน/โครงการ ได้แก่ ด้านการป้องกันและลดผลกระทบ จำนวน ๒๐๘ โครงการ ด้านการเตรียมความพร้อม จำนวน ๒๗๙ โครงการ ด้านการบริหารจัดการฉุกเฉิน จำนวน ๔๖ โครงการ และด้านการจัดการหลังเกิดภัย จำนวน ๓๐ โครงการ
|
||||||||||||||||||
29659 | การรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง ความคืบหน้าโครงการจัดระบบการปลูกข้าว ปี 2555 | กษ | 04/09/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลความคืบหน้าการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๒ มีนาคม ๒๕๕๔ เรื่อง โครงการจัดระบบการปลูกข้าว ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ผลการดำเนินงาน ๑.๑ จัดประชุมคณะกรรมการบริหารและกำกับดูแลโครงการจัดระบบการปลูกข้าวในปี ๒๕๕๕ จัดสัมมนาเชิงปฏิบัติการเพื่อชี้แจงแนวทางการปฏิบัติงานแก่เจ้าหน้าที่และผู้ที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งประชาสัมพันธ์โครงการผ่านสื่อต่าง ๆ ๑.๒ เกษตรกรผู้ใช้น้ำในพื้นที่โครงการกำหนดช่วงเวลาการปลูกข้าวใหม่ เพื่อให้เก็บเกี่ยวข้าวก่อนน้ำท่วม มีการทบทวนช่วงเวลาปลูกพืชหลังนา/พืชปุ๋ยสด หรือเว้นปลูก และการบริหารจัดการน้ำใหม่ เพื่อให้มีความสอดคล้องกับการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมของรัฐบาล โดยกำหนดรูปแบบการจัดระบบการปลูกข้าวเป็น ๔ ระบบ คือ ระบบที่ ๑ นาครั้งที่ ๒-นาครั้งที่ ๑-พืชหลังนา/พืชปุ๋ยสด ระบบที่ ๒ นาครั้งที่ ๒-นาครั้งที่ ๑-เว้นปลูก ระบบที่ ๓ นาครั้งที่ ๒-พืชหลังนา-นาครั้งที่ ๑ และระบบที่ ๔ นาครั้งที่ ๒-นาครั้งที่ ๑ [ข้าวน้ำลึก/ข้าวขึ้นน้ำ (ข้าวฟางลอย)] ๑.๓ จัดเวทีชุมชนเพื่อยืนยันความต้องการปลูกพืชหลังนาและพืชปุ๋ยสดของเกษตรกร มีเกษตรกรเข้าร่วมเวทีชุมชน จำนวน ๔๐,๔๖๒ ราย พื้นที่ปลูกข้าวที่เข้าร่วมโครงการ ๑,๑๐๖,๔๒๔ ไร่ โดยเกษตรกรต้องการปลูกพืชหลังนา ๕๓๔,๙๖๕.๕๐ ไร่ (ถั่วเหลือง ๓๘๑ ไร่ ถั่วเขียว ๕๒๘,๐๐๑ ไร่ ถั่วลิสง ๑,๒๔๒.๕๐ ไร่ ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ๑๔๐ ไร่ ข้าวโพดหวาน ๔,๙๔๒ ไร่ และข้าวโพดฝักอ่อน ๒๕๙ ไร่) เกษตรกรต้องการปลูกพืชปุ๋ยสด ๓๘,๑๕๒ ไร่ (ถั่วพร้า ๕๓๔ ไร่ ถั่วพุ่ม ๑,๒๖๔ ไร่ ถั่วมะแฮะ ๒๒ ไร่ โสนแอฟริกัน ๒๐๓ ไร่ และปอเทือง ๓๖,๑๒๙ ไร่) และเกษตรกรต้องการปลูกข้าวพร้อมกันในพื้นที่เดียวกัน ๗๐๑,๐๐๐ ไร่ ๑.๔ รับซื้อคืนเมล็ดพันธุ์ถั่วเขียวชั้นพันธุ์จำหน่ายจากสมาชิกสหกรณ์ที่มีคุณภาพผ่านมาตรฐานจากสมาชิกสหกรณ์ เพื่อจัดส่งให้กับเกษตรกรนำไปใช้ในโครงการตามความต้องการของเกษตรกรจากผลการจัดเวทีชุมชน จำนวน ๒,๘๗๔.๓๓๗ ตัน และจัดส่งให้เกษตรกรผู้เข้าร่วมโครงการ จำนวน ๒,๑๓๓.๘๘๑ ตัน (จากเป้าหมาย จำนวน ๒,๖๔๐ ตัน) คงเหลือเก็บรักษา จำนวน ๗๔๐.๔๕๖ ตัน ๑.๕ จัดซื้อจัดหาเมล็ดพันธุ์พืชปุ๋ยสดเพื่อจัดส่งให้กับเกษตรกรนำไปใช้ในโครงการตามความต้องการของเกษตรกรจากผลการจัดเวทีชุมชน รวม ๓๐๕.๒๑ ตัน จัดส่งเมล็ดพันธุ์แล้ว จำนวน ๖๕ ตัน ๑.๖ จัดฝึกอบรมเจ้าหน้าที่เพื่อเตรียมความพร้อมในการเป็นวิทยากรฝึกอบรมเกษตรกร ๑.๗ จัดงานมอบเมล็ดพันธุ์ถั่วเขียวเพื่อเป็นการเปิดตัวโครงการ โดยมอบเมล็ดพันธุ์ถั่วเขียวให้เกษตรกรร่วมโครงการของโครงการชลประทานกำแพงเพชร เมื่อวันที่ ๒๐ มีนาคม ๒๕๕๕ จำนวน ๖๓๐ ราย เมล็ดพันธุ์ถั่วเขียวที่มอบ จำนวน ๑๐๘,๐๐๐ กิโลกรัม ๑.๘ จัดงานรณรงค์การปลูกพืชหลังนา (ถั่วเขียว) เมื่อวันที่ ๑๖ มิถุนายน ๒๕๕๕ ณ ตำบลวังบัว อำเภอคลองขลุง จังหวัดกำแพงเพชร เพื่อกระตุ้นให้เกษตรกรตระหนักถึงการจัดระบบการปลูกข้าวเพื่อแก้ไขปัญหาในการผลิตข้าว มีเกษตรกรเข้าร่วม จำนวน ๖๐๐ ราย ๑.๙ ส่งเสริมแนะนำตลาดพืชหลังนา โดยประสานกับบริษัทและห้างหุ้นส่วนจำกัด ซึ่งเป็นตลาดรับซื้อเมล็ดพันธุ์ถั่วเขียวรายใหญ่ พ่อค้าเอกชนในพื้นที่ และสหกรณ์ในพื้นที่ที่เป็นแหล่งให้บริการรับซื้อ ทั้งนี้ การซื้อขายเมล็ดถั่วเขียวเป็นไปตามกลไกของตลาด ๒. ปัญหาอุปสรรค ในช่วงปลายปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ได้เกิดอุทกภัยครั้งใหญ่ ทำให้ข้าวนาปีของเกษตรกรเสียหาย มีผลกระทบต่อการจัดระบบการปลูกข้าว ปี ๒๕๕๕ ที่ได้มีการกำหนดไว้เดิม ๓. แนวทางแก้ไข ต้องมีการทบทวนเพื่อปรับการดำเนินงานโครงการในปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ภายหลังน้ำลด โดยกำหนดช่วงเวลาการปลูกข้าวใหม่เพื่อให้เก็บเกี่ยวข้าวก่อนน้ำท่วม มีการเลือกชนิดพันธุ์พืชที่เหมาะสมกับสภาพและศักยภาพของพื้นที่ เช่น การใช้พันธุ์ข้าวทนน้ำท่วม หรือข้าวขึ้นน้ำ และพันธุ์ข้าวที่มีอายุเหมาะสมเพื่อสามารถเก็บเกี่ยวได้ทันก่อนน้ำท่วม เป็นต้น รวมทั้งทบทวนช่วงเวลาปลูกพืชหลังนา/พืชปุ๋ยสด หรือเว้นปลูก และการบริหารจัดการน้ำใหม่ เพื่อให้มีความสอดคล้องกับการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมของรัฐบาล และลดความเสี่ยงจากน้ำท่วมที่ส่งผลทำให้ผลผลิตข้าวเสียหายเนื่องจากไม่สามารถเก็บเกี่ยวหนีน้ำได้
|
||||||||||||||||||
29660 | โครงการก่อสร้างเขื่อนยกระดับน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาและน่านเพื่อการเดินเรือของกรมเจ้าท่า | คค | 04/09/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสาระสำคัญและความก้าวหน้าของโครงการก่อสร้างเขื่อนยกระดับน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาและน่านเพื่อการเดินเรือของกรมเจ้าท่า ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ สำนักงบประมาณได้จัดสรรงบประมาณเพื่อเป็นค่าสำรวจออกแบบรายละเอียดและศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อมโครงการก่อสร้างเขื่อนยกระดับน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาและน่านเพื่อการเดินเรือของกรมเจ้าท่า วงเงินทั้งสิ้น ๒๓๙.๐๑ ล้านบาท (ปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ตั้งงบประมาณ จำนวน ๓๕.๘๕ ล้านบาท ปี พ.ศ. ๒๕๕๖ ผูกพันงบประมาณ จำนวน ๑๗๒.๐๙ ล้านบาท และปี พ.ศ. ๒๕๕๗ ผูกพันงบประมาณ จำนวน ๓๑.๐๗ ล้านบาท) ๒. ปัจจุบันกรมเจ้าท่ากำลังดำเนินการคัดเลือกที่ปรึกษาเพื่อดำเนินการสำรวจออกแบบรายละเอียดและศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อมโครงการฯ ซึ่งกรมเจ้าท่าจะได้นำความเห็นและข้อสังเกตของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปใช้เป็นข้อกำหนดในร่างขอบเขตของงานที่ศึกษา (Term of Reference : TOR) ต่อไป
|
.....