ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1388 จากทั้งหมด 6199 หน้า แสดงรายการที่ 27741 - 27760 จากข้อมูลทั้งหมด 123961 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
27741 | ขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับร่างพระราชกฤษฎีกาค่าตอบแทนและค่าใช้จ่ายอันเกี่ยวกับการเดินทางไปปฏิบัติหน้าที่ต่างท้องที่ของประธานกรรมการ รองประธานกรรมการ และกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ พ.ศ. .... | กสทช | 18/06/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๘ มกราคม ๒๕๕๖ (เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกาค่าตอบแทนและค่าใช้จ่ายอันเกี่ยวกับการเดินทางไปปฏิบัติหน้าที่ต่างท้องที่ของประธานกรรมการ รองประธานกรรมการ และกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (พ.ศ. ....) กรณีสิทธิประโยชน์เฉพาะค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปปฏิบัติหน้าที่ต่างท้องที่ของคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ควรเทียบเคียงกับองค์กรอิสระตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ไม่ควรปรับลดโดยเทียบเท่าคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน เนื่องจากที่มา กระบวนการคัดเลือก และภาระหน้าที่ที่แตกต่างกัน ถ้าหากจะปรับลดควรกำหนดให้ กสทช.ได้รับค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปปฏิบัติหน้าที่ต่างท้องที่เทียบสิทธิในอัตราเดียวกับรัฐมนตรี ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติเสนอ ๒. ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาร่างพระราชกฤษฎีกาค่าตอบแทนและค่าใช้จ่ายอันเกี่ยวกับการเดินทางไปปฏิบัติหน้าที่ต่างท้องที่ของประธานกรรมการ รองประธานกรรมการ และกรรมการในกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ พ.ศ. .... อีกครั้งหนึ่ง โดยให้ปรับค่าใช้จ่ายอันเกี่ยวกับการเดินทางไปปฏิบัติหน้าที่ต่างท้องที่ของคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ ให้เป็นอัตราเดียวกับรัฐมนตรี แล้วดำเนินการต่อไปได้ |
|||||||||||||||||||||
27742 | นายสนอง กฤษณายุทธ ฟ้องคณะรัฐมนตรีกับพวก ต่อศาลปกครองกลางขอให้ยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีที่ให้ยกอุทธรณ์ของนายสนอง กฤษณายุทธ | อส | 18/06/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด คดีหมายเลขแดงที่ อ. ๕๖-๕๘/๒๕๕๖ ระหว่างนายสนอง กฤษณายุทธ ผู้ฟ้องคดี ผู้อำนวยการโรงพยาบาลศิริราช ที่ ๑ กับพวกรวม ๖ คน ผู้ถูกฟ้องคดี เรื่อง คดีพิพาทเกี่ยวกับการที่หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย และการกระทำละเมิดของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐอันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมาย ซึ่งคณะรัฐมนตรีเป็นผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๖ โดยศาลปกครองสูงสุดได้มีคำพิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลปกครองชั้นต้นให้ยกฟ้อง
|
|||||||||||||||||||||
27743 | การแต่งตั้งข้าราชการให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (สำนักนายกรัฐมนตรี) (นายพงษ์เทพ โพธิรังสิยากร) | นร06 | 18/06/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งนายพงษ์เทพ โพธิรังสิยากร ข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาด้านการต่อต้านการก่อการร้ายและอาชญากรรมข้ามชาติ (นักการข่าวทรงคุณวุฒิ) กลุ่มงานที่ปรึกษา สำนักข่าวกรองแห่งชาติ สำนักนายกรัฐมนตรี ตั้งแต่วันที่ ๓ มกราคม ๒๕๕๖ ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่สำนักข่าวกรองแห่งชาติเสนอ
|
|||||||||||||||||||||
27744 | ร่างพระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | ยธ | 18/06/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบร่างพระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ที่แก้ไขเพิ่มเติมจากร่างพระราชบัญญัติที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง โดยร่างพระราชบัญญัติฯ มีสาระสำคัญคือ แก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ. ๒๕๓๔ ดังนี้ ๑.๑ ปรับปรุงบทกำหนดโทษกรณีความผิดฐานสมคบกันกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด และกรณีผู้ใดไม่มาให้ถ้อยคำ ไม่ส่งคำชี้แจงเป็นหนังสือ หรือไม่ส่งบัญชีเอกสารหรือหลักฐานตามมาตรา ๒๕(๒) หรือขัดขวางหรือไม่ให้ความสะดวกตามมาตรา ๒๕(๓) หรือ (๔) ๑.๒ ปรับปรุงอำนาจในการอนุมัติการจับและการแจ้งข้อหาผู้กระทำความผิดตามมาตรา ๖ หรือมาตรา ๘ ต้องได้รับอนุมัติจากเลขาธิการก่อนหรือได้รับการพิจารณาอนุมัติจากพนักงานอัยการตำแหน่งตั้งแต่อัยการจังหวัดหรือเทียบเท่าขึ้นไป ๑.๓ ปรับปรุงอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สินและพนักงานเจ้าหน้าที่ ๑.๔ กำหนดหลักเกณฑ์ในการยึดหรืออายัดทรัพย์สินเมื่อมีเหตุอันควรสงสัยว่าเป็นทรัพย์สินที่เกี่ยวเนื่องกับการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดก่อนหรือหลังที่คณะกรรมการหรือเลขาธิการมีคำสั่งตรวจสอบทรัพย์สินตามมาตรา ๑๙ หรือก่อนที่คณะกรรมการหรือเลขาธิการมีคำสั่งยึดหรืออายัดทรัพย์สินตามมาตรา ๒๒ ๑.๕ ปรับปรุงอำนาจของข้าราชการตำรวจตำแหน่งตั้งแต่สารวัตรหรือเทียบเท่าขึ้นไปและเจ้าพนักงานตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดซึ่งเป็นผู้ค้นตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องพบสิ่งของที่มีพยานหลักฐานตามสมควรว่าเป็นทรัพย์สินที่เกี่ยวเนื่องกับการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดประกอบกับมีเหตุอันควรเชื่อได้ว่าสิ่งของรายใดอาจมีการยักย้าย ซุกซ่อน มีอำนาจยึดสิ่งของดังกล่าวไว้เพื่อการตรวจสอบทรัพย์สิน ทั้งนี้ ในกรณีจำเป็นเร่งด่วน ๑.๖ ปรับปรุงระยะเวลาในการยื่นคำร้องเพื่อขอให้ศาลสั่งให้ทรัพย์สินที่เกี่ยวเนื่องกับการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดตกเป็นของกองทุนและระยะเวลาในการยื่นคำร้องเพิ่มเติม รวมทั้งกำหนดให้พนักงานอัยการยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อไต่สวนทรัพย์สินที่เกี่ยวเนื่องกับการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดในกรณีที่ผู้ต้องหาหรือจำเลยหลบหนีหรือถึงแก่ความตาย และให้ศาลสั่งให้ทรัพย์สินตกเป็นของกองทุน ๑.๗ ปรับปรุงหลักเกณฑ์การยื่นคำร้องเพื่อขอให้ศาลสั่งให้ทรัพย์สินที่เกี่ยวเนื่องกับการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดตกเป็นของกองทุนและกำหนดให้การยึดหรืออายัดทรัพย์สินของผู้ต้องหาหรือจำเลยรายนั้น รวมทั้งทรัพย์สินของผู้อื่นที่ได้ยึดหรืออายัดไว้เนื่องจากเกี่ยวเนื่องกับการกระทำความผิดของผู้ต้องหาหรือจำเลยรายนั้นสิ้นสุดลง กรณีปรากฏตามคำพิพากษาอันถึงที่สุดในคดีนั้นว่าข้อเท็จจริงฟังเป็นที่ยุติว่าจำเลยมิได้เป็นผู้กระทำความผิดหรือการกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิด ๑.๘ กำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการในการขอให้ศาลสั่งอนุญาตให้นำทรัพย์สินตามมาตรา ๓๐ ออกขายทอดตลาดหรือไปใช้เพื่อประโยชน์ของทางราชการไปพลางก่อน ก่อนที่ทรัพย์สินตามมาตรา ๓๐ ตกเป็นของกองทุน และการประเมินราคาทรัพย์สิน ค่าเสียหาย หรือค่าเสื่อมสภาพของทรัพย์สิน ๑.๙ ให้ทรัพย์สินของกองทุนรวมถึงทรัพย์สินที่ตกเป็นของกองทุนตามมาตรา ๒๙ และมาตรา ๓๐/๒ ๑.๑๐ แก้ไขผู้รับรายงานงบดุลและรายงานการรับจ่ายเงินของกองทุนจากคณะรัฐมนตรีเป็นรัฐมนตรี ๒. ให้รับข้อสังเกตของสำนักงานศาลยุติธรรมเกี่ยวกับการให้คณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สินมีอำนาจในการวินิจฉัยว่าทรัพย์สินใดของผู้ต้องหาหรือผู้อื่นเป็นทรัพย์สินที่จะมีการนำไปใช้ในการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด หรือใช้เป็นอุปกรณ์ให้ได้รับผลในการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด หรือมีไว้เพื่อใช้ในการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดตามมาตรา ๓๐/๒ วรรคสี่หรือไม่ การให้คณะกรรมการสามารถมอบหมายให้อนุกรรมการวินิจฉัยทรัพย์สินวินิจฉัยว่าทรัพย์สินใดเกี่ยวเนื่องกับการกระทำความผิดหรือไม่ และการให้อำนาจของคณะกรรมการ อนุกรรมการ เลขาธิการและพนักงานเจ้าหน้าที่ในการค้นในเคหสถาน หรือสถานที่ใด ๆ ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป |
|||||||||||||||||||||
27745 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดแบบบัตรประจำตัวพนักงานเจ้าหน้าที่ตามกฎหมายว่าด้วยวิชาชีพเภสัชกรรม พ.ศ. .... | สธ | 18/06/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงกำหนดแบบบัตรประจำตัวพนักงานเจ้าหน้าที่ตามกฎหมายว่าด้วยวิชาชีพเภสัชกรรม พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง แล้วดำเนินการต่อไปได้ โดยร่างกฎกระทรวงฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้
๑. กำหนดให้บัตรประจำตัวพนักงานเจ้าหน้าที่ เป็นไปตามแบบท้ายกฎกระทรวง และให้นายกสภาเภสัชกรรม เป็นผู้ออกบัตรประจำตัวพนักงานเจ้าหน้าที่ดังกล่าว ๒. กำหนดให้รูปถ่ายที่ติดบัตรประจำตัวพนักงานเจ้าหน้าที่เป็นไปตามเงื่อนไขที่กำหนด และให้บัตรประจำตัวพนักงานเจ้าหน้าที่ใช้ได้ตามระยะเวลาที่กำหนดไว้ แต่ต้องไม่เกินห้าปีนับแต่วันออกบัตร
|
|||||||||||||||||||||
27746 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "แนวทางการบรรเทาผลกระทบการปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ" | สสป | 18/06/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "แนวทางการบรรเทาผลกระทบการปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ" และรับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของกระทรวงแรงงานร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สมาคมการจัดการงานบุคคลแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย คณะกรรมการค่าจ้าง และสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ โดยในส่วนความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ สรุปได้ ดังนี้
๑. ควรจะมีการประเมินประสิทธิภาพและประสิทธิผลของการดำเนินการตามมาตรการเพื่อช่วยบรรเทาผลกระทบต่าง ๆ ก่อนจะให้มีการปฏิบัติตามมาตรการดังกล่าว เพื่อให้เกิดความคุ้มค่าในการใช้จ่ายงบประมาณ ๒. ควรเพิ่มองค์ประกอบของคณะทำงานร่วมภาครัฐและเอกชน ซึ่งมีอำนาจหน้าที่ศึกษาและพิจารณามาตรการการบรรเทาผลกระทบจากการปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำปี พ.ศ. ๒๕๕๖ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๕ โดยให้มีผู้แทนจากนายจ้างและผู้แทนลูกจ้างร่วมด้วย ๓. ควรมีมาตรการการบริหารค่าจ้างขั้นต่ำในอนาคตอย่างชัดเจน ดังนี้ ๓.๑ การพิจารณาปรับค่าจ้างขั้นต่ำครั้งต่อไป ควรใช้กระบวนการไตรภาคีและปฏิบัติให้เป็นไปตามกฎหมายว่าด้วยการกำหนดค่าจ้างขั้นต่ำ รวมถึงกำหนดเวลาให้ชัดเจน ๓.๒ การกำหนดค่าจ้างขั้นต่ำควรแบ่งเขต (Zoning) เป็นกลุ่มจังหวัด เพื่อให้สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจและค่าครองชีพของแต่ละกลุ่มจังหวัด ทั้งยังเป็นการสนับสนุนการส่งเสริมการลงทุนไปยังภูมิภาคและสอดคล้องกับการกระจายความเจริญไปสู่ภูมิภาค ๓.๓ จัดให้มีการส่งเสริมการจัดระบบการบริหารค่าตอบแทนในสถานประกอบการตามหลักการบริหารค่าตอบแทนที่เหมาะสมกับสภาพทางเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ ๔. รัฐควรช่วยเหลือแรงงานกรณีมีการเลิกจ้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรณีการเลิกกิจการโดยไม่บอกกล่าวล่วงหน้า ให้ได้รับค่าชดเชยรวมทั้งเร่งให้มีการบรรจุงานให้แก่แรงงานเหล่านี้โดยเร็ว
|
|||||||||||||||||||||
27747 | การลาไปช่วยเหลือภริยาที่คลอดบุตรของลูกจ้างรัฐวิสาหกิจ | รง | 18/06/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการกำหนดขอบเขตสภาพการจ้างที่เกี่ยวกับการเงินตามพระราชบัญญัติแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๔๓ มาตรา ๑๓ (๒) ที่ให้รัฐวิสาหกิจแต่ละแห่งสามารถดำเนินการเองได้เมื่อคณะกรรมการรัฐวิสาหกิจนั้นเห็นชอบแล้ว ในเรื่องการลาไปช่วยเหลือภริยาที่คลอดบุตร ตามมติคณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ ครั้งที่ ๓/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๒๐ มีนาคม ๒๕๕๖ ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ ดังนี้
๑. ลูกจ้างซึ่งประสงค์จะลาไปช่วยเหลือภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายที่คลอดบุตรให้เสนอหรือจัดส่งใบลาต่อผู้บังคับบัญชาตามลำดับจนถึงผู้มีอำนาจอนุญาตก่อนหรือในวันที่ลาภายใน ๙๐ วัน นับแต่วันที่คลอดบุตร และให้มีสิทธิลาไปช่วยเหลือภริยาที่คลอดบุตรครั้งหนึ่งติดต่อกันได้ไม่เกิน ๑๕ วันทำงาน นายจ้างอาจให้แสดงหลักฐานประกอบการพิจารณาอนุญาตด้วยก็ได้ ๒. ลูกจ้างซึ่งลาไปช่วยเหลือภริยาที่ชอบด้วยกฎหมายที่คลอดบุตรภายใน ๓๐ วัน นับแต่วันที่ภริยาคลอดบุตรให้ได้รับเงินเดือนระหว่างลาได้ไม่เกิน ๑๕ วันทำงาน แต่ถ้าเป็นการลาเมื่อพ้น ๓๐ วัน นับแต่วันที่ภริยาคลอดบุตรไม่ให้ได้รับเงินเดือนระหว่างลา เว้นแต่ผู้บริหารสูงสุดเห็นสมควรจะให้จ่ายค่าจ้างระหว่างลานั้นก็ได้ แต่ไม่เกิน ๑๕ วันทำงาน |
|||||||||||||||||||||
27748 | ร่างพระราชกฤษฎีกาค่าตอบแทนและค่าใช้จ่ายในการเดินทางของประธานกรรมการ กรรมการ และอนุกรรมการคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | สม | 18/06/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกาค่าตอบแทนและค่าใช้จ่ายในการเดินทางของประธานกรรมการ กรรมการ และอนุกรรมการคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมจากร่างพระราชกฤษฎีกาที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญคือ ปรับปรุงบัญชีค่าตอบแทนของประธานกรรมการและกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เพื่อให้สอดคล้องกับการปรับอัตราเงินเดือนของบุคลากรภาครัฐ โดยปรับเพิ่มในอัตราร้อยละห้าและร้อยละสี่ รวมทั้งปรับปรุงอัตราค่าตอบแทนให้ยึดโยงกับการปรับอัตราค่าตอบแทนของประธานผู้ตรวจการแผ่นดินและผู้ตรวจการแผ่นดิน ตามที่สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. สำหรับภาระงบประมาณที่จะเกิดขึ้นให้สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีของสำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติที่ได้รับจัดสรรเมื่อร่างพระราชกฤษฎีกานี้มีผลใช้บังคับแล้ว ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ |
|||||||||||||||||||||
27749 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (สำนักนายกรัฐมนตรี) (นายนพพร มนูญผล) | นร11 | 18/06/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งนายนพพร มนูญผล ข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาด้านนโยบายและแผนงาน (นักวิเคราะห์นโยบายและแผนทรงคุณวุฒิ) สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักนายกรัฐมนตรี ตั้งแต่วันที่ ๙ มกราคม ๒๕๕๖ ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ
|
|||||||||||||||||||||
27750 | การลดเอกสารประกอบระเบียบวาระการประชุมคณะรัฐมนตรี (ความเห็นส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง กค. กษ. ทก. พน. มท. รง. วท. ศธ. สธ. สปน. สำนักงาน ก.พ. สคก. สศช. ศอ.บต. อส. กห. ทส. พณ. วธ. อก. สำนักงาน ก.พ.ร. *กต. *กก. *พม. *คค. *ยธ. *กกต. *สำนักงาน ป.ป.ช. *ผผ. *สศ. *สตง. *สม. *สกท. *รถ. *สำนักงาน ป.ป.ส. *สำนักงาน ปปง. *สำนักงาน ปปท. *พว. *รล. *ตช. *สงป. *สมช. *สลน. *สขช. *สำนักงาน กปร. *พศ. *วช. *สกว. *กอ.รมน.) | นร | 18/06/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแนวปฏิบัติในการลดเอกสารประกอบระเบียบวาระการประชุมคณะรัฐมนตรี และให้ส่วนราชการถือปฏิบัติเป็นแนวทางเดียวกันต่อไป ตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอ ดังนี้
๑. เอกสารเรื่องที่เสนอคณะรัฐมนตรี ๑.๑ เอกสารสิ่งตีพิมพ์ที่ไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องที่นำเสนอคณะรัฐมนตรี รวมทั้งเอกสารเพื่อการประชาสัมพันธ์ของหน่วยงานที่ประสงค์จะมอบให้คณะรัฐมนตรี ให้หน่วยงานดำเนินการจัดส่งให้แก่รัฐมนตรีแต่ละท่านโดยตรง และหากประสงค์จะให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีแจ้งให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีทราบด้วย ให้หน่วยงานเจ้าของเรื่องแจ้งเพียงรายชื่อเอกสารต่าง ๆ ดังกล่าวไปเพื่อสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีแจ้งต่อที่ประชุมเท่านั้น ๑.๒ หนังสือต้นเรื่องและสำเนาหนังสือต้นเรื่อง หน่วยงานเจ้าของเรื่องยังคงต้องจัดทำเป็นเอกสารส่งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีตามจำนวนที่กำหนดใหม่ (ลดจำนวนลงจากเดิมที่กำหนดไว้ตามหนังสือ สลค. ที่ นร ๐๕๐๑/ว ๒๔ ลงวันที่ ๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒ เรื่อง การส่งเรื่องไปเพื่อเสนอคณะรัฐมนตรี) เนื่องจากยังมีความจำเป็นต้องใช้ในขั้นตอนต่าง ๆ ของการเสนอเรื่องต่อคณะรัฐมนตรี ได้แก่ การถามความเห็น การจัดทำระเบียบวาระของคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง (ถ้ามี) การประชุมคณะรัฐมนตรี และการแจ้งยืนยันมติ ๑.๓ เอกสารสิ่งที่ส่งมาด้วย ซึ่งเดิมหน่วยงานเจ้าของเรื่องต้องจัดส่งสิ่งที่ส่งมาด้วยมาให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเท่ากับจำนวนสำเนาหนังสือต้นเรื่อง (๑๐๐ ชุดสำหรับเรื่องทั่วไป และ ๑๒๐ ชุดสำหรับเรื่องเกี่ยวกับกฎหมาย) ให้ลดจำนวนลงเหลือเท่าที่จำเป็นจะต้องใช้เท่านั้น ๒. ให้หน่วยงานเจ้าของเรื่องจัดส่ง CD บันทึกข้อมูลของหนังสือที่เสนอเรื่องและสิ่งที่ส่งมาด้วยทั้งหมดส่งไปยังสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีพร้อมกับการส่งหนังสือต้นเรื่องด้วย โดย ๒.๑ หนังสือเสนอเรื่อง ให้จัดทำไฟล์ข้อมูล ๒ รูปแบบ คือ ๒.๑.๑ รูปแบบ PDF ของหนังสือที่มีเลขที่หนังสือ ลงวันที่ และลายมือชื่อ ผู้ลงนาม ที่ตรงกับเอกสารต้นฉบับ เพื่อนำไปจัดทำระเบียบวาระการประชุมคณะรัฐมนตรี ๒.๑.๒ รูปแบบ Microsoft Word ของหนังสือเพื่อนำไปใช้ประกอบการจัดทำบันทึกสรุปเรื่องเสนอนายกรัฐมนตรี/รองนายกรัฐมนตรี ๒.๒ เอกสารประกอบหนังสือเสนอเรื่อง (สิ่งที่ส่งมาด้วย) ให้จัดทำไฟล์ข้อมูลในรูปแบบ PDF และบันทึกไฟล์ตามลำดับให้สอดคล้องกับรายการสิ่งที่ส่งมาด้วยตามหนังสือเสนอเรื่อง ๒.๓ ให้บันทึกไฟล์ข้อมูลทั้งหมดใส่แผ่น CD พร้อมแนบใบนำส่งไฟล์ที่แสดงรายละเอียดข้อมูล เช่น ลำดับเอกสาร ชื่อไฟล์ ชนิดของไฟล์ และวัน เวลาที่บันทึกข้อมูล พร้อมทั้งชื่อและหมายเลขโทรศัพท์ของผู้รับผิดชอบไฟล์ข้อมูล |
|||||||||||||||||||||
27751 | แต่งตั้งคณะกรรมการระดับชาติเพื่อศึกษาทบทวนความเหมาะสมของค่าตอบแทนของผู้บริหาร และบุคลากรในหน่วยงานภาครัฐในภาพรวมทั้งหมด | นร12 | 18/06/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่ ๑๐๗/๒๕๕๖ เรื่อง แต่งตั้งคณะกรรมการระดับชาติเพื่อศึกษาทบทวนความเหมาะสมของค่าตอบแทนของผู้บริหารและบุคลากรในหน่วยงานภาครัฐในภาพรวมทั้งหมด ลงวันที่ ๙ พฤษภาคม ๒๕๕๖ โดยมีผลตั้งแต่วันที่ ๙ พฤษภาคม ๒๕๕๖ เป็นต้นไป ตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอ โดยมีองค์ประกอบของคณะกรรมการฯ และอำนาจหน้าที่ ดังนี้
๑. องค์ประกอบของคณะกรรมการฯ ประกอบด้วย รองนายกรัฐมนตรี (นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา) เป็นประธานกรรมการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล) เป็นรองประธานกรรมการ คนที่ ๑ และคนที่ ๒ ผู้ทรงคุณวุฒิจากภาครัฐและภาคเอกชน ผู้แทนจากหน่วยงานกลาง เป็นกรรมการ โดยมีเลขาธิการ ก.พ. เป็นกรรมการและเลขานุการ และอธิบดีกรมบัญชีกลาง เป็นกรรมการและผู้ช่วยเลขานุการ ๒. ให้คณะกรรมการฯ มีอำนาจหน้าที่ศึกษาและวิเคราะห์เปรียบเทียบเกี่ยวกับอัตราค่าตอบแทนของหน่วยงานภาครัฐในภาพรวม จัดทำข้อเสนอการปรับปรุงอัตราค่าตอบแทนขั้นสูงและขั้นต่ำของผู้บริหารและบุคลากรของหน่วยงานภาครัฐในภาพรวม รวมทั้งศึกษาวิเคราะห์อัตราค่าตอบแทนของหน่วยงานภาครัฐในภาพรวมทั้งระบบในเชิงเปรียบเทียบกับภาวะการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและภาคเอกชน โดยให้ดำเนินการครอบคลุมส่วนราชการในราชการบริหารส่วนกลาง ส่วนราชการในราชการบริหารส่วนภูมิภาค องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น รัฐวิสาหกิจ องค์การมหาชน มหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐ หน่วยงานอื่นของรัฐในสังกัดฝ่ายบริหาร หน่วยงานอื่นของรัฐในสังกัดฝ่ายนิติบัญญัติ หน่วยงานอื่นของรัฐในสังกัดฝ่ายตุลาการ และองค์กรตามรัฐธรรมนูญ
|
|||||||||||||||||||||
27752 | ผลการจัดอันดับประเทศไทย ตามกฎหมายการค้าสหรัฐฯ มาตรา 301 พิเศษ ประจำปี 2556 | พณ | 18/06/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอผลการจัดอันดับประเทศไทย ตามกฎหมายการค้าสหรัฐฯ มาตรา ๓๐๑ พิเศษ ประจำปี ๒๕๕๖ โดยสำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐฯ (United States Trade Representative - USTR) ได้ประกาศผลการจัดสถานะการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาของไทย ตามมาตรา ๓๐๑ พิเศษ ประจำปี ๒๕๕๖ โดยคงไทยเป็นประเทศที่ต้องจับตามองเป็นพิเศษ (Priority Watch List - PWL) เช่นเดิม [ทั้งนี้ สหรัฐฯ ได้เคยจัดไทยไว้ในบัญชี PWL ในปี ๒๕๓๕ - ๒๕๓๖ ก่อนจะปรับลงเป็นประเทศที่ต้องจับตามอง (Watch List - WL) และปรับเป็น PWL อีกครั้ง ตั้งแต่ปี ๒๕๕๐ จนถึงปัจจุบัน] โดยมีประเด็นสำคัญสรุปได้ ดังนี้
๑. สหรัฐฯ ยังคงจัดไทยไว้ในบัญชี PWL ในปี ๒๕๕๖ แต่พร้อมที่จะทบทวนสถานะของไทย หากไทยมีความก้าวหน้าที่ชัดเจนในการผ่านกฎหมายทรัพย์สินทางปัญญาสำคัญที่เกี่ยวข้อง และการบังคับใช้กฎหมายทรัพย์สินทางปัญญา ๒. สหรัฐฯ ยินดีที่ไทยแสดงความมุ่งมั่นที่จะดำเนินการปราบปรามการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา และปรับปรุงการบังคับใช้กฎหมายทรัพย์สินทางปัญญาให้มีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะที่ผ่านมา ไทยได้ผ่านกฎหมายฟอกเงินที่ระบุความผิดฐานละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาเป็นความผิดมูลฐาน เพื่อให้สามารถดำเนินการตามกฎหมายดังกล่าว รวมทั้งการตั้งศูนย์ปฏิบัติการป้องปรามการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาแห่งชาติ (National IPR Center of Enforcement หรือ NICE) ซึ่งสหรัฐฯ หวังว่า ศูนย์นี้จะช่วยประสานความร่วมมือในการปราบปรามการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้เข้มแข็ง และมีประสิทธิภาพมากขึ้น ๓. เจ้าของสิทธิ์ในทรัพย์สินทางปัญญาของสหรัฐฯ รายงานว่า ได้รับความร่วมมือที่ดีกับหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายของไทย ซึ่งรวมถึงตำรวจและศุลกากร ๔. สหรัฐฯ เรียกร้องให้ไทยเร่งดำเนินการออกกฎหมายทรัพย์สินทางปัญญาที่ยังค้างอยู่ให้สำเร็จโดยเร็ว และขอให้ไทยมีกลไกของกฎหมายที่จะปราบปรามการละเมิดลิขสิทธิ์ และการละเมิดเครื่องหมายการค้า โดยเฉพาะการละเมิดบนอินเทอร์เน็ตผ่านระบบเคเบิลและสัญญาณดาวเทียม ตลอดจนพิจารณาลงโทษผู้กระทำผิดให้เกิดการหลาบจำ และไม่กระทำผิดซ้ำในอนาคต เป็นต้น ๕. สหรัฐฯ เรียกร้องให้ไทยจัดให้มีระบบการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาจากการแข่งขันทางการค้าที่ไม่เป็นธรรม และการคุ้มครองข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการอนุญาตวางตลาดยา และสินค้าเคมีเกษตร ตลอดจนสนับสนุนให้ไทยจัดให้มีการหารือกับเจ้าของสิทธิที่เกี่ยวข้องอย่างสม่ำเสมอ เพื่อความโปร่งใส รวมถึงการหาแนวทางแก้ปัญหาทรัพย์สินทางปัญญาและการเข้าถึงยา |
|||||||||||||||||||||
27753 | ขอผ่อนผันการใช้พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 บีเอ็ม เพื่อทำเหมืองแร่ของบริษัท หินอ่อน จำกัด ที่จังหวัดสระบุรี (เพื่อทำปูนขาว) | อก | 18/06/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้ผ่อนผันการใช้พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ ๑ บีเอ็ม ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๕๓๓ (เรื่อง การอนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในพื้นที่ป่าไม้) และวันที่ ๒๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๘ [เรื่อง มติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ เรื่อง การกำหนดชั้นคุณภาพลุ่มน้ำภาคตะวันตก ภาคกลาง และลุ่มน้ำป่าสัก และการกำหนดชั้นคุณภาพลุ่มน้ำภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือส่วนอื่น ๆ (ลุ่มน้ำชายแดน)] เพื่อทำเหมืองแร่หินอ่อนและหินอุตสาหกรรมชนิดหินปูน (เพื่อทำปูนขาว) ของบริษัท หินอ่อน จำกัด ตามคำขอที่ ๑/๒๕๔๙ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ ๒. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่เห็นว่ากระทรวงอุตสาหกรรมควรพิจารณาดำเนินการตามระเบียบ/ข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องอย่างรอบคอบ ทั้งนี้ หลังจากได้รับประทานบัตรแล้วให้ผู้ถือประทานบัตรดำเนินการตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม และมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมอย่างเคร่งครัด และจะต้องปฏิบัติตามข้อเสนอแนะมาตรการใช้ที่ดินในเขตลุ่มน้ำภาคตะวันตก ภาคกลาง และลุ่มน้ำป่าสัก ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๘ โดยเคร่งครัด รวมทั้งควรนำมาตรการป้องกันผลกระทบสิ่งแวดล้อมและมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมที่กำหนดไว้ในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมไปกำหนดเป็นเงื่อนไขในการอนุญาตประทานบัตรเหมืองแร่ด้วย ทั้งนี้ ก่อนการอนุญาตสัมปทาน ให้กระทรวงอุตสาหกรรมร่วมกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และผู้แทนชุมชนในพื้นที่ดังกล่าว ตรวจสอบการฟื้นฟูสภาพพื้นที่ที่ผ่านการทำเหมือง ให้เป็นไปตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมอย่างครบถ้วน และเนื่องจากการทำเหมืองหินเป็นกิจกรรมที่ส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่อย่างมาก ทั้งมลพิษทางเสียง มลพิษทางอากาศ ฝุ่นละออง แรงสั่นสะเทือน จึงเห็นควรให้เพิ่มวงเงินกองทุนฟื้นฟูสภาพแวดล้อมของพื้นที่ทำเหมืองและกองทุนเฝ้าระวังสุขภาพและการพัฒนาชุมชนที่ได้รับผลกระทบจากการทำเหมือง โดยกำหนดอัตราส่วนให้เหมาะสมกับผลประโยชน์ตอบแทนทางเศรษฐกิจที่ได้รับ รวมทั้งให้ชุมชน โรงเรียน วัด และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีส่วนร่วมในการบริหารจัดการกองทุนนี้ร่วมกัน และเพื่อมิให้ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ที่ตั้งโครงการควรให้ผู้ที่ได้รับสัมปทานบัตรดำเนินการตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมที่กำหนดไว้ตามรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมอย่างเคร่งครัด และให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นซึ่งเป็นที่ตั้งโครงการ และพื้นที่ใกล้เคียงเข้ามามีส่วนร่วมติดตาม และตรวจสอบการดำเนินงานของบริษัท หินอ่อน จำกัด อย่างต่อเนื่องตามอำนาจหน้าที่ที่ได้รับการถ่ายโอนจากส่วนราชการ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องด้วย |
|||||||||||||||||||||
27754 | ผลการประชุมรัฐมนตรีการค้าเอเปค ปี 2556 (ค.ศ. 2013) | พณ | 18/06/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบตามที่กระทรวงพาณิชย์รายงานผลการประชุมรัฐมนตรีการค้าเอเปค ครั้งที่ ๑๙ (The 19th APEC Ministers Responsible for Trade Meeting) ระหว่างวันที่ ๒๐-๒๑ เมษายน ๒๕๕๖ ณ เมืองสุราบายา สาธารณรัฐอินโดนีเซีย โดยประเด็นสำคัญของการประชุม ได้แก่ การสนับสนุนการเจรจาการค้ารอบโดฮาและต่อต้านการใช้มาตรการกีดกันทางการค้า การบรรลุเป้าหมายโบกอร์ (Attaining the Bogor Goals) และการเจริญเติบโตอย่างยั่งยืนด้วยความเท่าเทียม (Achieving Sustainable Growth with Equity) รวมทั้งข้อคิดเห็นของกระทรวงพาณิชย์เกี่ยวกับการประชุม ดังนี้ ๑.๑ ที่ประชุมรัฐมนตรีการค้าเอเปคให้ความสำคัญกับการผลักดันการเจรจาขององค์การการค้าโลก (World Trade Organization : WTO) ให้ประสบความสำเร็จ ประเทศไทยควรให้การสนับสนุนอย่างจริงจังเพื่อให้การประชุมระดับรัฐมนตรีองค์การการค้าโลก ครั้งที่ ๙ (9th Ministerial Conference : 9th MC) ประสบความสำเร็จ เพื่อคงไว้ซึ่งความน่าเชื่อถือและการทำหน้าที่ของ WTO ในการเป็นเวทีเจรจาลดอุปสรรคและข้อกีดกันทางการค้าและจัดทำกฎระเบียบการค้าโลก เป็นเวทีในการยุติข้อพิพาททางการค้า และเป็นกลไกตรวจสอบและทบทวนนโยบายการค้าของประเทศสมาชิก ความสำเร็จของการประชุม 9th MC จะเป็นก้าวสำคัญสำหรับการเจรจา WTO รอบโดฮา (Doha Development Agenda : DDA) ซึ่งยืดเยื้อมาเป็นเวลานานถึง ๑๒ ปีแล้ว ๑.๒ ข้อเสนอของอินโดนีเซียที่ให้เพิ่มสินค้าจากการเกษตรและป่าไม้ (Agricultural and Forestry-based products) ไว้ใน APEC EG List โดยเฉพาะสินค้าน้ำมันปาล์มดิบ และยางพารา ซึ่งเขตเศรษฐกิจส่วนใหญ่แสดงท่าทีชัดเจน ไม่สนับสนุนการเพิ่มรายการสินค้าใน APEC EG List อย่างไรก็ตาม อินโดนีเซียยังคงผลักดันเรื่องนี้ และพยายามขอรับการสนับสนุนจากเขตเศรษฐกิจต่าง ๆ ในช่วงระหว่างนี้ เพื่อให้สามารถมีผลลัพธ์ตามที่ตนต้องการในการประชุมรัฐมนตรีเอเปค (APEC Ministerial Meeting : AMM) และการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค (APEC Economic Leaders’ Meeting : AELM) ที่จะมีขึ้นในเดือนตุลาคม ศกนี้ ณ เกาะบาหลี สาธารณรัฐอินโดนีเซีย ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับข้อคิดเห็นและข้อสังเกตของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และกระทรวงอุตสาหกรรม เกี่ยวกับประเด็นการเพิ่มเติมยางพาราและน้ำมันปาล์มดิบในรายการสินค้าสิ่งแวดล้อมเอเปค ควรเสนออินโดนีเซียและเอเปคชะลอการดำเนินการในเรื่องนี้ออกไปก่อน เนื่องจากการจัดทำรายการสินค้าสิ่งแวดล้อมภาคเกษตรควรต้องมีคำจำกัดความที่ชัดเจน ประเด็นความมั่นคงอาหาร ควรสนับสนุนการจัดทำ Road Map เพื่อมุ่งสู่เป้าหมายระยะยาวในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกให้มีความมั่นคงอาหาร ภายในปี ๒๕๖๓ (ค.ศ. ๒๐๒๐) และสนับสนุนความร่วมมือระหว่างภาครัฐ เอกชน และเกษตรกร เพื่อบรรลุเป้าหมายความมั่นคงอาหารร่วมกัน ประเด็นการจัดทำกรอบความเชื่อมโยงของเอเปค ควรให้มีความสอดคล้องกับแผนแม่บทว่าด้วยความเชื่อมโยงระหว่างกันของอาเซียน (Master Plan on ASEAN Connectivity : MPAC) และควรบูรณาการกรอบความเชื่อมโยงระหว่างกันของเอเปคเข้ากับภูมิภาคอื่น ๆ เพื่อประโยชน์สูงสุดต่อประเทศไทยและภูมิภาคเอเปคโดยรวม นอกจากนี้ ในแถลงการณ์การประชุมรัฐมนตรีการค้าเอเปค ๒๕๕๖ มีประเด็นทางการค้าที่เกี่ยวข้องกับวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีหลายประการ ทั้งทางตรงและทางอ้อม เห็นควรจัดให้มีการหารือระหว่างหน่วยงานภายในกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี รวมทั้งผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย เช่น ผู้ประกอบการ ภาคอุตสาหกรรม/ภาคธุรกิจที่เกี่ยวข้องเพื่อกำหนดท่าทีและแนวทางในการทำงานทั้งภายในประเทศ และการทำงานร่วมกับประเทศอื่นให้ชัดเจนยิ่งขึ้น เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||
27755 | ขอรับการสนับสนุนงบประมาณเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการจัดการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรกรุงเทพมหานคร เขตเลือกตั้งที่ 12 แทนตำแหน่งที่ว่าง | ลต | 18/06/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการสนับสนุนงบประมาณเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการจัดการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรกรุงเทพมหานคร เขตเลือกตั้งที่ ๑๒แทนตำแหน่งที่ว่าง รวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๗,๓๓๑,๒๐๐ บาท ตามที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ค่าใช้จ่ายที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งดำเนินการเอง เป็นจำนวนเงิน ๕,๗๕๒,๗๐๐ บาท ๑.๒ ค่าใช้จ่ายของหน่วยราชการและรัฐวิสาหกิจที่ร่วมดำเนินการ เป็นจำนวนเงิน ๑,๕๗๘,๕๐๐ บาท ประกอบด้วย กรมการปกครอง สำนักบริหารการทะเบียน เป็นจำนวนเงิน ๓๐๓,๘๐๐ บาท สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เป็นจำนวนเงิน ๔๙๑,๓๐๐ บาท การไฟฟ้านครหลวง เขตนนทบุรี เป็นจำนวนเงิน ๑๒๐,๐๐๐ บาท บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) เป็นจำนวนเงิน ๕๔,๖๐๐ บาท บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด เป็นจำนวนเงิน ๓๘๓,๘๐๐ บาท และกรมประชาสัมพันธ์ เป็นจำนวนเงิน ๒๒๕,๐๐๐ บาท ๒. สำหรับค่าใช้จ่ายในการดำเนินการให้สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งพิจารณาใช้จ่ายจากเงินรายได้ โดยการปรับแผนการใช้จ่ายเงินอุดหนุนที่ได้รับการจัดสรรจากรัฐ ทั้งนี้ หากพิจารณาตรวจสอบแล้วคงเหลือไม่เพียงพอ ก็ให้เสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณอีกครั้ง ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
|||||||||||||||||||||
27756 | ร่างประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง กำหนดให้การเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ ในท้องที่ตำบลบางหมาก และตำบลตากแดด อำเภอเมืองชุมพร จังหวัดชุมพร เป็นกรณีที่มีความจำเป็นโดยเร่งด่วน | คค | 18/06/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างประกาศสำนักนายกรัฐมนตรีตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ รวม ๒ ฉบับ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้
๑. ร่างประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง กำหนดให้การเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ ในท้องที่ตำบลบางหมาก และตำบลตากแดด อำเภอเมืองชุมพร จังหวัดชุมพร เป็นกรณีที่มีความจำเป็นโดยเร่งด่วน มีสาระสำคัญคือ กำหนดให้การเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ เพื่อสร้างทางหลวงชนบท สายเชื่อมระหว่างทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๔๐๐๑ กับทางหลวงชนบท ชพ.๒๐๐๖ ในท้องที่ตำบลบางหมาก และตำบลตากแดด อำเภอเมืองชุมพร จังหวัดชุมพร เป็นกรณีที่มีความจำเป็นโดยเร่งด่วน เพื่อให้เจ้าหน้าที่หรือผู้ซึ่งได้รับมอบหมายจากเจ้าหน้าที่มีอำนาจเข้าครอบครองหรือใช้อสังหาริมทรัพย์นั้นตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. ๒๕๓๐ ๒. ร่างประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง กำหนดให้การเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ เพื่อขยายทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๓๒๕๖ สายแยกถนนอ่อนนุช (ลาดกระบัง) - บางพลี ที่บ้านบางพลีใหญ่ เป็นกรณีที่มีความจำเป็นโดยเร่งด่วน มีสาระสำคัญคือ กำหนดให้การเวนคืนอสังหาริมทรัพย์เพื่อขยายทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๓๒๕๖ สายแยกถนนอ่อนนุช (ลาดกระบัง) - บางพลี ที่บ้านบางพลีใหญ่ ในท้องที่อำเภอบางพลี จังหวัดสมุทรปราการ เป็นกรณีที่มีความจำเป็นโดยเร่งด่วน เพื่อให้เจ้าหน้าที่หรือผู้ซึ่งได้รับมอบหมายจากเจ้าหน้าที่มีอำนาจเข้าครอบครองหรือใช้อสังหาริมทรัพย์นั้นตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. ๒๕๓๐
|
|||||||||||||||||||||
27757 | ร่างประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง กำหนดให้การเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ เพื่อขยายทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 3256 สายแยกถนนอ่อนนุช (ลาดกระบัง) - บางพลี ที่บ้านบางพลีใหญ่ เป็นกรณีที่มีความจำเป็นโดยเร่งด่วน | คค | 18/06/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างประกาศสำนักนายกรัฐมนตรีตามที่กระทรวงคมนาคม รวม ๒ ฉบับ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้
๑. ร่างประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง กำหนดให้การเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ ในท้องที่ตำบลบางหมาก และตำบลตากแดด อำเภอเมืองชุมพร จังหวัดชุมพร เป็นกรณีที่มีความจำเป็นโดยเร่งด่วน มีสาระสำคัญคือ กำหนดให้การเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ เพื่อสร้างทางหลวงชนบท สายเชื่อมระหว่างทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๔๐๐๑ กับทางหลวงชนบท ชพ.๒๐๐๖ ในท้องที่ตำบลบางหมาก และตำบลตากแดด อำเภอเมืองชุมพร จังหวัดชุมพร เป็นกรณีที่มีความจำเป็นโดยเร่งด่วน เพื่อให้เจ้าหน้าที่หรือผู้ซึ่งได้รับมอบหมายจากเจ้าหน้าที่มีอำนาจเข้าครอบครองหรือใช้อสังหาริมทรัพย์นั้นตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. ๒๕๓๐ ๒. ร่างประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง กำหนดให้การเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ เพื่อขยายทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๓๒๕๖ สายแยกถนนอ่อนนุช (ลาดกระบัง) - บางพลี ที่บ้านบางพลีใหญ่ เป็นกรณีที่มีความจำเป็นโดยเร่งด่วน มีสาระสำคัญคือ กำหนดให้การเวนคืนอสังหาริมทรัพย์เพื่อขยายทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๓๒๕๖ สายแยกถนนอ่อนนุช (ลาดกระบัง) - บางพลี ที่บ้านบางพลีใหญ่ ในท้องที่อำเภอบางพลี จังหวัดสมุทรปราการ เป็นกรณีที่มีความจำเป็นโดยเร่งด่วน เพื่อให้เจ้าหน้าที่หรือผู้ซึ่งได้รับมอบหมายจากเจ้าหน้าที่มีอำนาจเข้าครอบครองหรือใช้อสังหาริมทรัพย์นั้นตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. ๒๕๓๐
|
|||||||||||||||||||||
27758 | ข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติรถยนต์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (ปรับปรุงประเภทของหน่วยงานราชการที่ได้รับยกเว้น ค่าธรรมเนียม และภาษีประจำปีและนิรโทษกรรมค่าธรรมเนียมและภาษีประจำปี ค้างชำระของหน่วยงานราชการ) พิจารณาร่างพระราชบัญญัติการขนส่งทางบก (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (ปรับปรุงน้ำหนักของรถที่ใช้ในการประกอบการขนส่งส่วนบุคคล) | สว | 18/06/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติรถยนต์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (ปรับปรุงประเภทของหน่วยงานราชการที่ได้รับยกเว้นค่าธรรมเนียม และภาษีประจำปีและนิรโทษกรรมค่าธรรมเนียมและภาษีประจำปีค้างชำระของหน่วยงานราชการ) พิจารณาร่างพระราชบัญญัติการขนส่งทางบก (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (ปรับปรุงน้ำหนักของรถที่ใช้ในการประกอบการขนส่งส่วนบุคคล) พร้อมผลการพิจารณาดำเนินการของกระทรวงคมนาคมตามข้อสังเกตดังกล่าว และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาทราบต่อไป โดยคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ มีข้อสังเกตว่า ในการปฏิบัติหน้าที่ของอธิบดี นายทะเบียน หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายจากอธิบดีตามมาตรา ๔๙ (๑) และ (๒) ที่แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา ๘ แห่งร่างพระราชบัญญัติการขนส่งทางบกฯ ฉบับนี้ กำหนดให้กระทำได้ระหว่างพระอาทิตย์ขึ้นถึงพระอาทิตย์ตก หรือในเวลาทำการของสถานที่นั้น แต่โดยที่ในการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติรถยนต์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (ปรับปรุงบทบัญญัติเกี่ยวกับการกำหนดน้ำหนักรถยนต์บรรทุกส่วนบุคคล) วุฒิสภาได้แก้ไขเพิ่มเติมเวลาการปฏิบัติหน้าที่ของนายทะเบียนและผู้ตรวจการซึ่งอธิบดีมอบหมายตามมาตรา ๓๗ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา ๘ ให้กระทำได้ในเวลาราชการเท่านั้น ดังนั้น เวลาการปฏิบัติหน้าที่ในเรื่องดังกล่าวของร่างพระราชบัญญัติทั้งสองฉบับจึงไม่สอดคล้องกัน
|
|||||||||||||||||||||
27759 | ผลการประชุมรัฐมนตรีกรอบความร่วมมือเอเชีย ครั้งที่ 11 | กต | 18/06/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและมอบหมายส่วนราชการต่าง ๆ ดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องตามผลการประชุมรัฐมนตรีกรอบความร่วมมือเอเชีย (Asia Cooperation Dialogue-ACD) ครั้งที่ ๑๑ ณ กรุงดูชานเบ สาธารณรัฐทาจิกิสถาน ของผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการต่างประเทศ (นายจุลพงษ์ โนนศรีชัย) เมื่อวันที่ ๒๙ มีนาคม ๒๕๕๖ ตามตารางที่กระทรวงการต่างประเทศจัดทำ สรุปได้ ดังนี้
๑. ความร่วมมือด้านวัฒนธรรม ได้แก่ การเข้าร่วมการประชุม ACD ด้านความร่วมมือด้านวัฒนธรรม (ACD Ministerial Meeting on Cultural Cooperation) ณ กรุงเตหะราน สาธารณรัฐอิสลามอิหร่าน ๒. ความเชื่อมโยงในภูมิภาค ได้แก่ การเป็นเจ้าภาพการประชุมคณะทำงาน (Working Group on Enhanced ACD Regional Connectivity) ๓. การจัดตั้งสำนักเลขาธิการชั่วคราว ACD ณ รัฐคูเวต ๔. ความร่วมมือด้านการจัดการภัยพิบัติ ได้แก่ การเข้าร่วมการประชุมผู้เชี่ยวชาญเพื่อพิจารณาจัดตั้งกลไก ACD Early Warning Coordination Network ๕. การจัดตั้งกองทุน Asian Development Fund ได้แก่ การจัดตั้งกองทุนเพื่อการพัฒนาสำหรับประเทศเอเชียนอกกลุ่มอาหรับ ซึ่งเป็นไปตามข้อเสนอของรัฐคูเวต ๖. ความร่วมมือด้านพลังงาน ได้แก่ การเข้าร่วมการประชุม ADC Energy Forum ครั้งที่ ๒ ที่กรุงอิสลามาบัด สาธารณรัฐอิสลามปากีสถาน (ระดับรัฐมนตรี) และครั้งที่ ๓ ที่กรุงดูชานเบ สาธารณรัฐทาจิกิสถาน
|
|||||||||||||||||||||
27760 | รายงานผลการปฏิบัติงานและการใช้จ่ายงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2555 ณ วันที่ 30 กันยายน 2555 | นร07 | 18/06/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงบประมาณรายงานผลการปฏิบัติงานและการใช้จ่ายงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ณ วันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๕ ซึ่งจากการติดตามผลการปฏิบัติงานและการใช้จ่ายงบประมาณของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่น มีข้อค้นพบปัญหาอุปสรรคและข้อเสนอแนะในภาพรวมที่ทำให้ผลการดำเนินงานไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ในแผนปฏิบัติงานที่สำคัญ สรุปได้ ดังนี้
๑. การเกิดมหาอุทกภัยในประเทศไทย ในปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ตั้งแต่ปลายเดือนกรกฎาคม ๒๕๕๔ ถึงกลางเดือนมกราคม ๒๕๕๕ และจากการที่พระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ ๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ ซึ่งทั้ง ๒ กรณีส่งผลกระทบต่อผลการปฏิบัติงาน และผลการใช้จ่ายงบประมาณของหน่วยงาน ๒. การกำหนดผลผลิต/โครงการ กิจกรรม และตัวชี้วัดในระดับหน่วยงาน ยังไม่สามารถสะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อมโยงสอดคล้องไปถึงเป้าหมายและผลลัพธ์ระดับกระทรวงและระดับยุทธศาสตร์ชาติ จึงมีข้อเสนอแนะให้หน่วยงานที่มีปัญหาควรทบทวนการกำหนดผลผลิต/โครงการ กิจกรรม และตัวชี้วัดในแต่ละระดับให้ชัดเจนและเป็นรูปธรรม สามารถวัดผลสำเร็จของการดำเนินงานได้อย่างแท้จริง ๓. การจัดซื้อจัดจ้างด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-Auction) มีขั้นตอนที่ต้องดำเนินการให้ครบถ้วนใช้ระยะเวลานาน รวมทั้งบางครั้งไม่สามารถดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในครั้งเดียว ทำให้ต้องเริ่มกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างล่าช้า จึงมีข้อเสนอแนะให้หน่วยงานที่มีปัญหาควรเตรียมความพร้อมของงานก่อนที่จะดำเนินการและวางแผนการจัดซื้อจัดจ้างล่วงหน้าให้ชัดเจน เป็นรูปธรรม และสามารถปฏิบัติได้ ๔. ช่วงระยะเวลาในการก่อสร้างไม่เหมาะสม อยู่ในช่วงฤดูฝนหรือฤดูกาลเพาะปลูก สภาพแวดล้อมและภูมิอากาศที่ไม่เอื้อต่อการก่อสร้าง มีการแก้ไขแบบรูปรายการ แก้ไขสัญญาจ้าง รวมทั้งผู้รับจ้างขาดสภาพคล่อง/ละทิ้งงาน/บอกเลิกสัญญา ต้องหาผู้รับจ้างใหม่ ตลอดจนการจัดกรรมสิทธิ์ที่ดินมีความล่าช้า จึงมีข้อเสนอแนะให้หน่วยงานที่มีปัญหา ควรกำหนดแผนการปฏิบัติงานในแต่ละช่วงเวลาให้สอดคล้องกับการดำเนินการจริงและควรตรวจสอบผลการปฏิบัติงานในแต่ละช่วงเวลาเป็นระยะ ๆ เพื่อเป็นเครื่องมือในการติดตาม/เร่งรัดการปฏิบัติงาน ๕. การจัดซื้อวัสดุ อุปกรณ์ และครุภัณฑ์ที่มีความจำเป็นต้องสั่งจากต่างประเทศต้องใช้ระยะเวลาในการสั่งซื้อและการรับมอบของนานกว่าการจัดซื้อจัดจ้างทั่วไป จึงมีข้อเสนอแนะให้หน่วยงานที่มีปัญหาควรติดตามเร่งรัดการดำเนินงานอย่างใกล้ชิด ๖. หลายหน่วยงานมีผลการปฏิบัติงานสูงกว่าแผนการปฏิบัติงานที่กำหนดค่อนข้างมาก จึงมีข้อเสนอแนะให้หน่วยงานควรนำผลการปฏิบัติงานในปีงบประมาณที่ผ่านมาไปใช้ในการกำหนดค่าเป้าหมายของแผนปฏิบัติงานในปีต่อไป เพื่อให้ใกล้เคียงและสอดคล้องกับข้อเท็จจริงตามผลการปฏิบัติงานที่เกิดขึ้นจริง รวมทั้งการขอตั้งงบประมาณให้สอดคล้องกับเป้าหมายในการดำเนินงาน
|
.....