ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1169 จากทั้งหมด 6199 หน้า แสดงรายการที่ 23361 - 23380 จากข้อมูลทั้งหมด 123972 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
23361 | ร่างพระราชบัญญัติค่าตอบแทนผู้เสียหาย และค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายแก่จำเลยในคดีอาญา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | ยธ | 14/07/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติค่าตอบแทนผู้เสียหาย และค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายแก่จำเลยในคดีอาญา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติค่าตอบแทนผู้เสียหาย และค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายแก่จำเลยในคดีอาญา พ.ศ. ๒๕๔๔ โดยกำหนดบทนิยามของผู้เสียหายไม่ให้รวมถึงผู้ประสบภัยซึ่งได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ แก้ไของค์ประกอบของคณะกรรมการพิจารณาค่าตอบแทนผู้เสียหายและค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายแก่จำเลยในคดีอาญา เพิ่มอำนาจของคณะกรรมการในการมอบอำนาจพิจารณาอนุมัติค่าตอบแทน ค่าทดแทน หรือค่าใช้จ่ายให้แก่คณะอนุกรรมการ เพิ่มเติมสถานที่ยื่นคำขอรับค่าตอบแทน ค่าทดแทน หรือค่าใช้จ่าย ให้รวมถึงหน่วยงานอื่นที่รัฐมนตรีมอบหมาย การใช้สิทธิอุทธรณ์คำวินิจฉัยของคณะอนุกรรมการ และการเพิ่มความผิดที่กระทำต่อผู้เสียหายให้รวมถึงความผิดอื่นซึ่งทำให้ผู้เสียหายอาจขอรับค่าตอบแทนได้ในรายการท้ายพระราชบัญญัติ ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา ๒. ให้รับความเห็นของกระทรวงกลาโหมและสำนักงานศาลยุติธรรมเกี่ยวกับความผิดที่กระทำต่อผู้เสียหายซึ่งกระทำให้ผู้เสียหายอาจขอรับค่าตอบแทนได้ ตามมาตรา ๑๗ นั้น มีการบัญญัติความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา ไว้ใน (๑) (ก) ลักษณะ ๑๐ ความผิดเกี่ยวกับชีวิตและร่างกาย หมวด ๒ ความผิดต่อร่างกาย มาตรา ๒๙๕ ถึงมาตรา ๓๐๐ ซึ่งการบัญญัติเช่นนี้โดยไม่นำประมวลกฎหมายอาญาทหารบางมาตรามาบัญญัติรวมไว้ด้วย อาจมีผลกระทบต่อการพิจารณาจ่ายค่าตอบแทนให้แก่ผู้เสียหาย รวมทั้งความผิดเกี่ยวกับทรัพย์ที่เพิ่มเติมตามรายการท้ายพระราชบัญญัติซึ่งทำให้ผู้เสียหายอาจขอรับค่าตอบแทนได้นั้น เป็นความผิดที่รวมการกระทำหลายอย่าง โดยมีความผิดเกี่ยวกับทรัพย์รวมอยู่ด้วย ในขณะที่มาตรา ๑๘ แห่งพระราชบัญญัติค่าตอบแทนผู้เสียหาย และค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายแก่จำเลยในคดีอาญา พ.ศ. ๒๕๔๔ กำหนดให้ค่าตอบแทนที่จะจ่ายแก่ผู้เสียหายรวมถึงค่าตอบแทนความเสียหายอื่นตามที่คณะกรรมการเห็นสมควร อาจเปิดช่องให้มีการจ่ายค่าตอบแทนให้แก่ผู้เสียหายสำหรับความเสียหายต่อทรัพย์ที่สูญเสียไปโดยการกระทำผิดได้ ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งร่างพระราชบัญญัติฯ ให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป |
|||||||||||||||||||||
23362 | ร่างพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | ศธ | 14/07/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมถ้อยคำ จากคำว่า “เลื่อนขั้นเงินเดือน” เป็นคำว่า “เลื่อนเงินเดือน” และคำว่า “ลดขั้นเงินเดือน” เป็น “ลดเงินเดือน” เพื่อให้สอดคล้องกับการปรับปรุงระบบการเลื่อนเงินเดือนข้าราชการพลเรือนสามัญจากระบบขั้นเป็นร้อยละของฐานในการคำนวณตามช่วงเงินเดือน รวมทั้งแก้ไขเพิ่มเติมให้มีคณะอนุกรรมการที่ได้รับแต่งตั้งให้ทำหน้าที่แทนคณะกรรมการข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษา (ก.พ.อ.) ในเรื่องที่เกี่ยวกับการพิจารณาวินิจฉัยอุทธรณ์ ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๒. ให้สำนักงาน ก.พ. รับข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีไปพิจารณาศึกษาอัตราเงินเดือนของข้าราชการครูและอาจารย์มหาวิทยาลัยที่มีข้อร้องเรียนเกี่ยวกับความเหมาะสมของอัตราเงินเดือน ตลอดจนให้กระทรวงศึกษาธิการชี้แจงและสร้างความเข้าใจให้ประชาชนและผู้ที่เกี่ยวข้องทราบข้อมูลที่ถูกต้องเพื่อป้องกันการบิดเบือนข้อมูลดังกล่าว |
|||||||||||||||||||||
23363 | ร่างพระราชบัญญัติหมายเลขโทรศัพท์ฉุกเฉินแห่งชาติ พ.ศ. .... | ตช | 14/07/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการให้มีหมายเลขโทรศัพท์ฉุกเฉินหมายเลขเดียวตามมาตรฐานสากล และให้ส่งร่างพระราชบัญญัติหมายเลขโทรศัพท์ฉุกเฉินแห่งชาติ พ.ศ. .... ตามที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา ทั้งนี้ ให้กระทรวงสาธารณสุขและสำนักงานตำรวจแห่งชาติไปพิจารณาหาข้อยุติเกี่ยวกับการเลือกหมายเลขที่เป็นหมายเลขสากล แล้วแจ้งผลการพิจารณาไปที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเพื่อประกอบการตรวจพิจารณาต่อไป หากผลการพิจารณาสอดคล้องกับร่างพระราชบัญญัติที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติเสนอ ให้ส่งร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณาก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป หากผลการพิจารณาแตกต่างจากร่างพระราชบัญญัติที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติเสนอ ให้เสนอร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง
|
|||||||||||||||||||||
23364 | ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการลดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (มาตรการขยายเวลาการลดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม) | กค | 14/07/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบมาตรการขยายเวลาการลดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มออกไปอีกระยะหนึ่งเพื่อเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจให้มีการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง และอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการลดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการขยายเวลาการปรับลดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มที่จะครบระยะเวลาการปรับลดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มในวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๘ จากเดิมร้อยละ ๑๐ โดยให้ยังคงจัดเก็บในอัตราร้อยละ ๖.๓ ต่อไปอีกเป็นระยะเวลา ๑ ปี ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๘ ถึงวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๙ และจัดเก็บในอัตราร้อยละ ๙ ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๙ เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรเร่งรัดการปฏิรูประบบภาษีอากรและโครงสร้างอัตราภาษีอากรประเภทต่าง ๆ ทั้งระบบ ซึ่งรวมทั้งอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มให้มีความพร้อมต่อการประกาศใช้เมื่อเศรษฐกิจมีการฟื้นตัวที่เข้มแข็งมากขึ้น ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||
23365 | ขออนุมัติดำเนินโครงการก่อสร้างทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง สายพัทยา - มาบตาพุด ของกรมทางหลวง | คค | 14/07/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบตามที่รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคมชี้แจงว่า จากผลการศึกษาโครงการก่อสร้างทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง สายพัทยา-มาบตาพุด ระบุว่าโครงการมีผลตอบแทนทางเศรษฐกิจ (EIRR) สูง จากการเชื่อมโยงระหว่างเมือง การลดปัญหาการจราจรติดขัด การเพิ่มของมูลค่าที่ดินตลอดแนวโครงการ แต่เป็นโครงการที่มีผลตอบแทนทางการเงิน (FIRR) ต่ำ จึงทำให้เอกชนไม่สนใจที่จะร่วมลงทุนในโครงการ ซึ่งสอดคล้องกับความเห็นของคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติว่า โครงการมีผลตอบแทนทางเศรษฐกิจสังคมมากกว่า ประกอบกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังยืนยันว่า หนี้สาธารณะในปัจจุบันอยู่ในระดับที่บริหารจัดการได้เพราะไม่เกินกรอบวินัยการเงินการคลัง โดยมีสัดส่วนหนี้ต่างประเทศต่อหนี้สาธารณะอยู่ที่ร้อยละ ๕.๘๗ เท่านั้น ๒. อนุมัติให้กระทรวงคมนาคม (กรมทางหลวง) ดำเนินโครงการก่อสร้างทางหลวงพิเศษ สายพัทยา-มาบตาพุด วงเงินลงทุนรวม ๒๐,๒๐๐ ล้านบาท ประกอบด้วย ค่าก่อสร้างและค่าควบคุมงาน วงเงิน ๑๔,๒๐๐ ล้านบาท โดยใช้เงินทุนค่าธรรมเนียมผ่านทางตามแผนประมาณการรายจ่ายที่ขอตกลงกับกระทรวงการคลัง และค่าจัดกรรมสิทธิ์ที่ดิน วงเงิน ๖,๐๐๐ ล้านบาท สำนักงบประมาณได้จัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ไว้แล้ว จำนวน ๑,๔๔๐ ล้านบาท และเสนอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ รองรับไว้ จำนวน ๓,๖๐๐ ล้านบาท ส่วนที่ขาดอีก จำนวน ๙๖๐ ล้านบาท ให้กรมทางหลวงเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้ ในการดำเนินโครงการระยะที่ ๑ ให้กำหนดระยะเวลาตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘-๒๕๖๐ ส่วนการดำเนินโครงการในส่วนที่เหลือให้กำหนดเป็นระยะที่ ๒ ต่อไป ๓. ให้กระทรวงคมนาคม (กรมทางหลวง) รับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม คณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐเกี่ยวกับการปฏิบัติตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมและมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมอย่างเคร่งครัด การกำหนดโครงสร้างอัตราค่าผ่านทางของทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองให้มีความเหมาะสม การเพิ่มบทบาทภาคเอกชนในกิจกรรมการบริหารจัดการและซ่อมบำรุงทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองทั้งในส่วนที่เปิดให้บริการแล้วและที่อยู่ระหว่างดำเนินการเพื่อลดค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการ รวมทั้งหารือกับกระทรวงการคลังในการพิจารณาแนวทางหรือรูปแบบการบริหารเงินกองทุนค่าธรรมเนียมเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดยเฉพาะการนำไปพัฒนาลงทุนก่อสร้างโครงข่ายทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองเส้นทางอื่น ๆ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ทั้งนี้ ในการดำเนินโครงการดังกล่าวให้กระทรวงคมนาคม (กรมทางหลวง) ดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ มติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต่อไป และให้กระทรวงคมนาคมรับข้อสังเกตของนายกรัฐมนตรีที่เห็นว่า การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานโครงการอื่น ๆ ของกระทรวงคมนาคมควรดำเนินการในลักษณะไม่เป็นภาระหนี้สาธารณะของประเทศ โดยให้มีการร่วมลงทุนจากภาคเอกชน ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๔. ให้กระทรวงคมนาคม (กรมทางหลวง) ร่วมกับคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องศึกษาแนวทางการจัดทำระบบการกักเก็บน้ำและการส่งน้ำควบคู่กับการดำเนินโครงการก่อสร้างทางหลวงพิเศษดังกล่าว เช่น การสร้างท่อส่งน้ำขนาดใหญ่ใต้พื้นที่โครงการ แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป |
|||||||||||||||||||||
23366 | ขออนุมัติดำเนินโครงการก่อสร้างทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง สายบางปะอิน - สระบุรี - นครราชสีมา ของกรมทางหลวง | คค | 14/07/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบตามที่รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคมชี้แจงว่า จากผลการศึกษาโครงการก่อสร้างทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง สายบางปะอิน-สระบุรี-นครราชสีมา ระบุว่าโครงการมีผลตอบแทนทางเศรษฐกิจ (EIRR) สูง จากการเชื่อมโยงระหว่างเมือง การลดปัญหาการจราจรติดขัด การเพิ่มของมูลค่าที่ดินตลอดแนวโครงการ แต่เป็นโครงการที่มีผลตอบแทนทางการเงิน (FIRR) ต่ำ จึงทำให้เอกชนไม่สนใจที่จะร่วมลงทุนในโครงการ ซึ่งสอดคล้องกับความเห็นของคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติว่า โครงการมีผลตอบแทนทางเศรษฐกิจสังคมมากกว่า ประกอบกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังยืนยันว่า หนี้สาธารณะในปัจจุบันอยู่ในระดับที่บริหารจัดการได้เพราะไม่เกินกรอบวินัยการเงินการคลัง โดยมีสัดส่วนหนี้ต่างประเทศต่อหนี้สาธารณะอยู่ที่ร้อยละ ๕.๘๗ เท่านั้น ๒. อนุมัติให้กระทรวงคมนาคม (กรมทางหลวง) ดำเนินโครงการก่อสร้างทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง สายบางปะอิน-สระบุรี-นครราชสีมา วงเงินลงทุนรวม ๘๔,๖๐๐ ล้านบาท ประกอบด้วย การดำเนินโครงการก่อสร้างฯ ด้วยวิธีการประกวดราคาจ้างเหมาก่อสร้าง วงเงินค่าก่อสร้าง ๗๗,๙๗๐ ล้านบาท โดยให้กระทรวงการคลังดำเนินการระดมทุนจากแหล่งเงินทุนภายในประเทศที่เหมาะสมเพื่อใช้ในการดำเนินโครงการ และค่าจัดกรรมสิทธิ์ที่ดิน วงเงิน ๖,๖๓๐ ล้านบาท สำนักงบประมาณจะพิจารณาจัดสรรค่าจัดกรรมสิทธิ์ที่ดินดังกล่าวตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้ ในการดำเนินโครงการระยะที่ ๑ ให้กำหนดระยะเวลาตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘-๒๕๖๐ ส่วนการดำเนินโครงการในส่วนที่เหลือให้กำหนดเป็นระยะที่ ๒ ต่อไป ๓. กรณีที่มีการเปลี่ยนแปลงแนวเส้นทางในการดำเนินโครงการให้กระทรวงคมนาคม (กรมทางหลวง) ส่งรายงานการเปลี่ยนแปลงในส่วนดังกล่าวให้คณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมพิจารณา รวมทั้งเสนอคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติทราบด้วย ๔. ให้กระทรวงคมนาคม (กรมทางหลวง) รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติสิ่งแวดล้อม คณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และคณะกรรมการนโยบายการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐเกี่ยวกับการปฏิบัติตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมและมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมอย่างเคร่งครัด การกำหนดอัตราค่าผ่านทางที่เหมาะสม ตลอดจนเร่งพัฒนาระบบเก็บค่าผ่านทางอัตโนมัติ รวมทั้งการศึกษาเปรียบเทียบต้นทุน O&M ของโครงการทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองในระยะยาวระหว่างกรณีกรมทางหลวงดำเนินการ O&M เอง กับกรณีการให้เอกชนเป็นผู้ดำเนินการ O&M เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ทั้งนี้ ในการดำเนินโครงการดังกล่าวให้กระทรวงคมนาคม (กรมทางหลวง) ดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ มติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต่อไป และให้กระทรวงคมนาคมรับข้อสังเกตของนายกรัฐมนตรีที่เห็นว่า การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานโครงการอื่น ๆ ของกระทรวงคมนาคมควรดำเนินการในลักษณะที่ไม่เป็นภาระหนี้สาธารณะของประเทศ โดยให้มีการร่วมลงทุนจากภาคเอกชน ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๕. ให้กระทรวงคมนาคม (กรมทางหลวง) ร่วมกับคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องศึกษาแนวทางการจัดทำระบบการกักเก็บน้ำและการส่งน้ำควบคู่กับการดำเนินโครงการก่อสร้างทางหลวงพิเศษดังกล่าว เช่น การสร้างท่อส่งน้ำขนาดใหญ่ใต้พื้นที่โครงการ แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป |
|||||||||||||||||||||
23367 | โครงการปรับปรุงระบบส่งไฟฟ้าบริเวณภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคเหนือตอนล่าง ภาคกลางและกรุงเทพมหานคร เพื่อเสริมความมั่นคงระบบไฟฟ้า และโครงการปรับปรุงระบบส่งไฟฟ้าบริเวณภาคเหนือตอนบน เพื่อเสริมความมั่นคงระบบไฟฟ้า | พน | 14/07/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ดำเนินโครงการปรับปรุงระบบส่งไฟฟ้าบริเวณภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคเหนือตอนล่าง ภาคกลาง และกรุงเทพมหานคร เพื่อเสริมความมั่นคงระบบไฟฟ้าของ กฟผ. วงเงินลงทุนรวม ๙๔,๐๔๐ ล้านบาท และขออนุมัติการเบิกจ่ายงบประมาณลงทุนประจำปี ๒๕๕๘ สำหรับโครงการดังกล่าว จำนวน ๕.๓ ล้านบาท ๑.๒ เห็นชอบให้ กฟผ. ดำเนินโครงการปรับปรุงระบบส่งไฟฟ้าบริเวณภาคเหนือตอนบน เพื่อเสริมความมั่นคงระบบไฟฟ้าของ กฟผ. วงเงินลงทุนรวม ๑๒,๒๔๐ ล้านบาท ๒. ให้กระทรวงพลังงาน โดย กฟผ. รับความเห็นและข้อสังเกตของกระทรวงการคลัง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงบประมาณ คณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ คณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ ประธานกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ และคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน เกี่ยวกับการจัดทำรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อมเบื้องต้น (IEE) การพิจารณากำหนดและปฏิบัติตามมาตรการป้องกัน แก้ไข และลดผลกระทบสิ่งแวดล้อม และติดตามตรวจสอบคุณภาพสิ่งแวดล้อมในพื้นที่ควรคำนึงถึงสภาพพื้นที่จริงในปัจจุบันประกอบด้วย และในการดำเนินโครงการอื่น ๆ ในอนาคตควรพิจารณาหลีกเลี่ยงดำเนินการในพื้นที่ที่จะเป็นการบุกรุกพื้นที่ป่า C พื้นที่คุ้มครองสิ่งแวดล้อม หรือพื้นที่ที่มีความสำคัญทางทรัพยากรธรรมชาติ และควรศึกษาทางเลือกอื่นเพิ่มเติมเพื่อลดผลกระทบที่จะเกิดต่อสภาพแวดล้อม ระบบนิเวศ และทรัพยากรธรรมชาติที่อาจไม่สามารถกลับสู่สภาพเดิมหรือทดแทนได้ โดยคำนึงถึงประโยชน์ของชุมชนและประชาชนผู้มีส่วนได้ส่วนเสียเป็นสำคัญ รวมทั้งควรบริหารและควบคุมการดำเนินงานให้มีต้นทุนที่ประหยัดมากที่สุด โดยคำนึงถึงการรักษาคุณภาพและมาตรฐานของอุปกรณ์ระบบไฟฟ้าต่าง ๆ ให้เป็นไปตามมาตรฐานสากล นอกจากนี้ ควรดำเนินการสร้างความเข้าใจกับประชาชนในพื้นที่ที่แนวสายส่งพาดผ่านตั้งแต่เริ่มต้นโครงการ และควรบริหารจัดการการดำเนินโครงการให้เป็นไปตามเป้าหมายและบริหารต้นทุนการดำเนินงานให้มีประสิทธิภาพ เพื่อมิให้กระทบต่อภาระค่าไฟฟ้าที่จะเรียกเก็บจากประชาชนมากเกินความจำเป็น เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป |
|||||||||||||||||||||
23368 | ขออนุมัติลงนามในข้อตกลงว่าด้วยการซื้อขายสะพานเครื่องหนุนมั่นขนาดหนัก หนึ่งชุด (เอชเอสบี) และสะพานเครื่องหนุนมั่น ความยาว 15 เมตร สองชุด (เอ็มเอฟบี) ในฐานะผู้แทนรัฐบาลไทย | กห | 14/07/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้ผู้บัญชาการทหารบกหรือผู้แทน (เจ้ากรมการทหารช่าง) เป็นผู้ลงนามในข้อตกลงว่าด้วยการซื้อขายสะพานเครื่องหนุนมั่นขนาดหนัก หนึ่งชุด (เอชเอสบี) และสะพานเครื่องหนุนมั่น ความยาว ๑๕ เมตร สองชุด (เอ็มเอฟบี) พร้อมอุปกรณ์ ในฐานะผู้แทนรัฐบาลไทย รวมทั้งการลงนามในเอกสารการแก้ไขข้อตกลงดังกล่าวที่อาจเกิดขึ้นในภายหลัง ตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอ ทั้งนี้ ให้กระทรวงกลาโหมปฏิบัติตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย
|
|||||||||||||||||||||
23369 | การปรับปรุงหลักเกณฑ์และวิธีปฏิบัติในการค้ำประกันสินเชื่อโครงการ Portfolio Guarantee Scheme ระยะที่ 5 | กค | 14/07/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ การปรับปรุงหลักเกณฑ์และวิธีปฏิบัติในการค้ำประกันสินเชื่อโครงการ Portfolio Guarantee Scheme (PGS) ระยะที่ ๕ ซึ่งเป็นการปรับเปลี่ยนเงื่อนไขโครงการ PGS ระยะที่ ๕ ในส่วนของวงเงินค้ำประกันในส่วนที่เหลือ จำนวน ๘๐,๐๐๐ ล้านบาท โดยกำหนดให้ธนาคารที่เข้าร่วมโครงการคิดอัตราดอกเบี้ยให้กับผู้ประกอบการในอัตราไม่เกิน MLR+๒ และกำหนดให้จ่ายค่าประกันชดเชยกรณีที่เป็นภาระค้ำประกันที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (Non-Performing Guarantee : NPGs) ทั้งโครงการรวมทั้งสิ้นไม่เกินร้อยละ ๓๐ ของวงเงินค้ำประกัน และจ่ายค่าประกันชดเชยตามภาระค้ำประกัน SMEs แต่ละราย (Coverage Ratio per SMEs) เป็นสัดส่วนร้อยละ ๗๐ ของภาระประกัน (สถาบันที่เข้าร่วมโครงการรับภาระในส่วนร้อยละ ๓๐ ที่เหลือ) ๑.๒ งบประมาณเพื่อดำเนินการตามโครงการ PGS ระยะที่ ๕ เพิ่มเติมอีกจำนวน ๓,๘๐๕ ล้านบาท โดยให้บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) เบิกจ่ายตามภาระที่เกิดขึ้นจริงโดยทำความตกลงกับสำนักงบประมาณต่อไป ๒. ให้กระทรวงการคลังดำเนินโครงการ PGS ระยะที่ ๕ ตามหลักเกณฑ์และวิธีปฏิบัติในการค้ำประกันสินเชื่อที่ขอปรับปรุงใหม่ควบคู่กับ Guarantee Scheme ระยะที่ ๕ ตามหลักเกณฑ์และวิธีปฏิบัติเดิมไปก่อนเพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบกับผู้ประกอบการที่มีข้อผูกพันตามกรอบวงเงินค้ำประกันสินเชื่อเงื่อนไขเดิม สำหรับภาระงบประมาณเมื่อพิจารณาตามหลักเกณฑ์และวิธีปฏิบัติในการค้ำประกันสินเชื่อโครงการที่ปรับปรุงแล้วจะมีภาระงบประมาณเพิ่มขึ้น จึงเห็นควรให้ บสย. ขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริง โดยในส่วนของการชดเชยค่าประกันชดเชยรายปี ให้ บสย. ใช้เงินรายได้จากค่าธรรมเนียมค้ำประกันสินเชื่อของโครงการก่อน หากไม่เพียงพอจึงขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๓. ให้กระทรวงการคลังรับข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีที่ให้ประเมินผลสัมฤทธิ์ของโครงการ PGS ระยะที่ ๕ ตามช่วงระยะเวลา ซึ่งหากไม่บรรลุผลสัมฤทธิ์ให้ยุติการดำเนินการโครงการดังกล่าวทันที และความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ คณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ และคณะกรรมการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่เห็นควรกำหนดกลุ่มธุรกิจเป้าหมายที่สมควรได้รับการสนับสนุนให้เข้าร่วมโครงการให้สอดคล้องกับนโยบายรัฐบาล เพื่อส่งเสริมผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมที่มีศักยภาพให้มีความเข้มแข็ง มีความสามารถในการแข่งขัน และเติบโตได้อย่างยั่งยืน และเห็นควรให้มีหลักการดำเนินการทั้งแบบเดิมและแบบใหม่ควบคู่กันไป โดยการกำหนดวงเงินให้ชัดเจนและให้มีการประเมินผลการดำเนินการ หากหลักการใหม่ใช้ได้ดี ก็สามารถยกเลิกหลักการเดิมได้ รวมทั้งให้มีการรายงานผลการดำเนินการเมื่อครบ ๓ เดือนให้คณะรัฐมนตรีรับทราบ ไปดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||
23370 | ขอแก้ไขมติคณะรัฐมนตรีวันที่ 28 กรกฎาคม 2552 (เรื่อง การทำสัญญาระหว่างหน่วยงานของรัฐกับเอกชน) | ยธ | 14/07/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ โดยให้แก้ไขมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๕๒ (เรื่อง การทำสัญญาระหว่างหน่วยงานของรัฐกับเอกชน) ในส่วนของข้อ ๑ จากเดิม “สัญญาทุกประเภทที่หน่วยงานของรัฐทำกับเอกชนในไทยหรือต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นสัญญาทางปกครองหรือไม่ ไม่ควรเขียนผูกมัดในสัญญาให้มอบข้อพิพาทให้อนุญาโตตุลาการเป็นผู้ชี้ขาด แต่หากมีปัญหาหรือความจำเป็น หรือเป็นข้อเรียกร้องของคู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่งที่มิอาจหลีกเลี่ยงได้ ให้เสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติเป็นราย ๆ ไป” เป็น “สัญญาที่หน่วยงานของรัฐทำกับเอกชนในไทยหรือต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นสัญญาทางปกครองหรือไม่ ถ้าเป็นกรณีดังต่อไปนี้ (๑) สัญญาที่ต้องดำเนินการตามพระราชบัญญัติการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ. ๒๕๕๖ (๒) สัญญาสัมปทานที่หน่วยงานของรัฐเป็นผู้ให้สัมปทาน หน่วยงานของรัฐไม่ควรเขียนผูกมัดในสัญญาให้มอบข้อพิพาทให้อนุญาโตตุลาการเป็นผู้ชี้ขาด แต่หากมีปัญหาหรือความจำเป็น หรือเป็นข้อเรียกร้องของคู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่งที่มิอาจหลีกเลี่ยงได้ ให้เสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติเป็นราย ๆ ไป” ๒. สำหรับสัญญาใดที่ส่วนราชการต้องเสนอคณะรัฐมนตรีตามพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการเสนอเรื่องและการประชุมคณะรัฐมนตรี พ.ศ. ๒๕๔๘ และสัญญามีข้อระบุให้ใช้อนุญาโตตุลาการโดยมิอาจหลีกเลี่ยงได้ สัญญานั้นยังคงต้องเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบด้วย |
|||||||||||||||||||||
23371 | สรุปผลการดำเนินงานของคณะกรรมาธิการและคณะอนุกรรมาธิการของสภาปฏิรูปแห่งชาติ (วันที่ 2 - 5 มิถุนายน 2558) | สผ | 14/07/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการดำเนินงานของคณะกรรมาธิการ และคณะอนุกรรมาธิการของสภาปฏิรูปแห่งชาติ (วันที่ ๒-๕ มิถุนายน ๒๕๕๘) ตามที่สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภาปฏิรูปแห่งชาติเสนอ
|
|||||||||||||||||||||
23372 | ผลการเยือนไทยอย่างเป็นทางการของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศอินเดีย | กต | 14/07/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบผลการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมเพื่อความร่วมมือทวิภาคีไทย-อินเดีย ครั้งที่ ๗ ที่กระทรวงการต่างประเทศเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมเมื่อวันที่ ๒๗-๒๙ มิถุนายน ๒๕๕๘ และมอบหมายส่วนราชการที่เกี่ยวข้องดำเนินการติดตามผลการหารือดังกล่าว ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑.๑ การแลกเปลี่ยนการเยือนระดับสูง ได้แก่ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศอินเดียแจ้งว่า สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี มีพระราชดำริที่จะเสด็จฯ เยือนอินเดียในปี ๒๕๕๙ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศอินเดียยืนยันคำเชิญของนายกรัฐมนตรีอินเดีย เชิญนายกรัฐมนตรีเยือนอินเดียอย่างเป็นทางการในช่วงต้นปี ๒๕๕๙ ๑.๒ ความร่วมมือด้านเศรษฐกิจ ได้แก่ การเร่งรัดเจรจาจัดทำเขตการค้าเสรี ไทย-อินเดีย ให้บรรลุผลโดยเร็ว การพิจารณาข้อเสนอของอินเดียเกี่ยวกับการจัดทำความตกลงด้านศุลกากร การแก้ไขปัญหาประเด็นด้านการค้าที่ยังคั่งค้างระหว่างกัน การสนับสนุนโครงการ Make In India และ Smart Cities รวมทั้งสนับสนุนแผนการของอินเดียที่จะจัดนิทรรศการของทั้งสองโครงการในไทย การจัดการประชุมสภาธุรกิจไทย-อินเดีย ครั้งที่ ๑ การแลกเปลี่ยนข้อมูลเกี่ยวกับระบบประกันสังคมระหว่างกัน และการจัดทำความตกลงประกันสังคม ๑.๓ ความร่วมมือด้านกลาโหมและความมั่นคง ได้แก่ ไทยจะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุม Thailand-India Defence Dialogue ครั้งที่ ๔ ในช่วงปลายปี ๒๕๕๘ การเยือนอินเดียของรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม การเข้าร่วมการฝึก Cobra Gold 2016 ในสถานะ Observer Plus ของอินเดีย และการจัดตั้งคณะทำงานเฉพาะกิจด้านความมั่นคง ๒ คณะ ได้แก่ (๑) ด้านกฎหมายและกิจการยุติธรรม และ (๒) ความร่วมมือทางทะเล รวมทั้งการจัดทำความตกลงว่าด้วยความช่วยเหลือกันทางคดีแพ่งและพาณิชย์ให้แล้วเสร็จในโอกาสแรก และการเร่งรัดจัดทำบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านยาเสพติดระหว่างกัน ๑.๔ ความร่วมมือด้านความเชื่อมโยง ได้แก่ การศึกษาความเป็นไปได้ในการเชื่อมโยงเส้นทางระเบียงเศรษฐกิจตะวันออก-ตะวันตก ของอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขงกับชายฝั่งภาคตะวันออกของอินเดีย การจัดตั้งคณะทำงานร่วมด้านยุทธศาสตร์ความเชื่อมโยงระหว่างกัน การก่อสร้างถนนสามฝ่าย ไทย-เมียนมา-อินเดีย การเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมโครงการถนนสามฝ่ายในระดับรัฐมนตรีของอินเดีย รวมทั้งการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษทวายและโครงการ ๆ ที่เกี่ยวข้องในเมียนมา และการจัดนิทรรศการเกี่ยวกับโครงการเขตเศรษฐกิจพิเศษทวายที่อินเดียในช่วงครึ่งหลังของปี ๒๕๕๘ ๑.๕ ความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ได้แก่ การตอบรับข้อเสนอของอินเดียที่จะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีไทย-อินเดีย ครั้งที่ ๔ ที่กรุงนิวเดลี และการจัดทำบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและอิเล็กทรอนิกส์ระหว่างกันให้แล้วเสร็จโดยเร็ว ๑.๖ ความร่วมมือด้านการศึกษา ได้แก่ การส่งเสริมความร่วมมือระหว่างสถาบันอุดมศึกษาชั้นนำของไทยกับ India Institutes of Technology และการตอบรับข้อเสนอของอินเดียที่จะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมคณะทำงานร่วมด้านการศึกษาไทย-อินเดีย ครั้งที่ ๒ ๑.๗ ความร่วมมือด้านวัฒนธรรม ได้แก่ การตอบรับข้อเสนอของอินเดียที่จะขยายระยะเวลาดำเนินโครงการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรม ระหว่างปี ๒๕๕๘-๒๕๖๐ ๑.๘ ความร่วมมือด้านการท่องเที่ยวและบริการเดินอากาศ ได้แก่ อินเดียตกลงที่จะพิจารณาข้อเสนอของไทยในการจัดทำแผนปฏิบัติการราย ๒ ปี เพื่อส่งเสริมความร่วมมือด้านการท่องเที่ยวระหว่างกัน แทนการจัดทำความตกลงฉบับใหม่ และรับที่จะพิจารณาคำขอให้สายการบิน Thai Smile เป็นสายการบินแห่งชาติของไทยอีกสายการบินหนึ่งซึ่งอยู่ภายใต้ความตกลงด้านบริการเดินอากาศและสามารถมีเที่ยวบินระหว่างประเทศไทยกับเมืองหลัก และเมืองรอง ระดับ ๒ (Tier II) ของอินเดีย รวมทั้งพิจารณาความเป็นไปได้ในการเปิดเส้นทางบินระหว่างกรุงเทพฯ-เมืองกุวาฮาติ รัฐอัสสัม+๑ และการจัดทำความตกลงว่าด้วยการขนส่งทางอากาศ ไทย-อินเดีย ฉบับปรับปรุงใหม่ ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว ๑.๙ ความร่วมมือด้านการกงสุลและการตรวจลงตรา ได้แก่ การจัดการประชุมคณะทำงานเฉพาะกิจด้านกงสุล ไทย-อินเดีย ครั้งที่ ๕ ในโอกาสแรก ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรขยายความร่วมมือไปยังบริษัทอุตสาหกรรมด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ โดยเฉพาะอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ที่ตั้งอยู่ในเมืองเทคโนโลยีสารสนเทศของอินเดีย และเห็นควรเพิ่มเติมกิจกรรมในความร่วมมือด้านการเชื่อมโยงในการจัดนิทรรศการเกี่ยวกับโครงการเขตเศรษฐกิจพิเศษทวายในช่วงครึ่งหลังของปี ๒๕๕๘ รวมทั้งเพิ่มเติมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับความร่วมมือด้านการเชื่อมโยง ได้แก่ สำนักงานความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน และการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ทั้งนี้ ในอนาคตหากการเชื่อมโยงถนนสามฝ่าย ไทย-เมียนมา-อินเดีย เกิดขึ้นได้เป็นรูปธรรม ควรมีการพิจารณาความเชื่อมโยงทางด้านกฎระเบียบ (Software connectivity) เพื่อการอำนวยความสะดวกในการขนส่งคนและสินค้าผ่านแดนโดยใช้ประโยชน์เส้นทางถนนดังกล่าว ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||
23373 | สรุปผลการดำเนินงานของคณะกรรมาธิการและคณะอนุกรรมาธิการของสภาปฏิรูปแห่งชาติ (วันที่ 8 - 12 มิถุนายน 2558) | สผ | 14/07/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการดำเนินงานของคณะกรรมาธิการ และคณะอนุกรรมาธิการของสภาปฏิรูปแห่งชาติ (วันที่ ๘-๑๒ มิถุนายน ๒๕๕๘) ตามที่สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภาปฏิรูปแห่งชาติเสนอ
|
|||||||||||||||||||||
23374 | การก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณสำหรับรายการงบประมาณรายจ่ายประจำปี งบประมาณ พ.ศ. 2558 ที่มีวงเงินรวมตั้งแต่ 1,000 ล้านบาทขึ้นไป รายการจ้างเหมาทำการก่อสร้างทางหลวง หมายเลข 3 สาย ตราด - หาดเล็ก ตอน 2 ส่วนที่ 1 และส่วนที่ 2 | คค | 14/07/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณสำหรับรายการงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ที่มีวงเงินรวมตั้งแต่ ๑,๐๐๐ ล้านบาทขึ้นไป รายการจ้างเหมาทำการก่อสร้างทางหลวง หมายเลข ๓ สาย ตราด-หาดเล็ก ตอน ๒ ส่วนที่ ๑ ในวงเงิน ๖๘๖,๔๓๗,๐๐๐ บาท ส่วนที่ ๒ ในวงเงิน ๖๙๕,๖๓๔,๐๐๐ บาท รวมเป็นวงเงินทั้งสิ้น ๑,๓๘๒,๐๗๑,๐๐๐ บาท ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ๒. ให้กระทรวงคมนาคมเร่งดำเนินการก่อหนี้ผูกพันให้ทันตามกำหนดเวลาและรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐที่เห็นว่าการดำเนินการดังกล่าวมีผลการดำเนินการต่ำกว่าราคากลางและวงเงินที่อนุมัติในอัตราที่น้อย จึงควรต่อรองราคาให้ลดลงอีกเพื่อให้เกิดความคุ้มค่าในการดำเนินการ ไปประกอบการพิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||
23375 | สรุปผลการดำเนินงานของคณะกรรมาธิการและคณะอนุกรรมาธิการของสภาปฏิรูปแห่งชาติ (วันที่ 15 - 19 มิถุนายน 2558) | สผ | 14/07/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการดำเนินงานของคณะกรรมาธิการ และคณะอนุกรรมาธิการของสภาปฏิรูปแห่งชาติ (วันที่ ๑๕-๑๙ มิถุนายน ๒๕๕๘) ตามที่สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภาปฏิรูปแห่งชาติเสนอ
|
|||||||||||||||||||||
23376 | รายงานผลการพิจารณาข้อเสนอการปฏิรูประบบเพื่อรองรับสังคมสูงวัยของคณะกรรมการปฏิรูประบบรองรับการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุของประเทศไทย | พม | 14/07/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบรายงานผลการพิจารณาข้อเสนอการปฏิรูประบบเพื่อรองรับสังคมสูงวัยของคณะกรรมการปฏิรูประบบรองรับการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุของประเทศไทย ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ ข้อเสนอแนะต่อข้อเสนอด้านเศรษฐกิจ ได้แก่ (๑) ควรพิจารณาปรับปรุงระบบบำนาญที่เป็นระบบร่วมจ่ายเงินสมทบ (Contributory) และไม่ต้องร่วมจ่ายเงินสมทบ (Non-contributory) รวมทั้งเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุควรพิจารณาความพอเพียงและความยั่งยืนต่อเนื่องจากประชากรสูงวัยมีจำนวนมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง (๒) เพิ่มแนวทางการมีส่วนร่วมของผู้หญิงในตลาดแรงงาน สนับสนุนให้ผู้ชายมีส่วนร่วมในการดูแลครอบครัว เพิ่มโอกาสให้ประชาชนสามารถศึกษาเล่าเรียนควบคู่กับการทำงานได้ และมีมาตรการสนับสนุนครัวเรือนรุ่นกระโดดที่ยากจน เพื่อให้ผู้สูงวัยในครอบครัวสามารถดำรงชีวิตได้ และ (๓) ควรส่งเสริมการลงทุนในพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ รวมทั้งพื้นที่ปริมณฑลที่ไม่ใช่เมืองใหญ่เพื่อบรรเทาผลกระทบจากการย้ายถิ่น และการกำหนดมาตรการ ระเบียบ ข้อบังคับควรให้สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนและสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมเข้ามามีส่วนร่วม ๑.๒ ข้อเสนอแนะต่อข้อเสนอด้านการปรับสภาพแวดล้อม สิ่งอำนวยความสะดวกและบริการสาธารณะที่เอื้อต่อการใช้ชีวิตของผู้สูงอายุ ได้แก่ (๑) ส่งเสริมและขยายให้มีชุมชน/เมืองที่เป็นมิตรกับผู้สูงอายุ (๒) สนับสนุนและส่งเสริมภาคธุรกิจให้พัฒนาสินค้าและบริการ รวมทั้งการตลาดเพื่อรองรับสังคมสูงวัย และ (๓) เสนอคณะรัฐมนตรีให้หน่วยราชการ/ท้องถิ่น จัดทำสิ่งอำนวยความสะดวกให้คนพิการและผู้สูงอายุเข้าถึงได้ ๑.๓ ข้อเสนอแนะต่อข้อเสนอด้านสุขภาพ ได้แก่ (๑) ผลักดันให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเข้ามามีบทบาทในการขับเคลื่อนการดูแลผู้สูงอายุ โดยอาศัยการบูรณาการและการส่งต่อการดูแลผู้สูงอายุ สนับสนุนการพัฒนาความเข้มแข็งกองทุนสวัสดิการชุมชนที่มีการจัดตั้งแล้ว และพัฒนาสวัสดิการชุมชนให้หลากหลายขึ้น (๒) ควรมีระบบดูแลระยะกลาง ระยะยาว และระยะสุดท้ายในสถานพยาบาล บ้าน และชุมชน (๓) ควรพัฒนาขีดความสามารถของสถานบริการสุขภาพในเขตเมือง (๔) ควรมีมาตรการสร้างแรงจูงใจให้มีผู้ศึกษาสาขาเวชศาสตร์ผู้สูงอายุเพิ่มขึ้น และการสร้างบุคลากรระดับกึ่งวิชาชีพและไม่ใช่วิชาชีพ รวมไปถึงการรักษาบุคลากรให้คงอยู่ในสาขาอาชีพให้นานที่สุด ๑.๔ ข้อเสนอแนะต่อข้อเสนอด้านสังคม ได้แก่ (๑) การส่งเสริมการวางแผนชีวิต (Life Planning) โดยเน้นเรื่องการสร้างความมั่นคงเรื่องรายได้ การส่งเสริมการออมก่อนเข้าสู่วัยผู้สูงอายุ และมีมาตรการสนับสนุนครอบครัวที่ผู้สูงอายุต้องอยู่ตามลำพัง และ (๒) มีการนำเสนอภาพลักษณ์ผู้สูงอายุในทางบวกผ่านสื่อสาธารณะให้หลากหลายขึ้น ๒. ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์รับข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีที่ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์สร้างการรับรู้ที่ถูกต้องต่อประชาชนเกี่ยวกับการดำเนินการตามข้อเสนอการปฏิรูประบบเพื่อรองรับสังคมสูงวัยของคณะกรรมการปฏิรูประบบรองรับการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุของประเทศไทยและต้องระมัดระวังความขัดแย้งที่อาจจะเกิดจากความเห็นที่ไม่ตรงกันของผู้ที่มีส่วนได้ส่วนเสีย และการดำเนินการใดที่มีผลให้ต้องเพิ่มรายจ่ายงบประมาณ ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์นำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาก่อนทุกครั้ง ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||
23377 | รายงานผลการกู้เงินจากรัฐบาลญี่ปุ่นสำหรับโครงการรถไฟชานเมือง (สายสีแดง) ช่วงบางซื่อ - รังสิต ระยะที่ 2 | กค | 14/07/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการลงนามในหนังสือแลกเปลี่ยนว่าด้วยความร่วมมือทางการเงินระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลญี่ปุ่น รวมทั้งสัญญาเงินกู้สำหรับโครงการรถไฟฟ้าชานเมือง (สายสีแดง) ช่วงบางซื่อ-รังสิต ระยะที่ ๒ โดยเมื่อวันที่ ๑๒ มิถุนายน ๒๕๕๘ ได้มีการลงนามในหนังสือแลกเปลี่ยนว่าด้วยความร่วมมือทางการเงินระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลญี่ปุ่นและเอกสารที่เกี่ยวข้อง โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเป็นผู้ลงนามในนามรัฐบาลไทย และ H.E. Mr. Shiro Sadoshima เอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทยเป็นผู้ลงนามในนามรัฐบาลญี่ปุ่น รวมทั้งได้มีการลงนามในสัญญาเงินกู้ โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเป็นผู้ลงนามในนามรัฐบาลไทย และ Mr. Shuichi Ikeda หัวหน้าผู้แทนองค์การความร่วมมือระหว่างประเทศของญี่ปุ่น (JICA) สำนักงานประจำประเทศไทย เป็นผู้ลงนามในนาม JICA สำหรับโครงการรถไฟฟ้าชานเมือง (สายสีแดง) ช่วงบางซื่อ-รังสิต ระยะที่ ๒ วงเงิน ๓๘,๒๐๓ ล้านเยน ทั้งนี้ รายละเอียดหนังสือแลกเปลี่ยนฯ เอกสารที่เกี่ยวข้อง และสัญญาเงินกู้ดังกล่าวมีสาระสำคัญและเงื่อนไขเป็นไปตามที่คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติทุกประการ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๒. ให้กระทรวงการคลังและกระทรวงคมนาคมรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรเร่งหาข้อยุติในหลักการของขอบเขตการรับภาระการลงทุนค่าใช้จ่ายงานระบบรถไฟฟ้าและเครื่องกล ตู้รถไฟฟ้า ค่าจ้างที่ปรึกษา งานระบบไฟฟ้าและเครื่องกลของโครงการรถไฟฟ้าชานเมือง สายสีแดง ช่วงบางซื่อ-รังสิต และช่วงบางซื่อ-ตลิ่งชัน ของการรถไฟแห่งประเทศไทย เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาตามขั้นตอน รวมทั้งให้การรถไฟแห่งประเทศไทยและกระทรวงคมนาคมเร่งศึกษาแนวทางการบริหารจัดการโครงการและนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาตามขั้นตอน เพื่อเพิ่มความมั่นใจว่าจะสามารถเปิดให้บริการรถได้ทันทีภายหลังจากที่การก่อสร้างงานโยธาของโครงการรถไฟฟ้าชานเมือง สายสีแดง ช่วงบางซื่อ-รังสิตแล้วเสร็จ โดยให้ครอบคลุมถึงการพิจารณารูปแบบการเดินรถ ความพร้อมของบุคลากร แผนการซ่อมบำรุงระบบไฟฟ้าและรถไฟฟ้าที่ครอบคลุมทั้งโครงการ และผลกระทบต่อฐานะการเงินของการรถไฟแห่งประเทศไทย พร้อมทั้งแผนบริหารจัดการใช้ประโยชน์ทางรถไฟร่วมกันระหว่างการเดินรถไฟประเภทต่าง ๆ เช่น รถไฟทางไกล รถไฟชานเมือง เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||
23378 | การแต่งตั้งข้าราชการให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง ตำแหน่ง ผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรี (ผู้ตรวจราชการกระทรวง) สำนักงาน ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี (สำนักนายกรัฐมนตรี) (นายวรพันธ์ เย็นทรัพย์) | นร04 | 14/07/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งนายวรพันธ์ เย็นทรัพย์ ข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรี สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี สำนักนายกรัฐมนตรี ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นต้นไป เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่าง ตามที่สำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ
|
|||||||||||||||||||||
23379 | แต่งตั้งข้าราชการให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์) (นางสาวอุษณี กังวารจิตต์) | พม | 14/07/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งนางสาวอุษณี กังวารจิตต์ ข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวงกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นต้นไป เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่าง ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ
|
|||||||||||||||||||||
23380 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม) (จำนวน 5 ราย 1. นายวิจารย์ สิมาฉายา ฯลฯ) | ทส | 14/07/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน ๕ ราย ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นต้นไป เพื่อสับเปลี่ยนหมุนเวียนและทดแทนตำแหน่งที่ว่าง ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้
๑. นายวิจารย์ สิมาฉายา ดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมควงคุมมลพิษ ๒. นายวิเชียร จุ่งรุ่งเรือง ดำรงตำแหน่งรองปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ๓. นางสาวสุทธิลักษณ์ ระวิวรรณ ดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมทรัพยากรน้ำบาดาล ๔. นายปราณีต ร้อยบาง ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ๕. นางรวีวรรณ ภูริเดช ดำรงตำแหน่งเลขาธิการสำนักงานนโยบาย และแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
|
.....