ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1163 จากทั้งหมด 6199 หน้า แสดงรายการที่ 23241 - 23260 จากข้อมูลทั้งหมด 123972 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
23241 | ร่างพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | มท | 21/07/2558 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายว่าด้วยการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม เพื่อให้การควบคุมการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมในทุกพื้นที่เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ เกษตรกรสามารถใช้ประโยชน์ในที่ดินได้อย่างเต็มที่ และมีความเหมาะสมเป็นธรรมทั้งต่อฝ่ายผู้เช่าและฝ่ายผู้ให้เช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วนเนื่องจากเป็นนโยบายสำคัญของรัฐบาล โดยพิจารณาให้เกิดความเป็นธรรมทั้งผู้เช่าและผู้ให้เช่า และกำหนดแนวทางหรือหลักเกณฑ์เกี่ยวกับสัญญาเช่านาให้มีความชัดเจนระหว่างพื้นที่ในหรือนอกเขตชลประทานด้วย ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของส่วนราชการที่เกี่ยวข้องที่เห็นควรให้ความสำคัญกับกระบวนการมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย และประชาสัมพันธ์สร้างความรู้ความเข้าใจแก่ผู้เช่านาและเจ้าของนาผู้ให้เช่าอย่างทั่วถึง เนื่องจากได้มีผลกระทบจากบทลงโทษในกรณีที่ไม่ปฏิบัติตามประกาศของคณะกรรมการการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (คชก.) ระดับอำเภอ รวมทั้งในการปฏิบัติงานต้องมีการบังคับใช้กฎหมายในการควบคุมการเช่านาเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมทั้งสองฝ่าย และควรติดตามกำกับดูแลให้ คชก. ระดับจังหวัด อำเภอ และตำบล ให้มีการดำเนินการประกาศกำหนดอัตราค่าเช่านาขั้นสูงในทุกพื้นที่เพื่อให้นโยบายการลดต้นทุนการผลิตสินค้าเกษตรของรัฐบาลในด้านการเช่าที่นาเกิดผลเป็นรูปธรรมอย่างแท้จริง ตลอดจนดำเนินการกับผู้ฝ่าฝืนกฎหมายดังกล่าวอย่างเคร่งครัด นอกจากนี้ เห็นควรแก้ไของค์ประกอบของกรรมการใน คชก. จังหวัด จาก “ธนารักษ์จังหวัด” เป็น “ธนารักษ์พื้นที่” เพื่อให้เป็นไปตามกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการกรมธนารักษ์ กระทรวงการคลัง พ.ศ. ๒๕๕๗ และเพิ่มเติมผู้แทนกรมธนารักษ์เป็นกรรมการใน คชก. จังหวัด ในกรุงเทพมหานคร เพื่อให้สอดคล้องกับการให้มีผู้แทนกรมธนารักษ์ร่วมเป็นกรรมการใน คชก. ไปประกอบการพิจารณา แล้วส่งร่างพระราชบัญญัติฯ ให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป |
||||||||||||||||||
23242 | ร่างพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ พ.ศ. .... | ศธ | 21/07/2558 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการปรับเปลี่ยนสถานภาพของมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ไปเป็นมหาวิทยาลัยของรัฐที่ไม่เป็นส่วนราชการแต่อยู่ในกำกับของรัฐ ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง โดยไม่ให้วิทยาเขตมีฐานะเป็นนิติบุคคล และให้รับข้อสังเกตของกระทรวงการคลังเกี่ยวกับร่างมาตรา ๕ ที่กำหนดให้มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์และวิทยาเขตเป็นนิติบุคคลและเป็นหน่วยงบประมาณตามกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณ และกรณีการกู้ยืมเงิน ตามร่างมาตรา ๑๕ (๔) รวมทั้งกรณีการจัดสรรเงินอุดหนุนทั่วไป ตามร่างมาตรา ๑๖ วรรคสอง ตลอดจนการปรับปรุงร่างในหมวด ๔ การบัญชีและการตรวจสอบ มาตรา ๕๑ และมาตรา ๕๒ ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๒. ให้กระทรวงศึกษาธิการรับไปดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓ มีนาคม ๒๕๕๘ ซึ่งให้กระทรวงศึกษาธิการรับไปกำกับดูแลมหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐให้มีการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพเพื่อมิให้เป็นภาระกับรัฐบาลในการให้การอุดหนุนด้านงบประมาณเพิ่มเติมอย่างเคร่งครัดต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงศึกษาธิการรับข้อสังเกตของสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรกำหนดให้มีระเบียบเกี่ยวกับหลักเกณฑ์ เงื่อนไข วิธีสั่งจ่ายเงินรายได้ และระบบการตรวจสอบ ติดตามผล เพื่อให้การจัดเก็บรักษาและการใช้จ่ายเงินรายได้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และตรวจสอบได้เป็นมาตรฐานเดียวกัน สำหรับมหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐทุกแห่ง และให้ความสำคัญในการพัฒนาและวางระบบการบริหารการเงินการคลังที่เอื้อประโยชน์สูงสุดต่อการวางแผนการพัฒนาการศึกษาในระดับอุดมศึกษา รวมทั้งการศึกษาและติดตามประเมินผลการดำเนินงานของสถาบันอุดมศึกษาเพื่อหาจุดที่คุ้มทุนของการจัดการศึกษาในแต่ละสาขาวิชา ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||
23243 | ร่างพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ พ.ศ. .... | ศธ | 21/07/2558 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการปรับเปลี่ยนสถานภาพจากมหาวิทยาลัยของรัฐที่เป็นส่วนราชการ ไปเป็นมหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐ และมีฐานะเป็นนิติบุคคล ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง โดยให้รับข้อสังเกตของกระทรวงการคลังเกี่ยวกับกรณีการกู้ยืมเงิน ตามร่างมาตรา ๑๔ (๕) และกรณีการจัดสรรเงินอุดหนุนทั่วไป ตามร่างมาตรา ๑๕ วรรคสอง รวมทั้งการปรับปรุงร่างในหมวด ๔ การบัญชีและการตรวจสอบ มาตรา ๔๗ และมาตรา ๔๘ ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๒. ให้กระทรวงศึกษาธิการรับไปดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓ มีนาคม ๒๕๕๘ ซึ่งให้กระทรวงศึกษาธิการรับไปกำกับดูแลมหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐที่ให้มีการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพเพื่อมิให้เป็นภาระกับรัฐบาลในการให้การอุดหนุนด้านงบประมาณเพิ่มเติมอย่างเคร่งครัดต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงศึกษาธิการรับข้อสังเกตของสำนักงบประมาณที่เห็นควรกำหนดให้มีระเบียบเกี่ยวกับหลักเกณฑ์ เงื่อนไข วิธีสั่งจ่ายเงินรายได้ และระบบการตรวจสอบ ติดตามผล เพื่อให้การจัดเก็บรักษาและการใช้จ่ายเงินรายได้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และตรวจสอบได้เป็นมาตรฐานเดียวกัน สำหรับมหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐทุกแห่ง ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||
23244 | ร่างพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (ตำรวจกองประจำการ) | นร09 | 21/07/2558 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (ตำรวจกองประจำการ) ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๗ เพื่อกำหนดให้มีตำรวจกองประจำการเช่นเดียวกับทหารกองประจำการ โดยการเรียก การตรวจเลือก การฝึกอบรม และการปลด และให้ส่งคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณาต่อไป ๒. ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติรับความเห็นของคณะรัฐมนตรีที่เห็นควรกำหนดภารกิจการปฏิบัติหน้าที่และขอบเขตการบังคับใช้กฎหมายของข้าราชการตำรวจและตำรวจกองประจำการให้ชัดเจน ส่วนคณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะที่ ๒) มีข้อสังเกตในประเด็นการเรียกและการตรวจเลือกบุคคลเข้าเป็นตำรวจกองประจำการ ตลอดจนการยกเว้นและการปลดตำรวจกองประจำการ การกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการในการมีอาวุธประจำกายที่เหมาะสมกับสถานะและอำนาจหน้าที่ของตำรวจกองประจำการ รวมทั้งระยะเวลาภายหลังการฝึกที่จะสามารถใช้อาวุธได้ การกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการออกคำสั่งให้ตำรวจกองประจำการปฏิบัติหน้าที่ และการพิจารณาปฏิรูปองค์กรตำรวจในภาพรวม และความเห็นของคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐที่เห็นควรกำหนดภารกิจการปฏิบัติหน้าที่และขอบเขตการบังคับใช้กฎหมายของข้าราชการตำรวจและตำรวจกองประจำการให้ชัดเจน พัฒนาระบบการบริหารกำลังพลตำรวจกองประจำการทั้งเรื่องการกำหนดความต้องการจำนวนตำแหน่งให้สอดคล้องกับภารกิจสนับสนุนการรักษาความสงบเรียบร้อย ความปลอดภัยของประชาชน และความมั่นคงของราชอาณาจักร รวมทั้งการใช้กำลังพลตามความจำเป็นและความแตกต่างของพื้นที่ไม่ซ้ำซ้อนกับอำนาจหน้าที่ของเจ้าหน้าที่รัฐประเภทอื่น ตลอดจนมีแนวทางการประเมินประสิทธิภาพและประสิทธิผลของการบริหารกำลังพลตำรวจกองประจำการเพื่อให้การใช้จ่ายงบประมาณของรัฐเกิดความคุ้มค่า ไปพิจารณาด้วย |
||||||||||||||||||
23245 | การลงนามในร่างความตกลงในการจัดตั้งธนาคารเพื่อการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานเอเชีย | กค | 21/07/2558 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการร่างความตกลงในการจัดตั้งธนาคารเพื่อการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานเอเชีย มีสาระสำคัญเป็นการจัดตั้งธนาคารเพื่อการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานเอเชีย โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมพัฒนาการทางเศรษฐกิจและส่งเสริมความร่วมมือภายในภูมิภาคเอเชีย และให้กระทรวงการคลังไปดำเนินการตามขั้นตอนตามมาตรา ๒๓ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ ตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ๒. ให้กระทรวงการคลังพิจารณาทบทวนความเหมาะสมของสัดส่วนเงินลงทุนของประเทศไทย สิทธิและประโยชน์ที่ประเทศไทยจะได้รับ โดยให้เปรียบเทียบกับสัดส่วนเงินลงทุน สิทธิในการออกเสียง และประโยชน์ที่จะได้รับของประเทศสมาชิกอาเซียน ตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี ความเห็นของสำนักงบประมาณ ด่วนที่สุด ที่ นร ๐๗๐๘/๕๓๗ ลงวันที่ ๖ พฤษภาคม ๒๕๕๘ และมติคณะรัฐมนตรี (๗ พฤษภาคม ๒๕๕๘) และให้เสนอคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบในวงเงินงบประมาณที่จะมีภาระผูกพันตามพันธกรณีดังกล่าวก่อนที่จะเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติให้ความเห็นชอบร่างความตกลงฯ |
||||||||||||||||||
23246 | ขออนุมัติเพิ่มวงเงินและขยายระยะเวลาโครงการอ่างเก็บน้ำคลองหลวง จังหวัดชลบุรี พร้อมทั้งขออนุมัติในหลักการให้จ่ายค่าชดเชยพิเศษแทนการจัดสรรแปลงอพยพให้ราษฎรที่ถูกเขตชลประทาน | กษ | 21/07/2558 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการการเพิ่มกรอบวงเงินของโครงการอ่างเก็บน้ำคลองหลวง จังหวัดชลบุรี จากเดิมวงเงิน ๖,๗๐๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท เป็นวงเงิน ๙,๓๔๑,๓๖๔,๗๐๐ บาท ขยายระยะเวลาดำเนินโครงการจากเดิม ๗ ปี (ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๓-๒๕๕๙) เป็น ๑๐ ปี (ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๓-๒๕๖๒) ๒. อนุมัติการเพิ่มวงเงินก่อหนี้ผูกพันรายการก่อสร้างเขื่อนหัวงานและอาคารประกอบพร้อมส่วนประกอบอื่น จากวงเงินเดิม ๘๕๓,๐๐๐,๐๐๐ บาท เป็นวงเงิน ๘๙๖,๖๐๓,๖๐๐ บาท และขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ จากปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๓-๒๕๕๖ เป็นปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๓-๒๕๕๙ ๓. อนุมัติในหลักการให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมชลประทานสามารถจ่ายค่าชดเชยพิเศษแทนการจัดสรรแปลงอพยพให้แก่ราษฎรที่ถูกเขตชลประทาน และอนุมัติการแต่งตั้งคณะกรรมการพิจารณากำหนดราคาจ่ายค่าชดเชยพิเศษแทนการจัดสรรแปลงอพยพ เพื่อให้การดำเนินการเป็นไปด้วยความถูกต้องและโปร่งใส โดยมีผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรี เป็นประธานกรรมการ หัวหน้าฝ่ายจัดหาที่ดิน ๙ สำนักกฎหมายและที่ดิน กรมชลประทาน เป็นกรรมการและเลขานุการ ๔. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับข้อสังเกตของสำนักงบประมาณเกี่ยวกับวงเงินค่าที่ดินซึ่งสูงกว่าวงเงินค่าก่อสร้าง กรมชลประทานจะต้องคำนึงถึงความคุ้มค่าและผลประโยชน์ที่ได้รับ ส่วนการจัดการค่าชดเชยพิเศษแทนการจัดสรรแปลงอพยพ ควรดำเนินการตามหลักเกณฑ์ที่เคยอนุมัติ โดยปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ มติคณะรัฐมนตรี หนังสือเวียนที่เกี่ยวข้อง และมาตรฐานของทางราชการให้ถูกต้องครบถ้วน รวมถึงการจ่ายค่าที่ดิน ค่าทดแทน ค่ารื้อย้าย ค่าอุทธรณ์ราคาค่าที่ดิน และค่าชดเชยพิเศษแทนการจัดสรรแปลงอพยพ ให้ถือตามมติคณะกรรมการกำหนดราคาค่าทดแทนทรัพย์สินเพื่อการชลประทาน คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์เงินค่าทดแทนอสังหาริมทรัพย์ และคณะกรรมการพิจารณากำหนดราคาค่าชดเชยพิเศษแทนการจัดสรรแปลงอพยพ เป็นที่สิ้นสุด และความเห็นของกระทรวงการคลังและคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐที่เห็นควรให้เพิ่มผู้แทนกรมธนารักษ์เป็นกรรมการในคณะกรรมการพิจารณากำหนดราคาค่าจ่ายชดเชยพิเศษแทนการจัดสรรแปลงอพยพ และเมื่อมีการจ่ายเงินชดเชยดังกล่าวแล้ว ให้ติดประกาศในที่สาธารณะ ได้แก่ ที่ว่าการอำเภอ และที่ทำการองค์การบริหารส่วนตำบล เป็นต้น เพื่อให้มีการตรวจสอบความถูกต้องจากภาคประชาชน รวมทั้งการดำเนินการทุกขั้นตอนการปฏิบัติจะต้องโปร่งใสและตรวจสอบได้ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||
23247 | ขออนุมัติเปลี่ยนแปลงรายการงานศึกษาและวิเคราะห์ความเหมาะสมและให้คำปรึกษาในการคัดเลือกเอกชนร่วมลงทุน โครงการทางหลวงพิเศษ ระหว่างเมืองส่วนต่อขยายทางยกระดับอุตราภิมุข ช่วงรังสิต - บางปะอิน ของกรมทางหลวง | คค | 21/07/2558 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้กรมทางหลวงเปลี่ยนแปลงรายการจากงานศึกษาและวิเคราะห์ความเหมาะสมและให้คำปรึกษาในการคัดเลือกเอกชนร่วมลงทุน โครงการทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองส่วนต่อขยายทางยกระดับอุตราภิมุข ช่วงรังสิต-บางปะอิน เป็นงานศึกษาและวิเคราะห์ความเหมาะสมแนวทางการให้เอกชนดำเนินงานและบำรุงรักษา (O&M) จำนวน ๒ โครงการ คือ โครงการทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง สายบางปะอิน-นครราชสีมา และโครงการทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง สายบางใหญ่-กาญจนบุรี ภายในกรอบวงเงินจำนวน ๔๐ ล้านบาท โดยผูกพันข้ามปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘-๒๕๖๐ รวมทั้งดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ มติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง และมาตรฐานของทางราชการ โดยพิจารณาประโยชน์สูงสุดของทางราชการเป็นสำคัญ ตลอดจนปฏิบัติตามประกาศหรือคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติให้ถูกต้องครบถ้วน และขอทำความตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณพร้อมกับดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างโดยด่วนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. อนุมัติยกเว้นการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒ มิถุนายน ๒๕๕๘ (รายงานสถานภาพ ภาพรวมด้านงบประมาณ ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘) จากการก่อหนี้ผูกพันภายในวันที่ ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๕๘ เป็นการก่อหนี้ผูกพันรายการงานศึกษาและวิเคราะห์ความเหมาะสมแนวทางการให้เอกชนดำเนินงานและบำรุงรักษา (O&M) โครงการทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง สายบางปะอิน-นครราชสีมา และโครงการทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง สายบางใหญ่-กาญจนบุรี ภายในวันที่ ๓๑ สิงหาคม ๒๕๕๘ ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๓. ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการศึกษาและวิเคราะห์ความเหมาะสมแนวทางการให้เอกชนดำเนินงานและบำรุงรักษา (O&M) โครงการทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง สายบางปะอิน-นครราชสีมา และโครงการทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง สายบางใหญ่-กาญจนบุรี ควรพิจารณาศึกษาให้มีความครอบคลุมเรื่องแนวทางบริหารจัดการใช้ประโยชน์พื้นที่สถานที่พักของผู้ใช้ทาง เพื่อเพิ่มรายได้เชิงพาณิชย์ให้กับโครงการดังกล่าว รวมทั้งพิจารณาแนวทางการบริหารเงินกองทุนค่าธรรมเนียมของโครงการทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหมายเลข ๗ (กรุงเทพ-ชลบุรี) เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดยเฉพาะการนำไปพัฒนาลงทุนก่อสร้างโครงข่ายทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองเส้นทางอื่น ๆ ภายใต้แผนแม่บทการพัฒนาทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||
23248 | ขออนุมัติเพิ่มวงเงินและขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ (โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการสุวรรณภูมิ จังหวัดกรุงเทพมหานคร) | ศธ | 21/07/2558 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติการเพิ่มวงเงินและขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ รายการค่าก่อสร้างอาคารเรียนแบบพิเศษ ๕ ชั้น พร้อมค่าถมดิน ให้แก่โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการสุวรรณภูมิ จังหวัดกรุงเทพมหานคร จำนวน ๑ หลัง วงเงิน ๘๒,๖๓๙,๖๖๔ บาท (จากเดิมวงเงิน ๘๑,๘๐๐,๐๐๐ บาท) ระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖-พ.ศ. ๒๕๕๙ (จากเดิม พ.ศ. ๒๕๕๖-พ.ศ. ๒๕๕๘) ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ โดยให้เบิกจ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖-พ.ศ. ๒๕๕๗ จำนวน ๓๕,๒๕๐,๐๐๐ บาท ส่วนที่ขาดอีก จำนวน ๔๗,๓๘๙,๖๖๔ บาท ให้เสนอขอจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณตามความจำเป็นต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงศึกษาธิการรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐที่เห็นควรให้มีการกำกับ ติดตามการดำเนินการก่อสร้างให้เป็นไปตามกรอบระยะเวลาอย่างเคร่งครัด มีประสิทธิภาพ เพื่อให้สามารถใช้ประโยชน์จากอาคารเรียนให้เอื้อต่อการจัดการศึกษาและการเรียนรู้ของผู้เรียน และในโอกาสต่อไปควรดำเนินการตรวจสอบสถานที่ที่จะก่อสร้างอาคารเรียนให้ละเอียดรอบคอบและกำหนดแบบรูปรายการที่มีความสมบูรณ์เพื่อให้การก่อสร้างอาคารแล้วเสร็จและสามารถใช้ประโยชน์ได้ตามระยะเวลาที่กำหนด ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||
23249 | การขอรับการจัดสรรงบประมาณเพื่อปรับขึ้นเงินเดือนร้อยละ 4 ให้กับพนักงานมหาวิทยาลัยที่จ้างโดยเงินงบประมาณแผ่นดิน | ศธ | 21/07/2558 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการให้สถาบันอุดมศึกษาที่เป็นส่วนราชการและมหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐได้รับจัดสรรงบประมาณเพื่อการปรับเพิ่มค่าใช้จ่ายในการจ้างพนักงานมหาวิทยาลัยที่จ้างโดยใช้เงินงบประมาณแผ่นดินในแนวทางเดียวกับการปรับปรุงค่าตอบแทนภาคราชการ ด้วยการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ รายการค่าใช้จ่ายการปรับบัญชีเงินเดือน ค่าจ้างและค่าตอบแทนรายเดือนของบุคลากรภาครัฐ เพิ่มในอัตราร้อยละ ๔ (ระหว่างวันที่ ๑ ธันวาคม ๒๕๕๗-๓๐ กันยายน ๒๕๕๘ รวมเป็นจำนวน ๑๐ เดือน) เป็นจำนวนเงิน ๘๐๙,๖๒๔,๔๓๕ บาท ให้กับพนักงานมหาวิทยาลัย จำนวน ๖๘,๗๐๗ คน โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ ๑ ธันวาคม ๒๕๕๗ ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ โดยให้ใช้จ่ายจากเงินรายได้ของมหาวิทยาลัย ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
||||||||||||||||||
23250 | ขออนุมัติผ่อนผันการปฏิบัติตามหลักเกณฑ์การก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณและมาตรการอื่นที่เกี่ยวข้อง รายการก่อสร้างอาคารเรียนรวมและปฏิบัติการคณะวิทยาศาสตร์ ของมหาวิทยาลัยขอนแก่น | ศธ | 21/07/2558 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้กระทรวงศึกษาธิการผ่อนผันการปฏิบัติตามหลักเกณฑ์การก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณและมาตรการอื่นที่เกี่ยวข้อง ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒ สำหรับรายการก่อสร้างอาคารเรียนรวมและปฏิบัติการ คณะวิทยาศาสตร์ ของมหาวิทยาลัยขอนแก่น ส่วนวงเงินค่าก่อสร้างอาคารดังกล่าวให้เป็นไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นควรเพิ่มวงเงินค่าก่อสร้างจากที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติให้ก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณไว้เดิม จำนวน ๔๘๙,๙๐๐,๐๐๐ บาท เป็นวงเงินค่าก่อสร้างใหม่ จำนวน ๔๙๕,๖๖๑,๖๐๐ บาท โดยให้ใช้จากเงินงบประมาณ จำนวน ๒๔๗,๘๓๐,๘๐๐ บาท โดยเบิกจ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ จำนวน ๓๔,๙๙๑,๖๐๐ บาท และงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ จำนวน ๓๔,๙๙๑,๘๐๐ บาท ส่วนที่ขาดอีก จำนวน ๑๗๗,๘๔๗,๔๐๐ บาท ให้เสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณต่อ ๆ ไป และใช้เงินนอกงบประมาณสมทบ จำนวน ๒๔๗,๘๓๐,๘๐๐ บาท ๒. ให้กระทรวงศึกษาธิการรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐที่ให้เสนอขอความเห็นชอบความเหมาะสมของราคาต่อสำนักงบประมาณก่อนลงนามในสัญญาตามระเบียบการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ และให้มีการกำกับ ติดตามการก่อสร้างอาคารให้เป็นไปตามกรอบระยะเวลาที่กำหนด ไปประกอบการพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. ให้สำนักงบประมาณรับข้อเสนอแนะของคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐในการซักซ้อมความเข้าใจกับส่วนราชการต่าง ๆ เกี่ยวกับการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒ (เรื่อง การปรับปรุงแก้ไขมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับหลักเกณฑ์การก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณและมาตรการอื่นที่เกี่ยวข้อง) ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||
23251 | ขอความเห็นชอบในหลักการเพิกถอนพื้นที่อุทยานแห่งชาติลำน้ำน่าน และขออนุมัติผ่อนผันให้กรมชลประทานเข้าทำประโยชน์เพื่อก่อสร้างโครงการอ่างเก็บน้ำห้วยน้ำรีอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดอุตรดิตถ์ | กษ | 21/07/2558 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการการเพิกถอนพื้นที่อุทยานแห่งชาติลำน้ำน่าน เนื้อที่ ๑,๗๖๕ ไร่ เพื่อก่อสร้างโครงการอ่างเก็บน้ำห้วยน้ำรีอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดอุตรดิตถ์ สำหรับการขอผ่อนผันให้กรมชลประทานเข้าใช้พื้นที่หรือให้องค์การอุตสาหกรรมป่าไม้เข้าทำไม้ได้นั้น ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์หารือร่วมกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเพื่อดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายและมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องซึ่งต้องตราพระราชกฤษฎีกาเพิกถอนพื้นที่อุทยานแห่งชาติลำน้ำน่านก่อนเข้าใช้พื้นที่ ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเร่งดำเนินการให้แล้วเสร็จโดยเร็วเพื่อประโยชน์ของรัฐ และให้นำความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรเร่งรัดการออกพระราชกฤษฎีกาเพิกถอนพื้นที่อุทยานแห่งชาติลำน้ำน่าน และให้กรมชลประทานประสานงานดำเนินการตามระเบียบ โดยให้กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช เป็นผู้กำกับดูแลการใช้พื้นที่ตั้งแต่แรกจนกระทั่งได้รับพื้นที่คืนจากกรมชลประทานตามข้อเสนอของคณะกรมการอุทยานแห่งชาติเพื่อไม่ให้เกิดการทำกิจกรรมใด ๆ ที่ไม่เหมาะสมส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศ เพื่อเป็นเงื่อนไขในการดำเนินการต่อไป |
||||||||||||||||||
23252 | แจ้งคำพิพากษาศาลปกครองกลางยกฟ้องคณะรัฐมนตรี (ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 6) ในคดีระหว่างนายนิพนธ์ เซ๊ะวิเศษ ที่ 1 กับพวกรวม 19 คน ผู้ฟ้องคดี บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) ที่ 1 กับพวกรวม 6 คน ผู้ถูกฟ้องคดี เรื่อง คดีพิพาทเกี่ยวกับการที่หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ ของรัฐกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติ และความรับผิดอย่างอื่นอันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมาย | อส | 21/07/2558 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามคำพิพากษาศาลปกครองกลางแจ้งคำพิพากษาศาลปกครองกลางยกฟ้องคณะรัฐมนตรี (ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๖) ในคดีระหว่างนายนิพนธ์ เซ๊ะวิเศษ ที่ ๑ กับพวกรวม ๑๙ คน ผู้ฟ้องคดี บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) ที่ ๑ กับพวกรวม ๖ คน ผู้ถูกฟ้องคดี เรื่อง คดีพิพาทเกี่ยวกับการที่หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติ และความรับผิดอย่างอื่นอันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมาย ตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอ
|
||||||||||||||||||
23253 | ขออนุมัติดำเนินการกำหนดหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการเบิกจ่ายค่าตอบแทนกำลังคนด้านสาธารณสุขของกระทรวงสาธารณสุข ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 26 และวันที่ 31 มีนาคม 2556 | สธ | 21/07/2558 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้กระทรวงสาธารณสุขดำเนินการกำหนดหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการเบิกจ่ายค่าตอบแทนกำลังคนด้านสาธารณสุข ของกระทรวงสาธารณสุข ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๖ และวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๕๖ เกี่ยวกับแนวทางการปรับปรุงการจ่ายค่าตอบแทนกำลังคนด้านสาธารณสุข และหลักเกณฑ์การเบิกจ่ายค่าเบี้ยเลี้ยงเหมาจ่าย โดยครอบคลุมตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๗ เป็นต้นไป ทั้งนี้ เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพและไม่เป็นภาระต่อสภาวะการคลังระดับประเทศจนเกินไป ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ และให้กระทรวงสาธารณสุขวางแผนการเบิกจ่ายเงินงบประมาณเพื่อไม่ให้มีการเบิกจ่ายค่าตอบแทนย้อนหลังอีก ๒. ให้กระทรวงสาธารณสุขรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงยุติธรรม สำนักงาน ก.พ. สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับการศึกษา วิเคราะห์ ข้อดี ข้อเสีย ของการจ่ายค่าตอบแทน และจัดทำระบบและอัตราค่าตอบแทนที่เหมาะสม เป็นธรรม และเป็นที่ยอมรับของบุคลากรสาธารณสุขทุกวิชาชีพ การกำหนดหลักเกณฑ์การจ่ายค่าตอบแทนเบี้ยเลี้ยงเหมาจ่ายในพื้นที่และหลักการจ่ายค่าตอบแทนตามผลการปฏิบัติงาน (P4P) โดยการปรับอัตราการจ่ายค่าตอบแทนบางวิชาชีพให้เพิ่มขึ้นตามความเหมาะสม และหาข้อสรุปที่ชัดเจน ข้อดี ข้อเสีย และผลกระทบของการดำเนินการจ่ายค่าตอบแทนตามผลการปฏิบัติงาน (P4P) โดยนำหลักเกณฑ์การจ่ายค่าตอบแทนมาใช้ การศึกษารูปแบบที่เหมาะสมในการจ่ายค่าตอบแทนเพื่อแก้ปัญหาการขาดแคลนบุคลากรด้านสาธารณสุขให้สามารถทำงานในพื้นที่ห่างไกลได้อย่างแท้จริง การเร่งรัดดำเนินการหาข้อสรุปผลการศึกษาหลักเกณฑ์การจ่ายค่าตอบแทนเบี้ยเลี้ยงเหมาจ่ายในพื้นที่และค่าตอบแทนตามผลการปฏิบัติงานที่เหมาะสม เป็นธรรม และสอดคล้องกับภาระงาน และค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น รวมทั้งการพิจารณาภาระรายจ่ายในภาพรวมเปรียบเทียบกับภาระรายจ่ายเดิมเพื่อนำไปสู่การกำหนดแหล่งเงินที่เหมาะสมและคำนึงถึงความเหลื่อมล้ำระหว่างวิชาชีพ พื้นที่ อายุงาน ตลอดจนการประเมินในประเด็นที่สำคัญ เช่น ผลลัพธ์ด้านคุณภาพการให้บริการ การกำหนดประเภทกิจกรรมและแนวทางบริหารค่าตอบแทนที่สะท้อนประสิทธิภาพของการปฏิบัติงาน หลักเกณฑ์การจ่ายค่าตอบแทนที่สัมพันธ์กับการแก้ปัญหาความขาดแคลนบุคลากร เป็นต้น ไปประกอบการพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||
23254 | รายงานผลการดำเนินงานการกำกับดูแลการจ่ายเงินช่วยเหลือชาวไร่อ้อยในฤดูการผลิตปี 2556/2557 (ประจำเดือนมิถุนายน 2558) | อก | 21/07/2558 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการดำเนินการกำกับดูแลการจ่ายเงินช่วยเหลือชาวไร่อ้อยในฤดูการผลิตปี ๒๕๕๖/๒๕๕๗ ของคณะกรรมการกำกับดูแลการจ่ายเงินช่วยเหลือชาวไร่อ้อยในฤดูการผลิตปี ๒๕๕๖/๒๕๕๗ ประจำเดือนมิถุนายน ๒๕๕๘ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ณ วันที่ ๑๗ มิถุนายน ๒๕๕๘ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรได้โอนเงินเพิ่มราคาอ้อยขั้นต้น ๑๖๐ บาท/ตันอ้อย ฤดูการผลิตปี ๒๕๕๖/๒๕๕๗ เข้าบัญชีชาวไร่อ้อยแล้ว รวมทั้งสิ้น ๒๓ งวด คิดเป็นปริมาณอ้อย ๑๐๓,๖๕๗,๗๐๙.๖๕๕ ตัน จำนวนเงินทั้งสิ้น ๑๖,๕๘๕,๒๓๓,๕๔๔.๘๐๐ บาท หรือคิดเป็นร้อยละ ๙๙.๙๙ ของวงเงินที่จะต้องจ่ายทั้งหมด ส่วนชาวไร่อ้อยส่วนที่เหลือที่ยังไม่ได้รับเงินช่วยเหลือ แบ่งเป็น (๑) ชาวไร่อ้อยไม่ขอรับสิทธิการช่วยเหลือ จำนวน ๒๐๙ ราย จากเดิมที่เคยรายงานต่อคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒ มิถุนายน ๒๕๕๘ จำนวน ๖๑ ราย จำนวนรวมทั้งสิ้น ๒๗๐ ราย และ (๒) คณะทำงานควบคุมการผลิตประจำโรงงานไม่ได้แจ้งข้อมูลหรือเหตุผลเพื่อขอรับ/ไม่รับเงินช่วยเหลือ จำนวน ๑๐๓ ราย หากชาวไร่อ้อยแจ้งขอรับการช่วยเหลือภายหลังเดือนมิถุนายน ๒๕๕๘ โดยมีข้อมูลและเอกสารหลักฐานครบถ้วน สำนักงานกองทุนอ้อยและน้ำตาลทรายจะดำเนินการจ่ายเงินเพิ่มราคาอ้อยขั้นต้น ๑๖๐ บาท/ตันอ้อย ให้ชาวไร่อ้อยดังกล่าว โดยขออนุมัติต่อคณะกรรมการบริหารกองทุน ใช้งบประมาณของสำนักงานกองทุนอ้อยและน้ำตาลทรายในการจ่ายเงินเพิ่มราคาอ้อยดังกล่าว ๒. กระทรวงอุตสาหกรรม โดยสำนักงานกองทุนอ้อยและน้ำตาลทรายได้ดำเนินการปิดบัญชีการจ่ายเงินเพิ่มราคาอ้อยขั้นต้น ๑๖๐ บาท/ตันอ้อย ฤดูการผลิตปี ๒๕๕๖/๒๕๕๗ ของชาวไร่อ้อยที่แจ้งความประสงค์ไม่ขอรับสิทธิการช่วยเหลือ จำนวน ๒๗๐ ราย และชาวไร่อ้อยที่ยังไม่มีการแจ้งข้อมูลการขอรับ/ไม่รับเงินช่วยเหลือ จำนวน ๑๐๓ ราย เรียบร้อยแล้ว
|
||||||||||||||||||
23255 | โครงการจุดเคาน์เตอร์บริการอำเภอ..ยิ้มของกรมการปกครอง | มท | 21/07/2558 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงมหาดไทยรายงานการดำเนินโครงการจุดเคาน์เตอร์บริการอำเภอ..ยิ้มของกรมการปกครอง สรุปได้ ดังนี้
๑. กระทรวงมหาดไทย โดยกรมการปกครองได้มีการดำเนินโครงการจุดเคาน์เตอร์บริการอำเภอ..ยิ้ม เพื่อนำงานบริการของที่ทำการปกครองอำเภอ เช่น งานบัตรประจำตัวประชาชน งานทะเบียนราษฎร งานทะเบียนทั่วไป และงานศูนย์ดำรงธรรม รวมถึงหน่วยงานภาครัฐอื่น เช่น การไฟฟ้า การประปา ฯลฯ ไปบริการประชาชนในพื้นที่ที่เป็นแหล่งชุมชนหนาแน่นหรือในห้างสรรพสินค้าซึ่งเป็นการอำนวยความสะดวกให้กับประชาชนในลักษณะศูนย์บริการร่วมในศูนย์การค้า (Government Service Point) จำนวน ๒๘ แห่ง ใน ๒๗ จังหวัด ๒. กระทรวงมหาดไทยได้กำหนดแนวทางการขยายจุดเคาน์เตอร์บริการอำเภอ..ยิ้ม เพื่อให้บริการประชาชนในจังหวัดต่าง ๆ สามารถจัดตั้งได้ ๒ กรณี ประกอบด้วย การริเริ่มจัดตั้งของทางราชการโดยงบประมาณของจังหวัด หรืองบประมาณของกรมการปกครอง และการร้องขอโดยภาคเอกชนโดยใช้งบประมาณของเอกชน ซึ่งในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ได้มีจังหวัดขอจัดตั้งจุดเคาน์เตอร์บริการอำเภอ..ยิ้ม เพิ่มเติมจำนวน ๔ จังหวัด ได้แก่ จังหวัดยโสธร นครพนม สุรินทร์ และพัทลุง ซึ่งขณะนี้ จังหวัดยโสธรจัดตั้งเสร็จเรียบร้อย สำหรับอีก ๓ จังหวัดอยู่ระหว่างการดำเนินงานตามขั้นตอนการจัดตั้งจุดเคาน์เตอร์บริการอำเภอ..ยิ้ม |
||||||||||||||||||
23256 | คำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 20/2558 เรื่อง ระงับการสรรหาและคัดเลือกบุคคลเพื่อเสนอชื่อเป็นกรรมการปฏิรูปกฎหมาย | สลธ.คสช. | 21/07/2558 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ ๒๐/๒๕๕๘ เรื่อง ระงับการสรรหาและคัดเลือกบุคคลเพื่อเสนอชื่อเป็นกรรมการปฏิรูปกฎหมาย ลงวันที่ ๑๕ กรกฎาคม ๒๕๕๘ ตามที่สำนักเลขาธิการคณะรักษาความสงบแห่งชาติเสนอ ดังนี้
๑. ให้ระงับการสรรหาและคัดเลือกบุคคลเพื่อเสนอชื่อเป็นกรรมการปฏิรูปกฎหมายตามพระราชบัญญัติคณะกรรมการปฏิรูปกฎหมาย พ.ศ. ๒๕๕๓ ไปจนกว่าจะมีคำสั่งเป็นอย่างอื่น ๒. ให้กรรมการปฏิรูปกฎหมายที่อยู่ในตำแหน่งจนครบวาระไปแล้ว แต่ยังคงปฏิบัติหน้าที่ต่อไปตามมาตรา ๑๒ แห่งพระราชบัญญัติคณะกรรมการปฏิรูปกฎหมาย พ.ศ. ๒๕๕๓ พ้นจากตำแหน่งตั้งแต่วันที่คำสั่งนี้ใช้บังคับ ๓. ในระหว่างที่ยังไม่มีคณะกรรมการปฏิรูปกฎหมาย ให้สำนักงานคณะกรรมการปฏิรูปกฎหมายสนับสนุนการปฏิบัติหน้าที่ของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา หรือปฏิบัติหน้าที่อื่นใดตามที่นายกรัฐมนตรีมอบหมาย โดยอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของนายกรัฐมนตรี
|
||||||||||||||||||
23257 | รายงานผลการดำเนินงานบริหารการลงทุน กองทุนประกันสังคม ประจำปี 2557 | รง | 21/07/2558 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินงานบริหารการลงทุน กองทุนประกันสังคม ประจำปี ๒๕๕๗ ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ณ วันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๗ มีสถานประกอบการขึ้นทะเบียนกับกองทุนประกันสังคม จำนวน ๔๒๒,๗๔๘ แห่ง และมีผู้ประกันตนที่อยู่ในความคุ้มครองกองทุนประกันสังคมทั้งสิ้น ๑๓,๖๒๕,๖๕๘ คน กองทุนประกันสังคมมีเงินลงทุน จำนวน ๑,๒๕๑,๘๕๙ ล้านบาท แบ่งลงทุนในหลักทรัพย์ที่มีความมั่นคงสูง ได้แก่ พันธบัตรรัฐบาล พันธบัตรรัฐวิสาหกิจที่มีกระทรวงการคลังค้ำประกัน และหุ้นกู้เอกชน จำนวน ๙๘๔,๑๐ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๗๙ ของเงินลงทุน และลงทุนในหลักทรัพย์ที่มีความเสี่ยง ได้แก่ เงินฝากธนาคาร ตราสารหนี้อื่น ๆ หน่วยลงทุน และหุ้นสามัญ จำนวน ๒๖๗,๐๔๙ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๒๑ ของเงินลงทุน ๒. แผนการลงทุนในอนาคต คณะกรรมการประกันสังคมได้มีมติเห็นชอบแผนการลงทุนกองทุนประกันสังคม ซึ่งมีทั้งแผนยุทธศาสตร์ระยะยาว (๕ ปี) และแผนการลงทุนประจำปี ได้แก่ (๑) แผนยุทธศาสตร์ด้านการลงทุนฉบับที่ ๓ (พ.ศ. ๒๕๕๗-๒๕๖๑) โดยให้มีการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงมากขึ้นเพื่อเพิ่มผลตอบแทนให้แก่กองทุนเป็นร้อยละ ๕.๕ โดยเพิ่มการลงทุนในหุ้นและสินทรัพย์ทางเลือก และกระจายการลงทุนสู่ต่างประเทศ และ (๒) แผนการลงทุนกองทุนประกันสังคมประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๘ ได้จัดสรรเงินลงทุนในประเทศไทย จำนวนประมาณ ๑๕๖,๐๐๐ ล้านบาท โดยเน้นลงทุนตราสารหนี้ระยะยาว (ได้แก่ พันธบัตรรัฐบาล พันธบัตรรัฐวิสาหกิจที่กระทรวงการคลังค้ำประกัน ฯลฯ) และตราสารทุน การลงทุนทางเลือก (ได้แก่ กองทรัสต์เพื่อลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ กองทุนโครงสร้างพื้นฐาน ฯลฯ) และเงินฝากโครงการทางสังคม
|
||||||||||||||||||
23258 | ผลการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาบาเซล สมัยที่ 12 การประชุมรัฐภาคีอนุสัญญารอตเตอร์ดัมฯ สมัยที่ 7 และการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาสตอกโฮล์มฯ สมัยที่ 7 | ทส | 21/07/2558 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาบาเซลว่าด้วยการควบคุมการเคลื่อนย้ายข้ามแดนของของเสียอันตรายและการกำจัด สมัยที่ ๑๒ การประชุมรัฐภาคีอนุสัญญารอตเตอร์ดัมว่าด้วยกระบวนการแจ้งข้อมูลสารเคมีล่วงหน้าสำหรับสารเคมีอันตรายและสารเคมีป้องกันกำจัดศัตรูพืชและสัตว์บางชนิดในการค้าระหว่างประเทศ สมัยที่ ๗ และการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาสตอกโฮล์มว่าด้วยสารมลพิษที่ตกค้างยาวนาน สมัยที่ ๗ ระหว่างวันที่ ๔-๑๕ พฤษภาคม ๒๕๕๘ ณ นครเจนีวา สมาพันธรัฐสวิส ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ผลการประชุมสรุปได้ ดังนี้
๑. ที่ประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาบาเซลฯ สมัยที่ ๑๒ มีมติเห็นชอบกรอบแผนงานที่เกี่ยวข้องด้านการจัดการอย่างเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมสำหรับของเสียอันตรายและของเสียอื่น รวมทั้งรับรอง Roadmap สำหรับแผนการดำเนินงานเพื่อการปฏิบัติตามปฏิญญาคาร์ตาเฮนาและรับรองแนวทางด้านเทคนิควิชาการสำหรับการจัดการของเสียอันตรายที่เกี่ยวข้อง ๒. ที่ประชุมรัฐภาคีอนุสัญญารอตเตอร์ดัมฯ สมัยที่ ๗ มีมติแก้ไขภาคผนวก III ของอนุสัญญารอตเตอร์ดัมฯ โดยการบรรจุรายชื่อสาร methamidophos เพิ่มเติม โดยให้มีผลบังคับใช้ในวันที่ ๑๕ กันยายน ๒๕๕๘ ซึ่งภาคีสมาชิกจะต้องดำเนินการแจ้งท่าทีตอบรับนำเข้า (Import response) ตามพันธกรณีในข้อบทที่ ๑๐ ของอนุสัญญาฯ กล่าวคือ ยินยอมให้นำเข้า ไม่ยินยอมให้นำเข้า หรือยินยอมให้นำเข้าภายใต้เงื่อนไข โดยพิจารณาตัดสินใจบนพื้นฐานของมาตรการด้านกฎหมายภายในประเทศ ๓. ที่ประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาสตอกโฮล์มฯ ฉบับที่ ๗ มีมติให้แก้ไขภาคผนวก เอ ของอนุสัญญาฯ โดยบรรจุรายชื่อสารเคมี ๓ ชนิด คือ (๑) สาร hexachlorobutadiene โดยไม่มีข้อยกเว้นพิเศษ (๒) สาร chlorinated naphthalenes โดยมีข้อยกเว้นพิเศษสำหรับเป็นสารตัวกลางในการผลิต Polyfluorinated naphthalenes และ (๓) สาร pentachlorophenol and its salts and esters โดยมีข้อยกเว้นพิเศษสำหรับการผลิตและการใช้งานในเสาไฟฟ้าและแขนกางเขนของเสาไฟฟ้า ซึ่งภาคีสมาชิกจะต้องดำเนินมาตรการในการห้ามผลิต ห้ามใช้ และกำจัดสารดังกล่าวให้หมดไป รวมทั้งเห็นชอบให้ปรับปรุงแก้ไขภาคผนวก ซี ของอนุสัญญาฯ โดยบรรจุรายชื่อสาร chlorinated naphthalenes ซึ่งภาคีสมาชิกจะต้องดำเนินมาตรการเพื่อลดและเลิกการปลดปล่อยสารดังกล่าวโดยไม่จงใจ
|
||||||||||||||||||
23259 | ร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสำหรับสาขาวิชา ครุยวิทยฐานะ และเข็มวิทยฐานะของมหาวิทยาลัยรามคำแหง พ.ศ. .... | ศธ | 21/07/2558 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสำหรับสาขาวิชา ครุยวิทยฐานะ และเข็มวิทยฐานะของมหาวิทยาลัยรามคำแหง พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสำหรับสาขาวิชา ครุยวิทยฐานะ สีประจำคณะและสาขาวิชา รวมทั้งเข็มวิทยฐานะของมหาวิทยาลัยรามคำแหง และให้ดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||
23260 | ร่างข้อบังคับสภาทหารผ่านศึก ว่าด้วยการสงเคราะห์ผู้ปฏิบัติงานและครอบครัว (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | กห | 21/07/2558 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการร่างข้อบังคับสภาทหารผ่านศึก ว่าด้วยการสงเคราะห์ผู้ปฏิบัติงานและครอบครัว (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมให้ผู้ปฏิบัติงานมีสิทธิในการขอกู้เงินจากกองทุนสงเคราะห์ประเภทการสวัสดิการ เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนรวมทั้งสิ้นจากเดิม “ไม่เกินเก้าเท่าของเงินเดือนหรือค่าจ้าง” เป็น “ไม่เกินสิบห้าเท่าของเงินเดือนหรือค่าจ้าง” เพื่อให้การช่วยเหลือด้านสวัสดิการแก่ผู้ปฏิบัติงาน ตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
.....