ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 23 จากทั้งหมด 97 หน้า แสดงรายการที่ 441 - 460 จากข้อมูลทั้งหมด 1930 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
441 | ร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างกรมสอบสวนคดีพิเศษกับกระทรวงตรวจคนเข้าเมืองและพิทักษ์เขตแดนแห่งเครือรัฐออสเตรเลีย (ร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการเปิดเผยและการใช้ข้อมูล) | ยธ | 02/05/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการเปิดเผยและการใช้ข้อมูลระหว่างกรมสอบสวนคดีพิเศษ (Department of Special Investigation : DSI) แห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงตรวจคนเข้าเมืองและการป้องกันเขตแดนแห่งเครือรัฐออสเตรเลีย ซึ่งได้กำหนดรายละเอียดเกี่ยวกับข้อตกลงในการเปิดเผยและการใช้ข้อมูลระหว่างกัน เช่น เทคนิคการสืบสวนสอบสวน วิธีการและแนวโน้มของการกระทำผิด การละเมิดกฎหมายยาเสพติด พิธีการศุลกากร การตรวจคนเข้าเมือง กฎหมายอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับอาชญากรรมข้ามชาติ เป็นต้น และให้อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษเป็นผู้ลงนามในบันทึกความเข้าใจฯ ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ ๒. ให้กระทรวงยุติธรรมรับความเห็นของสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติที่เห็นว่า ร่างบันทึกความเข้าใจฯ มีความเกี่ยวข้องกับข้อมูลของหลายหน่วยงาน เช่น กรมศุลกากร สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด และสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ดังนั้น หากมีการลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจฯ กรมสอบสวนคดีพิเศษควรชี้แจงและทำความเข้าใจกับหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้องเพื่อให้การประสานการปฏิบัติเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งควรมีการทบทวนและปรับแก้ไขคำแปลร่างบันทึกความเข้าใจฯ ให้มีความละเอียดรอบคอบมากขึ้น เนื่องจากต้นฉบับคำแปลภาษาไทยบางข้อความยังมีความคลาดเคลื่อนในสาระสำคัญ โดยควรทบทวนคำแปลและเจตนารมณ์ของร่างบันทึกความเข้าใจฯ ของไทยเป็นเบื้องต้นก่อน หากมีความชัดเจนแล้ว อาจทำความเข้าใจกับฝ่ายออสเตรเลียอีกครั้งหนึ่งให้มีความเห็นในประเด็นดังกล่าวตรงกัน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างบันทึกความเข้าใจฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงยุติธรรมดำเนินการได้โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
442 | การยุติการดำเนินคดีแพ่งของส่วนราชการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง | ยธ | 02/05/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมคณะกรรมการพิจารณาชี้ขาดการยุติในการดำเนินคดีแพ่งของส่วนราชการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง (กยพ.) ซี่งได้พิจารณาตัดสินชี้ขาดข้อพิพาทระหว่างกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา(กยศ.) กับสถานศึกษาของรัฐ กรณีสถานศึกษาของรัฐไม่ปฏิบัติตามหน้าที่ที่กำหนดในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือระหว่างกองทุนเงินกู้ยืมเพื่อการศึกษาที่ผูกกับรายได้ในอนาคต (กรอ.) และไม่จัดส่งคำขอรับทุนการศึกษาของนักศึกษาแก่ กรอ. ตั้งแต่ปี ๒๕๔๙ ทำให้ กรอ. ได้รับความเสียหาย ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ในฐานะประธาน กยพ. เสนอ และแจ้งให้สำนักงานอัยการสูงสุดส่งเรื่องคืนตัวความหรือส่งคำตัดสินชี้ขาดและมติคณะรัฐมนตรีในเรื่องนี้ให้คู่กรณีทราบและถือปฏิบัติต่อไป ๒. ให้กระทรวงการคลังและกระทรวงศึกษาธิการรับข้อสังเกตของ กยพ. เกี่ยวกับกรณีข้อพิพาทระหว่าง กยศ. กับสถานศึกษาของรัฐที่ไม่ปฏิบัติตามหน้าที่ที่กำหนดในบันทึกข้อตกลงดังกล่าว และไม่จัดส่งคำขอรับทุนการศึกษาของนักศึกษาแก่ กรอ. นั้น ยังมีอีกหลายคดีที่จะส่งไปยังสำนักงานอัยการสูงสุดเพื่อดำเนินการตัดสินชี้ขาด ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อนโยบายของรัฐบาลที่ให้ กยศ. เป็นกลไกสำคัญของรัฐบาลที่ให้การสนับสนุนการขยายโอกาสและพัฒนาการศึกษาของประเทศ และมีการบูรณาการการบริหารจัดการ กยศ. ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
443 | ขอเสนออัตราค่าเบี้ยประชุมและประโยชน์ตอบแทนอื่นของคณะกรรมการคุมประพฤติ | ยธ | 25/04/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติอัตราค่าเบี้ยประชุมและประโยชน์ตอบแทนอื่นของคณะกรรมการคุมประพฤติ ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ ดังนี้
๑. ให้คณะกรรมการคุมประพฤติได้รับค่าเบี้ยประชุมเป็นรายครั้งเฉพาะกรรมการที่มาประชุมไม่เกิน ๑ ครั้งต่อเดือน โดยประธานกรรมการได้รับค่าเบี้ยประชุมครั้งละ ๗,๕๐๐ บาท กรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิได้รับค่าเบี้ยประชุมครั้งละ ๖,๐๐๐ บาท ทั้งนี้ ในกรณีที่ประธานกรรมการไม่สามารถเข้าร่วมประชุมได้ ให้ผู้ซึ่งทำหน้าที่ประธานในที่ประชุมได้รับเบี้ยประชุมในอัตราเดียวกับประธานกรรมการ ๒. ให้คณะกรรมการคุมประพฤติสามารถเบิกค่าใช้จ่ายในการเข้าร่วมประชุมเป็นค่าที่พักและค่าพาหนะทั้งก่อน ระหว่าง และหลังการประชุม ทั้งนี้ ตามอัตราที่กำหนดตามพระราชกฤษฎีกาค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการที่กระทรวงการคลังกำหนด
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
444 | รายงานผลการประชุมระดับรัฐมนตรี ว่าด้วยแผนความช่วยเหลือสำหรับแผนปฏิบัติการเพื่อแก้ไขปัญหายาเสพติดในพื้นที่สามเหลี่ยมทองคำกับประเทศ/องค์กรผู้ให้ และการเสนอวีดีทัศน์สรุปผลการประชุมฯ ต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรี | ยธ | 11/04/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการประชุมระดับรัฐมนตรี ว่าด้วยแผนความช่วยเหลือสำหรับแผนปฏิบัติการเพื่อแก้ไขปัญหายาเสพติดในพื้นที่สามเหลี่ยมทองคำกับประเทศ/องค์กรผู้ให้ และการเสนอวีดิทัศน์สรุปผลการประชุมฯ ต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรี โดยการประชุมฯ จัดขึ้นระหว่างวันที่ ๒๘ กุมภาพันธ์-๓ มีนาคม ๒๕๖๐ ณ จังหวัดเชียงรายและจังหวัดเชียงใหม่ มีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมเป็นประธานพิธีเปิดการประชุมฯ และเป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทยทำหน้าที่ประธานที่ประชุมฯ ซึ่งที่ประชุมฯ ได้มีมติเห็นชอบกับแผนปฏิบัติการสามเหลี่ยมทองคำที่มุ่งเน้นการดำเนินการแก้ไขปัญหาที่ตรงจุดและครอบคลุมต่อพื้นที่แหล่งผลิตในสามเหลี่ยมทองคำและการลดศักยภาพของพื้นที่ดังกล่าวจนไม่เป็นภัยต่อประเทศทั้งในและนอกภูมิภาค และเห็นชอบต่อข้อเสนอของไทยเกี่ยวกับแผนความช่วยเหลือสำหรับปฏิบัติการสามเหลี่ยมทองคำเพื่อประเทศสมาชิกแผนปฏิบัติการแม่น้ำโขงปลอดภัย ได้แก่ สปป.ลาว เมียนมา กัมพูชา และเวียดนาม ทั้งนี้ ในช่วงหลังจากการประชุมฯ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมได้หารือทวิภาคีอย่างไม่เป็นทางการกับเมียนมา โดยมีประเด็นหารือเกี่ยวกับการยกระดับความร่วมมือด้านการปราบปรามยาเสพติด โดยเฉพาะการพิจารณาจัดกำลังปฏิบัติการในพื้นที่เสี่ยงชายแดนไทย-เมียนมา รวมทั้งได้หารือทวิภาคีกับรองประธานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดของกัมพูชา โดยฝ่ายไทยยินดีแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารและสนับสนุนการพัฒนาศักยภาพการปราบปรามยาเสพติด รวมถึงความรู้วิชาการด้านการบำบัดรักษาให้กับเจ้าหน้าที่ของกัมพูชา ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
445 | ขออนุมัติสั่งจ้างก่อสร้างเรือนจำกลางเพชรบุรี พร้อมส่วนประกอบ 1 แห่ง ด้วยวิธีประกวดราคาอิเล็กทรอนิกส์ (e-bidding) | ยธ | 28/03/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณสำหรับรายการงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ ที่มีวงเงินรวมตั้งแต่ ๑,๐๐๐ ล้านบาทขึ้นไป ของกรมราชทัณฑ์ รายการก่อสร้างเรือนจำกลางเพชรบุรี พร้อมส่วนประกอบ จำนวน ๑ แห่ง ในวงเงิน ๑,๔๗๔,๐๐๐,๐๐๐ บาท โดยก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙-พ.ศ. ๒๕๖๒ ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
446 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์หรืออุปกรณ์อื่นใดในการติดตามตัวผู้ถูกคุมความประพฤติ พ.ศ. .... | ยธ | 28/03/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์หรืออุปกรณ์อื่นใดในการติดตามตัวผู้ถูกคุมความประพฤติ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์หรืออุปกรณ์อื่นใดในการติดตามตัวผู้ถูกคุมความประพฤติ เพื่อประโยชน์ในการดำเนินมาตรการควบคุมความประพฤติแบบไม่ควบคุมตัวให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงยุติธรรมรับความเห็นของสำนักงาน ก.พ. และสำนักงบประมาณเกี่ยวกับการจัดอัตรากำลังเพื่อรองรับภารกิจตามร่างกฎกระทรวงฯ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
447 | บันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐอินเดียว่าด้วยความร่วมมือในการควบคุมยาเสพติด วัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท สารตั้งต้นและเคมีภัณฑ์ และการใช้ยาในทางที่ผิด | ยธ | 28/03/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐอินเดีย ว่าด้วยความร่วมมือในการควบคุมยาเสพติด วัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท สารตั้งต้นและเคมีภัณฑ์ และการใช้ยาในทางที่ผิด ฉบับปรับปรุงใหม่ มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดกรอบความร่วมมือในภาพกว้างระบุขอบเขตความร่วมมือร่วมกันในทุกมาตรการ ทั้งด้านการลดอุปสงค์และอุปทานของยาเสพติด การบำบัดรักษาและฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติด การตรวจพิสูจน์ยาเสพติด การแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ทางวิชาการ รวมถึงวิธีปฏิบัติที่ดีที่สุดของทั้งสองประเทศ โดยจะมีการลงนามบันทึกความเข้าใจฯ ระหว่างการเยือนสาธารณรัฐอินเดียของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ๑.๒ อนุมัติให้เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ในฐานะหัวหน้าหน่วยงานกลางด้านยาเสพติดของไทยเป็นผู้ลงนามในบันทึกความเข้าใจฯ ฝ่ายไทย ๑.๓ มอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด หรือบุคคลที่อยู่ในระดับเทียบเท่ากับผู้ลงนามในบันทึกความเข้าใจฯ ของฝ่ายอินเดีย เป็นผู้ลงนามในบันทึกความเข้าใจฯ ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างบันทึกความเข้าใจฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงยุติธรรม (สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด) ดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
448 | สรุปผลการปฏิบัติการภายใต้โครงการแม่น้ำโขงปลอดภัย 2559 และการนำเสนอวีดิทัศน์สรุปผลการปฏิบัติการฯ ต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรี | ยธ | 21/03/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการปฏิบัติการภายใต้โครงการแม่น้ำโขงปลอดภัย ๒๕๕๙ ตามที่กระทรวงยุติธรรม โดยสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดเสนอ สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
๑. ผลการปฏิบัติการตามแผนปฏิบัติการฯ (๑) ไทยรับเป็นเจ้าภาพศูนย์ประสานงานแม่น้ำโขงปลอดภัย (ศปง.มข.) ช่วง ๖ เดือนแรก ของปี ๒๕๕๙ ระหว่างเดือนมกราคม-มิถุนายน ๒๕๕๙ และจีนรับเป็นเจ้าภาพต่อในช่วง ๖ เดือนหลังของปี ระหว่างเดือนกรกฎาคม-ธันวาคม ๒๕๕๙ ซึ่งสมาชิกทั้ง ๖ ประเทศ (จีน เมียนมา ลาว ไทย กัมพูชา และเวียดนาม) ได้ส่งเจ้าหน้าที่ประเทศละ ๒ คน มาร่วมปฏิบัติหน้าที่ประจำ ณ ศปง.มข. จังหวัดเชียงใหม่ และ ศปง.มข. เมืองจิ่งหง สิบสองปันนา มณฑลยูนนาน โดยเน้นการทำงานร่วมกันในด้านการประสานข้อมูลทางคดีที่มีการจับกุมของแต่ละประเทศ การขยายผลการจับกุมไปยังประเทศสมาชิก การบันทึกข้อมูลลงในระบบฐานข้อมูล การแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร การสนับสนุนอุปกรณ์เครื่องมือที่จำเป็นให้กับบางประเทศ การจัดประชุมทางไกลผ่านจอภาพ การตรวจพื้นที่ตามแนวชายแดน และการร่วมประชุมประสานงานด้านการข่าว และ (๒) การจัดประชุมหารือการข่าว (Morning Brief) เพื่อรับทราบสถานการณ์ปัจจุบันระหว่างเจ้าหน้าที่ฝ่ายต่าง ๆ ของ ศปง.มข. และเจ้าหน้าที่ประสานงาน ๖ ประเทศ โดยมีการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร การสืบสวน การจับกุม และการปฏิบัติภารกิจร่วมกัน รวมทั้งรายงานหน่วยต้นสังกัดของแต่ละประเทศทราบ ๒. ผลการจับกุมยาเสพติด สารตั้งต้นและเคมีภัณฑ์ สามารถจับกุมคดียาเสพติด ๖,๗๖๕ คดี ผู้ต้องหา ๑๐,๖๑๘ คน ยึดสารตั้งต้นและสารเคมี ๗๘,๐๘๔ กิโลกรัม ของกลางยาบ้ากว่า ๑๐๒ ล้านเม็ด ไอซ์ ๒,๙๕๙ กิโลกรัม และเฮโรอีน ๒,๔๗๘ กิโลกรัม ส่วนการสกัดกั้นเคมีภัณฑ์ สามารถลดปริมาณการผลิตยาเสพติดได้จำนวนมาก โดยสกัดกั้นคาเฟอีน ๑๙,๔๗๕ กิโลกรัม กรดไฮโดรคลอลิก ๓,๑๘๓ ลิตร และกรดซัลฟูลิก ๒๘๐ ลิตร สามารถยับยั้งการผลิตยาบ้าได้ ๖๗๑ ล้านเม็ด และยับยั้งการผลิตไอซ์ได้ ๖,๙๒๖ กิโลกรัม ๓. ประเทศสมาชิกได้ร่วมกันกำหนดแนวทางการขับเคลื่อนแผนปฏิบัติการฯ ระยะต่อไป โดยกำหนดให้มีการวางระบบการปฏิบัติและการรายงานสำหรับ ๖ ประเทศร่วมกัน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและขยายขอบเขตการดำเนินการของโครงการแม่น้ำโขงปลอดภัย รวมทั้งได้ร่วมกันวิเคราะห์สถานการณ์ยาเสพติดภาพรวมทั้ง ๖ ประเทศในบริเวณพื้นที่แม่น้ำโขงจนสามารถกำหนดพื้นที่ปัญหาและแนวทางการดำเนินการสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อปัญหาการผลิต การค้า และการลำเลียงยาเสพติด รวม ๑๑ พื้นที่ ดังนั้น ประเทศสมาชิกได้ร่วมกันจัดทำ “แผนปฏิบัติการปิดล้อมแหล่งผลิตในสามเหลี่ยมทองคำ” ภายใต้แผนปฏิบัติการฯ เพื่อใช้เป็นกรอบการดำเนินการในปี ๒๕๖๐ ต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
449 | แต่งตั้งผู้รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม | ยธ | 07/03/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (พลเอก อนันตพร กาญจนรัตน์) เป็นผู้รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ในกรณีที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมไม่อาจปฏิบัติราชการได้ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๗ มีนาคม ๒๕๖๐) เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
450 | ร่างกฎกระทรวงแบบบัตรประจำตัวพนักงานคุมประพฤติ พ.ศ. .... และร่างกฎกระทรวงแบบบัตรประจำตัวอาสาสมัครคุมประพฤติ พ.ศ. .... | ยธ | 14/02/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงแบบบัตรประจำตัวพนักงานคุมประพฤติ พ.ศ. .... และร่างกฎกระทวงแบบบัตรประจำตัวอาสาสมัครคุมประพฤติ พ.ศ. .... รวม ๒ ฉบับ มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดแบบบัตรประจำตัวพนักงานคุมประพฤติและอาสาสมัครคุมประพฤติ เพื่อให้พนักงานคุมประพฤติและอาสาสมัครคุมประพฤติแสดงบัตรประจำตัวต่อบุคคลที่เกี่ยวข้องในการปฏิบัติหน้าที่ตามพระราชบัญญัติคุมประพฤติ พ.ศ. ๒๕๕๙ ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
451 | การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการพิจารณาค่าตอบแทนผู้เสียหายและค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายแก่จำเลยในคดีอาญา (จำนวน 5 คน 1. พลตรี ธารา พูนประชา ฯลฯ) | ยธ | 14/02/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการพิจารณาค่าตอบแทนผู้เสียหาย และค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายแก่จำเลยในคดีอาญา จำนวน ๕ คน ตามความในมาตรา ๗ แห่งพระราชบัญญัติค่าตอบแทนผู้เสียหาย และค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายแก่จำเลยในคดีอาญา พ.ศ. ๒๕๔๔ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติค่าตอบแทนผู้เสียหาย และค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายแก่จำเลยในคดีอาญา (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๙ ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมเสนอ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๐) เป็นต้นไป ดังนี้
๑. พลตรี ธารา พูนประชา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านการแพทย์ ๒. นายชินชัย ชี้เจริญ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านสังคมสงเคราะห์ ๓. นางสาวศุภมาศ พยัฆวิเชียร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชน ๔. นายพิทยา จินาวัฒน์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ๕. นายชนะพล มหาวงษ์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
452 | ร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (การวางทรัพย์) | ยธ | 07/02/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (การวางทรัพย์) มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ โดยเพิ่มวรรคสี่ของมาตรา ๓๓๓ กำหนดให้สำนักงานวางทรัพย์ประจำตำบลให้หมายความรวมถึงสำนักงานบังคับคดี สังกัดกรมบังคับคดี กระทรวงยุติธรรม ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
453 | รายงานผลการพิจารณาเพื่อเสนอแนะนโยบายหรือข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมาย เรื่อง การถูกคุมขังเกินกว่าโทษตามคำพิพากษา | ยธ | 31/01/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการพิจารณาและผลการดำเนินการตามข้อเสนอแนะนโยบายหรือข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมาย เรื่อง การถูกคุมขังเกินกว่าโทษตามคำพิพากษาของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ โดยกระทรวงยุติธรรมได้จัดประชุมหารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ประกอบด้วย สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงานศาลยุติธรรม สำนักงานอัยการสูงสุด สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ กรมคุมประพฤติ กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ กรมราชทัณฑ์ สำนักงานกิจการยุติธรรม สำนักงานกองทุนยุติธรรม และสำนักงานปลัดกระทรวงยุติธรรม โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเห็นด้วยกับข้อเสนอเป็นส่วนใหญ่ โดยข้อเสนอที่เห็นว่าเหมาะสมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ดำเนินการแล้ว และบางเรื่องอยู่ระหว่างดำเนินการ สำหรับข้อเสนอบางประการอาจกระทบกับหลักการสำคัญของกฎหมาย ควรที่จะมีการศึกษาให้ละเอียดรอบคอบก่อนดำเนินการ ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
454 | การพิจารณาบำเหน็จความชอบกรณีพิเศษให้แก่เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานด้านยาเสพติด ประจำปี 2559 | ยธ | 31/01/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ ดังนี้
๑. อนุมัติให้มีการพิจารณาบำเหน็จความชอบกรณีพิเศษให้แก่เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานด้านยาเสพติดประจำปี ๒๕๕๙ ในอัตราไม่เกิน ๙,๑๙๔ คน โดยแบ่งเป็นเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานด้านยาเสพติดโดยตรง และผู้ปฏิบัติงานเกื้อกูลต่อการแก้ไขปัญหายาเสพติด ๑.๑ ให้มีการพิจารณาบำเหน็จความชอบประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ เป็นกรณีพิเศษให้แก่เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานด้านยาเสพติดดีเด่นไม่เกินร้อยละ ๒.๕ ของเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานด้านยาเสพติดโดยตรง จำนวน ๓๐๑,๒๗๖ คน คิดเป็นอัตราไม่เกิน ๗,๕๓๒ คน ๑.๒ ให้มีการพิจารณาบำเหน็จความชอบประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ เป็นกรณีพิเศษให้แก่เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานด้านยาเสพติดดีเด่นไม่เกินร้อยละ ๐.๕ ของเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานเกื้อกูลต่อการแก้ไขปัญหายาเสพติด จำนวน ๓๓๒,๓๒๘ คน คิดเป็นอัตราไม่เกิน ๑,๖๖๒ คน ๒. สำหรับงบประมาณเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายดังกล่าว ให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีของส่วนราชการต้นสังกัดในโอกาสแรกก่อน หากไม่สามารถดำเนินการได้ ให้เบิกจ่ายจากงบกลาง รายการเงินเลื่อนเงินเดือนและเงินปรับวุฒิข้าราชการเป็นลำดับต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
455 | กรอบแนวทางในการป้องกันอาชญากรรมที่มีประสิทธิภาพ | ยธ | 24/01/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบกรอบแนวทางในการป้องกันอาชญากรรมที่มีประสิทธิภาพ ทั้ง ๖ ด้าน ประกอบด้วย (๑) การป้องกันอาชญากรรมโดยสภาพแวดล้อม (๒) การป้องกันอาชญากรรมโดยการมีส่วนร่วมของประชาชน (๓) การป้องกันอาชญากรรมโดยการป้องกันการกระทำผิดซ้ำ (๔) การป้องกันอาชญากรรมโดยการเฝ้าระวังกลุ่มเสี่ยงที่มีโอกาสจะกระทำความผิด (๕) การป้องกันอาชญากรรมโดยการลดโอกาสการตกเป็นเหยื่อ (๖) การพัฒนาและเพิ่มประสิทธิภาพบุคลากรในการป้องกันอาชญากรรม ตามมติคณะกรรมการพัฒนาการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติ ครั้งที่ ๕/๒๕๕๙ เมื่อวันที่ ๑๖ พฤศจิกายน ๒๕๕๙ ตามที่ประธานกรรมการพัฒนาการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติเสนอ ส่วนค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้น ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามความเห็นของสำนักงบประมาณในการเตรียมความพร้อมทางด้านกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ มติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง และจัดทำรายละเอียด เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณในลักษณะบูรณาการเชิงยุทธศาสตร์ด้านการปฏิรูปกฎหมายและพัฒนากระบวนการยุติธรรม ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป ๒. ให้คณะกรรมการพัฒนาการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นและข้อสังเกตของสำนักงาน ก.พ.ร. และสำนักงานตำรวจแห่งชาติเกี่ยวกับตัวชี้วัดการดำเนินงานทั้งระดับผลผลิตและระดับผลลัพธ์ควรให้ความสำคัญกับการกำหนดเกณฑ์และวิธีการประเมินผล รวมทั้งการจัดเก็บข้อมูลและข้อมูลพื้นฐาน (Baseline Data) ให้ชัดเจนและครอบคลุม และการปรับแก้ไขตัวชี้วัดที่ ๑ จากการวัดสถิติอาชญากรรมพื้นฐานลดลงเมื่อเปรียบเทียบกับปีที่ผ่านมาไม่น้อยกว่าร้อยละ ๑๐ เป็นตัวชี้วัดการลดความหวาดกลัวภัยอาชญากรรมของประชาชน ให้ประชาชนมีความหวาดกลัวภัยอาชญากรรมต่ำกว่าร้อยละ ๔๐ ตามเกณฑ์มาตรฐานของ ก.พ.ร. แทน ส่วนตัวชี้วัดที่ ๒ สถิติการกระทำผิดซ้ำในกระบวนการยุติธรรมลดลงเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมาไม่น้อยกว่าร้อยละ ๕ ไม่เห็นควรนำมาเป็นตัวชี้วัดการทำงานของตำรวจเพราะจะเป็นการบังคับไม่ให้เจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมผู้กระทำผิดที่มีลักษณะการกระทำผิดซ้ำอันจะเกิดความเสียหายต่อการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมและกระทบต่อความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนในส่วนรวม ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
456 | แนวทางการเผยแพร่กฎหมายเพื่อสร้างการรับรู้ให้แก่ประชาชนและหน่วยงานภาครัฐ | ยธ | 17/01/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบแนวทางการเผยแพร่กฎหมายเพื่อสร้างการรับรู้ให้แก่ประชาชนและหน่วยงานภาครัฐ แผนปฏิบัติการเผยแพร่กฎหมายเพื่อสร้างการรับรู้ให้แก่ประชาชนและหน่วยงานภาครัฐ และแบบตรวจสอบแนวทางการเผยแพร่กฎหมายเพื่อสร้างการรับรู้ให้แก่ประชาชนและหน่วยงานภาครัฐ รวมถึงมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการ ตามมติคณะกรรมการพัฒนาการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติ เมื่อวันที่ ๑๖ พฤศจิกายน ๒๕๕๙ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) ประธานกรรมการพัฒนาการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติเสนอ ๒. ให้หน่วยงานของรัฐที่เป็นผู้เสนอให้มีหรือปรับปรุงกฎหมายจัดส่งแบบตรวจสอบการเผยแพร่กฎหมายเพื่อสร้างการรับรู้ให้แก่ประชาชนและหน่วยงานภาครัฐ ให้สำนักงานกิจการยุติธรรมเมื่อกฎหมายนั้น ๆ ได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
457 | การแต่งตั้งข้าราชการการเมือง [ตำแหน่งที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม และตำแหน่งเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม (นายสมชาย เสียงหลาย และ นายถาวร พรหมมีชัย)] | ยธ | 10/01/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการแต่งตั้งข้าราชการการเมือง จำนวน ๒ คน โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๑๐ มกราคม ๒๕๖๐) เป็นต้นไป ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมเสนอ ดังนี้
๑. นายสมชาย เสียงหลาย ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ๒. นายถาวร พรหมมีชัย ดำรงตำแหน่งเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
458 | รายงานผลการดำเนินการตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีค้ามนุษย์ พ.ศ. .... | ยธ | 10/01/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีค้ามนุษย์ พ.ศ. .... เกี่ยวกับการกำหนดให้โจทก์ส่งสำนวนการสอบสวนพร้อมสำเนาต่อศาล อาจเป็นการเพิ่มภาระให้กับผู้มีหน้าที่รับผิดชอบ ส่งผลต่อภาระงบประมาณของหน่วยงานที่รับผิดชอบ รัฐควรจัดเตรียมอัตรากำลังบุคลากรเพิ่มเติมและสนับสนุนด้านงบประมาณแก่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้เพียงพอ และการกำหนดให้มีการแต่งตั้งบุคคลหรือคณะบุคคลเพื่อปฏิบัติหน้าที่ตามที่มอบหมายตามร่างมาตรา ๒๙ วรรคสอง ต้องเป็นการมอบหมายเพื่อช่วยเหลือศาลในการตรวจสอบและรวบรวมพยานหลักฐาน ไม่ใช่การสืบพยาน การนั่งพิจารณาและการพิพากษาคดี อีกทั้งบทบัญญัติได้กำหนดให้จำเลยที่จะยื่นอุทธรณ์ต้องแสดงตนต่อเจ้าพนักงานศาลในขณะยื่นอุทธรณ์ หากจำเลยไม่สามารถแสดงตนขณะยื่นอุทธรณ์ได้ด้วยเหตุเจ็บป่วยหรือเดินทางไปต่างประเทศ สามารถยื่นคำร้องต่อศาลขอขยายระยะเวลาแสดงตนต่อศาลได้ ซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาตามข้อสังเกตดังกล่าวแล้วเห็นพ้องด้วยและพร้อมรับและปรับเปลี่ยนการทำงานเพื่อรองรับการปฏิบัติตามพระราชบัญญัติดังกล่าว และเมื่อร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้มีผลใช้บังคับ หน่วยงานที่ไม่ได้เสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีไว้ ในชั้นต้นให้หน่วยงานนั้น ๆ พิจารณาเกลี่ยกำลังและปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณมาดำเนินการก่อน และให้เสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมในปีต่อ ๆ ไป ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติทราบต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
459 | แนวทางการเตรียมบุคลากรก่อนเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมและการพัฒนาบุคลากรในกระบวนการยุติธรรม | ยธ | 04/01/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบแนวทางการเตรียมบุคลากรก่อนเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมและการพัฒนาบุคลากรในกระบวนการยุติธรรม ตามมติคณะกรรมการพัฒนาการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติ (กพยช.) ครั้งที่ ๔/๒๕๕๙ เมื่อวันที่ ๑๐ สิงหาคม ๒๕๕๙ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) ประธาน กพยช. เสนอ โดยกำหนดแนวทางที่เป็นรูปธรรม สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ แนวทางที่ ๑ การเตรียมบุคลากรก่อนเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ได้แก่ การพัฒนาหลักสูตรการเรียนการสอนระดับอุดมศึกษา การสนับสนุนและส่งเสริมกิจกรรมหรือโครงการเสริมสร้างจิตสำนึกรักความยุติธรรม ๑.๒ แนวทางที่ ๒ การพัฒนาบุคลากรในกระบวนการยุติธรรม ได้แก่ การกำหนดให้มี “ค่านิยมร่วมของบุคลากรในกระบวนการยุติธรรม” และการกำหนดแนวทางการพัฒนาบุคลากรในกระบวนการยุติธรรม ๒. สำหรับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นจากการดำเนินการสำหรับปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ เห็นควรให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ โดยให้ถือปฏิบัติตามมาตรการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ ส่วนในปีงบประมาณต่อ ๆ ไปให้จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ และให้ กพยช. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ สำนักงานศาลปกครอง สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน และสำนักงาน ก.พ.ร. อาทิ ควรมีการฝึกอบรมในหลักสูตรก่อนการเข้าปฏิบัติงานในหน่วยงานกระบวนการยุติธรรม ซึ่งรวมถึงการศึกษาดูงาน การสร้างความรู้ความเข้าใจในบทบาท ภารกิจ อำนาจหน้าที่ของหน่วยงานในกระบวนการยุติธรรมทั้ง ๒๐ หน่วยงาน และเปิดโอกาสให้บุคลากรของหน่วยงานในกระบวนการยุติธรรมเข้าร่วมฝึกอบรมหรือสังเกตการณ์เพื่อเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจให้เกิดขึ้นถูกต้องตรงกัน รวมทั้งการกำหนดให้มี “ค่านิยมร่วมของบุคลากรในกระบวนการยุติธรรม” และการกำหนดหน่วยงานกลางในการจัดทำหลักสูตรและดำเนินการจัดฝึกอบรมบุคลากรของหน่วยงานในกระบวนการยุติธรรม นอกจากนี้ ควรให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการในลักษณะบูรณาการอย่างแท้จริง เพื่อให้มีความครบถ้วนและครอบคลุมในทุกมิติงานที่เกี่ยวข้อง และไม่ให้เกิดความซ้ำซ้อนในการดำเนินการและการจัดสรรงบประมาณในเรื่องดังกล่าว ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงยุติธรรม กระทรวงศึกษาธิการ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาดำเนินโครงการหรือจัดทำหลักสูตรการศึกษาเพื่อเผยแพร่ให้ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับงานด้านกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมให้แก่เยาวชน นักเรียน นักศึกษา และประชาชนทั่วไป เพื่อนำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างถูกต้องต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
460 | กรอบการวิจัยด้านการพัฒนากระบวนการยุติธรรม | ยธ | 04/01/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบกรอบการวิจัยด้านการพัฒนากระบวนการยุติธรรม เพื่อให้สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติและสำนักงบประมาณใช้เป็นแนวทางการจัดสรรงบประมาณด้านการวิจัยของหน่วยงานในกระบวนการยุติธรรมต่อไป ตามมติคณะกรรมการพัฒนาการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติ ครั้งที่ ๕/๒๕๕๙ เมื่อวันที่ ๖ พฤศจิกายน ๒๕๕๙ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) ประธานกรรมการพัฒนาการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติเสนอ โดยกรอบการวิจัยแบ่งออกเป็น ๖ ด้าน ประกอบด้วย ๑.๑ การวิจัยสำรวจความจำเป็นและความต้องการนวัตกรรมทางกฎหมายให้สอดคล้องและเหมาะสมกับพลวัตทางสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป ๑.๒ การวิจัยประสิทธิภาพของขั้นตอนและการบังคับใช้กฎหมาย โดยศึกษาด้านการนำกฎหมายมาใช้ในทางปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ผู้บังคับใช้กฎหมาย ๑.๓ การวิจัยพัฒนา ปรับปรุงโครงสร้าง ระบบงาน และบุคลากรขององค์กรในกระบวนการยุติธรรม ๑.๔ การวิจัยนวัตกรรมและนิติวิทยาศาสตร์ การประยุกต์ใช้ความรู้ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเพื่อประโยชน์ต่อการอำนวยความยุติธรรม และการคลี่คลายคดี ๑.๕ การวิจัยพัฒนาและส่งเสริมมาตรการกระบวนการยุติธรรมทางเลือก และการมีส่วนร่วมในงานยุติธรรม ๑.๖ การวิจัยสร้างมาตรฐานและเพิ่มประสิทธิภาพในด้านกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมสู่การรองรับการเป็นสมาชิกสมาคมประชาคมอาเซียน ๒. ให้คณะกรรมการพัฒนาการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาแนวทางหรือรูปแบบที่จะนำผลที่ได้จากการศึกษาวิจัยตามกรอบดังกล่าวบูรณาการการดำเนินการให้เกิดผลสัมฤทธิ์เป็นรูปธรรม รวมทั้งรับความเห็นของส่วนราชการที่เกี่ยวข้องที่เห็นควรเพิ่มเติมเรื่องของกฎหมายที่มีความซ้ำซ้อนเป็นภาระ ล้าสมัย และมีปัญหาในการบังคับใช้ เพื่อให้มีการปรับปรุงกฎหมายในภาพรวมให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น และควรกำหนดกรอบวิจัยฯ เพิ่มเติม เช่น การศึกษาและพัฒนาศาลอิเล็กทรอนิกส์ (e-court) ประสิทธิภาพการใช้กฎหมายของผู้มีอำนาจในการบังคับใช้กฎหมาย สภาพปัญหา ความต้องการ และความสะดวกของประชาชนในการใช้บริการของหน่วยงานในกระบวนการยุติธรรม แนวทางและความเป็นไปได้ในการใช้ทรัพยากรร่วมกันของหน่วยงานในกระบวนการยุติธรรม การพัฒนาปรับปรุงมาตรฐานระบบการบังคับคดีทั้งคดีแพ่งและพาณิชย์ โครงสร้างของระบบการสอนกฎหมาย รวมทั้งการศึกษาและพัฒนาศาลอิเล็กทรอนิกส์ไม่ควรให้ความสำคัญเฉพาะการเข้าสู่ประชาคมอาเซียน ควรมีการพัฒนาเพื่อเป็นทางเลือกในการให้บริการกับประชาชนภายในประเทศด้วย ตลอดจนควรศึกษาปรับปรุงกฎหมายเกี่ยวกับธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ให้ก้าวทันการเปลี่ยนแปลง ควรมีการทบทวนเรื่องผลการพิสูจน์ทางนิติวิทยาศาสตร์กับกระบวนการยุติธรรมอย่างรอบคอบกว่าในปัจจุบัน และเปิดโอกาสให้ประชาชนมีโอกาสเข้าไปมีส่วนร่วมในการพิจารณาคดีอาญาที่มีความสำคัญ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
.....