ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 12 จากทั้งหมด 97 หน้า แสดงรายการที่ 221 - 240 จากข้อมูลทั้งหมด 1930 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
221 | ขออนุมัติเปลี่ยนแปลงรายการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณรายการก่อสร้างอาคารชุดที่พักอาศัยข้าราชการพร้อมสิ่งก่อสร้างประกอบ จำนวน 1 หลัง สถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนจังหวัดนนทบุรี | ยธ | 21/07/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้กระทรวงยุติธรรม (กรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน) เปลี่ยนแปลงรายการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณจากที่ได้รับอนุมัติไว้เดิม จากรายการอาคารชุดที่พักอาศัยข้าราชการ ขนาด ๑๘ ยูนิต จำนวน ๑ หลัง สถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนจังหวัดนนทบุรี เป็นรายการก่อสร้างอาคารชุดที่พักอาศัยข้าราชการ ขนาด ๑๒ ยูนิต จำนวน ๑ หลัง พร้อมส่วนประกอบ สถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน จังหวัดนนทบุรี ตำบลไทรน้อย อำเภอไทรน้อย จังหวัดนนทบุรี วงเงิน ๑๖,๔๑๙,๐๐๐ บาท และให้กรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนเร่งดำเนินโครงการดังกล่าวให้ทันต่อสถานการณ์ รวมทั้งปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนมาตรฐานของทางราชการให้ถูกต้องครบถ้วน อย่างโปร่งใส คุ้มค่า ประหยัด โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของทางราชการเป็นสำคัญ และเมื่อกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนได้ดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างตามนัยพระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. ๒๕๖๐ จนได้ข้อยุติแล้ว กรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนจะต้องขอทำความตกลงกับสำนักงบประมาณเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบความเหมาะสมของราคาก่อนทำสัญญาก่อหนี้ผูกพันตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ และให้กระทรวงยุติธรรม (กรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน) รับความเห็นของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ที่เห็นควรให้ความสำคัญกับการจัดองค์ประกอบโครงการที่อยู่อาศัยให้ครอบคลุมกับการใช้ชีวิตของผู้อาศัยทุกเพศวัย ภายใต้แนวคิดการออกแบบเพื่อคนทั้งมวล (Universal Design) ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๒. การดำเนินการแผนงาน/โครงการต่าง ๆ ในครั้งต่อ ๆ ไป ให้กระทรวงยุติธรรม (กรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน) ถือปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๑ มีนาคม ๒๕๖๐ (เรื่อง การพิจารณาและตรวจสอบความพร้อมในการดำเนินการตามแผนงาน/โครงการของส่วนราชการ และการตรวจสอบข้อมูลผู้ละทิ้งงานราชการ) อย่างเคร่งครัดด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
222 | ร่างพระราชบัญญัติคู่ชีวิต พ.ศ. .... และร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | ยธ | 08/07/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างพระราชบัญญัติคู่ชีวิต พ.ศ. .... และร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... รวม ๒ ฉบับ ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดบทบัญญัติเฉพาะเกี่ยวกับการจดทะเบียนคู่ชีวิตและการเลิกการเป็นคู่ชีวิต สิทธิและหน้าที่ระหว่างคู่ชีวิต การจัดการทรัพย์สิน การรับบุตรบุญธรรม และมรดก เพื่อรองรับความสัมพันธ์การอยู่ร่วมกันเป็นครอบครัวระหว่างบุคคลที่มีเพศเดียวกันโดยกำเนิด โดยมีการอุปการะเลี้ยงดูและมีความสัมพันธ์ในด้านอื่น ๆ ไม่แตกต่างไปจากคู่สมรส ซึ่งจะเป็นการเสริมสร้างความเข้มแข็งของครอบครัวที่ก่อตั้งขึ้นระหว่างบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศ และสอดคล้องกับสภาพสังคมในปัจจุบัน ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรต่อไป ๒. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลา และกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ต้องออกตามร่างพระราชบัญญัติคู่ชีวิต พ.ศ. .... ๓. ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เตรียมการเพื่อรองรับการรับบุตรบุญธรรมร่วมกันของคู่ชีวิตที่จะมีขึ้นภายหลังจากที่ร่างพระราชบัญญัติทั้ง ๒ ฉบับในเรื่องนี้มีผลใช้บังคับ ตามข้อสังเกตของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาต่อไป ๔. ให้กระทรวงยุติธรรมรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศที่เห็นควรศึกษาผลกระทบและเตรียมแนวทางชี้แจงต่อประเด็นที่อยู่ในความสนใจของสาธารณชนหรือต่อกลุ่มคนที่มีส่วนได้ส่วนเสีย เช่น อายุขั้นต่ำในการจดทะเบียนคู่ชีวิต การรับบุตรบุญธรรมร่วมกันของคู่ชีวิต และการให้สิทธิอื่น ๆ ที่เท่าเทียมกันระหว่างคู่ชีวิตและคู่สมรส รวมถึงการเบิกค่ารักษาพยาบาล สวัสดิการ และเงินช่วยเหลืออื่น ๆ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๕. ภายหลังจากที่ร่างพระราชบัญญัติทั้ง ๒ ฉบับในเรื่องนี้มีผลใช้บังคับแล้ว ให้กระทรวงยุติธรรมร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงมหาดไทย กระทรวงแรงงาน กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงศึกษาธิการ และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมายตามมาตรา ๗๗ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยและพระราชบัญญัติหลักเกณฑ์การจัดทำร่างกฎหมายและการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย พ.ศ. ๒๕๖๒ โดยให้พิจารณาศึกษาผลกระทบและแนวทางในการแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับสิทธิและหน้าที่ที่คู่ชีวิตที่มีเพศเดียวกันควรได้รับอย่างเท่าเทียมกับคู่สมรสระหว่างชายและหญิงตามกฎหมายอื่นด้วย ตามข้อสังเกตของสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
223 | (ร่าง) แผนสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ฉบับที่ 4 (พ.ศ. 2562 - 2565) | ยธ | 30/06/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
224 | การลงนามหนังสือตราสารการโอนกรรมสิทธิ์ (Deed of Grant) และการส่งมอบเรือลาดตระเวนจากสาธารณรัฐสิงคโปร์ | ยธ | 23/06/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการลงนามหนังสือตราสารการโอนกรรมสิทธิ์ (Deed of Grant) และการส่งมอบเรือลาดตระเวนจากสาธารณรัฐสิงคโปร์ (ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๗ ตุลาคม ๒๕๖๒ และ ๓ มีนาคม ๒๕๖๓) ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ ดังนี้
๑. เลขาธิการ ป.ป.ส. เป็นผู้แทนรัฐบาลไทยเดินทางไปลงนามในหนังสือตราสารการโอนกรรมสิทธิ์รับมอบเรือลาดตระเวนจากสาธารณรัฐสิงคโปร์ จำนวน ๓ ลำ ได้แก่ เรือลาดตระเวนแบบ PT จำนวน ๑ ลำ และเรือลาดตระเวนแบบ SU จำนวน ๒ ลำ เพื่อส่งมอบให้แก่สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว และสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา เมื่อวันที่ ๑๖ ตุลาคม ๒๕๖๒ ณ สำนักงานใหญ่หน่วยงานตำรวจตระเวนชายฝั่งสิงคโปร์ (Police Coast Guard : PCG) โดยมีนายเชียง เคง ค็อง ผู้บังคับการ PCG เป็นผู้แทนสาธารณรัฐสิงคโปร์ในการลงนาม ๒. สำนักงาน ป.ป.ส. ได้จัดพิธีลงนามหนังสือตราสารการโอนกรรมสิทธิ์และส่งมอบเรือลาดตระเวน ระหว่างไทย-สปป.ลาว และไทย-เมียนมา เมื่อวันที่ ๙ มีนาคม ๒๕๖๓ ณ ท่าเรือ BMT Pacific Ltd. (BMTP) จังหวัดสมุทรปราการ โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม และนายเควิน ฉ็อก เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐสิงคโปร์ประจำประเทศไทยร่วมเป็นสักขีพยานในพิธีลงนาม โดยมีเลขาธิการ ป.ป.ส. นายวงเพ็ด แสนวงสา รองเลขาธิการคณะกรรมการแห่งชาติเพื่อตรวจตราและควบคุมยาเสพติดสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชนลาว และพันตำรวจเอก ลา มิน ผู้อำนวยการฝ่ายอำนวยการและแผน กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติดสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา เป็นผู้แทนในการลงนามหนังสือตราสารการโอนกรรมสิทธิ์ ๓. ผู้แทนสำนักงาน ป.ป.ส. ดำเนินการส่งมอบเรือลาดตระเวนแบบ SU จำนวน ๒ ลำ ให้แก่สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว และสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา ประเทศละ ๑ ลำ เมื่อวันที่ ๑๑ มีนาคม ๒๕๖๓ ณ ท่าเรือพาณิชย์เชียงแสน ๑ จังหวัดเชียงราย และดำเนินการส่งมอบเรือลาดตระเวนแบบ PT จำนวน ๑ ลำ ให้แก่สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา เมื่อวันที่ ๒๗ มีนาคม ๒๕๖๓ ณ ท่าเรือระนอง จังหวัดระนอง
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
225 | ร่างพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. .... | ยธ | 23/06/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการคุ้มครองบุคคลจากการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหายซึ่งกระทำโดยเจ้าหน้าที่ของรัฐ และป้องกันปราบปรามและเยียวยาผู้ได้รับความเสียหายจากการกระทำดังกล่าว ซึ่งเป็นไปตามพันธกรณีที่กำหนดไว้ในสนธิสัญญาระหว่างประเทศที่ประเทศไทยเป็นภาคีหรือร่วมลงนาม ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง โดยให้พิจารณาในประเด็นความจำเป็นในการใช้ระบบคณะกรรมการ ตามหมวด ๒ คณะกรรมการ โดยเห็นควรตัดออก เนื่องจากเป็นภารกิจของกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องใช้ระบบคณะกรรมการอีก ตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และให้รับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศและสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่เห็นควรบรรจุประเด็นเรื่องการห้ามทรมานหรือกระทำให้บุคคลสูญหายในสถานการณ์ฉุกเฉิน และการห้ามผลักดันกลับไปยังสถานที่ที่มีเหตุอันควรเชื่อว่าบุคคลนั้นจะถูกทรมานหรือถูกกระทำให้บุคคลสูญหาย รวมทั้งเห็นควรกำหนดนิยาม “ทรมาน” ให้ชัดเจน ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรต่อไป ๒. ให้กระทรวงยุติธรรมรับความเห็นของสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติที่เห็นว่า เจ้าหน้าที่รัฐจำเป็นต้องให้ความสำคัญกับการตระหนักรู้และปฏิบัติตามหลักสิทธิมนุษยชนอย่างเคร่งครัด ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
226 | ร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (เพิ่มเกณฑ์อายุเด็กกรณีที่เด็กกระทำความผิดอาญา) | ยธ | 23/06/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมเกณฑ์อายุของเด็กที่ไม่ต้องรับโทษทางอาญา จากปัจจุบันกำหนดไว้ไม่เกิน ๑๐ ปี เป็นไม่เกิน ๑๒ ปี และเกณฑ์อายุของเด็กที่ใช้มาตรการอื่นแทนการรับโทษทางอาญา จากเดิมกำหนดไว้เกิน ๑๐ ปี แต่ไม่เกิน ๑๕ ปี เป็นเกิน ๑๒ ปี แต่ไม่เกิน ๑๕ ปี ซึ่งสอดคล้องกับอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็กและกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง และเป็นไปตามแผนการปฏิบัติตามข้อเสนอแนะที่ประเทศไทยได้ตอบรับและให้คำมั่นโดยสมัครใจภายใต้กลไก Universal Periodic Review (UPR) รอบที่ ๒ (พ.ศ. ๒๕๕๙ ถึง พ.ศ. ๒๕๖๓) ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรต่อไป ๒. ให้กระทรวงยุติธรรมรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศและสำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติที่เห็นควรให้กรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน กระทรวงยุติธรรม พิจารณาเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินการและการบริหารจัดการเพื่อรองรับการแก้ไข บำบัด และฟื้นฟูจำนวนเด็กที่เพิ่มขึ้นเหล่านี้ โดยจำแนกวิธีการแก้ไข บำบัด และฟื้นฟูเด็กในกลุ่มที่มีอายุต่างกันเพื่อให้สอคดล้องกับอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
227 | การแต่งตั้งผู้ไปปฏิบัติงานตามมติคณะรัฐมนตรีกลับเข้ารับราชการให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (นายพสิษฐ์ อัศววัฒนาพร) | ยธ | 09/06/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นายพสิษฐ์ อัศววัฒนาพร ให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาเฉพาะด้านกฎหมายมหาชน (นิติกรทรงคุณวุฒิ) สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงยุติธรรม ตั้งแต่วันที่ ๑๕ กรกฎาคม ๒๕๖๓ ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมเสนอ ทั้งนี้ ในส่วนของเงินเดือน เงินประจำตำแหน่ง และค่าตอบแทนพิเศษนอกเหนือจากเงินเดือน ให้กระทรวงยุติธรรมดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
228 | รายงานประจำปี 2562 คณะกรรมการพัฒนาการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติ | ยธ | 26/05/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานประจำปี ๒๕๖๒ คณะกรรมการพัฒนาการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติ (กพยช.) ตามที่ กพยช. เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. สถานการณ์ความเชื่อมั่นของประชาชนต่อกระบวนการยุติธรรม กพยช. ได้จัดทำแนวทางการแก้ไขปัญหาสถานการณ์ความเชื่อมั่นของประชาชนต่อกระบวนการยุติธรรม ซึ่งสามารถสรุปสภาพปัญหาและแนวทางเป็น ๓ ส่วน ได้แก่ (๑) การยกระดับคุณภาพการให้บริการด้านกระบวนการยุติธรรมเพื่อเสริมสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ประชาชน (๒) การส่งเสริมความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมขั้นพื้นฐานให้แก่ประชาชนอย่างทั่วถึงและตรงกลุ่มเป้าหมาย และ (๓) การพัฒนากลไกหรือเครื่องมือในการให้ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับข่าวสารด้านกระบวนการยุติธรรมหรือคดีที่ได้รับความสนใจเป็นการเฉพาะ ซึ่งสำนักงานกิจการยุติธรรม (สกธ.) ได้มีการจัดทำแผนปฏิบัติการเพื่อติดตามและขับเคลื่อนการดำเนินงานตามข้อเสนอแนะในการแก้ไขปัญหาความเชื่อมั่นต่อกระบวนการยุติธรรมต่อไป ๒. ร่างแผนแม่บทการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติ ฉบับที่ ๓ (พ.ศ. ๒๕๖๒-๒๕๖๕) สกธ. ได้จัดทำร่างแผนแม่บทฯ ฉบับที่ ๓ ซี่งมีความเชื่อมโยงกับแผนระดับ ๓ ของหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง เช่น แผนแม่บทศาลปกครองระยะ ๒๐ ปี (พ.ศ. ๒๕๖๑-๒๕๘๐) ยุทธศาสตร์การคุ้มครองเด็กแห่งชาติ (พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๔) ยุทธศาสตร์ชาติว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ระยะที่ ๓ (พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๔) และแผนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๔) ซึ่ง กพยช. ได้เห็นชอบให้ทบทวนร่างแผนแม่บทฯ ฉบับที่ ๓ และเร่งรัดให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติดำเนินการตามกระบวนการพิจารณากลั่นกรองร่างแผนแม่บทฯ ฉบับที่ ๓ ต่อไป ๓. การส่งเสริมค่านิยมร่วม คุณธรรมและจริยธรรมให้แก่บุคลากรในกระบวนการยุติธรรมเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ประชาชน สกธ. ได้จัดทำแนวทางการส่งเสริมค่านิยมร่วมฯ โดยได้กำหนดรูปแบบและการดำเนินงานเป็น ๓ แนวทาง ได้แก่ (๑) การสร้างการรับรู้ค่านิยมร่วมในการปฏิบัติหน้าที่และกำหนดเป้าหมายการดำเนินงานที่ดีและชัดเจน (๒) การกระตุ้นพฤติกรรมการให้บริการและการใช้อำนาจหน้าที่ของบุคลากรในกระบวนการยุติธรรม และ (๓) การพัฒนากระบวนการเรียนรู้ของบุคลากรอย่างต่อเนื่องและการบริหารงานระดับองค์กรให้มีมาตรฐาน ซึ่ง กพยช. ได้เห็นชอบแนวทางการส่งเสริมค่านิยมร่วมฯ เพื่อให้หน่วยงานในกระบวนการยุติธรรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำไปเป็นแผนการดำเนินงานต่อไป ๔. หลักสูตรอบรมการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทตามพระราชบัญญัติการไกล่เกลี่ยข้อพิพาท พ.ศ. ๒๕๖๒ กพยช. ได้เห็นชอบให้การรับรองหลักสูตรอบรมไกล่เกลี่ยฯ ซึ่งมีระยะเวลาในการเรียน จำนวน ๕ วัน มีเนื้อหา ประกอบด้วย ๕ กลุ่มวิชา ได้แก่ (๑) ธรรมชาติของความขัดแย้งและการวิเคราะห์ความขัดแย้ง และแนวคิดทฤษฎีเกี่ยวกับการไกล่เกลี่ยข้อพิพาท (๒) กฎหมายกลางในการไกล่เกลี่ยข้อพิพาท : การจัดกระบวนการไกล่เกลี่ยข้อพิพาท การจัดทำข้อตกลงและบันทึกข้อตกลงระงับข้อพิพาท (๓) จิตวิทยาเพื่อการสื่อสารกับภาษากายกับการไกล่เกลี่ย (๔) คุณสมบัติ จริยธรรมของผู้ไกล่เกลี่ยและปัจจัยแห่งความสำเร็จ ข้อท้าทายและอุปสรรคในการเจรจาไกล่เกลี่ย การจัดการกับบุคคลที่ยากกับการเจรจาและการจัดการอารมณ์ของตนเอง และ (๕) ฝึกปฏิบัติการไกล่เกลี่ยข้อพิพาททางแพ่ง ทางอาญา และประเด็นสาธารณะโดยใช้สถานการณ์จำลอง ๕. ผลการดำเนินงานของ สกธ. เพื่อสนับสนุนภารกิจ กพยช. ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ เช่น การแต่งตั้งคณะอนุกรรมการภายใต้ กพยช. จำนวน ๘ คณะ และการจัดทำโครงการขับเคลื่อนระบบงานยุติธรรมในมิติเชิงพื้นที่ เป็นต้น
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
229 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (นายอภิชาต จารุศิริ) | ยธ | 19/05/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นายอภิชาต จารุศิริ ข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาเฉพาะด้านนโยบายและการบริหารงานยุติธรรม (นักวิเคราะห์นโยบายและแผนทรงคุณวุฒิ) สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงยุติธรรม ตั้งแต่วันที่ ๓ ตุลาคม ๒๕๖๒ ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
230 | ขออนุมัติเปลี่ยนแปลงสถานที่ควบคุมงานก่อสร้างเรือนจำจังหวัดนครนายก 1 แห่ง ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 ด้วยวิธีคัดเลือก | ยธ | 19/05/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้กระทรวงยุติธรรม (กรมราชทัณฑ์) เปลี่ยนแปลงสถานที่ควบคุมงานก่อสร้างเรือนจำจังหวัดนครนายก ๑ แห่ง ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ ด้วยวิธีคัดเลือก จากเดิม ตำบลเขาพระ อำเภอเมืองนครนายก จังหวัดนครนายก เป็น ตำบลทรายมูล อำเภอองครักษ์ จังหวัดนครนายก โดยให้เบิกจ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ จำนวน ๔,๖๔๘,๓๐๐ บาท ที่กระทรวงการคลังอนุมัติให้ขยายเวลาเบิกจ่ายเงินงบประมาณได้ถึงวันทำการสุดท้ายของเดือนกันยายน ๒๕๖๓ ส่วนที่เหลืออีก จำนวน ๑๘,๓๕๑,๗๐๐ บาท ผูกพันงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณต่อ ๆ ไป ทั้งนี้ เห็นควรให้กรมราชทัณฑ์เร่งปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ มติคณะรัฐมนตรี หนังสือเวียนที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนมาตรฐานของทางราชการให้ถูกต้องครบถ้วน อย่างโปร่งใส คุ้มค่า ประหยัด โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของทางราชการเป็นสำคัญ ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. การดำเนินการแผนงาน/โครงการต่าง ๆ ในครั้งต่อ ๆ ไป ให้กระทรวงยุติธรรมถือปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๑ มีนาคม ๒๕๖๐ (เรื่อง การพิจารณาและตรวจสอบความพร้อมในการดำเนินการตามแผนงาน/โครงการของส่วนราชการและการตรวจสอบข้อมูลผู้ละทิ้งงานราชการ) ที่กำหนดให้ในขั้นตอนการริเริ่มโครงการ ให้ส่วนราชการตรวจสอบความพร้อมในการดำเนินการตามแผนงาน/โครงการนั้น ๆ อย่างละเอียดรอบคอบให้ถูกต้อง ครบถ้วนในทุกมิติก่อนอย่างเคร่งครัดด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
231 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (นายวัลลภ นาคบัว และพันตำรวจโท พงษ์ธร ธัญญสิริ) | ยธ | 12/05/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงยุติธรรม ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน ๒ ราย ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป เพื่อสับเปลี่ยนหมุนเวียน ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมเสนอ ดังนี้
๑. นายวัลลภ นาคบัว ดำรงตำแหน่งรองปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ๒. พันตำรวจโท พงษ์ธร ธัญญสิริ ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานกิจการยุติธรรม
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
232 | โครงการเสริมสร้างและยกระดับความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านในการยุติแหล่งผลิตยาเสพติดและทำลายเครือข่ายการค้ายาเสพติดระหว่างประเทศ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 | ยธ | 05/05/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติโครงการเสริมสร้างและยกระดับความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านในการยุติแหล่งผลิตยาเสพติดและทำลายเครือข่ายการค้ายาเสพติดระหว่างประเทศ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ เพื่อสนับสนุนงบประมาณให้แก่ประเทศเพื่อนบ้าน จำนวน ๒๐ ล้านบาท โดยเบิกจ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ งบเงินอุดหนุน ของสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ๑.๒ อนุมัติให้เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดมีอำนาจอนุมัติโครงการ แผนงาน และกิจกรรมภายใต้กรอบงบประมาณ งบเงินอุดหนุน รายการโครงการเสริมสร้างและยกระดับความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านในการยุติแหล่งผลิตยาเสพติดและทำลายเครือข่ายการค้ายาเสพติดระหว่างประเทศ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ และสามารถจ่ายเงินงบประมาณสนับสนุนหน่วยงานกลางด้านยาเสพติดของประเทศเพื่อนบ้านแต่ละประเทศ เพื่อให้มีการดำเนินการให้บรรลุวัตถุประสงค์ของโครงการฯ ตามที่ได้รับจัดสรร ๒. ให้กระทรวงยุติธรรม (สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด) รับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควร (๑) ให้ความสำคัญกับการกำหนดองค์ประกอบของโครงการฯ ที่ระบุถึงความสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ การกำหนดให้มีมาตรการ กลยุทธ์ เป้าหมาย และตัวชี้วัดที่ชัดเจน รวมทั้งกลไกติดตามประเมินผลและวงเงินที่จะดำเนินการตามแผนให้ประสบผลสำเร็จและเป็นไปตามระเบียบและข้อบังคับที่เกี่ยวข้องโดยเคร่งครัด รวมถึงการจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นของผู้เกี่ยวข้องและวิเคราะห์ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นอย่างรอบด้าน (๒) ขั้นตอนการใช้จ่ายเบิกจ่ายงบประมาณ และการจัดซื้อจัดจ้าง ควรดำเนินการตามขั้นตอน กฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง โดยจะต้องคำนึงถึงความประหยัด ความคุ้มค่า ความมั่นคง และความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อประโยชน์สูงสุดของราชการเป็นสำคัญ และ (๓) สนับสนุนให้ประเทศเพื่อนบ้านแต่ละประเทศให้ความสำคัญกับการให้ความรู้กับประชาชนเพื่อเสริมสร้างภูมิคุ้มกันไม่ให้เข้าไปเกี่ยวข้องกับยาเสพติด และขบวนการค้ายาเสพติด พร้อมทั้งสร้างแนวร่วมกับประชาชนในการป้องกัน และแก้ไขปัญหายาเสพติด ซึ่งจะเป็นแนวทางหนึ่งที่จะทำให้การดำเนินงานมีประสิทธิภาพมากขึ้นและเกิดความยั่งยืน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
233 | รายงานสรุปผลการประชุมคณะกรรมาธิการยาเสพติด สมัยที่ 63 | ยธ | 28/04/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสรุปผลการประชุมคณะกรรมาธิการยาเสพติด (Commission on Narcotic Drugs : CND) สมัยที่ ๖๓ ระหว่างวันที่ ๒-๖ มีนาคม ๒๕๖๓ ณ สำนักงานยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ (United Nations Office on Drugs and Crime : UNODC) ณ กรุงเวียนนา สาธารณรัฐออสเตรีย ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ในการประชุม CND สมัยที่ ๖๓ มีคณะผู้แทนไทยเข้าร่วมกิจกรรมที่สำคัญเพื่อประกาศความสำเร็จในการดำเนินงานด้านการพัฒนาทางเลือกต่อเนื่อง ๕๐ ปี ตามแนวทางศาสตร์พระราชาแก้ไขปัญหายาเสพติดบนพื้นที่สูง ภายใต้การดำเนินงานของมูลนิธิโครงการหลวง ๒. การประชุมต่อเนื่องของ CND สมัยที่ ๖๓ ได้มีการหารือเพิ่มเติมในประเด็นการผลิตและแพร่ระบาดที่เพิ่มขึ้นทั่วโลกของยาเสพติดชนิดสังเคราะห์โดยเฉพาะเมทแอมเฟตามีน ความพยายามที่จะให้ความสำคัญกับเยาวชนและมาตรการป้องกันเพิ่มขึ้น รวมทั้งประเด็นการหารือเรื่องการเปลี่ยนแปลงขอบเขตการควบคุมกัญชาและสารที่เกี่ยวข้องกับกัญชาภายใต้อนุสัญญาควบคุมยาเสพติดระหว่างประเทศ โดยที่ประชุมมีความเห็นที่แตกต่างกันของประเทศสมาชิก จึงเห็นชอบให้จัดการหารือเพิ่มเติมและพิจารณาประเด็นดังกล่าวอีกครั้งในการประชุมต่อเนื่องฯ ช่วงเดือนธันวาคม ๒๕๖๓ ๓. การแสดงบทบาทอื่น ๆ ที่สำคัญของไทยในฐานะที่เป็นสมาชิกของ CND เช่น คัดเลือกผู้แทนเยาวชนไทยเข้าร่วมการประชุมเยาวชน หรือ Youth Forum ระหว่างวันที่ ๒-๔ มีนาคม ๒๕๖๓ ซึ่งจัดในช่วงการประชุม CND เป็นประจำทุกปี และสนับสนุนการพิจารณาควบคุมสารเสพติดและวัตถุออกฤทธิต่อจิตและประสาทภายใต้อนุสัญญาควบคุมยาเสพติดระหว่างประเทศ ๓ ฉบับ ได้แก่ (๑) อนุสัญญาเดี่ยวว่าด้วยยาเสพติดให้โทษ ค.ศ. ๑๙๖๑ และแก้ไขเพิ่มเติมโดยพิธีสาร ค.ศ. ๑๙๗๒ (๒) อนุสัญญาว่าด้วยวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท ค.ศ. ๑๙๗๑ และ (๓) อนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการต่อต้านการลักลอบค้ายาเสพติดและวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท ค.ศ. ๑๙๘๘ จำนวน ๑๔ รายการ เป็นต้น
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
234 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (พันตำรวจโท กรวัชร์ ปานประภากร) | ยธ | 28/04/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง พันตำรวจโท กรวัชร์ ปานประภากร ข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ กระทรวงยุติธรรม ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ผู้ครองตำแหน่งอยู่เดิมได้รับอนุญาตให้ลาออก ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
235 | รายงานประจำปี 2562 ของกองทุนยุติธรรม | ยธ | 21/04/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานประจำปี ๒๕๖๒ ของกองทุนยุติธรรม ประกอบด้วย ข้อมูลสถิติด้านการเงิน : ค่าใช้จ่ายในกิจการสำนักงานกองทุนยุติธรรม ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ ผลการดำเนินงานที่สำคัญของกองทุนยุติธรรม และรายงานการเงินของกองทุนยุติธรรม ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๖๒ ซึ่งอยู่ระหว่างการตรวจสอบของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
236 | รายงานผลการเข้าเยี่ยมคารวะและหารือข้อราชการระหว่างรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมญี่ปุ่นกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม และการลงนามร่างบันทึกความ ร่วมมือระหว่างกระทรวงยุติธรรมแห่งราชอาณาจักรไทยและกระทรวงยุติธรรมแห่งประเทศญี่ปุ่นในสาขากฎหมายและการบริหารงานยุติธรรม | ยธ | 07/04/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการเข้าเยี่ยมคารวะและหารือข้อราชการระหว่างรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมญี่ปุ่นกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เมื่อวันที่ ๑๓ ธันวาคม ๒๕๖๒ ณ กรุงเทพมหานคร ซี่งทั้งสองฝ่ายได้หารือข้อราชการใน ๓ ประเด็น ได้แก่ (๑) การยกระดับความร่วมมือระหว่างกระทรวงยุติธรรมไทยและกระทรวงยุติธรรมญี่ปุ่น (๒) การพัฒนาความร่วมมือด้านกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมของประเทศญี่ปุ่นกับภูมิภาคอาเซียน และ (๓) การประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการป้องกันอาชญากรรมและความยุติธรรมทางอาญา สมัยที่ ๑๔ (the 14th United Nations Congress on Crime Prevention and Criminal Justice-UN Crime Congress) รวมทั้งได้ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือระหว่างกระทรวงยุติธรรมแห่งราชอาณาจักรไทยและกระทรวงยุติธรรมแห่งประเทศญี่ปุ่นในสาขากฎหมายและการบริหารงานยุติธรรม (Memorandum of Cooperation between the Ministry of Justice of the Kingdom of Thailand and the Ministry of Justice of Japan in the Field of Legal and Justice Administration) ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
237 | ร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการจ่ายเงินค่าตอบแทนผู้แจ้งความนำจับ เงินค่าตอบแทนเจ้าหน้าที่ และเงินช่วยเหลือในการปฏิบัติงานยาเสพติด (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | ยธ | 07/04/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการจ่ายเงินค่าตอบแทนผู้แจ้งความนำจับ เงินค่าตอบแทนเจ้าหน้าที่ และเงินช่วยเหลือในการปฏิบัติงานยาเสพติด (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการจ่ายเงินค่าตอบแทนผู้แจ้งความนำจับ เงินค่าตอบแทนเจ้าหน้าที่ และเงินช่วยเหลือในการปฏิบัติงานยาเสพติด พ.ศ. ๒๕๖๑ เกี่ยวกับการกำหนดหลักเกณฑ์การจ่ายเงินค่าตอบแทนผู้แจ้งความนำจับและเจ้าหน้าที่ ในคดียึดได้แต่ยาเสพติด คดีจับผู้ต้องหาพร้อมยาเสพติด คดีที่จับผู้ค้าหรือนายทุนผู้อยู่เบื้องหลังซึ่งเป็นคดีที่ขยายผลจากคดียาเสพติดที่มีหรือเคยมีอยู่ก่อน และคดีที่ผู้ต้องหาได้จำหน่ายยาเสพติดให้แก่เด็กหรือเยาวชน ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงยุติธรรมรับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาที่เห็นว่า (๑) ร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการจ่ายเงินค่าตอบแทนผู้แจ้งความนำจับ เงินค่าตอบแทนเจ้าหน้าที่ และเงินช่วยเหลือในการปฏิบัติงานยาเสพติด (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีการปรับหลักเกณฑ์การจ่ายเงินค่าตอบแทนผู้แจ้งความนำจับ เงินค่าตอบแทนเจ้าหน้าที่ และเงินช่วยเหลือในการปฏิบัติงานยาเสพติด ซี่งมีผลผูกพันทรัพย์สินหรือก่อให้เกิดภาระทางการเงินการคลังแก่รัฐ ซึ่งจะต้องพิจารณาความคุ้มค่า ต้นทุน และผลประโยชน์ เสถียรภาพและความมั่นคงทางเศรษฐกิจและสังคม ตลอดจนความยั่งยืนทางการคลังของรัฐด้วย ทั้งนี้ เพื่อให้เป็นไปตามบทบัญญัติมาตรา ๗ แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ และ (๒) ควรกำหนดเงินค่าตอบแทนให้เหมาะสมตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการพลเรือน เช่น เงินเพิ่มสำหรับตำแหน่งที่มีเหตุพิเศษ ซึ่งจะมีความเหมาะสมกว่าการกำหนดค่าตอบแทนตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการจ่ายเงินค่าตอบแทนผู้แจ้งความนำจับ เงินค่าตอบแทนเจ้าหน้าที่ และเงินช่วยเหลือในการปฏิบัติงานยาเสพติด พ.ศ. ๒๕๖๑ โดยกระทรวงยุติธรรมควรทบทวนการจ่ายเงินค่าตอบแทนเจ้าหน้าที่ซึ่งปฏิบัติงานด้านการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดในระยะยาวอย่างเป็นระบบและไม่ซ้ำซ้อนกัน โดยคำนึงถึงมาตรการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการและการขัดกันของผลประโยชน์ด้วย ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
238 | ขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2563 โดยขออนุมัติผูกพันงบประมาณรายการค่าเช่าอุปกรณ์เครื่องมือติดตามตัวอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Monitoring : EM) พร้อมระบบที่เกี่ยวข้อง จำนวน 30,000 เครื่อง วงเงิน 832.50 ล้านบาท | ยธ | 31/03/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้กระทรวงยุติธรรม (กรมคุมประพฤติ) ดำเนินการโครงการนำอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ติดตามตัวมาใช้เพื่อเป็นมาตรการทางเลือกแทนการลงโทษ ภายในกรอบวงเงิน ๘๗๗,๒๖๔,๒๐๐ บาท โดยผูกพันงบประมาณปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓-๒๕๖๕ ประกอบด้วย ค่าเช่าอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ติดตามตัว (Electronic Monitoring : EM) พร้อมระบบที่เกี่ยวข้อง จำนวน ๓๐,๐๐๐ เครื่อง ระยะเวลา ๓๐ เดือน เป็นวงเงินจำนวน ๘๓๒,๕๐๐,๐๐๐ บาท และค่าใช้จ่ายสำหรับบริหารจัดการโครงการ จำนวน ๔๔,๗๖๔,๒๐๐ บาท โดยให้กรมคุมประพฤติดำเนินการต่อรองราคากับผู้รับจ้างจนถึงที่สุด โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของทางราชการเป็นสำคัญด้วย ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้ ให้กระทรวงยุติธรรมดำเนินการให้ถูกต้องครบถ้วนเป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัดด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
239 | ร่างพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | ยธ | 10/03/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการยกเลิกพืชกระท่อมออกจากการเป็นยาเสพติดให้โทษประเภท ๕ และยกเลิกบทกำหนดโทษในความผิดเกี่ยวกับพืชกระท่อม เพื่อเป็นการควบคุมพืชกระท่อมให้มีความเหมาะสมและสอดคล้องกับสภาพของสังคมไทย รวมทั้งส่งเสริมและพัฒนาการใช้ประโยชน์จากพืชกระท่อมในเชิงพาณิชย์อุตสาหกรรม เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่เห็นควรมีมาตรการทางกฎหมายควบคุมการใช้และการเข้าถึงพืชกระท่อมของเด็กและเยาวชนอาจมีลักษณะเช่นเดียวกับการควบคุมยาสูบหรือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ตลอดจนศึกษาว่าผู้ใช้พืชกระท่อมยังสามารถควบคุมยานพาหนะหรือเครื่องจักรได้ตามปกติหรือไม่ และเพิ่มบทเฉพาะกาลเพื่อขยายระยะเวลาการบังคับใช้ออกไปจนกว่ามาตรการควบคุมต่าง ๆ จะเสร็จสิ้น ไปประกอบการพิจารณาด้วย ทั้งนี้ ให้กระทรวงยุติธรรมเสนอประเด็นการปรับแก้ไขร่างพระราชบัญญัติในเรื่องนี้ต่อคณะกรรมการควบคุมยาเสพติดให้โทษ แล้วแจ้งผลการพิจารณาของคณะกรรมการดังกล่าวไปยังสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเพื่อประกอบการตรวจพิจารณาตามความเห็นของกระทรวงสาธารณสุข แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรต่อไป ๒. ให้กระทรวงยุติธรรมรับความเห็นของกระทรวงมหาดไทย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงานศาลยุติธรรม สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และสำนักงบประมาณที่เห็นควร (๑) พิจารณาให้มีกฎหมายอื่นรองรับเพื่อควบคุมและกำกับการนำพืชกระท่อมไปใช้ในผลิตภัณฑ์อื่น ๆ และการนำไปใช้ในทางที่ไม่ถูกต้อง (๒) หากมีการยกเลิกพืชกระท่อมหน่วยงานของรัฐควรมีกฎหมายหรือมาตรการควบคุมการเข้าถึงพืชกระท่อมของเด็กและเยาวชน รวมถึงควบคุมการใช้แบบผิดวิธีที่ชัดเจน ก็สามารถนำพืชกระท่อมมาใช้ให้เกิดประโยชน์ได้ (๓) เนื่องจากพืชกระท่อมมีฤทธิ์ต่อจิตและประสาท ควรมีการควบคุมการใช้พืชกระท่อมโดยเฉพาะในกลุ่มเด็กและเยาวชน อาทิ กำหนดอายุขั้นต่ำของผู้ที่จะใช้พืชกระท่อม เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อสุขภาพในระยะยาว (๔) หากรัฐบาลมีนโยบายที่ชัดเจน มีผลการศึกษาวิจัยเป็นที่ประจักษ์ว่า ไม่ควรจัดให้พืชกระท่อมเป็นยาเสพติดให้โทษประเภท ๕ อีกต่อไป รวมทั้งมีการรับฟังความคิดเห็นและสร้างการรับรู้ที่ถูกต้องแก่ประชาชนให้เข้าใจถูกต้องครบถ้วนแล้ว ก็สามารถดำเนินการได้ และ (๕) ควรเร่งสร้างความรับรู้และความเข้าใจที่ถูกต้องให้แก่บุคคลทั่วไป โดยเฉพาะในกลุ่มเด็กและเยาวชนเกี่ยวกับการใช้พืชกระท่อมในทางที่ถูกต้อง และป้องกันการใช้พืชกระท่อมในทางที่ผิด เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ในการนำพืชกระท่อมมาใช้ประโยชน์ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงยุติธรรมร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดเร่งสร้างความรับรู้และความเข้าใจที่ถูกต้องให้แก่ประชาชนทั่วไปในภูมิภาคต่าง ๆ ของประเทศไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มเด็กและเยาวชนเกี่ยวกับการใช้พืชกระท่อมและการนำพืชกระท่อมไปใช้ให้เกิดประโยชน์ในด้านต่าง ๆ ในทางที่ถูกต้องต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
240 | (ร่าง) แผนแม่บทการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติ ฉบับที่ 3 (พ.ศ. 2562-2565) | ยธ | 10/03/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบ (ร่าง) แผนแม่บทการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติ ฉบับที่ ๓ (พ.ศ. ๒๕๖๒-๒๕๖๕) โดยมีวิสัยทัศน์ “การบริหารงานยุติธรรมมีธรรมาภิบาลและทันสมัย สร้างสังคมไทยเคารพกฎหมาย มีความปลอดภัยและสงบสุข” พันธกิจ เช่น เสริมสร้างการป้องกันการกระทำผิดโดยสร้างความรู้ความเข้าใจด้านความยุติธรรมและกฎหมาย ปรับปรุงและพัฒนากระบวนการไกล่เกลี่ยเพื่อใช้ระงับข้อพิพาทหรือยุติความขัดแย้ง โดยให้ประชาชนมีส่วนร่วมและสามารถเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมได้สะดวกและง่าย และเพิ่มประสิทธิภาพการอำนวยความยุติธรรมให้กับประชาชน โดยการพัฒนากฎหมายและระบบบริหารงานยุติธรรม มีเป้าหมาย ได้แก่ การบริหารงานยุติธรรมที่มีธรรมาภิบาลและโปร่งใส และสังคมมีความสงบเรียบร้อย ประชาชนมีความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน และประกอบด้วย ๕ ยุทธศาสตร์ ได้แก่ (๑) การเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจและการมีส่วนร่วมด้านกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม (๒) การส่งเสริมและพัฒนากระบวนการไกล่เกลี่ยระงับข้อพิพาททั้งทางอาญา ทางแพ่งและพาณิชย์ และทางปกครอง (๓) การพัฒนากฎหมายและระบบบริหารงานยุติธรรม (๔) พัฒนาระบบการปฏิบัติต่อผู้กระทำผิด และ (๕) การขับเคลื่อนกระบวนการยุติธรรมด้วยดิจิทัล ตามที่คณะกรรมการพัฒนาการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติเสนอ ๑.๒ ให้หน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องนำไปใช้เป็นกรอบทิศทางและแนวทางดำเนินงาน รวมทั้งใช้เป็นกรอบแนวทางในการเสนอคำของบประมาณในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔-๒๕๖๕ ๑.๓ ให้สำนักงบประมาณใช้เป็นแนวทางการจัดสรรงบประมาณในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔-๒๕๖๕ แก่หน่วยงานในกระบวนการยุติธรรม ๑.๔ ให้สำนักงานกิจการยุติธรรม กระทรวงยุติธรรม ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการพัฒนาการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติเป็นผู้รับผิดชอบดำเนินการประสาน สนับสนุน ติดตามประเมินผลเพื่อการดำเนินงานขับเคลื่อนแผนแม่บทฯ ไปสู่การปฏิบัติและรายงานผลต่อคณะรัฐมนตรีอย่างต่อเนื่อง ๒. ให้กระทรวงยุติธรรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติที่เห็นควรพิจารณาใช้คำว่า “การรณรงค์” หรือ “การส่งเสริม” แทนการใช้คำว่า “การสร้างแรงจูงใจ” ในแนวทางการขับเคลื่อนเพื่อให้เกิดผลในทางปฏิบัติในทุก ๆ ขั้นตอนของกระบวนการยุติธรรม เนื่องจากการเคารพกฎหมายเป็นหน้าที่ของประชาชนที่จะต้องรับรู้และปฏิบัติตาม และหากมีการกำหนดโครงการสำคัญเร่งด่วนที่จะนำไปสู่การบรรลุยุทธศาสตร์ที่ชัดเจนก็จะเป็นแนวทางในการขับเคลื่อนแผนแม่บทฯ ให้บรรลุผลสัมฤทธิ์ เป็นต้น ไปดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
.....