ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 16 จากทั้งหมด 97 หน้า แสดงรายการที่ 301 - 320 จากข้อมูลทั้งหมด 1930 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
301 | รายงานผลการปฏิบัติงานของเจ้าพนักงาน ป.ป.ส. ในการปราบปรามยาเสพติด ประจำปี พ.ศ. 2560 | ยธ | 07/05/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานผลการปฏิบัติงานของเจ้าพนักงาน ป.ป.ส. ในการปราบปรามยาเสพติด ประจำปี พ.ศ. ๒๕๖๐ ประกอบด้วย ผลการจับกุมคดียาเสพติดทั่วประเทศ รวม ๑๘๑,๘๐๖ คดี ปัญหาอุปสรรคในเรื่องการใช้อำนาจตรวจสถานประกอบการ โดยเจ้าพนักงาน ป.ป.ส. ไม่รายงานการปฏิบัติหน้าที่ตามระเบียบที่เกี่ยวข้อง การสอบสวนผู้ต้องหาคดียาเสพติดในกรณีเป็นจำเลยที่อยู่ระหว่างการพิจารณาคดีชั้นศาลหรือเป็นผู้ต้องโทษแล้ว ไม่สามารถรับฟังเป็นพยานหลักฐานได้ การส่งหนังสือสอบถามหรือเรียกบุคคลหรือเจ้าหน้าที่ หรือให้ส่งบัญชีเอกสารให้ตรวจอบไม่ได้รับความร่วมมือจากภาคเอกชน และการใช้อำนาจควบคุมตัว โดยเจ้าพนักงาน ป.ป.ส. ไม่ปฏิบัติตามระเบียบที่กำหนดเรื่องสถานที่ควบคุมตัวผู้ถูกจับกุม และได้มีข้อเสนอแนะ รวม ๒ ประเด็น ได้แก่ (๑) การใช้อำนาจของเจ้าพนักงาน ป.ป.ส. เช่น ควรมีมาตรการในการคัดสรรเจ้าพนักงาน ป.ป.ส. จากบุคคลที่ผ่านการฝึกอบรมตามหลักสูตรที่เลขาธิการ ป.ป.ส. กำหนด และต้องจัดให้มีการทดสอบวัดระดับความรู้ทั้งก่อนและหลังการอบรมเพื่อให้สามารถนำความรู้ไปใช้ปฏิบัติหน้าที่ได้จริง เป็นต้น และ (๒) การกำกับและดูแลการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าพนักงาน ป.ป.ส. โดยควรมีมาตรการให้เจ้าพนักงาน ป.ป.ส. รายงานผลการปฏิบัติหน้าที่เพื่อใช้เป็นข้อมูลในการตรวจสอบการใช้อำนาจจากองค์กรต่าง ๆ และประชาชน และสำนักงาน ป.ป.ส. หัวหน้าส่วนราชการหรือผู้บังคับบัญชาต้องควบคุม กำกับดูแล และตรวจสอบการปฏิบัติหน้าที่และใช้อำนาจของเจ้าพนักงาน ป.ป.ส. ให้ปฏิบัติหน้าที่โดยสุจริตอย่างต่อเนื่อง ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ และให้เสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๒. เห็นชอบให้นำข้อสังเกตของสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีที่เห็นว่า รายงานดังกล่าวได้แสดงถึงปัญหาอุปสรรคในการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าพนักงาน ป.ป.ส. มาจากการขาดความรู้ด้านกฎหมายที่เกี่ยวข้อง และขาดมาตรการในการควบคุม กำกับดูแล และตรวจสอบการปฏิบัติหน้าที่และใช้อำนาจของเจ้าพนักงาน ป.ป.ส. ซึ่งสำนักงาน ป.ป.ส. ควรดำเนินการตามข้อเสนอแนะในรายงานฯ อย่างเคร่งครัดและต่อเนื่องต่อไป เป็นข้อสังเกตของคณะรัฐมนตรี และนำเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
302 | การรายงานความคืบหน้าการดำเนินการเกี่ยวกับการจัดทำกฎหมายและการดำเนินการโดยวิธีการอื่นนอกเหนือจากการจัดทำกฎหมายเพื่อให้สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ประจำเดือนมีนาคม 2562 ต่อคณะรัฐมนตรี | ยธ | 30/04/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการรายงานความคืบหน้าการดำเนินการเกี่ยวกับการจัดทำกฎหมายและการดำเนินการโดยวิธีการอื่นนอกเหนือจากการจัดทำกฎหมายเพื่อให้สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ประจำเดือนมีนาคม ๒๕๖๒ ต่อคณะรัฐมนตรี ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. กฎหมายที่ต้องจัดทำภายใน ๔-๘ เดือน นับจากวันประกาศใช้รัฐธรรมนูญ จำนวน ๑๖ เรื่อง ได้รับการรายงานครบแล้ว จำนวน ๑๖ เรื่อง และเป็นกฎหมายที่ต้องจัดทำทั้งหมด จำนวน ๑๖ เรื่อง โดยเป็นกฎหมายที่อยู่ระหว่างการจัดทำ จำนวน ๑ ฉบับ และเป็นกฎหมายที่มีผลใช้บังคับแล้ว จำนวน ๑๕ ฉบับ ๒. กฎหมายที่ต้องจัดทำภายใน ๑-๒ ปี นับจากวันประกาศใช้รัฐธรรมนูญ จำนวน ๖ เรื่อง ได้รับการรายงานครบแล้ว จำนวน ๖ เรื่อง เป็นกฎหมายต้องจัดทำทั้งหมด จำนวน ๘ ฉบับ โดยเป็นกฎหมายที่อยู่ระหว่างการจัดทำ จำนวน ๔ ฉบับ และเป็นกฎหมายที่มีผลใช้บังคับแล้ว จำนวน ๔ ฉบับ ๓. กฎหมายที่ต้องจัดทำโดยไม่กำหนดระยะเวลา แต่ควรดำเนินการภายใน ๑-๒ ปี นับจากวันประกาศใช้รัฐธรรมนูญ จำนวน ๓๗ เรื่อง ได้รับการรายงานครบแล้ว จำนวน ๓๗ เรื่อง เป็นกฎหมายที่ต้องจัดทำ จำนวน ๗๘ ฉบับ โดยเป็นกฎหมายที่อยู่ระหว่างจัดทำ จำนวน ๓๙ ฉบับ และเป็นกฎหมายที่มีผลใช้บังคับแล้ว จำนวน ๓๙ ฉบับ ๔. การดำเนินการโดยวิธีการอื่นนอกเหนือจากการจัดทำกฎหมาย จำนวน ๓๐ เรื่อง ได้รับการรายงานครบแล้ว จำนวน ๓๐ เรื่อง ๕. มาตรการปฏิรูปประเทศ รวมทั้งที่ต้องจัดทำกฎหมาย และการดำเนินการโดยวิธีอื่น ๆ จำนวน ๓๘ เรื่อง ได้รับการรายงานครบแล้ว จำนวน ๓๘ เรื่อง
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
303 | การรายงานความคืบหน้าการดำเนินการเกี่ยวกับการจัดทำกฎหมายและการดำเนินการโดยวิธีการอื่นนอกเหนือจากการจัดทำกฎหมายเพื่อให้สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ประจำเดือนกุมภาพันธ์ 2562 ต่อคณะรัฐมนตรี | ยธ | 26/03/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการรายงานความคืบหน้าการดำเนินการเกี่ยวกับการจัดทำกฎหมายและการดำเนินการโดยวิธีการอื่นนอกเหนือจากการจัดทำกฎหมายเพื่อให้สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ประจำเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๖๒ ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. กฎหมายที่ต้องจัดทำภายใน ๔-๘ เดือน นับจากวันประกาศใช้รัฐธรรมนูญ จำนวน ๑๖ เรื่อง ได้รับการรายงานครบแล้ว จำนวน ๑๖ เรื่อง และเป็นกฎหมายที่ต้องจัดทำทั้งหมด จำนวน ๑๖ ฉบับ โดยเป็นกฎหมายที่อยู่ระหว่างการจัดทำ จำนวน ๑ ฉบับ และเป็นกฎหมายที่มีผลใช้บังคับแล้ว จำนวน ๑๕ ฉบับ ๒. กฎหมายที่ต้องจัดทำภายใน ๑-๒ ปี นับจากวันประกาศใช้รัฐธรรมนูญ จำนวน ๖ เรื่อง ได้รับการรายงานครบแล้ว จำนวน ๖ เรื่อง เป็นกฎหมายที่ต้องจัดทำทั้งหมด จำนวน ๘ ฉบับ โดยเป็นกฎหมายที่อยู่ระหว่างการจัดทำ จำนวน ๔ ฉบับ และเป็นกฎหมายที่มีผลใช้บังคับแล้ว จำนวน ๔ ฉบับ ๓. กฎหมายที่ต้องจัดทำโดยไม่กำหนดระยะเวลา แต่ควรดำเนินการภายใน ๑-๒ ปี นับจากวันประกาศใช้รัฐธรรมนูญ จำนวน ๓๗ เรื่อง ได้รับการรายงานครบแล้ว จำนวน ๓๗ เรื่อง เป็นกฎหมายที่ต้องจัดทำทั้งหมด จำนวน ๗๘ ฉบับ โดยเป็นกฎหมายที่อยู่ระหว่างจัดทำ จำนวน ๔๑ ฉบับ และเป็นกฎหมายที่มีผลใช้บังคับแล้ว จำนวน ๓๗ ฉบับ ๔. การดำเนินการโดยวิธีการอื่นนอกเหนือจากการจัดทำกฎหมาย จำนวน ๓๐ เรื่อง ได้รับการรายงานครบแล้ว จำนวน ๓๐ เรื่อง ๕. มาตรการปฏิรูปประเทศ รวมทั้งที่ต้องจัดทำกฎหมาย และการดำเนินการโดยวิธีอื่น ๆ จำนวน ๓๘ เรื่อง ได้รับการายงานครบแล้ว จำนวน ๓๘ เรื่อง
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
304 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดประเภท ชนิด และขนาดของเครื่องพันธนาการที่ใช้แก่เด็กและเยาวชน พ.ศ. .... | ยธ | 26/03/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดประเภท ชนิด และขนาดของเครื่องพันธนาการที่ใช้แก่เด็กและเยาวชน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดประเภท ชนิด และขนาดของเครื่องพันธนาการที่ใช้แก่เด็กและเยาวชนที่อยู่ในการควบคุมของเจ้าพนักงานพินิจ สำหรับใช้ในกรณีที่มีเหตุจำเป็นเพื่อป้องกันการหลบหนี เมื่อนำตัวเยาวชนออกมานอกสถานที่ควบคุม หรือเพื่อความปลอดภัยของเด็กและเยาวชนเองหรือบุคคลอื่นในกรณีที่เกิดความไม่สงบในสถานที่ควบคุม อันเป็นการดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมายว่าด้วยการบริหารการแก้ไขบำบัดฟื้นฟูเด็กและเยาวชนที่กระทำผิด ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์และนำข้อสังเกตของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเกี่ยวกับเงื่อนไขการใช้เครื่องพันธนาการแก่เด็กและเยาวชนตามที่กำหนดในร่างข้อ ๓ อาจยังไม่สอดคล้องกับข้อกำหนดมาตรฐานขั้นต่ำแห่งสหประชาชาติ ว่าด้วยการปฏิบัติต่อผู้ต้องโทษหญิงในเรือนจำและมาตรการที่มิใช่การคุมขังสำหรับผู้กระทำความผิดหญิง ข้อ ๒๔ ที่กำหนดหลักการห้ามใช้เครื่องพันธนาการไม่ว่ากรณีใด ๆ กับผู้ต้องโทษหญิงในระหว่างที่หญิงนั้นเจ็บครรภ์ใกล้คลอดบุตรหรือในระหว่างคลอดบุตร รวมถึงภายหลังจากคลอดบุตรโดยพลันด้วย เพื่อคุ้มครองความปลอดภัยในชีวิต ร่างกาย และอนามัยของผู้ต้องโทษหญิงและบุตรของผู้ต้องโทษหญิงนั้น จากภยันตรายที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้เครื่องพันธนาการ ซึ่งหลักการดังกล่าวย่อมนำมาใช้กับเด็กและเยาวชนหญิงที่กระทำความผิด ซึ่งอยู่ในภาวะตั้งครรภ์ด้วย ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
305 | โครงการเสริมสร้างและยกระดับความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านในการยุติแหล่งผลิตและทำลายเครือข่ายการค้ายาเสพติดระหว่างประเทศ ปี 2562 (สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ราชอาณาจักรกัมพูชา และสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม) | ยธ | 26/03/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติให้สำนักงาน ป.ป.ส. ดำเนินโครงการเสริมสร้างและยกระดับความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านในการยุติแหล่งผลิตและทำลายเครือข่ายการค้ายาเสพติดระหว่างประเทศ ปี ๒๕๖๒ (สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ราชอาณาจักรกัมพูชา และสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม) ในวงเงิน ๒๔,๗๙๔,๐๐๐ บาท โดยเบิกจ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ ของสำนักงาน ป.ป.ส. แผนงานบูรณาการป้องกัน ปราบปราม และบำบัดรักษาผู้ติดยาเสพติด งบเงินอุดหนุน รายการโครงการเสริมสร้างและยกระดับความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านในการยุติแหล่งผลิตยาเสพติดและทำลายเครือข่ายการค้ายาเสพติดระหว่างประเทศ จำนวน ๒๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท และงบประมาณเหลือจ่ายที่บรรลุวัตถุประสงค์ภายใต้แผนงานบูรณาการเดียวกัน รวม ๓ รายการ จำนวน ๔,๗๙๔,๐๐๐ บาท ประกอบด้วย โครงการปราบปรามยาเสพติด งบรายจ่ายอื่น รายการโครงการแก้ไขปัญหาฝิ่น ยาเสพติดและความมั่นคงพื้นที่อำเภออมก๋อย จังหวัดเชียงใหม่ จำนวน ๑,๔๑๕,๐๐๐ บาท งบเงินอุดหนุน รายการเงินอุดหนุนโครงการขยายผลโครงการหลวงเพื่อแก้ปัญหาพื้นที่ปลูกฝิ่นอย่างยั่งยืน จำนวน ๒,๔๗๔,๖๗๔ บาท โครงการป้องกันยาเสพติด งบเงินอุดหนุน รายการเงินอุดหนุนเพื่อการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด จำนวน ๙๐๔,๓๒๖ บาท รวมทั้งอนุมัติให้เลขาธิการ ป.ป.ส. มีอำนาจอนุมัติโครงการ แผนงาน และกิจกรรม ภายใต้กรอบงบประมาณ งบเงินอุดหนุน รายการโครงการดังกล่าว ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ และสามารถจ่ายเงินงบประมาณสนับสนุนหน่วยงานกลางด้านยาเสพติดของประเทศเพื่อนบ้านแต่ละประเทศ เพื่อให้สามารถดำเนินการให้บรรลุวัตถุประสงค์ของโครงการ ๑.๒ สำหรับขั้นตอนการใช้จ่ายและเบิกจ่ายงบประมาณ รวมทั้งการจัดซื้อจัดจ้าง เห็นควรให้กระทรวงยุติธรรม โดยสำนักงาน ป.ป.ส. ดำเนินการตามขั้นตอน กฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง โดยจะต้องคำนึงถึงความประหยัด ความคุ้มค่า ความมั่นคง และความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อประโยชน์สูงสุดของราชการเป็นสำคัญ ส่วนการขอยกเว้นไม่ปฏิบัติตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. ๒๕๖๐ ให้เป็นไปตามความเห็นของกระทรวงการคลัง ๒. ในส่วนของการดำเนินการปรับปรุงศูนย์การเรียนรู้เพื่อการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ณ กรุงย่างกุ้ง สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา โดยขอยกเว้นไม่ปฏิบัติตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. ๒๕๖๐ ข้อ ๒๑๕ เป็นกรณีพิเศษ นั้น ให้กระทรวงยุติธรรม (สำนักงานคณะกรรมป้องกันและปราบปรามยาเสพติด) ดำเนินการขอยกเว้นการไม่ปฏิบัติตามระเบียบดังกล่าวต่อคณะกรรมการวินิจฉัยปัญหาการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐตามนัยมาตรา ๒๙ (๔) แห่งพระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. ๒๕๖๐ ตามความเห็นของกระทรวงการคลังต่อไป ๓. ให้กระทรวงยุติธรรม (สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด) รับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เช่น การดำเนินโครงการในระยะต่อไป ควรพิจารณาแนวทางเสริมสร้างความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านที่เป็นการสนับสนุนการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนกลุ่มเสี่ยงบริเวณชายแดนที่ก่อให้เกิดความยั่งยืนและประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้น และควรให้มีการติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผลการดำเนินการของโครงการฯ ที่ได้รับการจัดสรรเงินอุดหนุนอย่างเป็นธรรม เพื่อให้การใช้งบประมาณแผ่นดินบรรลุวัตถุประสงค์และเป้าหมายอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
306 | การดำเนินโครงการทนายความอาสาประจำสถานีตำรวจ ภายใต้แผนการปฏิรูปประเทศที่มีความจำเป็นเร่งด่วน (Quick Win) | ยธ | 19/03/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบโครงการทนายความอาสาประจำสถานีตำรวจ ภายใต้แผนการปฏิรูปประเทศที่มีความจำเป็นเร่งด่วน (Quick Win) ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ผู้ต้องหา ผู้เสียหาย และประชาชนทั่วไปเข้าถึงความยุติธรรมได้อย่างรวดเร็ว ประหยัดค่าใช้จ่าย ลดปริมาณคดีขึ้นสู่ศาล และลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม โดยมีแผนดำเนินโครงการฯ เช่น จัดทนายความอาสาประจำสถานีตำรวจ ๑๕๐ สถานี ในช่วงเดือนเมษายน-กันยายน ๒๕๖๒ และจัดทนายความอาสาตอบปัญหากฎหมายทางเว็บไซต์ที่ทำการสภาทนายความ เป็นต้น ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ สำหรับค่าใช้จ่ายของโครงการฯ ที่ต้องดำเนินการในปี ๒๕๖๒ ให้กระทรวงยุติธรรม โดยสำนักงานปลัดกระทรวงยุติธรรม ดำเนินการตามมาตรการด้านการงบประมาณเพื่อการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติและแผนแม่บทตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๓ ธันวาคม ๒๕๖๑ ส่วนค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในปีต่อ ๆ ไป เห็นควรให้จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณพร้อมวัตถุประสงค์ที่ชัดเจนเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอน โดยคำนึงถึงลำดับความจำเป็นเร่งด่วนภายใต้แผนการปฏิรูปประเทศด้านกระบวนการยุติธรรม และประโยชน์ที่ภาครัฐและประชาชนจะได้รับเป็นสำคัญ ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงยุติธรรมรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี และข้อสังเกตของสำนักงานอัยการสูงสุดที่เห็นควร (๑) จัดให้มีการฝึกอบรมหรือมีกระบวนการสร้างความรู้ ความเข้าใจ ถึงวัตถุประสงค์ของการดำเนินโครงการให้แก่ทนายอาสาก่อนที่จะเริ่มทำหน้าที่ตามโครงการดังกล่าว รวมทั้งมีมาตรการป้องกันและมาตรการในการกำกับดูแลและลงโทษ หากปรากฏกรณีทนายความอาสาที่ทำหน้าที่บริการให้คำปรึกษาทางกฎหมายดังกล่าวมีการเรียกรับผลประโยชน์หรือค่าบริการให้คำปรึกษาหรือค่าว่าความ หรือไปรับทำหน้าที่เป็นทนายความว่าต่าง แก้ต่างคดีในคดีที่ให้คำปรึกษาดังกล่าวเสียเอง (๒) โครงการดังกล่าวยังไม่มีรายละเอียดเกี่ยวกับตัวชี้วัดหรือรายละเอียดเกี่ยวกับการประเมินผลความสำเร็จ (Evaluation) ของโครงการว่าจะวัดผลความสำเร็จของการดำเนินโครงการอย่างไร หรือการดำเนินโครงการดังกล่าวเป็นการใช้จ่ายที่คุ้มค่ากับงบประมาณหรือไม่ (๓) กำหนดแนวทางปฏิบัติหรือระเบียบที่จะให้ถือเอาบันทึกข้อเท็จจริง บันทีกปากคำ พยานเอกสาร พยานบุคคล พยานวัตถุ และรายละเอียดแห่งคดีที่ขอรับคำปรึกษา ที่ทนายความอาสาได้จัดทำขึ้นเป็นส่วนหนี่งของจำนวนการสอบสวนด้วย และ (๔) จัดให้มีการประเมินความพึงพอใจของผู้รับบริการ ผู้ได้รับผลกระทบ ผู้มีส่วนได้เสีย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
307 | การรายงานความคืบหน้าการดำเนินการเกี่ยวกับการจัดทำกฎหมายและการดำเนินการโดยวิธีการอื่นนอกเหนือจากการจัดทำกฎหมายเพื่อให้สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ประจำเดือนมกราคม 2562 ต่อคณะรัฐมนตรี | ยธ | 05/03/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการรายงานความคืบหน้าการดำเนินการเกี่ยวกับการจัดทำกฎหมายและการดำเนินการโดยวิธีอื่นนอกเหนือจากการจัดทำกฎหมายเพื่อให้สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ประจำเดือนมกราคม ๒๕๖๒ ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. กฎหมายที่ต้องจัดทำภายใน ๔-๘ เดือน นับจากวันประกาศใช้รัฐธรรมนูญ จำนวน ๑๖ ฉบับ ได้รับการรายงานครบแล้ว จำนวน ๑๖ เรื่อง และเป็นกฎหมายที่ต้องจัดทำทั้งหมด จำนวน ๑๖ ฉบับ โดยเป็นกฎหมายที่อยู่ระหว่างการจัดทำ จำนวน ๑ ฉบับ และเป็นกฎหมายที่มีผลใช้บังคับแล้ว จำนวน ๑๕ ฉบับ ๒. กฎหมายที่ต้องจัดทำภายใน ๑-๒ ปี นับจากวันประกาศใช้รัฐธรรมนูญ จำนวน ๖ เรื่อง ได้รับการรายงานครบแล้ว จำนวน ๖ เรื่อง เป็นกฎหมายที่ต้องจัดทำทั้งหมด จำนวน ๘ ฉบับ โดยเป็นกฎหมายที่อยู่ระหว่างการจัดทำ จำนวน ๔ ฉบับ และเป็นกฎหมายที่มีผลใช้บังคับแล้ว จำนวน ๔ ฉบับ ๓. กฎหมายที่ต้องจัดทำโดยไม่กำหนดระยะเวลา แต่ควรดำเนินการภายใน ๑-๒ ปี นับจากวันประกาศใช้รัฐธรรมนูญ จำนวน ๓๗ เรื่อง ได้รับการรายงานครบแล้ว จำนวน ๓๗ เรื่อง เป็นกฎหมายที่ต้องจัดทำทั้งหมด จำนวน ๗๘ ฉบับ โดยเป็นกฎหมายที่อยู่ระหว่างจัดทำ จำนวน ๔๑ ฉบับ และเป็นกฎหมายที่มีผลใช้บังคับแล้ว จำนวน ๓๗ ฉบับ ๔. การดำเนินการโดยวิธีการอื่นนอกเหนือจากการจัดทำกฎหมาย จำนวน ๓๐ เรื่อง ได้รับการรายงานครบแล้ว จำนวน ๓๐ เรื่อง ๕. มาตรการปฏิรูปประเทศ รวมทั้งที่ต้องจัดทำกฎหมาย และการดำเนินการโดยวิธีอื่น ๆ จำนวน ๓๘ เรื่อง ได้รับการรายงานครบแล้ว จำนวน ๓๘ เรื่อง
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
308 | รายงานผลการประชุมทวิภาคีไทย - ลาว เรื่อง ความร่วมมือด้านการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ครั้งที่ 17 | ยธ | 05/03/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมทวิภาคีไทย-ลาว เรื่อง ความร่วมมือด้านการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ครั้งที่ ๑๗ ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ ๑๐-๑๑ มกราคม ๒๕๖๒ ณ กรุงเทพมหานคร โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมเป็นประธาน และ พลตรี สมหวัง ทำมะสิด รองรัฐมนตรีกระทรวงป้องกันความสงบแห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) เป็นประธานร่วม ซึ่งผลการประชุมฯ ทั้งสองฝ่ายตกลงให้การรับรองแผนปฏิบัติการความร่วมมือไทย-สปป.ลาว เพื่อการแก้ไขปัญหายาเสพติดร่วมกัน โดยมีกรอบระยะเวลาดำเนินงาน ๔ ปี (พ.ศ. ๒๕๖๒-๒๕๖๕) รวมทั้งเห็นชอบร่วมกันในการดำเนินการตามแผนปฏิบัติการร่วมแม่น้ำโขงปลอดภัยเพื่อการควบคุมยาเสพติด ๖ ประเทศ ระยะ ๔ ปี (พ.ศ. ๒๕๖๒-๒๕๖๕) และเห็นชอบให้มีการสานต่อการดำเนินการลาดตระเวนทางน้ำในพื้นที่จังหวัดเชียงรายกับแขวงบ่อแก้ว จังหวัดหนองคายกับนครหลวงเวียงจันทน์ และจังหวัดนครพนมกับแขวงคำม่วน โดยฝ่ายไทยให้การสนับสนุนเรือลาดตระเวนให้ฝ่าย สปป.ลาว จำนวน ๑ ลำ เพื่อใช้ในการปฏิบัติงาน นอกจากนี้ สปป.ลาว จะส่งผลการวิเคราะห์ยาเสพติด ภาพถ่าย และลักษณะการบรรจุหีบห่อของยาเสพติดที่จับกุมได้ใน สปป.ลาว ให้แก่ฝ่ายไทย รวมถึงให้มีการร่วมกันศึกษาและจัดทำข้อมูลด้านคุณลักษณะ สายพันธุ์ และการบรรจุหีบห่อของกัญชา ส่วนฝ่ายไทยจะสนับสนุนการดำเนินงานด้านยาเสพติดแก่ สปป.ลาว ภายใต้โครงการเสริมสร้างและยกระดับความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านในการยุติแหล่งผลิตและทำลายเครือข่ายการค้ายาเสพติดระหว่างประเทศ (Letter of Agreement : LoA) ในปี พ.ศ. ๒๕๖๒ เพื่อเสริมสร้างการดำเนินงานในการแก้ไขปัญหายาเสพติดของ สปป.ลาว ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นและประสบผลสำเร็จอย่างยั่งยืน ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
309 | แผนปฏิบัติการโครงการร้อยใจรักษ์ พ.ศ. 2562 - 2580 | ยธ | 05/03/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบในหลักการแผนปฏิบัติการโครงการร้อยใจรักษ์ พ.ศ. ๒๕๖๒-๒๕๘๐ มีวัตถุประสงค์เพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด โดยบูรณาการมาตรการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการแก้ไขปัญหา การพัฒนาคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนตามแนวทางศาสตร์พระราชา การพัฒนาศักยภาพของคนในชุมชนให้สามารถขับเคลื่อนการพัฒนาชุมชนต่อไปได้ด้วยตนเอง แบ่งการดำเนินการออกเป็น ๓ ระยะ (ระยะเริ่มต้น พ.ศ. ๒๕๖๑-๒๕๖๒ ระยะดำเนินงาน ปีงบประมาณ ๒๕๖๓-๒๕๗๒ และระยะรักษาสภาพความยั่งยืน ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๖๗๓-๒๕๘๐) หน่วยงานหลักรับผิดชอบดำเนินการ เช่น มูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ในพระบรมราชูปถัมภ์ กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงสาธารณสุข กองทัพบก จังหวัดเชียงใหม่ และสำนักงาน ป.ป.ส. เป็นต้น งบประมาณดำเนินการรวมจำนวน ๑,๓๐๐,๗๘๔,๘๑๑ บาท เป้าหมายดำเนินงานในพื้นที่ลุ่มน้ำห้วยเมืองงาม ครอบคลุม ๔ หมู่บ้าน ได้แก่ บ้านเมืองงามเหนือ บ้านห้วยล้าน บ้านหัวเมืองงาม บ้านเมืองงานใต้ และ ๒๐ หมู่บ้านย่อยในตำบลท่าตอน อำเภอเม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ ๒. สำหรับค่าใช้จ่ายในการดำเนินการในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ สำนักงาน ป.ป.ส. ได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากกองทุนป้องกันและปราบปรามยาเสพติด จำนวน ๒๔,๓๖๐,๕๑๑ บาท และหากยังมีภารกิจที่จำเป็นเร่งด่วนที่ต้องดำเนินการ เห็นควรให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ ภายใต้แผนงานบูรณาการป้องกัน ปราบปราม และบำบัดรักษาผู้ติดยาเสพติด โดยให้ปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณรายจ่ายสำหรับแผนงานบูรณาการ พ.ศ. ๒๕๕๙ และขอทำความตกลงในรายละเอียดด้านงบประมาณกับสำนักงบประมาณตามขั้นตอน ส่วนค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในปีต่อ ๆ ไป เห็นควรให้หน่วยงานที่เป็นเจ้าภาพหลักและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำคำขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีที่สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติในลักษณะบูรณาการด้านการป้องกัน ปราบปราม และบำบัดรักษาผู้ติดยาเสพติดตามความจำเป็นและเหมาะสม ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๓. ให้กระทรวงยุติธรรม โดยสำนักงาน ป.ป.ส. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรสำรวจความคิดเห็นของประชาชนในพื้นที่ที่มีต่อโครงการฯ และนำความเห็นดังกล่าวมาประกอบการจัดทำแผนงาน/กิจกรรมในระยะต่อไป รวมทั้งควรกำหนดตัวชี้วัดของการดำเนินงานที่สะท้อนถึงเป้าประสงค์ของแผนปฏิบัติการฯ เพื่อใช้ในการกำกับ ติดตามความก้าวหน้า และประเมินผลการดำเนินงานให้เกิดผลเป็นรูปธรรม ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
310 | รายงานความคืบหน้าและการนำเสนอวีดีทัศน์การนำอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ติดตามตัวมาใช้กับผู้กระทำความผิด (Electronic Monitoring: EM) | ยธ | 26/02/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานความคืบหน้าการนำอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ติดตามตัวมาใช้กับผู้กระทำความผิด (Electronic Monitoring : EM) ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. กระทรวงยุติธรรม โดยกรมคุมประพฤติ ได้ทำสัญญาเช่าอุปกรณ์ EM จำนวน ๔,๐๐๐ เครื่อง พร้อมระบบที่เกี่ยวข้องกับบริษัท สุพรีม ดิสทิบิวชั่น (ไทยแลนด์) จำกัด เป็นเงินทั้งสิ้น ๗๔,๔๗๐,๐๐๐ บาท ระยะเวลา ๒๑ เดือน (มกราคม ๒๕๖๒-กันยายน ๒๕๖๓) และได้จัดอบรมเจ้าหน้าที่ให้มีความรู้ในการนำอุปกรณ์ EM มาใช้และได้ประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนประชาสัมพันธ์สร้างความรู้ให้แก่ประชาชนในทุกพื้นที่ทั่วประเทศ ๒. กรมคุมประพฤติเริ่มนำอุปกรณ์ EM มาใช้ติดตามตัวกับผู้กระทำความผิด ตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๖๒ โดยมีเจ้าหน้าที่ประจำศูนย์ควบคุมการติดตามตัวด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Monitoring Center) ทำหน้าที่เฝ้าระวัง ตรวจสอบ ติดตาม ดูแลตลอด ๒๔ ชั่วโมง โดยผลการดำเนินการตั้งแต่วันที่ ๑-๑๕ มกราคม ๒๕๖๒ มีผู้ถูกคุมประพฤติติดตั้งอุปกรณ์ EM ตามคำสั่งศาลแล้ว รวมจำนวนทั้งสิ้น ๑๖๖ ราย โดยระยะเวลาที่ศาลสั่งติดอุปกรณ์ EM ส่วนใหญ่เป็นระยะเวลา ๑๕ วัน ๓. จากการติดตามประเมินผลเบื้องต้นพบว่า ผู้ถูกคุมความประพฤติสามารถปรับเปลี่ยนความคิดและพฤติกรรมไปในทางที่ดีขึ้น มีความเคารพกฎระเบียบ ระมัดระวังตนเอง มีระเบียบวินัยตระหนักถึงความปลอดภัยมากขึ้นและไม่กล้าทำผิดอีก
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
311 | การรายงานความคืบหน้าการดำเนินการเกี่ยวกับการจัดทำกฎหมายและการดำเนินการโดยวิธีการอื่นนอกเหนือจากการจัดทำกฎหมายเพื่อให้สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ประจำเดือนธันวาคม 2561 ต่อคณะรัฐมนตรี | ยธ | 05/02/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานความคืบหน้าการดำเนินการเกี่ยวกับการจัดทำกฎหมายและการดำเนินการโดยวิธีการอื่นนอกเหนือจากการจัดทำกฎหมายเพื่อให้สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ประจำเดือนธันวาคม ๒๕๖๑ ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ ดังนี้
๑. กฎหมายที่ต้องจัดทำภายใน ๔-๕ เดือน นับจากวันประกาศใช้รัฐธรรมนูญ จำนวน ๑๖ เรื่อง ได้รับการรายงานครบแล้ว จำนวน ๑๖ เรื่อง และเป็นกฎหมายที่ต้องจัดทำทั้งหมด จำนวน ๑๖ เรื่อง โดยเป็นกฎหมายที่อยู่ระหว่างการจัดทำ จำนวน ๑ ฉบับ และเป็นกฎหมายที่มีผลใช้บังคับแล้ว จำนวน ๑๕ ฉบับ ๒. กฎหมายที่ต้องจัดทำภายใน ๑-๒ ปี นับจากวันประกาศใช้รัฐธรรมนูญ จำนวน ๖ เรื่อง ได้รับการรายงานครบแล้ว จำนวน ๖ เรื่อง เป็นกฎหมายต้องจัดทำทั้งหมด จำนวน ๘ ฉบับ โดยเป็นกฎหมายที่อยู่ระหว่างการจัดทำ จำนวน ๔ ฉบับ และเป็นกฎหมายที่มีผลใช้บังคับแล้ว จำนว ๔ ฉบับ ๓. กฎหมายที่ต้องจัดทำโดยไม่กำหนดระยะเวลา แต่ควรดำเนินการภายใน ๑-๒ ปี นับจากวันประกาศใช้รัฐธรมนูญมีทั้งหมด จำนวน ๓๗ เรื่อง ได้รับการรายงานครบแล้ว จำนวน ๓๗ เรื่อง เป็นกฎหมายที่ต้องจัดทำทั้งหมด จำนวน ๗๘ เรื่อง โดยเป็นกฎหมายที่อยู่ระหว่างจัดทำ จำนวน ๔๑ ฉบับ และเป็นกฎหมายที่มีผลใช้บังคับแล้ว จำนวน ๓๗ ฉบับ ๔. การดำเนินการโดยวิธีการอื่นนอกเหนือจากการจัดทำกฎหมาย มีจำนวนทั้งสิ้น ๓๐ เรื่อง ได้รับการรายงานครบแล้ว จำนวน ๓๐ เรื่อง ๕. มาตรการปฏิรูปประเทศ รวมทั้งที่ต้องจัดทำกฎหมาย และการดำเนินการโดยวิธีอื่น ๆ มีทั้งหมด จำนวน ๓๘ เรื่อง ได้รับการรายงานครบแล้ว จำนวน ๓๘ เรื่อง
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
312 | ร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองพยานในคดีอาญา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | ยธ | 29/01/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
313 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (นางสาวรวิวรรณ จตุรพิธพร) | ยธ | 29/01/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นางสาวรวิวรรณ จตุรพิธพร ข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาด้านกฎหมาย (นิติกรทรงคุณวุฒิ) สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงยุติธรรม ตั้งแต่วันที่ ๒๑ กันยายน ๒๕๖๑ ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
314 | แผนปฏิบัติการร่วมแม่น้ำโขงปลอดภัยเพื่อการควบคุมยาเสพติด 6 ประเทศ ระยะ 4 ปี (พ.ศ. 2562-2565) : กัมพูชา จีน สปป.ลาว เมียนมา ไทย เวียดนาม | ยธ | 22/01/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบแผนปฏิบัติการร่วมแม่น้ำโขงปลอดภัยเพื่อการควบคุมยาเสพติด ๖ ประเทศ ระยะ ๔ ปี (พ.ศ. ๒๕๖๒-๒๕๖๕) : กัมพูชา จีน สปป.ลาว เมียนมา ไทย และเวียดนาม มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดทิศทางความร่วมมือแก้ไขปัญหายาเสพติดในพื้นที่สามเหลี่ยมทองคำร่วมกันเป็นระยะ ๔ ปี โดยใช้ยุทธศาสตร์การผนึกกำลังของสมาชิกทั้ง ๖ ประเทศ ในการปิดล้อมพื้นที่สามเหลี่ยมทองคำและกำหนดมาตรการดำเนินการ ๗ ประการ ได้แก่ (๑) การสกัดกั้นควบคุมสารตั้งต้นและเคมีภัณฑ์ที่ใช้ในการผลิตยาเสพติด (๒) การสกัดกั้นเส้นทางลำเลียงยาเสพติด (๓) การสกัดกั้นพื้นที่เสี่ยงตามแนวชายแดน (๔) การปราบปรามเครือข่ายการผลิตและค้ายาเสพติด (๕) การสกัดกั้นยาเสพติดตามลำแม่น้ำโขง (๖) การสนับสนุนมาตรการและความช่วยเหลือ และ (๗) การพัฒนาศูนย์ประสานงานแม่น้ำโขงปลอดภัยและการพัฒนาระบบ ๑.๒ เห็นชอบให้สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (สำนักงาน ป.ป.ส.) ในฐานะตัวแทนประเทศไทยจัดทำคำขอรายจ่ายงบประมาณประจำปี ทั้งงบประมาณภายในประเทศและต่างประเทศในการดำเนินงานตามภารกิจต่าง ๆ ตามแผนปฏิบัติการร่วมดังกล่าว ๑.๓ ยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๖๐ เรื่อง แนวทางการเสนอแผนเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี เนื่องจากปัญหายาเสพติดถือเป็นวาระแห่งชาติและอยู่ในกรอบนโยบายของฝ่ายความมั่นคง และแผนปฏิบัติการร่วมดังกล่าว มีความเร่งด่วนมาก จะต้องเริ่มปฏิบัติการในห้วงเดือนมกราคม ๒๕๖๒ ๒. ให้กระทรวงยุติธรรม และ สำนักงาน ป.ป.ส. รับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า การปฏิบัติการร่วมดังกล่าวจะต้องไม่ก่อให้เกิดสิทธิแก่เจ้าหน้าที่ของประเทศสมาชิกหนึ่งในการบังคับใช้กฎหมายของตนในอาณาเขตของประเทศสมาชิกอื่น ๆ หรือกระทำการใด ๆ ที่อาจจะกระทบต่อสิทธิและอธิปไตยของไทยที่เกี่ยวกับเขตแดนตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศ และหากในอนาคตมีการจัดทำความตกลงเพื่อปฏิบัติการร่วมในพื้นที่ชายแดน ก็เห็นควรส่งร่างความตกลงดังกล่าวให้กระทรวงการต่างประเทศพิจารณาต่อไป รวมทั้งเมื่อแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติมีผลบังคับใช้อย่างเป็นทางการ ควรต้องตรวจสอบแผนปฏิบัติการร่วมดังกล่าวและปรับปรุงให้สอดคล้องกับแผนแม่บทดังกล่าว ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๓. สำหรับภาระค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ เห็นควรให้กระทรวงยุติธรรม โดย สำนักงาน ป.ป.ส. ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปี รายการโครงการปฏิบัติการแม่น้ำโขงปลอดภัยของสำนักงาน ป.ป.ส. ซึ่งสำนักงบประมาณได้จัดสรรงบประมาณรองรับภารกิจดังกล่าวไว้แล้ว ส่วนในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ เป็นต้นไป ให้สำนักงาน ป.ป.ส. จัดทำงบประมาณในลักษณะบูรณาการเชิงยุทธศาสตร์และเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีให้สอดคล้องกับภารกิจตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
315 | ความคืบหน้าผลการดำเนินการตามข้อเสนอแนะเพื่อการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ ตามมาตรา 31 ของรัฐธรรมนูญ (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2557 เรื่อง การปฏิรูปทนายความอาสา ทนายความขอแรง และที่ปรึกษากฎหมายของเด็กหรือเยาวชน ครั้งที่ 2 | ยธ | 22/01/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบความคืบหน้าผลการดำเนินการตามข้อเสนอแนะเพื่อการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ ตามมาตรา ๓๑ ของรัฐธรรมนูญ (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. ๒๕๕๗ เรื่อง การปฏิรูปทนายความอาสา ทนายความขอแรง และที่ปรึกษากฎหมายของเด็กหรือเยาวชน ครั้งที่ ๒ ของหน่วยงานต่าง ๆ ซึ่งสภาทนายความในพระบรมราชูปถัมภ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ร่วมกันขับเคลื่อนการปฏิรูปด้านระบบทนายความอาสา ทนายความขอแรง และที่ปรึกษากฎหมายของเด็กหรือเยาวชนด้านการประชาสัมพันธ์ และด้านอื่น ๆ ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ และมอบหมายกระทรวงยุติธรรมประสานงานให้สภาทนายความ ในพระบรมราชูปถัมภ์ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำแผนการดำเนินการปฏิรูปตามข้อเสนอแนะฯ ในเรื่องดังกล่าว โดยกำหนดกรอบระยะเวลาและรายละเอียดแผนการดำเนินงานของการปฏิรูปให้ชัดเจนเพื่อผลักดันการดำเนินการตามข้อเสนอแนะฯ ให้เกิดผลเป็นรูปธรรมภายในเดือนตุลาคม ๒๕๖๒ ทั้งนี้ ให้กระทรวงยุติธรรมรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรพิจารณาตรวจสอบในรายละเอียดแนวทางการดำเนินการของเรื่องดังกล่าวกับแผนการปฏิรูปประเทศด้านกระบวนการยุติธรรม เรื่องและประเด็นปฏิรูปที่ ๒ การพัฒนากลไกช่วยเหลือและเพิ่มเติมศักยภาพเพื่อให้ประชาชนเข้าถึงกระบวนการยุติธรรม ข้อ ๑.๔ จัดให้มีทนายความหรือที่ปรึกษาทางกฎหมายที่มีประสิทธิภาพให้แก่ผู้เสียหายผู้ต้องหาและจำเลย ตามที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ ๒๔ ก (เล่มที่ ๒) เพื่อให้เป็นไปตามแผนการปฏิรูปประเทศ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๒. ให้กระทรวงยุติธรรมประสานงานกับสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติและคณะกรรมการปฏิรูปประเทศเพื่อนำรายงานผลการดำเนินการตามข้อเสนอแนะฯ ผ่านระบบติดตามและประเมินผลแห่งชาติ (eMENSCR) ต่อไป ๓. เห็นชอบให้ทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ พฤษภาคม ๒๕๖๐ [เรื่อง รายงานผลการดำเนินการตามข้อเสนอแนะเพื่อการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ ตามมาตรา ๓๑ ของรัฐธรรมนูญ (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. ๒๕๕๗ เรื่อง การปฏิรูปทนายความอาสา ทนายความขอแรง และที่ปรึกษากฎหมายของเด็กหรือเยาวชน] จาก “...ให้กระทรวงยุติธรรมเป็นหน่วยงานติดตามผลการดำเนินการและรายงานผลความคืบหน้าการดำเนินการของหน่วยงานต่าง ๆ ให้คณะรัฐมนตรีทราบทุก ๖ เดือน...” เป็น “...ให้กระทรวงยุติธรรมเป็นหน่วยงานติดตามผลการดำเนินการและรายงานผลความคืบหน้าการดำเนินการของหน่วยงานต่าง ๆ ผ่านระบบติดตามและประเมินผลแห่งชาติ (eMENSCR)”
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
316 | การรายงานความคืบหน้าการดำเนินการเกี่ยวกับการจัดทำกฎหมายและการดำเนินการโดยวิธีการอื่นนอกเหนือจากการจัดทำกฎหมายเพื่อให้สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ประจำเดือนพฤศจิกายน 2561 ต่อคณะรัฐมนตรี | ยธ | 08/01/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานความคืบหน้าการดำเนินการเกี่ยวกับการจัดทำกฎหมายและการดำเนินการโดยวิธีการอื่นนอกเหนือจากการจัดทำกฎหมายเพื่อให้สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ประจำเดือนพฤศจิกายน ๒๕๖๑ ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. กฎหมายที่ต้องจัดทำภายใน ๔-๘ เดือน นับจากวันประกาศใช้รัฐธรรมนูญ จำนวน ๑๖ เรื่อง ได้รับการรายงานครบแล้ว จำนวน ๑๖ เรื่อง และเป็นกฎหมายที่ต้องจัดทำทั้งหมด จำนวน ๑๖ ฉบับ โดยเป็นกฎหมายที่อยู่ระหว่างการจัดทำ จำนวน ๑ ฉบับ และเป็นกฎหมายที่มีผลใช้บังคับแล้ว จำนวน ๑๕ ฉบับ ๒. กฎหมายที่ต้องจัดทำภายใน ๑-๒ ปี นับจากวันประกาศใช้รัฐธรรมนูญ จำนวน ๖ เรื่อง ได้รับการรายงานครบแล้ว จำนวน ๖ เรื่อง เป็นกฎหมายต้องจัดทำทั้งหมด จำนวน ๘ ฉบับ และเป็นกฎหมายที่มีผลใช้บังคับแล้ว จำนวน ๔ ฉบับ ๓. กฎหมายที่ต้องจัดทำโดยไม่กำหนดระยะเวลา แต่ควรดำเนินการภายใน ๑-๒ ปี นับจากวันประกาศใช้รัฐธรรมนูญ จำนวน ๓๗ เรื่อง ได้รับการรายงานครบแล้ว จำนวน ๓๗ เรื่อง เป็นกฎหมายที่ต้องจัดทำทั้งหมด จำนวน ๗๘ ฉบับ โดยเป็นกฎหมายที่อยู่ระหว่างจัดทำ จำนวน ๔๑ ฉบับ และเป็นกฎหมายที่มีผลใช้บังคับแล้ว จำนวน ๓๗ ฉบับ ๔. การดำเนินการโดยวิธีการอื่นนอกเหนือจากการจัดทำกฎหมาย มีจำนวน ๓๐ เรื่อง ได้รับการรายงานครบแล้ว จำนวน ๓๐ เรื่อง ๕. มาตรการปฏิรูปประเทศ รวมทั้งที่ต้องจัดทำกฎหมาย และการดำเนินการโดยวิธีอื่น ๆ มีทั้งหมด จำนวน ๓๘ เรื่อง ได้รับการรายงานครบแล้ว จำนวน ๓๘ เรื่อง
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
317 | สรุปผลการหารือระหว่างรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกิจการภายในออสเตรเลียและผลการดำเนินงานของหน่วยปฏิบัติการเฉพาะกิจร่วมไทย-ออสเตรเลียว่าด้วยความร่วมมือด้านยาเสพติด การฟอกเงิน และอาชญากรรมข้ามชาติ (Taskforce Storm) | ยธ | 08/01/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการหารือระหว่างรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกิจการภายในออสเตรเลีย ระหว่างวันที่ ๖-๘ พฤศจิกายน ๒๕๖๑ ณ กรุงเทพมหานคร และผลการดำเนินงานของหน่วยปฏิบัติการเฉพาะกิจร่วมไทย-ออสเตรเลียว่าด้วยความร่วมมือด้านยาเสพติด การฟอกเงิน และอาชญากรรมข้ามชาติ (Taskforce Storm) ซึ่งผลการหารือระหว่างรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกิจการภายในออสเตรเลียในครั้งนี้ ช่วยเสริมสร้างความร่วมมือที่สำคัญระหว่างไทยและออสเตรเลียให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านความมั่นคง อาทิ การป้องกันและปราบปรามยาเสพติด อาชญากรรมข้ามชาติ และการต่อต้านการค้ามนุษย์ รวมทั้งการหารือดังกล่าวยังนำไปสู่การผลักดันประเด็นต่าง ๆ ที่มีผลประโยชน์ร่วมได้ต่อไปในอนาคต สำหรับการดำเนินงานของหน่วยปฏิบัติการเฉพาะกิจร่วมไทย-ออสเตรเลียว่าด้วยความร่วมมือว่าด้วยความร่วมมือด้านยาเสพติด การฟอกเงิน และอาชญากรรมข้ามชาติ (Taskforce Storm) สรุปได้ว่า การจัดตั้ง Taskforce Storm ช่วยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องของไทย ได้แก่ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กรมสอบสวนคดีพิเศษ และสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน สามารถทำงานร่วมกันอย่างบูรณาการและบังคับใช้กฎหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีสำนักงานตำรวจสหพันธ์ออสเตรเลีย (Australian Federal Police : AFP) ของออสเตรเลียร่วมสนับสนุนทั้งในเรื่องการข่าวและเทคโนโลยีในการสืบสวน ส่งผลให้การปราบปรามยาเสพติดและอาชญากรรมข้ามชาติเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและเกิดผลที่เป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้น ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
318 | การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการคดีพิเศษ (จำนวน 9 คน 1. นายธีระพงษ์ วงศ์ศิวะวิลาส ฯลฯ) | ยธ | 02/01/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการคดีพิเศษ จำนวน ๙ คน แทนกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิชุดเดิมที่ดำรงตำแหน่งครบวาระสองปี โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๒ มกราคม ๒๕๖๒) เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ ดังนี้
๑. นายธีระพงษ์ วงศ์ศิวะวิลาส ผู้ทรงคุณวุฒิด้านกฎหมาย ๒. นายสราวุธ เบญจกุล ผู้ทรงคุณวุฒิด้านการเงินการธนาคาร ๓. พลตำรวจเอก ชัยยะ ศิริอำพันธ์กุล ผู้ทรงคุณวุฒิด้านการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ๔. พลตำรวจโท ปัญญา เอ่งฉ้วน ผู้ทรงคุณวุฒิด้านการสอบสวนคดีอาญา ๕. นายรวี ประจวบเหมาะ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านความมั่นคงประเทศ ๖. นายมานะ นิมิตรมงคล ผู้ทรงคุณวุฒิด้านการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ๗. นายภาสกร ประถมบุตร ผู้ทรงคุณวุฒิด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ ๘. นางสาวพันธุ์ทิพย์ นวานุช ผู้ทรงคุณวุฒิด้านกฎหมาย ๙. นายศรพล ตุลยะเสถียร ผู้ทรงคุณวุฒิด้านเศรษฐศาสตร์
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
319 | รายงานการจัดการประชุมการปฏิรูปกฎหมายล้มละลายในเอเชีย ครั้งที่ 11 (Forum on Asian Insolvency Reform) | ยธ | 02/01/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการจัดการประชุมการปฏิรูปกฎหมายล้มละลายในเอเชีย ครั้งที่ ๑๑ (Forum on Asian Insolvency Reform) ซึ่งกระทรวงยุติธรรมได้เป็นเจ้าภาพร่วมจัดการประชุมกับสำนักงานศาลยุติธรรม กลุ่มธนาคารโลก (World Bank Group) และองค์การระหว่างประเทศผู้ประกอบวิชาชีพด้านล้มละลายและฟื้นฟูกิจการ (INSOL International) ระหว่างวันที่ ๑๗-๑๘ กันยายน ๒๕๖๑ ณ กรุงเทพมหานคร ซึ่งประโยชน์ที่ได้รับจากการจัดการประชุมฯ ได้แก่ (๑) หน่วยงานในกระบวนการยุติธรรมของไทยได้รับทราบถึงพัฒนาการที่สำคัญในรูปแบบและกระบวนการที่ส่งเสริมการล้มละลายที่มีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกระบวนการพิจารณาคดีและบังคับคดีล้มละลายข้ามชาติ บทบาทเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เอกชน การบริหารสินทรัพย์และหนี้เสีย การจัดตั้งเครือข่ายศาลล้มละลาย เพื่อประสานงานกระบวนการล้มละลายข้ามชาติ ความร่วมมือระหว่างบริษัทบริหารสินทรัพย์และศาลล้มละลายเพื่อพัฒนาตลาดทุนและตลาดสำหรับสินทรัพย์จากหนี้เสีย การพัฒนาบทบัญญัติของกฎหมายว่าด้วยการประนีประนอมหนี้ในศาลโดยสมัครใจ (๒) หน่วยงานของไทยได้มีโอกาสสร้างเครือข่ายและความสัมพันธ์อันดีระหว่างบุคลากร ผู้กำหนดนโยบาย ผู้ปฏิบัติ และนักกฎหมายจากประเทศและองค์การระหว่างประเทศในภูมิภาคและนานาชาติ และ (๓) เป็นการเผยแพร่บทบาทและศักยภาพของไทยในฐานะเจ้าภาพจัดการประชุมระหว่างประเทศ ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
320 | โครงการพัฒนาระบบการเชื่อมโยงข้อมูลอัตลักษณ์บุคคลเพื่อจัดตั้งฐานข้อมูลอัตลักษณ์บุคคลแห่งชาติ | ยธ | 02/01/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. มอบหมายให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงคมนาคม กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงยุติธรรม กระทรวงแรงงาน สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาทบทวนรายละเอียดเกี่ยวกับการดำเนินโครงการพัฒนาระบบการเชื่อมโยงข้อมูลอัตลักษณ์บุคคลเพื่อจัดตั้งฐานข้อมูลอัตลักษณ์บุคคลแห่งชาติในภาพรวมทั้งระบบให้มีความชัดเจน เหมาะสม และเกิดประสิทธิภาพสูงสุด โดยคำนึงถึงประเด็นสำคัญต่าง ๆ เช่น (๑) ความครบถ้วนของข้อมูลที่อยู่ในความรับผิดชอบของแต่ละหน่วยงาน (๒) การเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างศูนย์ข้อมูลอัตลักษณ์บุคคลแห่งชาติกับหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง (๓) แนวทางการบริหารจัดการข้อมูลของศูนย์ฯ เพื่อให้สามารถนำข้อมูลไปใช้ประโยชน์ได้อย่างมีประสิทธิภาพและบรรลุผลตามวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้ (๔) เทคโนโลยีที่เหมาะสมที่จะนำมาใช้ในการดำเนินการ (๕) ภาระงบประมาณที่จะเกิดขึ้นในระยะยาว (๖) ความเป็นไปได้ในการเชื่อมโยงข้อมูลของศูนย์ฯ กับระบบกล้องวงจรปิด (CCTV) เพื่อประโยชน์ในการรักษาความปลอดภัยและความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง เป็นต้น แล้วให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง ๒. ให้นำความเห็นของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำนักงบประมาณ และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการเชื่อมโยงข้อมูลอัตลักษณ์บุคคลจำเป็นต้องคำนึงถึงเรื่องการรักษาความลับ (Confidentiality) จึงควรพิจารณาการเข้ารหัสข้อมูลตั้งแต่ต้นทางถึงปลายทาง (End-to-end encyption) การพิจารณากำหนดหลักเกณฑ์และขอบเขตของการเข้าถึงข้อมูลอัตลักษณ์บุคคลสำหรับการให้บริการภาคเอกชน เพื่อป้องกันการละเมิดข้อมูลส่วนบุคคลของประชาชนและไม่ให้มีการนำข้อมูลไปใช้โดยไม่เหมาะสมหรือเป็นผลร้ายต่อเจ้าของข้อมูล รวมถึงการติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์และประโยชน์ที่จะได้รับจากการดำเนินโครงการในระยะที่ ๑ และระยะที่ ๒ ไปประกอบการพิจารณาด้วย
|