ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 3 จากทั้งหมด 109 หน้า แสดงรายการที่ 41 - 60 จากข้อมูลทั้งหมด 2165 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
41 | หนังสือสัญญาการรับเงินอุดหนุน (Grant Agreement) ภายใต้โครงการความร่วมมือไทย-เยอรมัน ด้านพลังงาน คมนาคม และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Thai-German Cooperation on Energy, Mobility, and Climate: TGC-EMC) ระหว่างสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และองค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศของเยอรมัน (Deutsche Gesellschaft für Internationale Zusammenarbeit: GIZ) | ทส. | 03/03/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบหนังสือสัญญาการรับเงินอุดหนุน (Grant Agreement) ภายใต้โครงการความร่วมมือไทย - เยอรมัน
ด้านพลังงาน คมนาคม และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Thai - German Cooperation on Energy, Mobility, and Climate : TGC - EMC)
ระหว่างสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
และองค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศของเยอรมัน (Deutsche Gesellschaft
fur Internationale Zusammenarbeit : GIZ) และให้เลขาธิการสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามในหนังสือสัญญาการรับเงินอุดหนุนฯ โดยหนังสือสัญญาการรับเงินอุดหนุนฯ
มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดวงเงินสนับสนุนทั้งหมดไม่เกิน ๔.๔ ล้านยูโร (ประมาณ ๑๕๖.๕๗
ล้านบาท) โดยมีระยะเวลาการให้เงินสนับสนุนระหว่างวันที่ ๑ กรกฎาคม ๒๕๖๖ - ๓๑ ธันวาคม ๒๕๗๐
รวมถึงกำหนดเงื่อนไขการรับเงินสนับสนุน เช่น การยื่นขอเบิกจ่ายเงินและรายงานต่าง ๆ
ต่อ GIZ การมอบสิทธิให้ GIZ ใช้ผลลัพธ์ของโครงการ
เงื่อนไขการระงับการให้เงินสนับสนุน เป็นต้น ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนหนังสือสัญญาการรับเงินอุดหนุน (Grant
Agreement) ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมดำเนินการได้
โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
(สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม)
รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม และสำนักงบประมาณ รวมถึงข้อสังเกตของสำนักงานอัยการสูงสุด
(หนังสือสำนักงานอัยการสูงสุด ด่วนที่สุด ที่ อส ๐๐๐๖/๑๖๐๓ ลงวันที่ ๑ กุมภาพันธ์
๒๕๖๗) ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย เช่น กระทรวงการคลัง เห็นควรพิจารณาดำเนินการให้เป็นไปตามสัญญาด้วยความรอบคอบเพื่อไม่ให้เกิดการชำระคืนเงินอุดหนุนดังกล่าว
กรณีผู้รับสัญญาไม่ปฏิบัติตามสัญญาหรือมีเหตุการณ์ที่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินโครงการ กระทรวงคมนาคม เห็นว่าการจัดสรรเงินกองทุนควรพิจารณาตามหลักเกณฑ์
ความรับผิดชอบที่เท่าเทียมในระดับที่แตกต่างกันด้วย เพื่อบรรเทาปัญหาในระยะยาวในทุกมิติและหากมีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขหนังสือสัญญาดังกล่าวให้คำนึงถึงประโยชน์ของประเทศเป็นสำคัญ |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
42 | ร่างกฎกระทรวงการยื่นคำขอ การกำหนดค่าเบี้ยเลี้ยง ค่าพาหนะเดินทาง และค่าใช้จ่ายอื่นในการปฏิบัติการนอกเวลาราชการหรือนอกสถานที่ทำการโดยปกติ พ.ศ. .... | ทส. | 25/02/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงการยื่นคำขอ
การกำหนดค่าเบี้ยเลี้ยง ค่าพาหนะเดินทาง และค่าใช้จ่ายอื่นในการปฏิบัติการนอกเวลาราชการหรือนอกสถานที่ทำการโดยปกติ
พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ
และเงื่อนไขในการยื่นคำขอให้พนักงานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า
พ.ศ. ๒๕๖๒ นอกเวลาราชการหรือนอกสถานที่ทำการโดยปกติ และการกำหนดค่าเบี้ยเลี้ยง
ค่าพาหนะเดินทาง และค่าใช้จ่ายอื่น
เพื่อจ่ายให้แก่พนักงานเจ้าหน้าที่ในการดำเนินการดังกล่าว ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงการคลัง
ที่เห็นควรกำหนดอัตราค่าพาหนะเดินทางกรณีต้องเดินทางไปปฏิบัติการในต่างประเทศ
โดยให้เป็นไปตามสิทธิของพนักงานเจ้าหน้าที่ตามพระราชกฤษฎีกาค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการ
พ.ศ. ๒๕๒๖ และที่แก้ไขเพิ่มเติม
และระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการเบิกค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการ พ.ศ. ๒๕๕๐
และที่แก้ไขเพิ่มเติม ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒.
ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
ดังนี้ สำนักงบประมาณ เห็นควรเร่งประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับการปฏิบัติตามกฎกระทรวงนี้ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เห็นว่าการรับชำระเงินจากผู้ที่ยื่นคำขอจะต้องเป็นไปอย่างโปร่งใสและตรวจสอบได้
รวมทั้งการให้บริการของเจ้าหน้าที่ต้องเป็นไปอย่างทั่วถึงและเท่าเทียมกัน
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
43 | ขอผ่อนผันการเข้าทำประโยชน์ในพื้นที่ป่าไม้ก่อนได้รับอนุญาตและยังไม่ได้ยื่นคำขออนุญาตภายในระยะเวลาตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 23 มิถุนายน 2563 และเมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม 2564 และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง | ทส. | 25/02/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. อนุมัติตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
ดังนี้ ๑.๑ ผ่อนผันให้ส่วนราชการหรือหน่วยงานของรัฐที่ได้เข้าทำประโยชน์ในพื้นที่ป่าไม้ก่อนได้รับอนุญาตและยังไม่ได้ยื่นคำขออนุญาตในระยะเวลาที่กำหนดตามมติดณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๓ มิถุนายน ๒๕๖๓ (เรื่อง การเข้าทำประโยชน์ในพื้นที่ป่าไม้
และขอผ่อนผันมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๘ กรกฎาคม ๒๕๒๓
ในกรณีที่ปรากฏว่ายังมีส่วนราชการใดเข้าทำประโยชน์ในพื้นที่ป่าไม้ก่อนได้รับอนุญาต)
และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๑ พฤษภาคม ๒๕๖๔ (เรื่อง
ขอขยายเวลาในการยื่นคำขออนุญาตเข้าทำประโยชน์ในพื้นที่ป่าไม้
ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๓ มิถุนายน ๒๕๖๓) สามารถยื่นคำขออนุญาตได้ภายใน ๑๘๐
วัน นับแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติในครั้งนี้ (ภายในวันที่ ๒๔ สิงหาคม ๒๕๖๘)
โดยโครงการที่ส่วนราชการหรือหน่วยงานของรัฐจะขอยื่นคำขออนุญาตดังกล่าวข้างต้นได้
จะต้องเป็นโครงการที่ได้เข้าทำประโยชน์ในพื้นที่ป่าไม้ก่อนวันที่ ๒๓ มิถุนายน ๒๕๖๓
เท่านั้น
และให้ทุกส่วนราชการหรือหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องเร่งรัดดำเนินการยื่นคำขออนุญาตเข้าทำประโยชน์ในพื้นที่ป่าไม้
ให้แล้วเสร็จโดยเร็วภายในกำหนดเวลาข้างต้น (ภายในวันที่
๒๔ สิงหาคม ๒๕๖๘) อย่างเคร่งครัด โดยไม่ต้องจัดสรรงบประมาณค่าปลูกป่าทดแทนตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๙ สิงหาคม ๒๕๖๕ (เรื่อง ขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๙ มกราคม ๒๕๕๖ เรื่อง
การดำเนินโครงการใด ๆ
ของหน่วยงานของรัฐที่มีความจำเป็นจะต้องเข้าใช้ประโยชน์ในพื้นที่ป่า) ๑.๒
อนุมัติให้คณะกรรมการพิจารณาการใช้ประโยชน์ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ เป็นผู้อนุญาตให้ส่วนราชการหรือหน่วยงานของรัฐที่ได้ยื่นคำขออนุญาตเข้าทำประโยชน์ในเขตพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติที่ถูกกำหนดให้เป็นพื้นที่ป่าเพื่อการอนุรักษ์เพิ่มเติม
(Zone C) ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๓ มิถุนายน ๒๕๖๓ และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๑ พฤษภาคม ๒๕๖๔
และคำขออนุญาตที่ได้รับการผ่อนผันตามข้อ ๑.๑
ใช้พื้นที่หรือเข้าทำประโยชน์หรืออยู่อาศัยในเขตป่าสงวนแห่งชาติที่ถูกกำหนดให้เป็นพื้นที่ป่าเพื่อการอนุรักษ์เพิ่มเติม
(Zone C) ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๐ มีนาคม ๒๕๓๕ (เรื่อง
การจำแนกเขตการใช้ประโยชน์ทรัพยากรและที่ดินป่าไม้ในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ)
และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๗ มีนาคม ๒๕๓๕ (เรื่อง
ผลการจำแนกเขตการใช้ประโยชน์ทรัพยากรและที่ดินป่าไม้
ในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติเพิ่มเติม) ๑.๓. ผ่อนผันให้ส่วนราชการหรือหน่วยงานของรัฐที่ได้ยื่นคำขออนุญาตเข้าทำประโยชน์ในพื้นที่ป่าไม้ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๓ มิถุนายน ๒๕๖๓ และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๑ พฤษภาคม ๒๕๖๔ และคำขออนุญาตที่ได้รับการผ่อนผันตามข้อ
๑.๑ ใช้พื้นที่หรือเข้าทำประโยชน์หรืออยู่อาศัยในพื้นที่ป่าไม้ที่ถูกกำหนดเป็นเขตกำหนดชั้นคุณภาพลุ่มน้ำชั้นที่
๑ เอ ได้ โดยไม่ต้องเสนอขอผ่อนผันมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องกับการห้ามใช้พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่
๑ เอ เป็นรายกรณีอีก ทั้งนี้ ให้ส่วนราชการหรือหน่วยงานของรัฐดังกล่าว ปฏิบัติตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมและมาตรการติดตามตรวจสอบคุณภาพสิ่งแวดล้อม ตามรายงานข้อมูลด้านสิ่งแวดล้อม
(Environmental Accounting
Report : EAR) กำหนด
และต้องปฏิบัติตามมาตรการการใช้ที่ดินในพื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ ๑ เอ อย่างเคร่งครัด ๑.๔ ผ่อนผันให้ส่วนราชการหรือหน่วยงานของรัฐที่ได้ยื่นคำขออนุญาตตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๓ มิถุนายน ๒๕๖๓ และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๑ พฤษภาคม ๒๕๖๔
และคำขออนุญาตที่ใด้รับการผ่อนผัน ตามข้อ ๑.๑
ที่มีความจำเป็นเร่งด่วนที่จะต้องเข้าไปปรับปรุง ซ่อมแซม และบำรุงรักษาสิ่งปลูกสร้างในพื้นที่ตามคำขออนุญาตที่ได้ยื่นไว้ตามแต่กรณี
สามารถของบประมาณและเข้าไปดำเนินการดังกล่าวได้ ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงคมนาคม
กระทรวงมหาดไทย สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี และสำนักงบประมาณ รวมทั้งข้อสังเกตของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
เช่น กระทรวงคมนาคม เห็นควรให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
พิจารณาเพิ่มช่องทางเพื่อสร้างการรับรู้
และความเข้าใจเกี่ยวกับการเข้าทำประโยชน์ในพื้นที่ป่าไม้กับทุกภาคส่วนอย่างทั่วถึง
เพื่อลดผลกระทบจากปัญหาการเข้าใช้พื้นที่ป่าไม้ก่อนได้รับอนุญาต สำนักงบประมาณ เห็นควรให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมประสานหน่วยงานเจ้าของพื้นที่ตรวจสอบข้อเท็จจริงการใช้ประโยชน์ในพื้นที่และสภาพพื้นที่ป่าให้เป็นไปตามกฎหมาย
ระเบียบ หลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
44 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (นายบรรณรักษ์ เสริมทอง และนายนิกร ศิรโรจนานนท์) | ทส. | 18/02/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน ๒ ราย เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่าง ทั้งนี้
ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป
ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้ ๑. นายบรรณรักษ์ เสริมทอง ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
45 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้บริเวณหมู่เกาะมัน อำเภอแกลง จังหวัดระยอง เป็นเขตพื้นที่คุ้มครองทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง พ.ศ. .... | ทส. | 11/02/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดให้บริเวณหมู่เกาะมัน
อำเภอแกลง จังหวัดระยอง เป็นเขตพื้นที่คุ้มครองทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง
พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้บริเวณหมู่เกาะมัน อำเภอแกลง
จังหวัดระยอง เป็นเขตพื้นที่คุ้มครองทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง เพื่อประโยชน์ในการสงวน
การอนุรักษ์
และการฟื้นฟูทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งให้คงสภาพธรรมชาติและมีสภาพแวดล้อมและระบบนิเวศที่มีความสมบูรณ์
ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงกลาโหมและกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ไปประกอบการพิจารณาด้วย
แล้วดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้ กระทรวงกลาโหม เห็นควรเพิ่มข้อความว่า “...
มิให้ใช้บังคับแก่การใช้พื้นที่เพื่อประโยชน์ในราชการของกองทัพเรือ” ในร่างกฎกระทรวงดังกล่าว
ซึ่งเป็นการดำเนินการในลักษณะเดียวกันกับพื้นที่ทางทะเลอื่น ๆ ที่ได้มีการระบุข้อความเว้นการบังคับใช้กับกองทัพเรือ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เห็นว่าประเด็นที่เกี่ยวข้องกับพื้นที่ทำการประมงนั้น
ควรพิจารณาอย่างรอบคอบให้สอดคล้องกับพระราชกำหนดการประมง พ.ศ. ๒๕๕๘ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ๒.
ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม
กระทรวงมหาดไทย และสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย เช่น กระทรวงคมนาคม โดยกรมเจ้าท่า เห็นว่าหากมีการดำเนินการใด
ๆ ในแม่น้ำ ลำคลอง บึง อ่างเก็บน้ำ ทะเลสาบ
ทะเล หรือบนชายหาดของทะเลต้องดำเนินการให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติการเดินเรือในน่านน้ำไทย
พระพุทธศักราช ๒๔๕๖ และที่แก้ไขเพิ่มเติมดังกล่าวด้วย สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี เห็นควรมีการประชาสัมพันธ์ทำความเข้าใจให้กับประชาชนในพื้นที่ให้ได้รับทราบ
รวมทั้งกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งควรเร่งออกประกาศ มาตรการ หลักเกณฑ์
และวิธีการ เกี่ยวกับการประกอบกิจกรรมท่องเที่ยวดำน้ำให้ชัดเจน โดยคำนึงถึงผลกระทบต่อรายได้และวิถีชีวิตของคนในชุมชน |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
46 | ผลการประชุมสมัชชาสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ สมัยที่ 6 | ทส. | 11/02/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
47 | การดำเนินการตามข้อบท 22 วรรค 3 (บี) ของอนุสัญญาสตอกโฮล์มว่าด้วยสารมลพิษที่ตกค้างยาวนาน การแจ้งไม่สามารถยอมรับการแก้ไขภาคผนวก เอ (การเลิกใช้) โดยบรรจุรายชื่อสาร Dechlorane Plus และ UV-328 เพิ่มเติม | ทส. | 11/02/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้ประเทศไทยในฐานะรัฐภาคีแห่งอนุสัญญาสตอกโฮล์มฯ
ดำเนินการตามข้อบท ๒๒ วรรค ๓ (บี) แจ้งไม่สามารถยอมรับการแก้ไขภาคผนวก เอ (การเลิกใช้)
โดยบรรจุรายชื่อสาร Dechlorane Plus และ UV-328 เพิ่มเติม เพื่อไม่ให้การแก้ไขภาคผนวกดังกล่าวมีผลบังคับใช้กับประเทศไทยและให้ภาคอุตสาหกรรมที่ยังมีความจำเป็นต้องใช้สารเคมีมีระยะเวลาในการปรับเปลี่ยนการใช้สารทดแทน
และมอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศ ดำเนินการมีหนังสือแจ้งองค์การสหประชาชาติ (ผู้เก็บรักษาอนุสัญญาสตอกโฮล์มฯ)
ก่อนการแก้ไขภาคผนวกเพิ่มเติมนี้จะมีผลบังคับใช้กับประเทศไทย ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงอุตสาหกรรมและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
ดังนี้ กระทรวงอุตสาหกรรม เห็นควรขอรับการสนับสนุนทางด้านเทคนิคและการเงินในการจัดการสารทั้ง
๒ ชนิด และสร้างขีดความสามารถให้แก่ภาคส่วนที่เกี่ยวข้องให้มีความพร้อมในการปฏิบัติตามพันธกรณีก่อนการยอมรับการแก้ไขภาคผนวกให้มีผลบังคับใช้และเกิดผลผูกพันทางกฎหมายกับไทยต่อไปด้วย สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เห็นควรเร่งดำเนินการเลิกใช้สารเคมีทั้งสองชนิด
เพื่อปกป้องสุขภาพอนามัยของประชาชนและดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมจากสารมลพิษที่ตกค้างยาวนานอย่างยั่งยืน
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
48 | รายงานของผู้สอบบัญชีและรายงานการเงินกองทุนจัดการซากดึกดำบรรพ์ สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2566 | ทส. | 04/02/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานของผู้สอบบัญชีและรายงานการเงินกองทุนจัดการซากดึกดำบรรพ์
สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๖๖ ประกอบด้วย งบแสดงฐานะการเงิน
และงบแสดงผลการดำเนินงานทางการเงิน
ซึ่งสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินได้ตรวจสอบและรับรองแล้ว เห็นว่าถูกต้องตามที่ควรในสาระสำคัญตามมาตรฐานการบัญชีภาครัฐและนโยบายการบัญชีภาครัฐ
ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
49 | แต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการอื่นในคณะกรรมการองค์การสวนพฤกษศาสตร์ (1. นายบรรณรักษ์ เสริมทอง ฯลฯ รวม 7 คน) | ทส. | 04/02/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการอื่นในคณะกรรมการองค์การสวนพฤกษศาสตร์
รวม ๗ คน เนื่องจากประธานกรรมการและกรรมการอื่นเดิมได้ดำรงตำแหน่งครบวาระสองปี
โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๘) เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
ดังนี้ ๑. นายบรรณรักษ์ เสริมทอง ประธานกรรมการ ๒. นายกฤษณ์ กระแสเวส กรรมการ ๓. ผู้ช่วยศาสตราจารย์กังวาน ยอดวิศิษฎ์ศักดิ์ กรรมการ ๔. นางสาวจรสพร เฉลิมเตียรณ กรรมการ ๕. นางสาวรื่นวดี สุวรรณมงคล กรรมการ ๖. ศาสตราจารย์ธวัชชัย ศุภดิษฐ์ กรรมการ ๗. นางสาววารี แว่นแก้ว กรรมการ
(ผู้แทนกระทรวงการคลัง)
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
50 | ขออนุมัติรายการผูกพันข้ามปีงบประมาณที่มีวงเงินตั้งแต่ 1,000 ล้านบาทขึ้นไป โครงการก่อสร้างสวนสัตว์แห่งใหม่ ระยะที่ 2 คลองหก | ทส. | 28/01/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. อนุมัติในหลักการการยื่นคำของบประมาณรายการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณที่มีวงเงินตั้งแต่
๑,๐๐๐ ล้านบาทขึ้นไป ตามนัยมาตรา ๒๖
แห่งพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๙ - ๒๕๗๑
โครงการก่อสร้างสวนสัตว์แห่งใหม่ ระยะที่ ๒ คลองหก จำนวนเงิน ๔,๕๘๖,๗๓๙,๑๓๐ บาท ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ทั้งนี้ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
(องค์การสวนสัตว์แห่งประเทศไทย) รับความเห็นของสำนักงบประมาณ โดยให้องค์การสวนสัตว์แห่งประเทศไทยจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ
และยืนยันความพร้อมของรายการดังกล่าว โดยมีรายละเอียดคุณลักษณะเฉพาะ ประมาณการราคารวมถึงการดำเนินการตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง
โดยคำนึงถึงความคุ้มค่าและประหยัด การพิจารณาเป้าหมาย ประโยชน์ที่จะได้รับ
ประสิทธิภาพและผลสัมฤทธิ์ที่จะเกิดขึ้นจากการดำเนินโครงการ
ตามนัยพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑
รวมทั้งพิจารณาจัดลำดับความสำคัญของโครงการให้เหมาะสมกับความจำเป็นเร่งด่วน
ศักยภาพในการดำเนินการ ตลอดจนสถานะการเงินการคลังและคำนึงถึงภาระผูกพันงบประมาณในแต่ละปีงบประมาณให้เป็นไปตามสัดส่วนของรายจ่ายลงทุนที่กำหนดตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๑๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒
ซึ่งสำนักงบประมาณจะพิจารณาความเหมาะสมและจำเป็นตามวงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีต่อไป
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๒. มอบหมายให้สำนักงบประมาณนำคำของบประมาณฯ ตามข้อ
๑ ไปพิจารณาร่วมกับสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
เพื่อกลั่นกรองความจำเป็นเหมาะสมในภาพรวมของข้อเสนองบประมาณของส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐในรายการงบลงทุน
และรายการงบประมาณที่มีวงเงินตั้งแต่ ๑,๐๐๐ ล้านบาทขึ้นไปทั้งหมด ให้เหมาะสม
สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลที่ได้แถลงไว้ต่อรัฐสภา
แล้วให้สำนักงบประมาณนำผลการพิจารณาในภาพรวมทั้งหมดเสนอต่อคณะรัฐมนตรีตามขั้นตอน และกรอบเวลาของปฏิทินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๙ ต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
51 | ขอรับจัดสรรงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 ภายใต้มาตรการรับมือสถานการณ์ไฟป่า หมอกควัน และฝุ่นละอองปี 2568 | ทส. | 28/01/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๘ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ประจำปีงบประมาณ
พ.ศ ๒๕๖๘ ภายใต้มาตรการรับมือสถานการณ์ไฟป่า หมอกควัน และฝุ่นละออง ปี ๒๕๖๘ วงเงินงบประมาณรวมทั้งสิ้น ๖๒๐,๖๙๑,๓๖๐
บาท โดยแยกรายหน่วยงาน ดังนี้ ๑) กรมป่าไม้ วงเงิน ๑๘๗,๐๒๒,๓๓๐ บาท และ ๒) กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช วงเงิน ๔๓๓,๖๖๙,๐๓๐ บาท ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของกระทรวงการคลังและกระทรวงมหาดไทยไปดำเนินการต่อไปด้วย
ดังนี้ กระทรวงการคลัง เห็นควรให้ความสำคัญกับการควบคุม
และกำกับดูแลการใช้จ่ายเงินดังกล่าวให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ
และหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้การใช้จ่ายงบประมาณมีความคุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุด กระทรวงมหาดไทย เห็นควรให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมกำกับ
ติดตามหน่วยงานผู้รับผิดชอบแผนงาน/โครงการให้ดำเนินการตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
และดำเนินการตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
52 | ขออนุมัติรายการผูกพันข้ามปีงบประมาณที่มีวงเงินตั้งแต่ 1,000 ล้านบาทขึ้นไป กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม | ทส. | 28/01/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. อนุมัติในหลักการการยื่นคำของบประมาณรายการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณที่มีวงเงินตั้งแต่
๑,๐๐๐ ล้านบาทขึ้นไป ตามนัยมาตรา ๒๖
แห่งพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
จำนวน ๑ รายการ ได้แก่ โครงการบิน ป้องกัน แก้ไขปัญหาภัยพิบัติ
เหตุฉุกเฉินทางธรรมชาติโดยบูรณาการอากาศยานกับภาคพื้นดิน ประจำปีงบประมาณ
พ.ศ.(๒๕๖๙ – ๒๕๗๓) จำนวนเงิน ๑,๕๕๕.๑๒ ล้านบาท ทั้งนี้
ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของกระทรวงมหาดไทย
สำนักงบประมาณ และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
เช่น กระทรวงมหาดไทย เห็นควรพิจารณาถึงการบูรณาการการทำงานร่วมกับหน่วยงานที่มีภารกิจด้านการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย
และการบริหารจัดการเกี่ยวกับภัยพิบัติที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งขอให้ปฏิบัติตามกฎหมาย
ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เห็นควรให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจัดทำข้อมูลความคุ้มค่าและการใช้ประโยชน์อากาศยานดังกล่าว
เพื่อประกอบการพิจารณาในรายละเอียดต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
53 | การนำเสนอแหล่งมรดกทางวัฒนธรรม "วัดพระมหาธาตุ วรมหาวิหาร จังหวัดนครศรีธรรมราช" เพื่อขอรับการขึ้นทะเบียนเป็นแหล่งมรดกโลก | ทส. | 28/01/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบเอกสารนำเสนอแหล่งมรดกทางวัฒนธรรม “วัดพระมหาธาตุ
วรมหาวิหาร จังหวัดนครศรีธรรมราช” และให้ประธานกรรมการแห่งชาติว่าด้วยอนุสัญญาคุ้มครองมรดกโลกลงนามในเอกสารดังกล่าว
เพื่อขอรับการขึ้นทะเบียนเป็นแหล่งมรดกโลกต่อศูนย์มรดกโลก กรุงปารีส
สาธารณรัฐฝรั่งเศส และกรณีที่ศูนย์มรดกโลกมีความเห็นต่อความครบถ้วนสมบูรณ์ (Complete) ของเอกสารนำเสนอเป็นมรดกโลก
และมีข้อเสนอแนะในการปรับแก้ไขเอกสารโดยไม่กระทบต่อสาระสำคัญของเอกสารนำเสนอฯ
หากกรมศิลปากรพิจารณาแล้วไม่กระทบต่อสาระสำคัญของเอกสารนำเสนอฯ ที่ผ่านความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี
เห็นควรให้กรมศิลปากรดำเนินการปรับปรุงแก้ไขเอกสารดังกล่าวตามความเห็นของศูนย์มรดกโลก
โดยพิจารณาร่วมกับกระทรวงการต่างประเทศ และสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมก่อนนำเสนอเอกสารดังกล่าวต่อคณะอนุกรรมการมรดกโลกทางวัฒนธรรม
และคณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยอนุสัญญาคุ้มครองมรดกโลก เพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบ และนำเรียนคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบ
ก่อนจัดส่งให้ศูนย์มรดกโลก ตามรอบการจัดส่งภายในวันที่ ๑ กุมภาพันธ์ ต่อไป ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
54 | ร่างประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม ในบริเวณพื้นที่อำเภอบ้านแหลม อำเภอเมืองเพชรบุรี อำเภอท่ายาง อำเภอชะอำ จังหวัดเพชรบุรี และอำเภอหัวหิน อำเภอปราณบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ พ.ศ. .... | ทส. | 21/01/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
เห็นชอบร่างประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง
กำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม ในบริเวณพื้นที่อำเภอบ้านแหลม
อำเภอเมืองเพชรบุรี อำเภอท่ายาง อำเภอชะอำ จังหวัดเพชรบุรี และอำเภอหัวหิน
อำเภอปราณบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว
มีสาระสำคัญเป็นการยกเลิกประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง
กำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม ในบริเวณพื้นที่อำเภอบ้านแหลม
อำเภอเมืองเพชรบุรี อำเภอท่ายาง อำเภอชะอำ จังหวัดเพชรบุรี และอำเภอหัวหิน
อำเภอปราณบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ พ.ศ. ๒๕๖๑
ที่จะสิ้นสุดระยะเวลาการใช้บังคับในวันที่ ๒๙ มิถุนายน ๒๕๖๘
เพื่อปรับปรุงเป็นฉบับใหม่ โดยกำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม
ในบริเวณพื้นที่ชายฝั่งทะเลจังหวัดเพชรบุรีและจังหวัดประจวบคีรีขันธ์
ให้มีประสิทธิภาพและเหมาะสมมากยิ่งขึ้นและเพื่อให้เกิดความต่อเนื่องในการบังคับใช้กฎหมาย
ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้ |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
55 | การทบทวนมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องกับการวางระเบียบที่เป็นเงื่อนไขหรือข้อจำกัดในการปฏิบัติงานหรือการใช้ชีวิตของประชาชน | ทส. | 21/01/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑. เห็นชอบตามความเห็นของสำนักงาน
ก.พ.ร. ดังนี้
๑.๑
ให้มติคณะรัฐมนตรีที่มีลักษณะเป็นการอำนวยความสะดวกในการให้บริการประชาชนคงมีผลใช้บังคับต่อไป
จำนวน ๔ มติ ได้แก่ ๑.๑.๑
มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๖ มกราคม ๒๕๑๑ (เรื่อง
การขอเข้าใช้ประโยชน์ในเขตป่าที่คณะรัฐมนตรีมีมติให้รักษาไว้เป็นสมบัติของชาติ) ๑.๑.๒
มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๘ กันยายน ๒๕๓๖ (เรื่อง
ขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๐ กันยายน ๒๕๒๘) ๑.๑.๓
มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๓ กันยายน ๒๕๓๗ (เรื่อง
ขออนุมัติในหลักการเกี่ยวกับการอนุญาตให้เข้าทำประโยชน์หรืออยู่อาศัยภายในเขตป่าสงวนแห่งชาติ) ๑.๑.๔
มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๕ ตุลาคม ๒๕๖๕ (เรื่อง
ขอยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๕๓๓ และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๘ กันยายน ๒๕๓๕ เกี่ยวกับการอนุญาตให้เข้าทำประโยชน์พื้นที่ป่าไม้
เพื่อการปลูกสร้างสวนป่าภาคเอกชน) ๒. ในส่วนของมติคณะรัฐมนตรีอื่น ๆ
ที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ นอกเหนือจากข้อ ๑ อีกจำนวน ๔๙ มติ
ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับไปพิจารณาทบทวนเพิ่มเติมเพื่อให้คงอยู่ไว้เฉพาะที่จำเป็น |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
56 | รายงานสถานการณ์ด้านทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งและการกัดเซาะชายฝั่งของประเทศ พ.ศ. 2566 | ทส. | 13/01/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสถานการณ์ด้านทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งและการกัดเซาะชายฝั่งของประเทศ
พ.ศ. ๒๕๖๖ สรุปได้ ดังนี้ (๑) สถานภาพทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งและการกัดเซาะชายฝั่ง
เช่น ปะการัง หญ้าทะเล ป่าชายเลน ป่าชายหาด ป่าพรุ และคุณภาพน้ำทะเล เป็นต้น (๒)
สถานการณ์ด้านทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งและการกัดเซาะชายฝั่ง ๒๔ จังหวัด โดยมีสถานการณ์ที่มีการเปลี่ยนแปลงในทิศทางดีขึ้นและคงที่
เช่น
สถานภาพแนวปะการังมีแนวโน้มสมบูรณ์ดีขึ้นในหลายพื้นที่และสถานภาพหญ้าทะเลมีบางพื้นที่ที่มีการลดลงตามฤดูกาล
ซึ่งส่วนใหญ่มีแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงคงที่ และสถานการณ์ที่มีการเปลี่ยนแปลงในทิศทางเสื่อมโทรมลง
เช่น ปัญหาน้ำมันรั่วไหลและก้อนน้ำมันดินที่ยังพบบ่อยครั้ง (๓)
สาเหตุความเสื่อมโทรมและผลกระทบต่อทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งและการกัดเซาะชายฝั่ง
ได้แก่ สาเหตุที่เกิดจากธรรมชาติ
และสาเหตุที่เกิดจากกิจกรรมการใช้ประโยชน์ของมนุษย์ (๔)
ผลการดำเนินงานเพื่อตอบสนองต่อสถานการณ์ด้านทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งและการกัดเซาะชายฝั่งของประเทศ
ระหว่างปี ๒๕๖๕ - ๒๕๖๖ เช่น สำรวจสถานภาพ ฟื้นฟูปะการังและหญ้าทะเล สนับสนุนพื้นที่ที่มีศักยภาพในการปลูกป่าชายเลนเศรษฐกิจ
ปรับปรุงมาตรฐานคุณภาพน้ำทะเล รวมถึงซ่อมแซมเขื่อนกันคลื่นทรุดหรือเขื่อนป้องกันตลิ่ง
(๕) ประเด็นปัญหาเร่งด่วนในการบริหารจัดการด้านทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม ได้แก่
ความเสื่อมโทรมของคุณภาพน้ำ และการกัดเซาะชายฝั่งในพื้นที่อ่าวไทยตอนใน
และการระบาดของปลาหมอสีคางดำ และ (๖) ข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย เช่น ควรมีการบูรณาการบริหารจัดการแหล่งกำเนิดมลพิษ
และเร่งส่งบูรณาการระหว่างหน่วยงานที่รับผิดชอบในการแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งอย่างบูรณาการในระดับจังหวัดและระดับพื้นที่
รวมถึงศึกษาวิจัย ติดตามการเปลี่ยนแปลงสถานภาพทรัพยากรอย่างต่อเนื่อง ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
57 | รายงานของผู้สอบบัญชีและรายงานการเงินกองทุนพัฒนาน้ำบาดาล สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2552 - 2563 | ทส. | 07/01/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานของผู้สอบบัญชีและรายงานการเงินกองทุนพัฒนาน้ำบาดาล
สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ ๓๐ กันยายน ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๕๒ - ๒๕๖๓ ประกอบด้วย
งบแสดงฐานะการเงิน งบแสดงผลการดำเนินงานทางการเงิน
และงบแสดงการเปลี่ยนแปลงสินทรัพย์สุทธิ/ส่วนทุน ซึ่งสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินได้ตรวจสอบรับรองงบการเงินแล้ว
เห็นว่าถูกต้องตามที่ควรในสาระสำคัญตามมาตรฐานการบัญชีภาครัฐและนโยบายการบัญชีภาครัฐที่กระทรวงการคลังกำหนด
ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ และให้เสนอรัฐสภา
แล้วประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
58 | ร่างประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง ขยายระยะเวลาการใช้บังคับประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมในบริเวณพื้นที่อำเภอบางละมุง และอำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี พ.ศ. 2563 พ.ศ. .... | ทส. | 24/12/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
เห็นชอบในหลักการร่างประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง
ขยายระยะเวลาการใช้บังคับประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง
กำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมในบริเวณพื้นที่อำเภอบางละมุง
และอำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี พ.ศ. ๒๕๖๓ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการขยายระยะเวลาการใช้บังคับประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
เรื่อง กำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมในบริเวณพื้นที่อำเภอบางละมุง
และอำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี พ.ศ. ๒๕๖๓ ออกไปอีก ๒ ปี นับแต่วันที่ ๒๕ กรกฎาคม
๒๕๖๘ เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมาย และร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา
แล้วดำเนินการต่อไปได้ |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
59 | การเข้าร่วมเป็นสมาชิก Climate Market Club ของประเทศไทย | ทส. | 24/12/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
60 | ขอถอนร่างกฎกระทรวงกำหนดให้พื้นที่ป่าชายเลนในจังหวัดเพชรบุรี เป็นพื้นที่ป่าชายเลนอนุรักษ์ พ.ศ. .... | ทส. | 24/12/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมถอนร่างกฎกระทรวงกำหนดให้พื้นที่ป่าชายเลนในจังหวัดเพชรบุรี
เป็นพื้นที่ป่าชายเลนอนุรักษ์ พ.ศ. .... ที่อยู่ระหว่างการตรวจพิจารณาของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตามที่เสนอได้
และแจ้งให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาทราบต่อไป ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ |