ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 6 จากทั้งหมด 109 หน้า แสดงรายการที่ 101 - 120 จากข้อมูลทั้งหมด 2165 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
101 | (ร่าง) บันทึกความร่วมมือว่าด้วยกลไกเครดิตร่วมระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลญี่ปุ่น | ทส. | 18/06/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบ
(ร่าง) บันทึกความร่วมมือว่าด้วยกลไกเครดิตร่วมระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลญี่ปุ่น
พร้อมเอกสารแนบ ข้อ Attachment 1-3
และมอบหมายรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมหรือผู้แทน เป็นผู้แทนฝ่ายไทยลงนามในบันทึกความร่วมมือว่าด้วยกลไกเครดิตร่วมระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลญี่ปุ่น
โดย (ร่าง) บันทึกความร่วมมือฯ เป็นการปรับปรุงความร่วมมือทวิภาคี Joint
Crediting Mechanism (JCM) กับประเทศญี่ปุ่นที่คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่
๑๓ ตุลาคม ๒๕๕๘ โดยยังคงมีสาระสำคัญเช่นเดิม คือ เป็นการจัดตั้งกลไก JCM เพื่อส่งเสริมให้ประเทศญี่ปุ่นสนับสนุนเงินลงทุนและเทคโนโลยีเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้กับโครงการต่าง
ๆ ที่ดำเนินการโดยภาครัฐหรือเอกชนของไทย เพื่อแลกกับการถ่ายโอนคาร์บอนเครดิตที่ลดลงจากการดำเนินโครงการให้กับประเทศญี่ปุ่น
ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงคมนาคม
กระทรวงพลังงาน
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
เช่น กระทรวงพลังงาน
เห็นว่าการกำหนดสัดส่วนการแบ่งปันคาร์บอนเครดิตตามสัดส่วนเงินสนับสนุนจากฝ่ายญี่ปุ่นต่อเงินลงทุนในโครงการแต่ละโครงการต้องมีการพิจารณาผลการลดก๊าซเรือนกระจกที่สามารถพิสูจน์ได้อย่างชัดเจน สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
เห็นควรให้ความสำคัญกับการถ่ายทอดเทคโนโลยีคาร์บอนต่ำที่ทันสมัยให้กับผู้ประกอบการที่เป็นวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม
(SMEs) ที่มีศักยภาพและความพร้อมเพื่อเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับผู้ประกอบการ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยน (ร่าง)
บันทึกความร่วมมือฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
ด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
102 | ร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือในโครงการภายใต้กองทุนพิเศษแม่โขง-ล้านช้าง ประจำปี พ.ศ. 2566 | ทส. | 11/06/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือในโครงการภายใต้กองทุนพิเศษแม่โขง - ล้านช้าง ประจำปี พ.ศ. ๒๕๖๖ และอนุมัติให้ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือในโครงการภายใต้กองทุนพิเศษแม่โขงล้านช้าง
ประจำปี พ.ศ. ๒๕๖๖ โดยร่างบันทึกความเข้าใจฯ จัดทำขึ้นระหว่างกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมกับสถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย
มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดรายละเอียดสำหรับการดำเนินโครงการภายใต้กองทุนพิเศษแม่โขง-ล้านช้าง
ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
ดังนี้ กระทรวงการต่างประเทศ เห็นว่าร่างบันทึกความเข้าใจฯ
ไม่เป็นสนธิสัญญาตามกฎหมายระหว่างประเทศ และไม่เป็นหนังสือสัญญาตามมาตรา ๑๗๘
ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เห็นควรให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมวิเคราะห์และประเมินผลจากการร่วมรับรองร่างบันทึกความเข้าใจดังกล่าว
รวมถึงสื่อสารผลลัพธ์การดำเนินงานที่เกี่ยวข้องให้สาธารณชนและทุกภาคส่วนได้รับรู้ถึงประโยชน์ที่ประเทศไทยพึงจะได้รับ ทั้งนี้
หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างบันทึกความเข้าใจฯ
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมดำเนินการได้
โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
ด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
103 | การทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับการมอบหมายหน่วยงานให้ปฏิบัติหน้าที่หน่วยประสานงานหลัก (National Designated Authority : NDA) ของกองทุนภูมิอากาศสีเขียว (Green Climate Fund : GCF) | ทส. | 04/06/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับการมอบหมายหน่วยงานให้ปฏิบัติหน้าที่หน่วยประสานงานหลัก
(National Designated Authority : NDA) ของกองทุนภูมิอากาศสีเขียว
(Green Climate Fund : GCF) ดังนี้ ๑)
มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๐ มีนาคม ๒๕๕๘ เรื่อง
สรุปผลการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
สมัยที่ ๒๐ และการประชุมรัฐภาคีพิธีสารเกียวโต สมัยที่ ๑๐ ณ กรุงลิมา
สาธารณรัฐเปรู จากเดิม “สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
ในฐานะหน่วยประสานงานกลาง (National Focal Point) ของอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
เป็นหน่วยประสานงานหลัก ของกองทุนภูมิอากาศสีเขียว” เป็น “กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม
ในฐานะหน่วยประสานงานกลางของอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
เป็นหน่วยประสานงานหลักของกองทุนภูมิอากาศสีเขียว” และ ๒) มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๑๓ มิถุนายน ๒๕๖๐ เรื่อง การแต่งตั้งผู้มีอำนาจ (Designated Authority) สำหรับกองทุน Green Climate Fund ของประเทศไทย
จากเดิม “มอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
เป็นผู้จัดทำกฎหมาย กฎเกณฑ์ ระเบียบ ข้อบังคับ ตลอดจนรูปแบบวิธีการอื่น ๆ
ที่จำเป็นต้องกำหนดหรือบัญญัติขึ้นภายในประเทศเพื่อรองรับการดำเนินงานที่เกี่ยวข้อง
พร้อมทั้งเป็นผู้พิจารณาโครงการด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของประเทศไทยที่ต้องการขอรับการสนับสนุนทางการเงินจากกองทุนภูมิอากาศสีเขียวให้ถูกต้องตามระเบียบราชการต่อไป”
เป็น “มอบหมายกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม เป็นผู้จัดทำกฎหมาย
กฎเกณฑ์ ระเบียบ ข้อบังคับ ตลอดจนรูปแบบวิธีการอื่น ๆ ที่จำเป็นต้องกำหนดหรือบัญญัติขึ้นภายในประเทศเพื่อรองรับการดำเนินงานที่เกี่ยวข้อง
พร้อมทั้งเป็นผู้พิจารณโครงการด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของประเทศไทยที่ต้องการขอรับการสนับสนุนทางการเงินจากกองทุนภูมิอากาศสีเขียวให้ถูกต้องตามระเบียบราชการต่อไป”
ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
104 | ร่างประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม ในท้องที่อำเภอคุระบุรี อำเภอตะกั่วป่า อำเภอท้ายเหมือง อำเภอทับปุด อำเภอเมืองพังงา อำเภอตะกั่วทุ่ง และอำเภอเกาะยาว จังหวัดพังงา พ.ศ. .... | ทส. | 28/05/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
อนุมัติในหลักการร่างประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง
กำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม ในท้องที่อำเภอคุระบุรี
อำเภอตะกั่วป่า อำเภอท้ายเหมือง อำเภอทับปุด อำเภอเมืองพังงา อำเภอตะกั่วทุ่ง
และอำเภอเกาะยาว จังหวัดพังงา พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม
ในบริเวณอำเภอคุระบุรี อำเภอตะกั่วป่า อำเภอท้ายเหมือง อำเภอทับปุด
อำเภอเมืองพังงา อำเภอตะกั่วทุ่ง และอำเภอเกาะยาว จังหวัดพังงา ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ไปประกอบการพิจารณาด้วย
แล้วดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เห็นว่าความหมายของคำว่า “ประมงพื้นบ้าน”
ตามความในข้อ ๕ (๑)(ก) ที่ให้ทำการประมงพื้นบ้านตามกฎหมายว่าด้วยการประมง
ในบริเวณพื้นที่ตามข้อ ๔ บริเวณที่ ๑ ได้นั้น หากหมายความถึง ความหมายของ “ประมงพื้นบ้าน”
และ “ที่เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ” ตามความในมาตรา ๕ แห่งพระราชกำหนดการประมง พ.ศ. ๒๕๕๘
และที่แก้ไขเพิ่มเติม ควรให้ความเห็นชอบต่อร่างประกาศกระทรวงดังกล่าว
แต่หากความหมายของ “ประมงพื้นบ้าน” ตามร่างประกาศกระทรวงดังกล่าว ไม่ได้หมายความรวมถึง
ความหมายของ “ที่เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ” ตามความในมาตรา ๕ แห่งพระราชกำหนดการประมง
พ.ศ. ๒๕๕๘ และที่แก้ไขเพิ่มเติม และร่างประกาศกระทรวงดังกล่าวมีผลใช้บังคับ
อาจส่งผลกระทบต่อการกำหนดเขตพื้นที่ที่อนุญาตให้ทำการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำในเขตพื้นที่จังหวัดพังงาได้ ๒.
ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม
และกระทรวงมหาดไทยไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย เช่น กระทรวงคมนาคม เห็นว่าหากมีการดำเนินการใด ๆ
ในแม่น้ำ ลำคลอง บึง อ่างเก็บน้ำ ทะเลสาบ ทะเล หรือบนชายหาดของทะเล
ต้องดำเนินการให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติการเดินเรือในน่านน้ำไทย พระพุทธศักราช
๒๔๕๖ และที่แก้ไขเพิ่มเติมด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
105 | ร่างประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง มาตรการคุ้มครองทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ในพื้นที่หมู่เกาะพยาม อำเภอเมืองระนอง จังหวัดระนอง พ.ศ. .... | ทส. | 28/05/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. อนุมัติในหลักการร่างประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
เรื่อง มาตรการคุ้มครองทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ในพื้นที่หมู่เกาะพยาม
อำเภอเมืองระนอง จังหวัดระนอง พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดมาตรการคุ้มครองทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งในพื้นที่หมู่เกาะพยาม
อำเภอเมืองระนอง จังหวัดระนอง เพื่อสงวน คุ้มครอง และอนุรักษ์ฟื้นฟูทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง
รวมทั้งการสร้างความสมบูรณ์ของระบบนิเวศทางทะเลและชายฝั่ง ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงมหาดไทยไปประกอบการพิจารณาด้วย
แล้วดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้ กระทรวงมหาดไทย เห็นควรให้ดำเนินการตามระเบียบ
กฎหมาย มติคณะรัฐนตรี และหนังสือเวียนที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด และควรมีการกำหนดให้สามารถงดเว้นหรือยกเว้นการปฏิบัติตามประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้ในกรณีที่มีเหตุจำเป็นและเป็นประโยชน์ต่อราชการ
ชุมชน และประชาชน เพื่อให้สามารถดำเนินการได้ โดยการอนุมัติของรัฐมนตรี
ประกอบความเห็นของผู้ว่าราชการจังหวัด และท้องที่ ๒.
ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของกระทรวงมหาดไทย กระทรวงคมนาคม
และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย เช่น กระทรวงคมนาคม เห็นว่าในการดำเนินการวางทุ่นหรือเครื่องสำหรับผูกจอดเรือของบุคคลหรือหน่วยงานต้องดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมายดังกล่าว
และหากมีการดำเนินการใด ๆ ในแม่น้ำ ลำคลอง บึง อ่างเก็บน้ำ ทะเลสาบ ทะเล
หรือบนชายหาดของทะเลต้องดำเนินการให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติการเดินเรือในน่านน้ำไทย
พระพุทธศักราช ๒๔๕๖ และที่แก้ไขเพิ่มเติมดังกล่าวด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
106 | ร่างประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม ในท้องที่อำเภออ่าวลึก อำเภอเมืองกระบี่ อำเภอเหนือคลอง อำเภอคลองท่อม และอำเภอเกาะลันตา จังหวัดกระบี่ พ.ศ. .... | ทส. | 28/05/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
อนุมัติในหลักการร่างประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง
กำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม ในท้องที่อำเภออ่าวลึก
อำเภอเมืองกระบี่ อำเภอเหนือคลอง อำเภอคลองท่อม และอำเภอเกาะลันตา จังหวัดกระบี่
พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม
ในบริเวณท้องที่อำเภออ่าวลึก อำเภอเมืองกระบี่ อำเภอเหนือคลอง อำเภอคลองท่อม
และอำเภอเกาะลันตา จังหวัดกระบี่ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงพลังงาน และกระทรวงมหาดไทยไปประกอบการพิจารณาด้วย
แล้วดำเนินการต่อไป ดังนี้ กระทรวงพลังงาน เห็นว่าประเด็นที่ควรพิจารณาในข้อ
๙(๘) การเปลี่ยนแปลงสภาพสันดอนหรือปากน้ำ กรณีที่เป็น “กิจการสาธารณูปโภคของรัฐ”
สามารถดำเนินการได้โดยต้องได้รับความเห็นชอบจากจังหวัดกระบี่ เพื่อนำไปประกอบการขออนุญาต
ซึ่งไม่แน่ชัดว่า ท่าเทียบเรือคลองรั้วและการขนส่งถ่านหินถือเป็น “กิจการสาธารณูปโภคของรัฐ”
หรือไม่ จึงเสนอแก้ไขเพิ่มเติมเป็น “กิจการสาธารณูปโภคของรัฐรวมทั้งสิ่งก่อสร้างและการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับการผลิตขนส่ง”
ทั้งนี้ โดยเทียบเคียงกับถ้อยคำตามร่างประกาศฯ ฉบับเดิม พ.ศ. ๒๕๕๙ ข้อ ๖ (๑) (จ) ๒.
ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของกระทรวงคมนาคม กระทรวงพลังงาน
และกระทรวงมหาดไทยไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย เช่น |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
107 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดเขตพิ้นที่เขตการปกครองพิเศษพัทยา อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี เป็นพื้นที่ใช้มาตรการในการป้องกันการกัดเซาะชายฝั่ง พ.ศ. .... | ทส. | 21/05/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดเขตพื้นที่เขตการปกครองพิเศษพัทยา
อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี เป็นพื้นที่ใช้มาตรการในการป้องกันการกัดเซาะชายฝั่ง
พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้พื้นที่ตั้งแต่แนวชายฝั่งทะเลออกไปในทะเลเป็นระยะทาง
๑,๐๐๐ เมตร ของเขตการปกครองพิเศษพัทยา
อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี
เป็นเขตพื้นที่ใช้มาตรการในการป้องกันการกัดเซาะชายฝั่ง ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับข้อสังเกตของกระทรวงคมนาคมและสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาไปประกอบการพิจารณาด้วย
แล้วดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้ กระทรวงคมนาคม เห็นควรยกเว้นให้กับส่วนราชการในการปฏิบัติตามอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายเพื่อประโยชน์สาธารณะและประชาชน
เช่น การขุดลอก การถม เท เติม หรือเสริมทรายชายหาด การปลูกสร้างท่าเทียบเรือ
เขื่อนป้องกันตลิ่ง เขื่อนป้องกันคลื่น และรอดักทราย โดยไม่ควรกำหนดให้ต้องขอความเห็นชอบหรือขออนุญาตจากอธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งตามร่างข้อ
๔ ร่างข้อ ๕ ร่างข้อ ๘ และร่างข้อ ๙ ซึ่งอาจเกินจากบทอาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติส่งเสริมการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง
พ.ศ. ๒๕๕๘ ที่มิได้บัญญัติไว้ให้เป็นอำนาจของอธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีเกิดเหตุจำเป็นเร่งด่วนหรือเหตุที่มาจากภัยอันเกิดจากธรรมชาติ
ซึ่งอาจส่งผลกระทบหรืออาจเกิดความเสียหายต่อทรัพย์สินหรือชีวิตของประชาชน สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เห็นว่าการมีมาตรการป้องกันการกัดเซาะชายฝั่งบังคับใช้กฎหมายทั้งสองฉบับอาจก่อให้เกิดการสับสนแก่ประชาชนในการปฏิบัติตามกฎหมาย
และเมื่อร่างกฎกระทรวงนี้มีผลใช้บังคับแล้ว ก็ควรจะได้แก้ไขปรับปรุงประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
เรื่อง กำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมฯ เพื่อยกเลิกมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมในส่วนที่มีความซ้ำช้อนหรือขัดแย้งกับมาตรการป้องกันการกัดเซาะชายฝั่งตามร่างกฎกระทรวงนี้ต่อไปด้วย ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย เช่น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เห็นควรมีการกำหนดมาตรการในการป้องกันการศึกษา
และตรวจสอบถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม การแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่ง
ตลอดจนการห้ามดำเนินกิจกรรมหรือกระทำการใด ๆ
ที่อาจก่อให้เกิดปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งไว้โดยเฉพาะอันเป็นการป้องกันมิให้ชายฝั่ง
ระบบนิเวศชายฝั่ง ตลอดจนความสมดุลของธรรมชาติถูกทำลายตามหลักการป้องกันล่วงหน้า |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
108 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดให้สัตว์ป่าบางชนิดเป็นสัตว์ป่าสงวน พ.ศ. .... และร่างกฎกระทรวงกำหนดให้สัตว์ป่าบางชนิดเป็นสัตว์ป่าคุ้มครอง พ.ศ. .... รวม 2 ฉบับ | ทส. | 21/05/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดให้สัตว์ป่าบางชนิดเป็นสัตว์ป่าสงวน
พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้วาฬสีน้ำเงิน (Balaenoptera musculus) และนกชนหิน หรือนกหิน (Buceros
vigil หรือ Rhinoplax vigil) เป็นสัตว์ป่าสงวน
เพิ่มเติม จากที่กำหนดไว้ในบัญชีท้ายพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ.
๒๕๖๒ ตามลำดับ และร่างกฎกระทรวงกำหนดให้สัตว์ป่าบางชนิดเป็นสัตว์ป่าคุ้มครอง พ.ศ. ....
มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงชนิดสัตว์ป่าคุ้มครองตามบัญชีท้ายกฎกระทรวงกำหนดให้สัตว์ป่าบางชนิดเป็นสัตว์ป่าคุ้มครอง
พ.ศ. ๒๕๔๖ และที่แก้ไขเพิ่มเติม เพื่อให้สอดคล้องและเป็นไปตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า
พ.ศ. ๒๕๖๒ รวม ๒ ฉบับ ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
และให้ดำเนินการต่อไปได้ โดยให้ร่างพระราชกฤษฎีกาและร่างกฎกระทรวงดังกล่าว
มีผลใช้บังคับไปพร้อมกัน ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศและกระทรวงมหาดไทยไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
ดังนี้ กระทรวงการต่างประเทศ เห็นควรพิจารณาแจ้งเรื่องการปรับปรุงสถานะความคุ้มครองสัตว์ป่าตามกฎหมายของประเทศไทยให้ประเทศภาคีอนุสัญญา
CITES รับทราบ
เพื่อเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างประเทศในการป้องกันการลักลอบค้าสัตว์ป่าผิดกฎหมาย
ทั้งยังเป็นการแสดงบทบาทที่แข็งขันของประเทศไทยในเวทีระหว่างประเทศ กระทรวงมหาดไทย เห็นควรดำเนินการตามระเบียบ กฎหมาย
มติคณะรัฐมนตรี และหนังสือเวียนที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
109 | รายงานสรุปผลการพิจารณาต่อข้อเสนอแนะของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ กรณีปัญหามลภาวะทางอากาศในพื้นที่ 8 จังหวัด ภาคเหนือตอนบน | ทส. | 21/05/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสรุปผลการพิจารณาต่อข้อเสนอแนะของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ
กรณีปัญหามลภาวะทางอากาศในพื้นที่ ๘ จังหวัด ภาคเหนือตอนบน ซึ่งได้ประชุมหารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้ว
โดยมีผลสรุปในภาพรวมว่า ข้อเสนอแนะของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติในเรื่องดังกล่าวมีความเหมาะสมในหลักการ
และเป็นการศึกษาที่ครอบคลุมในหลายมิติ
ส่วนใหญ่สอดคล้องกับการดำเนินงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตามแผนปฏิบัติการขับเคลื่อนวาระแห่งชาติ
“การแก้ไขปัญหามลพิษด้านฝุ่นละออง” และมาตรการแก้ไขปัญหาฝุ่นพิษ PM2.5 ปี ๒๕๖๗ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
และแจ้งให้คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติทราบต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
110 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดเขตพื้นที่ตำบลปากคลอง อำเภอปะทิว จังหวัดชุมพร เป็นพื้นที่ใช้มาตรการในการป้องกันการกัดเซาะชายฝั่ง พ.ศ. .... | ทส. | 21/05/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดเขตพื้นที่ตำบลปากคลอง
อำเภอปะทิว จังหวัดชุมพร เป็นพื้นที่ใช้มาตรการในการป้องกันการกัดเซาะชายฝั่ง พ.ศ.
.... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้พื้นที่ตั้งแต่แนวชายฝั่งทะเลออกไปในทะเลเป็นระยะทาง
๑,๐๐๐ เมตร ของตำบลปากคลอง อำเภอปะทิว
จังหวัดชุมพร เป็นเขตพื้นที่ใช้มาตรการในการป้องกันการกัดเซาะชายฝั่ง ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับข้อสังเกตของกระทรวงคมนาคมและสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาไปประกอบการพิจารณาด้วย
แล้วดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้ กระทรวงคมนาคม เห็นว่าตามมาตรา ๑๑๗ และมาตรา ๑๒๐ แห่งพระราชบัญญัติการเดินเรือน่านน้ำไทย
พระพุทธศักราช ๒๔๕๖ และที่แก้ไขเพิ่มเติมบัญญัติห้ามปลูกสร้างอาคาร
หรือสิ่งอื่นใดล่วงล้ำเข้าไปเหนือน้ำ ในน้ำ ใต้น้ำ ของแม่น้ำ ลำคลอง บึง
อ่างเก็บน้ำ ทะเลสาบ อันเป็นทางสัญจรของประชาชน หรือที่ประชาชนใช้ประโยชน์ร่วมกัน หรือทะเลภายในน่านน้ำไทย
หรือบนชายหาดของทะเล และห้ามขุดลอก แก้ไข หรือทำด้วยประการใด ๆ
อันเป็นการเปลี่ยนแปลงร่องน้ำทางเดิน ลำคลอง ทะเลสาบ
และทะเลภายในน่านน้ำไทยเว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากกรมเจ้าท่า ดังนั้น การดำเนินการใด
ๆ ในแม่น้ำ ลำคลอง บึง อ่างเก็บน้ำ ทะเลสาบ ทะเล หรือบนชายหาดของทะเล
ต้องดำเนินการให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติการเดินเรือในน่านน้ำไทย พระพุทธศักราช
๒๔๕๖ และที่แก้ไขเพิ่มเติมดังกล่าวด้วย สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เห็นว่าเมื่อร่างกฎกระทรวงนี้มีผลใช้บังคับแล้ว
ก็ควรจะแก้ไขปรับปรุงร่างประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมดังกล่าว
เพื่อยกเลิกมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมในส่วนที่มีความซ้ำซ้อนหรือขัดแย้งกับมาตรการป้องกันการกัดเซาะชายฝั่งตามร่างกฎกระทรวงนี้ต่อไปด้วย ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของกระทรวงคมนาคม สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย เช่น สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เห็นควรจัดทำแผนปฏิบัติการสำหรับทำความเข้าใจกับผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในพื้นที่ให้ชัดเจน ทั้งหน่วยงานราชการ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ภาคธุรกิจเอกชน และประชาชนในพื้นที่ เพื่อลดผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากร่างกฎกระทรวงกำหนดเขตพื้นที่ตำบลปากคลอง อำเภอปะทิว จังหวัดชุมพร เป็นพื้นที่ใช้มาตรการในการป้องกันการกัดเซาะชายฝั่ง พ.ศ. ....
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
111 | แต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการนโยบายและแผนการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งแห่งชาติ (1. ศาสตราจารย์ดุสิต เวชกิจ ฯลฯ จำนวน 12 คน) | ทส. | 14/05/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการนโยบายและแผนการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งแห่งชาติ
จำนวน ๑๒ คน เนื่องจากกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเดิมได้ดำรงตำแหน่งครบวาระสามปี
โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๑๔ พฤษภาคม ๒๕๖๗) เป็นต้นไป
ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้ ๑.
ศาสตราจารย์ดุสิต เวชกิจ ผู้แทนด้านการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ๒.
นายวิจารย์ สิมาฉายา ผู้แทนด้านสิ่งแวดล้อม ๓. นายศศิน
เฉลิมลาภ ผู้แทนด้านทรัพยากรธรณี ๔.
รองศาสตราจารย์ธรรมศักดิ์ ยีมิน ผู้แทนด้านวิทยาศาสตร์ทางทะเล ๕.
รองศาสตราจารย์อรพรรณ ศรีเสาวลักษณ์ ผู้แทนด้านเศรษฐศาสตร์ ๖.
นางพวงทอง อ่อนอุระ ผู้แทนด้านนิติศาสตร์ ๗.
นายนิวัติ ธัญญะชาติ ผู้แทนชุมชนชายฝั่งด้านการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ๘.
นายไมตรี จงไกรจักร์ ผู้แทนชุมชนชายฝั่งด้านการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ๙. นายมนูญ
คุ้มรักษ์ ผู้แทนชุมชนชายฝั่งด้านการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ๑๐.
นายพิษณุพงษ์ เหล่าลาภผล ผู้แทนชุมชนชายฝั่งด้านการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและขายฝั่ง ๑๑. นายเหลด
เมงไซ ผู้แทนชุมชนชายฝั่งด้านการประมง
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
112 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดเขตพื้นที่ตำบลธงชัย และตำบลแม่รำพึง อำเภอบางสะพาน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เป็นพื้นที่ใช้มาตรการในการป้องกันการกัดเซาะชายฝั่ง พ.ศ. .... | ทส. | 14/05/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดเขตพื้นที่ตำบลธงชัย
และตำบลแม่รำพึง อำเภอบางสะพาน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์
เป็นพื้นที่ใช้มาตรการในการป้องกันการกัดเซาะชายฝั่ง พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้พื้นที่ตั้งแต่แนวชายฝั่งทะเลออกไปในทะเลเป็นระยะ
๑,๐๐๐ เมตร ของตำบลธงชัย
และตำบลแม่รำาพึง อำเภอบางสะพาน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เป็นเขตพื้นที่ใช้มาตรการในการป้องกันการกัดเซาะชายฝั่ง
ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงคมนาคมที่เห็นควรยกเว้นให้กับส่วนราชการในการปฏิบัติตามอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายเพื่อประโยชน์สาธารณะและประชาชน
เช่น การขุดลอก การถม เท เติม หรือเสริมทรายชายหาด การปลูกสร้างท่าเทียบเรือ
เขื่อนป้องกันตลิ่ง เขื่อนป้องกันคลื่น และรอดักทราย
โดยไม่ควรกำหนดให้ต้องขอความเห็นชอบหรือขออนุญาตจากอธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งตามข้อ
๔ ข้อ ๕ ข้อ ๘ และข้อ ๙ ของร่างกฎกระทรวง
ซึ่งอาจเกินจากขอบอำนาจตามกฎหมายว่าด้วยพระราชบัญญัติส่งเสริมการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง
พ.ศ. ๒๕๕๘ ที่มิได้บัญญัติไว้ให้เป็นอำนาจของอธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ไปประกอบการพิจารณาด้วย
แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒.
ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
ดังนี้ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
เห็นว่าการท่องเที่ยวของประเทศไทยจะเติบโตได้อย่างยั่งยืนในระยะยาวนั้น
จะต้องมีการพัฒนาบนพื้นฐานความยั่งยืนของเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม ภาคการผลิต
และธุรกิจในภาคการท่องเที่ยวให้มีการเติบโตอย่างยั่งยืน มีการจัดการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวและชุมชนท่องเที่ยว
โดยคำนึงถึงความสามารถในการรองรับนักท่องเที่ยว
พร้อมการบริหารจัดการจำนวนนักท่องเที่ยว
รวมทั้งการลดผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการท่องเที่ยว เช่น การปล่อยมลพิษ
การจัดการขยะและของเสีย การทำลายสิ่งแวดล้อมทางทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง และภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงไป สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
เห็นควรประชาสัมพันธ์ชี้แจงทำความเข้าใจกับผู้มีส่วนเกี่ยวข้องและประชาชนในพื้นที่ให้ทราบถึงความสำคัญและความจำเป็นในการออกกฎกระทรวงกำหนดเขตพื้นที่เป็นพื้นที่ใช้มาตรการในการป้องกันการกัดเซาะชายฝั่งนี้อย่างต่อเนื่องต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
113 | แต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการสำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพ (1. นายเกษมสันต์ จิณณวาโส ฯลฯ รวม 7 คน) | ทส. | 07/05/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการสำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพ
รวม ๗ คน แทนประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเดิมที่พ้นจากตำแหน่งเนื่องจากขอลาออก
โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๗ พฤษภาคม ๒๕๖๗) เป็นต้นไป ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
ดังนี้ ๑. นายเกษมสันต์ จิณณวาโส ประธานกรรมการ ๒. รองศาสตราจารย์ ดร.สิรี ชัยเสรี กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ด้านการบริหารเศรษฐกิจการเกษตร ๓. นางรวีวรรณ ภูริเดช กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ด้านทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม ๔. ศาสตราจารย์ ดร.ศันสนีย์ ไชยโรจน์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ๕. นางรัตนา เล็งศิริวัฒน์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ด้านการเงิน ๖. นายสุเมธ เหล่าโมราพร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ด้านบริหารธุรกิจและการตลาด ๗. นายทศพล ทังสุบุตร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ด้านนิติศาสตร์
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
114 | ร่างเอกสารผลลัพธ์การประชุมภาคีป่าไม้แห่งสหประชาชาติ สมัยที่ 19 (The nineteenth session of the United Nations Forum on Forests - UNFF19) | ทส. | 07/05/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างแถลงการณ์ร่วมการประชุมผู้บริหารระดับสูงในการประชุมภาคีป่าไม้แห่งสหประชาชาติ
สมัยที่ ๑๙ (The nineteenth session of
the United Nations Forum on Forests - UNFF 19) และมอบหมายให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายร่วมรับรองร่างแถลงการณ์ร่วมฯ โดยร่างแถลงการณ์ร่วมฯ
มีสาระสำคัญเป็นการเน้นย้ำและตระหนักถึงสถานการณ์ด้านป่าไม้ในปัจจุบัน เช่น ตระหนักว่าป่าไม้มีความสำคัญต่อความเป็นอยู่ที่ดีของมนุษย์ ซึ่งปัจจุบันพื้นที่ป่าไม้มีแนวโน้มลดลงและเสื่อมโทรมลงอย่างต่อเนื่อง
และประเทศภาคีจะดำเนินการอย่างเร่งด่วนเพื่อหยุดยั้งการตัดไม้ทำลายป่า
และเพื่อฟื้นฟูป่าไม้และความเสื่อมโทรมของดิน โดยจะดำเนินการ เช่น
ดำเนินงานร่วมกันเพื่อป้องกัน อนุรักษ์ และฟื้นฟูป่าไม้และระบบนิเวศป่าไม้อย่างยั่งยืน
โดยการเสริมสร้างการมีส่วนร่วมเชิงนโยบาย ความร่วมมือระหว่างภาคส่วนต่าง ๆ
และลดความขัดแย้งในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับป่าไม้ในทุกระดับ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างแถลงการณ์ร่วมฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมดำเนินการได้
โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
115 | การเข้าร่วมประชุม Sustainable Finance for Tiger Landscapes Conference ณ ประเทศภูฏาน | ทส. | 23/04/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. เห็นชอบร่างเอกสารผลลัพธ์การประชุม
Paro Pledge for Tigers : A Billion-dollar
Commitment to Biodiversity Conservation และอนุมัติให้หัวหน้าคณะผู้แทนไทย
[ที่ปรึกษากรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช
(นางรุ่งนภา พัฒนวิบูลย์)] หรือผู้ที่ได้รับมอบหมาย
ให้การรับรองร่างเอกสารผลลัพธ์การประชุมฯ โดยร่างเอกสารผลลัพธ์การประชุมฯ เป็นเอกสารผลลัพธ์ที่จะมีการรับรองในวันที่
๒๓ เมษายน ๒๕๖๗ ระหว่างการประชุม Sustainable Finance for Tiger Landscapes
Conference ณ เมืองพาโร ราชอาณาจักรภูฏาน มีวัตถุประสงค์เพื่อแสดงความมุ่งมั่นร่วมกันในการกระตุ้นการระดมทุนเพิ่มเติม
จำนวน ๑ พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายในปี ค.ศ. ๒๐๓๔ เพื่อการอนุรักษ์เสือโคร่ง ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างเอกสารผลลัพธ์การประชุมฯ
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมดำเนินการได้
โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว ๒.
ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นควรจัดทำแผนปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ
เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอน
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
116 | แต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (1. นายพงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ ฯลฯรวม 6 ราย) | ทส. | 23/04/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก
รวม ๖ คน
แทนประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเดิมที่พ้นจากตำแหน่งเนื่องจากขอลาออก
โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๒๓ เมษายน ๒๕๖๗) เป็นต้นไป
ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้ ๑. นายพงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ ประธานกรรมการ ๒. นายพิสิทธิ์ ปทุมบาล กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านการบริหารธุรกิจ ๓. นายบัณฑิต ลิ้มมีโชคชัย กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านพลังงาน ๔. นายสุเมธ ตั้งประเสริฐ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ๕. นายนิคม แหลมสัก กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านป่าไม้ ๖. นายภานุวัฒน์ ตริยางกูรศรี กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านการอุตสาหกรรม
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
117 | รายงานของผู้สอบบัญชีและรายงานการเงินกองทุนจัดการซากดึกดำบรรพ์ สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2565 | ทส. | 18/04/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานของผู้สอบบัญชีและรายงานการเงินกองทุนจัดการซากดึกดำบรรพ์
สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๖๕ ประกอบด้วย งบแสดงฐานะการเงิน
และงบแสดงผลการดำเนินงานทางการเงิน โดยสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินเห็นว่า ถูกต้องตามที่ควรในสาระสำคัญตามมาตรฐานการบัญชีภาครัฐและนโยบายการบัญชีภาครัฐ
ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
118 | ร่างกฎกระทรวงการขอรับใบอนุญาตหรือใบรับรอง และการออกใบอนุญาตหรือใบรับรองให้นำเข้า หรือส่งออกซึ่งสัตว์ป่า ซากสัตว์ป่า หรือผลิตภัณฑ์จากซากสัตว์ป่า พ.ศ. .... | ทส. | 18/04/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงการขอรับใบอนุญาตหรือใบรับรอง
และการออกใบอนุญาตหรือใบรับรองให้นำเข้า หรือส่งออกซึ่งสัตว์ป่า ซากสัตว์ป่า
หรือผลิตภัณฑ์จากซากสัตว์ป่า พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการขอรับใบอนุญาตและการออกใบอนุญาตให้นำเข้าหรือส่งออกซึ่งสัตว์ป่า
ซากสัตว์ป่า หรือผลิตภัณฑ์จากซากสัตว์ป่าที่เป็นสัตว์ป่าสงวน สัตว์ป่าคุ้มครอง
สัตว์ป่าคุ้มครองที่เพาะพันธุ์ได้ และสัตว์ป่าควบคุม รวมทั้งการขอรับใบรับรองและการออกใบรับรองเพื่อการดำเนินการดังกล่าว
ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน
โดยให้รับความเห็นของสำนักงาน ก.พ.ร. ที่เห็นควรดำเนินการให้สอดคล้องตามมาตรา ๙ และมาตรา
๑๒ แห่งพระราชบัญญัติการปฏิบัติราชการทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. ๒๕๖๕
และควรเร่งดำเนินการตามมาตรา ๗
แห่งพระราชบัญญัติการอำนวยความสะดวกในการพิจารณาอนุญาตของทางราชการ พ.ศ. ๒๕๕๘ โดยจัดทำคู่มือสำหรับประชาชนและเผยแพร่ตามช่องทางที่กำหนด
รวมถึงในเว็บไซต์ศูนย์รวมข้อมูลเพื่อติดต่อราชการ (www.info.go.th) ไปประกอบการพิจารณาด้วย
แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
119 | การนำเสนอแหล่งมรดกทางวัฒนธรรม "สงขลา และชุมชนที่เกี่ยวเนื่องริมทะเลสาบสงขลา" เข้าสู่บัญชีรายชื่่อเบื้องต้น (Tentative List) ของศูนย์มรดกโลก | ทส. | 09/04/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑.
เห็นชอบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบเอกสารนำเสนอแหล่งมรดกทางวัฒนธรรม
“สงขลา และชุมชนที่เกี่ยวเนื่องริมทะเลสาบสงขลา” ภายใต้ชื่อ Songkhla and is Associated Lagoon Settlements เข้าสู่บัญชีรายชื่อเบื้องต้น (Tentative List) ของศูนย์มรดกโลก ๑.๒
เห็นชอบให้ประธานกรรมการแห่งชาติว่าด้วยอนุสัญญาคุ้มครองมรดกโลกลงนามในเอกสารนำเสนอฯ
ต่อศูนย์มรดกโลก ณ กรุงปารีส สาธารณรัฐฝรั่งเศส ๑.๓ มอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
ในฐานะหน่วยประสานงานกลางอนุสัญญาว่าด้วยการคุ้มครองมรดกโลกทางวัฒนธรรมและทางธรรมชาตินำเสนอเอกสารนำเสนอฯ
เข้าสู่บัญชีรายชื่อเบื้องต้นของศูนย์มรดกโลกต่อศูนย์มรดกโลก ณ กรุงปารีส สาธารณรัฐฝรั่งเศส ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณเกี่ยวกับภาระค่าใช้จ่ายที่อาจเกิดขึ้นในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๗ เห็นควรให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีที่ได้รับจัดสรรไว้แล้วหรือพิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๗ หรือโอนเงินจัดสรร หรือเปลี่ยนแปลงเงินจัดสรร ตามระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ หรือใช้จ่ายจากเงินนอกงบประมาณ แล้วแต่กรณี ส่วนค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นในปีต่อ ๆ ไป ให้จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเท่าที่จำเป็น โดยคำนึงถึงความครอบคลุมของทุกแหล่งเงิน ความประหยัด ความคุ้มค่า ผลสัมฤทธิ์และประโยชน์ที่จะได้รับการบูรณาการของหน่วยงานหลักและหน่วยงานสนับสนุน และการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
120 | ร่างกฎกระทรวงการขอรับใบอนุญาตและการออกใบอนุญาตจัดตั้งและประกอบกิจการสวนสัตว์ พ.ศ. .... | ทส. | 02/04/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงการขอรับใบอนุญาตและการออกใบอนุญาตจัดตั้งและประกอบกิจการสวนสัตว์
พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการขอรับใบอนุญาตและการออกใบอนุญาตจัดตั้งและประกอบกิจการสวนสัตว์
รวมทั้งอายุใบอนุญาต การต่ออายุใบอนุญาต การโอนใบอนุญาต และการออกใบแทนใบอนุญาต ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของสำนักงาน
ก.พ.ร. และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับการดำเนินการบางประการควรมีความสอดคล้องกับพระราชบัญญัติอำนวยความสะดวกในการพิจารณาอนุญาตของทางราชการ
พ.ศ. ๒๕๕๘ และพระราชบัญญัติการปฏิบัติราชการทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. ๒๕๖๕
และควรกำหนดคุณสมบัติของผู้ขอรับใบอนุญาตเกี่ยวกับประสบการณ์
และความเชี่ยวชาญในการประกอบกิจการสวนสัตว์หรือการดูแลสัตว์ป่าให้เหมาะสมกับสัตว์แต่ละชนิด
แต่ละสายพันธุ์ ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้
|