ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 156 จากทั้งหมด 483 หน้า แสดงรายการที่ 3101 - 3120 จากข้อมูลทั้งหมด 9647 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
3101 | รายงานผลการลงนามในสัญญาให้ความช่วยเหลือทางการเงินโครงการพัฒนา ถนนหมายเลข 11 (บ้านตาดทอง - บ้านน้ำสัง และเมืองสังข์ทอง) สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว | กค | 08/02/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการคลังรายงานผลการลงนามในสัญญาให้ความช่วยเหลือทางการเงินระหว่างสำนักงานความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน (องค์การมหาชน) (สพพ.) กับรัฐบาลสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) สำหรับโครงการปรับปรุงถนนหมายเลข ๑๑ (บ้านตาดทอง - บ้านน้ำสัง และเมืองสังข์ทอง) โดย สพพ. ได้ลงนามในสัญญาให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ สปป.ลาว วงเงิน ๑,๓๙๒ ล้านบาท เมื่อวันที่ ๙ ธันวาคม ๒๕๕๓ ณ กรุงเวียงจันทน์ สปป.ลาว
|
|||||||||||||||||||||||||||
3102 | รายงานผลการกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้พันธบัตรรัฐบาลที่ครบกำหนด | กค | 08/02/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการคลังเสนอรายงานผลการกู้เงินพื่อปรับโครงสร้างหนี้พันธบัตรรัฐบาลที่ครบกำหนด ซึ่งมีพันธบัตรรัฐบาลที่ออกภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินและจัดการเงินกู้เพื่อช่วยเหลือกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน ระยะที่สอง พ.ศ. ๒๕๔๕ (FIDF 3) ครบกำหนดไถ่ถอนในวันที่ ๑๓ สิงหาคม ๒๕๕๓ จำนวน ๕๔,๗๓๑.๐๒ ล้านบาท ได้แก่ พันธบัตรรัฐบาลกรณีพิเศษในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๔๗ ครั้งที่ ๔ จำนวน ๓๐,๐๐๐.๐๐ ล้านบาท และพันธบัตรรัฐบาลเพื่อการปรับโครงสร้างหนี้ (พ.ร.ก. ช่วยเหลือกองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ ระยะที่สอง) ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๐ ครั้งที่ ๑ จำนวน ๒๔,๗๓๑.๐๒ ล้านบาท แต่เนื่องจากในวันที่ ๑๓ สิงหาคม ๒๕๕๓ เป็นวันหยุดพิเศษ จึงเลื่อนการไถ่ถอนพันธบัตรรัฐบาลที่ครบกำหนดในวันดังกล่าวเป็นวันที่ ๑๖ สิงหาคม ๒๕๕๓ ทั้งนี้ กระทรวงการคลังได้ดำเนินการปรับโครงสร้างหนี้ดังกล่าวโดยการชำระคืนต้นเงินพันธบัตรรัฐบาลฯ ที่ครบกำหนดแล้ว
|
|||||||||||||||||||||||||||
3103 | รายงานความคืบหน้าโครงการไทยเข้มแข็ง (รายโครงการ) ประจำสัปดาห์ ข้อมูล ณ วันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2554 | กค | 08/02/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการคลังรายงานความคืบหน้าโครงการไทยเข้มแข็ง (รายโครงการ) ประจำสัปดาห์ ข้อมูล ณ วันที่ ๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔ สรุปได้ดังนี้
๑. อนุมัติแล้ว จำนวน ๔๒,๖๘๔ โครงการ วงเงิน ๓๔๙,๙๖๐.๔๔ ล้านบาท ๒. การจัดสรร ๒.๑ รอจัดสรร จำนวน ๘๑๕ โครงการ วงเงิน ๑๒,๒๐๒.๔๐ ล้านบาท ๒.๒ จัดสรรแล้ว จำนวน ๔๑,๘๖๙ โครงการ วงเงิน ๓๓๗,๗๕๘.๐๔ ล้านบาท ๓. การจัดซื้อจัดจ้าง ๓.๑ ยอดจัดสรรที่อยู่ระหว่างการดำเนินการจัดซื้อ จำนวน ๒,๗๐๙ โครงการ วงเงิน ๑๕,๕๓๐.๑๓ ล้านบาท ๓.๑.๑ ยังไม่เกิน ๑๕ วันทำการ จำนวน ๕๘๑ โครงการ วงเงิน ๕,๑๑๖.๔๕ ล้านบาท ๓.๑.๒ เกิน ๑๕ วันทำการ จำนวน ๒,๑๒๘ โครงการ วงเงิน ๑๐,๔๑๓.๖๘ ล้านบาท ๓.๒ ยอดจัดสรรที่จัดซื้อแล้ว จำนวน ๓๙,๑๖๐ โครงการ วงเงิน ๓๒๒,๒๒๗.๙๑ ล้านบาท ๓.๓ มูลค่าจัดซื้อตามสัญญา จำนวน ๓๙,๑๖๐ โครงการ วงเงิน ๓๑๒,๒๒๓.๒๗ ล้านบาท ๔. การดำเนินการ ๔.๑ ยังไม่ได้เบิกจ่าย จำนวน ๑,๗๕๘ โครงการ วงเงิน ๕๐,๒๘๗.๒๑ ล้านบาท ๔.๒ เบิกจ่ายแล้วบางส่วน (ยังไม่เสร็จ) ๑๒,๕๑๖ โครงการ วงเงิน ๑๒๕,๗๗๒.๙๑ ล้านบาท ๔.๓ เสร็จสมบูรณ์แล้ว จำนวน ๒๔,๘๘๖ โครงการ วงเงิน ๑๓๖,๑๖๓.๑๕ ล้านบาท ๔.๔ เบิกจ่ายทั้งหมด (๔.๒+๔.๓) จำนวน ๓๗,๔๐๒ โครงการ วงเงิน ๒๖๑,๙๓๖.๐๖ ล้านบาท
|
|||||||||||||||||||||||||||
3104 | แต่งตั้งคณะทำงานติดตามการขับเคลื่อนโครงการประชาวิวัฒน์ (นายกรณ์ จาติกวณิช รมว.กค.ประธาน ฯลฯ) | กค | 08/02/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแต่งตั้งคณะทำงานติดตามการขับเคลื่อนโครงการประชาวิวัฒน์ โดยมีนายกรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธาน และคณะทำงาน ๒๒ ท่าน โดยมีนายวรจักร บัณฑุวงศ์ และผู้แทนสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง เป็นคณะทำงานและเลขานุการ มีอำนาจหน้าที่พิจารณาติดตามประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและรายงานความคืบหน้าต่อประชาชน รวมทั้งเชิญหน่วยงานจากส่วนราชการ และภาคเอกชนมาร่วมหารือให้ข้อมูลหรือร่วมปฏิบัติการตามความเหมาะสม ตลอดจนพิจารณาและปฏิบัติงานอื่น ๆ ในส่วนที่เกี่ยวข้องตามที่ได้รับมอบหมาย ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||
3105 | ขอแก้ไขเพิ่มเติมมติคณะรัฐมนตรีเรื่องแนวทางการดำเนินการในโครงการปรับโครงสร้างหนี้ตามมติคณะรัฐมนตรี ของ ธ.ก.ส. | กค | 08/02/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้ยกเลิกข้อความของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔ (เรื่อง ขอความเห็นชอบแนวทางดำเนินการในโครงการปรับโครงสร้างหนี้ตามมติคณะรัฐมนตรีของ ธ.ก.ส.) ตามข้อ ๓.๑.๑ ของหนังสือกระทรวงการคลัง ด่วนที่สุด ที่ กค ๑๐๐๖/๑๙๐๔ ลงวันที่ ๓๑ มกราคม ๒๕๕๔ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ “๓.๑.๑ สำนักงาน กฟก. ควรหารือกับสถาบันการเงินเจ้าหนี้ในการแก้ไขหนี้ของลูกหนี้ เพื่อให้มีการกลั่นกรองความเหมาะสมของเกษตรกรที่สมควรได้รับการแก้ไขตามพระราชบัญญัติ กฟก. พ.ศ. ๒๕๔๒” ๒. เห็นชอบในหลักการให้เกษตรกร จำนวน ๓ กลุ่ม ประกอบด้วย กลุ่มที่ ๑ เกษตรกรที่เป็นหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) และเป็นสมาชิกกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร จำนวนประมาณ ๘๐,๐๐๐ ราย กลุ่มที่ ๒ เกษตรกรที่อาจจะเป็นหรือไม่เป็นสมาชิกกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกรแต่ยังไม่ได้ขึ้นทะเบียนหนี้ จำนวนประมาณ ๓๕๐,๐๐๐ ราย และกลุ่มที่ ๓ เกษตรกรลูกหนี้สถาบันการเงินอื่น สหกรณ์ฯ และนิติบุคคลที่คณะกรรมการกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกรกำหนด จำนวนประมาณ ๘๐,๐๐๐ ราย ที่เสียชีวิต พิการ หรือทุพพลภาพจนไม่สามารถประกอบอาชีพได้ ณ วันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๒ ให้จำหน่ายหนี้เงินกู้ออกจากบัญชีเป็นหนี้สูญ ทั้งต้นเงินและดอกเบี้ย ทั้งนี้ ให้กระทรวงการคลังรับไปพิจารณาในรายละเอียดต่าง ๆ ร่วมกับสำนักงบประมาณและธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรเกี่ยวกับวงเงินค่าใช้จ่ายและการแยกบัญชีธุรกรรมนโยบายรัฐ (Public Service Account : PSA) ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว แล้วให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีอีกครั้งในสัปดาห์หน้า
|
|||||||||||||||||||||||||||
3106 | รายงานการเงินแผ่นดิน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2548 (1 ตุลาคม 2547 - 30 กันยายน 2548) | กค | 01/02/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการคลังเสนอรายงานการเงินแผ่นดิน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๔๘ (๑ ตุลาคม ๒๕๔๗ - ๓๐ กันยายน ๒๕๔๘) ที่สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินตรวจสอบและรับรองแล้ว และให้นำเสนอรัฐสภาทราบต่อไป โดยสาระสำคัญของรายงานมี ดังนี้
๑. สินทรัพย์หมุนเวียน จำนวน ๑๒๐,๔๒๓.๗๑ ล้านบาท ๒. สินทรัพย์ไม่หมุนเวียน จำนวน ๓,๗๖๑,๐๑๙.๖๑ ล้านบาท ๓. หนี้สิน จำนวน ๒,๐๐๔,๕๓๐.๓๕ ล้านบาท ๕. รายได้ จำนวน ๑,๓๕๖,๒๕๐.๕๓ ล้านบาท ๖. ค่าใช้จ่าย จำนวน ๑,๒๙๙,๘๐๙.๕๕ ล้านบาท ๗. ภาระค้ำประกันการกู้เงินของรัฐบาล ประกอบด้วย ภาระค้ำประกันการกู้เงินของรัฐบาลรวม ๘๑๖,๗๓๘.๓๘ ล้านบาท และภาระค้ำประกันมูลค่าการลงทุนของต้นเงินในหลักทรัพย์ของบริษัท บางจากปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) ในใบแสดงสิทธิในผลประโยชน์ที่เกิดจากหุ้นสามัญมูลค่ารวม ๕,๑๓๖.๔๐ ล้านบาท และหุ้นกู้แปลงสภาพมูลค่ารวม ๒,๒๒๕.๙๖ ล้านบาท
|
|||||||||||||||||||||||||||
3107 | มาตรการเร่งรัดการดำเนินงานสำหรับหน่วยงานที่ได้รับอนุมัติเงินโครงการลงทุนภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 เพิ่มเติม | กค | 01/02/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบมาตรการเร่งรัดการดำเนินงานสำหรับหน่วยงานที่ได้รับอนุมัติเงินโครงการลงทุนภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ เพิ่มเติม โดยให้หน่วยงานตามกรณีที่ ๑ “หน่วยงานที่ได้รับจัดสรรเงินโครงการลงทุนภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ ที่เป็นโครงการปีเดียว และลงนามในสัญญาได้ภายในวันที่ ๒๑ พฤษภาคม ๒๕๕๓ ปัจจุบันอยู่ระหว่างดำเนินการ ให้หน่วยงานเร่งรัดการดำเนินงานและการเบิกจ่ายเงินให้แล้วเสร็จภายในวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๓ สำหรับโครงการที่มีสัญญาเกินวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๓ ให้เป็นไปตามเงื่อนไขของสัญญาและให้หน่วยงานเร่งรัดการดำเนินงานและการเบิกจ่ายเงินโดยเร็วตามระยะเวลาที่กำหนดในสัญญา” ที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาอุทกภัยและไม่สามารถดำเนินการและเบิกจ่ายเงินได้ทันภายในวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๓ ให้หน่วยงานสามารถดำเนินการและเบิกจ่ายเงินได้ต่อไปจนกว่าจะบรรลุเป้าหมายของโครงการ ทั้งนี้ ให้หน่วยงานเร่งรัดการดำเนินงานและการเบิกจ่ายเงินโดยเร็ว ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายไตรรงค์ สุวรรณคีรี) ประธานกรรมการติดตามเร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||
3108 | รายงานความคืบหน้าโครงการไทยเข้มแข็ง (รายโครงการ) ประจำสัปดาห์ ข้อมูล ณ วันที่ 28 มกราคม 2554 | กค | 01/02/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการคลังรายงานความคืบหน้าโครงการไทยเข้มแข็ง (รายโครงการ) ประจำสัปดาห์ ข้อมูล ณ วันที่ ๒๘ มกราคม ๒๕๕๔ สรุปได้ดังนี้
๑. อนุมัติแล้ว จำนวน ๔๒,๖๔๒ โครงการ วงเงิน ๓๔๙,๙๖๐.๔๔ ล้านบาท ๒. การจัดสรร ๒.๑ รอจัดสรร จำนวน ๘๒๔ โครงการ วงเงิน ๑๒,๒๘๕.๗๖ ล้านบาท ๒.๒ จัดสรรแล้ว จำนวน ๔๑,๘๑๘ โครงการ วงเงิน ๓๓๗,๖๗๔.๖๘ ล้านบาท ๓. การจัดซื้อจัดจ้าง ๓.๑ ยอดจัดสรรที่อยู่ระหว่างการดำเนินการจัดซื้อ จำนวน ๒,๗๓๐ โครงการ วงเงิน ๑๕,๙๖๕.๔๔ ล้านบาท ๓.๑.๑ ยังไม่เกิน ๑๕ วันทำการ จำนวน ๕๒๖ โครงการ วงเงิน ๕,๒๕๖.๘๘ ล้านบาท ๓.๑.๒ เกิน ๑๕ วันทำการ จำนวน ๒,๒๐๔ โครงการ วงเงิน ๑๐,๗๐๘.๕๖ ล้านบาท ๓.๒ ยอดจัดสรรที่จัดซื้อแล้ว จำนวน ๓๙,๐๘๘ โครงการ วงเงิน ๓๒๑,๗๐๙.๒๔ ล้านบาท ๓.๓ มูลค่าจัดซื้อตามสัญญา จำนวน ๓๙,๐๘๘ โครงการ วงเงิน ๓๑๑,๗๖๑.๔๔ ล้านบาท ๔. การดำเนินการ ๔.๑ ยังไม่ได้เบิกจ่าย จำนวน ๑,๘๖๙ โครงการ วงเงิน ๕๐,๙๔๗.๔๑ ล้านบาท ๔.๒ เบิกจ่ายแล้วบางส่วน (ยังไม่เสร็จ) ๑๒,๓๙๗ โครงการ วงเงิน ๑๒๔,๙๘๘.๕๘ ล้านบาท ๔.๓ เสร็จสมบูรณ์แล้ว จำนวน ๒๔,๘๒๒ โครงการ วงเงิน ๑๓๕,๘๒๕.๔๕ ล้านบาท ๔.๔ เบิกจ่ายทั้งหมด (๔.๒+๔.๓) จำนวน ๓๗,๒๑๙ โครงการ วงเงิน ๒๖๐,๘๑๔.๐๓ ล้านบาท
|
|||||||||||||||||||||||||||
3109 | ขอความเห็นชอบแนวทางดำเนินการในโครงการปรับโครงสร้างหนี้ตามมติคณะรัฐมนตรีของ ธ.ก.ส. | กค | 01/02/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานความคืบหน้าในการดำเนินการปรับโครงสร้างหนี้ของหน่วยงาน และเห็นชอบแนวทางดำเนินการในโครงการปรับโครงสร้างหนี้ของ ธ.ก.ส. ตามมติคณะกรรมการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ในการประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๕๔ เมื่อวันที่ ๒๘ มกราคม ๒๕๕๔ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ โดยแนวทางการดำเนินการในโครงการปรับโครงสร้างหนี้ของ ธ.ก.ส . มีดังนี้ ๑.๑ การนำข้อบังคับธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ที่แก้ไขเพิ่มเติมไปถือปฏิบัติกับเกษตรกรที่เป็นสมาชิกกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร (กฟก.) ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๒ มิถุนายน ๒๕๕๓ ให้ถือว่าการดำเนินการส่วนนี้ให้ถือเป็นงบการเงินตามธุรกรรมนโยบายรัฐ (Public Service Account) ภายใต้การกำกับของกระทรวงการคลัง เพื่อดูแลความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นจากการปรับโครงสร้างหนี้ให้เกษตรกรดังกล่าว ๑.๒ กรณีเกษตรกรลูกค้า ธ.ก.ส. ที่อาจจะเป็นหรือไม่เป็นสมาชิก กฟก. แต่ยังไม่ได้ขึ้นทะเบียนหนี้กับ กฟก. ซึ่งมติคณะรัฐมนตรีวันที่ ๗ เมษายน ๒๕๕๓ ให้ ธ.ก.ส. ดำเนินการปรับโครงสร้างหนี้สำหรับลูกหนี้ที่เป็นหนี้ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ณ วันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๒ ขอให้ ธ.ก.ส. เป็นผู้รับผิดชอบดำเนินการปรับโครงสร้างหนี้ตามแนวทางของ ธ.ก.ส. ที่ปรับปรุงแก้ไขข้อบังคับเพิ่มเติม ๒. สำหรับเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการฯ จะต้องเป็นลูกหนี้ที่เป็นหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ณ วันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๒ เท่านั้น
|
|||||||||||||||||||||||||||
3110 | รายงานผลการกู้เงิน Short term facility สำหรับรัฐวิสาหกิจ วงเงินไม่เกิน 200,000 ล้านบาท | กค | 01/02/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการคลังรายงานผลการกู้เงิน Short term facility สำหรับรัฐวิสาหกิจ วงเงินไม่เกิน ๒๐๐,๐๐๐ ล้านบาท โดยในช่วงไตรมาสที่ ๓ ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๓ (๑ เมษายน ๒๕๕๓ - ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๓) กระทรวงการคลังมิได้ดำเนินการจัดสรรเงินกู้ดังกล่าวให้แก่รัฐวิสาหกิจใด ทั้งนี้ ในช่วงเวลาดังกล่าวการรถไฟแห่งประเทศไทยได้ชำระคืนหนี้เงินกู้ Short term facility ที่ครบกำหนดไปแล้วเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๓ จำนวน ๑,๐๐๐ ล้านบาท ดังนั้น กระทรวงการคลังจึงมีวงเงินกู้คงเหลือสำหรับวงเงิน Short term facility เท่ากับ ๒๐๐,๐๐๐ ล้านบาท
|
|||||||||||||||||||||||||||
3111 | รายงานผลการดำเนินงานตามแผนแม่บทการเงินระดับฐานราก | กค | 01/02/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบตามที่กระทรวงการคลังรายงานความคืบหน้าในการดำเนินงานตามแผนแม่บทการเงินระดับฐานราก ระยะเวลา ๒ ปี (ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๕๑ - ๒๕๕๒) ดังนี้ ๑.๑ ยุทธศาสตร์ที่ ๑ การพัฒนาคนและส่งเสริมความเข้มแข็งขององค์กรและระบบการเงินระดับฐานราก (มี ๘ แผนงาน ๒๔ มาตรการ) หน่วยงานต่าง ๆ ได้กำหนดแผนงาน/โครงการรองรับครบทุกมาตรการ ณ สิ้นปี พ.ศ. ๒๕๕๒ มีโครงการรองรับทั้งสิ้น ๑๔๕ โครงการ ดำเนินการเสร็จสิ้น ๓๐ โครงการ โดยแผนงานที่หน่วยงานต่าง ๆ ให้ความสำคัญเป็นพิเศษ คือ แผนการสร้างจิตสำนึกและส่งเสริมการออมและวินัยทางการเงิน แผนสนับสนุนเพื่อเพิ่มรายได้ลดค่าใช้จ่ายให้ชุมชน และแผนสนับสนุนเพื่อเพิ่มขีดความสามารถการบริหารจัดการภายในองค์กรการเงินระดับฐานราก ๑.๒ ยุทธศาสตร์ที่ ๒ การบูรณาการการทำงานภาครัฐ/ภาคีที่เกี่ยวข้องเพื่อส่งเสริมการพัฒนาองค์กรและระบบการเงินระดับฐานราก (มี ๒ แผนงาน ๓ มาตรการ) มีโครงการรองรับทั้งสิ้น ๑๐ โครงการ โดยอยู่ระหว่างดำเนินการ ๖ โครงการ เน้นการบูรณาการการทำงานของหน่วยงานภาครัฐและภาคีที่เกี่ยวข้อง โดยการจัดตั้งคณะกรรมการเพื่อการบูรณาการการทำงานของภาครัฐและภาคีที่เกี่ยวข้อง และจัดตั้งคณะทำงานขึ้นมาเพื่อศึกษารูปแบบหรือแนวทางที่เหมาะสมในการรองรับสถานภาพ ๑.๓ ยุทธศาสตร์ที่ ๓ การสร้างเครือข่ายและขยายผล (มี ๒ แผนงาน ๔ มาตรการ) มีโครงการรองรับทั้งสิ้น ๑๔ โครงการ ดำเนินการแล้วเสร็จ ๓ โครงการ ส่วนใหญ่เป็นโครงการขนาดใหญ่ เช่น แผนการพัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศในระดับชาติ (National pool) การสร้างระบบเตือนภัยด้านการเงินของสหกรณ์ และการจัดทำฐานข้อมูลกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง เป็นต้น ๒. สำหรับกรณีที่ขอให้นำเสนอนายกรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาลงนามในร่างคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง แต่งตั้งคณะกรรมการเพื่อการบูรณาการการทำงานของหน่วยงานภาครัฐและภาคีที่เกี่ยวข้องเพื่อส่งเสริมการพัฒนาองค์กรและระบบการเงินระดับฐานราก ให้กระทรวงการคลังดำเนินการส่งเรื่องให้สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเพื่อดำเนินการเสนอนายกรัฐมนตรีพิจารณา
|
|||||||||||||||||||||||||||
3112 | การแก้ไขเพิ่มเติมพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการลดอัตรารัษฎากร (ฉบับที่ 469) พ.ศ. 2551 | กค | 01/02/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการลดอัตรารัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ โดยร่างพระราชกฤษฎีกาฯ มีสาระสำคัญคือ แก้ไขเพิ่มเติมพระราชกฤษฎีกา ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการลดอัตรารัษฎากร (ฉบับที่ ๔๖๙) พ.ศ. ๒๕๕๑ ให้ลดอัตราภาษีธุรกิจเฉพาะตามมาตรา ๙๑/๖(๓) แห่งประมวลรัษฎากร และคงจัดเก็บในอัตราร้อยละ ๐.๐๑ สำหรับรายรับจากการประกอบธุรกรรมในตลาดการเงินดังต่อไปนี้
๑. ดอกเบี้ยหรือส่วนลดที่ได้จากตราสารหนี้หรือกำไรก่อนหักรายจ่ายใด ๆ ที่ได้จากการซื้อหรือขายตราสารหนี้ เฉพาะตราสารหนี้ที่เป็นหลักทรัพย์ตามกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ๒. ดอกเบี้ยจากการฝากเงินกับธนาคารแห่งประเทศไทยของสถาบันการเงิน
|
|||||||||||||||||||||||||||
3113 | ร่างความตกลงเพื่อการจัดตั้งสำนักงานวิจัยเศรษฐกิจมหภาคของภูมิภาคอาเซียน+3 (ASEAN+3 Macroeconomic Research Office : AMRO) | กค | 01/02/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ร่างความตกลงเพื่อการจัดตั้งสำนักงานวิจัยเศรษฐกิจมหภาคของภูมิภาคอาเซียน+๓ (ASEAN+3 Macroeconomic Research Office : AMRO) รวมถึง Memorandum of Association of ASEAN+3 Macroeconomic Research Office Limited และ Articles of Association of ASEAN+3 Macroeconomic Research Office Limited ๑.๒ ให้ปลัดกระทรวงการคลัง หรือผู้แทน และรองผู้ว่าการด้านเสถียรภาพการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย หรือผู้แทน เป็นผู้ลงนามในร่างความตกลงฯ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขถ้อยคำที่ไม่มีนัยสำคัญในความตกลงฯ ให้ผู้ลงนามสามารถใช้ดุลพินิจในเรื่องนั้น ๆ ได้ โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง ๑.๓ ให้กระทรวงการคลังและธนาคารแห่งประเทศไทยเป็นหน่วยงานที่เป็นสมาชิกของ AMRO (AMRO Members) และให้ปลัดกระทรวงการคลัง หรือผู้แทน และรองผู้ว่าการด้านเสถียรภาพการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย หรือผู้แทน เป็นกรรมการใน AMRO Board ๑.๔ ให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้ปลัดกระทรวงการคลัง หรือผู้แทน และรองผู้ว่าการด้านเสถียรภาพการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย หรือผู้แทน เป็นผู้ลงนามในร่างความตกลงฯ ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศเกี่ยวกับร่างความตกลงฉบับนี้มีลักษณะเป็นการทำสัญญาระหว่างกระทรวงการคลังแห่งราชอาณาจักรไทยและธนาคารแห่งประเทศไทยกับหน่วยงานของประเทศคู่ภาคีในกลุ่มประเทศสมาชิกอาเซียน+๓ ดังนั้น ส่วนราชการเจ้าของเรื่องจึงควรหารือกับสำนักงานอัยการสูงสุดเพื่อพิจารณาร่างความตกลงฯ และข้อสังเกตของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการประชุมหารือประจำปีระหว่างประเทศสมาชิกกับ AMRO ควรให้ความสนใจกับการวิเคราะห์และเตือนภัยทางเศรษฐกิจมหภาค ความยั่งยืนด้านการคลัง และความยั่งยืนในภาคการเงิน ซึ่งอาจต้องใช้ข้อมูลที่ครอบคลุมมากกว่าข้อมูลที่ระบุใน Article VIII ของ IMF ซึ่งร่างความตกลงฯ กำหนดให้สมาชิกต้องส่งให้ AMRO เช่น ข้อมูลภาระทางการคลัง (Fiscal contingency) ข้อมูลการเก็งกำไรในภาคอสังหาริมทรัพย์ ข้อมูลคุณภาพหนี้ในระบบสถาบันการเงิน และการเคลื่อนย้ายทุนบางประเภท ซึ่ง AMRO มีความจำเป็นต้องใช้ในการวิเคราะห์และประเมิน นอกเหนือจากข้อมูลที่ระบุไว้ในร่างความตกลง ฯ นอกจากนี้ การระวังและเตือนภัยด้านเศรษฐกิจที่จะได้ผลต้องก่อให้เกิดกระบวนการ Peer pressure และ Peer review ซึ่งการเตือนภัยในบางสถานการณ์อาจจะมีความอ่อนไหวและมีผลกระทบอย่างรุนแรงหากเปิดเผยต่อสาธารณะ จึงควรมีกระบวนการที่ประเทศที่ถูกประเมินสามารถทักท้วง หรือขอรับทราบข้อมูลล่วงหน้าก่อนการเปิดเผยได้ตามความเหมาะสม ซึ่งควรมีการกำหนดไว้อย่างรัดกุมชัดเจนในร่างความตกลงฯ ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
3114 | ร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการให้เงินอุดหนุนบริการสาธารณะของรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. .... | กค | 24/01/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการให้เงินอุดหนุนบริการสาธารณะของรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา โดยร่างระเบียบฯ มีสาระสำคัญคือ ๑.๑ แก้ไขคำนิยามของ “รัฐวิสาหกิจ” และ “การอุดหนุนทางการเงิน” ๑.๒ ปรับปรุงตำแหน่งกรรมการเงินอุดหนุนบริการสาธารณะและผู้ช่วยเลขานุการ ๑.๓ กำหนดอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการ ๑.๔ ปรับปรุงการกำหนดค่าตอบแทนของคณะกรรมการและคณะอนุกรรมการ ๑.๕ กำหนดขั้นตอนการขอรับและพิจารณาเงินอุดหนุนของรัฐวิสหากิจ ๑.๖ กำหนดให้รัฐวิสาหกิจจัดทำรายงานผลการให้บริการสาธารณะตามที่กำหนดในบันทึกข้อตกลงการให้บริการสาธารณะ ๒. ให้กระทรวงการคลังรับไปพิจารณาปรับปรุงร่างระเบียบฯ ให้สอดคล้องกับการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๙ มิถุนายน ๒๕๕๓ ที่ให้กระทรวงการคลังพิจารณาว่ามาตรการลดภาระค่าครองชีพของประชาชนในเรื่องใดที่เป็นบริการสังคมของรัฐวิสาหกิจ ก็อาจปรับเข้าสู่ระบบการให้เงินอุดหนุนบริการสาธารณะของรัฐวิสาหกิจ (PSO) ต่อไป โดยอาจกำหนดหลักเกณฑ์หรือวิธีการพิจารณาบริการสาธารณะที่เป็นนโยบายพิเศษของรัฐบาลเป็นกรณีพิเศษแตกต่างจากการให้บริการสาธารณะที่ดำเนินการเป็นประจำทุกปี ตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ แล้วดำเนินการต่อไปได้ รวมทั้งรับข้อสังเกตของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและสำนักงบประมาณเกี่ยวกับการจัดทำข้อเสนอเพื่อขอรับการอุดหนุนของรัฐวิสาหกิจ ควรกำหนดเพิ่มเติมให้รัฐวิสาหกิจต้องจัดทำข้อเสนอที่ครบถ้วนสมบูรณ์ตามที่คณะกรรมการกำหนดโดยเคร่งครัด และควรกำหนดกรอบระยะเวลาการยื่นข้อเสนอของรัฐวิสาหกิจเพิ่มขึ้นเป็นให้ยื่นล่วงหน้าไม่น้อยกว่า ๑๓ เดือน ก่อนเริ่มปีงบประมาณ รวมทั้งการขอรับเงินอุดหนุนเพิ่มเติมกรณีค่าใช้จ่ายจากการให้บริการสาธารณะ ควรระบุเพิ่มเติมให้ชัดเจนเฉพาะกรณีที่เกิดจากปัจจัยภายนอกที่รัฐวิสาหกิจไม่สามารถควบคุมได้เท่านั้น นอกจากนี้ การจ่ายเงินชดเชยผลขาดทุนให้แก่รัฐวิสาหกิจที่ให้บริการสาธารณะในรูปของเงินงบประมาณตามจำนวนของส่วนต่างของราคาค่าบริการกับต้นทุนที่เกิดขึ้นจริง ควรคำนึงถึงต้นทุนที่เป็นมาตรฐานที่เกิดจากการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพสำหรับการให้บริการสาธารณะของรัฐวิสาหกิจ ไปพิจารณาด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||
3115 | การดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี ในส่วนของการจัดซื้อจัดจ้างและราคากลาง | กค | 24/01/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบและอนุมัติตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๒ ตุลาคม ๒๕๕๓ (เรื่อง วาระแห่งชาติการส่งเสริมคุณธรรมความซื่อสัตย์สุจริตและต่อต้านการทุจริตของคนไทยและโครงการป้องกันการทุจริตประพฤติมิชอบในกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างของทางราชการ) ซึ่งกระทรวงการคลัง (กรมบัญชีกลาง) ได้ประชุมร่วมกับสำนักงบประมาณ สำนักงาน ก.พ. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เมื่อวันที่ ๒๒ ตุลาคม ๒๕๕๓ และวันที่ ๒๗ ตุลาคม ๒๕๕๓ โดยมีประเด็นข้อหารือรวม ๔ ประเด็นคือ การกำหนดราคากลางงานก่อสร้างของทางราชการ การกำหนดราคามาตรฐานครุภัณฑ์และมาตรฐานสิ่งก่อสร้าง การปรับปรุงหลักเกณฑ์และเงื่อนไขในการจัดหาพัสดุตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. ๒๕๔๙ และการจ้างที่ปรึกษา ๑.๒ อนุมัติให้มีการทบทวนราคากลางงานก่อสร้างให้เป็นปัจจุบันโดยกำหนดให้ในกรณีที่หัวหน้าหน่วยงานได้ให้ความเห็นชอบราคากลางงานก่อสร้างที่คณะกรรมการกำหนดราคากลางของหน่วยงานได้คำนวณไว้แล้วและยังไม่ประกาศสอบราคา ประกาศประกวดราคา หรือประกาศร่าง TOR ภายใน ๓๐ วัน นับแต่วันที่หัวหน้าหน่วยงานได้ให้ความเห็นชอบให้หัวหน้าหน่วยงานสั่งการให้คณะกรรมการกำหนดราคากลางที่คำนวณราคากลางงานก่อสร้างของหน่วยงานนั้นพิจารณาทบทวนราคากลางใหม่ให้มีความเป็นปัจจุบัน และนำเสนอหัวหน้าหน่วยงานพิจารณาให้ความเห็นชอบก่อนการประกาศสอบราคา ประกาศประกวดราคา หรือประกาศร่าง TOR อีกครั้งหนึ่ง ๑.๓ อนุมัติแต่งตั้งคณะกรรมการกำกับหลักเกณฑ์และตรวจสอบราคากลางงานก่อสร้าง ทำหน้าที่ในระดับปฏิบัติแทนคณะอนุกรรมการกำกับหลักเกณฑ์การคำนวณราคากลางงานก่อสร้าง กับคณะอนุกรรมการกำกับนโยบายการตรวจสอบราคากลางงานก่อสร้างต่อไป โดยคณะกรรมการกำกับหลักเกณฑ์และตรวจสอบราคากลางงานก่อสร้าง ประกอบด้วยปลัดกระทรวงการคลังเป็นประธานกรรมการ และผู้อำนวยการสำนักมาตรฐานการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ กรมบัญชีกลาง เป็นกรรมการและเลขานุการ ๒. ให้กระทรวงการคลังเร่งรัดการพิจารณาปรับปรุงหลักเกณฑ์การคำนวณราคากลางงานก่อสร้างของทางราชการร่วมกับสำนักงบประมาณและหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องให้เหมาะสมเป็นปัจจุบันและสะท้อนต้นทุนที่แท้จริง รวมทั้งให้พิจารณาปรับปรุงหลักเกณฑ์การจ้างที่ปรึกษาออกแบบและควบคุมงานก่อสร้างให้เหมาะสม โดยอาจพิจารณากำหนดปริมาณและจำนวนงานที่บริษัทที่ปรึกษาจะรับผิดชอบดำเนินการในคราวเดียวกัน เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพประสิทธิผลสูงสุด และการพิจารณากลไกที่จะไม่ให้บริษัทที่ปรึกษาเข้าไปยุ่งเกี่ยวหรือมีผลประโยชน์ทับซ้อนกับบริษัทที่ทำการก่อสร้างให้ชัดเจน แล้วให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีโดยด่วน |
|||||||||||||||||||||||||||
3116 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง มาตรการลดผลกระทบจากวิกฤตค่าเงินบาท | กค | 24/01/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง มาตรการลดผลกระทบจากวิกฤตค่าเงินบาท ตามที่สำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ และรับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการตามความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ ของกระทรวงการคลังร่วมกับส่วนราชการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ โดยความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ สรุปได้ ดังนี้
๑. ตรวจสอบเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐที่เข้ามาทำกำไรและบัญชีประเภทผู้มีถิ่นที่อยู่นอกประเทศ พร้อมทั้งเข้มงวดการเข้ามาในลักษณะเก็งกำไรทั้งในตลาดทุนและตลาดตราสารหนี้ โดยศึกษาความเป็นไปได้จากการเรียกเก็บภาษีที่ได้จากการทำกำไรหรือภาษีในรูปแบบอื่นที่เหมาะสม ๒. ให้ความช่วยเหลือด้านสภาพคล่องแก่วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม โดยการให้สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ วงเงิน ๕,๐๐๐ ล้านบาท และให้บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อมเป็นผู้ค้ำประกัน โดยคณะรัฐมนตรีมีมติให้เป็นการกู้ด้วยวิธีพิเศษบัญชีประเภทไม่ต้องมีหลักทรัพย์ค้ำประกัน และแยกบัญชีธุรกรรมนโยบายรัฐ ๓. ศึกษาความเป็นไปได้ในการชดเชยการขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนในทุก ๆ ใบสั่งซื้อสินค้าหรือใบขนสินค้าทางเรือ ในกรณีของรัฐวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม โดยกำหนดระดับการชดเชยคงที่ไว้ในอัตราหนึ่ง (เช่น ร้อยละ ๕) เป็นเวลา ๖ เดือน หากสภาพการณ์ยังไม่ดีขึ้น ทั้งนี้ ต้องมีมาตรการกำกับควบคุมในการปฏิบัติอย่างรัดกุม ๔. ให้เอกชนสามารถชำระค่าระวางสินค้าและค่าสินค้าด้วยเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐ ๕. ให้กระทรวงการคลังช่วยเหลือด้านวงเงินค้ำประกันล่วงหน้า (Forward) และให้รัฐบาลช่วยเหลือด้านค้ำประกันให้ไม่เกินร้อยละ ๕ ๖. ให้ธนาคารแห่งประเทศไทยคงระดับอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพื่อรักษาเสถียรภาพของค่าเงินให้สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจในแต่ละช่วงและทำความเข้าใจแก่สาธารณะในความจำเป็นในการดำเนินมาตรการดังกล่าว เช่น การคงอัตราอดอกเบี้ยนโยบายที่ร้อยละ ๑.๗๕ ๗. ให้มีเงินกู้ซื้อเครื่องจักร ซอฟแวร์ และเทคโนโลยีการผลิตอื่น ๆ โดยกำหนดอัตราภาษีขาเข้าร้อยละ ๐.๑ และให้ประเมินมูลค่าเครื่องจักรเพื่อตัดค่าเสื่อมได้มากกว่าหนึ่งเท่า ๘. ให้ธนาคารแห่งประเทศไทยบริหารจัดการเงินทุนสำรองที่มีมากกว่า ๑.๕๘ แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ให้มีประสิทธิภาพและก่อประโยชน์ต่อการพัฒนาเศรษฐกิจประเทศในอนาคต และให้ศึกษาความเป็นไปได้ในการนำเงินทุนสำรองระหว่างประเทศส่วนหนึ่งมาตั้งเป็นกองทุนความมั่นคั่งแห่งชาติ ๙. ให้สำนักบริหารหนี้สาธารณะศึกษาความเป็นไปได้ในการทำแผนการชำระหนี้ก่อนระยะเวลาของรัฐวิสาหกิจซึ่งมีหนี้ต่างประเทศ
|
|||||||||||||||||||||||||||
3117 | รายงานความคืบหน้าโครงการไทยเข้มแข็ง (รายโครงการ) ประจำสัปดาห์ ข้อมูล ณ วันที่ 21 มกราคม 2554 | กค | 24/01/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการคลังรายงานความคืบหน้าโครงการไทยเข้มแข็ง (รายโครงการ) ประจำสัปดาห์ ข้อมูล ณ วันที่ ๒๑ มกราคม ๒๕๕๔ สรุปได้ดังนี้
๑. อนุมัติแล้ว จำนวน ๔๒,๖๔๓ โครงการ วงเงิน ๓๔๙,๙๖๐.๔๔ ล้านบาท ๒. การจัดสรร ๒.๑ รอจัดสรร จำนวน ๘๒๘ โครงการ วงเงิน ๑๒,๒๙๖.๓๒ ล้านบาท ๒.๒ จัดสรรแล้ว จำนวน ๔๑,๘๑๕ โครงการ วงเงิน ๓๓๗,๖๖๔.๑๒ ล้านบาท ๓. การจัดซื้อจัดจ้าง ๓.๑ ยอดจัดสรรที่อยู่ระหว่างการดำเนินการจัดซื้อ จำนวน ๒,๗๗๕ โครงการ วงเงิน ๑๖,๔๕๓.๘๖ ล้านบาท ๓.๑.๑ ยังไม่เกิน ๑๕ วันทำการ จำนวน ๕๗๖ โครงการ วงเงิน ๕,๗๒๘.๐๓ ล้านบาท ๓.๑.๒ เกิน ๑๕ วันทำการ จำนวน ๒,๑๙๙ โครงการ วงเงิน ๑๐,๗๒๕.๘๓ ล้านบาท ๓.๒ ยอดจัดสรรที่จัดซื้อแล้ว จำนวน ๓๙,๐๔๐ โครงการ วงเงิน ๓๒๑,๒๑๐.๒๖ ล้านบาท ๓.๓ มูลค่าจัดซื้อตามสัญญา จำนวน ๓๙,๐๔๐ โครงการ วงเงิน ๓๑๐,๙๘๐.๘๒ ล้านบาท ๔. การดำเนินการ ๔.๑ ยังไม่ได้เบิกจ่าย จำนวน ๑,๙๑๙ โครงการ วงเงิน ๕๑,๕๘๕.๖๖ ล้านบาท ๔.๒ เบิกจ่ายแล้วบางส่วน (ยังไม่เสร็จ) ๓๒,๖๕๑ โครงการ วงเงิน ๒๑๗,๒๘๔.๗๕ ล้านบาท ๔.๓ เสร็จสมบูรณ์แล้ว จำนวน ๔,๔๗๐ โครงการ วงเงิน ๔๒,๑๑๐.๔๑ ล้านบาท ๔.๔ เบิกจ่ายทั้งหมด (๔.๒+๔.๓) จำนวน ๓๗,๑๒๑ โครงการ วงเงิน ๒๕๙,๓๙๕.๑๖ ล้านบาท
|
|||||||||||||||||||||||||||
3118 | การแต่งตั้งกรรมการในคณะกรรมการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (นายสมชาย ชาญณรงค์กุล) | กค | 24/01/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งนายสมชาย ชาญณรงค์กุล อธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ ผู้แทนกรมส่งเสริมสหกรณ์ เป็นกรรมการในคณะกรรมการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร แทนนายวินัย กสิรักษ์ กรรมการที่ลาออก ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๒๔ มกราคม ๒๕๕๔) เป็นต้นไป โดยให้ผู้ซึ่งได้รับแต่งตั้งนี้อยู่ในตำแหน่งตามวาระของผู้ซึ่งตนแทน ตามนัยพระราชบัญญัติธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร พ.ศ. ๒๕๐๙ และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา ๑๖ วรรคสอง ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||
3119 | การโอนกรรมสิทธิ์ที่ราชพัสดุคืนให้แก่ผู้ยกให้ รายนายฉลวย ตูวิเชียร | กค | 18/01/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้โอนกรรมสิทธิ์ที่ราชพัสดุแปลงหมายเลขทะเบียนที่ สส. ๒๒ โฉนดเลขที่ ๔๘๔๑ ตำบลแม่กลอง (แหลมใหญ่) อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรสงคราม คืนให้แก่นายฉลวย ตูวิเชียร ทายาทผู้ยกให้ และจะต้องเป็นผู้รับภาระค่าธรรมเนียมในการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมการโอนและรับโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินราชพัสดุตลอดจนค่าอากรแสตมป์ ค่าภาษีธุรกิจเฉพาะ ภาษีเงินได้ รวมทั้งค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ตามที่กฎหมายกำหนด (ถ้ามี) แทนกระทรวงการคลังทั้งสิ้น ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||
3120 | ผลการประชุมคณะกรรมการกำกับนโยบายด้านรัฐวิสาหกิจ ครั้งที่ 2/2553 | กค | 18/01/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมคณะกรรมการกำกับนโยบายด้านรัฐวิสาหกิจ (กนร.) ครั้งที่ ๒/๒๕๕๓ เมื่อวันที่ ๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๓ และเห็นชอบตามมติคณะกรรมการ กนร. ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายไตรรงค์ สุวรรณคีรี) ประธาน กนร. เสนอ โดยที่ประชุมฯ ได้มีมติเรื่องต่าง ๆ ดังนี้
๑. รับทราบงบประมาณการลงทุนของรัฐวิสาหกิจ โดยให้ฝ่ายเลขานุการ กนร. พิจารณามูลค่าการลงทุนที่รัฐวิสาหกิจสามารถประหยัดงบประมาณลงทุนในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๓ และศึกษาผลประโยชน์ที่ประชาชนและภาคการผลิตจะได้รับการประหยัดค่าใช้จ่ายด้านพลังงาน เนื่องจากผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงค่าเงินบาท และให้รัฐวิสาหกิจปรับลดงบประมาณลงทุนของรัฐวิสาหกิจในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ให้สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจและค่าเงินบาทที่เปลี่ยนแปลงไป โดยคำนึงถึงโครงการลงทุนที่มีรายการ Import Content แฝงอยู่เพื่อประกอบการพิจารณาด้วย และรายงาน กนร. พิจารณาในคราวประชุมครั้งต่อไป ๒. รับทราบการติดตามความคืบหน้าโครงการให้เอกชนเข้าร่วมงานในกิจการท่าเรือแหลมฉบัง โดยให้ฝ่ายเลขานุการ กนร. พิจารณาความเหมาะสมของอัตรา Discount Rate ที่นำมาคำนวณมูลค่าปัจจุบัน (Present Value) และตรวจสอบความสอดคล้องของการขอขยายระยะเวลาก่อสร้างท่าเทียบเรือชุด D (ท่าเทียบเรือ D1 D2 และ D3) กับปริมาณ Excess Capacity ที่เหลืออยู่ รวมทั้งให้กระทรวงคมนาคมและการท่าเรือแห่งประเทศไทย (กทท.) พิจารณาแนวทางกำหนดราคาค่าบริการที่มีความเป็นธรรมต่อการแข่งขันระหว่างผู้ประกอบการเอกชนในท่าเรือแหลมฉบัง และศึกษาการขยายท่าเรือแหลมฉบังให้สอดคล้องกับแผนแม่บทการพัฒนาท่าเรือกรุงเทพเพื่อนำไปสู่การสร้างศูนย์กระจายสินค้า (Distribution Center) ของท่าเรือกรุงเทพในอนาคต ตลอดจนนำเสนอผลการศึกษาความเหมาะสมและความคุ้มค่าในการลงทุนพัฒนาท่าเรือชายฝั่ง (ท่าเทียบเรือ A) ให้ กนร. พิจารณาต่อไป ๓. รับทราบการติดตามความคืบหน้าการจัดทำแผนธุรกิจเพื่อพลิกพื้นฐานะทางการเงินของรัฐวิสาหกิจ โดยมีข้อสังเกตเพิ่มเติม ดังนี้ ๓.๑ ให้ฝ่ายเลขานุการ กนร. จัดประเภทของรัฐวิสาหกิจให้สอดคล้องกับวิธีการดำเนินธุรกิจและสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไป ตลอดจนมีแนวทางกำกับดูแลที่เหมาะสม รวมทั้งติดตามและตรวจสอบประเมินผลการดำเนินงานของรัฐวิสาหกิจที่แตกต่างกันในแต่ละประเภทอย่างชัดเจน ๓.๒ ให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) และบริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) เร่งดำเนินการแก้ไขปัญหาการดำเนินธุรกิจของหน่วยงานทั้ง ๒ แห่ง ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓ มิถุนายน ๒๕๕๒ แล้วนำเสนอ กนร. พิจารณาต่อไป ๓.๓ ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และการเคหะแห่งชาติพิจารณาแนวทางแก้ปัญหาทางการเงิน แล้วนำเสนอ กนร. พิจารณา โดยกรณีโครงการบ้านเอื้ออาทรที่อยู่ระหว่างก่อสร้าง ให้ศึกษาเปรียบเทียบมูลค่าความเสียหายระหว่างดำเนินการก่อสร้างให้แล้วเสร็จกับการยกเลิกสัญญาที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างทันที โดยคำนึงถึงทำเลที่ตั้งและความต้องการของตลาดประกอบการพิจารณา ส่วนโครงการที่ก่อสร้างแล้วเสร็จ ให้ศึกษาเปรียบเทียบผลกระทบทางการเงินที่เกิดขึ้นระหว่างการจำหน่ายให้เอกชนทั้งโครงการภายใน ๑ ปี กับการดำเนินการโดยการเคหะแห่งชาติเอง สำหรับโครงการที่เป็นสินทรัพย์ระงับการพัฒนา ให้ศึกษาเปรียบเทียบผลประกอบการทางการเงินในการให้เอกชนเป็นผู้พัฒนาโครงการทั้งหมดกับการดำเนินการโดยการเคหะแห่งชาติเอง และให้พิจารณาแนวทางการจัดตั้งหน่วยธุรกิจเฉพาะเช่นเดียวกับกรณีบริษัทบริหารสินทรัพย์ (Asset Management Company) เพื่อแก้ไขปัญหาบ้านเอื้ออาทร ๔. เห็นชอบกรอบวงเงินอุดหนุนบริการสาธารณะประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) จำนวน ๑,๒๕๑.๑๕๙ ล้านบาท และข้อสังเกตเพิ่มเติมของคณะกรรมการเงินอุดหนุนบริการสาธารณะที่ให้มีการปรับปรุงวงเงินอุดหนุนในขั้นตอนของการจัดทำบันทึกข้อตกลงการให้บริการสาธารณะประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๔ เพื่อไม่ให้ซ้ำซ้อนกับเงินอุดหนุนของภาครัฐในการดำเนินมาตรการลดภาระค่าครองชีพประชาชน (โครงการรถเมล์ฟรี) ๕. เห็นชอบกรอบวงเงินอุดหนุนบริการสาธารณะประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ของการประปาส่วนภูมิภาค จำนวน ๓๘๒.๕๓๑ ล้านบาท ตามความเห็นของคณะกรรมการเงินอุดหนุนบริการสาธารณะ ๖. ให้กระทรวงคมนาคมดำเนินการกำกับให้การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) เร่งดำเนินการตามแผนการปรับโครงสร้างการบริหารจัดการของ รฟท. และแผนการพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานระบบราง รวมทั้งพิจารณาเพิ่มกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิจากภาคเอกชนเข้าร่วมในคณะกรรมการติดตามการเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ของส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจในสังกัดกระทรวงคมนาคม และให้คณะอนุกรรมการกำกับการดำเนินการตามแผนยุทธศาสตร์การปรับปรุงโครงสร้างการบริหารจัดการเพื่อฟื้นฟูฐานะทางการเงินของ รฟท. ดำเนินการกำกับดูแลการปรับโครงสร้างการบริหารจัดการกิจการของ รฟท. ให้มีความโปร่งใสและมีประสิทธิภาพ พร้อมทั้งรายงานผลการดำเนินงานให้ กนร. ทราบเป็นระยะ ๆ ๗. เห็นชอบให้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการเพื่อพิจารณาการปฏิรูป ขสมก. เพื่อทำหน้าที่พิจารณาปฏิรูป ขสมก. และความเชื่อมโยงกับระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพในภาพรวมในอนาคต ตลอดจนรูปแบบการดำเนินการจัดหารถโดยสารปรับอากาศใหม่ใช้ก๊าซธรรมชาติ (NGV) เป็นเชื้อเพลิง จำนวน ๔,๐๐๐ คัน ของ ขสมก. ด้วย
|
.....