ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 627 จากทั้งหมด 6200 หน้า แสดงรายการที่ 12521 - 12540 จากข้อมูลทั้งหมด 123994 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
12521 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (นางสาววรวรรณ พลิคามิน) | นร11 | 02/07/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นางสาววรวรรณ พลิคามิน ข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาด้านนโยบายและแผนงาน (นักวิเคราะห์นโยบายและแผนทรงคุณวุฒิ) สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักนายกรัฐมนตรี ตั้งแต่วันที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๖๒ ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12522 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ (นายดำรง ใคร่ครวญ และคณะ) | กต | 02/07/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงการต่างประเทศ ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน ๔ ราย ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๖๒ เป็นต้นไป เพื่อทดแทนผู้ที่จะเกษียณอายุราชการและสับเปลี่ยนหมุนเวียน ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้
๑. นายดำรง ใคร่ครวญ ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูต สถานเอกอัครราชทูต ณ เวียงจันทน์ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ๒. นายเจษฎา กตเวทิน ดำรงตำแหน่งรองปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ๓. นายดุสิต เมนะพันธุ์ ดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมเอเชียใต้ ตะวันออกกลางและแอฟริกา ๔. นายภควัต ตันสกุล ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูต สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงบูดาเปสต์ ประเทศฮังการี
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12523 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญประเภทบริหารระดับสูง (1. นายณัฐ จับใจ ... 3. นายกมล หมั่นทำ) | คค | 02/07/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงคมนาคม ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน ๓ ราย ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่าง ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมเสนอ ดังนี้
๑. นายณัฐ จับใจ ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ๒. นายกมล บูรณพงศ์ ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ๓. นายกมล หมั่นทำ ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12524 | การสรรหาบุคคลเพื่อเข้ารับการคัดเลือกเป็นกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (นายพีรพล พิชยวัฒน์) | ปปท. | 02/07/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นายพีรพล พิชยวัฒน์ เป็นบุคคลที่คณะรัฐมนตรีสรรหาเพื่อเสนอต่อคณะกรรมการคัดเลือก พิจารณาคัดเลือกเป็นกรรมการในคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐเสนอ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๒ กรกฎาคม ๒๕๖๒) เป็นต้นไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12525 | แต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ (การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิและขออนุมัติยกเว้นการดำเนินการตามข้อ 6 ของกฎ ก.พ. ว่าด้วยการให้ข้าราชการพลเรือนสามัญซึ่งมีอายุครบหกสิบปีบริบูรณ์รับราชการต่อไป พ.ศ. 2552) | พณ | 02/07/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นางสาวอุรวี เงารุ่งเรือง ข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษากฎหมาย (นิติกรทรงคุณวุฒิ) สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงพาณิชย์ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป ซึ่งเป็นไปตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑ มาตรา ๕๗ (๗) ประกอบกับข้าราชการที่ได้รับการเสนอแต่งตั้งเป็นผู้มีคุณสมบัติและดำเนินการตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่ ก.พ. กำหนด ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12526 | ผลการประชุม CLMVT Forum 2019 : CLMVT as the New Value Chain Hub of Asia | พณ | 02/07/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงพาณิชย์รายงานผลการประชุม CLMVT Forum 2019 : CLMVT as the New Value Chain Hub of Asia ที่จัดขึ้นระหว่างวันที่ ๒๓-๒๔ มิถุนายน ๒๕๖๒ ณ กรุงเทพมหานคร โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นการกำหนดทิศทางการปฏิสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจการค้าและการลงทุนระหว่างไทยกับกลุ่มประเทศ CLMV (กัมพูชา สปป.ลาว เมียนมา และเวียดนาม) และแนวทางการจัดทำความร่วมมือทางเศรษฐกิจที่กลุ่มประเทศ CLMVT (กัมพูชา สปป.ลาว เมียนมา เวียดนาม และไทย) มีศักยภาพร่วมกัน ซึ่งผลการประชุม CLMVT Forum 2019 สรุปได้ ดังนี้
๑. การเป็นภูมิภาคแห่งโอกาสและศักยภาพไม่สิ้นสุด : ด้วยข้อได้เปรียบทางภูมิศาสตร์ที่มีที่ตั้งอยู่ใจกลางอาเซียน และใกล้กับจีนและอินเดีย รวมทั้งมีจุดแข็งของแต่ละประเภทที่สอดรับกันอย่างลงตัว ขนาดประชากรและกำลังแรงงานจำนวนมาก ความก้าวหน้าของเทคโนโลยี และดิจิทัลที่ช่วยลดต้นทุนและเพิ่มการมีส่วนร่วมในห่วงโซ่คุณค่า ความเชื่อมโยงของเส้นทางคมนาคมทั้งทางบกและทางรางผ่านกรอบความร่วมมืออนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง (Greater Mekong Subregion : GMS) ที่สามารถเชื่อมโยงกับโครงข่ายคมนาคมภายใต้ยุทธศาสตร์หนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง (Belt and Road Initiative หรือ BRI) ของจีนและเขตเศรษฐกิจพิเศษที่จัดตั้งขึ้นมากมาย ซึ่งจะช่วยให้ประเทศต่าง ๆ ใน CLMVT ประสานจุดแข็งร่วมกันอย่างลงตัวในการดึงดูดการค้าการลงทุนและผลักดันให้ CLMVT กลายเป็นห่วงโซ่คุณค่าของโลกที่เข้มแข็ง และใช้ประโยชน์จากโอกาสที่เกิดขึ้นท่ามกลางความตึงเครียดทางเศรษฐกิจการค้าและภูมิรัฐศาสตร์โลก ๒. การเตรียมความพร้อมรับมือต่อความท้าทายที่สำคัญ : ประเด็นความท้าทายสำคัญต่อการเป็นศูนย์กลางห่วงโซ่คุณค่ายุคใหม่ของภูมิภาค CLMVT คือ ความไม่แน่นอนของความตึงเครียดทางการค้าที่มีแนวโน้มยืดเยื้อและเกี่ยวพันในหลายมิติทั้งด้านเศรษฐกิจ การเมือง การทหาร วัฒนธรรม และเทคโนโลยี ซึ่งอาจจะกดดันให้ประเทศต่าง ๆ ในอาเซียนเลือกข้าง ความไม่สอดคล้องและเชื่อมโยงทางกฎระเบียบ และอุปสรรคทางการค้าจากมาตรการที่มิใช่ภาษี (Non-Tariff Measures : NTMs) ตลอดจนความจำเป็นในการพัฒนาทุนมนุษย์และธุรกิจให้สอดรับกับเทคโนโลยียุคใหม่ที่เข้ามาเปลี่ยนโลก ๓. แนวทางการส่งเสริมการเป็นศูนย์กลางห่วงโซ่คุณค่ายุคใหม่ของ CLMVT : ภูมิภาค CLMVT ควรรักษาสมดุลในการสร้างความสัมพันธ์กับประเทศมหาอำนาจ สนับสนุนระบบการค้าเสรีที่เป็นไปตามกฎเกณฑ์และกติกา และควรร่วมมือกันในการประสานและใช้ประโยชน์จากจุดแข็งของแต่ละประเทศที่สอดรับกันอย่างลงตัว เพื่อการเป็นฐานการผลิตร่วมตามวัตถุประสงค์ของ AEC Blueprint 2025 โดยการสร้างความเชื่อมโยงทั้งทางกายภาพ และทางด้านกฎระเบียบ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัล เศรษฐกิจ แพลตฟอร์มและพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ข้ามพรมแดน การส่งเสริมและพัฒนาภาคบริการ ซึ่งถือเป็นกาวที่เชื่อมต่อข้อต่อต่าง ๆ ในห่วงโซ่คุณค่าของภูมิภาคได้ นอกจากนี้ แต่ละประเทศควรเน้นการพัฒนาทักษะและการเสริมทักษะใหม่ให้แก่โรงงาน รวมทั้งการส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิตให้ทันกับแนวโน้มเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลงไป และการส่งเสริมการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา ทั้งนี้ เพื่อให้ภูมิภาค CLMVT กลายเป็นศูนย์กลางห่วงโซ่คุณค่ายุคใหม่ได้ในที่สุด
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12527 | ผลการรายงานความคืบหน้าในการดำเนินการตามแผนการปฏิรูปประเทศตามมาตรา 270 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (เดือนมกราคม - มีนาคม 2562) | นร | 02/07/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติมอบหมายให้เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเป็นผู้ชี้แจงรายงานความคืบหน้าในการดำเนินการตามแผนการปฏิรูปประเทศตามมาตรา ๒๗๐ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (เดือนมกราคม-มีนาคม ๒๕๖๒) ต่อที่ประชุมวุฒิสภา
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12528 | การแก้ไขปัญหาผู้ได้รับผลกระทบจากโครงการก่อสร้างอ่างเก็บน้ำห้วยฝั่งแดง จังหวัดอุบลราชธานี | กษ | 02/07/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการจ่ายเงินชดเชยแก่ราษฎรผู้ได้รับผลกระทบจากโครงการก่อสร้างอ่างเก็บน้ำห้วยฝั่งแดง จังหวัดอุบลราชธานี จำนวน ๙ ราย รวมทั้งสิ้น ๑๓,๙๓๓,๑๒๒.๕๐ บาท โดยในส่วนของงบประมาณ ให้กรมชลประทานปรับแผนปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ มาดำเนินการเรื่องดังกล่าว เพื่อให้เป็นไปตามมติคณะกรรมการแก้ไขปัญหาของขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม ครั้งที่ ๒/๒๕๖๒ เมื่อวันที่ ๑๔ มีนาคม ๒๕๖๒ (เฉพาะโครงการก่อสร้างอ่างเก็บน้ำห้วยฝั่งแดง จังหวัดอุบลราชธานี) ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12529 | ทบทวนภารกิจของสภาเกษตรกรแห่งชาติ | นร | 02/07/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) รายงานว่า ตามที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติได้มีมติเมื่อวันที่ ๒๙ กรกฎาคม ๒๕๕๗ ให้โอนย้ายสภาเกษตรกรแห่งชาติไปที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์พิจารณาว่าควรดำเนินการต่อหรือยุบรวมกับภารกิจของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นั้น บัดนี้ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้มีหนังสือเสนอขอทบทวนภารกิจของสภาเกษตรกรแห่งชาติต่อคณะรักษาความสงบแห่งชาติ โดยเห็นควรให้สภาเกษตรกรแห่งชาติขึ้นตรงกับนายกรัฐมนตรีเช่นเดิม เพื่อให้สามารถกำหนดเป้าหมายและทิศทางการดำเนินงานของสภาเกษตรกรแห่งชาติได้อย่างมีประสิทธิภาพ และมีความคล่องตัวในการดำเนินงานตามภารกิจที่กฎหมายว่าด้วยสภาเกษตรกรแห่งชาติกำหนด โดยไม่ต้องดำเนินการเรื่องควบรวมกับหน่วยงานอื่นใด ซึ่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติได้มีมติเมื่อวันที่ ๒ กรกฎาคม ๒๕๖๒ เห็นชอบตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12530 | รายงานการขับเคลื่อนการดำเนินงานของศูนย์บริหารแรงงานเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC Labour Administration Centre) | รง | 25/06/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการขับเคลื่อนการดำเนินงานของศูนย์บริหารแรงงานเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC Labour Administration Centre) ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ศูนย์บริหารแรงงานเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก เปิดให้บริการตั้งแต่วันที่ ๑๗ มกราคม ๒๕๖๒ เพื่อให้บริการข้อมูลแรงงานในพื้นที่ รวมทั้งวางแผนการผลิตและพัฒนากำลังแรงงาน ๒. ความต้องการแรงงานของกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกในช่วง ๕ ปี (พ.ศ. ๒๕๖๒-๒๕๖๖) คณะทำงานประสานงานด้านการพัฒนาบุคลากรในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกได้ศึกษาความต้องการแรงงานแล้ว พบว่า มีความต้องการแรงงาน จำนวน ๔๗๕,๖๖๗ อัตรา จำแนกเป็นกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย (๗ อุตสาหกรรม) จำนวน ๓๒๖,๘๘๑ อัตรา และโครงสร้างพื้นฐาน (๓ อุตสาหกรรม) จำนวน ๑๔๘,๗๘๖ อัตรา แบ่งเป็นแรงงานฝีมือ จำนวน ๒๒๒,๕๕๒ อัตรา และแรงงานกึ่งฝีมือ จำนวน ๒๕๓,๑๑๕ อัตรา ๓. ผลการดำเนินงานในรอบ ๖ เดือน (ตุลาคม ๒๕๖๑-มีนาคม ๒๕๖๒) และแผนการดำเนินงาน ๕ ปี (พ.ศ. ๒๕๖๒-๒๕๖๖) เช่น จัดหางานให้กลุ่มอุตสาหกรรมปัจจุบัน จำนวน ๑๖,๑๖๔ อัตรา และส่งเสริมสถานประกอบการยกระดับทักษะแรงงาน จำนวน ๕๓๕,๕๕๖ อัตรา เป็นต้น นอกจากนี้ จะมีการวิเคราะห์ความต้องการแรงงานและกำลังแรงงาน และประชาสัมพันธ์ แนะแนว สร้างการรับรู้ผ่านสื่อรูปแบบต่าง ๆ โดยแผนการดำเนินงาน ๕ ปี (พ.ศ. ๒๕๖๒-๒๕๖๖) จะสามารถตอบสนองความต้องการของประชาชนได้ จำนวน ๑๘,๖๓๐,๐๐๐ คน และสถานประกอบการ จำนวน ๑๙,๙๒๕ แห่ง
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12531 | รายงานผลการกู้เงินโดยการออกพันธบัตรรัฐบาลเพื่อปรับโครงสร้างหนี้เงินกู้ระยะสั้นก่อนครบกำหนดเมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2562 | กค | 25/06/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการกู้เงินโดยการออกพันธบัตรรัฐบาลเพื่อปรับโครงสร้างหนี้เงินกู้ระยะสั้นก่อนครบกำหนดเมื่อวันที่ ๑๗ พฤษภาคม ๒๕๖๒ จำนวน ๒๕,๐๐๐ ล้านบาท โดยกระทรวงการคลังดำเนินการกู้เงินโดยการออกพันธบัตรรัฐบาลเพื่อการปรับโครงสร้างหนี้เงินกู้ระยะสั้นโดยการออกตั๋วสัญญาใช้เงิน (PN) วงเงินที่ ๒ จำนวน ๒๕,๐๐๐ ล้านบาท ที่ออกภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินและจัดการเงินกู้เพื่อช่วยเหลือกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน ระยะที่สอง พ.ศ. ๒๕๔๕ (พ.ร.ก. FIDF 3) ก่อนครบกำหนดเมื่อวันที่ ๑๗ พฤษภาคม ๒๕๖๒ โดยการออกพันธบัตรรัฐบาลเพื่อการปรับโครงสร้างหนี้ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ ครั้งที่ ๒ (LB28DA) อายุ ๙.๕๙ ปี จำนวน ๒๕,๐๐๐ ล้านบาท ประมูลในวันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๕๖๒ ด้วยวิธีการเสนอประมูลอัตราผลตอบแทน (Competitive Bidding) จำนวน ๒๔,๕๕๐ ล้านบาท ได้แก่ ธนาคารพาณิชย์ บริษัทหลักทรัพย์ และกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ และวิธีเสนอซื้อ (Non Competitive Bidding) จำนวน ๔๕๐ ล้านบาท ให้แก่สหกรณ์ โดยมีอัตราผลตอบแทนเฉลี่ยร้อยละ ๒.๔๒๙๔ ต่อปี ชำระปีละสองครั้ง ทั้งนี้ กระทรวงการคลังได้ดำเนินการจัดส่งประกาศกระทรวงการคลังเกี่ยวกับผลการจำหน่ายพันธบัตรรัฐบาลดังกล่าว จำนวน ๑ ฉบับ เพื่อนำลงประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12532 | รายงานผลการประชุมคณะกรรมการระดับสูง (High Level Committee : HLC) ไทย - อินโดนีเซีย ครั้งที่ 10 | กห | 25/06/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมคณะกรรมการระดับสูง (High Level Committee : HLC) ไทย-อินโดนีเซีย ครั้งที่ ๑๐ ระหว่างวันที่ ๒๓-๒๕ เมษายน ๒๕๖๒ ณ กรุงจาการ์ตา สาธารณรัฐอินโดนีเซีย โดยมีผู้บัญชาการทหารสูงสุด และพลอากาศเอก ฮาดี้ จะห์ยันโต้ ผู้บัญชาการทหารสูงสุดอินโดนีเซีย เป็นประธานร่วม ตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ด้านการข่าว ทั้งสองฝ่ายเห็นชอบให้เพิ่มความร่วมมือระหว่างศูนย์รักษาความปลอดภัย กองบัญชาการกองทัพไทย และหน่วยข่าวกรองทางยุทธศาสตร์ กองทัพอินโดนีเซีย โดยฝ่ายไทยจะเชิญผู้แทนจากศูนย์รักษาความปลอดภัย กองบัญชาการกองทัพไทย เข้าร่วมประชุมระดับนักวิเคราะห์ครั้งต่อไป ๒. ด้านยุทธการและการฝึก มีการกำหนดแผนงานที่สำคัญของความร่วมมือระหว่างเหล่าทัพ รวมทั้งส่งเสริมความร่วมมือด้านการต่อต้านการก่อการร้ายสากล การรักษาสันติภาพ การแพทย์ทหาร การประชาสัมพันธ์ การให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม และการบรรเทาภัยพิบัติ พร้อมกันนี้ทั้งสองฝ่ายได้จัดทำร่างบันทึกความเข้าใจ (Memorandum of Understanding : MOU) สำหรับการฝึกคอบร้าโกลด์ เพื่อให้กองทัพอินโดนีเซียเข้าร่วมการฝึกโดยสมบูรณ์ ๓. ด้านการศึกษาและฝึกอบรม ทั้งสองฝ่ายร่วมกันจัดทำร่างข้อกำหนดสำหรับคณะอนุกรรมการร่วมด้านการศึกษาและฝึกอบรม ซึ่งเป็นการกำหนดคำนิยาม วัตถุประสงค์ กรอบอำนาจหน้าที่ ความรับผิดชอบ องค์ประกอบ และโครงสร้างความร่วมมือด้านการศึกษาและฝึกอบรมข้อกำหนดดังกล่าวจะได้รับการลงนามในการประชุมคณะอนุกรรมการร่วมด้านการศึกษาและฝึกอบรมครั้งต่อไป ๔. ทั้งสองฝ่ายเห็นชอบให้ตั้งคณะอนุกรรมการร่วมด้านการส่งกำลังบำรุงเพิ่มเข้ามาในกลไกความร่วมมือ โดยให้อยู่ภายใต้คณะกรรมการระดับสูง ไทย-อินโดนีเซีย เพื่อสนับสนุนงานด้านยุทธการและการฝึก โดยให้กรมส่งกำลังบำรุงทหารทั้งสองฝ่ายร่วมกันพิจารณาเกี่ยวกับการจัดโครงสร้าง ขอบเขต อำนาจหน้าที่ และจัดทำแผนการปฏิบัติงานให้ชัดเจน ก่อนนำเสนอที่ประชุมคณะกรรมการระดับสูง ไทย-อินโดนีเซีย ครั้งต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12533 | งบดุลและรายงานการรับจ่ายเงินกองทุนความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2560 | รง | 25/06/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบงบดุลและรายงานการรับจ่ายเงินกองทุนความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๖๐ ซึ่งประกอบด้วย งบแสดงฐานะการเงิน และงบแสดงผลการดำเนินงานทางการเงิน ซึ่งสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินได้ตรวจสอบงบการเงินและรายงานดังกล่าวแล้วเห็นว่า ถูกต้องตามที่สมควรในสาระสำคัญตามมาตฐานและนโยบายการบัญชีภาครัฐที่กระทรวงการคลังได้ประกาศใช้ ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12534 | รายงานผลการติดตามและประเมินผลการดำเนินงานเขตสุขภาพเพื่อประชาชน พ.ศ. 2560 - 2561 | สช | 25/06/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการติดตามและประเมินผลการดำเนินงานเขตสุขภาพเพื่อประชาชน พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๑ ซี่งประกอบด้วย (๑) การนำนโยบายเขตสุขภาพเพื่อประชาชนสู่การปฏิบัติ (Policy implementation) (๒) ปัจจัยที่มีผลต่อความสำเร็จของการดำเนินงานของเขตสุขภาพเพื่อประชาชน (๓) ปัญหาอุปสรรค (๔) จุดแข็งของเขตสุขภาพเพื่อประชาชน (๕) ข้อท้าทายของเขตสุขภาพเพื่อประชาชน และ (๖) ข้อเสนอแนะสำหรับพัฒนา ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) ประธานกรรมการสุขภาพแห่งชาติเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12535 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (นางชุลีพร บุณยมาลิก) | นร11 | 25/06/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นางชุลีพร บุณยมาลิก ข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาด้านนโยบายและแผน (นักวิเคราะห์นโยบายและแผนทรงคุณวุฒิ) สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักนายกรัฐมนตรี ตั้งแต่วันที่ ๒๘ มีนาคม ๒๕๖๒ ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12536 | ผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ ครั้งที่ 1/2562 | นร11 | 25/06/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ (กนพ.) ครั้งที่ ๑/๒๕๖๒ เมื่อวันที่ ๑๗ พฤษภาคม ๒๕๖๒ โดยมีผลการพิจารณาและมติที่สำคัญ เช่น การพัฒนาพื้นที่ราชพัสดุในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษนครพนม การสรรหาผู้ลงทุนในที่ราชพัสดุในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษมุกดาหาร และหนองคาย และการสนับสนุนการลงทุนของภาคเอกชนในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ เป็นต้น ตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ๒. มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามมติที่ประชุม กนพ. โดยให้ดำเนินการให้ถูกต้อง เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด ทั้งนี้ ให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมที่เห็นควรเร่งรัดการดำเนินการเกี่ยวกับการพัฒนาที่ราชพัสดุในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษนครพนม การสรรหาผู้ลงทุนในที่ราชพัสดุในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษมุกดาหารและหนองคาย รวมทั้งการสนับสนุนการลงทุนของภาคเอกชนในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ ให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของประเทศเป็นสำคัญ สำหรับแนวทางสนับสนุนด้านการให้สิทธิประโยชน์ส่งเสริมการลงทุนและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อจูงใจภาคเอกชน โดยเฉพาะวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ให้ลงทุนในเขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดน ควรดำเนินงานควบคู่กับการพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันให้แก่ SMEs เช่น การเสริมสร้างศักยภาพด้านการตลาด การยกระดับมาตรฐานคุณภาพสินค้าและบริการ การบริหารจัดการความเสี่ยง การสนับสนุนการรวมกลุ่มของผู้ประกอบการ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12537 | ร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการจัดส่งแรงงานไทยไปสาธารณรัฐเกาหลีภายใต้ระบบการจ้างแรงงานต่างชาติ | รง | 25/06/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการจัดส่งแรงงานไทยไปสาธารณรัฐเกาหลีภายใต้ระบบการจ้างแรงงานต่างชาติ (Employment Permit System : EPS) และอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานลงนามในบันทึกความเข้าใจฯ โดยร่างบันทึกความเข้าใจฯ มีสาระสำคัญเกี่ยวกับการส่งเสริมความร่วมมือด้านแรงงานและการส่งแรงงานไทยไปทำงานในสาธารณรัฐเกาหลีอย่างมีประสิทธิภาพ และเป็นประโยชน์ต่อทั้งฝ่ายไทยและฝ่ายเกาหลี ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ โดยกระทรวงการต่างประเทศไม่ต้องออกหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้แก่ผู้ลงนาม ตามความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศและสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างบันทึกความเข้าใจฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงแรงงานดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12538 | ขอรับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปี งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ชำระหนี้ค่าวัสดุอาหาร ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 | ยธ | 25/06/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้กรมราชทัณฑ์จ่ายเงินหรือก่อหนี้ผูกพันงบประมาณรายจ่ายก่อนได้รับเงินจัดสรร และอนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ให้กระทรวงยุติธรรม โดยกรมราชทัณฑ์ชำระหนี้ค่าวัสดุ อาหารผู้ต้องขัง ผู้ต้องกักขัง และผู้เข้ารับการตรวจพิสูจน์ ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ จำนวน ๖๕๓.๗๑ ล้านบาท ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ ๒. ให้กระทรวงยุติธรรม โดยกรมราชทัณฑ์พิจารณากำหนดแนวทางการดำเนินการเพื่อลดภาระงบประมาณที่ต้องจัดสรรเป็นค่าวัสดุอาหารของเรือนจำ/ทัณฑสถาน/สถานกักขังต่าง ๆ ทั่วประเทศ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๘ สิงหาคม ๒๕๖๑ (เรื่อง ขอรับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปี งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ชำระหนี้ค่าวัสดุอาหาร ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙-๒๕๖๐) อย่างเคร่งครัด รวมทั้งให้กรมราชทัณฑ์ติดตามประเมินผลการดำเนินการดังกล่าวเพื่อประกอบการพิจารณาจัดสรรงงประมาณในปีต่อ ๆ ไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12539 | การขอเพิ่มกรอบวงเงินสนับสนุนโครงการบ้านมั่นคง | พม | 25/06/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการของการขอเพิ่มกรอบวงเงินสนับสนุนโครงการบ้านมั่นคง จากเดิม ๘๐,๐๐๐ บาท/ครัวเรือน เป็น ๘๙,๘๐๐ บาท/ครัวเรือน โดยให้เริ่มมีผลในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ ๒. ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์รับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณที่เห็นควรดำเนินการตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง และคำนึงถึงการใช้จ่ายงบประมาณที่จำเป็นและเหมาะสม เพื่อให้การดำเนินงานเป็นไปอย่างคุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุด รวมทั้งปรับแนวทางการอุดหนุนและการสนับสนุนค่าใช้จ่ายให้มีความเหมาะสม โดยให้ความสำคัญกับกิจกรรมที่เกิดประโยชน์โดยตรงต่อกลุ่มเป้าหมายเป็นลำดับแรก ควบคู่กับการเร่งรัดผลักดันการกำหนดกลไกและมาตรการให้จังหวัด/กลุ่มจังหวัด องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และชุมชนให้มีส่วนร่วมในการดำเนินโครงการมากยิ่งขึ้น ไปดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12540 | ขอความเห็นชอบแผนฟื้นฟูกิจการองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ | คค | 25/06/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการของแผนฟื้นฟูกิจการองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ ขสมก. ใช้เป็นแนวทางในการปรับปรุงระบบการทำงานขององค์กรให้มีประสิทธิภาพ และเพิ่มความสามารถในการหารายได้และการบริหารจัดการหนี้สิน ซึ่งจะนำไปสู่การบริหารองค์กรที่ยั่งยืนและลดภาระกับภาครัฐ สำหรับการดำเนินการตามกลยุทธ์และแนวทางต่าง ๆ ภายใต้แผนฟื้นฟูกิจการฯ ให้กระทรวงคมนาคม และ ขสมก. เร่งรัดจัดทำรายละเอียดและดำเนินการให้ถูกต้อง เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต่อไปอย่างเคร่งครัด ๒. ให้กระทรวงคมนาคม ขสมก. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น (๑) การดำเนินงานในแต่ละโครงการต้องดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง สำหรับการจัดหารถโดยสารใหม่ ขสมก. ควรปรับปรุงรายงานผลการศึกษา ความเหมาะสมการดำเนินโครงการ โดยศึกษาผลตอบแทนทางเศรษฐศาสตร์ตามข้อเสนอทบทวนการจัดหารถโดยสารให้ครบทุกประเภท และเสนอสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติพิจารณารายละเอียดและความเหมาะสม โดย ขสมก. อาจจะพิจารณาแบ่งการดำเนินการจัดหาเป็นระยะให้เหมาะสมกับเส้นทางที่มีความชัดเจนแล้วว่า จะได้รับการจัดสรรจากกรมการขนส่งทางบก และ (๒) กระทรวงคมนาคม ขสมก. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรเร่งดำเนินการจัดทำแผนการบริหารหนี้ (ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๕ กันยายน ๒๕๖๑) เพื่อเป็นการแก้ไขปัญหาการบริหารหนี้ของ ขสมก. ในระยะยาว และเป็นรูปธรรมโดยเร็ว เป็นต้น ไปดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
.....