คณะรัฐมนตรีมีมติ
               ๑. เห็นชอบให้ถือปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๑ (เรื่อง แนวทางการเสนอเรื่องการแต่งตั้งข้าราชการการเมือง) ต่อไป ตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอ ดังนี้
                   ๑.๑ ให้ส่วนราชการส่งเรื่องมายังสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีล่วงหน้าก่อนวันประชุมคณะรัฐมนตรี โดยหนังสือเสนอเรื่องให้ลงนามโดยรัฐมนตรีเจ้าสังกัดหรือผู้รักษาราชการแทนรัฐมนตรีเจ้าสังกัด (ยกเว้นกรณีการแต่งตั้งข้าราชการการเมืองในสังกัดสำนักนายกรัฐมนตรี เมื่อนายกรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบให้เสนอเรื่องแล้ว ให้เลขาธิการนายกรัฐมนตรีหรือรองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนาม โดยระบุในหนังสือเสนอเรื่องด้วยว่านายกรัฐมนตรีได้เห็นชอบแล้ว) และให้ระบุชื่อบุคคลและตำแหน่งที่จะแต่งตั้งให้ชัดเจน พร้อมทั้งให้กำหนดด้วยว่าให้การแต่งตั้งมีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติเป็นต้นไป ทั้งนี้ ยังไม่ต้องออกเป็นคำสั่งแต่งตั้งจนกว่าคณะรัฐมนตรีจะมีมติให้ความเห็นชอบแล้ว
                   ๑.๒ การเสนอเรื่องตามข้อ ๑.๑ ให้จัดส่งข้อมูลประกอบการแต่งตั้งข้าราชการการเมือง (ประวัติ คุณสมบัติ และลักษณะต้องห้ามของบุคคลที่ได้รับการแต่งตั้ง) ตามแบบข้อมูลประกอบการเสนอเรื่องการแต่งตั้งข้าราชการการเมือง (เอกสารแนบ ๑) ไปพร้อมกับหนังสือนำส่งเรื่องด้วย
                   ๑.๓ เมื่อคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้แต่งตั้งข้าราชการการเมืองตามข้อ ๑.๑ แล้ว ส่วนราชการเจ้าของเรื่องจึงดำเนินการออกคำสั่งแต่งตั้ง (เอกสารแนบ ๒) แล้วจัดส่งคำสั่งแต่งตั้งดังกล่าวให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีทราบ เพื่อจะได้นำลงประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป
               ๒. รับทราบความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกา (ที่ประชุมร่วมคณะที่ ๑ และคณะที่ ๒) ที่เห็นว่า การแต่งตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรให้ดำรงตำแหน่งข้าราชการการเมืองอื่นซึ่งมิใช่รัฐมนตรีในขณะเดียวกัน ย่อมถือได้ว่าเป็นการกระทำอันต้องห้าม ตามมาตรา ๑๘๔ (๑) อันเป็นผลให้สมาชิกภาพของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสิ้นสุดลง ตามมาตรา ๑๐๑ (๗) ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๖๐

คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบแนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับการจัดการหุ้นส่วนและหุ้นของรัฐมนตรีในการเข้ารับตำแหน่งตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๖๐ และพระราชบัญญัติการจัดการหุ้นส่วนและหุ้นของรัฐมนตรี พ.ศ. ๒๕๔๓ ตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอ

คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบแนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับข้อพึงปฏิบัติและข้อควรระวังของคณะรัฐมนตรี ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรฐานจริยธรรม และกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอ

คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบเกี่ยวกับเรื่อง ยุทธศาสตร์ชาติและแผนการปฏิรูปประเทศ ตามที่เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ

คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบแนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับแนวทางการเสนอร่างกฎหมายต่อคณะรัฐมนตรีตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการเสนอเรื่องและการประชุมคณะรัฐมนตรี พ.ศ. ๒๕๔๘ ระเบียบว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการเสนอเรื่องต่อคณะรัฐมนตรี พ.ศ. ๒๕๔๘ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอ

คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบเกี่ยวกับเรื่อง การดำเนินการตามมาตรา ๗๗ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ตามที่รองเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา (นางพงษ์สวาท กายอรุณสุทธิ์) ชี้แจง

คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบแนวทางในการดำเนินคดีของราชการส่วนกลาง ราชการส่วนภูมิภาค ราชการส่วนท้องถิ่น รัฐวิสาหกิจ องค์การมหาชน หรือหน่วยงานอื่นของรัฐ และแนวทางในการดำเนินคดีในศาลปกครอง กรณีคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรี รองนายกรัฐมนตรี หรือรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีถูกฟ้องคดีในศาลปกครอง ตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอ

คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบระบบผู้ประสานงานคณะรัฐมนตรีและรัฐสภา เพื่อทำหน้าที่ประสานงานระหว่างส่วนราชการ คณะรัฐมนตรี และรัฐสภา ตลอดจนติดตามความคืบหน้าของเรื่องที่เสนอคณะรัฐมนตรีและเรื่องที่เกี่ยวข้องกับรัฐสภาให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและเกิดประสิทธิผล ซึ่งเป็นการดำเนินการตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยผู้ประสานงานคณะรัฐมนตรีและรัฐสภา พ.ศ. ๒๕๕๑ ตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอ

คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบมติที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร ในคราวประชุมสภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ ๒๕ ปีที่ ๑ ครั้งที่ ๔ (สมัยสามัญประจำปีครั้งที่หนึ่ง) วันพฤหัสบดีที่ ๖ มิถุนายน ๒๕๖๒ ที่ประชุมได้มีมติกำหนดให้มีการประชุมสภาผู้แทนราษฎรสัปดาห์ละ ๒ วัน คือ ทุกวันพุธและวันพฤหัสบดีที่ และมีมติกำหนดเวลาประชุมสภาผู้แทนราษฎรในวันพุธ ตั้งแต่เวลา ๑๓.๐๐ นาฬิกา ถึง ๒๑.๐๐ นาฬิกา และในวันพฤหัสบดี ตั้งแต่เวลา ๐๙.๓๐ นาฬิกา ถึง ๑๘.๐๐ นาฬิกา และกำหนดให้วันที่ ๑ พฤศจิกายน เป็นวันเริ่มประชุมสามัญประจำปีครั้งที่สอง

คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
               ๑. ให้คณะกรรมการต่าง ๆ ของส่วนราชการ จำนวนรวม ๒๓๙ คณะ ที่คณะรัฐมนตรีแต่งตั้งไว้ ยังคงปฏิบัติหน้าที่ต่อไปจนถึงวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๖๒ และภายหลังจากนั้นให้คณะกรรมการที่คณะรัฐมนตรีแต่งตั้งทุกคณะดังกล่าวเป็นอันสิ้นสุดลง ทั้งนี้ คณะกรรมการในส่วนของกระทรวงคมนาคม จำนวน ๗ คณะ ให้กระทรวงคมนาคมพิจารณาทบทวนและแจ้งผลไปยังสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีโดยเร็ว ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีในข้อ ๒
               ๒. หากส่วนราชการใดพิจารณาเห็นว่าคณะกรรมการที่คณะรัฐมนตรีแต่งตั้งคณะใดยังมีภารกิจสำคัญและจำเป็นที่จะต้องคงอยู่ต่อไป เพื่อให้สามารถดำเนินการภารกิจได้อย่างต่อเนื่องให้เสนอแต่งตั้งคณะกรรมการคณะนั้น ๆ ขึ้นใหม่ โดยให้ตรวจสอบและปรับปรุงองค์ประกอบและอำนาจหน้าที่ให้ถูกต้องและเป็นปัจจุบัน แล้วส่งไปยังสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีโดยด่วน ภายในวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๖๒ ทั้งนี้ ให้ส่วนราชการพิจารณาการคงอยู่ของคณะกรรมการดังกล่าว โดยยึดหลักเกณฑ์คือ มีการบูรณาการการทำงานร่วมกันกับส่วนราชการอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง มีนายกรัฐมนตรี รองนายกรัฐมนตรี หรือรัฐมนตรีเป็นประธานกรรมการ มีอำนาจหน้าที่ในการดำเนินการตามนโยบายของรัฐบาล และในรอบสามปีที่ผ่านมา (พ.ศ. ๒๕๕๙-๒๕๖๒) มีการจัดประชุมคณะกรรมการอย่างสม่ำเสมอ และหากสามารถกำหนดระยะเวลาการดำเนินงานและภารกิจสิ้นสุดที่ชัดเจนได้ให้ระบุวันสิ้นสุดของคณะกรรมการนั้น ๆ ไว้ด้วย

คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบระเบียบว่าด้วยการโอนงบประมาณรายจ่ายบูรณาการและงบประมาณรายจ่ายบุคลากรระหว่างหน่วยรับงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ และระเบียบว่าด้วยการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ มีสาระสำคัญเป็นการวางหลักเกณฑ์วิธีการในการโอนงบประมาณรายจ่ายบูรณาการและงบประมาณรายจ่ายบุคลากรของหน่วยรับงบประมาณไปให้หน่วยรับงบประมาณอื่นภายใต้แผนงานบูรณาการเดียวกัน หรือภายใต้แผนงานบุคลากรภาครัฐได้ และกำหนดหลักเกณฑ์สำหรับการบริหารงบประมาณรายจ่ายรายการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ เพื่อให้สอดคล้องกับพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ทั้งนี้ เพื่อให้หน่วยรับงบประมาณใช้จ่ายงบประมาณอย่างมีประสิทธิภาพ ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ และให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีนำระเบียบในเรื่องนี้ รวม ๒ ฉบับ ประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป

คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการปรับปรุงปฏิทินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ และหลักเกณฑ์การปรับปรุงคำขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ

คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ ๑๖๕/๒๕๖๒ เรื่อง มอบหมายและมอบอำนาจให้รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรี ลงวันที่ ๓๐ กรกฎาคม ๒๕๖๒ ตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ

คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
               ๑. รับทราบสถานการณ์น้ำในปัจจุบัน และการเปิดศูนย์อำนวยการน้ำเฉพาะกิจ และเห็นชอบมาตรการแก้ไขปัญหาพื้นที่เสี่ยงขาดแคลนน้ำ เพื่อให้หน่วยงานนำไปดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง ตามที่เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ กรรมการและเลขานุการคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติเสนอ ทั้งนี้ ให้กระทรวงกลาโหม กระทรวงเกษตรและเสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดดำเนินการตามมาตรการแก้ไขปัญหาพื้นที่เสี่ยงขาดแคลนน้ำในส่วนที่เกี่ยวข้องโดยเร็ว ให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต่อไป
               ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมประสานงานกับกระทรวงพลังงานในการพิจารณานำพลังงานทางเลือก เช่น ไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ (solar cell) มาใช้ในการสูบน้ำจากบ่อบาดาล เพื่อให้ประชาชนในพื้นที่ใช้ประโยชน์
               ๓. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาความเหมาะสมในการสนับสนุนพันธุ์พืชแก่เกษตรกรให้เหมาะสมกับสภาพพื้นที่และสถานการณ์ภัยแล้งที่เกิดขึ้น เช่น พันธุ์พืชที่ใช้น้ำน้อย เป็นต้น
               ๔. ให้สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและสำนักงบประมาณที่เห็นว่า มาตรการระยะสั้นและระยะยาว ควรให้สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติเสนอคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติพิจารณากลั่นกรองให้เกิดการบูรณาการและความครบถ้วนของมาตรการก่อนเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติ เพื่อให้การบริหารทรัพยากรน้ำของประเทศมีความเป็นเอกภาพ เกิดความประหยัดและคุ้มค่าของงบประมาณที่ใช้ในการป้องกันและแก้ไขปัญหาอุทกภัยในฤดูน้ำหลากและสภาวะความแห้งแล้งในฤดูแล้งต่อไป รวมทั้งสร้างความรับรู้และความเข้าใจที่ถูกต้องแก่ประชาชนเกี่ยวกับสถานการณ์ภัยแล้งและมาตรการแก้ไข ตลอดจนรายงานผลการดำเนินการตามมาตรการแก้ไขปัญหาภัยแล้ง ผลลัพธ์ และผลสัมฤทธิ์ของการดำเนินงานให้คณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติและคณะรัฐมนตรีทราบเป็นระยะต่อไป ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย

คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการแต่งตั้งข้าราชการการเมือง จำนวน ๓ ราย ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๓๐ กรกฎาคม ๒๕๖๒) เป็นต้นไป ตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ ดังนี้
               ๑. นายประทีป กีรติเรขา                              ดำรงตำแหน่งรองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง
               ๒. นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล                            ดำรงตำแหน่งรองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง
                                                                         (รองนายกรัฐมนตรี นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์)
               ๓. ศาสตราจารย์นฤมล ภิญโญสินวัฒน์               ดำรงตำแหน่งโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี

คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นายสีมา สีมานันท์ นายมนุชญ์ วัฒนโกเมร และนางพงษ์สวาท กายอรุณสุทธิ์ เป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดการเทียบตำแหน่ง ตามมาตรา ๗ วรรคหนึ่ง (๓) แห่งพระราชบัญญัติหลักเกณฑ์การเทียบตำแหน่งหัวหน้าส่วนราชการที่เทียบเท่าอธิบดี พ.ศ. ๒๕๖๒ ตามที่สำนักงาน ก.พ. เสนอ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๓๐ กรกฎาคม ๒๕๖๒) เป็นต้นไป

คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
               ๑. เห็นชอบร่างเอกสารที่จะมีการรับรองในการประชุมรัฐมนตรีกรอบความร่วมมืออนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง ระหว่างวันที่ ๑-๓ สิงหาคม ๒๕๖๒ ณ กรุงเทพมหานคร จำนวน ๖ ฉบับ ได้แก่ (๑) ร่างถ้อยแถลงร่วมการประชุมรัฐมนตรีข้อริเริ่มลุ่มน้ำโขงตอนล่าง ครั้งที่ ๑๒ (๒) ร่างถ้อยแถลงร่วมว่าด้วยการสร้างเสริมการประสานงานระหว่างมิตรประเทศลุ่มน้ำโขงตอนล่าง (๓) ร่างถ้อยแถลงร่วมการประชุมรัฐมนตรีกรอบความร่วมมือลุ่มน้ำโขง-คงคา ครั้งที่ ๑๐ (๔) ร่างแผนปฏิบัติการกรอบความร่วมมือลุ่มน้ำโขง-คงคา ปี ค.ศ. ๒๐๑๙-๒๐๒๒ (๕) ร่างถ้อยแถลงร่วมการประชุมรัฐมนตรีกรอบความร่วมมือลุ่มน้ำโขง-สาธารณรัฐเกาหลี ครั้งที่ ๙ และ (๖) ร่างถ้อยแถลงประธานร่วมการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศกรอบความร่วมมือลุ่มน้ำโขงกับญี่ปุ่น ครั้งที่ ๑๒ มีสาระสำคัญเป็นการแสดงเจตนารมณ์ การทบทวนผลการดำเนินงาน และการกำหนดแนวทางความร่วมมือของประเทศสมาชิกในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขงกับประเทศหุ้นส่วนเพื่อการพัฒนานอกภูมิภาคในการพัฒนาอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขงให้เกิดความยั่งยืน ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม อีกทั้งเป็นการเสริมสร้างบทบาทของรัฐบาลไทยในฐานะผู้นำประชาคมอาเซียนในการดำเนินความร่วมมือระหว่างประเทศบนเวทีโลก และอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายให้เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทยเข้าร่วมการประชุมรัฐมนตรีกรอบความร่วมมือฯ เป็นผู้ร่วมให้การรับรองเอกสารดังกล่าว ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างเอกสารดังกล่าวในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย
               ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเกี่ยวกับการดำเนินการตามกรอบความร่วมมือต่าง ๆ ควรสอดประสานและไม่ขัดแย้งต่อพันธกรณีที่ฝ่ายไทยมีต่อประเทศเพื่อนบ้านในลุ่มแม่น้ำโขง อาทิ ความตกลงว่าด้วยความร่วมมือเพื่อการพัฒนาลุ่มแม่น้ำโขงอย่างยั่งยืน พ.ศ. ๒๕๓๘ (Agreement of the Cooperation for the Sustainable Development of the Mekong River Basin 1995) ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
               ๓. ให้กระทรวงการต่างประเทศได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้

คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการแต่งตั้งข้าราชการการเมือง จำนวน ๒ ราย ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขเสนอ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๓๐ กรกฎาคม ๒๕๖๒) เป็นต้นไป ดังนี้
               ๑. นางสาวเรวดี รัศมิทัต                    ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข
               ๒. นายวัชรพงศ์ คูวิจิตรสุวรรณ            ดำรงตำแหน่งเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข

คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการแต่งตั้งข้าราชการการเมือง จำนวน ๒ ราย โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๓๐ กรกฎาคม ๒๕๖๒) เป็นต้นไป ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้
               ๑. นายยุทธพล อังกินันทน์                   ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวง
                                                                ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
               ๒. นายธเนศพล ธนบุณยวัฒน์               ดำรงตำแหน่งเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวง
                                                                ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม

ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการด้านเศรษฐกิจ ดังนี้ ให้กระทรวงพาณิชย์เป็นหน่วยงานหลักขอความร่วมมือจากทุกกระทรวงในการรับซื้อ/จัดหาสถานที่จำหน่ายพืชผักผลไม้ของเกษตรกรที่กำลังออกสู่ตลาดตามฤดูกาล เช่น มังคุด ลองกอง ลำไย เพื่อบรรเทาปัญหาสินค้าล้นตลาดและมีราคาตกต่ำ โดยอาจพิจารณาจัดพื้นที่จัดจำหน่ายในบริเวณสถานที่ราชการ เพื่อให้ผู้บริโภคสามารถซื้อสินค้าได้อย่างสะดวก และมีการกระจายสินค้าอย่างทั่วถึง สำหรับกรณีกรมราชทัณฑ์ กระทรวงยุติธรรม ควรพิจารณาดำเนินการจัดซื้อเพื่อการบริโภคของผู้ต้องขัง ซึ่งมีอยู่เป็นจำนวนมากด้วย ทั้งนี้ ให้กระทรวงพาณิชย์ขอความร่วมมือจากภาคเอกชนร่วมสนับสนุนการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง และให้ดำเนินการต่าง ๆ ให้ถูกต้องเป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด