ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1511 จากทั้งหมด 6223 หน้า แสดงรายการที่ 30201 - 30220 จากข้อมูลทั้งหมด 124459 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 30201 | ร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. .... | นร01 | 28/08/2555 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนนำเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป โดยร่างพระราชบัญญัติฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้ ๑.๑ กำหนดให้มีคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล โดยมีองค์ประกอบ วาระการดำรงตำแหน่ง และอำนาจหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนด และให้สำนักงานคณะกรรมการข้อมูลข่าวสารของราชการมีหน้าที่ปฏิบัติงานวิชาการและธุรการให้แก่คณะกรรมการฯ ๑.๒ กำหนดหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ดังนี้ ๑.๒.๑ กำหนดหลักเกณฑ์การขอความยินยอมจากเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล กำหนดหน้าที่ของผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคล กำหนดให้มีการแจ้งวัตถุประสงค์เพื่อขอความยินยอม และจะต้องเก็บ ใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลฯ ตามวัตถุประสงค์นั้น เว้นแต่จะได้แจ้งวัตถุประสงค์ใหม่และได้รับความยินยอมแล้วหรือได้รับยกเว้นตามกฎหมาย ๑.๒.๒ กำหนดหลักเกณฑ์ และวิธีการรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคล เช่น ห้ามเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลที่มีลักษณะเป็นข้อมูลต้องห้าม (ข้อมูลที่เกี่ยวกับพฤติกรรมทางเพศ ข้อมูลที่อาจเป็นผลร้ายทำให้เสียชื่อเสียง) ๑.๒.๓ กำหนดหลักเกณฑ์การใช้และการเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล โดยต้องได้รับความยินยอมเป็นหนังสือ รวมทั้งกำหนดข้อยกเว้นดังกล่าว ๑.๒.๔ กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการเก็บรักษาและการแก้ไขเปลี่ยนแปลงข้อมูลส่วนบุคคล โดยกำหนดให้มีระบบรักษาความมั่นคงปลอดภัยให้แก่ข้อมูลส่วนบุคคล การแก้ไขเปลี่ยนแปลงข้อมูลส่วนบุคคล ๑.๒.๕ กำหนดหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีปฏิบัติของผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลเชิงธุรกิจหรือการพาณิชย์ ๑.๓ กำหนดสิทธิของเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลและความรับผิดทางแพ่งในกรณีฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามพระราชบัญญัตินี้หรือประกาศที่ออกตามพระราชบัญญัตินี้ ๑.๔ กำหนดให้มีคณะกรรมการตรวจสอบข้อมูลส่วนบุคคลซึ่งแต่งตั้งโดยคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล เพื่อให้มีหน้าที่พิจารณาเรื่องร้องเรียน ตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่เจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล เป็นต้น รวมทั้งกำหนดให้การยื่นคำร้อง การส่งคำร้องเรียน วิธีพิจารณา ระยะเวลาและการขยายระยะเวลาการตรวจสอบ การไกล่เกลี่ย และการไม่รับเรื่องร้องเรียนไว้พิจารณาให้เป็นไปตามระเบียบที่คณะกรรมการประกาศกำหนด ตลอดจนกำหนดหลักเกณฑ์วิธีการในการอุทธรณ์การไม่รับเรื่องร้องเรียนหรือคำสั่งยุติเรื่อง ๑.๕ กำหนดมาตรการส่งเสริม โดยกำหนดให้ผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลที่ประสงค์จะมีสิทธิใช้หรือแสดงเครื่องหมายรับรองมาตรฐานยื่นคำขอใบรับรองต่อสำนักงานคณะกรรมการข้อมูลข่าวสารของราชการตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่ผู้อำนวยการสำนักงานฯ ประกาศกำหนด ๑.๖ กำหนดความรับผิดของนิติบุคคล โทษปรับทางปกครอง และโทษทางอาญา ๑.๗ กำหนดบทเฉพาะกาล โดยมีบทเร่งรัดให้สำนักงานฯ ดำเนินการให้มีการแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิภายใน ๙๐ วันนับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ และกำหนดไม่ให้กฎหมายมีผลใช้บังคับย้อนหลังสำหรับการปฏิบัติตามบทบัญญัติเกี่ยวกับการเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลที่อยู่ในความครอบครองก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ ๒. ให้สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีรับความเห็นของสำนักงาน ก.พ. ที่เห็นว่าร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. .... กำหนดให้มีคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล มีอำนาจหน้าที่กำหนดนโยบายและมาตรการควบคุม ดูแล และส่งเสริมการให้ความคุ้มครองสิทธิในข้อมูลส่วนบุคคล และให้สำนักงานคณะกรรมการข้อมูลข่าวสารของราชการมีหน้าที่ปฏิบัติงานวิชาการและธุรการให้แก่คณะกรรมการและคณะอนุกรรมการนั้น ในเบื้องต้นเห็นควรให้เกลี่ยอัตรากำลังจากสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีก่อน หากดำเนินการแล้วอัตรากำลังยังไม่เพียงพอก็ให้เสนอคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ หรือคณะกรรมการบริหารพนักงานราชการ พิจารณาจัดสรรอัตรากำลังให้ตามความจำเป็น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๓. ให้สำนักงาน ก.พ.ร. รับไปพิจารณาทบทวนโครงสร้างของสำนักงานคณะกรรมการข้อมูลข่าวสารของราชการ โดยให้นำความเห็นของสำนักงาน ก.พ. ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
| 30202 | รายงานผลการดำเนินการของกระทรวงการคลังในการให้ความช่วยเหลือ ฟื้นฟู เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัย | กค | 28/08/2555 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการคลังรายงานผลการดำเนินการให้ความช่วยเหลือ ฟื้นฟู เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัย ซึ่งกระทรวงการคลังได้กำหนดมาตรการด้านต่าง ๆ เพื่อช่วยเหลือฯ รวมทั้งมาตรการช่วยเหลือฯ ที่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการเมื่อวันที่ ๒๐ กันยายน ๒๕๕๔ วันที่ ๒๕ ตุลาคม ๒๕๕๔ และวันที่ ๑๕ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ โดยมีสาระสำคัญสรุปได้ ดังนี้
๑. มาตรการด้านการเงิน ประกอบด้วย ๑.๑ สินเชื่อเพื่อภาคการเกษตร ดำเนินการโดยธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร จำนวน ๑ โครงการ คือ สินเชื่อฟื้นฟูการประกอบอาชีพรายละไม่เกิน ๑๐๐,๐๐๐ บาท วงเงินสินเชื่อรวม ๓๐,๐๐๐ ล้านบาท ๑.๒ สินเชื่อเพื่อภาคเคหะ ดำเนินการโดยธนาคารอาคารสงเคราะห์ร่วมกับธนาคารออมสิน จำนวน ๑ โครงการ คือ มาตรการสินเชื่อสำหรับการเคหะ วงเงินสินเชื่อรวม ๓๐,๐๐๐ ล้านบาท ๑.๓ สินเชื่อเพื่อธุรกิจ SMEs มีมาตรการที่ให้ความช่วยเหลือ จำนวน ๓ โครงการ วงเงินสินเชื่อรวม ๑๖๒,๐๐๐ ล้านบาท ได้แก่ มาตรการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำโดยความร่วมมือของธนาคารออมสินและธนาคารพาณิชย์ วงเงินสินเชื่อรวม ๔๐,๐๐๐ ล้านบาท มาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ประสบภัยพิบัติปี พ.ศ. ๒๕๕๔ โดยธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย วงเงินสินเชื่อรวม ๒,๐๐๐ ล้านบาท และการค้ำประกันสินเชื่อของอุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดย่อม โดยบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม วงเงินค้ำประกันรวม ๑๐๐,๐๐๐ ล้านบาท (คาดว่าจะให้สินเชื่อได้ ๑๒๐,๐๐๐ ล้านบาท) ๑.๔ สินเชื่อเพื่อรายย่อย มีมาตรการที่ให้ความช่วยเหลือ จำนวน ๓ โครงการ วงเงินสินเชื่อรวม ๔๐,๐๐๐ ล้านบาท ได้แก่ มาตรการสินเชื่อสำหรับกลุ่มรายย่อย โดยธนาคารออมสิน วงเงินสินเชื่อรวม ๒๐,๐๐๐ ล้านบาท มาตรการสินเชื่อรายย่อยสำหรับผู้ประสบอุทกภัย โดยสำนักงานประกันสังคม วงเงินสินเชื่อรวม ๑๐,๐๐๐ ล้านบาท และมาตรการสินเชื่อเพื่อส่งเสริมการจ้างงาน โดยสำนักงานประกันสังคม วงเงินสินเชื่อรวม ๑๐,๐๐๐ ล้านบาท ๑.๕ สินเชื่อเพื่อการพัฒนาระบบป้องกันอุทกภัยของนิคมอุตสาหกรรม ดำเนินการโดยธนาคารออมสิน จำนวน ๑ โครงการ คือ มาตรการสินเชื่อเพื่อพัฒนาระบบป้องกันอุทกภัย วงเงินสินเชื่อรวม ๑๕,๐๐๐ ล้านบาท ๑.๖ การให้ความช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยครัวเรือนละ ๕,๐๐๐ บาท ๒. มาตรการด้านภาษี ประกอบด้วย ๒.๑ ภาษีเงินได้ ได้แก่ การยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและนิติบุคคลสำหรับเงินชดเชยที่ผู้ประสบอุทกภัยได้รับจากภาครัฐ การยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเป็นจำนวนเงินเท่ากับจำนวนความเสียหายที่ได้รับสำหรับผู้ประสบอุทกภัยที่ลงทะเบียนไว้กับศูนย์หรือหน่วยงานให้ความช่วยเหลือของทางราชการ การยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับค่าสินไหมทดแทนที่ผู้ประสบอุทกภัยได้รับจากการประกันภัยเพื่อชดเชยความเสียหายดังกล่าวเฉพาะส่วนที่เกินมูลค่าต้นทุนของทรัพย์สินที่เหลือจากการหักค่าสึกหรอหรือค่าเสื่อมราคาแล้ว การยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและนิติบุคคลสำหรับเงินหรือทรัพย์สินที่ได้รับจากการบริจาคหรือชดเชยที่มีมูลค่าไม่เกินความเสียหาย รวมทั้งยกเว้นภาษีในส่วนของการบริจาคให้กับผู้ประสบอุทกภัยผ่านหน่วยงานส่วนราชการ องค์การของรัฐบาล องค์การหรือสถานสาธารณกุศล หรือผ่านเอกชนที่เป็นตัวแทนรับบริจาค ที่ได้ขึ้นทะเบียนไว้กับกรมสรรพากร เพื่อนำไปบริจาคต่อให้กับผู้ประสบอุทกภัย ผู้บริจาคสามารถนำมาหักเป็นค่าลดหย่อน/ค่าใช้จ่ายได้ตามเกณฑ์ที่กำหนด ๒.๒ ภาษีมูลค่าเพิ่ม โดยการยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มสำหรับผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มที่นำสินค้าไปบริจาคเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย ๒.๓ ภาษีศุลกากร ได้แก่ การยกเว้นอากรขาเข้าเครื่องจักร ส่วนประกอบและอุปกรณ์ประกอบเครื่องจักร รวมถึงเครื่องมือและเครื่องใช้ที่ใช้กับเครื่องจักรดังกล่าวที่นำเข้ามาเพื่อทดแทนหรือซ่อมแซมเครื่องจักรที่ได้รับความเสียหายอันเนื่องมาจากอุทกภัย การยกเว้นอากรขาเข้ารถยนต์นั่งสำเร็จรูปเพื่อทดแทนการผลิตในประเทศ และการยกเว้นอากรขาเข้าชิ้นส่วนรถยนต์ที่นำเข้ามาเพื่อผลิตหรือประกอบเป็นส่วนประกอบหรืออุปกรณ์ประกอบเป็นรถยนต์สำเร็จรูปในประเทศ ๒.๔ การขยายเวลายื่นแบบแสดงรายการภาษี ได้แก่ การขยายเวลายื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย ภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีธุรกิจเฉพาะ อากรแสตมป์ สำหรับผู้ประกอบการที่ประสบอุทกภัยในพื้นที่ตามประกาศอธิบดีกรมสรรพากร โดยให้สามารถนำไปยื่นแบบได้ภายในวันที่ ๓๐ ธันวาคม ๒๕๕๔ และการขยายเวลายื่นแบบแสดงรายการภาษีสรรพสามิตแก่ผู้ประกอบการอุตสาหกรรม และผู้ประกอบกิจการสถานบริการที่ประสบอุทกภัยในพื้นที่ตามประกาศกระทรวงการคลัง โดยให้สามารถนำไปยื่นแบบได้ภายในวันที่ ๑๕ ธันวาคม ๒๕๕๔ ๓. มาตรการด้านการคลัง ประกอบด้วย ๓.๑ การอนุมัติให้จังหวัดต่าง ๆ และส่วนราชการขยายวงเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน และอนุมัติให้สามารถปฏิบัตินอกเหนือระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน พ.ศ. ๒๕๔๖ และที่แก้ไขเพิ่มเติม และหลักเกณฑ์และวิธีการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน พ.ศ. ๒๕๕๑ ๓.๒ การขยายระยะเวลาและผ่อนปรนหลักเกณฑ์การกันเงินงบประมาณปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ไว้เบิกเหลื่อมปีกรณีไม่มีหนี้ผูกพันได้อีก ๖ เดือน จนถึงวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๕๕ เพื่อให้ส่วนราชการสามารถเบิกจ่ายเงินตามระบบอิเล็กทรอนิกส์ (GFMIS) ได้อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในรายการเพื่อช่วยเหลือ แก้ไขและฟื้นฟูภายหลังเกิดอุทกภัย ๓.๓ การยกเว้นการไม่ปฏิบัติตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัดสุ พ.ศ. ๒๕๓๕ และที่แก้ไขเพิ่มเติม และระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. ๒๕๔๙ สำหรับหน่วยงานภายใต้ระเบียบที่ได้รับการจัดสรรงบประมาณเพื่อช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยที่เกิดขึ้นในปี พ.ศ. ๒๕๕๔ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่จังหวัดมีประกาศภัยพิบัติในปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ไปจนกว่าภัยพิบัติจะสิ้นสุดลง และการผ่อนคลายการจัดซื้อจัดจ้างสำหรับเงินนอกงบประมาณ รวมทั้งการเพิ่มความคล่องตัวในการปฏิบัติตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. ๒๕๔๙ สำหรับหน่วยงานที่ได้รับงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ในงาน/โครงการ ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากเหตุอุทกภัยที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต ซึ่งจะส่งผลเป็นการลดขั้นตอนดำเนินการ e-Auction จากเดิมต้องใช้เวลา ๘๕ วัน เหลือ ๒๘ วัน ๓.๔ การแจ้งให้ทุนหมุนเวียนทบทวนบทบาท หน้าที่ กรอบภารกิจและวัตถุประสงค์ของทุนหมุนเวียน ซึ่งหากอยู่ในข่ายที่สามารถให้ความช่วยเหลือกลุ่มผู้รับบริการที่ได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติได้ ให้ดำเนินการสำรวจกลุ่มผู้รับบริการของทุนหมุนเวียนที่ได้รับความเดือดร้อนจากปัญหาน้ำท่วมและกำหนดแนวทางหรือมาตรการเยียวยาให้ความช่วยเหลือ ๓.๕ การให้ความช่วยเหลือผู้มีสิทธิและบุคคลในครอบครัวที่อยู่ในพื้นที่อุทกภัยหรือได้รับความเดือดร้อนจากเหตุอุทกภัยสามารถเข้ารับการรักษาพยาบาลประเภทผู้ป่วยในสถานพยาบาลของทางเอกชนได้ทุกโรค ส่วนการเข้ารับการรักษาพยาบาลในสถานพยาบาลของทางราชการประเภทผู้ป่วยนอก ให้ผู้มีสิทธิและสถานพยาบาลของทางราชการถือปฏิบัติเกี่ยวกับกรณีการสมัครขอใช้สิทธิในระบบเบิกจ่ายตรงสามารถใช้สิทธิได้ทันที ซึ่งจากเดิมต้องรอ ๑๕ วัน ๓.๖ การผ่อนผันให้ขยายระยะเวลาการส่งรายงานการเงินของส่วนราชการระดับกรม ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ผ่อนผันการส่งผลการประเมินการปฏิบัติงานด้านบัญชีของส่วนราชการระดับกรม ไตรมาสที่ ๔ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ผ่อนผันการส่งรายงานประจำเดือนจากระบบ GFMIS ประจำไตรมาสที่ ๑ ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ และผ่อนผันการส่งรายงานผลการประเมินการปฏิบัติงานด้านบัญชีของส่วนราชการ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ไตรมาสที่ ๑ ๓.๗ การเลื่อนกำหนดระยะเวลาการจ่ายเงินเดือน ค่าจ้าง เบี้ยหวัด และบำนาญของข้าราชการ ลูกจ้างประจำ ลูกจ้างชั่วคราว รวมทั้งค่าตอบแทนของพนักงานราชการ ของส่วนราชการต่าง ๆ ประจำเดือนพฤศจิกายน - ธันวาคม ๒๕๕๔ จากเดิม ก่อนวันทำการสุดท้ายของเดือน ๓ วันทำการ เป็นประจำเดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๔ ให้จ่ายในวันที่ ๑๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ และประจำเดือนธันวาคม ๒๕๕๔ ให้จ่ายก่อนวันทำการสุดท้ายของเดือน ๕ วันทำการ ๔. มาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการเพิ่มเติม โดยให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการก่อสร้างในภาคใต้ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุอุทกภัยที่เกิดขึ้นในช่วงระหว่างวันที่ ๒๓ มีนาคม ๒๕๕๔ - วันที่ ๑๘ เมษายน ๒๕๕๔ ให้ได้รับการขยายระยะเวลาของสัญญาออกไปอีก จำนวน ๑๘๐ วัน และการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการก่อสร้างและผู้ประกอบการอื่นที่ได้รับผลกระทบจากเหตุอุทกภัยที่เกิดขึ้นในช่วงระหว่างวันที่ ๒๕ กรกฎาคม ๒๕๕๔ - วันที่ ๑๖ มกราคม ๒๕๕๕ กรณีเป็นสัญญาจ้างก่อสร้างหรือสัญญาประเภทอื่นที่มิใช่สัญญาจ้างก่อสร้าง ให้ขยายระยะเวลาของสัญญาออกไปอีก จำนวน ๑๘๐ วัน สำหรับสัญญาซื้อขาย ให้ขยายระยะเวลาออกไปอีก จำนวน ๑๒๐ วัน
|
||||||||||||||||||||||||
| 30203 | การรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง การวิเคราะห์ระบบการจัดการน้ำลุ่มน้ำยมโดยใช้กระบวนการนโยบายสาธารณะแบบบูรณาการ | กษ | 28/08/2555 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง การวิเคราะห์ระบบการจัดการน้ำลุ่มน้ำยมโดยใช้กระบวนการนโยบายสาธารณะแบบบูรณาการ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมชลประทานเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ผลการรับฟังความคิดเห็นต่อกรอบแนวทางการศึกษาวิเคราะห์ระบบการจัดการลุ่มน้ำยมโดยใช้กระบวนการนโยบายสาธารณะแบบบูรณาการ ส่วนใหญ่ร้อยละ ๙๑.๔๕ แสดงความเห็นด้วยต่อกรอบแนวทางการศึกษาวิเคราะห์ระบบการจัดการลุ่มน้ำยมฯ ในทุกหัวข้อ ซึ่งคณะสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ได้นำผลการรับฟังความคิดเห็นต่อกรอบแนวทางการศึกษาการจัดการลุ่มน้ำยมฯ ไปปรับปรุงเป็นข้อกำหนดขอบเขตงาน (TOR) สำหรับการศึกษาระบบการจัดการลุ่มน้ำยมฯ ผลการศึกษามี ๒ ประเด็น ได้แก่ ๑.๑ การประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมเชิงกลยุทธ์ (Strategic Environmental Assessment L : SEA) เป็นกระบวนการในการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมของนโยบาย แผน เพื่อนำไปสู่การตัดสินใจเชิงนโยบาย โดยมีการพิจารณาถึงผลกระทบทางลบ ทางบวกจากการดำเนินโครงการต่อมิติสิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ และสังคม โดยมีเป้าหมายอยู่ที่การพัฒนาที่ยั่งยืน โดยผลการศึกษาสรุปว่า ทางเลือกการจัดการน้ำในลุ่มน้ำยมมีด้วยกัน ๔ ทางเลือก คือ ๑.๑.๑ ทางเลือกที่ ๑ มีการพัฒนาเฉพาะมาตรการไม่ใช้สิ่งก่อสร้าง และการปรับปรุงประสิทธิภาพการชลประทาน ๑.๑.๒ ทางเลือกที่ ๒ มีการพัฒนาในมาตรการไม่ใช้สิ่งก่อสร้าง และมาตรการใช้สิ่งก่อสร้าง การพัฒนาแหล่งน้ำขนาดกลาง ทั้งอ่างเก็บน้ำและฝาย/ประตูระบายน้ำตามลำน้ำยม รวมถึงการพัฒนาและจัดสรรน้ำโครงการขนาดเล็กในพื้นที่ประสบภัยแล้งซ้ำซาก ๑.๑.๓ ทางเลือกที่ ๓ มีการพัฒนาในมาตรการไม่ใช้สิ่งก่อสร้าง และมาตรการใช้สิ่งก่อสร้าง ทั้งโครงการพัฒนาแหล่งน้ำขนาดกลางและแหล่งน้ำขนาดใหญ่ ได้แก่ เขื่อนแม่ยม และเขื่อนแม่ยมตอนบน ๑.๑.๔ ทางเลือกที่ ๔ มีการพัฒนาในมาตรการไม่ใช้สิ่งก่อสร้าง และมาตรการใช้สิ่งก่อสร้าง ทั้งการพัฒนาแหล่งน้ำขนาดกลางและแหล่งน้ำขนาดใหญ่ ได้แก่ เขื่อนแก่งเสือเต้น ทั้งนี้ แนวทางการเลือกการพัฒนาโครงการ ทางเลือกที่ ๔ เป็นทางเลือกที่มีศักยภาพมากที่สุด โดยมีความยั่งยืนทางด้านสิ่งแวดล้อมเช่นเดียวกับทางเลือกที่ ๑, ๒ และ ๓ ในด้านความยั่งยืนทางด้านเศรษฐกิจ ทางเลือกที่ ๔ จะให้ผลประโยชน์สุทธิมากกว่าทางเลือกที่ ๓ และทางเลือกที่ ๒ ตามลำดับ ๑.๒ การใช้นโยบายสาธารณะแบบบูรณาการเป็นกระบวนการที่ให้ความสำคัญกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกภาคส่วนเข้ามามีส่วนร่วมอย่างจริงจังในกระบวนการศึกษาวิเคราะห์ระบบการจัดการลุ่มน้ำยม ทั้งนี้ ผลจากการจัดการประชุมเชิงปฏิบัติการ “ทางเลือกในการจัดการลุ่มน้ำยม” ครอบคลุมพื้นที่ลุ่มน้ำยมตอนบนและลุ่มน้ำยมตอนล่าง รวม ๙ จังหวัด ได้แก่ จังหวัดพะเยา ลำปาง น่าน แพร่ สุโขทัย พิษณุโลก พิจิตร กำแพงเพชร และนครสวรรค์ โดยให้จัดมีการประชุมรวมทั้งหมดจำนวน ๙ ครั้ง โดยพื้นที่และกลุ่มประชากรเป้าหมายของการประชุมในพื้นที่ลุ่มน้ำยมได้ครอบคลุมพื้นที่และกลุ่มประชากรเป้าหมายที่มาจากพื้นที่ลุ่มน้ำย่อยทั้ง ๑๑ ลุ่มน้ำ มีพื้นที่ครอบคลุม ๑๖๑ ตำบล ๓๑ อำเภอ ๑๐ จังหวัด ผลสรุปจากการมีส่วนร่วมในการจัดระดับความสำคัญของทางเลือกในการพัฒนาลุ่มน้ำยมพบว่า ผู้มีส่วนได้เสียส่วนใหญ่ให้ความสำคัญกับทางเลือกที่ ๔ รองลงมาได้แก่ ทางเลือกที่ ๓ ทางเลือกที่ ๒ และทางเลือกที่ ๑ ตามลำดับ ยกเว้นกลุ่มองค์กรอิสระที่ให้ความสำคัญกับทางเลือกที่ ๔ น้อยที่สุด
|
||||||||||||||||||||||||
| 30204 | ผลการประชุมของคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย (กบอ.) ครั้งที่ 8/2555 | วท | 28/08/2555 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและอนุมัติงบประมาณตามพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อการวางระบบบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศ พ.ศ. ๒๕๕๕ (๓๕๐,๐๐๐ ล้านบาท) วงเงิน ๗๖๙,๓๑๑,๓๗๔.๘๕ บาท ตามมติคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย (กบอ.) ในการประชุมครั้งที่ ๘/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๒๐ สิงหาคม ๒๕๕๕ ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ประธาน กบอ. เสนอ ดังนี้ ๑.๑ โครงการป้องกันน้ำท่วมของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย และสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ วงเงิน ๑๗๑,๔๗๐,๔๗๑ บาท เป็นค่าก่อสร้างกำแพงเข็มพืดคอนกรีต พนังคันดิน ประตูกั้นน้ำที่ประตูทางเข้า - ออก และถนนยกระดับบริเวณทางเข้าหลักร่วมกันของสามสถาบัน ๑.๒ โครงการประตูระบายน้ำ/สถานีสูบน้ำกึ่งถาวรปากคลองรังสิตประยูรศักดิ์ ของกรมชลประทาน วงเงิน ๓๓๔,๐๔๔,๔๐๓.๘๕ บาท ๑.๓ โครงการก่อสร้าง Siphon เพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการน้ำบริเวณประตูระบายน้ำบางโฉมศรี ของกรมชลประทาน วงเงิน ๒๖๓,๗๙๖,๕๐๐ บาท ๒. สำหรับโครงการประตูระบายน้ำ/สถานีสูบน้ำกึ่งถาวรปากคลองรังสิตประยูรศักดิ์ และโครงการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการน้ำบริเวณประตูระบายน้ำบางโฉมศรี ของกรมชลประทาน นั้น เพื่อให้การระบายน้ำเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น การก่อสร้างประตูระบายน้ำต้องพิจารณารายละเอียดในด้านเทคนิคการก่อสร้างให้เหมาะสมด้วย โดยให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ประธาน กบอ. รับไปประสานงานในรายละเอียดกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมชลประทาน) ให้เหมาะสมชัดเจนก่อนดำเนินการต่อไป ๓. ให้กรมชลประทานและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการปฏิบัติตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการบริหารโครงการและการใช้จ่ายเงินกู้เพื่อการวางระบบบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศ พ.ศ. ๒๕๕๕ โดยให้หน่วยงานเจ้าของโครงการส่งแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายเงินกู้ต่อสำนักงบประมาณเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบและจัดสรรวงเงินกู้ตามที่ได้รับอนุมัติ และให้สำนักงบประมาณส่งข้อมูลแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายเงินกู้ให้แก่ สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) เพื่อประกอบการพิจารณาจัดหาเงินกู้ รวมทั้งให้หน่วยงานเจ้าของโครงการจัดส่งประมาณการการเบิกจ่ายเงินกู้เป็นรายเดือนให้แก่ สบน. เพื่อประกอบการพิจารณาเบิกจ่าย โดย กบอ. พิจารณาวงเงินโครงการดังกล่าวรวมทั้งวงเงินโครงการที่คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติให้ใช้เงินกู้ภายใต้พระราชกำหนดฯ ที่ผ่านมาให้อยู่ภายใต้กรอบการใช้จ่ายเงินกู้ตามพระราชกำหนดฯ ที่คณะรัฐมนตรีนำเสนอรัฐสภา เมื่อวันที่ ๒๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ โดยไม่ให้เกินกรอบวงเงินกู้ของแต่ละแผนงานที่กำหนดไว้ นอกจากนี้ เห็นควรระบุหน่วยงานเจ้าของโครงการให้ชัดเจนเพื่อจัดส่งรายละเอียดแบบรูปรายการ และแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายเงินกู้ที่สอดคล้องกับแผนงานตามกรอบการใช้จ่ายเงินกู้ฯ ที่เสนอไว้ต่อรัฐสภา สำหรับการดำเนินการโครงการก่อสร้างประตูระบายน้ำ/สถานีสูบน้ำกึ่งถาวรปากคลองรังสิตประยูรศักดิ์ต้องใช้ระยะเวลาก่อสร้างรวม ๕ เดือน ซึ่งจะแล้วเสร็จไม่ทันฤดูน้ำหลากในปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ให้กรมชลประทานหามาตรการเสริมในการป้องกันผลกระทบจากปัญหาน้ำหลากท่วมพื้นที่ในช่วงดังกล่าว ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องด้วย |
||||||||||||||||||||||||
| 30205 | รายงานสถานะความก้าวหน้าการดำเนินโครงการภายใต้งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ และการจัดสรรเงินกู้โครงการเพื่อการวางระบบบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศ พ.ศ. 2555 | นร07 | 28/08/2555 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสถานะความก้าวหน้าการดำเนินโครงการภายใต้งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ และการจัดสรรเงินกู้โครงการเพื่อการวางระบบบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศ พ.ศ. ๒๕๕๕ ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. โครงการภายใต้งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ จำนวน ๑๒๐,๐๐๐ ล้านบาท ๑.๑ การจัดสรร/การเบิกจ่าย/ลงนามสัญญาหรือดำเนินการเอง สำนักงบประมาณจัดสรรสุทธิ เป็นเงิน ๑๑๘,๗๗๕.๗๔๕๙ ล้านบาท มีการลงนามในสัญญาหรือดำเนินการเองแล้ว เป็นเงิน ๑๐๘,๗๗๔.๘๐๑๔ ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากวันที่ ๑๕ สิงหาคม ๒๕๕๕ เป็นเงิน ๑,๒๔๗.๘๓๓๖ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๑.๑๖ และผลการเบิกจ่ายจากระบบอิเล็กทรอนิกส์ (GFMIS) เป็นเงิน ๘๕,๙๙๓.๙๑๔๑ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๗๒.๔๐ จากยอดจัดสรร ๑.๒ ผลการดำเนินงาน มิติส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นของรัฐที่มีผลการดำเนินงานสูงกว่าร้อยละ ๘๐ มีจำนวน ๙ กระทรวง ที่เหลือมีผลการดำเนินงานต่ำกว่าร้อยละ ๘๐ จำนวน ๙ กระทรวง และมิติจังหวัดที่มีผลการดำเนินงานสูงกว่าร้อยละ ๘๐ มีจำนวน ๔๗ จังหวัด ส่วนจังหวัดที่เหลือมีผลการดำเนินงานต่ำกว่าร้อยละ ๘๐ จำนวน ๒๖ จังหวัด ๑.๓ การส่งคืนเงินงบประมาณและการใช้จ่ายจากเงินที่แจ้งส่งคืน ส่วนราชการฯ ส่งเงินคืนในระบบ GFMIS เป็นเงิน ๕,๒๐๙.๔๘๙๐ ล้านบาท และเงินที่ส่วนราชการจะใช้จ่ายจริงน้อยกว่ากรอบวงเงินที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติ เป็นเงิน ๑๓๙.๐๐๖๐ ล้านบาท รวมเป็นเงินที่จะจัดสรรเพิ่มเติมได้อีก จำนวน ๕,๓๔๘.๔๙๕๐ ล้านบาท สำหรับการใช้จ่ายเงินที่แจ้งส่งคืน คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้ใช้จ่ายจากเงินที่ส่วนราชการฯ ส่งคืนงบประมาณรวม ๖ ครั้ง รวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๕,๓๑๓.๕๔๔๙ ล้านบาท (สำนักงบประมาณจัดสรรแล้ว ๔,๐๓๑.๕๘๓๗ ล้านบาท) คงเหลือวงเงินที่คณะรัฐมนตรีจะอนุมัติเพิ่มเติมได้อีก เป็นเงิน ๓๔.๙๕๐๑ ล้านบาท ๒. การจัดสรรเงินกู้โครงการเพื่อการวางระบบบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศ พ.ศ. ๒๕๕๕ คณะรัฐมนตรีอนุมัติวงเงินรวมทั้งสิ้น ๒๘,๙๑๘.๘๖๑๒ ล้านบาท สำนักงบประมาณจัดสรรเงินกู้ฯ ให้ส่วนราชการ จำนวน ๒๑,๓๗๒.๑๐๕๘ ล้านบาท คงเหลือ จำนวน ๗,๕๔๖.๗๕๕๔ ล้านบาท ได้แก่ กระทรวงคมนาคม จำนวน ๓,๙๘๑.๙๘๘๐ ล้านบาท กระทรวงอุตสาหกรรม จำนวน ๓,๒๓๖.๖๙๔๐ ล้านบาท กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จำนวน ๓๑๐.๗๔๘๔ ล้านบาท กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จำนวน ๑๗.๑๒๕๐ ล้านบาท และกระทรวงมหาดไทย จำนวน ๐.๒๐๐๐ ล้านบาท
|
||||||||||||||||||||||||
| 30206 | ร่างถ้อยแถลงระดับรัฐมนตรีในการประชุม Special ASEAN-ROK Ministerial Meeting on Forestry ณ กรุงโซล สาธารณรัฐเกาหลี | ทส | 28/08/2555 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบร่างถ้อยแถลงระดับรัฐมนตรีในการประชุม Special ASEAN-ROK Ministerial Meeting on Forestry ระหว่างวันที่ ๒๙-๓๐ สิงหาคม ๒๕๕๕ ณ กรุงโซล สาธารณรัฐเกาหลี ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ โดยร่างถ้อยแถลงฯ มีสาระสำคัญสรุปว่า รัฐมนตรีผู้รับผิดชอบด้านการป่าไม้จากประเทศสมาชิกอาเซียน และสาธารณรัฐเกาหลีมีถ้อยแถลงร่วมกัน ดังนี้ ๑.๑ ส่งเสริมความร่วมมือระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียนและสาธารณรัฐเกาหลี เพื่อเสริมสร้างความร่วมมือในระดับภูมิภาคและระหว่างประเทศ ๑.๒ ส่งเสริมการสร้างขีดความสามารถและการดำรงชีวิตของชุมชนที่พึ่งพาป่าไม้ การจัดการป่าไม้อย่างยั่งยืน การอนุรักษ์ป่าไม้ และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ๑.๓ การขยายความร่วมมือด้านป่าไม้ระดับภูมิภาค จากขอบเขตของประเทศสมาชิกอาเซียนและสาธารณรัฐเกาหลี ไปสู่ความร่วมมือระดับภูมิภาคเอเชีย ๑.๔ ดำเนินการตามกลยุทธ์เชิงรุกจากความร่วมมือด้านป่าไม้ประเทศสมาชิกอาเซียนและสาธารณรัฐเกาหลีในการก่อตั้งองค์กรผู้แทนในระดับภูมิภาค ๒. ให้ยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๘ ตุลาคม ๒๕๕๔ เกี่ยวกับเรื่องที่อาจเกี่ยวข้องกับบทบัญญัติตามมาตรา ๑๙๐ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยที่ให้หน่วยงานเจ้าของเรื่องเสนอเรื่องถึงสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีล่วงหน้าไม่น้อยกว่า ๗ วัน
|
||||||||||||||||||||||||
| 30207 | สรุปสถานการณ์รวมของภูมิอากาศและน้ำท่วมของประเทศไทยประจำสัปดาห์ | วท | 28/08/2555 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่คณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัยสรุปสถานการณ์รวมของภูมิอากาศและน้ำท่วมของประเทศไทย ครั้งที่ ๑/๒๕๕๕ ณ วันที่ ๒๗ สิงหาคม ๒๕๕๕ ดังนี้
๑. สถานการณ์ภูมิอากาศ ในระหว่างวันที่ ๒๑-๒๗ สิงหาคม ๒๕๕๕ มีการก่อตัวของพายุ ๒ ลูก คือ พายุไต้ฝุ่น TEMBIN และ BOLAVEN ซึ่งมีจุดก่อตัวในมหาสมุทรแปซิฟิก แต่ไม่มีผลกระทบต่อประเทศไทย และในระหว่างวันที่ ๒๗-๒๘ สิงหาคม ๒๕๕๕ ร่องมรสุมพาดผ่านภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และลมมรสุมกำลังแรงพัดปกคลุมทะเลอันดามัน อ่าวไทย และประเทศไทย ทำให้มีฝนตกหนักถึงหนักมาก โดยเฉพาะภาคเหนือ คลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทยตอนบน มีกำลังแรงขึ้นโดยมีคลื่นสูง ๒-๓ เมตร และจะมีกำลังอ่อนลงในช่วงวันที่ ๒๙ สิงหาคม-๑ กันยายน ๒๕๕๕ ๒. สถานการณ์น้ำและน้ำท่วม ดังนี้ ๒.๑ ปริมาณน้ำท่าในบริเวณสำคัญ ได้แก่ แม่น้ำเจ้าพระยา ที่สถานี C.2 จังหวัดนครสวรรค์ ๔๖๒ ลูกบาศก์เมตร/วินาที และที่สถานี C.13 เขื่อนเจ้าพระยา จังหวัดชัยนาท ๑๖๕ ลูกบาศก์เมตร/วินาที ๒.๒ ระดับความสูงของน้ำในแม่น้ำสายหลัก ได้แก่ ๒.๒.๑ แม่น้ำปิง ที่สถานี P.1 จังหวัดเชียงใหม่ ๓๐๒.๒๗ เมตรระดับน้ำทะเลปานกลาง (ม.รทก.) ต่ำกว่าตลิ่ง ๑.๙๓ เมตร ๒.๒.๒ แม่น้ำวัง ที่สถานี W.10A จังหวัดลำปาง ๒๕๙.๑๗ ม.รทก. ต่ำกว่าตลิ่ง ๖.๔๓ เมตร ๒.๒.๓ แม่น้ำยม ที่สถานี Y.4 จังหวัดสุโขทัย ๔๗.๒๓ ม.รทก. ต่ำกว่าตลิ่ง ๓.๖๔ เมตร ๒.๒.๔ แม่น้ำน่าน ที่สถานี N.1 จังหวัดน่าน ๑๙๔.๒๖ ม.รทก. ต่ำกว่าตลิ่ง ๔.๙๔ เมตร ๒.๒.๕ แม่น้ำเจ้าพระยา ที่สถานี C.2 จังหวัดนครสวรรค์ ๑๙.๕๖ ม.รทก. ต่ำกว่าตลิ่ง ๖.๖๔ เมตร ๒.๓ น้ำในเขื่อน/อ่างเก็บน้ำ ได้แก่ ๒.๓.๑ เขื่อนภูมิพล น้ำไหลลงอ่างเก็บน้ำ ๒๙.๘๘ ล้านลูกบาศก์เมตร/วัน ปริมาตรน้ำในอ่างเก็บน้ำ ๖,๔๖๓ ล้านลูกบาศก์เมตร ใช้การได้จริง ๒,๖๖๓ ล้านลูกบาศก์เมตร ๒.๓.๒ เขื่อนสิริกิติ์ น้ำไหลลงอ่างเก็บน้ำ ๕๒.๒๓ ล้านลูกบาศก์เมตร/วัน ปริมาตรน้ำในอ่างเก็บน้ำ ๕,๑๐๐ ล้านลูกบาศก์เมตร ใช้การได้จริง ๒,๒๕๐ ล้านลูกบาศก์เมตร ๒.๓.๓ เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ น้ำไหลลงอ่างเก็บน้ำ ๕.๒๑ ล้านลูกบาศก์เมตร/วัน ปริมาตรน้ำในอ่างเก็บน้ำ ๑๓๕ ล้านลูกบาศก์เมตร ใช้การได้จริง ๑๓๒ ล้านลูกบาศก์เมตร ๒.๓.๔ น้ำไหลลงอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่รวม ๓๓ อ่างทั่วประเทศ ปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำ รวม ๔๑,๖๙๐ ล้านลูกบาศก์เมตร ปริมาณน้ำไหลลงอ่างเก็บน้ำ สะสมตั้งแต่ต้นปี ๒๐,๓๕๗ ล้านลูกบาศก์เมตร ปริมาณน้ำระบายจากอ่างเก็บน้ำ สะสมตั้งแต่ต้นปี ๓๖,๗๒๗ ล้านลูกบาศก์เมตร และมีความสามารถในการรับน้ำได้อีก ๒๘,๔๖๑ ล้านลูกบาศก์เมตร ๓. การบริหารน้ำในเขื่อน ดังนี้ ๓.๑ เขื่อนวชิราลงกรณ ให้ระบายน้ำไม่เกินวันละ ๓๕ ล้านลูกบาศก์เมตร เริ่มตั้งแต่วันที่ ๒๔ สิงหาคม ๒๕๕๕ ๓.๒ เขื่อนศรีนครินทร์ ให้ปรับการระบายน้ำเพิ่มเป็นวันละ ๘-๑๐ ล้านลูกบาศก์เมตร เริ่มตั้งแต่วันที่ ๒๔ สิงหาคม ๒๕๕๕ ๓.๓ เขื่อนอุบลรัตน์ ในระยะสั้นให้ระบายน้ำเพียงพอต่อความต้องการขั้นต่ำ และให้เฝ้าติดตามปริมาณน้ำไหลเข้าในช่วงเดือนกันยายนและตุลาคม ๓.๔ เขื่อนภูมิพลและเขื่อนสิริกิติ์ ให้คงการระบายน้ำที่เขื่อนภูมิพลวันละ ๘ ล้านลูกบาศก์เมตร ส่วนเขื่อนสิริกิติ์ให้คงการระบายน้ำวันละ ๑๐ ล้านลูกบาศก์เมตร และให้ระบายน้ำได้เท่าที่จำเป็น เพื่อสนับสนุนการแข่งเรือประเพณีที่จังหวัดพิจิตร ระหว่างวันที่ ๑-๒ กันยายน ๒๕๕๕ ๔. สถานการณ์น้ำป่าไหลหลาก ในช่วงระหว่างวันที่ ๒๕-๒๖ สิงหาคม ๒๕๕๕ เกิดฝนตกหนักต่อเนื่องทำให้น้ำป่าไหลหลากในจังหวัดอุตรดิตถ์ ในพื้นที่อำเภอลับแล เข้าท่วมบ้านเรือนราษฎรและพื้นที่การเกษตรจำนวน ๔ ตำบล ๙ หมู่บ้าน และจังหวัดน่าน ในพื้นที่อำเภอภูเพียง ตำบลม่วงตี๊ด บ้านหนองเต่า น้ำเข้าท่วมบ้านเรือนราษฎรและพื้นที่การเกษตร รวมทั้งเส้นทางไม่สามารถสัญจรไปมาได้
|
||||||||||||||||||||||||
| 30208 | สรุปรายงานภาวะสังคมไทยไตรมาสสอง ปี 2555 | นร | 28/08/2555 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบสรุปรายงานภาวะสังคมไทยไตรมาสสอง ปี ๒๕๕๕ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ การจ้างงาน และรายได้ ๑.๑.๑ ไตรมาส ๒/๒๕๕๕ อัตราการว่างงานเพิ่มขึ้นร้อยละ ๐.๘๕ โดยมีจำนวน ๓๓๔,๑๒๑ คน สูงกว่าอัตราการว่างงานร้อยละ ๐.๖ ในช่วงเดียวกันกับปีที่แล้ว โดยมีผู้จบการศึกษาใหม่เข้าสู่ตลาดแรงงาน จำนวน ๕๒๑,๑๙๙ คน เพิ่มขึ้นร้อยละ ๑๓.๖ ในขณะที่ความต้องการของตลาดช้ากว่าการเพิ่มของกำลังแรงงาน เพราะการลงทุนและการผลิตยังไม่สามารถขยายตัวได้เต็มที่ เป็นผลจากการปรับเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำในเดือนเมษายนที่ผ่านมา และผลกระทบจากน้ำท่วมในปลายปีที่แล้ว ทำให้บางกิจการต้องปิดตัวลงและบางกิจการยังไม่สามารถกลับมาผลิตได้ รวมทั้งความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบจากภาวะวิกฤตหนี้ยูโร ๑.๑.๒ แรงงานที่มีการศึกษาระดับประถมศึกษาและต่ำกว่ามีอัตราการว่างงานต่ำเพียงร้อยละ ๐.๓ ส่วนกลุ่มแรงงานที่มีการศึกษาระดับมัธยมต้น อาชีวศึกษา ประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง และอุดมศึกษา มีอัตราการว่างงานร้อยละ ๑.๒,๑.๒,๒.๑ และ ๑.๙ ตามลำดับ ๑.๑.๓ การว่างงานรายสาขาการศึกษาสะท้อนปัญหาทั้งความต้องการในตลาดและปัญหาการผลิตกำลังคนเกินความต้องการในหลายสาขา โดยผู้ที่สำเร็จการศึกษาสาขาธุรกิจ บริหารและพาณิชย์ศาสตร์ ว่างงานเพิ่มขึ้นมาก โดยเฉพาะในระดับอุดมศึกษาว่างงานร้อยละ ๒.๑ และระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูงว่างงานร้อยละ ๑.๘ สำหรับสาขาที่มีปัญหาการผลิตเกินความต้องการของตลาดมาอย่างต่อเนื่อง เช่น สาขาศิลปกรรมศาสตร์ และมนุษยศาสตร์ มีอัตราการว่างงานสูงร้อยละ ๔.๔ และ ๒.๔ ตามลำดับ รวมทั้งสาขาคอมพิวเตอร์ในระดับ ปวส. และอุดมศึกษา มีอัตราการว่างงานร้อยละ ๔.๑ และ ๓.๖ ตามลำดับ ๑.๑.๔ รายได้แท้จริงของแรงงานเพิ่มขึ้น โดยค่าจ้างแรงงานและเงินเดือนภาคเอกชนที่ยังไม่รวมค่าล่วงเวลาและผลประโยชน์ตอบแทนอื่นเพิ่มขึ้นร้อยละ ๒๒.๒ ตามการปรับค่าจ้างขั้นต่ำ แต่ราคาสินค้าเพิ่มขึ้นเฉลี่ยร้อยละ ๒.๕ ทำให้ค่าจ้างแท้จริงเพิ่มขึ้นร้อยละ ๑๙.๒ ๑.๑.๕ การติดตามสถานการณ์การเฝ้าระวังด้านการว่างงานในระยะต่อไป ได้แก่ ชั่วโมงการทำงานโดยเฉลี่ยเริ่มส่งสัญญาณที่ต้องเฝ้าระวังด้านสถานการณ์การว่างงานที่อาจจะเพิ่มขึ้น กระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจยุโรปต่อแรงงานกลุ่มต่าง ๆ รวมทั้งปัญหาเชิงโครงสร้างยังเป็นข้อจำกัดต่อศักยภาพการพัฒนาของประเทศและคุณภาพชีวิตของแรงงานซึ่งจะต้องเร่งแก้ไข ๑.๒ ด้านการศึกษา ในกลุ่มอาเซียนประเทศไทยมีความเสียเปรียบในด้านภาษาอังกฤษและหลากหลายของภาษาที่ใช้ จึงเป็นกรณีเร่งด่วนที่ต้องให้ความสำคัญอย่างจริงจังและต่อเนื่องกับการพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษให้กับประชาชนไทยให้สามารถสื่อสารได้ ขณะที่เด็กไทยรุ่นใหม่ต้องได้รับการพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษควบคู่ไปกับการพัฒนาทักษะภาษาของประเทศเพื่อนบ้านและภาษาจีน ญี่ปุ่น เกาหลี (อาเซียน+๓) อย่างน้อย ๑ ภาษา รวมทั้งภาษามลายูกลางเพื่อสื่อสารกับประชากรครึ่งหนึ่งของประชาคมอาเซียนที่อยู่ในประเทศมาเลเซีย อินโดนีเซีย และบรูไนดารุสซาลาม ที่พูดภาษามลายู ๑.๓ ด้านสุขภาพ เด็กและเยาวชนไทย ๑ ล้านคน มีความเสี่ยงที่จะเกิดปัญหาสุขภาพจิต โดยเด็ก ๑ ล้านคน มีอาการซึมเศร้าและหงุดหงิดโดยไม่รู้สาเหตุ และเด็กร้อยละ ๕๐ มีอาการเครียด เด็กมีความสุขในการไปโรงเรียนลดลง ๑.๔ ด้านพฤติกรรมและความเป็นอยู่ของคนในสังคมไทย ในปี พ.ศ. ๒๕๕๒ และปี พ.ศ. ๒๕๕๔ คนไทยอายุ ๑๕ ปีขึ้นไปสูบบุหรี่เพิ่มขึ้นจาก ๑๔.๓ ล้านคน เป็น ๑๔.๖ ล้านคน และคนไทยอายุ ๑๕ ปีขึ้นไปดื่มแอลกอฮอล์มากถึง ๑๗ ล้านคน โดยเยาวชนกลายเป็นนักดื่มหน้าใหม่เพิ่มขึ้นมากกว่าปีละ ๒๕๐,๐๐๐ คน นอกจากนี้ เด็กและเยาวชนมีความฉลาดและวุฒิภาวะทางอารมณ์น้อยลงส่งผลให้มีพฤติกรรมไม่เหมาะสมมากขึ้น โดยในปี พ.ศ. ๒๕๕๔ เด็กและเยาวชนมีความฉลาดและวุฒิภาวะทางอารมณ์อยู่ในระดับต่ำสุดในรอบ ๑๐ ปี ส่งผลให้มีพฤติกรรมไม่เหมาะสม ขาดความสามารถในการแก้ไขปัญหาขัดแย้ง และใช้ความรุนแรงมากขึ้น ๑.๕ ด้านความมั่นคงทางสังคม ปัญหายาเสพติดยังรุนแรงและเฝ้าระวังได้ยากขึ้นเมื่อเข้าสู่ประชาคมอาเซียน คดียาเสพติดเพิ่มขึ้นจากไตรมาสสองปี ๒๕๕๔ และไตรมาสหนึ่งปี ๒๕๕๕ ร้อยละ ๓๐.๙ และ ๑๔.๐ ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการเร่งรัดการปราบปรามภายใต้กรอบนโยบายรัฐบาล นอกจากนี้ ไทยถูกจัดอันดับให้เป็นประเทศที่ต้องจับตามองด้านการค้ามนุษย์ (Tier 2 Watch List) เป็นปีที่ ๓ ซึ่งส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ประเทศไทย ๒. ให้ทุกกระทรวง กรม รวบรวมปัญหาต่าง ๆ ที่กระทรวง กรม เห็นว่า เป็นปัญหาของสังคมไทยที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน แล้วส่งให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติโดยด่วน เพื่อให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติรวบรวมและบูรณาการปัญหาต่าง ๆ เพื่อพิจารณากำหนดแนวทางและมาตรการในการป้องกันและแก้ไขปัญหาดังกล่าวเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ๓. ให้รองนายกรัฐมนตรี (ร้อยตำรวจเอก เฉลิม อยู่บำรุง) รับไปดำเนินการร่วมกับกระทรวงศึกษาธิการ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อแก้ไขปัญหาเยาวชนมีพฤติกรรมในทางที่ไม่เหมาะสม รวมทั้งปัญหาสื่อต่าง ๆ ทุกรูปแบบที่มีลักษณะเป็นการมอมเมาและชักจูงเยาวชนไปในทางที่ไม่ก่อให้เกิดความคิดที่สร้างสรรค์และประโยชน์ต่อการเรียนรู้
|
||||||||||||||||||||||||
| 30209 | ร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดให้ตัวถังของรถยนต์นั่งที่ใช้แล้ว และโครงรถจักรยานยนต์ที่ใช้แล้ว เป็นสินค้าที่ต้องห้ามในการนำเข้ามา ในราชอาณาจักร (ฉบับที่ 2) พ.ศ. .... | พณ | 28/08/2555 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดให้ตัวถังของรถยนต์นั่งที่ใช้แล้วและโครงรถจักรยานยนต์ที่ใช้แล้ว เป็นสินค้าที่ต้องห้ามในการนำเข้ามาในราชอาณาจักร (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ แก้ไขบทนิยามคำว่า “ตัวถังของรถยนต์นั่งที่ใช้แล้ว” ในข้อ ๓ วรรคสาม ของประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดให้ตัวถังของรถยนต์นั่งที่ใช้แล้ว และโครงรถจักรยานยนต์ที่ใช้แล้ว เป็นสินค้าที่ต้องห้ามในการนำเข้ามาในราชอาณาจักร พ.ศ. ๒๕๕๕ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ โดยให้แก้ไขเพิ่มเติมบทนิยามคำว่า “ตัวถังของรถยนต์นั่งที่ใช้แล้ว” หมายความรวมถึงแชสชีส์หรือแค้ปของรถยนต์นั่งที่ใช้แล้วที่มีสภาพสมบูรณ์ โดยไม่ได้ตัดแยกออกเป็นชิ้นส่วน ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงคมนาคม และกระทรวงการคลังไปหารือร่วมกันเพื่อกำหนดมาตรการป้องกันการนำชิ้นส่วนและโครงรถยนต์ที่ใช้แล้วมาประกอบหรือดัดแปลงเป็นรถยนต์ใหม่ รวมทั้งกำหนดระยะเวลาการระงับจดทะเบียนรถยนต์ดังกล่าว โดยให้ยึดหลักการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๗ ธันวาคม ๒๕๕๔ (เรื่อง ปัญหาการนำชิ้นส่วนและโครงรถยนต์ที่ใช้แล้วเข้ามาประกอบในประเทศ) แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
| 30210 | แต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา (จำนวน 3 คน 1. นายบัวเรียน อโรคยนันท์ ฯลฯ) | ศธ | 28/08/2555 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา จำนวน ๓ คน ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการเสนอ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๒๘ สิงหาคม ๒๕๕๕) เป็นต้นไป ดังนี้
๑. นายบัวเรียน อโรคยนันท์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านสวัสดิการสังคม ๒. นายถวิล น้อยเขียว กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านบริหารธุรกิจ ๓. ผู้ช่วยศาสตราจารย์ชวลิต สันถวะโกมล กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านกฎหมาย
|
||||||||||||||||||||||||
| 30211 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (นายวีระพงษ์ แพสุวรรณ) | วท | 28/08/2555 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นายวีระพงษ์ แพสุวรรณ ข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๕ เพื่อทดแทนผู้เกษียณอายุราชการ ตามที่กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||
| 30212 | การแต่งตั้งผู้อำนวยการสถาบันคุ้มครองเงินฝาก (นายสรสิทธิ์ สุนทรเกศ) | กค | 28/08/2555 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการแต่งตั้งนายสรสิทธิ์ สุนทรเกศ ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสถาบันคุ้มครองเงินฝาก ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ ๒ กันยายน ๒๕๕๕ เป็นต้นไป
|
||||||||||||||||||||||||
| 30213 | การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการคดีพิเศษ (จำนวน 4 คน 1. นายไกรสร บารมีอวยชัย ฯลฯ) | ยธ | 28/08/2555 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ (๓๐ กรกฎาคม ๒๕๕๕) อนุมัติแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการคดีพิเศษ จำนวน ๙ คน ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ ๗ กันยายน ๒๕๕๕ เป็นต้นไป ดังนี้
๑. นายไกรสร บารมีอวยชัย ผู้ทรงคุณวุฒิด้านกฎหมายและการบริหารงานยุติธรรม ๒. ศาสตราจารย์ (พิเศษ) ชัยเกษม นิติสิริ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านกฎหมายและกระบวนการดำเนินคดีอาญา ๓. นายนรินท์พงศ์ จินาภักดิ์ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านกฎหมายและการคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ ๔. นายประดิษฐ์ เอกมณี ผู้ทรงคุณวุฒิด้านกฎหมายและการพิจารณาพิพากษาคดี ๕. รองศาสตราจารย์ มนตรี โสคติยานุรักษ์ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านเศรษฐศาสตร์และการเงินการธนาคาร ๖. นายมหิดล จันทรางกูร ผู้ทรงคุณวุฒิด้านการเงินการธนาคารและเทคโนโลยีสารสนเทศ ๗. นายเรวัต วิศรุตเวช ผู้ทรงคุณวุฒิด้านการแพทย์และการสาธารณสุข ๘. พลตำรวจโท สุชาติ เหมือนแก้ว ผู้ทรงคุณวุฒิด้านกระบวนการสืบสวนสอบสวนคดีอาญา ๙. นายอนุพร อรุณรัตน์ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านกฎหมายและธุรกิจการค้าระหว่างประเทศ ต่อมาคณะรัฐมนตรีมีมติ (๒๘ สิงหาคม ๒๕๕๕) อนุมัติตามที่กระทรวงยุติธรรมขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าว โดยให้แก้ไขเพิ่มเติมการกำหนดตัวบุคคลเฉพาะที่ทรงคุณวุฒิในด้านเศรษฐศาสตร์ การเงินการธนาคาร เทคโนโลยีสารสนเทศ และกฎหมาย จำนวน ๔ คน นอกนั้นให้คงเดิม โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ ๗ กันยายน ๒๕๕๕ เป็นต้นไป ดังนี้ ๑. นายไกรสร บารมีอวยชัย ผู้ทรงคุณวุฒิด้านกฎหมาย ๒. ศาสตราจารย์ (พิเศษ) ชัยเกษม นิติสิริ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านการเงินการธนาคาร ๓. รองศาสตราจารย์ มนตรี โสคติยานุรักษ์ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านเศรษฐศาสตร์ ๔. นายมหิดล จันทรางกูร ผู้ทรงคุณวุฒิด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ
|
||||||||||||||||||||||||
| 30214 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (จำนวน 6 คน 1. นายรังสรรค์ ศรีวรศาสตร์ ฯลฯ) | กค | 28/08/2555 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือน สังกัดกระทรวงการคลัง ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน ๖ ราย ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๕ เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้
๑. นายรังสรรค์ ศรีวรศาสตร์ ให้ดำรงตำแหน่งรองปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ๒. นายจักรกฤศฏิ์ พาราพันธกุล ให้ดำรงตำแหน่งรองปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ๓. นางเบญจา หลุยเจริญ ให้ดำรงตำแหน่งอธิบดี กรมศุลกากร ๔. นายสมชาย พูลสวัสดิ์ ให้ดำรงตำแหน่ง อธิบดี กรมสรรพสามิต ๕. นายมนัส แจ่มเวหา ให้ดำรงตำแหน่งอธิบดี กรมบัญชีกลาง ๖. นางสาวจุฬารัตน์ สุธีธร ให้ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการ สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ
|
||||||||||||||||||||||||
| 30215 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (นายณรงค์ สหเมธาพัฒน์) | สธ | 28/08/2555 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นายณรงค์ สหเมธาพัฒน์ ข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงสาธารณสุข ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๕ เพื่อทดแทนผู้เกษียณอายุราชการ ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||
| 30216 | การจัดทำความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรโมร็อกโกว่าด้วยการยกเว้นการตรวจลงตราสำหรับผู้ถือหนังสือเดินทางทูต หนังสือเดินทางราชการ และหนังสือเดินทางพิเศษ | กต | 28/08/2555 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้
๑. ยืนยันมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๖ กันยายน ๒๕๔๘ ที่อนุมัติการจัดทำความตกลงยกเว้นการตรวจลงตราสำหรับผู้ถือหนังสือเดินทางทูต หนังสือเดินทางราชการ และหนังสือเดินทางพิเศษระหว่างไทยกับโมร็อกโก โดยร่างความตกลงฯ มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นกลไกในการส่งเสริมความร่วมมือและกระชับความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างกัน และสนับสนุนการแลกเปลี่ยนการเยือนที่สม่ำเสมอ ทั้งนี้ คนชาติไทยและโมร็อกโกซึ่งถือหนังสือเดินทางทูตหรือหนังสือเดินทางราชการสามารถเดินทางเข้าไปยังประเทศของอีกฝ่ายหนึ่ง และพำนักอยู่ได้ไม่เกิน ๙๐ วัน โดยไม่ต้องขอรับการตรวจลงตรา และทั้งสองฝ่ายสามารถระงับการปฏิบัติตามบางส่วนหรือทั้งหมดของความตกลงฯ ได้ หากมีเหตุจำเป็นด้านความมั่นคง หรือความปลอดภัยของประชาชนโดยต้องแจ้งให้อีกฝ่ายทราบเป็นลายลักษณ์อักษร ความตกลงฯ จะเริ่มมีผลบังคับใช้ในหกสิบวันนับจากวันที่ลงนาม และทั้งสองฝ่ายสามารถขอยกเลิกความตกลงฯ ได้โดยการแจ้งให้อีกฝ่ายหนึ่งทราบเป็นลายลักษณ์อักษรโดยผ่านช่องทางการทูต ๒. หากก่อนการลงนามมีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขร่างความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรโมร็อกโกว่าด้วยการยกเว้นการตรวจลงตราสำหรับผู้ถือหนังสือเดินทางทูต หนังสือเดินทางราชการ และหนังสือเดินทางพิเศษ ในส่วนที่มิใช่สาระสำคัญ โดยถ้อยคำดังกล่าวสอดคล้องกับผลประโยชน์และนโยบายของประเทศไทย ให้กระทรวงการต่างประเทศพิจารณาดำเนินการได้โดยไม่ต้องขอความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีอีกครั้ง |
||||||||||||||||||||||||
| 30217 | ขออนุมัติกู้เงินโดยการออกพันธบัตรเพื่อการลงทุน สำหรับโครงการงบลงทุน จำนวน 9 โครงการ | มท | 28/08/2555 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ โดย ๑.๑ ให้การประปาส่วนภูมิภาคกู้เงินโดยการออกพันธบัตรเพื่อการลงทุน สำหรับโครงการงบลงทุน (โครงการต่อเนื่อง) จำนวน ๙ โครงการ วงเงินรวมทั้งสิ้น ๘๕๐ ล้านบาท ได้แก่ ๑.๑.๑ โครงการก่อสร้างปรับปรุงขยายประปาขอนแก่น (ระยะที่ ๓) จังหวัดขอนแก่น วงเงิน ๑๘๗.๓๔๘ ล้านบาท ๑.๑.๒ โครงการก่อสร้างปรับปรุงขยายประปาอุดรธานี (ระยะที่ ๒) จังหวัดอุดรธานี วงเงิน ๒๐๓.๘๖๐ ล้านบาท ๑.๑.๓ โครงการก่อสร้างปรับปรุงขยายประปาฉะเชิงเทรา (หน่วยบริการเทพราช) จังหวัดฉะเชิงเทรา วงเงิน ๑๑๔.๔๔๙ ล้านบาท ๑.๑.๔ โครงการก่อสร้างปรับปรุงขยายประปาโชคชัย อำเภอโชคชัย จังหวัดนครราชสีมา วงเงิน ๔๔.๔๐๒ ล้านบาท ๑.๑.๕ โครงการก่อสร้างปรับปรุงขยายประปาปากท่อ อำเภอปากท่อ-เขาย้อย จังหวัดราชบุรี-เพชรบุรี วงเงิน ๔๕.๙๔๑ ล้านบาท ๑.๑.๖ โครงการก่อสร้างปรับปรุงขยายประปาปราจีนบุรี อำเภอเมือง, ประจันตคาม, ศรีมหาโพธิ์ จังหวัดปราจีนบุรี วงเงิน ๘๒.๐๐๐ ล้านบาท ๑.๑.๗ โครงการก่อสร้างปรับปรุงขยายประปาอรัญประเทศ อำเภออรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว วงเงิน ๔๐.๐๐๐ ล้านบาท ๑.๑.๘ โครงการก่อสร้างปรับปรุงขยายประปาร้อยเอ็ด อำเภอเมือง จังหวัดร้อยเอ็ด วงเงิน ๖๕.๐๐๐ ล้านบาท ๑.๑.๙ โครงการก่อสร้างปรับปรุงขยายประปาบุรีรัมย์ อำเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์ วงเงิน ๖๗.๐๐๐ ล้านบาท ๑.๒ ให้กระทรวงการคลังค้ำประกันเงินกู้ รวมทั้งเป็นผู้พิจารณาวิธีการกู้เงิน เงื่อนไขและรายละเอียดต่าง ๆ ของการกู้เงินตามความเหมาะสมและจำเป็น ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้ กปภ. เร่งหาทางแก้ไขปัญหาระบบส่งจ่ายน้ำซึ่งได้รับความเสียหายจากอุทกภัยที่เกิดขึ้นเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ส่งผลให้อัตราน้ำสูญเสียของ กปภ. เพิ่มขึ้นสูง และเร่งดำเนินโครงการให้เป็นไปตามแผนที่วางไว้ โดยคำนึงถึงแผนป้องกันผลกระทบจากภัยธรรมชาติที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต รวมทั้งเร่งรัดการลงทุนโครงการให้แล้วเสร็จตามเป้าหมายโดยเร็ว เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของระบบประปาให้สามารถบริการน้ำประปาแก่ประชาชนได้อย่างเพียงพอและทั่วถึงเพิ่มขึ้น ไปประกอบการพิจารณาดำเนินการต่อไป ๓. รับทราบตามที่รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ) เสนอ ทั้งนี้ หากสหกรณ์ใดประสงค์ที่จะซื้อพันธบัตรจากโครงการดังกล่าว ให้ประสานกับกระทรวงมหาดไทย (การประปาส่วนภูมิภาค) เพื่อดำเนินการต่อไป โดยอัตราดอกเบี้ยให้เป็นไปตามกลไกตลาด |
||||||||||||||||||||||||
| 30218 | การขอความเห็นชอบร่างความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลยูเครน ว่าด้วยความร่วมมือด้านการป้องกันประเทศ (Agreement between the Government of the Kingdom of Thailand and the Government of Ukraine on Co-operation in the Field of Defence) | กห | 28/08/2555 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ให้กระทรวงกลาโหมจัดทำความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลยูเครน ว่าด้วยความร่วมมือด้านการป้องกันประเทศ (Agreement between the Government of the Kingdom of Thailand and the Government of Ukraine on Co-operation in the Field of Defence) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสถาปนาความร่วมมือด้านการทหาร ซึ่งจะนำไปสู่การยกระดับความร่วมมือด้านความมั่นคงและเสริมสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างกองทัพของทั้งสองประเทศในอนาคต โดยมีสาขาความร่วมมือต่าง ๆ ได้แก่ การจัดให้มีการหารือด้านนโยบาย และยุทธศาสตร์ด้านการป้องกันประเทศ การส่งกำลังบำรุงและสิ่งอุปกรณ์ อุตสาหกรรมป้องกันประเทศ อาวุธและยุทโธปกรณ์ เทคโนโลยี การวิจัย และพัฒนาทางวิทยาศาสตร์ การปฏิรูปกองทัพ และการบริหารทรัพยากรบุคคล การปฏิบัติการเพื่อสันติภาพ และมนุษยธรรม การบริการทางการแพทย์ทหาร การแลกเปลี่ยนการเยือนของกำลังพล ประวัติศาสตร์ กีฬา และดุริยางค์ทหาร ๑.๒ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมเป็นผู้ลงนามฝ่ายไทยในร่างความตกลงฯ ๑.๓ หากมีความจำเป็นที่จะต้องเปลี่ยนแปลงรายละเอียดของร่างความตกลงฯ โดยไม่ส่งผลกระทบต่อสาระสำคัญของร่างความตกลงฯ ให้กระทรวงกลาโหมพิจารณาดำเนินการได้ตามความเหมาะสม ๒. ให้กระทรวงกลาโหมรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศและสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเกี่ยวกับภาษาและถ้อยคำของร่างความตกลงฯ ฉบับภาษาอังกฤษ อาทิ ข้อ ๑ ย่อหน้าที่ ๑ บรรทัดที่ ๑ เห็นควรเพิ่มคำว่า “shall” หน้าคำว่า “develop” และข้อ ๒ ย่อหน้าที่ ๑ บรรทัดที่ ๑ อาจพิจารณาเพิ่ม “are” หลังคำว่า “the Parties” บรรทัดที่ ๒ และ ๔ อาจพิจารณาเปลี่ยนคำว่า “the Ukrainian Party” และ “the Thai Party” เป็น “the Government of Ukraine” และ “the Government of the Kingdom of Thailand” ตามลำดับ เป็นต้น นอกจากนี้ เนื้อหาของร่างความตกลงฯ ฉบับภาษาอังกฤษและฉบับภาษาไทยที่ยังมีความแตกต่างกันในบางประการ เช่น ร่างข้อ ๓ วรรคสาม ความในฉบับภาษาอังกฤษกำหนดว่า “Neither Party without written consent shall sell and/or provide to third party …” ในขณะที่ความในฉบับภาษาไทยกำหนดเพียงว่า “คู่ภาคีใดคู่ภาคีหนึ่งจะต้องไม่ขาย และ/หรือ จัดหา ...” โดยไม่มีเงื่อนไขว่า “หากไม่ได้รับความยินยอมเป็นลายลักษณ์อักษรจากอีกฝ่ายหนึ่ง” ตามฉบับภาษาอังกฤษ และร่างข้อ ๑๐ ความในฉบับภาษาอังกฤษกำหนดคำว่า “in duplicate in the Thai, Ukrainian, and English languages” ในขณะที่ความในฉบับภาษาไทยกำหนดว่า “จำนวน ๒ ฉบับ” ซึ่งอาจก่อให้เกิดความสับสนว่ามีการจัดทำความตกลงฯ จำนวนเท่าใด จึงควรแก้ไขถ้อยคำในฉบับภาษาไทยเพื่อความเข้าใจที่ถูกต้องว่า “ความตกลงนี้ได้จัดทำเป็นคู่ฉบับทั้งในฉบับภาษาไทย ภาษายูเครน และภาษาอังกฤษ” ไปดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||||||||
| 30219 | แผนยุทธศาสตร์เตรียมความพร้อม ป้องกัน และแก้ไขปัญหาโรคติดต่ออุบัติใหม่แห่งชาติ (พ.ศ. 2556-2559) | สธ | 28/08/2555 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบแผนยุทธศาสตร์เตรียมความพร้อม ป้องกัน และแก้ไขปัญหาโรคติดต่ออุบัติใหม่แห่งชาติ (พ.ศ. ๒๕๕๖-๒๕๕๙) และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำแผนยุทธศาสตร์ฯ ไปสู่การปฏิบัติต่อไป ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ ทั้งนี้ แผนยุทธศาสตร์ฯ มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อลดการป่วย การตาย และลดผลกระทบทางเศรษฐกิจ สังคมและสิ่งแวดล้อม อันเนื่องมาจากการระบาดของโรคติดต่ออุบัติใหม่ ซึ่งประกอบด้วย ๕ ยุทธศาสตร์ ๒๕ กลยุทธ์ ๑๖๐ มาตรการ ดังนี้ ๑.๑ ยุทธศาสตร์ที่ ๑ พัฒนาระบบเฝ้าระวัง ป้องกัน รักษา และควบคุมโรคภายใต้แนวคิดสุขภาพหนึ่งเดียว ประกอบด้วย ๕ กลยุทธ์ ๔๒ มาตรการ ๑.๒ ยุทธศาสตร์ที่ ๒ การจัดการระบบการเลี้ยง และสุขภาพสัตว์และสัตว์ป่า ให้ปลอดโรค ประกอบด้วย ๘ กลยุทธ์ ๓๔ มาตรการ ๑.๓ ยุทธศาสตร์ที่ ๓ พัฒนาระบบจัดการความรู้ และส่งเสริมการวิจัยพัฒนา ประกอบด้วย ๓ กลยุทธ์ ๒๐ มาตรการ ๑.๔ ยุทธศาสตร์ที่ ๔ พัฒนาระบบบริหารจัดการเชิงบูรณาการและเตรียมความพร้อมตอบโต้ภาวะฉุกเฉิน ประกอบด้วย ๔ กลยุทธ์ ๓๖ มาตรการ ๑.๕ ยุทธศาสตร์ที่ ๕ การสื่อสาร และประชาสัมพันธ์ความเสี่ยงของโรคติดต่ออุบัติใหม่ ประกอบด้วย ๕ กลยุทธ์ ๒๘ มาตรการ ๒. ให้กระทรวงสาธารณสุขจัดทำแผนยุทธศาสตร์ฯ ให้สอดคล้องกับแผนการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ และรูปแบบการบริหารจัดการแบบ Single Command โดยคำนึงถึงการใช้ทรัพยากรร่วมกัน เพื่อไม่ให้เกิดภาระงบประมาณในภาพรวมอย่างต่อเนื่อง ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๓. ให้กระทรวงสาธารณสุขรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับการเร่งจัดทำกรอบเวลาในการดำเนินการและงบประมาณให้มีความชัดเจนเพื่อเป็นการผลักดันให้แผนยุทธศาสตร์ฯ สามารถดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพ การกำหนดมาตรการป้องกัน และแก้ไขปัญหาโรคติดต่ออุบัติใหม่แห่งชาติ ตามแนวชายแดนเพื่อมิให้มีการนำโรคติดต่อมาจากประเทศเพื่อนบ้าน การพิจารณาความเชื่อมโยงระหว่างรายละเอียดของแต่ละยุทธศาสตร์เพื่อให้แผนยุทธศาสตร์ฯ มีความเข้มแข็งขึ้น การระบุความเสี่ยงของการเกิดโรคอุบัติใหม่ในแต่ละพื้นที่ เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้เตรียมการและกำหนดมาตรการป้องกันได้อย่างทันท่วงที การสร้างเครือข่ายการพัฒนาความร่วมมือระหว่างประเทศเพื่อเป็นการป้องกันโรคติดต่อจากภายนอกเข้ามาสู่ในประเทศ การกำหนดตัวชี้วัดในแต่ละยุทธศาสตร์โดยระบุค่าเป้าหมายและระดับความสำเร็จที่มุ่งหวังให้ชัดเจน และกำหนดตัวชี้วัดร่วมในการดำเนินงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อเป็นการกำหนดระดับผลสัมฤทธิ์และก่อให้เกิดการบูรณาการการดำเนินงานอย่างแท้จริง รวมทั้งควรเน้นให้ความสำคัญกับการสนับสนุนการจัดทำแผนประคองกิจการ (Bussiness Continuity Plan : BCP) ในหน่วยงานต่าง ๆ เพื่อให้แต่ละหน่วยงานมีแผนเตรียมความพร้อมและแนวทางการเผชิญเหตุที่เหมาะสม ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||||||||
| 30220 | ร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมพระราชกำหนดนิติบุคคลเฉพาะกิจเพื่อการแปลงสินทรัพย์เป็นหลักทรัพย์ พ.ศ. 2540 พ.ศ. .... | กค | 28/08/2555 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบตามที่เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอว่า ร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมพระราชกำหนดนิติบุคคลเฉพาะกิจเพื่อการแปลงสินทรัพย์เป็นหลักทรัพย์ พ.ศ. ๒๕๔๐ พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ได้แก้ไขเพิ่มเติมสาระสำคัญแตกต่างจากร่างพระราชบัญญัติฯ ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาหลายประการ โดยมีประเด็นข้อกฎหมายที่สำคัญที่ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ จึงขอรับร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวไปตรวจพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง และให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีการับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้ธนาคารแห่งประเทศไทย สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ กระทรวงการคลัง สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องร่วมกันพิจารณาหลักเกณฑ์การกำหนดประเภทธุรกิจและประเภทสินทรัพย์ ตลอดจนเกณฑ์ในการกำกับดูแล ที่คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์จะประกาศกำหนด ภายใต้ร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมพระราชกำหนดนิติบุคคลเฉพาะกิจเพื่อการแปลงสินทรัพย์เป็นหลักทรัพย์ พ.ศ. ๒๕๔๐ พ.ศ. .... โดยเฉพาะการแปลงสินทรัพย์เป็นหลักทรัพย์ที่เป็นการทำธุรกรรมที่ซับซ้อน การทำธุรกรรมไขว้ และการโอนสินทรัพย์เป็นทอด ๆ และในระยะต่อไปหากมีการปรับปรุงกฎหมายที่เกี่ยวข้องอย่างครบถ้วนแล้ว เห็นควรให้สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ศึกษาเพิ่มเติมถึงความเหมาะสมของการแปลงสินทรัพย์เป็นหลักทรัพย์ประเภทต่าง ๆ เช่น การแปลงสินทรัพย์ที่เคลื่อนที่ได้ (Movable asset) เป็นต้น เพื่อให้ภาคธุรกิจมีแหล่งสนับสนุนเงินทุนเพิ่มขึ้น อีกทั้งยังเป็นการพัฒนาตราสารทางการเงินประเภทใหม่ตามแผนพัฒนาตลาดทุนไทย ไปประกอบการตรวจพิจารณาด้วย แล้วให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
.....
