ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 130 จากทั้งหมด 6200 หน้า แสดงรายการที่ 2581 - 2600 จากข้อมูลทั้งหมด 123994 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
2581 | กรอบเจรจาการประชุมคณะกรรมการร่วมระหว่างรัฐว่าด้วยทรัพย์สินทางปัญญา ทรัพยากรพันธุกรรม ภูมิปัญญาท้องถิ่น และการแสดงออกทางวัฒนธรรมดั้งเดิม (WIPO IGC) ด้านทรัพยากรพันธุกรรม ภายใต้กรอบองค์การทรัพย์สินทางปัญญาโลก | พณ. | 07/05/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบกรอบเจรจาการประชุมคณะกรรมการร่วมระหว่างรัฐว่าด้วยทรัพย์สินทางปัญญา
ทรัพยากรพันธุกรรม ภูมิปัญญาท้องถิ่น และการแสดงออกทางวัฒนธรรมดั้งเดิม [WIPO (World Intellectual Property Organization) Intergovernmental Committee on Intellectual Property and Genetic Resources,
Traditional knowledge and Folklore (WIPO IGC)] ด้านทรัพยากรพันธุกรรม (Genetic Resources) ที่ปรับปรุงใหม่เพื่อให้คณะผู้แทนไทยใช้เป็นพื้นฐานในการประชุมเจรจา
WIPO IGC ด้านทรัพยากรพันธุกรรม จนกว่าจะสรุปผลการเจรจา WIPO
IGC ด้านทรัพยากรพันธุกรรมได้
หรือจนกว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงสาระสำคัญของการเจรจาอย่างมีนัยสำคัญ และหากในการประชุมเจรจา
WIPO IGC ด้านทรัพยากรพันธุกรรมมีการเจรจาในประเด็นอื่น ๆ
ที่นอกเหนือจากที่ได้ระบุไว้ในร่างกรอบเจรจาฯ ที่ปรับปรุงใหม่
และหากประเด็นดังกล่าวมีความสอดคล้องกับกฎหมายภายในประเทศหรือไม่ขัดกับผลประโยชน์ของไทย
รวมถึงหากมีการลดประเด็นในกรอบเจรจาข้างต้น
ในกรณีที่คณะเจรจาเห็นสมควรเพื่อให้สามารถสรุปผลการเจรจาได้และได้รับประโยชน์จากการดำเนินการตามความตกลงหรือตราสารโดยเร็ว
รวมทั้งไม่ขัดกับผลประโชน์ของไทย ให้กระทรวงพาณิชย์สามารถดำเนินการได้โดยไม่ต้องเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีก
โดยกรอบเจรจาฯ มีประเด็นที่แตกต่างจากกรอบเจรจาฯ เดิม หลายประเด็น เช่น
การตัดประเด็นการได้รับความยินยอมจากบุคคล ชุมชน ชาติ
หรือผู้เป็นเจ้าของทรัพยากรพันธุกรรม
และการจัดทำเงื่อนไขให้มีการแบ่งปันผลประโยชน์จากการใช้ทรัพยากรพันธุกรรม
รวมถึงมีการเพิ่มเติมประเด็นที่อยู่นอกเหนือกรอบเจรจาฯ ได้แก่
ประเด็นการส่งเสริมให้มีการจัดทำระบบฐานข้อมูลและข้อบททางบริหารและข้อบทสุดท้าย (Administrative Provisions and Final Clauses) ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ
และให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น ในการประชุมเจรจาฯ
หากมีประเด็นเพิ่มเติมที่ไม่ได้ระบุไว้ในร่างกรอบเจรจาฯ ที่ปรับปรุงใหม่
และเป็นประเด็นที่จะเกิดประโยชน์ต่อประเทศไทย โดยเฉพาะด้านวิทยาศาสตร์
วิจัยและนวัตกรรม ที่ไม่ขัดต่อกฎหมาย กฎระเบียบ และผลประโยชน์ของประเทศ
มีความเห็นให้คณะเจรจาสนับสนุนประเด็นดังกล่าว หากไม่มีประเด็นที่ต้องพิจารณาเกี่ยวกับการเป็นหนังสือสัญญาตามมาตรา
๑๗๘ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และเป็นเรื่องในทางนโยบายซึ่งเป็นอำนาจของคณะรัฐมนตรีที่จะพิจารณาได้ตามความเหมาะสม
เห็นควรนำเรื่องนี้เสนอคณะรัฐมนตรี ควรมีหน่วยงานเจ้าภาพที่จะประสานการดำเนินงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
เพื่อให้ประเทศไทยมีความพร้อมในการดำเนินการได้ตามประเด็นใหม่ที่มีการเพิ่มเติมภายใต้กรอบเจรจาดังกล่าว
เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2582 | การจัดตั้งศูนย์บริการค้าชายแดนเบ็ดเสร็จ (One Stop Service) | นร. | 07/05/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่
๒๑ พฤศจิกายน ๒๕๖๖ มอบหมายให้กระทรวงการคลัง (กรมศุลกากร) เป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการปรับปรุงพัฒนาระบบ National Single Window เพื่อให้สามารถให้บริการผ่านระบบดังกล่าวได้อย่างเต็มศักยภาพและเบ็ดเสร็จ
ณ จุดเดียว (One Stop Service) และให้นำกรณีการส่งออกสินค้าผ่านแดน
ณ ด่านศุลกากรหนองคาย
เป็นโครงการนำร่องเพื่อดำเนินการให้บรรลุผลตามแนวทางข้างต้นโดยเร็วก่อนเป็นลำดับแรก
แล้วจึงให้ขยายผลการดำเนินการไปยังด่านศุลกากรแห่งอื่น ๆ ต่อไป และต่อมาได้มีมติเมื่อวันที่
๒ มกราคม ๒๕๖๗ ให้กระทรวงการคลัง (กรมศุลกากร) เร่งรัดการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๑ พฤศจิกายน ๒๕๖๖ ให้แล้วเสร็จและครบวงจร
โดยให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ความร่วมมือและดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องโดยเร็วด้วย
นั้น
เพื่อให้การขับเคลื่อนการดำเนินการในเรื่องดังกล่าวบรรลุผลเป็นรูปธรรมตามกรอบเวลาที่กำหนด
จึงขอให้กระทรวงการคลังร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงอุตสาหกรรม
กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงพาณิชย์
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งวางแผนและดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง
โดยให้คณะอนุกรรมการยกระดับศักยภาพและการอำนวยความสะดวกของชายแดน และระบบขนส่ง/โลจิสติกส์
ที่มีรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง (นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์)
เป็นประธานอนุกรรมการ เป็นกลไกเร่งรัด กำกับ ติดตามการดำเนินการต่าง ๆ
ในภาพรวมเพื่อให้การจัดตั้งศูนย์บริการค้าชายแดนเบ็ดเสร็จ (One Stop
Service) ที่ให้บริการประชาชนและผู้ประกอบการส่งออกและนำเข้าสินค้าในรูปแบบ
Single Submission ณ ด่านศุลกากรหนองคาย
แล้วเสร็จโดยเร็วเป็นแห่งแรก โดยให้สามารถเริ่มทดลองใช้ระบบได้ภายในวันที่ ๑
กันยายน ๒๕๖๗ และสามารถใช้ระบบอย่างเต็มรูปแบบได้ภายในวันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๖๗
ตามลำดับ หลังจากนั้นจึงให้พิจารณาขยายการดำเนินการไปสู่ด่านศุลกากรแห่งอื่น ๆ ที่มีความพร้อมต่อไป
ทั้งนี้ การดำเนินการในส่วนของด่านศุลกากรแห่งอื่น ๆ ดังกล่าว ให้คณะอนุกรรมการฯ สามารถพิจารณาให้มีการดำเนินการต่าง
ๆ คู่ขนานไปกับการดำเนินการ ณ ด่านศุลกากรหนองคายได้ตามความจำเป็นเหมาะสมตามแต่กรณี
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2583 | ข้อเสนอแนะเพื่อป้องกันการทุจริตเกี่ยวกับนโยบายรัฐบาล กรณีการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet | กค. | 07/05/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๗ และวันที่ ๙ เมษายน ๒๕๖๗ (เรื่อง
ข้อเสนอแนะเพื่อป้องกันการทุจริตเกี่ยวกับนโยบายรัฐบาล กรณีการเติมเงิน ๑๐,๐๐๐ บาท ผ่าน Digital Wallet) ตามที่คณะกรรมการนโยบายโครงการเติมเงิน ๑๐,๐๐๐ บาท
ผ่าน Digital wallet เสนอ
และแจ้งให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติทราบต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2584 | ขอความเห็นชอบการดำเนินงานโครงการศูนย์การเรียนสำหรับเด็กในโรงพยาบาล | ศธ. | 07/05/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. เห็นชอบในหลักการให้กระทรวงศึกษาธิการดำเนินโครงการศูนย์การเรียนสำหรับเด็กในโรงพยาบาลต่อเนื่องเป็นประจำทุกปี
โดยค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๗ สำนักงบประมาณได้จัดเตรียมงบประมาณรองรับการดำเนินโครงการศูนย์การเรียนฯ
ไว้แล้ว สำหรับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในปีต่อ ๆ ไป
เห็นควรให้สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ
เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นของภารกิจอย่างเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป
โดยพิจารณานำเงินนอกงบประมาณ
รวมถึงรายได้หรือเงินอื่นใดที่หน่วยงานที่ดำเนินการร่วมกันมีอยู่
หรือสามารถนำมาใช้จ่ายได้มาสมทบค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานดังกล่าว
เพื่อให้การใช้จ่ายงบประมาณเกิดประสิทธิภาพและประโยชน์สูงสุด ทั้งนี้
เห็นควรให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องสร้างการรับรู้ ความเข้าใจ
และประโยชน์ที่จะได้รับให้กับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในโอกาสแรก
ตลอดจนติดตามประเมินผลสัมฤทธิ์และรายงานผลการดำเนินงานดังกล่าว
ตามนัยแห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ ต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒.
ให้กระทรวงศึกษาธิการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นและข้อเสนอแนะของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กระทรวงมหาดไทย
กระทรวงสาธารณสุข และสำนักงาน ก.พ. เช่น ควรมีการรายงาน ติดตาม และประเมินผลการดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง
ควรจัดครูไปประจำศูนย์การเรียนฯ ในจำนวนที่เหมาะสม
ควรให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและชุมชนมีส่วนร่วม ส่งเสริม
และสนับสนุนการจัดการศึกษาของโครงการศูนย์การเรียนฯ
ควรส่งเสริมและสนับสนุนให้เกิดการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ระหว่างครูประจำศูนย์การเรียนฯ
และครูในสถานศึกษาสังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น รวมทั้งควรได้รับการสนับสนุนงบประมาณอย่างต่อเนื่อง
และควรจ้างครูผู้สอนประจำศูนย์การเรียนฯ
ให้สอดคล้องกับจำนวนของเด็กเจ็บป่วยที่เข้ารับการบริการในแต่ละปี เป็นต้น
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2585 | มาตรการลดภาระค่าใช้จ่ายด้านพลังงานให้แก่ประชาชน | พน. | 07/05/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.เห็นชอบมาตรการลดภาระค่าใช้จ่ายด้านพลังงานให้แก่ประชาชน
เป็นมาตรการต่อเนื่องจากมาตรการด้านน้ำมันเชื้อเพลิง ที่ดำเนินการในช่วงเดือนมกราคม
ถึงเดือนมีนาคม ๒๕๖๗ และมาตรการด้านไฟฟ้า ที่ดำเนินการในช่วงเดือนมกราคม ถึงเดือนมีนาคม
๒๕๖๗
เพื่อบรรเทาผลกระทบต่อภาระค่าครองชีพของประชาชนและการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของประเทศ ได้แก่
๑) มาตรการลดภาระค่าใช้จ่ายด้านน้ำมันเชื้อเพลิง โดยตรึงราคาน้ำมันดีเซลไม่เกิน ๓๓
บาทต่อลิตร ตั้งแต่วันที่ ๒๐ เมษายน ๒๕๖๗
ถึงวันที่ ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๖๗ และตรึงราคาขายปลีก LPG ที่ระดับ ๔๒๓ บาทต่อถังขนาด ๑๕ กิโลกรัม ตั้งแต่วันที่ ๑ เมษายน
๒๕๖๗ ถึงวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๖๗ และ ๒) มาตรการด้านไฟฟ้า ให้ส่วนลดค่าไฟฟ้า
(ก่อนการคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่ม) แก่ผู้ใช้ไฟฟ้าบ้านอยู่อาศัยที่ใช้ไฟฟ้าไม่เกิน ๓๐๐
หน่วยต่อเดือน จำนวน ๑๙.๐๕ สตางค์ต่อหน่วย ตั้งแต่พฤษภาคม-สิงหาคม ๒๕๖๗ ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ
สำหรับค่าใช้จ่ายและแหล่งงบประมาณในการดำเนินมาตรการลดภาระค่าใช้จ่ายด้านพลังงานให้แก่ประชาชน
ให้เป็นไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้
ให้กระทรวงพลังงานและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงมหาดไทย
สำนักงบประมาณ และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
รวมทั้งข้อสังเกตของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เช่น เห็นควรพิจารณาดำเนินการให้ความช่วยเหลือตามความจำเป็นและเหมาะสมกับสถานการณ์
รวมทั้งพิจารณาราคาพลังงานให้สะท้อนต้นทุนที่แท้จริงมากขึ้นเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้บริโภคในการใช้พลังงาน
รวมถึงเร่งศึกษาการกำหนดมาตรการระยะยาวเพื่อลดความเสี่ยงและความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นจากการดำเนินการ
เร่งรัดดำเนินการให้ทันต่อสถานการณ์อย่างรอบคอบ โดยคำนึงถึงภาวะเศรษฐกิจ
ความพร้อมและความสามารถทางการเงินของภาครัฐ ปฏิบัติให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ
ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วนทุกขั้นตอน
รวมทั้งเร่งสร้างความรับรู้และความเข้าใจที่ถูกต้องให้กับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง
และให้มีการรายงานผลการดำเนินงานให้คณะรัฐมนตรีทราบเป็นระยะ ๆ เพื่อให้การดำเนินมาตรการดังกล่าวบรรลุผลสัมฤทธิ์และมีความคุ้มค่าอย่างแท้จริง
ตามนัยพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ และโดยที่ในปัจจุบันราคาน้ำมันดิบและก๊าซธรรมชาติซึ่งเป็นวัตถุดิบในการผลิตน้ำมันและไฟฟ้ามีแนวโน้มที่จะคงตัวอยู่ในระดับสูงโดยผลของสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างประเทศในภูมิภาคต่าง
ๆ หาก Subsidize มากเกินไปก็อาจกระทบต่อการเคลื่อนไหวของกลไกตลาด
และอาจทำให้มีการใช้พลังงานโดยไม่คุ้มค่า
สมควรที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะได้ร่วมกันพัฒนาแหล่งพลังงานอื่นเพื่อใช้ทดแทน Fossil
Fuel ด้วย ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2586 | การปราบปรามยาเสพติด | นร. | 07/05/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่
๑๖ ตุลาคม ๒๕๖๖ (เรื่อง การเร่งรัดการป้องกัน ปราบปราม และแก้ไขปัญหายาเสพติด) มอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงานต่าง
ๆ ที่เกี่ยวข้องบูรณาการแผนงาน ประสานงาน ขับเคลื่อน
และติดตามการดำเนินการแก้ไขปัญหายาเสพติดในภาพรวม นั้น
เนื่องจากในปัจจุบันยาเสพติดยังเป็นปัญหาสำคัญที่เป็นภัยคุกคามความสงบสุขและชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน
จึงขอกำชับให้ผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัด
เจ้าหน้าที่ตำรวจร่วมกับหน่วยงานของรัฐและภาคส่วนที่เกี่ยวข้องบูรณาการการดำเนินงานในการปราบปรามและแก้ไขปัญหายาเสพติดอย่างจริงจังเละเด็ดขาด
ให้มีผลการจับกุมผู้กระทำผิดที่ชัดเจนและเป็นรูปธรรมภายใน ๙๐ วัน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในจังหวัดเป้าหมายที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดได้กำหนดเป็นพื้นที่สีแดงที่มีปัญหายาเสพติดรุนแรง
จำนวน ๒๕ จังหวัด
โดยรัฐบาลพร้อมให้การสนับสนุนและให้รางวัลแก่เจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติหน้าที่ได้สำเร็จตามเป้าหมาย
ในขณะเดียวกันก็จะมีบทลงโทษสำหรับเจ้าหน้าที่ที่บกพร่องและละเลยในการปฏิบัติหน้าที่ด้วย
ทั้งนี้
ขอให้สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดติดตามการดำเนินงานในเรื่องนี้อย่างต่อเนื่องและรายงานผลต่อนายกรัฐมนตรีต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2587 | การเร่งรัดการพิจารณาออกใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงาน (ร.ง. 4) | นร. | 07/05/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า ตามที่ได้ขอให้กระทรวงอุตสาหกรรมเร่งรัดติดตามการพิจารณาออกใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงาน
(ร.ง. ๔) ให้รวดเร็วยิ่งขึ้น นั้น ปัจจุบันยังพบว่า กระบวนการพิจารณาออกใบอนุญาตดังกล่าวยังมีความล่าช้าและยังมีคำขอค้างการพิจารณาอยู่เป็นจำนวนมาก
ดังนั้น จึงขอให้กระทรวงอุตสาหกรรมเร่งรัดการพิจารณาออกใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงาน
(ร.ง. ๔) ที่ค้างอยู่ดังกล่าวให้แล้วเสร็จโดยเร็วและให้ผู้ประกอบการได้รับใบอนุญาตดังกล่าวภายใน
๓๐ วัน
รวมทั้งให้พิจารณากำหนดมาตรการเพื่อลดเวลาในกระบวนการพิจารณาออกใบอนุญาตให้ชัดเจนและเหมาะสมมากยิ่งขึ้น
เพื่อให้เกิดความสะดวกและรวดเร็วในการประกอบธุรกิจของเอกชนด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2588 | การแก้ปัญหาภาวะฝนทิ้งช่วง | นร. | 07/05/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า จากการลงพื้นที่เยี่ยมประชาชนในช่วงที่ผ่านมาพบว่า
หลายพื้นที่ประสบภาวะฝนทิ้งช่วงและขาดแคลนน้ำดิบสำหรับการผลิตน้ำประปา จึงขอให้คณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ
กระทรวงมหาดไทย กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องเพื่อแก้ไขปัญหาการขาดแคลนน้ำดังกล่าวโดยด่วน
สำหรับการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า ขอให้กระทรวงมหาดไทยเร่งประสานงานกับกระทรวงกลาโหม
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหน่วยงานทหารในพื้นที่
เพื่อให้ความช่วยเหลือและสนับสนุนการลำเลียงน้ำจากแหล่งอื่นมาใช้ในพื้นที่เพื่อแก้ปัญหาไปพลางก่อน
รวมทั้งขอให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (กรมทรัพยากรน้ำบาดาล) เร่งดำเนินการเจาะน้ำบาดาลในพื้นที่ที่สามารถดำเนินการได้ตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2589 | การส่งเสริมและอำนวยความสะดวกให้แก่นักท่องเที่ยวในช่วงฤดูการท่องเที่ยว (High Season) | นร. | 07/05/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า ตามที่รัฐบาลได้ดำเนินนโยบายส่งเสริมการท่องเที่ยวของประเทศไทย
รวมทั้งได้ทำการประชาสัมพันธ์ผ่านโครงการและการจัดงานเทศกาลต่าง ๆ มาเป็นลำดับ
ซึ่งคาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวเดินทางมาประเทศไทยในช่วงฤดูการท่องเที่ยว (High Season) ในปีนี้เป็นจำนวนมาก
จึงขอมอบหมายให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งพิจารณากำหนดแผนการส่งเสริมและอำนวยความสะดวกให้แก่นักท่องเที่ยวในช่วงฤดูการท่องเที่ยวดังกล่าวให้เหมาะสมและเต็มรูปแบบทั้งในด้านการบริการ
สถานที่ท่องเที่ยว และความปลอดภัย เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวและสร้างความประทับใจในการเดินทางมาประเทศไทยด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2590 | มติสมัชชาเด็กและเยาวชนแห่งชาติ | นร. | 07/05/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า สืบเนื่องจากการเข้าพบของประธานสภาเด็กและเยาวชนแห่งประเทศไทยและคณะเมื่อวันที่
๑ พฤษภาคม ๒๕๖๗ และได้นำเสนอมติสมัชชาเด็กและเยาวชนแห่งชาติ ประจำปี ๒๕๖๖ จำนวน ๖
ประเด็น ได้แก่ ประเด็นเศรษฐกิจ การศึกษา สุขภาพ ความรุนแรง สิ่งแวดล้อม
และการมีส่วนร่วมของเด็กและเยาวชน
ซึ่งถือเป็นปัญหาเร่งด่วนที่รัฐบาลจะต้องรับมาขับเคลื่อน
รวมทั้งเป็นการส่งเสริมการมีส่วนร่วมของเด็กและเยาวชนในการขับเคลื่อนการดำเนินนโยบายของรัฐบาลที่เกี่ยวข้องด้วย
ทั้งนี้ มีประเด็นสำคัญที่จะต้องเร่งดำเนินการหลายเรื่อง เช่น การเฝ้าระวัง
ป้องกัน และช่วยเหลือเด็กและเยาวชนที่ประสบความรุนแรงในสถาบันครอบครัว การป้องกัน การละเมิดและคุกคามเด็กในสถานศึกษา
ดังนั้น จึงขอให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงศึกษาธิการ
กระทรวงยุติธรรม สำนักงานตำรวจแห่งชาติ
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับประเด็นดังกล่าวข้างต้น ไปดำเนินการตามหน้าที่และอำนาจอย่างเคร่งครัดและต่อเนื่อง
รวมทั้งให้บังคับใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้องอย่างเข้มงวดด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2591 | การยกระดับประเทศไทยเป็น Financial Hub ตามวิสัยทัศน์ lgnite Thailand | นร. | 07/05/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า ตามที่ได้ประกาศวิสัยทัศน์ของประเทศไทย
“Ignite Thailand : จุดพลัง รวมใจ ไทยต้องเป็นหนึ่ง”
โดยในส่วนของวิสัยทัศน์ด้านการเงินกำหนดให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางทางการเงิน (Financial
Hub) เพื่อขับเคลื่อนให้ประเทศไทยสามารถแข่งขันได้กับประเทศชั้นนำ
และสามารถจูงใจให้บริษัท/สถาบันการเงิน การธนาคาร การลงทุน
และเทคโนโลยีเข้ามาจัดตั้งสำนักงานในประเทศเพิ่มมากขึ้น ในการนี้
จึงขอมอบหมายให้กระทรวงการคลังร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องศึกษารายละเอียดของแนวทางในการส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็น
Financial Hub ตามวิสัยทัศน์ดังกล่าวให้ชัดเจน ครบถ้วน
แล้วเร่งดำเนินการให้บรรลุผลเป็นรูปธรรมต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2592 | คณะกรรมการต่าง ๆ ที่แต่งตั้งโดยมติคณะรัฐมนตรี (กระทรวงเกษตรและสหกรณ์) | กษ. | 07/05/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแต่งตั้งคณะกรรมการต่าง ๆ
ที่แต่งตั้งโดยมติคณะรัฐมนตรี จำนวน ๙ คณะ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ
(๗ พฤษภาคม ๒๕๖๗) เป็นต้นไป ดังนี้ ๑. คณะกรรมการที่ปรึกษาผู้ทรงคุณวุฒิฝนหลวง ๒. คณะกรรมการนโยบายและพัฒนาสับปะรดแห่งชาติ ๓. คณะกรรมการพัฒนาเกษตรอินทรีย์แห่งชาติ ๔. คณะกรรมการเพื่อขับเคลื่อนตามแนวทางในการป้องกัน
แก้ไขและฟื้นฟูผลกระทบจากโครงการฝายราษีไศล ๕. คณะกรรมการพืชน้ำมันและน้ำมันพืช ๖. คณะกรรมการนโยบายยางธรรมชาติ ๗. คณะกรรมการป้องกันและแก้ไขปัญหาภัยพิบัติด้านการเกษตร ๘. คณะกรรมการแก้ไขปัญหาโครงการฝายหัวนา
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2593 | แต่งตั้งคณะกรรมการปฏิบัติการตามพระราชบัญญัติการค้าข้าว พุทธศักราช 2489 | พณ. | 07/05/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ
โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๗ พฤษภาคม ๒๕๖๗) เป็นต้นไป ดังนี้ ๑.เห็นชอบให้ยกเลิกมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ ๑๓
กุมภาพันธ์ ๒๕๑๖ (เรื่อง การแต่งตั้งคณะกรรมการสำรวจและห้ามกักกันข้าว และคณะกรรมการปฏิบัติการตามพระราชบัญญัติการค้าข้าว
พุทธศักราช ๒๔๘๙) เฉพาะในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการแต่งตั้งคณะกรรมการปฏิบัติการตามพระราชบัญญัติการค้าข้าวพุทธศักราช
๒๔๘๙ และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ ธันวาคม ๒๕๑๘ (เรื่อง
แต่งตั้งกรรมการปฏิบัติการตามพระราชบัญญัติการค้าข้าวพุทธศักราช ๒๔๘๙) ๒.
แต่งตั้งคณะกรรมการปฏิบัติการตามพระราชบัญญัติการค้าข้าว พุทธศักราช ๒๔๘๙ ชุดใหม่
จำนวน ๑๐ ตำแหน่ง ประกอบด้วย ๒.๑
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ประธานกรรมการ ๒.๒
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ รองประธานกรรมการ ๒.๓
ปลัดกระทรวงพาณิชย์ หรือผู้แทน กรรมการ ๒.๔
ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ หรือผู้แทน กรรมการ ๒.๕
อธิบดีกรมการค้าภายใน หรือผู้แทน กรรมการ ๒.๖
อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ หรือผู้แทน กรรมการ ๒.๗
ผู้แทนกรมการปกครอง กรรมการ ๒.๘
ผู้แทนสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กรรมการ ๒.๙
ผู้แทนกรมการข้าว กรรมการ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2594 | การแต่งตั้งข้าราชการการเมือง (1. นายวิชัย ไชยมงคล ฯลฯ จำนวน 4 ราย) | สธ. | 07/05/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแต่งตั้งข้าราชการการเมือง จำนวน ๔ ราย โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ
(๗ พฤษภาคม ๒๕๖๗) เป็นต้นไป ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขเสนอ ดังนี้ ๑. นายวิชัย ไชยมงคล ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ๒. พลเรือโท นิกร เพชรวีระกุล ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข(นายสันติ พร้อมพัฒน์) ๓. นายกิตติกร โล่ห์สุนทร ดำรงตำแหน่งเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2595 | ขออนุมัติให้ความเห็นชอบต่อคณะทำงานฝ่ายไทยของคณะทำงานร่วมระหว่างรัฐบาลไทยและคณะกรรมาธิการยุโรปในการต่อต้านการทำประมงผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม | กษ. | 07/05/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแต่งตั้งคณะทำงานฝ่ายไทยของคณะทำงานร่วมระหว่างรัฐบาลไทยและคณะกรรมาธิการยุโรปในการต่อต้านการทำประมงผิดกฎหมาย
ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ
โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีติ (๗ พฤษภาคม ๒๕๖๗) เป็นต้นไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2596 | การแต่งตั้งคณะกรรมการประเมินผลการดำเนินงานของกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ (1.นายอำนวย โชติสกุล ฯลฯ รวม 7 คน) | พปส. | 23/04/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการประเมินผลการดำเนินงานของกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์
รวม ๗ คน เนื่องจากประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเดิมได้ดำรงตำแหน่งครบวาระสามปี
โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๒๓ เมษายน ๒๕๖๗) เป็นต้นไป ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมเสนอ
ดังนี้ ๑. นายอำนวย โชติสกุล ประธานกรรมการ ๒. นางสาวชูสะอาด กันธรส กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านการเงิน ๓. ผู้ช่วยศาสตราจารย์อัจฉรา ปัณฑรานุวงศ์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านสื่อสารมวลชน ๔. ผู้ช่วยศาสตราจารย์เกษม เพ็ญภินันท์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านศิลปวัฒนธรรม ๕. ศาสตราจารย์สุมาลี วงษ์วิฑิต กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านกฎหมาย ๖. นายบุญเกียรติ การะเวกพันธุ์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านการประเมินผล
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2597 | ผลการประชุมคณะกรรมการร่วมมือรักษาความสงบเรียบร้อยตามชายแดนทั่วไป (General Border Committee: GBC) ไทย-ลาว ครั้งที่ 28 | กห. | 23/04/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมคณะกรรมการร่วมมือรักษาความสงบเรียบร้อยตามชายแดนทั่วไป
(General Border Committee : GBC) ไทย-ลาว ครั้งที่ ๒๘ โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมได้เข้าร่วมการประชุมคณะกรรมการฯ
ระหว่างวันที่ ๒๑-๒๒ ธันวาคม ๒๕๖๖ ณ นครหลวงเวียงจันทน์
สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อพบปะหารือและแลกเปลี่ยนมุมมองด้านความมั่นคงและการทหารเพื่อกระชับความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศให้มีความแน่นแฟ้น
รวมทั้งขยายความร่วมมือให้ครอบคลุมในทุกมิติ โดยมีประเด็นสำคัญ เช่น ทั้งสองฝ่ายได้ร่วมลงนามในความตกลงว่าด้วยความร่วมมือด้านความมั่นคงบริเวณชายแดนไทย-ลาว
ฉบับปี ๒๕๖๖
โดยสนับสนุนให้ทุกกลไกประสานความร่วมมือในการรักษาความสงบเรียบร้อยตามลำแม่น้ำโขง
และการแลกเปลี่ยนการศึกษาโดยฝ่ายไทยรับเป็นเจ้าภาพการแลกเปลี่ยนการศึกษาดูงานสำหรับนายทหารระดับกลาง
สนับสนุนทุนการศึกษาสำหรับฝึกอบรมโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริให้แก่กำลังพลของกองทัพประชาชนลาว
ตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2598 | การแจ้งผลการตรวจสอบรายงานการเงิน สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2565 และการตรวจสอบการประเมินผลการใช้จ่ายเงินและทรัพย์สิน สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2565 ของสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง | ตผ. | 23/04/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการแจ้งผลการตรวจสอบรายงานการเงิน
สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๖๕ และการตรวจสอบการประเมินผลการใช้จ่ายเงินและทรัพย์สิน
สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๖๕ ของสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง โดยมีผลการตรวจสอบ
ดังนี้ ๑) ผลการตรวจสอบรายงานการเงิน สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๖๕
สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินแสดงความเห็นอย่างไม่มีเงื่อนไข
(ไม่พบข้อมูลที่ขัดต่อข้อเท็จจริงอย่างมีสาระสำคัญ) ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งได้เสนอคณะรัฐมนตรีรับทราบด้วยแล้วเมื่อวันที่
๒๕ เมษายน ๒๕๖๖ และ ๒) ผลการตรวจสอบการประเมินผลการใช้จ่ายเงินและทรัพย์สินสำหรับปีสิ้นสุดวันที่
๓๐ กันยายน ๒๕๖๕ เป็นการดำเนินการตามมาตรา ๖๕ วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง
พ.ศ. ๒๕๖๐ ที่บัญญัติให้สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินเป็นผู้สอบบัญชีของสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง
โดยให้ทำการตรวจสอบรับรองบัญชีและการเงินทุกประเภทของสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง
รวมทั้งประเมินผลการใช้จ่ายเงินและทรัพย์สินของสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง
โดยแสดงให้เห็นด้วยว่าการใช้จ่ายดังกล่าวเป็นไปตามวัตถุประสงค์ ประหยัด ได้ผลตามเป้าหมาย
มีประสิทธิภาพ เกิดผลสัมฤทธิ์ และคุ้มค่าเพียงใด แล้วทำรายงานเสนอผลการสอบบัญชีต่อคณะรัฐมนตรีโดยไม่ชักช้า
ตามที่สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2599 | การแจ้งผลการตรวจสอบรายงานการเงิน สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2565 และการตรวจสอบการประเมินผลการใช้จ่ายเงินและทรัพย์สิน สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2565 ของสำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ | ตผ. | 23/04/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการแจ้งผลการตรวจสอบรายงานการเงิน
สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๖๕
และการตรวจสอบการประเมินผลการใช้จ่ายเงินและทรัพย์สิน สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ ๓๐
กันยายน ๒๕๖๕ ของสำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ โดยมีผลการตรวจสอบ ดังนี้
๑) ผลการตรวจสอบรายงานการเงิน สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๖๕ สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินเห็นว่า
ถูกต้องตามที่ควรในสาระสำคัญตามมาตรฐานการบัญชีภาครัฐและนโยบายการบัญชีภาครัฐที่กระทรวงการคลังกำหนด
และได้แสดงความเห็นอย่างไม่มีเงื่อนไข
(ไม่พบข้อมูลที่ขัดต่อข้อเท็จจริงอย่างมีสาระสำคัญ) สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติได้เสนอรายงานการเงินดังกล่าวต่อคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๗ มีนาคม ๒๕๖๖ ทราบด้วยแล้ว และ ๒) ผลการตรวจสอบการประเมินผลการใช้จ่ายเงินและการจัดการทรัพย์สิน
สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๖๕ สรุปได้ ดังนี้ (๑)
การประเมินผลการใช้จ่ายเงิน เช่น การบริหารงบประมาณและการเบิกจ่ายงบประมาณไม่เป็นไปตามแผนที่วางไว้
เนื่องจากต้องใช้จ่ายงบประมาณของปีก่อนที่กันไว้เบิกเหลื่อมปี ทำให้การบริหารงบประมาณประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๕ ล่าช้า ส่งผลให้เมื่อสิ้นปีงบประมาณต้องมีการกันเงินไปเบิกจ่ายในปีถัดไปต่อเนื่องทุกปี
โดยสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินได้ให้ข้อเสนอแนะ เช่น ควรควบคุม กำกับดูแล
เร่งรัดการดำเนินงานและการใช้จ่ายงบประมาณให้เป็นไปตามแผนการปฏิบัติการประจำปี (๒)
การประเมินผลการจัดการทรัพย์สิน เช่น การจัดทำแผนการจัดซื้อจัดจ้างมีจำนวนรายการและจำนวนเงินที่สูงกว่าแผนการจัดซื้อจัดจ้างประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๕ เนื่องจากมีการจัดซื้อจัดจ้างเพิ่มเติมจากแผนฯ ที่กำหนดไว้
โดยสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินได้ให้ข้อเสนอแนะ เช่น ควรกำหนดมาตรการให้สำนักต่าง
ๆ แจ้งความต้องการครุภัณฑ์ที่ต้องจัดซื้อจัดจ้าง โดยให้กลุ่มงานพัสดุรวบรวมและจัดทำแผนฯ
รวมทั้งควบคุมให้มีการปฏิบัติตามแผนฯ อย่างเคร่งครัด และ (๓)
การประเมินผลการบริหารโครงการ เช่น มีการปรับแผนปฏิบัติการประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๕
โดยมีการยกเลิกโครงการบางส่วนแล้วนำงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๕ มาจัดสรรให้โครงการที่มีความจำเป็นและมีแผนการดำเนินงานก่อน
โดยสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน ได้ให้ข้อเสนอแนะ เช่น ควรควบคุม
กำกับดูแลการดำเนินโครงการให้เป็นไปตามแผนฯ อย่างเคร่งครัด ตามที่สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2600 | การแจ้งผลการตรวจสอบรายงานการเงิน สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2565 และการตรวจสอบการประเมินผลการใช้จ่ายเงินและทรัพย์สิน สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2565 ของสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ | ตผ. | 23/04/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการแจ้งผลการตรวจสอบรายงานการเงิน
สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๖๕ และการตรวจสอบการประเมินผลการใช้จ่ายเงินและทรัพย์สิน
สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๖๕ ของสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ
(สำนักงาน ป.ป.ช.) โดยมีผลการตรวจสอบ ดังนี้ ๑) ผลการตรวจสอบรายงานการเงิน
สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๖๕ สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน แสดงความเห็นอย่างไม่มีเงื่อนไข
(ไม่พบข้อมูลที่ขัดต่อข้อเท็จจริงอย่างมีสาระสำคัญ) ซึ่งสำนักงาน ป.ป.ช.
ได้เสนอคณะรัฐมนตรีรับทราบแล้วเมื่อวันที่ ๙ พฤษภาคม ๒๕๖๖ และ ๒) ผลการตรวจสอบการประเมินผลการใช้จ่ายเงินและทรัพย์สินสำหรับปีสิ้นสุด
วันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๖๕ เป็นการดำเนินการตามมาตรา ๑๕๖ วรรคสอง
แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ
พ.ศ. ๒๕๖๑ ที่บัญญัติให้สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน เป็นผู้สอบบัญชีของสำนักงาน
ป.ป.ช. โดยให้ทำการตรวจสอบรับรองบัญชีและการเงินทุกประเภทของสำนักงาน ป.ป.ช.
โดยแสดงให้เห็นด้วยว่าการใช้จ่ายดังกล่าวเป็นไปตามวัตถุประสงค์ ประหยัด
ได้ผลตามเป้าหมาย มีประสิทธิภาพ เกิดผลสัมฤทธิ์ และคุ้มค่าเพียงใด แล้วทำรายงานเสนอผลการสอบบัญชีต่อคณะรัฐมนตรีโดยไม่ชักช้า
ตามที่สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินเสนอ
|