ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 123 จากทั้งหมด 6200 หน้า แสดงรายการที่ 2441 - 2460 จากข้อมูลทั้งหมด 123994 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
2441 | แผนปฏิบัติการด้านทรัพยากรน้ำ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 | นร.14 | 04/06/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบแผนปฏิบัติการด้านทรัพยากรน้ำ
ประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๘ และใช้พิจารณาในการจัดทำงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๘ ตามความนัยมาตรา
๑๗ (๒) แห่งพระราชบัญญัติทรัพยากรน้ำ พ.ศ. ๒๕๖๑ โดยแผนปฏิบัติการฯ จะแบ่งโครงการ/กิจกรรมออกเป็น
๕ ด้าน ตามแผนแม่บทการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ ๒๐ ปี ได้แก่ ด้านที่ ๑
การจัดการน้ำอุปโภคบริโภค ด้านที่ ๒ การสร้างความมั่นคงของน้ำภาคการผลิต ด้านที่ ๓
การจัดการน้ำท่วมและอุทกภัย ด้านที่ ๔ การอนุรักษ์ ฟื้นฟูระบบนิเวศทรัพยากรน้ำ และด้านที่
๕ การบริหารจัดการ ตามที่คณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติเสนอ ให้คณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง
กระทรวงคมนาคม กระทรวงมหาดไทย สำนักงบประมาณ
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
เช่น กระทรวงการคลัง เห็นว่าการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องปฏิบัติตามกฎหมาย
ระเบียบ ข้อบังคับ และหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้การใช้จ่ายงบประมาณมีความคุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุด
รวมทั้งควรติดตามและประเมินผลการดำเนินงานเพื่อให้เกิดผลสำเร็จอย่างยั่งยืน สำนักงบประมาณ เห็นควรให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมาย
ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีให้ถูกต้องครบถ้วนในทุกขั้นตอน รวมทั้งจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้ง่ายงบประมาณ
ตามความสามารถในการใช้จ่ายและการก่อหนี้ภายในปีงบประมาณ
ที่สอดคล้องกับแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ แผนพัฒนาจังหวัดและกลุ่มจังหวัด
เป้าหมายและแนวทางการพัฒนาภาค และยืนยันความพร้อมเกี่ยวกับรายละเอียด
ประมาณการค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการ/กิจกรรมให้ถูกต้อง ครบถ้วน
โดยคำนึงถึงความครอบคลุมทุกแหล่งเงิน ศักยภาพ และความสามารถในการใช้จ่ายงบประมาณ
ความคุ้มค่า ความประหยัด เป้าหมาย
และประโยชน์ที่ทางราชการและประชาชนจะได้รับเป็นสำคัญ
เพื่อเสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
เห็นว่าคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ ควรจัดลำดับความสำคัญของแผนงาน/โครงการตามแผนปฏิบัติการด้านทรัพยากรน้ำ
ให้สอดคล้องกับกรอบวงเงินงบประมาณที่จะได้รับจัดสรรในแต่ละปีต่อไป |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2442 | การเร่งรัดการดำเนินการเกี่ยวกับการเปิดสถานบันเทิงครบวงจร (Entertainment Complex) | นร. | 04/06/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติ
(๙ เมษายน ๒๕๖๗) มอบหมายให้กระทรวงการคลังเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงานต่าง ๆ
ที่เกี่ยวข้องพิจารณาแนวทางและความเหมาะสมเกี่ยวกับการเปิดสถานบันเทิงครบวงจร (Entertainment Complex) แล้วให้สรุปผลการพิจารณาในภาพรวมเสนอต่อคณะรัฐมนตรีต่อไป นั้น เพื่อให้การดำเนินการในเรื่องนี้มีความคืบหน้าโดยเร็ว
จึงขอมอบหมายให้กระทรวงการคลัง [รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง (นายจุลพันธ์
อมรวิวัฒน์)] เร่งรัดการพิจารณาเรื่องดังกล่าวให้แล้วเสร็จ
และได้แนวทางการดำเนินการที่เป็นรูปธรรมชัดเจนโดยเร็ว
แล้วให้กระทรวงการคลังร่วมกับหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องพิจารณาจัดทำร่างพระราชบัญญัติเกี่ยวกับการเปิดสถานบันเทิงครบวงจร
รวมทั้งแผนการจัดทำกฎหมายลำดับรองที่เกี่ยวข้องให้ครบถ้วน
โดยให้นำร่างพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร พ.ศ. .... และความเห็นของหน่วยงานต่าง
ๆ ที่เกี่ยวข้องมาประกอบการพิจารณาด้วย ก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ทั้งนี้
ให้ดำเนินการเรื่องนี้ให้ถูกต้องตามขั้นตอนที่บัญญัติไว้ในกฎหมายและรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยอย่างเคร่งครัด
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2443 | มาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการท่องเที่ยวภายในประเทศ | กค. | 04/06/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบมาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการจัดอบรมสัมมนาภายในประเทศ
(สำหรับนิติบุคคล) มีสาระสำคัญ เช่น กำหนดให้หักรายจ่ายได้ ๒
เท่าของรายจ่ายตามที่จ่ายจริง
สำหรับการอบรมสัมมนาที่จัดในจังหวัดท่องเที่ยวรองหรือในเขตพื้นที่ท่องเที่ยวอื่นใดที่อธิบดีกรมสรรพากรประกาศกำหนด
และหักรายจ่ายได้ ๑.๕ เท่าของรายจ่ายตามที่จ่ายจริงสำหรับพื้นที่อื่น (เมืองหลัก)
โดยต้องมีใบกำกับภาษีแบบเต็มในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ผ่านระบบใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์และใบรับอิเล็กทรอนิกส์
(e-Tax Invoice & e-Receipt) ของกรมสรรพากรเท่านั้น และมาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการท่องเที่ยวในประเทศ
(สำหรับบุคคลธรรมดา) มีสาระสำคัญเป็นการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีแก่บุคคลธรรมดาในการหักลดหย่อนค่าบริการหรือค่าที่พักในการท่องเที่ยวในจังหวัดท่องเที่ยวรองเท่านั้น
สำหรับการเดินทางท่องเที่ยวในจังหวัดท่องเที่ยวรองได้ตามที่จ่ายจริง
แต่ต้องไม่เกิน ๑๕,๐๐๐ บาท และต้องมีใบกำกับภาษีแบบเต็มในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ผ่านระบบใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์และใบรับอิเล็กทรอนิกส์
(e-Tax Invoice & e-Receipt
ของกรมสรรพากรเท่านั้น ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๒.
อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร
(ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีอากรแก่บุคคลธรรมดาและบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล
สำหรับการท่องเที่ยวและการจัดอบรมสัมมนาในจังหวัดท่องเที่ยวรองและในจังหวัดท่องเที่ยวอื่นภายในประเทศในช่วงนอกฤดูกาลท่องเที่ยว
(Low Season) ตั้งแต่วันที่ ๑ พฤษภาคม
๒๕๖๗ ถึงวันที่ ๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๖๗ (รวมระยะเวลา ๗ เดือน) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน
แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๓. ให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและสำนักงบประมาณไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
ดังนี้ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
เห็นควรดำเนินการ เช่น ขอความร่วมมือให้หน่วยงานภาครัฐเลือกพื้นที่ท่องเที่ยวรองเป็นพื้นที่ในการจัดประชุมและสัมมนา
ควรพัฒนาระบบสาธารณูปโภคพื้นฐานที่เชื่อมโยงจากเมืองท่องเที่ยวหลักไปสู่เมืองท่องเที่ยวรอง
และควรเตรียมความพร้อมด้านปริมาณบุคลากรและทักษะแรงงานในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวให้มีเพียงพอ สำนักงบประมาณ
เห็นควรที่กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะสร้างการรับรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับมาตรการภาษีดังกล่าว
รวมถึงสถานการณ์ ความจำเป็นและประโยชน์ที่จะได้รับ
ให้กับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในโอกาสแรก รวมทั้งจัดทำประมาณการรายได้เพื่อกำหนดไว้ในแผนการคลังระยะปานกลางให้ถูกต้องครบถ้วน
และใช้เป็นกรอบในการวางแผนการดำเนินการทางการเงินการคลังและงบประมาณของประเทศ
ตลอดจนติดตามประเมินผลสัมฤทธิ์และรายงานผลการดำเนินงานตามมาตรการภาษีดังกล่าวเมื่อสิ้นสุดระยะเวลาดำเนินการ
ตามนัยแห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ ต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2444 | การให้สัตยาบันอนุสัญญาองค์การแรงงานระหว่างประเทศ ฉบับที่ 144 ว่าด้วยการปรึกษาหารือไตรภาคี (มาตรฐานแรงงานระหว่างประเทศ) ค.ศ. 1976 | รง. | 04/06/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการให้สัตยาบันอนุสัญญาองค์การแรงงานระหว่างประเทศ
ฉบับที่ ๑๔๔ ว่าด้วยการปรึกษาหารือไตรภาคี (มาตรฐานแรงงานระหว่างประเทศ) ค.ศ. ๑๙๗๖
โดยมอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการจัดทำสัตยาบันสารเพื่อการเข้าเป็นภาคีอนุสัญญาองค์การแรงงานระหว่างประเทศ ฉบับที่ ๑๔๔
ว่าด้วยการปรึกษาหารือไตรภาคี (มาตรฐานแรงงานระหว่างประเทศ) ค.ศ. ๑๙๗๖ และมอบหมายให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานดำเนินการมอบสัตยาบันสารให้กับผู้อำนวยการใหญ่องค์การแรงงานระหว่างประเทศ
(International Labour Organization : ILO) ในฐานะผู้เก็บรักษาอนุสัญญา โดยอนุสัญญาฯ มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้รัฐสมาชิกที่ให้สัตยาบันอนุสัญญาฯ
ดำเนินกระบวนการปรึกษาหารือไตรภาคี (ระหว่างตัวแทนของรัฐบาล ตัวแทนของนายจ้าง
และตัวแทนของลูกจ้าง) ในประเด็นที่เกี่ยวกับมาตรฐานแรงงานระหว่างประเทศของ ILO โดยมีการกำหนดหน้าที่ให้รัฐสมาชิกต้องปฏิบัติและมีการใช้ถ้อยคำที่มุ่งหมายให้เกิดผลผูกพันทางกฎหมายระหว่างกันตามกฎหมายระหว่างประเทศ
เช่น กำหนดให้มีการปรึกษาหารือไตรภาคีตามรอบระยะเวลาที่เหมาะสม ไม่น้อยกว่าปีละ ๑
ครั้ง จัดฝึกอบรมเกี่ยวกับมาตรฐานแรงงานระหว่างประเทศให้กับไตรภาคี ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ ให้กระทรวงแรงงานและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง
กระทรวงการต่างประเทศ สำนักงบประมาณ
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
เช่น กระทรวงการต่างประเทศ เห็นว่าอนุสัญญาฯ มีถ้อยคำและบริบทที่มุ่งจะก่อให้เกิดพันธกรณีภายใต้บังคับของกฎหมายระหว่างประเทศ
จึงเป็นสนธิสัญญาตามกฎหมายระหว่างประเทศ และเป็นหนังสือสัญญาตาม ม. ๑๗๘ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
โดยหากกระทรวงแรงงานและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสามารถปฏิบัติตามพันธกรณีภายใต้อนุสัญญาฯ ได้ โดยไม่ต้องออกพระราชบัญญัติเพื่อให้เป็นไปตามอนุสัญญาฯ
ดังกล่าว อนุสัญญาฯ
ก็ไม่เข้าข่ายเป็นหนังสือสัญญาตามมาตรา ๑๗๘ วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยที่จะต้องได้รับความเห็นชอบ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2445 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (นายชัยวัฒน์ พัฒนาพิศาลศักดิ์) | สธ. | 04/06/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นายชัยวัฒน์ พัฒนาพิศาลศักดิ์ ข้าราชการพลเรือนสามัญ
ตำแหน่งสาธารณสุขนิเทศก์ (นายแพทย์เชี่ยวชาญ) สำนักงานปลัดกระทรวง
ให้ดำรงตำแหน่งสาธารณสุขนิเทศก์ (นายแพทย์ทรงคุณวุฒิ) สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงสาธารณสุข
ตั้งแต่วันที่ ๒๒ มกราคม ๒๕๖๗ ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2446 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (1.นายธนวัต ศิริกุล ฯลฯ จำนวน 3 ราย) | กต. | 04/06/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ
สังกัดกระทรวงการต่างประเทศ ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน ๓ ราย เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่าง
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป
ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑. นายธนวัต ศิริกุล ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูต สถานเอกอัครราชทูต ณ
กรุงไคโร สาธารณรัฐอาหรับอียิปต์ ๒. นางกนกวรรณ เพ่งสุวรรณ ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูต สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงลิสบอน
สาธารณรัฐโปรตุเกส
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2447 | การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการนโยบายการผังเมืองแห่งชาติ (1. นางไขศรี ภักดิ์สุขเจริญ ฯลฯ จำนวน 13 คน) | มท. | 04/06/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการนโยบายการผังเมืองแห่งชาติ
จำนวน ๑๓ คน เนื่องจากกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเดิมได้ดำรงตำแหน่งครบวาระสามปี
โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๔ มิถุนายน ๒๕๖๗) เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ
ดังนี้ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการนโยบายการผังเมืองแห่งชาติ
ประกอบด้วย ด้านการผังเมือง จำนวน ๕ คน ๑. นางไขศรี ภักดิ์สุขเจริญ ๒. นายมณฑล สุดประเสริฐ ๓. นายคธาทิพย์ เอี่ยมกมลา ๔. นางสาวอรอาภา โล่ห์วีระ ๕. นายรุจิโรจน์
อนามบุตร ด้านเศรษฐศาสตร์ จำนวน ๒ คน ๖. นายชาญวิทย์ อมตะมาทุชาติ ๗. นายชโยดม สรรพศรี ด้านสังคมศาสตร์ จำนวน ๒ คน ๘. นายวิบูลย์ สงวนพงศ์ ๙. ร้อยตำรวจโท อาทิตย์ บุญญะโสภัต ด้านภูมิศาสตร์ จำนวน ๒ คน ๑๐. นางสาวศิริวรรณ ศิลาพัชรนันท์ ๑๑. นางสาวพันธ์ทิพย์ จงโกรย สาขาวิชาการด้านอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง จำนวน ๒ คน ๑๒. นายเสรี ศุภราทิตย์ ๑๓. นายพิเชฐ โสวิทยสกุล
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2448 | รายงานประจำปี 2565 ของสถาบันระหว่างประเทศเพื่อการค้าและการพัฒนา (องค์การมหาชน) | พณ. | 28/05/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานประจำปี ๒๕๖๕
ของสถาบันระหว่างประเทศเพื่อการค้าและการพัฒนา (องค์การมหาชน) (สคพ.)
โดยมีสาระสำคัญสรุปได้ ดังนี้ ๑) สคพ.
ได้ดำเนินโครงการและกิจกรรมเพื่อสร้างความร่วมมือและเชื่อมโยงองค์ความรู้เพื่อเพิ่มขีดความสามารถ
SMEs ไทย ๒)
สคพ.
ดำเนินการสนับสนุนการจัดทำผลงานทางวิชาการที่เป็นบทความและได้เผยแพร่ข้อมูลวิชาการของสถาบันในรูปแบบข่าวและสกู๊ปผ่านสื่อต่าง
ๆ และ ๓) สคพ.
ได้พยายามขยายเครือข่ายการสร้างองค์ความรู้และการให้บริการวิชาการเพื่อการค้าและการพัฒนาทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ
ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2449 | รายงานของผู้สอบบัญชีและรายงานการเงิน สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2566 (สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร) | สผ. | 28/05/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานของผู้สอบบัญชีและรายงานการเงินสำหรับปีสิ้นสุดวันที่
๓๐กันยายน ๒๕๖๖ ของสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ประกอบด้วย งบแสดงฐานะการเงิน และงบแสดงผลการดำเนินงานทางการเงิน
ซึ่งสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินได้ตรวจสอบแล้ว เห็นว่าถูกต้องตามที่ควรในสาระสำคัญตามมาตรฐานการบัญชีภาครัฐและนโยบายการบัญชีภาครัฐที่กระทรวงการคลังกำหนด
ตามที่สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2450 | รายงานของผู้สอบบัญชีและรายงานการเงินกองทุนพัฒนาฝีมือแรงงาน กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2565 | รง. | 28/05/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานของผู้สอบบัญชีและรายงานการเงินกองทุนพัฒนาฝีมือแรงงาน
กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๖๕ ประกอบด้วย
งบแสดงฐานะการเงิน และงบแสดงผลการดำเนินงานทางการเงิน
ที่สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน ได้ตรวจสอบรับรองแล้ว ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ
และให้เสนอสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาเพื่อทราบ และประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2451 | ร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสำหรับสาขาวิชา ครุยวิทยฐานะ เข็มวิทยฐานะ และครุยประจำตำแหน่งของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลกรุงเทพ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | อว. | 28/05/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา
อักษรย่อสำหรับสาขาวิชา ครุยวิทยฐานะ เข็มวิทยฐานะ
และครุยประจำตำแหน่งของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลกรุงเทพ (ฉบับที่ .. ) พ.ศ. ....
มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดปริญญาในสาขาวิชาและอักษรย่อสำหรับสาขาวิชาของสาขาวิชาการจัดการ
เพิ่มระดับชั้นปริญญาโท ในสาขาวิชาเทคโนโลยี
รวมทั้งกำหนดสีประจำวิทยาลัยนานาชาติและประจำสถาบันวิทยาศาสตร์ นวัตกรรม
และวัฒนธรรม ตามที่กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมเสนอ
และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2452 | ร่างพระราชกฤษฎีกาการได้รับเงินประจำตำแหน่งของข้าราชการตำรวจ พ.ศ. .... | ตช. | 28/05/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาการได้รับเงินประจำตำแหน่งของข้าราชการตำรวจ พ.ศ. ....
มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงการได้รับเงินประจำตำแหน่งของข้าราชการตำรวจให้ครอบคลุมกับกฎหมายที่ใช้บังคับในปัจจุบัน
และเพื่อให้เป็นมาตรฐานเดียวกันกับการได้รับเงินประจำตำแหน่งของข้าราชการประเภทอื่น
ตามที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติรับความเห็นของสำนักงาน
ก.พ. ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย และสำหรับภาระงบประมาณที่เกิดขึ้นให้เป็นไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
ดังนี้ สำนักงาน ก.พ. เห็นควรพิจารณาวางแผนบริหารจัดการและกำหนดกรอบอัตรากำลังให้เหมาะสมกับความจำเป็นตามภารกิจ
รวมทั้งกำหนดลักษณะงานและคุณสมบัติของผู้ดำรงตำแหน่งที่จะมีสิทธิได้รับเงินประจำตำแหน่งให้มีความสอดคล้องกับตำแหน่งข้าราชการตำรวจที่มีสิทธิได้รับเงินประจำตำแหน่งอยู่เดิมและเป็นมาตรฐานเดียวกันกับข้าราชการประเภทอื่นด้วย สำนักงบประมาณ เห็นควรให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติใช้จ่ายตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๖ ไปพลางก่อน หรือจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ
เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2453 | ร่างประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม ในท้องที่อำเภอคุระบุรี อำเภอตะกั่วป่า อำเภอท้ายเหมือง อำเภอทับปุด อำเภอเมืองพังงา อำเภอตะกั่วทุ่ง และอำเภอเกาะยาว จังหวัดพังงา พ.ศ. .... | ทส. | 28/05/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
อนุมัติในหลักการร่างประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง
กำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม ในท้องที่อำเภอคุระบุรี
อำเภอตะกั่วป่า อำเภอท้ายเหมือง อำเภอทับปุด อำเภอเมืองพังงา อำเภอตะกั่วทุ่ง
และอำเภอเกาะยาว จังหวัดพังงา พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม
ในบริเวณอำเภอคุระบุรี อำเภอตะกั่วป่า อำเภอท้ายเหมือง อำเภอทับปุด
อำเภอเมืองพังงา อำเภอตะกั่วทุ่ง และอำเภอเกาะยาว จังหวัดพังงา ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ไปประกอบการพิจารณาด้วย
แล้วดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เห็นว่าความหมายของคำว่า “ประมงพื้นบ้าน”
ตามความในข้อ ๕ (๑)(ก) ที่ให้ทำการประมงพื้นบ้านตามกฎหมายว่าด้วยการประมง
ในบริเวณพื้นที่ตามข้อ ๔ บริเวณที่ ๑ ได้นั้น หากหมายความถึง ความหมายของ “ประมงพื้นบ้าน”
และ “ที่เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ” ตามความในมาตรา ๕ แห่งพระราชกำหนดการประมง พ.ศ. ๒๕๕๘
และที่แก้ไขเพิ่มเติม ควรให้ความเห็นชอบต่อร่างประกาศกระทรวงดังกล่าว
แต่หากความหมายของ “ประมงพื้นบ้าน” ตามร่างประกาศกระทรวงดังกล่าว ไม่ได้หมายความรวมถึง
ความหมายของ “ที่เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ” ตามความในมาตรา ๕ แห่งพระราชกำหนดการประมง
พ.ศ. ๒๕๕๘ และที่แก้ไขเพิ่มเติม และร่างประกาศกระทรวงดังกล่าวมีผลใช้บังคับ
อาจส่งผลกระทบต่อการกำหนดเขตพื้นที่ที่อนุญาตให้ทำการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำในเขตพื้นที่จังหวัดพังงาได้ ๒.
ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม
และกระทรวงมหาดไทยไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย เช่น กระทรวงคมนาคม เห็นว่าหากมีการดำเนินการใด ๆ
ในแม่น้ำ ลำคลอง บึง อ่างเก็บน้ำ ทะเลสาบ ทะเล หรือบนชายหาดของทะเล
ต้องดำเนินการให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติการเดินเรือในน่านน้ำไทย พระพุทธศักราช
๒๔๕๖ และที่แก้ไขเพิ่มเติมด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2454 | ร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการออกเสียงประชามติ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | นร.01 | 28/05/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการออกเสียงประชามติ (ฉบับที่..)
พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติว่าด้วยการออกเสียงประชามติ
พ.ศ. ๒๕๖๔ เพื่อให้เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๓ เมษายน ๒๕๖๗ (เรื่อง
รายงานผลการดำเนินงานของคณะกรรมการเพื่อพิจารณาศึกษาแนวทางในการทำประชามติเพื่อแก้ไขปัญหาความเห็นที่แตกต่างในเรื่องรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
พุทธศักราช ๒๕๖๐) ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายภูมิธรรม เวชยชัย)
ในฐานะประธานกรรมการเพื่อพิจารณาศึกษาแนวทางในการทำประชามติเพื่อแก้ไขปัญหาความเห็นที่แตกต่างในเรื่องรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
พุทธศักราช ๒๕๖๐ เสนอ และให้ส่งคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา
โดยส่งความเห็นของกระทรวงมหาดไทยและสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งเพื่อประกอบการพิจารณาของคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรด้วย
ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรต่อไป ๒. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลา และกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว
ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายภูมิธรรม เวชยชัย)
ในฐานะประธานกรรมการเพื่อพิจารณาศึกษาแนวทางในการทำประชามติเพื่อแก้ไขปัญหาความเห็นที่แตกต่างในเรื่องรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
พุทธศักราช ๒๕๖๐ เสนอ |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2455 | ร่างวาระแห่งแอนติกาและบาร์บูดาสำหรับรัฐกำลังพัฒนาที่เป็นหมู่เกาะขนาดเล็ก-ปฏิญญาฉบับใหม่เพื่อความเจริญรุ่งเรืองที่มีความยืดหยุ่น | กต. | 28/05/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้ประเทศไทยร่วมรับรองร่างวาระแห่งแอนติกาและบาร์บูดาฯ
ของการประชุมระหว่างประเทศว่าด้วยรัฐกำลังพัฒนาที่เป็นหมู่เกาะขนาดเล็ก
ครั้งที่ ๔ ระหว่างวันที่ ๒๗ - ๓๐ พฤษภาคม ๒๕๖๗ และให้รองปลัดกระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งได้รับมอบหมายเป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทยร่วมรับรองร่างเอกสารดังกล่าว
โดยร่างวาระแห่งแอนติกาฯ มีวัตถุประสงค์เพื่อแสดงเจตนารมณ์ทางการเมืองเพื่อให้การสนับสนุนรัฐกำลังพัฒนาที่เป็นหมู่เกาะขนาดเล็กในการดำเนินการเพื่อบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนและแก้ไขปัญหาสำคัญของประเทศเหล่านี้
เช่น ความมั่นคงทางอาหาร การบริหารจัดการน้ำ การปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และการรับมือกับผลกระทบจากภัยพิบัติ
ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ทั้งนี้
หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างวาระแห่งแอนติกาและบาร์บูดาสำหรับรัฐกำลังพัฒนาที่เป็นหมู่เกาะขนาดเล็ก - ปฏิญญาฉบับใหม่เพื่อความเจริญรุ่งเรืองที่มีความยืดหยุ่น ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2456 | ร่างกฎกระทรวงการขอและการออกหนังสือรับรองสถานะการเป็นผู้มีหน้าที่รายงาน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (ขยายกำหนดระยะเวลาการขอให้รับรองสถานะการเป็นผู้มีหน้าที่รายงานตามกฎกระทรวงการขอและการออกหนังสือรับรองสถานะการเป็นผู้มีหน้าที่รายงาน พ.ศ. 2566) | กค. | 28/05/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงการขอและการออกหนังสือรับรองสถานะการเป็นผู้มีหน้าที่รายงาน
(ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ของกระทรวงการคลัง ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว
และให้ดำเนินการต่อไปได้ โดยมีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวงการขอและการออกหนังสือรับรองสถานะการเป็นผู้มีหน้าที่รายงาน
พ.ศ. ๒๕๖๖ โดยขยายกำหนดระยะเวลาการขอให้รับรองสถานะการเป็นผู้มีหน้าที่รายงาน
สำหรับปีปฏิทินที่สิ้นสุดก่อนวันที่ ๑ มกราคม พ.ศ. ๒๕๖๗ (ปี พ.ศ. ๒๕๕๙ - ๒๕๖๖)
ให้ดำเนินการภายในวันที่ ๑๗ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๖๗ (จากกฎกระทรวงเดิมภายในวันที่ ๑๘
ตุลาคม ๒๕๖๖ สำหรับปี พ.ศ. ๒๕๕๙ - ๒๕๖๕ และภายในวันที่ ๓๑ มกราคม ๒๕๖๗ สำหรับปี
พ.ศ. ๒๕๖๖)
ซึ่งเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมกำหนดเวลาสิ้นสุดการยื่นคำขอหนังสือรับรองสถานะการเป็นผู้มีหน้าที่รายงานจากหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติ
(๙ เมษายน ๒๕๖๗) ที่กำหนดให้ดำเนินการภายในวันที่ ๓o เมษายน พ.ศ. ๒๕๖๗ ทั้งนี้
เพื่อให้ผู้ที่ประสงค์จะยื่นคำขอมีระยะเวลาเพียงพอในการดำเนินการ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2457 | ร่างกฎกระทรวง ออกตามความในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยแบบพินัยกรรม ตามมาตรา 1672 | มท. | 28/05/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงออกตามความในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยแบบพินัยกรรม
ตามมาตรา ๑๖๗๒ มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดหลักเกณฑ์ เงื่อนไข
และวิธีการในการทำพินัยกรรม
แก้ไขถ้อยคำการใช้ภาษาให้มีความสอดคล้องกับสภาพการณ์ปัจจุบัน
เพื่อให้การปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
และยกระดับการอำนวยความสะดวกให้แก่ประชาชนทั่วไป ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ
และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของสำนักงาน ก.พ.ร.
ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้ สำนักงาน ก.พ.ร. เห็นควรกำหนดให้นายอำเภอเป็นผู้ตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลหลักฐานการตายโดยไม่ต้องให้ผู้มีสิทธิรับพินัยกรรมนำหลักฐานการตายของผู้ทำมาแสดง
เพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกให้แก่ประชาชน
และการแก้ไขอัตราค่าธรรมเนียมการทำพินัยกรรมควรจะสอดคล้องกับมติคณะรัฐมนตรี
เมื่อวันที่ ๑๔ ธันวาคม ๒๕๖๔ เรื่อง
หลักเกณฑ์ว่าด้วยการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมและค่าบริการ เพื่อไม่ให้เป็นภาระกับประชาชนมากเกินไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2458 | ร่างประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง มาตรการคุ้มครองทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ในพื้นที่หมู่เกาะพยาม อำเภอเมืองระนอง จังหวัดระนอง พ.ศ. .... | ทส. | 28/05/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. อนุมัติในหลักการร่างประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
เรื่อง มาตรการคุ้มครองทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ในพื้นที่หมู่เกาะพยาม
อำเภอเมืองระนอง จังหวัดระนอง พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดมาตรการคุ้มครองทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งในพื้นที่หมู่เกาะพยาม
อำเภอเมืองระนอง จังหวัดระนอง เพื่อสงวน คุ้มครอง และอนุรักษ์ฟื้นฟูทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง
รวมทั้งการสร้างความสมบูรณ์ของระบบนิเวศทางทะเลและชายฝั่ง ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงมหาดไทยไปประกอบการพิจารณาด้วย
แล้วดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้ กระทรวงมหาดไทย เห็นควรให้ดำเนินการตามระเบียบ
กฎหมาย มติคณะรัฐนตรี และหนังสือเวียนที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด และควรมีการกำหนดให้สามารถงดเว้นหรือยกเว้นการปฏิบัติตามประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้ในกรณีที่มีเหตุจำเป็นและเป็นประโยชน์ต่อราชการ
ชุมชน และประชาชน เพื่อให้สามารถดำเนินการได้ โดยการอนุมัติของรัฐมนตรี
ประกอบความเห็นของผู้ว่าราชการจังหวัด และท้องที่ ๒.
ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของกระทรวงมหาดไทย กระทรวงคมนาคม
และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย เช่น กระทรวงคมนาคม เห็นว่าในการดำเนินการวางทุ่นหรือเครื่องสำหรับผูกจอดเรือของบุคคลหรือหน่วยงานต้องดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมายดังกล่าว
และหากมีการดำเนินการใด ๆ ในแม่น้ำ ลำคลอง บึง อ่างเก็บน้ำ ทะเลสาบ ทะเล
หรือบนชายหาดของทะเลต้องดำเนินการให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติการเดินเรือในน่านน้ำไทย
พระพุทธศักราช ๒๔๕๖ และที่แก้ไขเพิ่มเติมดังกล่าวด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2459 | ข้อเสนอร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 | นร.07 | 28/05/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบตามที่สำนักงบประมาณเสนอ ดังนี้ ๑. รับทราบผลการรับฟังความคิดเห็นร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๘
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2460 | รายงานผู้ตรวจการแผ่นดิน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 | สผผ. | 28/05/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผู้ตรวจการแผ่นดิน
ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๖ ตามที่สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดินเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.
ผลการดำเนินการเรื่องร้องเรียน ผู้ตรวจการแผ่นดินได้รับเรื่องร้องเรียน จำนวน
๕,๓๘๐ เรื่อง ดำเนินการแล้วเสร็จ จำนวน ๓,๓๘๘ เรื่อง โดยในปี ๒๕๖๖ พบว่า
มีเรื่องร้องเรียนเพิ่มขึ้นจากปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๕ จำนวน ๑๓๐ เรื่อง ๒.
ผลการดำเนินงานในด้านการตรวจสอบการปฏิบัติหน้าที่ของหน่วยงานของรัฐตามหมวด ๕
หน้าที่ของรัฐ ของรัฐธรรมนูญ
โดยศึกษาและจัดทำรายงานพร้อมข้อเสนอแนะต่อคณะรัฐมนตรีให้ทราบในกรณีที่หน่วยงานของรัฐยังมิได้ปฏิบัติให้ถูกต้องครบถ้วนตามหมวด
๕ หน้าที่ของรัฐ จำนวน ๔ เรื่อง เช่น
การบังคับใช้กฎหมายกรณีการประกอบกิจการโรงงานอุตสาหกรรมที่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อประชาชน
เป็นต้น ๓.
ผลการดำเนินงานในภาพรวมแบ่งตามยุทธศาสตร์ พบว่า ส่วนใหญ่มีผลการดำเนินการบรรลุเป้าหมาย
เช่น (๑) จำนวนเรื่องร้องเรียนที่ได้มีการเสนอแก้ไขปัญหาในเชิงระบบ
มีผลการดำเนินการ ๑๕ เรื่อง จากเป้าหมายที่ตั้งไว้ ๕ เรื่อง และ (๒)
จำนวนเครือข่ายที่เพิ่มขึ้นในการดำเนินงานเพื่อเป็นกลไกในการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนให้แก่ประชาชนและระดับความร่วมมือในการดำเนินงานด้านการส่งเสริมธรรมาภิบาล
มีผลการดำเนินการ ๖ เครือข่าย จากเป้าหมายที่ตั้งไว้ ๕ เครือข่าย เป็นต้น ๔.
ความพึงพอใจของผู้ร้องเรียน ภาพรวมอยู่ในระดับมาก คิดเป็นร้อยละ ๘๒.๒
โดยด้านที่ผู้ร้องเรียนมีความพึงพอใจมากที่สุดคือ ด้านการยื่นและรับเรื่องร้องเรียน ๕.
ปัญหาและอุปสรรคในการดำเนินงาน เช่น
การได้รับข้อมูลเรื่องร้องเรียนไม่ครบถ้วนหรือไม่ชัดเจนเพียงพอ
การไม่ได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานของรัฐที่จะให้ข้อมูลหรือชี้แจงข้อเท็จจริงเพื่อประกอบการพิจารณาเท่าที่ควร
เป็นต้น
|