ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 122 จากทั้งหมด 6200 หน้า แสดงรายการที่ 2421 - 2440 จากข้อมูลทั้งหมด 123994 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
2421 | รายงานการเงินประจำปีพร้อมกับรายงานผลการตรวจสอบของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2566 | ลต. | 04/06/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการเงินประจำปีพร้อมกับรายงานผลการตรวจสอบของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน
สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๖๖ ของสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง
ประกอบด้วย งบแสดงฐานะการเงิน งบแสดงผลการดำเนินงานทางการเงิน
และงบแสดงการเปลี่ยนแปลงสินทรัพย์สุทธิ/ส่วนทุน ซึ่งสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินได้ตรวจสอบแล้วเห็นว่าถูกต้องตามที่ควรในสาระสำคัญตามมาตรฐานการบัญชีภาครัฐและนโยบายการบัญชีภาครัฐที่กระทรวงการคลังกำหนด
ตามที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2422 | การแต่งตั้งกรรมการผู้แทนองค์กรสาธารณประโยชน์ และกรรมการผู้แทนองค์กรสวัสดิการชุมชนในคณะกรรมการส่งเสริมการจัดสวัสดิการสังคมแห่งชาติ (1. พันตำรวจโท ธรรมนิศร โภคทรัพย์ ฯลฯ จำนวน 16 คน) | พม. | 04/06/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแต่งตั้งกรรมการผู้แทนองค์กรสาธารณประโยชน์
และกรรมการผู้แทนองค์กรสวัสดิการชุมชนในคณะกรรมการส่งเสริมการจัดสวัสดิการสังคมแห่งชาติ
จำนวน ๑๖ คน ตามมาตรา ๗ (๕)
แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมการจัดสวัสดิการสังคม พ.ศ. ๒๕๔๖
และที่แก้ไขเพิ่มเติม เนื่องจากกรรมการผู้แทนองค์กรสาธารณประโยชน์
และกรรมการผู้แทนองค์กรสวัสดิการชุมชนเดิมได้ดำรงตำแหน่งครบวาระสองปี
โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๔ มิถุนายน ๒๕๖๗) เป็นต้นไป
ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ ดังนี้ ๑. ผู้แทนองค์กรสาธารณประโยชน์
จำนวน ๘ คน ได้แก่ ๑.๑ พันตำรวจโท ธรรมนิศร โภคทรัพย์ ผู้แทนองค์กรฯ
กรุงเทพมหานคร ๑.๒ นายยงยุทธ ใจชื่น ผู้แทนองค์กรฯ ภาคกลาง ๑.๓
นายประจักษ์ อาษาธง ผู้แทนองค์กรฯ
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ๑.๔ นายสมพร ไหมบุญแก้ว ผู้แทนองค์กรฯ ภาคใต้ ๑.๕ นายภัคนันท์ เครือแก้ว ผู้แทนองค์กรฯ ภาคเหนือ ๑.๖ นายวิชัย โชควิวัฒน ผู้แทนองค์กรฯ
เครือข่าย ๑.๗ นายวีระ สมความคิด ผู้แทนองค์กรฯ
เครือข่าย ๑.๘ รองศาสตราจารย์กฤตติกา แสนโภชน์ ผู้แทนองค์กรฯ เครือข่าย ๒. ผู้แทนองค์กรสวัสดิการชุมชน จำนวน ๘ คน
ได้แก่ ๒.๑ นางเสาวณี สุชาฎา ผู้แทนองค์กรฯ กรุงเทพมหานคร ๒.๒ นายบรรจง พรมวิเศษ ผู้แทนองค์กรฯ ภาคกลาง ๒.๓ นายฐานิศร์ แสงพล ผู้แทนองค์กรฯ
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ๒.๔ นายอับดุลเล๊าะ วาแม ผู้แทนองค์กรฯ ภาคใต้ ๒.๕ นายสมศักดิ์ เทพตุ่น ผู้แทนองค์กรฯ
ภาคเหนือ ๒.๖ นายบุญธรรม คงสกูล ผู้แทนองค์กรฯ
เครือข่าย ๒.๗ นายมณเฑียร สอดเนื่อง ผู้แทนองค์กรฯ เครือข่าย ๒.๘ นายบุญส่ง ศรีสายัณห์ ผู้แทนองค์กรฯ เครือข่าย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2423 | รายงานของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาและเสนอแนะการแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับกิจการประมงให้เกิดความเหมาะสมและเป็นธรรมกับผู้ประกอบการประมงและกิจการประมงทั้งระบบ สภาผู้แทนราษฎร | สผ. | 04/06/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. รับทราบรายงานของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาและเสนอแนะการแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับกิจการประมงให้เกิดความเหมาะสมและเป็นธรรมกับผู้ประกอบการประมงและกิจการประมงทั้งระบบ
สภาผู้แทนราษฎร ตามที่สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรเสนอ ๒.
มอบหมายให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นหน่วยงานหลักรับรายงานและข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการวิสามัญไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงคมนาคม
กระทรวงแรงงาน กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงกลาโหม กระทรวงพาณิชย์
กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงสาธารณสุข สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
และศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
เพื่อพิจารณาศึกษาแนวทางและความเหมาะสมของข้อเสนอแนะดังกล่าว
และสรุปผลการพิจารณาหรือผลการดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวในภาพรวม
แล้วส่งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีภายใน ๓๐ วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งจากสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี
เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2424 | รายงานประจำปี 2565 ของสถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศ | กห. | 04/06/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานประจำปี
๒๕๖๕ ของสถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศ ซึ่งผู้สอบบัญชีได้ตรวจรับรองในส่วนของรายงานของผู้สอบบัญชีและรายงานการเงินแล้ว
ตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอ และให้เสนอรัฐสภาเพื่อทราบต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2425 | การแต่งตั้งข้าราชการการเมือง (นางสุภาภรณ์ คงวุฒิปัญญา) | กค. | 04/06/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแต่งตั้ง นางสุภาภรณ์ คงวุฒิปัญญา
เป็นข้าราชการการเมือง ตำแหน่งผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง [ปฏิบัติหน้าที่เลขานุการรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง
(นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล)] โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๔ มิถุนายน
๒๕๖๗) เป็นต้นไป ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2426 | การแต่งตั้งข้าราชการการเมือง (นายดุสิต เมนะพันธุ์) | กต. | 04/06/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแต่งตั้ง นายดุสิต เมนะพันธุ์
เป็นข้าราชการการเมือง ตำแหน่งที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ
(๔ มิถุนายน ๒๕๖๗) เป็นต้นไป ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2427 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการตรวจ การยกเว้น และการเปลี่ยนประเภทการตรวจลงตรา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | กต. | 04/06/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการตรวจ การยกเว้น และการเปลี่ยนประเภทการตรวจลงตรา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และมอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศแจ้งต่อฝ่ายสหภาพยุโรปเป็นลายลักษณ์อักษร เมื่อคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงดังกล่าว เพื่อให้ความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับสหภาพยุโรปว่าด้วยการยอมรับแลสเซ – ปาสเซ (Laissez Passer) ที่ออกโดยสหภาพยุโรปว่าเป็นเอกสารการเดินทางที่สมบูรณ์มีผลใช้บังคับ ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ๒.
เห็นชอบร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการตรวจ การยกเว้น และการเปลี่ยนประเภทการตรวจลงตรา
(ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นแก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์
วิธีการ และเงื่อนไขในการตรวจ การยกเว้น และการเปลี่ยนประเภทการตรวจลงตรา พ.ศ.
๒๕๔๕ เพื่อรองรับการตรวจลงตราประเภททูต ประเภทราชการ และประเภทอัธยาศัยไมตรี
สำหรับหนังสือเดินทางสหภาพยุโรป และสอดคล้องกับความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับสหภาพยุโรปว่าด้วยการยอมรับแลสเซ-ปาสเซ
(Laissez Passer) ที่ออกโดยสหภาพยุโรปว่าเป็นเอกสารการเดินทางที่สมบูรณ์ ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว และให้ดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2428 | การทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับการมอบหมายหน่วยงานให้ปฏิบัติหน้าที่หน่วยประสานงานหลัก (National Designated Authority : NDA) ของกองทุนภูมิอากาศสีเขียว (Green Climate Fund : GCF) | ทส. | 04/06/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับการมอบหมายหน่วยงานให้ปฏิบัติหน้าที่หน่วยประสานงานหลัก
(National Designated Authority : NDA) ของกองทุนภูมิอากาศสีเขียว
(Green Climate Fund : GCF) ดังนี้ ๑)
มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๐ มีนาคม ๒๕๕๘ เรื่อง
สรุปผลการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
สมัยที่ ๒๐ และการประชุมรัฐภาคีพิธีสารเกียวโต สมัยที่ ๑๐ ณ กรุงลิมา
สาธารณรัฐเปรู จากเดิม “สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
ในฐานะหน่วยประสานงานกลาง (National Focal Point) ของอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
เป็นหน่วยประสานงานหลัก ของกองทุนภูมิอากาศสีเขียว” เป็น “กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม
ในฐานะหน่วยประสานงานกลางของอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
เป็นหน่วยประสานงานหลักของกองทุนภูมิอากาศสีเขียว” และ ๒) มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๑๓ มิถุนายน ๒๕๖๐ เรื่อง การแต่งตั้งผู้มีอำนาจ (Designated Authority) สำหรับกองทุน Green Climate Fund ของประเทศไทย
จากเดิม “มอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
เป็นผู้จัดทำกฎหมาย กฎเกณฑ์ ระเบียบ ข้อบังคับ ตลอดจนรูปแบบวิธีการอื่น ๆ
ที่จำเป็นต้องกำหนดหรือบัญญัติขึ้นภายในประเทศเพื่อรองรับการดำเนินงานที่เกี่ยวข้อง
พร้อมทั้งเป็นผู้พิจารณาโครงการด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของประเทศไทยที่ต้องการขอรับการสนับสนุนทางการเงินจากกองทุนภูมิอากาศสีเขียวให้ถูกต้องตามระเบียบราชการต่อไป”
เป็น “มอบหมายกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม เป็นผู้จัดทำกฎหมาย
กฎเกณฑ์ ระเบียบ ข้อบังคับ ตลอดจนรูปแบบวิธีการอื่น ๆ ที่จำเป็นต้องกำหนดหรือบัญญัติขึ้นภายในประเทศเพื่อรองรับการดำเนินงานที่เกี่ยวข้อง
พร้อมทั้งเป็นผู้พิจารณโครงการด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของประเทศไทยที่ต้องการขอรับการสนับสนุนทางการเงินจากกองทุนภูมิอากาศสีเขียวให้ถูกต้องตามระเบียบราชการต่อไป”
ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2429 | รายงานผลการวิเคราะห์ดัชนีการรับรู้การทุจริต ประจำปี พ.ศ. 2566 (Corruption Perceptions Index: CPI 2023) และรายงานผลการขับเคลื่อนการยกระดับค่าคะแนนดัชนีการรับรู้การทุจริต ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 | ปปท. | 04/06/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการวิเคราะห์ดัชนีการรับรู้การทุจริต ประจำปี
พ.ศ. ๒๕๖๖ (Corruption
Perceptions Index : CPI 2023) และรายงานผลการขับเคลื่อนการยกระดับค่าคะแนนดัชนีการรับรู้การทุจริต
ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๖ ซึ่งไทยได้คะแนน CPI ๓๕ คะแนน
(จากคะแนนเต็ม ๑๐๐ คะแนน) อยู่ในอันดับที่ ๑๐๘ (จาก ๑๘๐ ประเทศ
ที่ได้รับการประเมิน) และอยู่ในอันดับที่ ๔ ของอาเซียน (ลดลงจากปี ๒๕๖๕ ที่ได้ ๓๖
คะแนน อยู่ในอันดับที่ ๑๐๑) ตามที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2430 | มาตรการรับมือฤดูฝน ปี 2567 และโครงการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำในช่วงฤดูฝน ปี 2567 และการกักเก็บน้ำเพื่อฤดูแล้ง ปี 2567/2568 | นร.14 | 04/06/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบมาตรการรับมือฤดูฝน
ปี ๒๕๖๗ และโครงการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำในช่วงฤดูฝน ปี ๒๕๖๗
และการกักเก็บน้ำเพื่อฤดูแล้ง ปี ๒๕๖๗/๒๕๖๘ และมอบหมายหน่วยงานดำเนินการตามมาตรการดังกล่าว
โดยรายงานให้คณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติทราบ พร้อมทั้งสรุปผลการดำเนินงานรายงานคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบต่อไป
ตามที่คณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติเสนอ ให้คณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ
สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
ดังนี้ สำนักงบประมาณ เห็นว่าค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นควรให้สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีที่ได้รับการจัดสรรหรือพิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ
หรือโอนจัดสรรหรือเปลี่ยนแปลงเงินจัดสรร แล้วแต่กรณี
ตามระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ และระเบียบว่าด้วยการโอนงบประมาณรายจ่ายบูรณาการ
และงบประมาณรายจ่ายบุคลากรระหว่างหน่วยรับงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒
หรือใช้จ่ายจากเงินนอกงบประมาณ ในโอกาสแรกก่อน โดยคำนึงถึงความครอบคลุมของทุกแหล่งเงิน
ความประหยัด ความคุ้มค่า ผลสัมฤทธิ์ และประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับเป็นสำคัญด้วย
ทั้งนี้ เพื่อให้การดำเนินมาตรการรับมือฤดูฝน ปี ๒๕๖๗
เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น และควรจัดลำดับความสำคัญของพื้นที่และโครงการที่มีความจำเป็นเร่งด่วน
เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของกลุ่มเป้าหมายที่ได้รับผลกระทบในพื้นที่เสี่ยงการเกิดอุทกภัยให้สามารถแก้ไขปัญหาได้ตรงความต้องการของประชาชนและทันต่อสถานการณ์
รวมทั้งนำผลการดำเนินการมาตรการรับมือฤดูฝนในปีที่ผ่านมา
และปัญหาอุปสรรคในการดำเนินการต่าง ๆ มาใช้ประกอบการดำเนินการตามมาตรการดังกล่าวต่อไปด้วย สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เห็นว่าโครงการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำในช่วงฤดูฝน
ปี ๒๕๖๗ และการกักเก็บน้ำเพื่อฤดูแล้ง ปี ๒๕๖๗/๒๕๖๘ เนื่องจากงบประมาณปี ๒๕๖๗
มีความล่าช้า โดยได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ ๒๖ เมษายน ๒๕๖๗
และปัจจุบันอยู่ระหว่างการเสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณ ปี พ.ศ. ๒๕๖๘
ของหน่วยงานต่าง ๆ ดังนั้น
ควรให้หน่วยงานผนวกแผนงานโครงการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำในช่วงฤดูฝน
ปี ๒๕๖๗ และการกักเก็บน้ำเพื่อฤดูแล้ง ปี ๒๕๖๗/๒๕๖๘ เข้าสู่กระบวนการขอรับการจัดสรรงบประมาณ
ปี พ.ศ. ๒๕๖๘ เพื่อให้การกลั่นกรองตรวจสอบความคุ้มค่าและลดความซ้ำซ้อนของแผนงานและโครงการได้อย่างรอบคอบ |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2431 | ผลการพิจารณารายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง ข้อเสนอเชิงนโยบายการจัดการศึกษารูปแบบ Fast Track สำหรับบุคคลที่มีสมรรถนะสูง ของคณะกรรมาธิการการศึกษา วุฒิสภา | ศธ. | 04/06/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการพิจารณารายงานการพิจารณาศึกษา
เรื่อง ข้อเสนอเชิงนโยบายการจัดการศึกษารูปแบบ Fast
Track สำหรับบุคคลที่มีสมรรถนะสูง ของคณะกรรมาธิการการศึกษา วุฒิสภา
ซึ่งได้พิจารณาร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้ว สรุปได้ว่ากรอบคุณวุฒิแห่งชาติครอบคลุมกรอบคุณวุฒิการศึกษาที่เน้นการประเมินผลลัพธ์การเรียนรู้ตามสมรรถนะของบุคคลทั้งคุณวุฒิทางการศึกษา
และมาตรฐานอาชีพ และกระทรวงศึกษาธิการได้ดำเนินการจัดทำกรอบคุณวุฒิแห่งชาติ
(ฉบับปรับปรุง) เพื่อใช้เป็นกลไกในการเชื่อมโยงระบบการเรียนรู้ของภาคการศึกษาให้ยึดโยงกับมาตรฐานการปฏิบัติงานที่ตลาดแรงงานยอมรับ
และได้จัดทำแผนปฏิบัติการด้านการผลิตและพัฒนากำลังคนในสาขาอาชีพที่มีความจำเป็นเร่งด่วนต่อการพัฒนาประเทศตามกรอบคุณวุฒิแห่งชาติ
พ.ศ. ๒๕๖๒ - ๒๕๖๕
เพื่อเป็นต้นแบบในการพัฒนาความร่วมมือกับกลุ่มอุตสาหกรรมอันจะนำไปสู่การจัดทำหลักสูตรฐานสมรรถนะที่เชื่อมโยงกับมาตรฐานอาชีพ
รวมถึงได้ทดลองนำร่องจัดตั้งธนาคารหน่วยกิตระดับจังหวัดใน ๔ ภูมิภาคของประเทศไทย เพื่อสร้างระบบการสะสมและการเทียบโอนหน่วยการเรียนทั้งการศึกษาในระบบและการศึกษานอกระบบให้มีความยืดหยุ่นหลากหลายในช่วงวัยเรียน
และวัยทำงาน โดยจะมีการพัฒนาแพลตฟอร์มเพื่อพร้อมรองรับได้อย่างสะดวก
และง่ายต่อการดำเนินการ ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ
และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาทราบต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2432 | วงเงินงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 | นร.07 | 04/06/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบวงเงินงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๗ โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๓
เมษายน ๒๕๖๗ สำหรับการดำเนินการโครงการเติมเงิน ๑๐,๐๐๐ บาท ผ่าน Digital Wallet ของรัฐบาล
ซึ่งเป็นการเพิ่มปริมาณเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจได้อย่างทั่วถึงและสอดคล้องกับสถานการณ์ในปัจจุบัน
โดยสามารถกระจายไปทุกพื้นที่ให้หมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจถึงระดับฐานรากเพื่อช่วยยกระดับคุณภาพชีวิต
สร้างโอกาสในการประกอบอาชีพของประชาชนและภาคธุรกิจ
และเป็นการวางรากฐานเศรษฐกิจดิจิทัลให้กับประเทศต่อไป ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ ทั้งนี้ ให้กระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของธนาคารแห่งประเทศไทยและข้อสังเกตของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
ดังนี้ ธนาคารแห่งประเทศไทย ที่เห็นควรพิจารณาจัดการกับความเสี่ยงทางการคลังที่อาจเกิดขึ้นในระยะข้างหน้าควบคู่ไปด้วย
โดยเฉพาะหนี้สาธารณะและภาระดอกเบี้ยภาครัฐที่เพิ่มขึ้น
ซึ่งอาจส่งผลต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนและต้นทุนการระดมทุนของภาครัฐและเอกชน
อีกทั้งควรให้ความสำคัญกับการปฏิรูปและเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บรายได้รัฐบาลอย่างเป็นรูปธรรม
รวมถึงดำเนินนโยบายภาษีที่ก่อให้เกิดการสูญเสียรายได้รัฐบาลเท่าที่จำเป็น
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2433 | ร่างเอกสารผลลัพธ์การประชุมรัฐมนตรีท่องเที่ยวเอเปค ครั้งที่ 12 | กก. | 04/06/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบต่อร่างเอกสารผลลัพธ์การประชุมรัฐมนตรีท่องเที่ยวเอเปค
ครั้งที่ ๑๒ และอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายร่วมรับรองร่างเอกสารฯ
จำนวน ๓ ฉบับ ได้แก่ ๑) ร่างถ้อยแถลงการประชุมรัฐมนตรีท่องเที่ยวเอเปค ครั้งที่ ๑๒
มีสาระสำคัญเป็นการเน้นย้ำถึงความจำเป็นในการใช้นวัตกรรมใหม่เพื่อรับมือกับความท้าทายในภาคการท่องเที่ยวในปัจจุบัน
รวมถึงการดำเนินธุรกิจอย่างเป็นทางการและการพัฒนาการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน ๒)
ร่างข้อเสนอเชิงนโยบาย “หลักการในการป้องกันและลดการสูญเสียอาหารและขยะอาหารในภูมิภาคเอเชีย
- แปซิฟิก” มีสาระสำคัญเกี่ยวกับโครงการวิจัยที่จัดทำขึ้นโดยสาธารณรัฐเปรู ซึ่งได้ระบุเกี่ยวกับปัญหาของการทำอาหารที่เกี่ยวข้องกับการสร้างขยะอาหารในภาคการท่องเที่ยว
และได้มีข้อเสนอแนะซึ่งจะช่วยสนับสนุนหลักการของเอเปคสำหรับการป้องกันและลดการสูญเสีย
และขยะอาหารในภูมิภาคเอเชีย - แปซิฟิก (หลักการเอเปค) ให้เป็นรูปธรรม และ ๓)
ร่างแนวคิดโครงการ “แพลตฟอร์มเอเปคเพื่อเผยแพร่โอกาสความร่วมมือด้านการท่องเที่ยวในภูมิภาคเอเชีย
- แปซิฟิก จัดทำขึ้นโดยสาธารณรัฐเปรู
ซึ่งมีเป้าหมายในการสร้างแพลตฟอร์มการจัดการข้อมูลด้านการท่องเที่ยว
เพื่อส่งเสริมความร่วมมือระหว่างประเทศในภาคการท่องเที่ยว
และอำนวยความสะดวกในการทำงานร่วมกัน การถ่ายทอดความรู้ การแลกเปลี่ยนโอกาสด้านความร่วมมือที่มีอยู่
และการจัดการทรัพยากรที่มีประสิทธิภาพ เพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนในภูมิภาคเอเชีย
- แปซิฟิก ตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอ ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬารับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
ดังนี้ กระทรวงการต่างประเทศ เห็นว่าร่างเอกสารฯ จำนวน ๓
ฉบับ ไม่เป็นสนธิสัญญาตามกฎหมายระหว่างประเทศ และไม่เป็นหนังสือสัญญาตามมาตรา ๑๗๘
ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย เห็นควรเพิ่มการอ้างถึงแผนงานสำคัญที่เกี่ยวข้องของเอเปค
โดยอาจเสนอเพิ่มบางถ้อยคำในร่างถ้อยแถลงฯ และกรรมการอาจใช้โอกาสการเจรจาร่างถ้อยแถลงฯ
แจ้งท่าทีไทยดังกล่าวตามความเหมาะสม สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
เห็นควรดำเนินการเชิงรุกโดยเฉพาะจัดเตรียมแผนงาน/โครงการในการขับเคลื่อนการท่องเที่ยวของประเทศไทยให้เป็นไปตามทิศทางที่ประเทศสมาชิกในภูมิภาคเห็นชอบร่วมกัน
รวมทั้งผลักดันให้มีการจัดการขยะอาหารที่เกิดขึ้นจากการท่องเที่ยวอย่างจริงจังที่เป็นโอกาสสร้างความร่วมมือในการพัฒนาการท่องเที่ยวของประเทศให้มีความยั่งยืนมากขึ้น
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2434 | การขับเคลื่อนความร่วมมือและการเข้าเป็นภาคีความตกลงในกรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจอินโด-แปซิฟิก (Indo-Pacific Economic Framework: IPEF) | กต. | 04/06/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ รับทราบ เห็นชอบ และอนุมัติ
ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑. รับทราบผลการเข้าร่วมกิจกรรมระดับผู้นำกรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจอินโด-แปซิฟิก
และการรับรองถ้อยแถลงระดับผู้นำฯ ๒. เห็นชอบต่อร่างความตกลงว่าด้วยกรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจอินโด-แปซิฟิก
เพื่อความเจริญรุ่งเรือง (Agreement on the Indo-Pacific Economic
Framework for Prosperity) ร่างความตกลงกรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจอินโด-แปซิฟิกเพื่อความเจริญรุ่งเรืองว่าด้วยเศรษฐกิจที่สะอาดและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
(Indo-Pacific Economic Framework for Prosperity
Agreement Relating to a Clean Economy) และร่างความตกลงกรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจอินโด-แปซิฟิกเพื่อความเจริญรุ่งเรืองว่าด้วยเศรษฐกิจที่เป็นธรรม
(Indo-Pacific Economic Framework for Prosperity
Agreement Relating to a Fair Economy) ๓. เห็นชอบการเข้าร่วมเป็นภาคีความตกลงฯ
ข้างต้นทั้ง ๓ ฉบับ
และอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศหรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายลงนามร่างความตกลงฯ
ข้างต้น ทั้งนี้ ในกรณีมอบหมายผู้แทน
เห็นชอบการมอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศออกหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้ผู้แทนดังกล่าวลงนามร่างความตกลงฯ ๔.
มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องเพื่อให้ความตกลงฯ ข้างต้นทั้ง
๓ ฉบับมีผลใช้บังคับกับประเทศไทย ๕.
มอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการจัดทำสัตยาบันสารของความตกลงฯ ข้างต้นทั้ง
๓ ฉบับ เพื่อมอบให้กับผู้เก็บรักษา (Depositary)
ความตกลงฯ ต่อไป
เมื่อฝ่ายไทยได้ดำเนินกระบวนการที่จำเป็นสำหรับการมีผลใช้บังคับของความตกลงฯ
เสร็จสิ้นแล้ว โดยผลการประชุมและการเข้าร่วมกิจกรรมระดับผู้นำ IPEF เมื่อวันที่ ๑๖ พฤศจิกายน ๒๕๖๖ ณ นครซานฟรานซิสโก สหรัฐอเมริกา
รับทราบการจัดทำข้อริเริ่มและการดำเนินโครงการความร่วมมืออย่างเป็นรูปธรรมที่สำคัญ
เช่น และการจัดตั้งกองทุน IPEF Catalytic Capital Fund เป็นต้น
และการรับรองถ้อยแถลงระดับผู้นำ IPEF มีสาระสำคัญ เช่น
การลงนามร่างความตกลงสำหรับเสาความร่วมมือทั้ง ๔ เสา และการแสวงหาความร่วมมือเพิ่มเติมที่จะเป็นประโยชน์ร่วมกัน
เช่น กลไกความร่วมมือด้านพลังงานและเทคโนโลยี เป็นต้น และต่อมาไทยและสหรัฐอเมริกา
ได้ร่วมกันเป็นเจ้าภาพจัดประชุมระดับรัฐมนตรี IPEF ผ่านระบบทางไกล
(๑๔ มีนาคม ๒๕๖๗) ซึ่งที่ประชุมได้รับทราบว่า จะมีการประชุมระดับรัฐมนตรี
IPEF ณ สิงคโปร์
ระหว่างวันที่ ๕ - ๖ มิถุนายน ๒๕๖๗ และจะมีการรับรองร่างความตกลงฯ จำนวน ๓ ฉบับ
มีสาระสำคัญเป็นไปตามกรอบการเจรจาฯ
ที่ได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีแล้ว (๒๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๖ และ ๑๐ ตุลาคม ๒๕๖๖)
แล้ว ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างความตกลงฯ
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ให้กระทรวงการต่างประเทศและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ที่เห็นว่าจำเป็นต้องวิเคราะห์และประเมินผลการดำเนินงานภายใต้กรอบความร่วมมือดังกล่าว
รวมทั้งสื่อสารผลลัพธ์ การดำเนินงานให้ภาคเอกชน
ประชาสังคมและสาธารณชนได้รับทราบถึงประโยชน์ที่ประเทศไทยพึงจะได้รับ เพื่อส่งเสริมการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนในการดำเนินงานของประเทศไทยภายใต้กรอบ
IPEF ด้วย ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2435 | ร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านกฎหมายและยุติธรรมระหว่างกระทรวงยุติธรรมแห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงยุติธรรมแห่งราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย | ยธ. | 04/06/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านกฎหมายและยุติธรรมระหว่างกระทรวงยุติธรรมแห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงยุติธรรมแห่งราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย
และอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม
หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมเป็นผู้ลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจฯ
โดยร่างบันทึกความเข้าใจฯ
โดยมีสาระสำคัญเป็นการส่งเสริมความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศในมิติความร่วมมือด้านกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม
เช่น การแลกเปลี่ยนประสบการณ์ ข้อมูล และความเชี่ยวชาญ การจัดการประชุม และการฝึกอบรมทางวิชาการ
ตลอดจนการประชุมเชิงปฏิบัติการที่เกี่ยวข้องกับกิจการด้านกระบวนการยุติธรรมและกฎหมาย
ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ ทั้งนี้
หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างบันทึกความเข้าใจฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงยุติธรรมดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
ด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2436 | การขอใช้งบประมาณคงเหลือจากการจ่ายค่ารื้อย้าย/ค่าชดเชย สำหรับงานก่อสร้างระบบสาธารณูปโภคในพื้นที่รองรับการอพยพราษฎร 5 หมู่บ้าน (เพิ่มเติม) | พน. | 04/06/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบการก่อสร้างระบบสาธารณูปโภคในพื้นที่รองรับการอพยพราษฎร ๕
หมู่บ้าน (เพิ่มเติม) จำนวน ๗ รายการ โดยใช้งบประมาณจำนวน ๘๒,๕๘๔,๐๐๐ บาท
จากวงเงินงบประมาณที่ได้รับอนุมัติในหลักการไว้แล้ว ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๑๕ ตุลาคม ๒๕๕๖ จำนวน ๒,๙๗๐,๕๐๐,๐๐๐ บาท ซึ่งแบ่งออกเป็นค่ารื้อย้าย/ค่าชดเชย อพยพราษฎร ๕ หมู่บ้าน จำนวน
๒,๑๓๘,๐๐๐,๐๐๐ บาท
และค่าใช้จ่ายในการก่อสร้างระบบสาธารณูปโภคในพื้นที่รองรับการอพยพราษฎร จำนวน ๘๓๒,๕๐๐,๐๐๐ บาท
โดยการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยคาดว่าจะมีค่ารื้อย้าย/ค่าชดเชย เกิดขึ้นจริง
จำนวน ๑,๗๑๙,๐๓๙,๐๐๐
บาท คงเหลือจำนวน ๔๑๘,๙๖๑,๐๐๐ บาท
ซึ่งงบประมาณคงเหลือดังกล่าวครอบคลุมและเพียงพอกับการจ่ายค่ารื้อย้าย/ค่าชดเชย
ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตแล้ว และกรณีในอนาคตหากงบประมาณการก่อสร้างระบบสาธารณูปโภคในพื้นที่รองรับการอพยพราษฎร
๕ หมู่บ้าน ไม่เพียงพอ เห็นควรให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานสามารถพิจารณาอนุมัติการใช้งบประมาณคงเหลือจากงบประมาณค่ารื้อย้าย/ค่าชขดเชย
ดังกล่าว เพื่อใช้สำหรับงานก่อสร้างระบบสาธารณูปโภคในพื้นที่รองรับการอพยพราษฎร ๕
หมู่บ้าน (เพิ่มเติม) เป็นรายกรณีตามความจำเป็น โดยไม่กระทบต่องบประมาณที่ได้รับอนุมัติในหลักการไว้แล้ว
ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๕ ตุลาคม ๒๕๕๖ ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ ให้กระทรวงพลังงาน
(การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย) รับความเห็นของสำนักงบประมาณ
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และกระทรวงมหาดไทยไปดำเนินการต่อไปอย่างเคร่งครัด
รวมทั้งให้รับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
เช่น สำนักงบประมาณ เห็นควรจะต้องปฏิบัติตามกฎหมาย
ระเบียบ ข้อบังคับ มติคณะรัฐมนตรี และหนังสือเวียนที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนมาตรฐานของทางราชการให้ถูกต้องครบถ้วนในทุกขั้นตอน
โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของทางราชการและประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับเป็นสำคัญ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
เห็นควรพิจารณาดำเนินการให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี
เมื่อวันที่ ๑๕ ตุลาคม ๒๕๕๖ อย่างเคร่งครัด โดยในระยะต่อไป
กรณีมีความจำเป็นต้องก่อสร้างสาธารณูปโภคเพิ่มเติมนอกเหนือจากวัตถุประสงค์ตามที่ได้รับอนุมัติไว้
เห็นควรให้เป็นหน้าที่หน่วยงานรับผิดชอบพิจารณาขอรับจัดสรรจากแหล่งเงินงบประมาณ
กองทุนพัฒนาไฟฟ้า หรือแหล่งเงินอื่นตามขั้นตอนต่อไป |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2437 | หลักการแนวทางการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจากสินค้านำเข้าราคาไม่เกิน 1,500 บาท (De minimis threshold) เป็นการชั่วคราว | กค. | 04/06/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบหลักการแนวทางการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจากสินค้านำเข้าราคาไม่เกิน
๑,๕๐๐ บาท (De minimis
threshold) เป็นการชั่วคราว ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๒. เห็นชอบในหลักการร่างประกาศกระทรวงการคลัง
เรื่อง การยกเว้นอากรศุลกากรสำหรับของที่มีมูลค่าไม่เกิน ๑,๕๐๐ บาท มีสาระสำคัญเป็นการยกเว้นอากรสำหรับของที่นำเข้าซึ่งแต่ละรายผู้รับในประเทศมีราคารวมค่าขนส่งและค่าประกันภัย
(Cost Insurance and Freight : CIF) ที่มีมูลค่ามากกว่า ๑
บาทแต่ไม่เกิน ๑,๕๐๐ บาท โดยให้มีผลใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนด
๑๕ วัน นับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษา จนถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๖๗ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน
แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๓. รับทราบร่างประกาศกรมศุลกากร ที่ ../๒๕๖๗ เรื่อง
กำหนดราคาของที่นำเข้า ซึ่งได้รับยกเว้นอากรตามประเภท ๑๒ ภาค ๔
แห่งพระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. ๒๕๓๐ มีสาระสำคัญเป็นการยกเว้นอากรศุลกากรให้ของที่นำเข้าซึ่งมีราคาไม่เกิน
๑ บาท โดยให้มีผลใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนด ๑๕ วันนับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษา
จนถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๖๗ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๔.
ให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์
และสำนักงบประมาณไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย เช่น กระทรวงพาณิชย์ เห็นว่าในการยกร่างกฎหมายแก้ไขประมวลรัษฎากรจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องคำนึงถึงพันธกรณีตามอนุสัญญาระหว่างประเทศ
ตามแนวปฏิบัติสากล (International Practices) ซึ่งเกี่ยวข้องกับการนำเข้า
ส่งออก และการค้าระหว่างประเทศ สำนักงบประมาณ เห็นควรสร้างการรับรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับมาตรการภาษีดังกล่าวให้กับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในโอกาสแรก
รวมทั้งจัดทำประมาณการรายได้เพื่อกำหนดไว้ในแผนการคลังระยะปานกลางให้ถูกต้องครบถ้วน
และใช้เป็นกรอบในการวางแผนการดำเนินการทางการเงินการคลังและงบประมาณของประเทศ
ตลอดจนติดตามประเมินผลสัมฤทธิ์และรายงานผลการดำเนินการตามมาตรการภาษีดังกล่าวเมื่อสิ้นสุดระยะเวลาดำเนินการ
ตามนัยแห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ ต่อไป ๕. ให้กระทรวงพาณิชย์ร่วมกับกระทรวงอุตสาหกรรม
(สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม : สมอ.) กระทรวงสาธารณสุข (สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา :
อย.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องศึกษาความเหมาะสมและพิจารณาความเป็นไปได้ในการกำหนดให้สินค้านำเข้าจากต่างประเทศที่สั่งซื้อผ่าน
e-Commerce Platform ต่าง ๆ ต้องมีมาตรฐานตามที่
สมอ. หรือ อย. กำหนด ตามแต่กรณี ทั้งนี้
เพื่อเป็นการคุ้มครองผู้บริโภคและสร้างความเป็นธรรมให้แก่ผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม
(SMEs) ในประเทศให้สามารถแข่งขันได้ในตลาดสินค้าประเภทเดียวกัน |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2438 | การร่วมมือระหว่างประเทศในการจัดงานนิทรรศการเกี่ยวกับความคิดสร้างสรรค์ | นร. | 04/06/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า สืบเนื่องจากการเดินทางไปเยือนประเทศต่าง ๆ หลายประเทศ เช่น สาธารณรัฐฝรั่งเศส
สาธารณรัฐอิตาลี และได้มีโอกาสเข้าเยี่ยมชมนิทรรศการต่าง ๆ
หลายครั้งเกี่ยวกับการใช้ความคิดสร้างสรรค์ในแง่มุมต่าง ๆ ซึ่งหากมีการจัดทำความร่วมมือและการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างกันก็จะช่วยให้งานด้านเศรษฐกิจสร้างสรรค์ของไทยเจริญเติบโตและมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลมากยิ่งขึ้น
จึงขอให้สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (องค์การมหาชน)
เป็นหน่วยงานหลักรับเรื่องนี้ไปพิจารณาดำเนินการประสานงานกับหน่วยงานของรัฐและของเอกชนในต่างประเทศตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป
แล้วให้รายงานผลการดำเนินการต่อรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นางสาวจิราพร
สินธุไพร) พิจารณาก่อนนำเสนอต่อคณะรัฐมนตรีต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2439 | ขอความร่วมมือในการฟื้นฟูที่ดินเนื่องในวันสิ่งแวดล้อมโลก 5 มิถุนายน | นร. | 04/06/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า ตามที่องค์การสหประชาชาติได้กำหนดให้วันที่
๕ มิถุนายนของทุกปีเป็นวันสิ่งแวดล้อมโลก โดยในปี ๒๕๖๗ นี้ ได้กำหนดแนวคิดให้มีการรณรงค์เกี่ยวกับเรื่อง
“Land Restoration, Desertification and Drought Resilience” โดยมุ่งเน้นการฟื้นฟูที่ดิน
การต่อต้านการแปรสภาพเป็นทะเลทราย และการฟื้นตัวจากภัยแล้ง ในการนี้จึงขอมอบหมายให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดดำเนินการประชาสัมพันธ์เผยแพร่ความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับความจำเป็นในการบำรุงรักษาและฟื้นฟูคุณภาพของที่ดินและพื้นที่เพาะปลูกต่าง
ๆ ให้แก่เกษตรกรและประชาชนทุกภาคส่วนให้ชัดเจน ทั่วถึง และต่อเนื่อง
ซึ่งจะสามารถช่วยแก้ไขปัญหาความเสื่อมโทรมของที่ดินที่เป็นแหล่งเพาะปลูก ช่วยให้ประชาชนมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น
ลดความยากจน รวมทั้งช่วยสร้างภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
ลดการเกิดภัยแล้ง เพิ่มพื้นที่การกักเก็บคาร์บอน
และช่วยลดผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อมในภาพรวมด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2440 | การแก้ไขปัญหาด้านแรงงานที่เป็นผลจากสภาวการณ์ทางเศรษฐกิจที่ไม่เติบโตเท่าที่ควร | นร. | 04/06/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า สืบเนื่องจากสภาวการณ์ทางเศรษฐกิจของประเทศที่ไม่เติบโตเท่าที่ควรมาอย่างต่อเนื่อง
ส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจของภาคเอกชน รวมถึงโรงงานต่าง ๆ ทั่วประเทศ
ทำให้ต้องมีการเลิกจ้างพนักงานหรือจำเป็นต้องปิดตัวลง
จึงขอมอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (นายพิชัย ชุณหวชิร) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
ร่วมกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
เร่งดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงและศึกษารายละเอียดในเรื่องนี้โดยด่วน
และให้พิจารณากำหนดมาตรการในการกระตุ้นเศรษฐกิจและมาตรการเยียวยาผู้ประกอบการและแรงงานให้เหมาะสม
ชัดเจน แล้วให้นำเสนอต่อคณะรัฐมนตรีโดยด่วนในคราวประชุมครั้งต่อไป
|