ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1010 จากทั้งหมด 6215 หน้า แสดงรายการที่ 20181 - 20200 จากข้อมูลทั้งหมด 124282 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
20181 | ขออนุมัติงบประมาณเงินอุดหนุนศูนย์ซีมีโอ สปาฟา 5 ปี ระยะที่ 7 | ศธ | 02/08/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและอนุมัติตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบผลการดำเนินงานศูนย์ระดับภูมิภาคว่าด้วยโบราณคดีและวิจิตรศิลป์ขององค์การรัฐมนตรีศึกษาแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (ศูนย์ซีมีโอ สปาพา) ระยะที่ ๑-๖ (พ.ศ. ๒๕๓๐-๒๕๖๐) สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑.๑ ผลการดำเนินงานศูนย์ซีมีโอ สปาฟา ระยะที่ ๑-๖ (พ.ศ. ๒๕๓๐-๒๕๖๐) ได้ดำเนินโครงการตามวัตถุประสงค์ของศูนย์ซีมีโอ สปาฟา รวมทั้งสิ้น ๒๓๑ โครงการ แบ่งออกเป็น ๕ ด้าน ได้แก่ ด้านโบราณคดี ด้านทัศนศิลป์ ด้านศิลปะการแสดง ด้านการอนุรักษ์มรดกวัฒนธรรมในเขตร้อนชื้น และโครงการความร่วมมือกับหน่วยงานอื่น และโครงการด้านอื่น ๆ มีผู้เข้าร่วมกิจกรรมจากประเทศสมาชิก รวมทั้งสิ้น ๓,๑๙๘ คน นอกจากนี้ ศูนย์ซีมีโอ สปาฟา ได้บุกเบิกงานโบราณคดีใต้น้ำ ตั้งแต่ปี ๒๕๒๑ จนถึงปัจจุบัน และสนับสนุนงบประมาณให้กับนักศึกษาคณะโบราณคดีและมหาวิทยาลัยศิลปากรจัดกิจกรรมฝึกอบรมโบราณคดีใต้น้ำภาคฤดูร้อนของทุกปี โดยในปี ๒๕๕๖ ศูนย์ซีมีโอ สปาฟา สามารถจัดตั้งเวทีการประชุมนานาชาติ เรื่อง โบราณคดีเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในภูมิภาคได้เป็นครั้งแรก ๑.๑.๒ จากการประเมินผลการดำเนินงานของศูนย์ซีมีโอ สปาฟา ภายใต้แผน ๕ ปี ระยะที่ ๑-๕ (พ.ศ. ๒๕๓๐-๒๕๕๙) มีข้อเสนอแนะว่า ศูนย์ซีมีโอ สปาฟา ควรนำระบบเทคโนโลยีสารสนเทศและการประชุมทางไกล (Video Conference) มาใช้ในการดำเนินงานจัดประชุมและฝึกอบรม และควรสมัครขอรับทุนการสนับสนุนด้านงบประมาณจากหน่วยงานอื่นทั้งภาครัฐและเอกชน รวมทั้งปรับทิศทางและกลุ่มเป้าหมายของผู้ที่จะได้ประโยชน์จากโครงการของศูนย์ซีมีโอ สปาฟา ให้รวมถึงประชาชนทั่วไป ตั้งแต่เด็กไปจนถึงผู้สูงอายุ และควรใช้สื่อการประชาสัมพันธ์มาใช้ในการบริหารจัดการให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ๑.๑.๓ ศูนย์ซีมีโอ สปาฟา เสนอของบประมาณในการดำเนินงาน ๕ ปี ระยะที่ ๗ (ปีงบประมาณศูนย์ซีมีโอ สปาฟา ๒๕๖๐/๒๕๖๑ ถึง ๒๕๖๔/๒๕๖๕) เป็นจำนวนเงิน ๑๗๑,๓๐๗,๖๒๐ บาท ซึ่งเป็นงบประมาณรายจ่ายสำหรับงบบุคลากร งบดำเนินงาน และงบลงทุน ๑.๒ อนุมัติวงเงินงบประมาณเพื่อใช้ในการดำเนินงานของศูนย์ซีมีโอ สปาฟา แผนพัฒนา ๕ ปี ระยะที่ ๗ (ปีงบประมาณศูนย์ซีมีโอ สปาฟา ๒๕๖๐/๒๕๖๑ ถึง ๒๕๖๔/๒๕๖๕) จำนวน ๑๑๑,๒๒๗,๙๐๐ บาท ตามกรอบงบประมาณของสำนักงบประมาณ ๒. ให้ศูนย์ซีมีโอ สปาฟา พิจารณาดำเนินการตามข้อเสนอแนะจากรายงานผลการประเมินผลการดำเนินงานของศูนย์ซีมีโอ สปาฟา ภายใต้แผนพัฒนา ๕ ปี ระยะที่ ๑-๖ (๒๕๓๐-๒๕๖๐) ต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
20182 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงสาธารณสุข) (นางมนัสนันท์ ลิมปวิทยากุล) | สธ | 02/08/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นางมนัสนันท์ ลิมปวิทยากุล ข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งนักวิชาการสาธารณสุขทรงคุณวุฒิ (ผู้ทรงคุณวุฒิ ด้านวิจัย) กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ตั้งแต่วันที่ ๓๐ ธันวาคม ๒๕๕๘ ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
20183 | รายงานผลการดำเนินการตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | ยธ | 02/08/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ซึ่งกระทรวงยุติธรรมได้ประชุมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้ว โดยได้พิจารณาการดำเนินการตามแผนและการเตรียมความพร้อมในการบังคับใช้กฎหมายใน ๓ ด้านหลัก ได้แก่ (๑) การจัดทำคู่มือจากกฎหมายฉบับใหม่ (๒) การจัดทำแผนฝึกอบรมบุคลาการและเจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้องในการปฏิบัติงาน และ (๓) การเผยแพร่ประชาสัมพันธ์และสร้างความรู้ให้แก่ประชาชน ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติทราบต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
20184 | ขออนุมัติการดำเนินงานด้านมาตรฐานรหัสสินค้าและบริการ | ทก | 02/08/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร โดยสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) เป็นศูนย์กลางในการประสานงานกับหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้มีการใช้การพัฒนามาตรฐานและระบบทะเบียนรหัสสินค้าและบริการของประเทศไทยที่จำเป็นสำหรับการซื้อขายทางออนไลน์ เช่น สำนักงานสถิติแห่งชาติ กรมบัญชีกลาง และกรมศุลกากร และสนับสนุนการทำงานร่วมกับภาคเอกชน เช่น สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เป็นต้น เพื่อให้มีการนำมาตรฐานรหัสสินค้าและบริการไปใช้อย่างแพร่หลายอันสอดคล้องกับมาตรฐานสากลต่อไป ตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
20185 | ผลการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมทางการค้า (Joint Trade Commission : JTC) ไทย - เมียนมา ครั้งที่ 7 | พณ | 02/08/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบผลการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมทางการค้า (Joint Trade Commission : JTC) ไทย-เมียนมา ครั้งที่ ๗ ระหว่างวันที่ ๗-๘ กรกฎาคม ๒๕๕๙ ณ กรุงเนปิดอว์ สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา และมอบหมายให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามผลการประชุมฯ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ในประเด็นต่าง ๆ ดังนี้ ๑.๑ ประเด็นที่ทั้งสองฝ่ายเห็นชอบร่วมกัน ได้แก่ เป้าหมายการค้าเพื่อให้บรรลุ ๑๐,๐๐๐-๑๒,๐๐๐ ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี ๒๕๖๐ ยุทธศาสตร์การสร้างความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจแม่สอด-เมียวดี และการปรับปรุงแก้ไขกฎระเบียบด้านการค้าและการลงทุนของเมียนมา ๑.๒ ประเด็นที่จะสนับสนุนการดำเนินการร่วมกันต่อไป ได้แก่ CLMVT Forum ความร่วมมือด้านการธนาคารและการเงิน การยกระดับ/เปิดจุดผ่านแดนเพิ่มเติม โครงการเขตเศรษฐกิจพิเศษทวาย การจัดตั้งระบบการตรวจแบบเบ็ดเสร็จจุดเดียว (Single Stop Inspection : SSI) ความร่วมมือด้านการพัฒนาบุคลากร ความร่วมมือโครงการเส้นทางสายผ้าทอ การส่งเสริมการลงทุนของไทยในเมียนมา การอนุญาตให้ใช้หนังสือผ่านแดน (Border Pass) เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวทางถนน และความร่วมมือภาคเอกชน ๑.๓ ประเด็นที่ฝ่ายไทยจะดำเนินการต่อไป ได้แก่ ความร่วมมือโครงการสร้างเครือข่ายผู้ประกอบการรุ่นใหม่ของไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน (Young Entrepreneur Network Development Program : YEN-D) การอนุญาตให้รถบรรทุกเมียนมาข้ามสะพานมิตรภาพไทย-เมียนมา แห่งที่ ๑ และการจัดมหกรรมการค้าชายแดน ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงกลาโหม กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติในประเด็นเกี่ยวกับการยกระดับ/เปิดจุดผ่านแดนเพิ่มเติม ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
20186 | รายงานผลการดำเนินงานป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ของประเทศไทย ประจำปี 2558 | พม | 02/08/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์รายงานผลการดำเนินงานป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ของประเทศไทย ประจำปี ๒๕๕๘ ซึ่งรัฐบาลได้จัดสรรงบประมาณเพื่อป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ จากเดิมในปี ๒๕๕๗ จำนวน ๑,๕๒๙.๖๘ ล้านบาท เป็น ๒,๕๙๐.๓๑ ล้านบาท ในปี ๒๕๕๘ โดยงบประมาณจำนวน ๕๐๘.๔๐ ล้านบาท หรือร้อยละ ๑๙ ของงบประมาณทั้งหมดได้จัดสรรเพื่อจัดระบบภาคการประมงของไทยให้ดีขึ้น และเพื่อขจัดการค้ามนุษย์ในอุตสาหกรรมประมงและกิจการต่อเนื่องประมงทะเล การออกนโยบาย มาตรการ และกฎระเบียบ เพื่อแก้ไขต้นเหตุของปัญหาการค้ามนุษย์สำหรับแก้ไขปัญหาเจ้าหน้าที่ของรัฐที่เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดค้ามนุษย์ การปิดจุดอ่อนทางกฎหมาย โดยแก้ไขกฎหมายและกฎระเบียบเพื่อเพิ่มบทลงโทษผู้กระทำความผิดและกำหนดมาตรการคุ้มครองผู้เสียหายให้ดีขึ้น การปฏิบัติการเชิงรุกมากขึ้น โดยใช้การวิเคราะห์ข่าวกรองนำการปราบปรามทำลายเครือข่ายขบวนการค้ามนุษย์ การเพิ่มประสิทธิภาพในการคัดแยกผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ และพัฒนากระบวนการคุ้มครองเงินช่วยเหลือและพัฒนาการให้บริการในสถานคุ้มครอง การจัดตั้งศูนย์บัญชาการแก้ไขปัญหาการทำการประมงผิดกฎหมาย เพื่อเป็นศูนย์กลางในการบูรณาการเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับการแก้ไขปัญหาดังกล่าว เข้มงวดในกระบวนการตรวจเรือเข้า-ออกท่า ตรวจโรงงานแปรรูปสัตว์น้ำ รวมทั้งผลักดันให้มีการจดทะเบียนแรงงานต่างด้าวในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ ยังได้ดำเนินการปกป้องแรงงานต่างด้าวที่ผิดกฎหมายโดยเฉพาะอย่างยิ่งชาวโรฮีนจา โดยให้ความสำคัญกับประเทศเพื่อนบ้านเพื่อหาทางออกในวิกฤตการโยกย้ายถิ่นฐานแบบไม่ปกติของชาวโรฮีนจา
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
20187 | สหรัฐอเมริกาจัดอันดับประเทศไทยอยู่ในระดับ 2 ที่ต้องถูกจับตามอง (Tier 2 Watch List) | พม | 02/08/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์รายงานว่า กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐอเมริกาได้เผยแพร่รายงานการค้ามนุษย์ TIP Report ประจำปี ค.ศ. ๒๐๑๖ อย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๙ โดยจัดระดับประเทศไทยดีขึ้นอยู่ในระดับ ๒ ที่ต้องจับตามอง (Tier 2 Watch List) เนื่องจากเห็นถึงความพยายามของประเทศไทยในการดำเนินงานป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ และให้ข้อเสนอแนะต่อประเทศไทยจำนวน ๑๗ ข้อ ทั้งนี้ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ได้ประชุมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เมื่อวันที่ ๗ กรกฎาคม ๒๕๕๙ เพื่อจัดทำแผนปฏิบัติการเร่งด่วนในการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ และจะมีการจัดประชุมคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ ที่มีรองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) เป็นประธาน ก่อนเสนอคณะกรรมการนโยบายแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์และการทำประมงผิดกฎหมาย ที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน เพื่อให้ความเห็นชอบแผนปฏิบัติการดังกล่าว และใช้เป็นกรอบในการติดตามการดำเนินงานของหน่วยงานต่าง ๆ และเป็นกรอบการจัดทำรายงานประจำปี ๒๕๕๙ ต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
20188 | แผนการขับเคลื่อนและปฏิรูปด้านการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์และระบบการศึกษา | นร04 | 02/08/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีรายงานว่า รองนายกรัฐมนตรี (พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง) รองประธานคณะกรรมการขับเคลื่อนและปฏิรูปด้านการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์และระบบการศึกษา ได้เสนอแผนการขับเคลื่อนและปฏิรูปด้านการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์และระบบการศึกษา โดยได้นำข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาเป็นข้อมูลในการยกร่างแผนการขับเคลื่อนดังกล่าว ภายใต้หลักการยึดประชาชนเป็นศูนย์กลาง มุ่งเน้นผลสัมฤทธิ์และยึดหลักธรรมาภิบาล มีคุณธรรม และการมีส่วนร่วม โดยแบ่งเป็น ๓ ด้าน ได้แก่ ด้านการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ทุกช่วงวัย ด้านการศึกษา และด้านแรงงาน ทั้งนี้ แผนการดำเนินการแบ่งเป็น ๔ ระยะ ได้แก่ ระยะเร่งด่วน (พฤษภาคม ๒๕๕๙-กันยายน ๒๕๕๙) ระยะสั้น (พฤษภาคม ๒๕๕๙-มีนาคม ๒๕๖๐) ระยะกลาง (ตุลาคม ๒๕๕๙-กรกฎาคม ๒๕๖๐) และระยะปฏิรูป (หลังกรกฎาคม ๒๕๖๐-๒๕๗๙)
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
20189 | ขออนุมัติลงนามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการป้องกัน ยับยั้ง และขจัดการทำประมงที่ผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม ระหว่างกระทรวงเกษตรและสหกรณ์แห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงมหาสมุทรและประมงแห่งสาธารณรัฐเกาหลี | กษ | 02/08/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการป้องกัน ยับยั้ง และขจัดการทำประมงที่ผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม (IUU) ระหว่างกระทรวงเกษตรและสหกรณ์แห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงมหาสมุทรและประมงแห่งสาธารณรัฐเกาหลี ที่จะมีการลงนามในระหว่างการเยือนสาธารณรัฐเกาหลีของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ระหว่างวันที่ ๗-๑๐ สิงหาคม ๒๕๕๙ โดยร่างบันทึกความเข้าใจฯ มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างความร่วมมือในการแก้ไขปัญหาการทำประมงที่ผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม รวมถึงการป้องกัน ปราบปราม และขจัดการทำประมงที่ผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุมของทั้งสองประเทศ โดยจะมีการแลกเปลี่ยนเทคโนโลยี ประสบการณ์และข้อมูลเพื่อการพัฒนาการประมง การแลกเปลี่ยนความเชี่ยวชาญด้านการบริหารจัดการและการวิจัยผ่านการฝึกอบรมลูกเรือประมง และการพัฒนาศักยภาพของบุคลากร ๑.๒ อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ หรือผู้ที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์มอบหมายเป็นผู้ลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจฯ ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับคำแปลฉบับภาษาไทย เช่น คำว่า “ข้อตกลงฉบับนี้” ในตอนท้ายของบันทึกความเข้าใจฯ ควรแก้ไขเป็น “บันทึกความเข้าใจฉบับนี้” เพื่อให้ถูกต้องตามรูปแบบของเอกสารที่จัดทำขึ้นในครั้งนี้ และควรใช้โอกาสจากบันทึกความเข้าใจฯ เพื่อศึกษาบทเรียน ประสบการณ์ และการพัฒนาระบบสารสนเทศและเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนการบูรณาการการทำงานของหน่วยงานภาครัฐและเอกชนของสาธารณรัฐเกาหลี เพื่อนำมาประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมกับการดำเนินการของประเทศไทย รวมทั้งการพิจารณายุทธศาสตร์ที่เหมาะสมเพื่อสร้างหุ้นส่วนด้านพาณิชย์นาวีและการประมงกับสาธารณรัฐเกาหลี เพื่อพัฒนาอุตสาหกรรมประมงอย่างยั่งยืน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงบันทึกความเข้าใจฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติหรือให้ความเห็นชอบ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ดำเนินการได้โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว ตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
20190 | ขออนุมัติลงนามข้อตกลงว่าด้วยการยอมรับร่วมการควบคุมคุณภาพและความปลอดภัยด้านสุขอนามัยในผลิตภัณฑ์ประมงนำเข้าและส่งออกระหว่างกระทรวงเกษตรและสหกรณ์แห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงมหาสมุทรและประมงแห่งสาธารณรัฐเกาหลี | กษ | 02/08/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างข้อตกลงว่าด้วยการยอมรับร่วมการควบคุมคุณภาพและความปลอดภัยด้านสุขอนามัยในผลิตภัณฑ์ประมงนำเข้าและส่งออกฉบับแก้ไข ระหว่างกระทรวงเกษตรและสหกรณ์แห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงมหาสมุทรและประมงแห่งสาธารณรัฐเกาหลี ที่จะมีการลงนามในระหว่างการเยือนสาธารณรัฐเกาหลีของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ระหว่างวันที่ ๗-๑๐ สิงหาคม ๒๕๕๙ โดยร่างข้อตกลงฉบับนี้แก้ไขจากความตกลงฉบับเดิมที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์แห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงพาณิชย์นาวีและกิจการประมงแห่งสาธารณรัฐเกาหลีได้เคยลงนามร่วมกันเมื่อวันที่ ๒๗ มิถุนายน ๒๕๔๙ มีวัตถุประสงค์เพื่อควบคุมคุณภาพและความปลอดภัยด้านสุขอนามัยในการนำเข้า-ส่งออกสินค้าประมงระหว่างสองประเทศ แต่เนื่องจากสาธารณรัฐเกาหลีได้เปลี่ยนชื่อคู่สัญญาหน่วยงานประสานหลักและหน่วยงานตรวจสอบ จึงจำเป็นต้องปรับแก้ข้อตกลงฉบับเดิมเพื่อให้สอดคล้องกับข้อเท็จจริง ๑.๒ อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ หรือผู้ที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์มอบหมายเป็นผู้ลงนามในร่างข้อตกลงฯ ฉบับแก้ไข ๑.๓ มอบหมายกระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้แก่ผู้ลงนาม ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรเร่งให้มีการศึกษาและทบทวนเพื่อลดขั้นตอนและระยะเวลาดำเนินการในการตรวจสอบและรับรองคุณภาพและความปลอดภัยด้านสุขอนามัยในผลิตภัณฑ์ประมงนำเข้าและส่งออก รวมถึงขั้นตอนและกระบวนการที่เกี่ยวข้องกับการส่งออกและนำเข้าผลิตภัณฑ์ประมงทั้งระบบ โดยยังคงความสามารถในการควบคุมดูแลคุณภาพและความปลอดภัยด้านสุขอนามัยในผลิตภัณฑ์ประมงนำเข้าและส่งออกให้เป็นไปตามข้อตกลงกับประเทศคู่ค้า เพื่ออำนวยความสะดวกและลดต้นทุนการดำเนินงานให้กับธุรกิจ และเสริมสร้างความสามารถในการแข่งขันให้กับภาคเอกชนไทยได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงข้อตกลงฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ดำเนินการได้โดยนำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว ตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
20191 | ผลการประชุมร่วมระหว่างรัฐมนตรีและภาคเอกชนกรอบความร่วมมือลุ่มแม่น้ำโขง - ญี่ปุ่นด้านเศรษฐกิจและอุตสาหกรรม ครั้งที่ 9 ณ กรุงเทพมหานคร และการประชุมระดับรัฐมนตรีกรอบความร่วมมือลุ่มแม่น้ำโขง - ญี่ปุ่นด้านเศรษฐกิจ และอุตสาหกรรม ครั้งที่ 8 ณ เวียงจันทน์ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว | นร11 | 02/08/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมร่วมระหว่างรัฐมนตรีและภาคเอกชนกรอบความร่วมมือลุ่มแม่น้ำโขง-ญี่ปุ่นด้านเศรษฐกิจและอุตสาหกรรม ครั้งที่ ๙ (9th Mekong-Japan Industry and Government Dialogue) เมื่อวันที่ ๗ กรกฎาคม ๒๕๕๙ ณ กรุงเทพมหานคร มีวัตถุประสงค์เพื่อรับทราบและแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นจากภาครัฐและภาคเอกชนประเทศลุ่มแม่น้ำโขงและญี่ปุ่น เกี่ยวกับการดำเนินแผนงานและโครงการต่าง ๆ ภายใต้วิสัยทัศน์การพัฒนาอุตสาหกรรมในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง (Mekong Industrial Development Vision : MIDV) รวมทั้งเตรียมการสำหรับการประชุมระดับรัฐมนตรีกรอบความร่วมมือลุ่มแม่น้ำโขง-ญี่ปุ่นด้านเศรษฐกิจและอุตสาหกรรม ครั้งที่ ๘ (8th Mekong-Japan Economic Ministers Meeting) ในวันที่ ๖ สิงหาคม ๒๕๕๙ ณ เวียงจันทน์ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ๒. เห็นชอบร่างแถลงข่าวร่วม (Joint Media Statement) การประชุมระดับรัฐมนตรีกรอบความร่วมมือลุ่มแม่น้ำโขง-ญี่ปุ่นด้านเศรษฐกิจและอุตสาหกรรม ครั้งที่ ๘ มีสาระสำคัญเป็นการส่งเสริมความร่วมมือระหว่างกันภายใต้กรอบความร่วมมือลุ่มแม่น้ำโขง-ญี่ปุ่นด้านเศรษฐกิจและอุตสาหกรรม ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงร่างแถลงข่าวร่วมฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติหรือให้ความเห็นชอบ ให้หัวหน้าคณะผู้แทนไทยที่ได้รับมอบหมายจากนายกรัฐมนตรีดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว ๓. ให้ยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
20192 | การประชุมระดับรัฐมนตรีเวทีหารือเพื่อการพัฒนาแนวระเบียงเศรษฐกิจ ครั้งที่ 8 (The 8th Economic Corridors Forum) ภายใต้แผนงาน ความร่วมมือทางเศรษฐกิจในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง 6 ประเทศ (GMS) | นร11 | 02/08/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการต่อประเด็นการหารือและข้อเสนอของประเทศไทย และให้ใช้เป็นกรอบการหารือสำหรับการประชุมระดับรัฐมนตรีเวทีหารือเพื่อการพัฒนาแนวระเบียงเศรษฐกิจ ครั้งที่ ๘ (The 8th Economic Corridors Forum) ภายใต้แผนงานความร่วมมือทางเศรษฐกิจในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง ๖ ประเทศ (GMS) ระหว่างวันที่ ๓-๔ สิงหาคม ๒๕๕๙ ณ กรุงพนมเปญ ราชอาณาจักรกัมพูชา มีวาระการหารือ ๒ เรื่อง ได้แก่ การเสริมสร้างความเชื่อมโยง ตามแนวระเบียงเศรษฐกิจในอนุภูมิภาค GMS และการยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของอนุภูมิภาค GMS โดยประเทศไทยมีประเด็นหารือและข้อเสนอแนะ เช่น (๑) สนับสนุนการอำนวยความสะดวกคมนาคมขนส่งและการค้าในอนุภูมิภาค GMS ตามความตกลงการขนส่งข้ามพรมแดนในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง (๒) ส่งเสริมให้ภาคเอกชนและหุ้นส่วนการพัฒนาเข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนาอนุภูมิภาค GMS และคำนึงถึงการพัฒนาที่ยั่งยืน และ (๓) เห็นถึงความสำคัญของการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันด้านระบบโลจิสติกส์ เป็นต้น ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ๒. ให้ยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี)
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
20193 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ในท้องที่แขวงทุ่งพญาไท และแขวงถนนพญาไท เขตราชเทวี กรุงเทพมหานคร พ.ศ. .... (เพื่อดำเนินโครงการระบบรถไฟชานเมืองสายสีแดงอ่อน ช่วงบางซื่อ - พญาไท - มักกะสัน - หัวหมาก และสายสีแดงเข้ม ช่วงบางซื่อ - หัวลำโพง) | คค | 26/07/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ในท้องที่แขวงทุ่งพญาไท และแขวงถนนพญาไท เขตราชเทวี กรุงเทพมหานคร พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ในท้องที่แขวงทุ่งพญาไท และแขวงถนนพญาไท เขตราชเทวี กรุงเทพมหานคร เพื่อดำเนินโครงการระบบรถไฟชานเมืองสายสีแดงอ่อน ช่วงบางซื่อ-พญาไท-มักกะสัน-หัวหมาก และสายสีแดงเข้ม ช่วงบางซื่อ-หัวลำโพง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของการขนส่งทางรถไฟ ลดระยะเวลาการเดินทาง และประหยัดพลังงานเชื้อเพลิงที่ใช้ในภาคการขนส่งของประเทศ ลดปัญหามลพิษที่มีต่อสิ่งแวดล้อม และจูงใจให้ประชาชนหันมาใช้บริการระบบขนส่งทางรถไฟให้มากยิ่งขึ้น ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
20194 | ผลการเยือนสาธารณรัฐประชาชนจีนของรองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) | นร | 26/07/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการเยือนสาธารณรัฐประชาชนจีนของรองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) ระหว่างวันที่ ๒๖-๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๙ ณ กรุงปักกิ่งและนครเซี่ยงไฮ้ สาธารณรัฐประชาชนจีน โดยรองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) และคณะ ได้เข้าเยี่ยมคารวะและหารือทวิภาคีกับรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจ (นายจาง เกาลี่) มนตรีแห่งรัฐจีน (นายหวัง หย่ง) และเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์เซี่ยงไฮ้ (นายหาน เจิ้ง) นอกจากนี้ ยังได้เป็นประธานในกิจกรรมส่งเสริมชักจูงการลงทุน และเป็นประธานในงานประชุมหารือภาคธุรกิจ (Business Networking Lunch) และเป็นประธานฝ่ายไทยพร้อมแสดงปาฐกถาพิเศษในงานสัมมนาด้านการลงทุน “Thailand : Moving Forward to Sustainable Growth” รวมทั้งลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) จำนวน ๔ ฉบับ และให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องดำเนินการ (๑) พิจารณาสิทธิประโยชน์ด้านภาษีเพิ่มเติมสำหรับอุตสาหกรรมรถยนต์ (๒) กำหนดมาตรฐานอุตสาหกรรมรถยนต์ในไทย (๓) หาผู้ร่วมลงทุนฝ่ายไทย และ (๔) จัดสัมมนาใหญ่ในอุตสาหกรรมเป้าหมาย ๑๐ กลุ่ม ตามที่สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนเสนอ ๒. ให้สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการส่งเสริมความร่วมมือกับจีนในประเด็นที่สอดคล้องกับผลประโยชน์และการพัฒนาของไทย รวมทั้งบทบาทของไทยในการส่งเสริมความเชื่อมโยงในภูมิภาค ตลอดจนควรผลักดันความร่วมมือที่สอดรับกับนโยบายและยุทธศาสตร์ของไทยในกรอบความร่วมมือระดับภูมิภาคต่าง ๆ อาทิ เขตการค้าเสรีอาเซียน-จีน ความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค และกรอบความร่วมมือแม่โขง-ล้านข้าง เป็นต้น รวมทั้งเชิญชวนวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SME) ที่มีศักยภาพและมีความพร้อมเข้าร่วมในการสัมมนาชักจูงมาลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมาย ๑๐ กลุ่ม (cluster) เพื่อเปิดโอกาสในการสร้างเครือข่ายและการมีส่วนร่วมในห่วงโซ่มูลค่าของ SME ไทย ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
20195 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงการคลัง) (นายภูมิศักดิ์ อรัญญาเกษมสุข) | กค | 26/07/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นายภูมิศักดิ์ อรัญญาเกษมสุข ข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาด้านการประเมินผลรัฐวิสาหกิจ (นักวิเคราะห์รัฐวิสาหกิจทรงคุณวุฒิ) สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ กระทรวงการคลัง ตั้งแต่วันที่ ๗ มกราคม ๒๕๕๙ ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
20196 | ข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ พ.ศ. .... | สว | 26/07/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ พ.ศ. .... ซึ่งมีข้อสังเกตว่า ควรให้มีการเพิ่มเติมพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๔๒ โดยบัญญัติให้คดีที่ผู้ถูกกล่าวหาซึ่งมิใช่ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองระดับชาติยื่นฟ้องต่อศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ เพื่อให้การพิจารณาพิพากษาคดีเป็นไปด้วยความสะดวก รวดเร็ว และเป็นธรรมยิ่งขึ้น ควรแก้ไขบทบัญญัติเกี่ยวกับการตรวจสอบบัญชีแสดงรายการทรัพย์สิน หนี้สินของเจ้าหน้าที่ของรัฐตามมาตรา ๔๒ ให้เสนอคดีทุจริตและประพฤติมิชอบต่อศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ เพื่อให้คดีความที่เกี่ยวข้องได้รับการพิจารณาพิพากษาอย่างรวดเร็วและเป็นธรรม และสำนักงานศาลยุติธรรมควรจัดเตรียมแผนการเปิดทำการศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค เพื่อให้คดีทุจริตและประพฤติมิชอบที่เกิดขึ้นในท้องที่ต่างจังหวัดได้รับการพิจารณาพิพากษาด้วยความรวดเร็วและคู่ความที่เกี่ยวข้องได้รับความสะดวกในการติดต่อราชการศาลมากยิ่งขึ้น ตามที่สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติเสนอ ๒. มอบให้สำนักงานศาลยุติธรรมเป็นหน่วยงานหลักรับข้อสังเกตดังกล่าวไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงยุติธรรม สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อพิจารณาศึกษาแนวทางและความเหมาะสมของข้อสังเกตดังกล่าว และสรุปผลการพิจารณาหรือผลการดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวในภาพรวม แล้วส่งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีภายใน ๓๐ วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่ง เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
20197 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ทางน้ำชลประทานคลองชะอวด แพรกเมือง เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน พ.ศ. .... | กษ | 26/07/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ทางน้ำชลประทานคลองชะอวด แพรกเมือง เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้ทางน้ำชลประทานคลองชะอวด แพรกเมือง จากกิโลเมตรที่ ๒.๘๔๗ ในท้องที่ตำบลหัวไทร อำเภอหัวไทร จังหวัดนครศรีธรรมราช ถึงกิโลเมตรที่ ๒๖.๙๘๑ ในท้องที่ตำบลการะเกด อำเภอเชียรใหญ่ จังหวัดนครศรีธรรมราช เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน เพื่อให้เกิดประโยชน์จากการใช้น้ำจากทางน้ำชลประทานอย่างเต็มที่ และเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
20198 | รายงานผลการพิจารณาตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองการดำเนินงานขององค์การโทรคมนาคม ทางดาวเทียมระหว่างประเทศ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | ทก | 26/07/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการพิจารณาตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองการดำเนินงานขององค์การโทรคมนาคมทางดาวเทียมระหว่างประเทศ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ซึ่งกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารไม่ขัดข้องกับการเปลี่ยนถ้อยคำจาก “จึงจำเป็นต้อง” เป็น “สมควร” ในเหตุผลประกอบร่างพระราชบัญญัติฯ รวมทั้งการตัดถ้อยคำ “ผู้แทนของผู้ลงนามความตกลงว่าด้วยองค์การโทรคมนาคมทางดาวเทียมระหว่างประเทศ” เป็นไปเพื่อให้สอดคล้องกับการแก้ไขกรรมสารหลักขององค์การที่ผูกพันประเทศไทย และเพื่อเน้นย้ำว่าร่างพระราชบัญญัติฯ จะให้เอกสิทธิ์ สิทธิยกเว้น และความคุ้มกันเฉพาะผู้แทนของรัฐภาคี องค์การโทรคมนาคมทางดาวเทียมระหว่างประเทศ เจ้าหน้าที่ขององค์การฯ ทรัพย์สินและบรรณสารขององค์การฯ ในส่วนที่เป็นองค์การระหว่างประเทศระดับรัฐบาลในระหว่างที่ปฏิบัติหน้าที่ในประเทศไทยหรือเข้ามาในประเทศไทยเพื่อปฏิบัติหน้าที่หรือในการปฏิบัติภารกิจเกี่ยวกับองค์การเท่านั้น มิได้ให้ความคุ้มครองรวมไปถึงการดำเนินงานของบริษัท Intelsat, Ltd เพื่อประกอบการเชิงพาณิชย์ ตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติทราบต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
20199 | รัฐบาลสหพันธ์สาธารณรัฐประชาธิปไตยเอธิโอเปียเสนอขอแต่งตั้งเอกอัครราชทูตประจำประเทศไทย (กระทรวงการต่างประเทศ) [นายอัสเฟา ดิงกาโม คาเม (Mr. Asfaw Dingamo Kame)] | กต | 26/07/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นายอัสเฟา ดิงกาโม คาเม (Mr. Asfaw Dingamo Kame) ให้ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็มแห่งสหพันธ์สาธารณรัฐประชาธิปไตยเอธิโอเปียประจำประเทศไทยคนใหม่ โดยมีถิ่นพำนัก ณ กรุงนิวเดลี สาธารณรัฐอินเดีย สืบแทนนางเกนเนต เซวีดี (Mrs. Gennet Zewide) ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
20200 | รัฐบาลสาธารณรัฐอาเซอร์ไบจานเสนอขอแต่งตั้งเอกอัครราชทูตประจำประเทศไทย (กระทรวงการต่างประเทศ) [นายกาเลย์ อะลีเยวิช อัลลาห์เวียร์ดีเยฟ (Mr. Qaley Aliyevich Allahverdiyev)] | กต | 26/07/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นายกาเลย์ อะลีเยวิช อัลลาห์เวียร์ดีเยฟ (Mr. Qaley Aliyevich Allahverdiyev) ให้ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็มแห่งสาธารณรัฐอาเซอร์ไบจานประจำประเทศไทยคนแรก โดยมีถิ่นพำนัก ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
|
.....