ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 8 จากทั้งหมด 15 หน้า แสดงรายการที่ 141 - 160 จากข้อมูลทั้งหมด 299 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
141 | การดำเนินโครงการเพื่อมอบเป็นของขวัญปีใหม่ พ.ศ. 2564 ให้แก่ประชาชน | นร.02 | 22/12/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการดำเนินโครงการและกิจกรรมสำคัญที่กำหนดดำเนินการในห้วงเดือนธันวาคม
๒๕๖๓-มกราคม ๒๕๖๔ เพื่อมอบเป็นของขวัญปีใหม่ พ.ศ. ๒๕๖๔ ให้แก่ประชาชน จำนวน ๓
กิจกรรม ได้แก่ (๑) ศูนย์ข้อมูลต้นทางของประเทศ
ในการสร้างการรับรู้เกี่ยวกับมาตรการแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ (COVID-19) (๒)
การประชาสัมพันธ์แผนงานโครงการสำคัญภาครัฐที่จะมอบเป็นของขวัญปีใหม่ให้ประชาชน และ
(๓) กิจกรรมสวดมนต์ข้ามปี ตามวิถี New Normal ตามที่สำนักนายกรัฐมนตรี
(กรมประชาสัมพันธ์) เสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
142 | การลงนามหนังสือความร่วมมือด้านการต่อต้านอาชญากรรมยาเสพติด ระหว่างสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (สำนักงาน ป.ป.ส.) และสำนักข่าวกรองแห่งชาติ สาธารณรัฐเกาหลี | ยธ. | 22/12/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการลงนามหนังสือความร่วมมือด้านการต่อต้านอาชญากรรมยาเสพติด
ระหว่างสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (สำนักงาน ป.ป.ส.) และสำนักข่าวกรองแห่งชาติ
สาธารณรัฐเกาหลี ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑. คณะรัฐมนตรีได้มีมติ
(๒๙ กรกฎาคม ๒๕๖๓) เห็นชอบร่างหนังสือความร่วมมือด้านการต่อต้านอาชญากรรมยาเสพติด
ระหว่างสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (สำนักงาน ป.ป.ส.) และสำนักข่าวกรองแห่งชาติ
สาธารณรัฐเกาหลี ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ ๒.
สถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 ส่งผลให้ฝ่ายไทยและสาธารณรัฐเกาหลีไม่สามารถเดินทางออกนอกประเทศเพื่อร่วมลงนามหนังสือความร่วมมือฯ
ได้ สำนักงาน ป.ป.ส. จึงได้หารือกับสำนักข่าวกรองแห่งชาติ สาธารณรัฐเกาหลี
ในประเด็นการลงนาม โดยการส่งเอกสารระหว่างคู่ภาคีแทนการลงนามต่อหน้ากัน
ซึ่งสาธารณรัฐเกาหลีไม่ขัดข้อง
และทั้งสองฝ่ายเห็นว่าควรให้กระทรวงการต่างประเทศเป็นผู้พิจารณาประเด็นที่เกี่ยวข้อง
ซี่งการลงนามเอกสารความตกลงระหว่างประเทศด้วยวิธีการดังกล่าวถือเป็นความปกติใหม่ (New
Normal) ที่ยังไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อน ๓. กระทรวงยุติธรรม
โดยสำนักงาน ป.ป.ส. ได้ขอความเห็นจากกระทรวงการต่างประเทศเกี่ยวกับขั้นตอนการลงนามหนังสือความร่วมมือฯ
ซึ่งกระทรวงการต่างประเทศเห็นว่าทั้งสองฝ่ายสามารถดำเนินการได้ตามแนวทางที่เห็นชอบร่วมกัน
และให้แก้ไขถ้อยคำบางส่วน
ซึ่งไม่ถือเป็นการปรับแก้สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
และเห็นควรนำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง ๔. เมื่อวันที่ ๒๕
กันยายน ๒๕๖๓ เลขาธิการ ป.ป.ส. ได้ลงนามหนังสือความร่วมมือฯ (ฝ่ายไทยลงนามก่อน)
พร้อมส่งมอบให้ผู้แทนจากสำนักข่าวกรองแห่งชาติ สาธารณรัฐเกาหลี
ประจำสถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐเกาหลีประจำประเทศไทย
โดยสาธารณรัฐเกาหลีได้ลงนามหนังสือความร่วมมือฯ เมื่อวันที่ ๗ ตุลาคม ๒๕๖๓
และเมื่อวันที่ ๒๐ ตุลาคม ๒๕๖๓ สาธารณรัฐเกาหลีได้ส่งมอบหนังสือความร่วมมือฯ
ที่ทั้งสองฝ่ายได้ลงนามครบถ้วนสมบูรณ์แล้วให้ฝ่ายไทย จำนวน ๑ ฉบับ
เพื่อเป็นกรอบในการดำเนินงานด้านการต่อต้านอาชญากรรมยาเสพติดระหว่างทั้งสองหน่วยงาน
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
143 | แผนบูรณาการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลปีใหม่ พ.ศ. 2564 | มท. | 15/12/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบแผนบูรณาการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลปีใหม่
พ.ศ. ๒๕๖๔ โดยศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนนร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำแผนบูรณาการฯ
เพื่อเป็นกรอบแนวทางการดำเนินงาน
โดยมุ่งเน้นการบริหารจัดการในลักษณะยึดพื้นที่เป็นตัวตั้งควบคู่กับการดำเนินการตามมาตรการและแนวทางการดำเนินการเพื่อเฝ้าระวัง
ป้องกัน และควบคุมโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) โดยบูรณาการร่วมกับทุกภาคส่วนร่วมดำเนินการในเรื่องต่าง ๆ เพื่อลดปัจจัยเสี่ยงการเกิดอุบัติเหตุทางถนนทั้งจากคน
ยานพาหนะ ถนน
และสิ่งแวดล้อมให้เหลือน้อยที่สุดและเพื่อดูแลความปลอดภัยในการเดินทางของประชาชนให้ครอบคลุมทุกมิติในช่วงเทศกาลปีใหม่
พ.ศ. ๒๕๖๔ โดยกำหนดช่วงการรณรงค์และประชาสัมพันธ์ ระหว่างวันที่ ๑-๒๑ ธันวาคม ๒๕๖๓
และช่วงการดำเนินงาน แบ่งเป็น ช่วงก่อนควบคุมเข้มข้น ระหว่างวันที่ ๒๒-๒๘ ธันวาคม
๒๕๖๓ ช่วงควบคุมเข้มข้น ระหว่างวันที่ ๒๙ ธันวาคม ๒๕๖๓-๔ มกราคม ๒๕๖๔
และช่วงหลังควบคุมเข้มข้น ระหว่างวันที่ ๕-๑๑ มกราคม ๒๕๖๔
โดยมีมาตรการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนน เช่น มาตรการด้านการบริหารจัดการ
และมาตรการด้านลดปัจจัยเสี่ยงด้านถนนและสภาพแวดล้อม เป็นต้น ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย
ผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนนเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
144 | รายงานประจำครึ่งปี (มกราคม-มิถุนายน 2563) ของธนาคารแห่งประเทศไทย | กค. | 08/12/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานประจำครึ่งปี
(มกราคม-มิถุนายน ๒๕๖๓) ของธนาคารแห่งประเทศไทย ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้
ดังนี้ ๑.
ภาวะเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งแรกของปี ๒๕๖๓ หดตัวสูง
จากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) ซึ่งมาตรการปิดเมืองที่เข้มงวดส่งผลให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจส่วนใหญ่ต้องหยุดดำเนินการชั่วคราว
การส่งออกบริการภาคการท่องเที่ยวได้รับผลกระทบจากมาตรการจำกัดการเดินทางระหว่างประเทศ
การส่งออกสินค้าได้รับผลกระทบจากรายได้ของประเทศคู่ค้าอ่อนแอลง การบริโภคภาคเอกชนหดตัวสูงตามการจ้างงาน
รายได้ครัวเรือน และความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่อยู่ในระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์
การลงทุนภาคเอกชนหดตัวสูงตามภาวะอุปสงค์ทั้งในและต่างประเทศ
และความเชื่อมั่นภาคธุรกิจปรับลดลงตามผลประกอบการและความไม่แน่นอนในระยะข้างหน้า นอกจากนี้
เสถียรภาพเศรษฐกิจภายในประเทศมีความเปราะบางมากขึ้น
โดยอัตราเงินเฟ้อทั่วไปติดลบตามราคาหมวดพลังงาน
ในขณะที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานยังคงเป็นบวกแต่ปรับลดลงมากตามอุปสงค์ในประเทศที่อ่อนแอลง
และอัตราการว่างงานเร่งตัวขึ้นมาก ในส่วนของอัตราแลกเปลี่ยนอ่อนค่าลงจากเดือนธันวาคม
๒๕๖๒
เนื่องจากการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดปรับลดลงมากตามรายรับจากนักท่องเที่ยวและนักลงทุนต่างชาติลดการถือครองสินทรัพย์เสี่ยง
ซึ่งรวมถึงสินทรัพย์ในภูมิภาคและประเทศไทย ๒.
การดำเนินงานของธนาคารแห่งประเทศไทย เช่น
การดำเนินนโยบายการเงินภายใต้กรอบเป้าหมายเงินเฟ้อแบบยืดหยุ่นในช่วงร้อยละ ๑-๓
การผลักดันความเชื่อมโยงทางการเงินในภูมิภาค
และการส่งเสริมการเข้าถึงและการใช้บริการชำระเงิน เป็นต้น
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
145 | การเป็นเจ้าภาพการจัดการแข่งขันวิทยาศาสตร์โอลิมปิกระหว่างประเทศ ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น ครั้งที่ 19 ในประเทศไทย พ.ศ. 2566 | ศธ. | 08/12/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. รับทราบการเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันวิทยาศาสตร์โอลิมปิกระหว่างประเทศ
ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น ครั้งที่ ๑๙ ในประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๖๖
โดยมีกำหนดจัดขึ้นในเดือนธันวาคม ๒๕๖๖ ณ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
มีวัตถุประสงค์เพื่อเฉลิมพระเกียรติ ๑๐๐ พรรษา ชาตกาล ของสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ
เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์
และกระตุ้นให้เกิดบรรยากาศด้านวิชาการ และส่งเสริมการเรียนการสอนวิชาวิทยาศาสตร์
โดยมูลนิธิส่งเสริมโอลิมปิกวิชาการและพัฒนามาตรฐานวิทยาศาสตร์ศึกษา ในพระอุปถัมภ์สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ
เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ (สอวน.) (ซี่งมีสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า
กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงเป็นประธานมูลนิธิ) ร่วมกับมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
มหาวิทยาลัยมหิดล จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กระทรวงศึกษาธิการ และสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
(สสวท.) จะร่วมกันเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขัน และใช้เงินงบประมาณจาก สอวน.
จำนวนประมาณ ๗๙,๒๒๙,๔๕๐ บาท ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ ๒.
สำหรับค่าใช้จ่ายในการเตรียมการในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔ เห็นควรให้ สสวท.
ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔ รายการเงินอุดหนุน สอวน.
ที่ได้รับจัดสรรงบประมาณไว้แล้ว ส่วนค่าใช้จ่ายในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๕-๒๕๖๗
เห็นควรให้กระทรวงศึกษาธิการจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็น
ประหยัด เหมาะสม และสอดคล้องกับสถานการณ์ในช่วงเวลาดังกล่าว
โดยคำนึงถึงการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้
การดำเนินการเป็นเจ้าภาพการจัดการแข่งขันดังกล่าว ให้กระทรวงศึกษาธิการ โดย สสวท.
ติดตามสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19)
อย่างใกล้ชิด และดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ
และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วนด้วย ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
146 | รายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2563 เกี่ยวกับการจัดทำแผนบริหารความพร้อมต่อสภาวะวิกฤต (Business Continuity Plan : BCP) ของหน่วยงานของรัฐ และแนวทางการยกระดับประสิทธิภาพการบริการภาครัฐ | นร.12 | 08/12/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. รับทราบรายงานผลการดำเนินงานตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๑ มีนาคม ๒๕๖๓ เกี่ยวกับการจัดทำแผนบริหารความพร้อมต่อสภาวะวิกฤต (Business
Continuity Plan : BCP) ของหน่วยงานของรัฐ และเห็นชอบแนวทางการยกระดับประสิทธิภาพการบริการภาครัฐ
โดยมีเป้าหมายให้ประชาชนได้รับบริการภาครัฐอย่างต่อเนื่องแม้ในสภาวะวิกฤต
สามารถใช้บริการแบบเบ็ดเสร็จผ่าน e-Service ภาครัฐ
โดยไม่จำเป็นต้องเดินทางไปติดต่อ ณ สถานที่ราชการด้วยตนเอง ตามที่สำนักงาน ก.พ.ร.
เสนอ ๒. ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
กระทรวงมหาดไทย กระทรวงสาธารณสุข และสำนักงบประมาณที่เห็นควรพิจารณามาตรการส่งเสริมสนับสนุนการพัฒนากำลังคนในภาครัฐด้วยการอบรมระยะสั้นทั้งภาคทฤษฎี
ภาคปฏิบัติ และการให้บริการ e-Service แก่ประชาชนอย่างเป็นรูปธรรม
ควรพิจารณารูปแบบการจัดทำแผน BCP ที่เปิดกว้างให้แต่ละหน่วยงานของรัฐสามารถจัดทำได้ในรูปแบบที่แตกต่างกันด้วยการนำแผนตัวอย่างของสำนักงาน
ก.พ.ร. ไปประยุกต์ให้เหมาะสมตามภารกิจของแต่ละหน่วยงาน ควรพิจารณาบูรณาการงานด้าน e-Service
ภาครัฐอย่างเป็นระบบ ควรมีแนวทางการดำเนินงานตามแผน BCP ที่เป็นแนวทางร่วม
และมีมาตรฐานที่ทุกส่วนราชการสามารถนำไปปฏิบัติร่วมกันได้กรณีเกิดสภาวะวิกฤตในภาพรวมของประเทศ
และให้ส่วนราชการเร่งพัฒนาองค์ความรู้ ทักษะด้านดิจิทัลให้แก่บุคลากรทุกระดับในหน่วยงานภาครัฐ
ควรจัดให้มีการฝึกซ้อมแผน BCP ทุกระดับ
โดยบูรณาการร่วมกันระหว่างหน่วยงานภาครัฐและส่วนต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง
และแผนประคองกิจการเพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับ COVID-19 รวมทั้งควรให้หน่วยงานของรัฐพิจารณาแหล่งเงินที่จะนำมาใช้จ่ายให้ครอบคลุมทุกแหล่งเงิน
โดยคำนึงถึงแหล่งเงินนอกงบประมาณที่มีเพียงพอและสามารถนำมาใช้ได้
รวมถึงพิจารณาการปรับแผนการปฏิบัติงาน
แผนการใช้จ่ายงบประมาณของหน่วยงานเพื่อจัดหาทรัพยากรในสภาวะวิกฤติ
และจัดทำแผนดำเนินงานที่แสดงความเชื่อมโยงการบริหารจัดการเชิงบูรณาการในทุกมิติของทุกภาคส่วน
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||
147 | โครงการจัดหาวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) สำหรับประชาชนไทย โดยการจองล่วงหน้า (AstraZeneca) | สธ. | 17/11/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. เห็นชอบโครงการจัดหาวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
2019 (COVID-19) สำหรับประชาชนไทย โดยการจองล่วงหน้า (AstraZeneca)
และการจัดซื้อวัคซีนกับบริษัท AstraZeneca โดยให้กระทรวงสาธารณสุขหารือร่วมกับคณะกรรมการวินิจฉัยปัญหาการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐและกรมบัญชีกลางเกี่ยวกับแนวทางการดำเนินการในการจัดซื้อวัคซีนที่ได้จากการจองล่วงหน้าภายใต้โครงการดังกล่าว
และดำเนินการให้ถูกต้องเป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ หลักเกณฑ์ ข้อบังคับ
และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต่อไปอย่างเคร่งครัด ๒.
อนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔ งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการบรรเทา
แก้ไขปัญหา และเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019
เพื่อจัดหาวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19)
ภายใต้โครงการดังกล่าว ในวงเงิน ๒,๓๗๙.๔๓ ล้านบาท
ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ ๓. ให้กระทรวงสาธารณสุขได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี)
ในการเสนอเรื่องนี้ |
|||||||||||||||||||||||||||||||||
148 | ภาวะสังคมไทยไตรมาสสาม ปี 2563 | นร.11 | 17/11/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานภาวะสังคมไทยไตรมาสสาม
ปี ๒๕๖๓ ประกอบด้วย ความเคลื่อนไหวทางสังคมไตรมาสสาม ปี ๒๕๖๓
สถานการณ์ทางสังคมที่สำคัญ และบทความเรื่อง “ผลกระทบของ COVID-19 ต่อความยากจน”
ตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
149 | รายงานผลการประชุมประจำปีสภาผู้ว่าการธนาคารโลกและกองทุนการเงินระหว่างประเทศ ปี 2563 และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง | กค. | 17/11/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการประชุมประจำปีสภาผู้ว่าการธนาคารโลกและกองทุนการเงินระหว่างประเทศ
ปี ๒๕๖๓ และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ในรูปแบบการประชุมทางไกล ระหว่างวันที่
๑๕-๑๖ ตุลาคม ๒๕๖๓ โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเข้าร่วมประชุม โดยที่ประชุมได้มีการกล่าวถ้อยแถลงในประเด็นต่าง
ๆ เช่น (๑) การคาดการณ์สภาวะเศรษฐกิจโลก (๒) แนวนโยบายเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบจาก
COVID-19 (๓) การสนับสนุนความช่วยเหลือทางการเงินของกลุ่มธนาคารโลก
เพื่อบรรเทาผลกระทบทางเศรษฐกิจแก่ประเทศสมาชิกจากการแพร่ระบาดของ COVID-19 และ (๓) การสนับสนุนการขยายระยะเวลาโครงการพักชำระหนี้ (Debt
Service Suspension Initiative : DSSI) ตามข้อเรียกร้องของธนาคารโลกและกองทุนการเงินระหว่างประเทศ
(International Monetary Fund : IMF) เพื่อเสริมสภาพคล่องทางการเงิน
และขีดความสามารถในการฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศรายได้น้อย เป็นต้น ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
150 | การลงนามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการดำเนินการมาตรการที่มิใช่ภาษีสำหรับสินค้าจำเป็นภายใต้แผนปฏิบัติการฮานอยว่าด้วยการส่งเสริมความร่วมมือด้านเศรษฐกิจและความเชื่อมโยงห่วงโซ่อุปทานของอาเซียนให้เข้มแข็งในการตอบสนองต่อการระบาดใหญ่ของโควิด-19 | พณ. | 10/11/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
เห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการดำเนินการมาตรการที่มิใช่ภาษีสำหรับสินค้าจำเป็นภายใต้แผนปฏิบัติการฮานอยว่าด้วยการส่งเสริมความร่วมมือด้านเศรษฐกิจและความเชื่อมโยงห่วงโซ่อุปทานของอาเซียนให้เข้มแข็งในการตอบสนองต่อการระบาดใหญ่ของโควิด-๑๙
(MOU on the Implementation of Non-Tariff Measures on Essential
Goods under the Hanoi Plan of Action on Strengthening ASEAN Economic
Cooperation and Supply Chain Connectivity in Response to the COVID-19 Pandemic)
และอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจฯ
โดยร่างบันทึกความเข้าใจฯ มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดแนวทางความร่วมมือระหว่างกันเกี่ยวกับการดำเนินมาตรการที่มิใช่ภาษีสำหรับรายการสินค้าจำเป็นในภาคผนวกของบันทึกความเข้าใจฯ
เช่น อาหาร ยา อุปกรณ์ทางการแพทย์
เพื่ออำนวยความสะดวกต่อการค้าและการเคลื่อนย้ายสินค้าดังกล่าวระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียนในช่วงสถานการณ์ระบาดใหญ่ของโรคโควิด-๑๙
ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และหากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างบันทึกความเข้าใจฯ
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว
ตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ๒.
ให้กระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรมีการติดตามและประเมินผลการดำเนินงานตามบันทึกความเข้าใจฯ
ของประเทศสมาชิกเป็นระยะอย่างต่อเนื่อง
เพื่อสร้างโอกาสทางการค้าและเยียวยาผู้ประกอบการไทยในสาขาที่เกี่ยวข้องที่ได้รับผลกระทบ
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
151 | ขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง ร่างกฎกระทรวงว่าด้วยรถยนต์รับจ้างบรรทุกคนโดยสารไม่เกินเจ็ดคน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | ทส. | 10/11/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
เห็นชอบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอว่า
เพื่อเป็นการช่วยเหลือเยียวยาผู้ประกอบอาชีพขับรถรับจ้างซึ่งได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจและสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ (COVID-19) โดยยังคงหลักการการป้องกันและแก้ไขปัญหามลพิษจากรถรับจ้าง
จึงเห็นควรทบทวนร่างกฎกระทรวงว่าด้วยรถยนต์รับจ้างบรรทุกคนโดยสารไม่เกินเจ็ดคน
(ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... โดยให้ขยายอายุรถรับจ้างที่อยู่ในระบบปัจจุบัน จาก ๙ ปี
เป็น ๑๒ ปี ตามหลักการของร่างกฎกระทรวงฯ ที่กระทรวงคมนาคมเสนอ โดยมีข้อคิดเห็นว่ารถรับจ้างที่มีอายุมากกว่า
๙ ปี จะต้องถูกตรวจสภาพปีละ ๔ ครั้ง ๒.
ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาร่างกฎกระทรวงว่าด้วยรถยนต์รับจ้างบรรทุกคนโดยสารไม่เกินเจ็ดคน
(ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามหลักการเดิมที่กระทรวงคมนาคมเสนอคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๑๕ กันยายน ๒๕๖๓ แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๓.
ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๔.
ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
152 | รายงานผลการดำเนินงานมาตรการของรัฐบาลสำหรับผู้ประกอบการและประชาชนรายย่อย | กค. | 03/11/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินงานมาตรการของรัฐบาลสำหรับผู้ประกอบการและประชาชนรายย่อย
ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.
มาตรการรักษาระดับการบริโภคในประเทศ
เพื่อเป็นการกระตุ้นกำลังซื้อของประชาชนและก่อให้เกิดการขยายตัวของอุปสงค์การบริโภคในประเทศ
ประกอบด้วย ๓ มาตรการ ได้แก่ (๑)
โครงการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ (๒) โครงการคนละครึ่ง และ
(๓) มาตรการ “ช้อปดีมีคืน” ๒.
มาตรการด้านการเงิน
เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการและประชาชนรายย่อยที่ได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว
รวมไปถึงผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-๑๙
ให้มีสภาพคล่องสำหรับการใช้จ่ายในชีวิตประจำวันและการดำเนินธุรกิจ ประกอบด้วย ๔
มาตรการ ได้แก่ (๑) มาตรการสนับสนุนการให้สินเชื่อเพิ่มเติม
พระราชกำหนดการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้ประกอบวิสาหกิจที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ พ.ศ. ๒๕๖๓ (๒) โครงการสินเชื่อเสริมพลังฐานราก (๓) โครงการค้ำประกันสินเชื่อ Portfolio
Guarantee Scheme ระยะที่ ๘ และ (๔)
โครงการค้ำประกันสินเชื่อเพื่อผู้ประกอบการ Micro Entrepreneurs ระยะที่ ๓
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
153 | การทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการภาคธุรกิจท่องเที่ยว | กค. | 03/11/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
เห็นชอบการทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการภาคธุรกิจท่องเที่ยว
ประกอบด้วย การปรับปรุงมาตรการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อมจากการระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา
(COVID-19) สำหรับกลุ่มผู้ประกอบ SMEs ธุรกิจท่องเที่ยวและที่เกี่ยวเนื่อง
การปรับปรุงแนวทางการดำเนินโครงการค้ำประกันสินเชื่อ Portfolio Guarantee
Scheme ระยะพิเศษ Soft Loan พลัส
การขยายเวลาการดำเนินโครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำออมสินช่วยเหลือ SMEs ในภาคการท่องเที่ยว (โครงการ Soft loan ออมสินฟื้นฟูท่องเที่ยวไทย)
วงเงิน ๕,๐๐๐ ล้านบาท
และการขยายเวลาการดำเนินโครงการสินเชื่อเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการรายย่อยที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา
(COVID-19) วงเงิน ๑๐,๐๐๐ ล้านบาท ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๒.
ให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรดำเนินการตามนัยพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ
พ.ศ. ๒๕๖๑ ด้วยความรอบคอบ โปร่งใส และระมัดระวัง
ควรกำหนดเพดานอัตราการให้สินเชื่อตามกลุ่ม/ประเภท
รวมถึงการกำหนดหลักเกณฑ์กำกับดูแลด้านกระบวนการสินเชื่อ เพื่อเพิ่มสภาพคล่อง
อย่างครอบคลุม เป็นธรรมและมีประสิทธิภาพ ควรสร้างการรับรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับมาตรการและโครงการให้ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในโอกาสแรก
ตลอดจนติดตามประเมินผลสัมฤทธิ์และรายงานการดำเนินงานตามมาตรการและโครงการดังกล่าวเมื่อสิ้นสุดระยะเวลาดำเนินการ
นอกจากนี้ ควรศึกษาและวิเคราะห์ถึงปัญหาและอุปสรรคของการดำเนินมาตรการในช่วงที่ผ่านมา
รวมทั้งการแก้ไขกฎหมาย
กฎระเบียบที่เป็นอุปสรรคต่อการให้ความช่วยเหลือสำหรับการดำเนินมาตรการในระยะต่อไป
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๓.
ให้กระทรวงการคลังได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔
พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
154 | ขออนุมัติดำเนินการตามมติคณะกรรมการนโยบายยางธรรมชาติ ครั้งที่ 1/2563 | กษ. | 03/11/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑. อนุมัติดำเนินการตามมติคณะกรรมการนโยบายยางธรรมชาติ
ในคราวประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๖๓ เมื่อวันที่ ๑ มิถุนายน ๒๕๖๓
ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ดังนี้ ๑.๑
อนุมัติโครงการสนับสนุนสินเชื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนแก่ผู้ประกอบกิจการไม้ยางและผลิตภัณฑ์
วงเงิน ๒๐,๐๐๐ ล้านบาท
เป็นการสนับสนุนสินเชื่อเพื่อเป็นทุนหมุนเวียนแก่ผู้ประกอบกิจการไม้ยางพาราและผลิตภัณฑ์
โดยรัฐบาลสนับสนุนวงเงินชดเชยดอกเบี้ยในอัตราตามที่จ่ายจริงแต่ไม่เกินร้อยละ ๓
ต่อปี จำนวนไม่เกิน ๖๐๐ ล้านบาท จากวงเงินกู้ ๒๐,๐๐๐ ล้านบาท ๑.๒
อนุมัติขยายระยะเวลาชำระคืนเงินกู้โครงการพัฒนาศักยภาพสถาบันเกษตรกรเพื่อรักษาเสถียรภาพราคายาง
และโครงการสร้างมูลภัณฑ์กันชนรักษาเสถียรภาพราคายาง
เป็นการขยายระยะเวลาชำระคืนเงินกู้โครงการทั้งสองโครงการเดิมให้กับธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร
ออกไปจนถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๖๖
โดยให้กระทรวงการคลังขยายระยะเวลาค้ำประกันเงินกู้ออกไปและยกเว้นค่าธรรมเนียมในการค้ำประกันเงินกู้ตามระยะเวลาการขยายระยเวลาชำระคืนเงินกู้พร้อมชดเชยต้นทุนเงินในอัตรา
FDR+1
ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ มกราคม ๒๕๕๕ รวมทั้งขอรับจัดสรรงบประมาณเป็นค่าใช้จ่ายของโครงการ
(ค่าเช่าโกดัง ค่าประกันภัย และค่าจ้างผลิตยาง) รวมทั้งสิ้น ๘๙๘.๗๖ ล้านบาท ๑.๓
อนุมัติปรับปรุงหลักเกณฑ์และวิธีการดำเนินงานโครงการสนับสนุนสินเชื่อผู้ประกอบการผลิตผลิตภัณฑ์ยาง
เป็นการปรับปรุงหลักเกณฑ์และวิธีการดำเนินงานโครงการฯ โดยให้ผู้ประกอบการสามารถขอสินเชื่อได้จากทั้งธนาคารพาณิชย์หรือธนาคารของรัฐ
(สถาบันการเงินเฉพาะกิจ) และผ่อนปรนเงื่อนไขการใช้ยางเพิ่มขึ้นของผู้ประกอบการในปีการผลิต
๒๕๖๓ เพื่อลดผลกระทบอันเนื่องมาจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) ๑.๔ อนุมัติเพิ่มกิจกรรมช่วยเหลือผู้ประกอบกิจการยาง
(ยางแห้ง) ในสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) ภายใต้โครงการสนับสนุนสินเชื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนแก่ผู้ประกอบการกิจการยาง
(ยางแห้ง) วงเงินสินเชื่อ ๒๐,๐๐๐ ล้านบาท โดยสนับสนุนให้ผู้ประกอบการซื้อยางมาเป็นวัตถุดิบในการผลิตของฤดูกาลใหม่เป็นรายเดือน
และรัฐบาลชดเชยดอกเบี้ยในอัตราไม่เกินร้อยละ ๒ ต่อปี ๒.
สำหรับแหล่งเงินเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการฯ
ให้เป็นไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณ เช่น ค่าใช้จ่ายโครงการพัฒนาศักยภาพสถาบันเกษตรกรเพื่อรักษาเสถียรภาพราคายางพารา
และโครงการสร้างมูลภัณฑ์กันชนรักษาเสถียรภาพราคายาง
ให้ใช้จ่ายจากเงินกองทุนยางพารา เป็นต้น และให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
การยางแห่งประเทศไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง
รวมทั้งข้อสังเกตของกระทรวงอุตสาหกรรมและสำนักงบประมาณ เช่น (๑)
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ควรหารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อศึกษามาตรการและแนวทางเพิ่มเติมในการดูดซับอุปทานส่วนเกินของยางพาราในระบบ
และ (๒)
การขยายระยะเวลาชำระคืนเงินกู้โครงการพัฒนาศักยภาพสถาบันเกษตรกรเพื่อรักษาเสถียรภาพราคายาง
และโครงการสร้างมูลภัณฑ์กันชนรักษาเสถียรภาพราคายาง รัฐบาลจะต้องใช้งบประมาณจำนวนมาก
การยางแห่งประเทศไทยจึงควรหาวิธีชำระคืนเงินกู้โดยเร็ว เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
๓.
มอบหมายให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (การยางแห่งประเทศไทย)
เร่งดำเนินการระบายสต็อกยางในโครงการพัฒนาศักยภาพสถาบันเกษตรกรเพื่อรักษาเสถียรภาพราคายาง
และโครงการสร้างมูลภัณฑ์กันชนรักษาเสถียรภาพราคายางให้หมดไปโดยเร็ว
โดยให้คำนึงถึงระยะเวลาและระดับราคาจำหน่ายที่เหมาะสม
เพื่อลดภาระงบประมาณและรักษาประโยชน์สูงสุดของรัฐ |
|||||||||||||||||||||||||||||||||
155 | ผลการพิจารณารายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง ผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจไทยจากโรคติดต่อเชื้อโคโรนาไวรัส COVID-19 และข้อเสนอแนะเพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาภาคเกษตรภายใต้แผนยุทธศาสตร์ชาติตามสถานการณ์ ของคณะกรรมาธิการการเกษตรและสหกรณ์ วุฒิสภา | สว. | 20/10/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการพิจารณารายงานการพิจารณาศึกษา
เรื่อง ผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจไทยจากโรคติดเชื้อโคโรนาไวรัส COVID-19 และข้อเสนอแนะเพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาภาคเกษตรภายใต้แผนยุทธศาสตร์ชาติตามสถานการณ์
ของคณะกรรมาธิการการเกษตรและสหกรณ์ วุฒิสภา สรุปผลการพิจารณาได้ว่า
การพัฒนาภาคเกษตรควรกำหนดแนวทางการดำเนินการต่าง ๆ ในระยะเฉพาะหน้าเร่งด่วน
โดยการสร้างความตระหนักเรื่องทำการเกษตรอย่างไรให้ปลอดภัยจากโควิด-๑๙
ในฤดูกาลใหม่เพื่อเพิ่มโอกาสในการแข่งขันของสินค้าเกษตร
และจัดทำสื่อประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ข่าวสารผ่านทางออนไลน์เกี่ยวกับแนวทางการปฏิบัติของเกษตรกรและแรงงานในภาคการเกษตรให้ปลอดภัยจากโควิด-๑๙
ด้วยรูปแบบที่สามารถเข้าใจและเข้าถึงได้ง่าย
ดูแลค่าเช่าที่ดินทำการเกษตรให้เป็นธรรมและช่วยเจรจาผ่อนผันการจัดเก็บค่าเช่าซื้อที่ดินตามความจำเป็น
และสนับสนุนสินเชื่อเพื่อการผลิตในฤดูกาลใหม่อย่างเพียงพอและคิดดอกเบี้ยในอัตราผ่อนปรน
ส่วนแนวทางปฏิบัติในการดำเนินงานในระยะต่อไปที่ทำอย่างต่อเนื่อง คือ จัดทำ
“ฐานข้อมูลทางด้านการเกษตร” สนับสนุนการบริหารจัดการข้อมูลขนาดใหญ่
และวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกเพื่อนำไปสู่การใช้ประโยชน์ของรัฐในการกำหนดและบริหารนโยบายเศรษฐกิจการเกษตร
และจัดทำโครงสร้างระบบการสำรวจ ติดตาม เฝ้าระวังศัตรูพืชและศัตรูสัตว์
ทั้งที่มีอยู่เดิมในประเทศและอุบัติใหม่จากต่างประเทศให้สามารถพยากรณ์และแจ้งเตือนภัยล่วงหน้าได้อย่างแม่นยำ
รวมทั้งได้กำหนดแนวทางการปรับปรุงแผนการปฏิรูปประเทศและยุทธศาสตร์ชาติ ๒๐ ปี
ที่เกี่ยวข้องกับด้านการเกษตร โดยมีนโยบายจัดทำ Big Data ภาคเกษตรส่งเสริมและพัฒนาเกษตรกรสู่การเป็นเกษตรกรปราดเปรือง
เพื่อให้เกษตรกรทุกคนได้รับการพัฒนาเป็นเกษตรกรที่มีความพร้อมรับกับสถานการณ์ด้านการเกษตรที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
ตลอดจนส่งเสริมและพัฒนาให้มีการผลิต/แปรรูปสินค้าที่มีคุณภาพเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม
ซึ่งจะช่วยให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้น ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ
และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาทราบต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
156 | ขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันอังคารที่ 26 มีนาคม 2562 เรื่อง แผนปฏิบัติการความร่วมมือไทย - สปป.ลาว เพื่อการแก้ไขปัญหายาเสพติดร่วมกัน (โครงการพัฒนาทางเลือกเพื่อปลูกพืชทดแทนพืชเสพติด หมู่บ้านอุดมไซ เมืองเวียงทอง แขวงบอลิคำไซ สปป.ลาว ปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 - 2565) | ยธ. | 12/10/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบการขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรี (๒๖ มีนาคม ๒๕๖๒) เรื่อง
แผนปฏิบัติการความร่วมมือไทย-สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) เพื่อการแก้ไขปัญหายาเสพติดร่วมกัน
โดยขอยกเลิกเฉพาะโครงการพัฒนาทางเลือกเพื่อปลูกพืชทดแทนพืชเสพติด หมู่บ้านอุดมไว
เมืองเวียงทอง แขวงบอลิคำไซ สปป.ลาว ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒-๒๕๖๕
ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ
๒. ให้กระทรวงยุติธรรมรับความเห็นของกระทรวงกลาโหม
กระทรวงการต่างประเทศ สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น (๑)
กระทรวงยุติธรรมควรพิจารณาความเป็นไปได้ในการจัดการประชุมทวิภาคีไทย-สปป.ลาว
เรื่อง ความร่วมมือด้านการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ครั้งที่ ๑๘ อีกครั้ง
ภายหลังสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 เพื่อกำหนดพื้นที่ใหม่ในการดำเนินโครงการฯ
ได้แก่ เมืองคำเกิดและเมืองปกกะดิ่ง แขวงบอลิคำไซ ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ สปป.ลาว
เคยแจ้งเป็นการภายในว่ามีความพร้อมให้ฝ่ายไทยเข้าไปดำเนินโครงการฯ ได้ และ (๒)
เห็นควรให้มีการดำเนินโครงการฯ ต่อไป โดยให้หารือกับ สปป.ลาว
ถึงความร่วมมือด้านการพัฒนาทางเลือกในพื้นที่อื่น ๆ ในปีงบประมาณต่อไป เป็นต้น
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||
157 | ผลการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic Ministers: AEM) ครั้งที่ 52 และการประชุมที่เกี่ยวข้อง | พณ. | 12/10/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน
(ASEAN Economic Ministers : AEM) ครั้งที่ ๕๒
และการประชุมที่เกี่ยวข้อง ซึ่งมีผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงพาณิชย์ (นายสรรเสริญ
สมะลาภา) เป็นผู้แทนเข้าร่วมการประชุมดังกล่าว เมื่อวันที่ ๒๔-๒๙ สิงหาคม ๒๕๖๓
ผ่านระบบการประชุมทางไกล โดยมีกิจกรรมที่สำคัญ ได้แก่
การประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน ครั้งที่ ๕๒ เช่น รับทราบความคืบหน้าการดำเนินการประเด็นสำคัญด้านเศรษฐกิจที่เวียดนามผลักดันให้บรรลุผลสำเร็จในปี
๒๕๖๓ และการแลกเปลี่ยนความเห็นเกี่ยวกับสถานการณ์และการตอบสนองต่อการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
(COVID-19) เป็นต้น การประชุมคณะมนตรีเขตการค้าเสรีอาเซียน
ครั้งที่ ๓๔ เช่น ข้อตกลงที่ได้ข้อสรุปและพร้อมจะลงนามภายในปีนี้ ได้แก่ ข้อตกลงยอมรับร่วมสินค้ายานยนต์และชิ้นส่วนยานยนต์
ข้อตกลงยอมรับร่วมสาขาวัสดุก่อสร้าง การทบทวนข้อตกลงยอมรับร่วมในผลการตรวจสอบและรับรองของอาเซียน
และประเด็นที่ได้ข้อสรุปแล้ว ได้แก่ กรอบความตกลงอาเซียนด้านยาแผนโบราณและผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร
และระบบรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าด้วยตนเองของอาเซียน เป็นต้น รวมทั้งการหารือของรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนกับประเทศคู่เจรจา
และการหารือระหว่างรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนกับสภาที่ปรึกษาธุรกิจอาเซียน
ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
158 | การขออนุมัติดำเนินงานโครงการเข้าร่วมงาน The International Horticultural Expo (EXPO 2022 Floriade Almere) | กษ. | 12/10/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
อนุมัติในหลักการโครงการเข้าร่วมงาน The International
Horticultural Expo (EXPO 2022 Floriade Almere) ณ เมือง Almere
ราชอาณาจักรเนเธอร์แลนด์ และให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมส่งเสริมการเกษตร)
เป็นหน่วยงานหลักและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมงานดังกล่าว โดยค่าใช้จ่ายในการบริหารและเตรียมงานเบื้องต้น
ตามแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณของโครงการในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔
กรมส่งเสริมการเกษตรได้รับการเสนอตั้งงบประมาณรายจ่ายเพื่อการดังกล่าวไว้ในร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๔ จำนวน ๑,๖๑๖,๓๐๐ บาท สำหรับภาระค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในปีต่อ ๆ ไป
ให้กรมส่งเสริมการเกษตรและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณตามขั้นตอนของกฎหมาย
ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วน
เพื่อเสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒.
ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์พิจารณาทบทวนการจัดทำตัวชี้วัดหรือหลักเกณฑ์ในการประเมินผลลัพธ์ของการเข้าร่วมงานในครั้งนี้ให้ชัดเจนเป็นรูปธรรมและแสดงให้เห็นถึงความคุ้มค่าในการใช้จ่ายงบประมาณ
รวมทั้งให้รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงการต่างประเทศ
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้ความสำคัญในการควบคุม
กำกับ ดูแล
และดำเนินการให้เป็นไปตามระเบียบและข้อบังคับที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด
เพื่อให้การใช้จ่ายงบประมาณมีความคุ้มค่า
โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของทางราชการเป็นสำคัญ ควรมีแผนบริหารความเสี่ยงกรณีที่ยังคงมีการระบาดของไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ (COVID-19) อยู่ เพื่อมิให้มีการลงทุนที่สูญเปล่าหากไม่สามารถเข้าร่วมงานได้
และควรเพิ่มบทบาทการมีส่วนร่วมของผู้ประกอบการภาคเอกชนในการดำเนินการและสนับสนุนค่าใช้จ่ายร่วมกับภาครัฐด้วย
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||
159 | รายงานสรุปผลการดำเนินงานของรัฐบาล รอบ 1 ปี ของกระทรวงอุตสาหกรรม (การจัดทำข้อมูลผลงานของรัฐบาล) | อก. | 06/10/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสรุปผลการดำเนินงานของรัฐบาลรอบ
๑ ปี ของกระทรวงอุตสาหกรรม โดยมีผลงานที่สำคัญ เช่น (๑) การขับเคลื่อนนโยบายทางเศรษฐกิจ
โดยการขยายกิจการทั้งในและนอกนิคมอุตสาหกรรม จำนวน ๓,๙๐๐ โรงงาน มูลค่าการลงทุน
๘๗๖,๐๐๐ ล้านบาท และเกิดการจ้างงาน จำนวน ๓๐๐,๐๐๐ คน (๒)
การส่งเสริมและพัฒนาผู้ประกอบการเอสเอ็มอี โดยอนุมัติสินเชื่อกองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ
รวม ๑๑,๐๓๖ ราย วงเงิน ๑๗,๔๓๔ ล้านบาท (๓) การอำนวยความสะดวกแก่ผู้ประกอบการ
โดยแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องและนำระบบอิเล็กทรอนิกส์มาใช้ในกระบวนการพิจารณาอนุญาตต่าง
ๆ (๔) การดำเนินมาตรการด้านสิ่งแวดล้อม โดยกำหนดมาตรการจูงใจให้เกษตรกรตัดอ้อยสด
ซึ่งสามารถลดการเผาอ้อยได้ ๑.๒ ล้านไร่ และลดปัญหาฝุ่นละออง PM 2.5 จากการเผาอ้อย
รวมทั้งส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีสะอาดลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก จำนวน ๕,๐๐๐
ตันคาร์บอนไดออกไซด์ และ (๕) การดำเนินงานในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19
เช่น การพักชำระหนี้และเพิ่มวงเงินสินเชื่อ จำนวน ๒๕,๐๐๐ ล้านบาท
การขับเคลื่อนมาตรการฟื้นฟูผู้ประกอบการภายใน ๙๐ วัน การแจกจ่ายหน้ากากอนามัย
เจลแอลกอฮอล์ ถุงยังชีพ และการจัดกิจกรรมต่าง ๆ เช่น ตู้อุตสาหกรรมปันสุข เป็นต้น
ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
160 | ผลการประชุมรัฐมนตรีการค้าเอเปค เรื่องการแพร่ระบาดของโรคโควิด - 19 ผ่านระบบการประชุมทางไกล (Virtual Ministers Responsible for Trade Meeting on Covid - 19: VMRT) | พณ. | 06/10/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมรัฐมนตรีการค้าเอเปค
เรื่องการแพร่ระบาดของโรคโควิด-๑๙ ผ่านระบบการประชุมทางไกล (Virtual
Ministers Responsible for Trade Meeting on Covid-19 : VMRT) โดยมีผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงพาณิชย์
(นายสรรเสริญ สมะลาภา) เป็นผู้แทนเข้าร่วมการประชุมดังกล่าว เมื่อวันที่ ๒๕
กรกฎาคม ๒๕๖๓ โดยมีกิจกรรมที่สำคัญ ได้แก่ (๑) การแลกเปลี่ยนมุมมองเกี่ยวกับการดำเนินการเพื่อรับมือกับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-๑๙
และเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจในภูมิภาค
ของรัฐมนตรีการค้าเอเปคและผู้แทนระดับสูงของแต่ละเขตเศรษฐกิจ (๒) การกล่าวถ้อยแถลงของประเทศไทย
เช่น การสนับสนุนระบบการค้าพหุภาคีและเสริมสร้างความโปร่งใสในการแจ้งมาตรการรองรับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-๑๙
ต่อองค์การการค้าโลก (WTO) การส่งเสริมสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมและใช้มาตรการอำนวยความสะดวกทางการค้า
รวมทั้งการเชื่อมโยงแบบไร้รอยต่อโดยเฉพาะการใช้ระบบอิเล็กทรอนิกส์ ณ จุดเดียว
และการรักษาเสถียรภาพของห่วงโซ่การผลิตและส่งเสริมการมีห่วงโซ่อุปทานที่ฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว
เป็นต้น และ (๓) การร่วมรับรองแถลงการณ์การประชุมรัฐมนตรีการค้าเอเปค และปฏิญญาเรื่องการอำนวยความสะดวกทางการค้าในการเคลื่อนย้ายสินค้าที่มีความจำเป็น
โดยรัฐมนตรีการค้าเอเปค ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ
|