ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 9 จากทั้งหมด 15 หน้า แสดงรายการที่ 161 - 180 จากข้อมูลทั้งหมด 299 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
161 | ผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ในคราวประชุมครั้งที่ 22/2563 | นร.11 | 29/09/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. รับทราบผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้
ตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ในคราวประชุมครั้งที่ ๒๒/๒๕๖๓
เมื่อวันที่ ๒๕ กันยายน ๒๕๖๓ ซึ่งพิจารณาอนุมัติโครงการคนละครึ่ง
ของสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง กระทรวงการคลัง และโครงการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ
ของสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง กระทรวงการคลัง
โดยมอบหมายให้หน่วยงานที่รับผิดชอบโครงการฯ ดำเนินการ
และอนุมัติการเปลี่ยนแปลงรายละเอียดโครงการส่งเสริมการจ้างงานใหม่สำหรับผู้จบการศึกษาใหม่โดยภาครัฐและเอกชน
ของกรมการจัดหางาน รวมทั้งรับทราบผลการดำเนินงานตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๒
กันยายน ๒๕๖๓ เรื่อง โครงการจัดหาครุภัณฑ์เครื่องฉายรังสีสำหรับแก้ปัญหาผลกระทบจาก
COVID-๑๙ ของกระทรวงสาธารณสุข
และผลการดำเนินงานตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๔ สิงหาคม ๒๕๖๓ และวันที่ ๒๕
สิงหาคม ๒๕๖๓ ของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลตะวันออก จังหวัดลำปาง
มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลศรีวิชัย จังหวัดลำพูน และสถาบันวิทยาลัยชุมชน
และมอบหมายให้หัวหน้าส่วนราชการตรวจสอบและแก้ไขปรับปรุงรายละเอียดต่าง ๆ
ของโครงการที่ได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีให้ใช้จ่ายเงินกู้ตามพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหา
เยียวยา
และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ พ.ศ. ๒๕๖๓ ตามที่เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ประธานกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้เสนอ และให้เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ประธานกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ กระทรวงการคลัง
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
เช่น ควรให้ความสำคัญกับการประชาสัมพันธ์และอำนวยความสะดวกให้ผู้ประกอบการ/ร้านค้าสามารถสมัครเข้าร่วมโครงการคนละครึ่งได้อย่างสะดวกรวดเร็ว
ตลอดจนกำกับและติดตามการใช้สิทธิของประชาชนและผู้ประกอบการอย่างเคร่งรัด โดยนำปัญหาและอุปสรรคที่เคยเกิดขึ้นกับโครงการ
“ชิม ช้อป ใช้” มาเป็นแนวทางในการกำกับติดตาม เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๒.
ให้เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ประธานกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้
ได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้ |
|||||||||||||||||||||||||||||||||
162 | ร่างปฏิญญาทางการเมืองของการประชุมระดับรัฐมนตรีกลุ่มประเทศไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดเพื่อร่วมรับรองโดยวิธีออนไลน์ ในช่วงเดียวกับการอภิปรายทั่วไปของการประชุมสมัชชาสหประชาชาติ สมัยสามัญ ครั้งที่ 75 | กต. | 29/09/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
เห็นชอบร่างปฏิญญาทางการเมืองของการประชุมระดับรัฐมนตรีกลุ่มประเทศไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด
โดยวิธีออนไลน์ ในช่วงเดียวกับการอภิปรายทั่วไปของการประชุมสมัชชาสหประชาชาติ
สมัยสามัญ ครั้งที่ ๗๕ (Online Ministerial Meeting of the Non-Aligned Movement on the
margins of the General Debate of the 75th Session of the United
Nations General Assembly) และให้รัฐมนตรีต่างประเทศหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายร่วมให้การรับรองร่างปฏิญญาทางการเมืองฯ
โดยร่างปฏิญญาทางการเมืองฯ มีสาระสำคัญเป็นการย้ำถึงวิสัยทัศน์และความมุ่งมั่นของกลุ่มประเทศไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดในการส่งเสริมให้สังคมโลกมีสันติภาพ
มีความเสมอภาคและความร่วมมือ และประชาชนมีความเป็นอยู่ที่ดี
รวมทั้งแสดงความห่วงกังวลต่ออุปสรรคและความท้าทายต่าง ๆ
และแสดงความกังวลต่อการแพร่ระบาดของโควิด-๑๙ ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ทั้งนี้
หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างปฏิญญาทางการเมืองฯ
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย ๒.
ให้กระทรวงการต่างประเทศรับไปหารือร่วมกับกระทรวงสาธารณสุขและหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องเพื่อกำหนดแนวทางการแสดงบทบาทนำของประเทศไทยเกี่ยวกับการป้องกันและแก้ไขปัญหาโควิด-๑๙
อย่างยั่งยืน โดยแลกเปลี่ยนการเรียนรู้เกี่ยวกับหลักการ วิธีการ
และวิธีการป้องกันและแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของโควิด-๑๙
ของประเทศไทยที่ได้รับการยอมรับจากการจัดอันดับ Global COVID-19
Index ให้แก่สมาชิกกลุ่มประเทศไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดให้เหมาะสมด้วย ๓. ให้กระทรวงการต่างประเทศได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี)
ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
163 | ขออนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น สำหรับเบิกจ่ายเป็นเงินเพิ่มพิเศษรายเดือน จำนวน 7 เดือน (ตั้งแต่เดือนมีนาคมถึงเดือนกันยายน 2563) ให้แก่กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ฯลฯ | มท. | 22/09/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
อนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ งบกลาง
รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน ๖๗๗,๗๙๑,๑๐๐ บาท
สำหรับเบิกจ่ายเป็นเงินเพิ่มพิเศษรายเดือน จำนวน ๗ เดือน (ตั้งแต่เดือนมีนาคม
ถึงเดือนกันยายน ๒๕๖๓) ให้แก่กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน แพทย์ประจำตำบล สารวัตรกำนัน
ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านฝ่ายปกครอง และผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านฝ่ายรักษาความสงบ
ซึ่งเป็นผู้ปฏิบัติงานในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19)
ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ๒.
ให้กระทรวงมหาดไทยได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔
พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
164 | ขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นเพื่อเตรียมความพร้อมป้องกันและแก้ไขปัญหาโรคติดต่ออุบัติใหม่ : กรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID - 19) ระยะการระบาดระลอก 2 | สธ. | 22/09/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
อนุมัติการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. ๒๕๖๓ งบกลาง
รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อเตรียมความพร้อมป้องกันและแก้ไขปัญหาโรคติดต่ออุบัติใหม่
: กรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ระยะการระบาดระลอก ๒ จำนวน ๒๐๔,๔๕๗,๑๐๐ บาท ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ ๒.
ให้กระทรวงสาธารณสุขได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔
พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
165 | ร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. 2522 (การเพิ่มโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) หรือโรคโควิด 19 เป็นโรคต้องห้ามตามมาตรา 12 (4) และมาตรา 44 (2) แห่งพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. 2522) | มท. | 22/09/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวง
ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. ๒๕๒๒
มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงกฎกระทรวงฉบับที่ ๑๔ (พ.ศ. ๒๕๓๕) ออกตามความในพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง
พ.ศ. ๒๕๒๒ โดยเพิ่มเติมให้โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19)
หรือโรคโควิด 19 เป็นโรคที่ต้องห้าม ตามมาตรา ๑๒ (๔) และมาตรา ๔๔
(๒) แห่งพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. ๒๕๒๒
เพื่อป้องกันมิให้คนต่างด้าวซึ่งเป็นโรคดังกล่าวเข้ามาในราชอาณาจักรหรือเข้ามามีถิ่นที่อยู่ในราชอาณาจักร
ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน
โดยให้พิจารณาในประเด็นตามข้อสังเกตของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเกี่ยวกับชื่อร่างกฎกระทรวงฯ
ว่า โดยที่ในกรณีนี้เป็นการยกเลิกกฎกระทรวงเดิมและกำหนดกฎกระทรวงขึ้นใหม่
ซึ่งการใช้ชื่อกฎกระทรวงว่า “ร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....)
ออกตามความในพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. ๒๕๒๒” นั้น
จะไม่อาจทราบได้เลยจากชื่อของกฎกระทรวงว่ากฎกระทรวงนี้มีเนื้อหาสาระเกี่ยวกับเรื่องใดจนกว่าจะพิจารณาเนื้อหา
รวมทั้งหากจะมีการแก้ไขเพิ่มเติมต่อไปอีกหลายครั้ง กฎกระทรวงก็จะกระจัดกระจายอยู่หลายแห่งตามฉบับการออกกฎกระทรวง
ซึ่งจะมีตัวเลขเรียงลำดับต่อไปเรื่อย ๆ โดยไม่รู้ว่าฉบับใดแก้ไขฉบับใด
จึงเห็นควรแก้ไขชื่อร่างกฎกระทรวงโดยใช้ชื่อให้ตรงกับเนื้อหาสาระที่กำหนดในร่างกฎกระทรวง
และถ้าต่อไปจะมีการแก้ไขเพิ่มเติม ก็กำหนดเป็นฉบับที่ ๒ เรียงตามลำดับต่อไป
แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
166 | ผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ในคราวประชุมครั้งที่ 20/2563 และครั้งที่ 21/2563 | นร.11 | 22/09/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
รับทราบผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้
ในคราวประชุมครั้งที่ ๒๐/๒๕๖๓ และครั้งที่ ๒๑/๒๕๖๓
ซึ่งพิจารณาอนุมัติโครงการจัดหาครุภัณฑ์เครื่องฉายรังสีสำหรับแก้ปัญหาผลกระทบจาก COVID-19
ด้านการแพทย์และสาธารณสุข ของสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข
และกรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข โครงการค่าตอบแทน เยียวยา ชดเชย และเสี่ยงภัย
สำหรับการปฏิบัติงานของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) ในการเฝ้าระวัง
ป้องกัน และควบคุมโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ ในชุมชน ของกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ
กระทรวงสาธารณสุข และโครงการส่งเสริมการจ้างงานใหม่สำหรับผู้จบการศึกษาใหม่โดยภาครัฐและเอกชน
ของกรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงาน โดยมอบหมายให้หน่วยงานที่รับผิดชอบโครงการฯ
ดำเนินการ
และอนุมัติการให้ความช่วยเหลือเกษตรกรทดแทนผู้เสียชีวิตที่มีสิทธิโครงการช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ จำนวน ๕,๒๗๘ ราย โดยดำเนินการภายใต้กรอบวงเงินตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๘ เมษายน ๒๕๖๓ รวมทั้งรับทราบผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีวันที่ ๔ สิงหาคม
๒๕๖๓ และวันที่ ๒๕ สิงหาคม ๒๕๖๓ ของสถาบันวิทยาลัยชุมชน กระทรวงการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม จังหวัดสิงห์บุรี และจังหวัดยโสธร
ตามที่เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ประธานกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้เสนอ
สำหรับโครงการจัดหาครุภัณฑ์เครื่องฉายรังสี สำหรับแก้ปัญหาผลกระทบจาก COVID-19
ด้านการแพทย์และสาธารณสุข ของสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุขและกรมการแพทย์
กระทรวงสาธารณสุข ให้กระทรวงสาธารณสุขดำเนินการตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
ทั้งนี้ ให้เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ประธานกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นควรให้หน่วยงานเจ้าของโครงการเร่งดำเนินการให้ทันต่อสถานการณ์
และปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง
ให้ถูกต้องครบถ้วนอย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะอย่างยิ่งความชัดเจนของโครงการ/รายการ
ระยะเวลาดำเนินการ และความเหมาะสมของค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในทุกมิติ
ซึ่งจะต้องเป็นไปตามเกณฑ์ อัตรา และมาตรฐานของทางราชการอย่างประหยัด ไม่มีความซ้ำซ้อนกับโครงการอื่น
ๆ ของภาครัฐ มีความโปร่งใส สามารถตรวจสอบได้ในทุกขั้นตอน
โดยให้ความสำคัญกับระบบการติดตามและประเมินผลให้ทันต่อสถานการณ์
เพื่อประโยชน์สูงสุดของทางราชการและประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับอย่างยั่งยืน
ไปดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป โดยให้ดำเนินการให้ถูกต้อง
เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด ๒.
ให้เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ประธานกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี)
ในการเสนอเรี่องนี้ |
|||||||||||||||||||||||||||||||||
167 | ขอรับการสนับสนุนงบประมาณเพิ่มเติม เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการแก้ปัญหาการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID - 19) ระยะที่ 4 | กห. | 22/09/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. อนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๓ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น วงเงิน
๔๖๐,๐๔๘,๗๐๐ บาท ให้สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม
เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการแก้ปัญหาการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19)
ระยะที่ ๔
สำหรับเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินการพื้นที่กักกันโรคแห่งรัฐ (State
Quarantine) ระยะที่ ๔ ต่อไป ตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอ
และให้กระทรวงกลาโหมรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย
ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง
และคำนึงถึงผลประโยชน์ของทางราชการตามนัยพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ
พ.ศ. ๒๕๖๑ อย่างเคร่งครัด
พร้อมทั้งให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของบุคลากรทั้งภาครัฐและเอกชนที่ต้องปฏิบัติหน้าที่ใกล้ชิดกับกลุ่มบุคคลที่มีความเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของโรคเป็นสำคัญ
เพื่อให้ป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19)
เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ไปดำเนินการต่อไปด้วย ๒.
ให้กระทรวงกลาโหมได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน
๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
168 | ขอรับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น สำหรับเป็นค่าใช้จ่ายในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินด้านความมั่่นคง เพื่อบรรเทาผลกระทบจากสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) | ตช. | 22/09/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. อนุมัติจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๓ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ภายในวงเงิน
๒,๕๒๑,๒๗๓,๒๐๐ บาท สำหรับเป็นค่าใช้จ่ายในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินด้านความมั่นคง
เพื่อบรรเทาผลกระทบจากสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19)
ตั้งแต่วันที่ ๒๗ มีนาคม ถึงวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๖๓ รวม ๙๖ วัน
หรือจนกว่าสิ้นสุดระยะเวลาตามประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในทุกเขตท้องที่ทั่วราชอาณาจักร
ตามที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติเสนอ
และให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติรับความเห็นของกระทรวงสาธารณสุขที่เห็นควรจัดให้มีรายละเอียดงบประมาณในแต่ละรายการเพิ่ม
เพื่อจะได้มีข้อมูลเพียงพอประกอบการพิจารณาเรื่องดังกล่าวเป็นไปด้วยความโปร่งใส
เป็นประโยชน์ต่อการบริหารราชการแผ่นดิน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๒. ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
169 | ผลการประชุมคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ครั้งที่ 3/2563 | ดศ. | 22/09/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ครั้งที่ ๓/๒๕๖๓ เมื่อวันที่ ๑๓ กรกฎาคม ๒๕๖๓ โดยมีเรื่องที่สำคัญ เช่น
ผลการดำเนินงานด้านกิจการอวกาศของประเทศไทย
การดำเนินโครงการพัฒนาระบบคลาวด์กลางภาครัฐ (Government Data Center and
Cloud Services : GDCC) โครงการขยายอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิต
การดำเนินงานของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส
Covid-19 และโครงการนำสายสื่อสารลงใต้ดิน เป็นต้น ตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
170 | การให้เงินสนับสนุนผ่านโครงการ Project - Based Programme ให้แก่ศูนย์แพทย์ทหารอาเซียน | กห. | 15/09/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
เห็นชอบให้กระทรวงกลาโหมสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓
ของสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม จำนวน ๕๖๕,๘๔๐ บาท ผ่านโครงการ Project-Based Programme ให้แก่ศูนย์แพทย์ทหารอาเซียน (ASEAN
Center of Military Medicine : ACMM) สำหรับโครงการพัฒนาความร่วมมือด้านการแพทย์ทหารกับประเทศเพื่อนบ้าน
ในการจัดทำห้องแยกผู้ป่วยเคลื่อนที่ (ตู้ความดันลบ) กรณีติดเชื้อโรคไวรัสโคโรนา
2019 (Mobile Isolation Room for COVID-19 Patient) ตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอ และให้กระทรวงกลาโหมรับความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นควรดำเนินการตามนัยมาตรา
๓๗ ของพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๒.
ให้กระทรวงกลาโหมได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน
๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
171 | การปรับแนวทางการประเมินส่วนราชการตามมาตรการปรับปรุงประสิทธิภาพในการปฏิบัติราชการประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 | นร.12 | 15/09/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการปรับแนวทางการประเมินส่วนราชการตามมาตรการปรับปรุงประสิทธิภาพในการปฏิบัติราชการประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๓ โดยจะไม่มีการประเมินส่วนราชการ แต่ให้ส่วนราชการรายงานผลการดำเนินงานตามตัวชี้วัดเดิมเพื่อใช้ในการติดตาม
(monitoring) และให้ถอดบทเรียนในการบริหารจัดการผลกระทบและการแก้ไขปัญหาในกรณีที่ส่วนราชการเสนอตัวชี้วัดใหม่
ตามมติ ก.พ.ร. ในคราวประชุมครั้งที่ ๓/๒๕๖๓ เมื่อวันที่ ๒๒ กรกฎาคม ๒๕๖๓
โดยมีรองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) เป็นประธาน ตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอ
ทั้งนี้ ให้สำนักงาน ก.พ.ร.
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักนายกรัฐมนตรี
(สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี) และสำนักงบประมาณ เช่น ให้สำนักงาน ก.พ.ร.
รายงานผลการสรุปบทเรียนการบริหารจัดการผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรค COVID-19
ในภาพรวมของส่วนราชการต่อศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรค COVID-19
เพื่อใช้เป็นข้อมูลประกอบการพิจารณากำหนดแนวทางในการบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรค
COVID-19 ในอนาคต เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||
172 | การประเมินส่วนราชการตามมาตรการปรับปรุงประสิทธิภาพในการปฏิบัติราชการ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 | นร.12 | 15/09/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑. เห็นชอบตามที่สำนักงาน
ก.พ.ร. เสนอ ดังนี้ ๑.๑
แนวทางการประเมินส่วนราชการตามมาตรการปรับปรุงประสิทธิภาพในการปฏิบัติราชการ ประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๓ ตามมติคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ ในการประชุมครั้งที่ ๓/๒๕๖๓
เมื่อวันที่ ๒๒ กรกฎาคม ๒๕๖๓ โดยจะไม่มีการประเมินส่วนราชการ
แต่ให้ส่วนราชการรายงานผลการดำเนินงานตามตัวชี้วัดเดิมเพื่อใช้ในการติดตาม (monitoring)
และให้ถอดบทเรียนในการบริหารจัดการผลกระทบและการแก้ไขปัญหาในกรณีที่ส่วนราชการเสนอตัวชี้วัดใหม่
และให้สำนักงาน ก.พ.ร.
สรุปบทเรียนในภาพรวมของส่วนราชการเพื่อใช้เป็นแนวทางในการบริหารงานได้อย่างมีประสิทธิภาพหากเกิดสภาวะวิกฤติในอนาคต ๑.๒ กรอบและแนวทางการประเมินส่วนราชการฯ
ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔ โดยมี ๒ องค์ประกอบในการประเมิน ได้แก่ (๑)
การประเมินประสิทธิผลการดำเนินงาน (Performance Base) และ (๒) การประเมินศักยภาพในการดำเนินงาน (Potential Base) ๒. ให้สำนักงาน
ก.พ.ร. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
กระทรวงมหาดไทย สำนักงบประมาณ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
สำนักงาน ก.พ. รวมทั้งข้อเสนอแนะของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์
วิจัยและนวัตกรรม และข้อสังเกตของกระทรวงคมนาคม เช่น ให้สำนักงาน ก.พ.ร.
รายงานผลการสรุปบทเรียนการบริหารจัดการผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรค COVID-19
ในภาพรวมของส่วนราชการต่อศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรค COVID-19
เพื่อใช้เป็นข้อมูลประกอบการพิจารณากำหนดแนวทางในการบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรค
COVID-19 ในอนาคตด้วย เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||
173 | การยกเลิกการจัดการประกวดดนตรีและมาร์ชชิ่งอาร์ทชิงแชมป์โลก 2020 ณ ประเทศไทย | วธ. | 15/09/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการยกเลิกการจัดการประกวดดนตรีและมาร์ชชิ่งอาร์ทชิงแชมป์โลก
๒๐๒๐ ณ ประเทศไทย ซึ่งกรมส่งเสริมวัฒนธรรมร่วมกับสมาคมดนตรีและมาร์ชชิ่งอาร์ทสากลกำหนดเป็นเจ้าภาพจัดการประกวดดนตรีและมาร์ชชิ่งอาร์ทชิงแชมป์โลก
๒๐๒๐ ณ ประเทศไทย ระหว่างวันที่ ๒๘ กรกฎาคม-๒ สิงหาคม ๒๕๖๓ แต่เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ (COVID-19) ในประชาคมโลกยังคงมีความไม่แน่นอน
ไม่สามารถประเมินสถานการณ์เพื่อวางแผนการจัดกิจกรรมที่เหมาะสมได้ ดังนั้น
ที่ประชุมวิสามัญโดยกรรมการบริหารของ World Association of Marching Show
Bands (WAMSB) ได้มีมติเมื่อวันที่ ๕ กรกฎาคม ๒๕๖๓
ให้ยกเลิกการจัดการประกวดดนตรีและมาร์ชชิ่งอาร์ทชิงแชมป์โลก ๒๐๒๐ ณ ประเทศไทย ตามที่กระทรวงวัฒนธรรมเสนอ |
|||||||||||||||||||||||||||||||||
174 | ร่างกฎกระทรวงว่าด้วยรถยนต์รับจ้างบรรทุกคนโดยสารไม่เกินเจ็ดคน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | คค. | 15/09/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
เห็นชอบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอว่า
การขยายอายุการใช้งานของรถยนต์รับจ้างบรรทุกคนโดยสารไม่เกินเจ็ดคน จาก ๙ ปี เป็น
๑๒ ปี นั้น
อาจทำให้รถดังกล่าวมีการระบายก๊าซไฮโดรคาร์บอนและก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์ซึ่งเป็นมลพิษเกินมาตรฐานมากกว่ารถยนต์ประเภทอื่น
และส่งผลให้เกิดก๊าซโอโซนเป็นสารมลพิษทางอากาศและฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM2.5)
ออกสู่บรรยากาศเพิ่มมากขึ้นด้วย
แต่เพื่อเป็นการช่วยเหลือเยียวยาผู้ประกอบอาชีพขับรถยนต์รับจ้างซึ่งได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจและสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ (COVID-19) ดังนั้น ในระยะแรกเห็นควรขยายอายุการใช้งานของรถยนต์รับจ้างบรรทุกคนโดยสารไม่เกินเจ็ดคน
จาก ๙ ปี เป็น ๑๒ ปี เป็นระยะเวลา ๓ ปี
แล้วให้กระทรวงคมนาคมพิจารณาทบทวนขยายอายุการใช้งานของรถดังกล่าวอีกครั้งหนึ่ง ๒. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงว่าด้วยรถยนต์รับจ้างบรรทุกคนโดยสารไม่เกินเจ็ดคน
(ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวงว่าด้วยรถยนต์รับจ้างบรรทุกคนโดยสารไม่เกินเจ็ดคน
พ.ศ. ๒๕๖๐ เพื่อกำหนดอุปกรณ์ ระบบ
หรือเทคโนโลยีติดตามรถที่สามารถนำมาใช้แทนเครื่องบันทึกข้อมูลการเดินทางของรถและขยายอายุการใช้งานของรถแท็กซี่
จาก ๙ ปี เป็น ๑๒ ปี เพื่อให้เกิดการแข่งขันด้านบริการและช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายให้แก่เจ้าของรถและผู้ประกอบอาชีพขับรถยนต์รับจ้าง
ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา
โดยให้แก้ไขร่างกฎกระทรวงตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๓. ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรจัดให้มีมาตรการเพื่อลดผลกระทบต่อผู้ประกอบการไว้ล่วงหน้าด้วย
และควรให้ความสำคัญกับการติดตามและประเมินผลการขยายระยะเวลาอายุการใช้งานของรถยนต์รับจ้างอย่างใกล้ชิด
โดยในกรณีที่เห็นว่าการดำเนินการดังกล่าวอาจไม่สอดคล้องสถานการณ์ทางเศรษฐกิจ สังคม
และสิ่งแวดล้อม รวมถึงยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบขนส่งสาธารณะในเขตเมือง
เห็นควรพิจารณาเสนอขอทบทวนกฎกระทรวงดังกล่าวตามขั้นตอนต่อไป ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
175 | รายงานผลสัมฤทธิ์ของการปฏิบัติงานนอกสถานที่ตั้ง (Work From Home) และการเหลื่อมเวลาในการทำงานในสถานที่ตั้งของรัฐวิสาหกิจ | กค. | 08/09/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑. รับทราบรายงานผลสัมฤทธิ์ของการปฏิบัติงานนอกสถานที่ตั้ง
(Work From Home) และการเหลื่อมเวลาในการทำงานในสถานที่ตั้งของรัฐวิสาหกิจภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงการคลัง
(สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ) จำนวน ๕๕ แห่ง ในสัปดาห์ช่วงระหว่างวันที่ ๒๔-๒๘
สิงหาคม ๒๕๖๓ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑
การปฏิบัติงานนอกสถานที่ตั้งของรัฐวิสาหกิจ
(ปฏิบัติงานที่บ้านหรือที่พักหรือสถานที่ตามที่รัฐวิสาหกิจกำหนด) รัฐวิสาหกิจ ๑๔
แห่ง ยังคงดำเนินนโยบายการปฏิบัติงานนอกสถานที่ตั้ง โดยมีรัฐวิสาหกิจ ๔๑ แห่ง
ที่ให้พนักงานกลับมาปฏิบัติงานในสถานที่ตั้งตามปกติแล้ว เท่ากับสัปดาห์ก่อนหน้า
(ช่วงระหว่างวันที่ ๑๗-๒๑ สิงหาคม ๒๕๖๓) ทั้งนี้
จากจำนวนพนักงานและลูกจ้างของรัฐวิสาหกิจทั้งหมด จำนวน ๒๗๒,๐๖๑ คน
มีพนักงานและลูกจ้างปฏิบัติงานนอกสถานที่ตั้ง จำนวน ๑๐,๐๓๔ คน หรือคิดเป็นร้อยละ ๔ ๑.๒.
การปฏิบัติงานในสถานที่ตั้งของรัฐวิสากิจ (การปฏิบัติงานเหลื่อมเวลา) รัฐวิสาหกิจ
๒๖ แห่ง ยังคงดำเนินนโยบายการปฏิบัติงานเหลื่อมเวลาเท่ากับสัปดาห์ก่อนหน้า
(ช่วงระหว่างวันที่ ๑๗-๒๑ สิงหาคม ๒๕๖๓) โดยรัฐวิสาหกิจ ๒๖ แห่ง
มีช่วงเวลาเริ่มปฏิบัติงานเหลื่อมเวลาตั้งแต่เวลา ๐๖.๐๐ น.-๑๐.๐๐ น. ๒. ให้กระทรวงการคลังยุติการรายงานผลสัมฤทธิ์ของการปฏิบัติงานนอกสถานที่ตั้ง
(Work From Home) และการเหลื่อมเวลาในการทำงานในสถานที่ตั้งของรัฐวิสาหกิจ
ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๒ พฤษภาคม ๒๕๖๓ [เรื่อง
รายงานข้อมูลการปฏิบัติงานใน-นอกสถานที่ตั้งของส่วนราชการ
กรณีการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19)] เนื่องจากขณะนี้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) ได้คลี่คลายลง
และรัฐวิสาหกิจส่วนใหญ่ได้ให้พนักงานกลับมาปฏิบัติงานในสถานที่ตั้งตามปกติแล้ว ทั้งนี้
ให้กระทรวงการคลังจัดทำรายงานผลสัมฤทธิ์ของการปฏิบัติงานนอกสถานที่ตั้งในภาพรวม
รวมทั้งวิเคราะห์ข้อดี ข้อเสีย และข้อเสนอแนะ ต่อการปฏิบัติงานนอกสถานที่ตั้ง
เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
176 | รายงานผลสัมฤทธิ์ของการปฏิบัติงานนอกสถานที่ตั้ง (Work From Home) และการเหลื่อมเวลาในการทำงานในสถานที่ตั้งของส่วนราชการ รายสัปดาห์ ครั้งที่ 17 | นร.10 | 08/09/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑. รับทราบรายงานผลสัมฤทธิ์ของการปฏิบัติงานนอกสถานที่ตั้ง
(Work From Home) และการเหลื่อมเวลาในการทำงานในสถานที่ตั้งของส่วนราชการ
รายสัปดาห์ ครั้งที่ ๑๗ (ข้อมูล ณ วันที่ ๑ กันยายน ๒๕๖๓) ซึ่งได้รับข้อมูลจาก ๑๔๗
ส่วนราชการ คิดเป็นร้อยละ ๙๙ ของส่วนราชการทั้งหมด (๑๔๘ ส่วนราชการ)
ตามที่สำนักงาน ก.พ. เสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ การปฏิบัติงานในสถานที่ตั้งของส่วนราชการ
มีส่วนราชการได้มอบหมายให้ข้าราชการและเจ้าหน้าที่กลับมาปฏิบัติงานในสถานที่ตั้งของส่วนราชการตามปกติเพิ่มมากขึ้น
(๙๑ ส่วนราชการ คิดเป็นร้อยละ ๖๒) โดยเพิ่มขึ้นจากสัปดาห์ที่ผ่านมา (๘๒ ส่วนราชการ
คิดเป็นร้อยละ ๕๖) และส่วนราชการส่วนใหญ่ให้ข้าราชการและเจ้าหน้าที่เหลื่อมเวลาในการทำงานเป็น
๓ ช่วงเวลา (๗๖ ส่วนราชการ คิดเป็นร้อยละ ๕๒) ๑.๒
การปฏิบัติงานนอกสถานที่ตั้งของส่วนราชการ (Work From Home) มีส่วนราชการมอบหมายให้ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานนอกสถานที่ตั้งของส่วนราชการลดลง
(๕๖ ส่วนราชการ คิดเป็นร้อยละ ๓๘) โดยในจำนวนนี้มีส่วนราชการ ๑๑ ส่วนราชการ
(คิดเป็นร้อยละ ๗) มอบหมายให้ทุกคนปฏิบัติงานนอกสถานที่ตั้ง ๒. ให้สำนักงาน ก.พ.
ยุติการรายงานผลสัมฤทธิ์ของการปฏิบัติงานนอกสถานที่ตั้ง (Work
From Home) และการเหลื่อมเวลาในการทำงานในสถานที่ตั้งของส่วนราชการ
ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๒ พฤษภาคม ๒๕๖๓ [เรื่อง
รายงานข้อมูลการปฏิบัติงานใน-นอกสถานที่ตั้งของส่วนราชการ
กรณีการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19)] เนื่องจากขณะนี้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) ได้คลี่คลายลง
และส่วนราชการส่วนใหญ่ได้ให้ข้าราชการและเจ้าหน้าที่กลับมาปฏิบัติงานในสถานที่ตั้งตามปกติแล้ว
ทั้งนี้ ให้สำนักงาน ก.พ.
จัดทำรายงานผลสัมฤทธิ์ของการปฏิบัติงานนอกสถานที่ตั้งในภาพรวม
รวมทั้งวิเคราะห์ข้อดี ข้อเสีย และข้อเสนอแนะ ต่อการปฏิบัติงานนอกสถานที่ตั้ง
เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
177 | ขอรับการสนับสนุนงบประมาณเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการแก้ปัญหาการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID - 19) ระยะที่ 3 | กห. | 01/09/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
อนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ เพิ่มเติม งบกลาง
รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น วงเงิน ๘๘๓,๔๒๒,๕๐๐ บาท
ให้สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม
เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินการจัดทำพื้นที่กักกันโรคแห่งรัฐ (State
Quarantine) สำหรับแก้ปัญหาการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ (COVID-19) ระยะที่ ๓ ต่อไป ตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอ
และให้กระทรวงกลาโหมและกระทรวงสาธารณสุขรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้กระทรวงกลาโหมและกระทรวงสาธารณสุขจัดให้มีพื้นที่กักกันโรคแห่งรัฐทางเลือก
(Alternative State Quarantine) เพิ่มเติมให้มากขึ้นสำหรับผู้ที่จะเดินทางกลับประเทศไทยที่มีความพร้อมทางด้านค่าใช้จ่าย
เพื่อเป็นการลดภาระงบประมาณของภาครัฐและเป็นการสนับสนุนรายได้ให้แก่ผู้ประกอบการโรงแรมเอกชนได้อีกทางหนึ่ง
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
๒.
ให้กระทรวงกลาโหมได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน
๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
178 | รายงานสภาพการณ์ที่เกี่ยวข้องกับการจ้างงานในราชการพลเรือนในช่วงการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID - 19) | นร.10 | 01/09/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสภาพการณ์ที่เกี่ยวข้องกับการจ้างงานในราชการพลเรือนในช่วงการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ (COVID-19) จำนวน ๒ เรื่อง ได้แก่ (๑)
รายงานสรุปเรื่องการดำเนินการสอบเพื่อวัดความรู้ความสามารถทั่วไป (ภาค ก.) และ (๒)
แนวทางเพิ่มโอกาสการจ้างงานผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ (COVID-19) ด้วยระบบพนักงานราชการ
โดยคาดว่าการดำเนินการทั้งสองเรื่องดังกล่าวจะช่วยบรรเทาสภาพการณ์ว่างงานภายในประเทศ
โดยบรรจุบุคคลเข้ารับราชการประจำ
ทั้งจากผู้ที่เพิ่งสำเร็จการศึกษาและผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการว่างงาน/เลิกจ้างงาน
ซึ่งภายหลังจากการดำเนินการสอบภาค ก. ในช่วงเดือนกันยายน ๒๕๖๓ จำนวน ๕๒๑,๗๒๓ คน
แล้ว ส่วนราชการสามารถดำเนินการจัดสอบภาค ข. และภาค ค.
เพื่อบรรจุบุคคลเข้ารับราชการได้ ซึ่งจะมีตำแหน่งว่างรองรับการจ้างงาน ประกอบด้วย
อัตราข้าราชการตั้งใหม่ที่มีส่วนราชการได้รับการจัดสรรในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒-๒๕๖๓
ที่ยังไม่ได้บรรจุจำนวนประมาณ ๒๐,๐๐๐ อัตรา และอัตราว่างจากผลการเกษียณอายุของข้าราชการเมื่อสิ้นปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๓ จำนวนประมาณ ๘,๙๐๐ อัตรา
หรือพิจารณาใช้รูปแบบการจ้างงานแบบสัญญาจ้างเพื่อบรรจุเป็นพนักงานราชการในอัตราว่างตามกรอบอัตรากำลังปกติ
หรือกรอบอัตรากำลังพนักงานราชการตามแนวทางที่คณะกรรมการบริหารพนักงานราชการเห็นชอบสำหรับการจ้างงานระยะสั้นไม่เกิน
๒ ปี ซึ่งอาจบริหารจัดการได้จำนวนประมาณ ๑๐,๐๐๐ อัตรา ตามที่สำนักงาน ก.พ. เสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
179 | ร่างประกาศกระทรวงแรงงาน เรื่อง กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขให้ลดหย่อนการออกเงินสมทบของนายจ้าง และผู้ประกันตน กรณีการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโรคโควิด 19 (Coronavirus Disease 2019 (COVID-19)) | รง. | 01/09/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบร่างประกาศกระทรวงแรงงาน
เรื่อง กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขให้ลดหย่อนการออกเงินสมทบของนายจ้าง
และผู้ประกันตน กรณีการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโรคโควิด 19 [Coronavirus
Disease 2019 (COVID-19)] โดยลดหย่อนการออกเงินสมทบเข้ากองทุนประกันสังคมฝ่ายนายจ้างและฝ่ายผู้ประกันตนเหลือฝ่ายละ
ร้อยละ ๒ ของค่าจ้างของผู้ประกันตน เป็นระยะเวลา ๓ เดือน
ตั้งแต่งวดค่าจ้างเดือนกันยายน พ.ศ. ๒๕๖๓ ถึงเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๖๓
ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงแรงงานรับความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นควรสร้างการรับรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับประโยชน์ที่นายจ้างและผู้ประกันตนจะได้รับ
รวมทั้งวางแผนการดำเนินการทางการเงินของกองทุนประกันสังคมในระยะสั้น ระยะกลาง
และระยะยาว โดยคำนึงถึงความเสี่ยงและความเสียหายที่จะเกิดขึ้นอย่างรอบคอบ เพื่อมิให้เกิดผลกระทบต่อสภาพคล่องและเสถียรภาพของกองทุนประกันสังคม
รวมถึงภาระการเงินการคลังที่อาจเกิดขึ้นแก่รัฐในอนาคต
ตามนัยของพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
180 | ผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ในคราวประชุมครั้งที่ 17/2563 | นร.11 | 25/08/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. รับทราบและอนุมัติตามผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้
ในคราวประชุมครั้งที่ ๑๗/๒๕๖๓ เมื่อวันที่ ๒๑ สิงหาคม ๒๕๖๓
ที่ได้มีการพิจารณากลั่นกรองข้อเสนอแผนงานหรือโครงการเพื่อขอใช้จ่ายเงินกู้ตามพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหา
เยียวยา
และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ พ.ศ. ๒๕๖๓ และพิจารณาความเหมาะสมของการปรับปรุงรายละเอียดของแผนงาน/โครงการ
รวมถึงการรายงานความก้าวหน้าการดำเนินงานและการใช้จ่ายเงินกู้ของแผนงานหรือโครงการภายใต้พระราชกำหนดฯ
เสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาตามขั้นตอนของพระราชกำหนดฯ
และระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการดำเนินการตามแผนงานหรือโครงการภายใต้พระราชกำหนดฯ
พ.ศ. ๒๕๖๓ ตามที่เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ประธานกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้เสนอ ๒.
สำหรับแหล่งเงินที่จะนำมาใช้จ่ายของโครงการพัฒนาวัคซีนต้นแบบตั้งแต่ต้นน้ำและเตรียมความพร้อมรับการถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตวัคซีนโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ (COVID-19) และโครงการของจังหวัดภายใต้แผนงาน ๓.๒
จำนวน ๕๓ โครงการ
ให้หน่วยงานเจ้าของโครงการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
และให้เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ประธานกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับโครงการพัฒนาวัคซีนต้นแบบตั้งแต่ต้นน้ำและเตรียมความพร้อมรับการถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตวัคซีนโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ (COVID-19) ควรมีการกำหนดข้อตกลงร่วมกันของสถาบันวัคซีนแห่งชาติและภาคส่วนที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วนและชัดเจนในการวางแผนการดำเนินงานและแผนการใช้จ่ายเงินกู้
รวมทั้งควรกำหนดราคาจำหน่ายวัคซีนที่ได้จากการถ่ายทอดเทคโนโลยีให้อยู่ในราคาที่เหมาะสม
เป็นธรรม เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงวัคซีนได้อย่างทั่วถึงและเท่าเทียม
นอกจากนี้ ในส่วนการขยายฐานการใช้สิทธิสำหรับบริษัท (Corporate) ภายใต้โครงการเราเที่ยวด้วยกัน ของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
ควรพิจารณาขอความร่วมมือบริษัทให้ดำเนินการใช้สิทธิผ่านผู้ประกอบธุรกิจนำเที่ยวภายในประเทศเพื่อให้มาตรการดังกล่าวก่อให้เกิดการกระจายรายได้และเสริมสภาพคล่องแก่กลุ่มผู้ประกอบการธุรกิจนำเที่ยวในประเทศและผู้ประกอบการรายย่อยที่เป็นเครือข่ายของผู้ประกอบการธุรกิจนำเที่ยวในประเทศด้วย
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
๓.
ให้เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ประธานกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี)
ในการเสนอเรื่องนี้
|