ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 7 จากทั้งหมด 14 หน้า แสดงรายการที่ 121 - 140 จากข้อมูลทั้งหมด 268 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
121 | ผลการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเอเปค ครั้งที่ 27 | กค. | 23/11/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเอเปค
ครั้งที่ ๒๗ ซึ่งสหพันธรัฐมาเลเซียในฐานะเจ้าภาพการประชุมเอเปค ประจำปี ๒๕๖๓
ได้จัดการประชุมผ่านระบบการประชุมทางไกล เมื่อวันที่ ๒๕ กันยายน ๒๕๖๓
โดยมีที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจระหว่างประเทศ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง
เป็นผู้แทนประเทศไทยเข้าร่วมการประชุม ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑. ที่ประชุมได้หารือถึงการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ (โควิด-๑๙) ที่ส่งผลกระทบในเชิงลบต่อชีวิตความเป็นอยู่และเศรษฐกิจของโลกอย่างมาก
โดยเฉพาะต่อวิสาหกิจขนาดกลาง ขนาดย่อม และรายย่อย
รวมทั้งก่อให้เกิดภาวะเศรษฐกิจตกต่ำที่สุดนับแต่ปี ๒๔๗๓ ซึ่งกองทุนการเงินระหว่างประเทศคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจโลกจะฟื้นตัวในช่วงปลายปี
๒๕๖๔ และกลุ่มธนาคารโลกคาดการณ์ตัวเลขคนยากจนมากที่สุดจะเพิ่มขึ้นอีก ๑๑๐-๑๕๐
ล้านคน ในปี ๒๕๖๔ ๒. ผู้แทนประเทศไทยได้ชี้แจงเกี่ยวกับมาตรการด้านการคลังและการเงินของไทยในการรับมือและกระตุ้นเศรษฐกิจ
ซึ่งใช้งบประมาณ ๒.๒ ล้านล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ ๑๒
ของผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ เพื่อดำเนินการในเรื่องต่าง ๆ เช่น
การให้เงินช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบ
การให้ความช่วยเหลือด้านเงินทุนแก่วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม
และการออกทุนเพื่อรักษาสภาพคล่องของการระดมทุนในตลาดตราสาร
ซึ่งมีส่วนช่วยให้เศรษฐกิจไทยเริ่มมีสัญญาณการฟื้นตัวที่ดีขึ้น ๓. เอเปคให้ความสำคัญกับการดำเนินการด้านสุขภาพ
สาธารณสุข โดยเฉพาะการวิจัยและพัฒนาตัวยาและวัคซีนสำหรับโควิด-๑๙
และการนำระบบดิจิทัลมาใช้ในระบบการเงิน
ซึ่งระบบดิจิทัลได้มีบทบาทที่สำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและการดำเนินธุรกิจของภาคส่วนต่าง
ๆ รวมไปถึงการควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-๑๙
รวมทั้งอาจพิจารณาความเป็นไปได้ในการเพิ่มโรคระบาดที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตไว้ในกรอบการทำงานด้านความเสี่ยงทางการเงินและการประกันภัยด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
122 | โครงการจัดหาวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) สำหรับประชาชนไทย โดยการจองล่วงหน้า (AstraZeneca) | สธ. | 17/11/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. เห็นชอบโครงการจัดหาวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
2019 (COVID-19) สำหรับประชาชนไทย โดยการจองล่วงหน้า (AstraZeneca)
และการจัดซื้อวัคซีนกับบริษัท AstraZeneca โดยให้กระทรวงสาธารณสุขหารือร่วมกับคณะกรรมการวินิจฉัยปัญหาการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐและกรมบัญชีกลางเกี่ยวกับแนวทางการดำเนินการในการจัดซื้อวัคซีนที่ได้จากการจองล่วงหน้าภายใต้โครงการดังกล่าว
และดำเนินการให้ถูกต้องเป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ หลักเกณฑ์ ข้อบังคับ
และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต่อไปอย่างเคร่งครัด ๒.
อนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔ งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการบรรเทา
แก้ไขปัญหา และเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019
เพื่อจัดหาวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19)
ภายใต้โครงการดังกล่าว ในวงเงิน ๒,๓๗๙.๔๓ ล้านบาท
ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ ๓. ให้กระทรวงสาธารณสุขได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี)
ในการเสนอเรื่องนี้ |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
123 | สรุปผลการประชุมคณะกรรมการบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) (ศบค.) ครั้งที่ 13/2563 | นร.04 | 28/10/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
2019 (โควิด-19) ครั้งที่ ๑๓/๒๕๖๓ เมื่อวันที่ ๒๑ ตุลาคม ๒๕๖๓ ซึ่งมีผลการประชุมที่สำคัญ
ได้แก่ (๑) สถานการณ์การแพร่ระบาดและผู้ติดเชื้อ (๒)
ความคืบหน้าการพัฒนาและผลิตวัคซีนโรคโควิด-19 (๓)
การป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ตามแนวชายแดน (๔) ความคืบหน้าการดำเนินมาตการผ่อนคลายการบังคับใช้กฎหมาย
และ (๕)
การพิจารณาขยายระยะเวลาการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในทุกเขตท้องที่ทั่วราชอาณาจักร
(คราวที่ ๗) (๖) การขอเพิ่มจำนวนที่นั่งสำหรับผู้ชมกีฬา (๗) การใช้ Smart
Band สำหรับนักท่องเที่ยวเพื่อการป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19
และ (๘) ข้อสั่งการนายกรัฐมนตรี ตามที่สำนักเลขาธิการศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19
เสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
124 | ขออนุมัติท่าทีไทยสำหรับการประชุมคณะอนุกรรมาธิการด้านการค้าและความร่วมมือทางเศรษฐกิจไทย-สหพันธรัฐรัสเซีย ครั้งที่ 4 และการปรับปรุงแก้ไขบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการขยายความร่วมมือทางการค้าและเศรษฐกิจระหว่างกระทรวงพาณิชย์ของราชอาณาจักรไทยและกระทรวงการพัฒนาเศรษฐกิจของสหพันธรัฐรัสเซีย | พณ. | 20/10/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
เห็นชอบท่าทีไทยสำหรับการประชุมคณะอนุกรรมาธิการด้านการค้าและความร่วมมือทางเศรษฐกิจไทย-สหพันธรัฐรัสเซีย
ครั้งที่ ๔ และหากในการประชุมคณะอนุกรรมาธิการฯ ดังกล่าว มีผลให้มีการตกลงในเรื่องความร่วมมือด้านเศรษฐกิจการค้าในประเด็นอื่น
ๆ อันจะเป็นประโยชน์ต่อการส่งเสริมความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจการค้าสองฝ่าย
โดยไม่มีการจัดทำเป็นความตกลงหรือหนังสือสัญญาขึ้นใหม่ ให้กระทรวงพาณิชย์และผู้แทนไทยที่เข้าร่วมการประชุมสามารถดำเนินการได้และนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบ
รวมทั้งเห็นชอบและอนุมัติให้มีการลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการขยายความร่วมมือทางการค้าและเศรษฐกิจระหว่างกระทรวงพาณิชย์ของราชอาณาจักรไทยและกระทรวงการพัฒนาเศรษฐกิจของสหพันธรัฐรัสเซีย
(Memorandum of Understanding on Extension of Trade and Economic
Cooperation Between the Ministry of Economic Development of the Russian
Federation and the Ministry of Commerce of the Kingdom of Thailand) และอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจฯ
โดยท่าทีไทยสำหรับการประชุมคณะอนุกรรมาธิการฯ
มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดท่าทีของไทยในด้านต่าง ๆ อาทิ
การส่งเสริมการค้าและการลงทุนระหว่างกัน การขยายความร่วมมือในระดับพหุภาคีและภูมิภาค
และการส่งเสริมความร่วมมือระหว่างภาคเอกชน ส่วนร่างบันทึกความเข้าใจฯ
มีสาระสำคัญเป็นการกระชับความสัมพันธ์และขยายความร่วมมือด้านการค้าและเศรษฐกิจ
การส่งเสริมกิจกรรมระหว่างภาคธุรกิจ
การพิจารณาแนวทางเพิ่มมูลค่าการค้าและลดอุปสรรคทางการค้า
ตลอดจนการอำนวยความสะดวกในการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างสองประเทศ
ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ทั้งนี้
หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างบันทึกความเข้าใจฯ
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว ๒.
ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่ควรเน้นย้ำการหารือในสี่ประเด็นหลัก
คือ (๑) การเร่งรัดการอำนวยความสะดวกและลดอุปสรรคทางการค้าระหว่างกัน
โดยเฉพาะการส่งออกสินค้าเกษตรสำคัญของไทยที่มีศักยภาพในตลาดรัสเซีย อาทิ
สินค้าประมงและปศุสัตว์ (๒)
การเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับโอกาสทางการค้าและการลงทุนให้แก่กลุ่ม SMEs
ของทั้งสองฝ่าย เพื่อเพิ่มโอกาสในการดำเนินธุรกิจ
รวมถึงการแลกเปลี่ยนข้อมูลเชิงลึกโดยเฉพาะด้านกฎระเบียบ (๓)
การส่งเสริมกิจกรรมการท่องเที่ยวระหว่างกันที่สอดรับกับวิถีชีวิตใหม่ (New
Normal) และ (๔) การเพิ่มโอกาสในการพัฒนาความร่วมมือด้านอื่น ๆ
ที่ทั้งสองฝ่ายมีศักยภาพ อาทิ การพัฒนาพลังงานทดแทน
และการพัฒนาเทคโนโลยีทางการแพทย์ ซึ่งอาจขยายไปสู่การพัฒนาวัคซีนป้องกันโรคอุบัติใหม่ร่วมกัน
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๓.
ให้กระทรวงพาณิชย์ได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔
พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
125 | ผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ในคราวประชุมครั้งที่ 17/2563 | นร.11 | 25/08/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. รับทราบและอนุมัติตามผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้
ในคราวประชุมครั้งที่ ๑๗/๒๕๖๓ เมื่อวันที่ ๒๑ สิงหาคม ๒๕๖๓
ที่ได้มีการพิจารณากลั่นกรองข้อเสนอแผนงานหรือโครงการเพื่อขอใช้จ่ายเงินกู้ตามพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหา
เยียวยา
และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ พ.ศ. ๒๕๖๓ และพิจารณาความเหมาะสมของการปรับปรุงรายละเอียดของแผนงาน/โครงการ
รวมถึงการรายงานความก้าวหน้าการดำเนินงานและการใช้จ่ายเงินกู้ของแผนงานหรือโครงการภายใต้พระราชกำหนดฯ
เสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาตามขั้นตอนของพระราชกำหนดฯ
และระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการดำเนินการตามแผนงานหรือโครงการภายใต้พระราชกำหนดฯ
พ.ศ. ๒๕๖๓ ตามที่เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ประธานกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้เสนอ ๒.
สำหรับแหล่งเงินที่จะนำมาใช้จ่ายของโครงการพัฒนาวัคซีนต้นแบบตั้งแต่ต้นน้ำและเตรียมความพร้อมรับการถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตวัคซีนโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ (COVID-19) และโครงการของจังหวัดภายใต้แผนงาน ๓.๒
จำนวน ๕๓ โครงการ
ให้หน่วยงานเจ้าของโครงการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
และให้เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ประธานกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับโครงการพัฒนาวัคซีนต้นแบบตั้งแต่ต้นน้ำและเตรียมความพร้อมรับการถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตวัคซีนโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ (COVID-19) ควรมีการกำหนดข้อตกลงร่วมกันของสถาบันวัคซีนแห่งชาติและภาคส่วนที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วนและชัดเจนในการวางแผนการดำเนินงานและแผนการใช้จ่ายเงินกู้
รวมทั้งควรกำหนดราคาจำหน่ายวัคซีนที่ได้จากการถ่ายทอดเทคโนโลยีให้อยู่ในราคาที่เหมาะสม
เป็นธรรม เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงวัคซีนได้อย่างทั่วถึงและเท่าเทียม
นอกจากนี้ ในส่วนการขยายฐานการใช้สิทธิสำหรับบริษัท (Corporate) ภายใต้โครงการเราเที่ยวด้วยกัน ของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
ควรพิจารณาขอความร่วมมือบริษัทให้ดำเนินการใช้สิทธิผ่านผู้ประกอบธุรกิจนำเที่ยวภายในประเทศเพื่อให้มาตรการดังกล่าวก่อให้เกิดการกระจายรายได้และเสริมสภาพคล่องแก่กลุ่มผู้ประกอบการธุรกิจนำเที่ยวในประเทศและผู้ประกอบการรายย่อยที่เป็นเครือข่ายของผู้ประกอบการธุรกิจนำเที่ยวในประเทศด้วย
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
๓.
ให้เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ประธานกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี)
ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
126 | สรุปผลการประชุมคณะกรรมการบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) (ศบค.) ครั้งที่ 11/2563 | นร.04 | 25/08/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
2019 (โควิด-19) (ศบค.) ครั้งที่ ๑๑/๒๕๖๓ เมื่อวันที่ ๒๑ สิงหาคม ๒๕๖๓ ซึ่งมีผลการประชุมที่สำคัญ
ได้แก่ (๑) การรายงานสถานการณ์การแพร่ระบาดและผู้ติดเชื้อ (๒)
ความคืบหน้าการพัฒนาและผลิตวัคซีนโรคโควิด-19 (๓)
การพิจารณาความเหมาะสมในการขยายระยะเวลาประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในทุกเขตท้องที่ทั่วราชอาณาจักร
(๔) การพิจารณาการผ่อนคลายการบังคับใช้กฎหมายภายหลังการขยายระยะเวลาการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินทั่วท้องที่ราชอาณาจักร
(๕) ความคืบหน้าการจัดทำข้อตกลงพิเศษ (Special Arrangement) (๖)
การเร่งเข้าสู่เศรษฐกิจดิจิทัลและลดความเหลื่อมล้ำด้วยการขยายการให้บริการอินเทอร์เน็ตอย่างทั่วถึงและส่งเสริมการใช้ประโยชน์
และ (๗) ข้อสั่งการนายกรัฐมนตรี ตามที่สำนักงานเลขาธิการศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19
เสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
127 | ขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อเตรียมความพร้อมป้องกันและแก้ไขปัญหาโรคติดต่ออุบัติใหม่ : กรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID - 19) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 | สธ. | 25/08/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. อนุมัติการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปี
พ.ศ. ๒๕๖๓ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น วงเงิน
๑,๐๐๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท ในลักษณะเงินอุดหนุนให้สถาบันวัคซีนแห่งชาติ
เพื่อให้การสนับสนุนหน่วยงานเครือข่ายการพัฒนางานด้านวัคซีนของประเทศในการเพิ่มศักยภาพการผลิตวัคซีนให้พร้อมรับการถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตวัคซีนโควิด
19 และการสร้างขีดความสามารถของประเทศโดยการพัฒนาวัคซีนตั้งแต่ต้นน้ำ ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ
และให้กระทรวงสาธารณสุขรับความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นควร (๑)
มอบหมายให้หน่วยงานในสังกัดกระทรวงสาธารณสุขหรือนอกสังกัดที่มีความชำนาญและเกี่ยวข้องด้านเทคนิคดังกล่าวร่วมพิจารณารายละเอียดและความเหมาะสมของค่าใช้จ่ายในทุกมิติสำหรับการดำเนินโครงการดังกล่าว
(๒)
มีการกำหนดข้อตกลงร่วมกันของสถาบันวัคซีนแห่งชาติและภาคส่วนที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วนตามระเบียบแบบแผนอย่างชัดเจนเกี่ยวกับการวางแผนการดำเนินงานและการใช้จ่ายเงิน
รวมทั้งการกำหนดราคาจำหน่ายวัคซีนที่ได้จากการพัฒนาวัคซีนต้นแบบและการถ่ายทอดเทคโนโลยีให้อยู่ในราคาที่เหมาะสมและเป็นธรรม
และ (๓) สถาบันวัคซีนแห่งชาติควรวางระบบการกำกับและติดตามความก้าวหน้าในการดำเนินโครงการดังกล่าวให้ทันต่อสถานการณ์อย่างใกล้ชิด
เพื่อให้การใช้จ่ายงบประมาณเป็นไปตามวัตถุประสงค์และเกิดผลสัมฤทธิ์ที่กำหนดไว้ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๒.
ให้กระทรวงสาธารณสุขได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔
พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
128 | สรุปผลการประชุมคณะกรรมการบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) (ศบค.) ครั้งที่ 10/2563 | นร | 29/07/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) (ศบค.) ครั้งที่ ๑๐/๒๕๖๓ เมื่อวันที่ ๒๒ กรกฎาคม ๒๕๖๓ โดยสาระสำคัญของการประชุมฯ ได้แก่ (๑) รายงานสถานการณ์การแพร่ระบาดและผู้ติดเชื้อ (๒) ความก้าวหน้าในการสนับสนุนการผลิตวัคซีนโควิด-19 ในประเทศไทย (๓) รายงานการประเมินผลการดำเนินมาตรการผ่อนคลาย (๔) การจำหน่ายหน้ากากอนามัย (๕) การพิจารณาความเหมาะสมในการขยายระยะเวลาประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในทุกเขตท้องที่ทั่วราชอาณาจักร (๖) ความคืบหน้าการจัดทำข้อตกลง (Special Arrangement) และมาตรการสำหรับบุคคลในคณะทูต คณะกงสุล องค์การระหว่างประเทศหรือผู้แทนรัฐบาลหรือหน่วยงานของรัฐต่างประเทศที่มาปฏิบัติงานในประเทศไทย (๗) การพิจารณาแนวทาง มาตรการ หลักเกณฑ์ และวิธีการปฏิบัติสำหรับการนำแรงงานต่างด้าว ๓ สัญชาติ (เมียนมา ลาว กัมพูชา) เข้ามาในราชอาณาจักร และ (๘) การพิจารณาการเตรียมความพร้อมเพื่อผ่อนคลายการบังคับใช้กฎหมายในอนาคต ตามที่สำนักงานเลขาธิการศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 เสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
129 | ผลการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน-จีน สมัยพิเศษ ว่าด้วยโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 | กต | 23/06/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน-จีน สมัยพิเศษ ว่าด้วยโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) เมื่อวันที่ ๒๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๓ ที่เวียงจันทน์ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว โดยที่ประชุมได้ร่วมรับรองถ้อยแถลงของการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน-จีน สมัยพิเศษ ว่าด้วยโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (Statement of the Special ASEAN-China Foreign Ministers’ Meeting on the Coronavirus Disease 2019) ซึ่งมีสาระสำคัญในการสนับสนุนความร่วมมือด้านต่าง ๆ ได้แก่ (๑) การแลกเปลี่ยนข้อมูลและแนวปฏิบัติ (๒) ความร่วมมือภายใต้กลไกอาเซียนและความร่วมมือกับภาคีนอกภูมิภาค (๓) การสื่อสารต่อสาธารณชนและการมีส่วนร่วมและการตั้งรับของชุมชน (๔) การหารือเชิงนโยบายและการแลกเปลี่ยนพัฒนาการล่าสุดของเชื้อไวรัสผ่านกลไกที่มีอยู่แล้ว (๕) การเสริมสร้างขีดความสามารถในการป้องกันและควบคุมโรคติดต่อต่าง ๆ (๖) การบรรเทาผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานของสินค้าทางการแพทย์ที่เป็นที่ต้องการเร่งด่วนและการพัฒนาการวิจัยยาและวัคซีน (๗) การสนับสนุนกิจการที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดผ่านความร่วมมือด้านเศรษฐกิจดิจิทัล (๘) การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศสำหรับการพัฒนาสาธารณสุขอย่างต่อเนื่อง และ (๙) ความมุ่งมั่นที่จะลดผลกระทบด้านการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม รวมทั้งหารือร่วมกันในประเด็นแนวทางความร่วมมือระหว่างอาเซียนกับสาธารณรัฐประชาชนจีนเพื่อรับมือกับการแพร่ระบาดของโรค COVID-19 โดยสาธารณรัฐประชาชนจีนเสนอให้จัดประชุมสุดยอดอาเซียน-จีน สมัยพิเศษ ว่าด้วยโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ อย่างไรก็ตามที่ประชุมยังไม่มีฉันทามติในประเด็นดังกล่าว โดยสาธารณรัฐอินโดนีเซีย บรูไนดารุสซาลาม และประเทศมาเลเซีย ประสงค์ให้พิจารณาผลลัพธ์ของการประชุมระดับผู้นำที่เป็นรูปธรรมอย่างชัดเจนก่อน ประกอบกับสาธารณรัฐเกาหลีและประเทศญี่ปุ่นได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดเช่นกัน จึงมีความเป็นไปได้ที่อาจมีการยกระดับการประชุมเป็นกรอบอาเซียนบวกสาม ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
130 | ขอความเห็นชอบร่างถ้อยแถลงของการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน - รัสเซีย สมัยพิเศษว่าด้วยโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด - 19) | กต | 16/06/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างถ้อยแถลงของการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน-รัสเซีย สมัยพิเศษ ว่าด้วยโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (โควิด-๑๙) (Statement of the Special ASEAN-Russia Foreign Ministers’ Meeting on Coronavirus Disease (COVID-19) และให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายร่วมรับรองและออกถ้อยแถลงของการประชุมฯ โดยร่างถ้อยแถลงของการประชุมฯ เป็นเอกสารที่รัฐมนตรีต่างประเทศของประเทศสมาชิกอาเซียนและสหพันธรัฐรัสเซียจะร่วมให้การรับรองโดยไม่มีการลงนามในการประชุมดังกล่าวผ่านระบบการประชุมทางไกล ในวันที่ ๑๗ มิถุนายน ๒๕๖๓ มีสาระสำคัญเป็นการแสดงเจตนารมณ์เพื่อร่วมกันส่งเสริมความร่วมมือและการสนับสนุนซึ่งกันและกันในการรับมือกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-๑๙ ทั้งในด้านการป้องกัน เฝ้าระวัง และรักษา ซึ่งรวมถึงการวิจัยและพัฒนาวัคซีนและยาต้านไวรัส เพื่อส่งเสริมความเป็นอยู่ที่ดีของประชาชน การดูแลและอำนวยความสะดวกในการเดินทางกลับของคนชาติประเทศสมาชิกอาเซียนและรัสเซียที่ได้รับผลกระทบในช่วงวิกฤตการแพร่ระบาดของโควิด-๑๙ รวมทั้งแสดงความมุ่งมั่นในการรับมือกับผลกระทบในด้านต่าง ๆ จากการแพร่ระบาดของโควิด-๑๙ ผ่านการส่งเสริมความร่วมมือทางการค้า การลงทุน และการท่องเที่ยว เพื่อบรรเทาผลกระทบทางเศรษฐกิจ ตลอดจนยินดีต่อการจัดตั้งกองทุนอาเซียนเพื่อรับมือกับโควิด-๑๙ โดยใช้เงินจากกองทุนการเงินความเป็นหุ้นส่วนคู่เจรจาอาเซียน-รัสเซีย เพื่อดำเนินโครงการที่เกี่ยวกับสถานการณ์ฉุกเฉินด้านสาธารณสุขร่วมกัน ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมในประเด็นการจัดตั้งกองทุนและการจัดสรรงบประมาณจากกองทุน ควรพิจารณาเพิ่มเติมรายละเอียดถึงที่มาของแหล่งงบประมาณ และรายละเอียดของกิจกรรมที่เกี่ยวข้อง เพื่อประโยชน์สูงสุดต่อการดำเนินการของทั้งสองฝ่าย ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๓. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างถ้อยแถลงของการประชุมฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
131 | ร่างปฏิญญาทางการเมือง COVID-19 ของการประชุมสุดยอดกลุ่มเฉพาะกิจของกลุ่มประเทศไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด โดยวิธีออนไลน์ เพื่อรับมือกับ COVID-19 (Online Summit level Meeting of the NAM Contact Group in response to COVID-19) | กต | 28/04/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการรับรองร่างปฏิญญาทางการเมือง COVID-19 (Political Declaration of NAM on COVID-19) ของการประชุมสุดยอดกลุ่มเฉพาะกิจของกลุ่มประเทศไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด โดยวิธีออนไลน์ เพื่อรับมือกับ COVID-19 (Online Summit level Meeting of the NAM Contact Group in response to COVID-19) โดยร่างปฏิญญาฯ เป็นเอกสารที่จะมีการรับรองโดยไม่มีการลงนามในการประชุมสุดยอดกลุ่มเฉพาะกิจของกลุ่มประเทศไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด โดยวิธีออนไลน์ เพื่อรับมือกับ COVID-19 ในวันที่ ๔ พฤษภาคม ๒๕๖๓ ณ สาธารณรัฐอาเซอร์ไบจาน มีสาระสำคัญเป็นการแสดงเจตนารมณ์ร่วมกันของประเทศสมาชิกในกลุ่มประเทศไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด โดยให้ความสำคัญกับความร่วมมือกับประชาคมโลกเพื่อยับยั้งการแพร่ระบาดของ COVID-19 รวมทั้งการอำนวยความสะดวกด้านการส่งสินค้า โดยเฉพาะเวชภัณฑ์ อุปกรณ์ทางการแพทย์ และอาหารให้แก่ประเทศกำลังพัฒนาที่ได้รับผลกระทบ การสนับสนุนการดำเนินงานของเลขาธิการสหประชาชาติและองค์การอนามัยโลกซึ่งมีบทบาทสำคัญต่อการรับมือกับสถานการณ์การระบาดของ COVID-19 พร้อมทั้งสนับสนุนบุคลากรทางการแพทย์ นักวิจัยด้านการแพทย์ และความร่วมมือจากนานาประเทศในการพัฒนาวัคซีนและแนวทางการรักษาเพื่อประโยชน์ต่อสาธารณชนจากทุกประเทศ และการจัดตั้งกลุ่มผู้ประสานงาน NAM (NAM Task Force) เพื่อติดตามการดำเนินงานตามร่างปฏิญญาฯ ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ และให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นของกระทรวงคมนาคมที่เห็นควรดำเนินการตามระเบียบ กฎหมาย และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างปฏิญญาฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
132 | การประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินเพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID - 19) | นร | 24/03/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีเห็นว่า โดยที่มีการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) ซึ่งติดต่อได้ง่ายและเป็นอันตรายอย่างมากต่อชีวิตของประชาชน ประกอบกับในขณะนี้ยังไม่มีวัคซีนป้องกันโรคทั้งยังไม่มียารักษาโรคโดยตรง จึงมีผู้ติดเชื้อและเสียชีวิตจากโรคดังกล่าวเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมากทั่วโลก จนองค์การอนามัยโลกต้องประกาศให้การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ เป็นการระบาดใหญ่ และขอให้ประเทศต่าง ๆ บังคับใช้มาตรการที่เข้มงวดเด็ดขาดยิ่งขึ้น จึงเป็นสถานการณ์อันกระทบต่อความสงบเรียบร้อยและความปลอดภัยของประชาชน ตลอดจนการดำรงชีวิตโดยปกติสุขของประชาชน ตามพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. ๒๕๔๘ จึงมีมติเห็นชอบให้นายกรัฐมนตรีมีอำนาจประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินเพื่อบังคับใช้ทั่วราชอาณาจักรหรือในบางท้องที่ได้ตามความจำเป็นแห่งสถานการณ์เพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) ตามมาตรา ๕ แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. ๒๕๔๘ รวมถึงการออกประกาศ คำสั่ง ข้อกำหนด ในส่วนที่เกี่ยวข้องตามพระราชกำหนดดังกล่าว โดยให้สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติดำเนินการเสนอเรื่องดังกล่าวต่อนายกรัฐมนตรีโดยเร็ว
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
133 | ร่างนโยบายและแผนยุทธศาสตร์ความมั่นคงด้านวัคซีนแห่งชาติ พ.ศ. 2563 - 2565 | สธ | 03/03/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างนโยบายและแผนยุทธศาสตร์ความมั่นคงด้านวัคซีนแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๖๓-๒๕๖๕ จัดทำขึ้นภายใต้พระราชบัญญัติความมั่นคงด้านวัคซีนแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๖๑ ซี่งจะเป็นแผนที่นำไปสู่การพึ่งตนเองและความมั่นคงด้านวัคซีนอย่างยั่งยืน โดยมีวิสัยทัศน์ให้ประเทศไทยมีความมั่นคงด้านวัคซีน ประชาชนทุกคนในประเทศเข้าถึงการป้องกันโรคด้วยวัคซีนที่มีคุณภาพอย่างทั่วถึงและเป็นธรรม โดยร่างนโยบายและแผนยุทธศาสตร์ฯ ประกอบด้วย ๕ ยุทธศาสตร์ ๑๔ แผนงาน ๖๗ โครงการ ระยะเวลาดำเนินงาน ๓ ปี (พ.ศ. ๒๕๖๓-๒๕๖๕) กรอบวงเงินรวมทั้งสิ้น ๑๑,๐๗๘,๙๔๖,๕๕๓ บาท ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ สำหรับค่าใช้จ่ายและภาระงบประมาณที่จะเกิดขึ้นเพื่อขับเคลื่อนนโยบายและแผนยุทธศาสตร์ฯ เห็นควรให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องและภาคีเครือข่ายบูรณาการการดำเนินงานและนำร่างนโยบายและแผนยุทธศาสตร์ฯ ไปใช้เป็นกรอบในการจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ตลอดจนสนับสนุนการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน ภาคเอกชน และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อร่วมแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายและเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินการ ส่วนค่าใช้จ่ายที่อาจจะเกิดขึ้นในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ เห็นควรให้หน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องพิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ ไปดำเนินการ และค่าใช้จ่ายในปีงบประมาณต่อ ๆ ไป เห็นควรให้หน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องจัดลำดับความสำคัญ ความจำเป็นเร่งด่วน ความคุ้มค่า และประโยชน์ที่ทางราชการและประชาชนจะได้รับเป็นสำคัญ ในการจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงสาธารณสุขและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงศึกษาธิการ สำนักงาน ก.พ. และสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนรับความเห็นของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น ควรจัดทำ list of priority vaccine ที่ต้องการผลิตให้ได้อย่างเป็นรูปธรรมในช่วง ๓-๕ ปี ควรพิจารณาส่งเสริมความสามารถในการผลิตวัคซีนเพื่อป้องกันโรคจากสัตว์สู่คน ควรเพิ่มความชัดเจนและความท้าทายของตัวชี้วัดและเป้าหมายให้สอดคล้องกับผลลัพธ์ของแผนยุทธศาสตร์และงบประมาณที่ได้รับ ควรพิจารณาระบบการจัดสรรทุนวิจัยที่มีความต่อเนื่อง (block grant) เน้นประเด็นโจทย์วิจัยที่เป็นปัญหาเร่งด่วนและสอดคล้องกับแผนงานเป้าหมาย ควรพิจารณาการเคลื่อนย้ายบุคลากรในสถาบันการศึกษาที่มีความเชี่ยวชาญในด้านการวิจัยและพัฒนาวัคซีนไปปฏิบัติงานเพื่อแก้ไขปัญหาและเพิ่มขีดความสามารถในการผลิตให้กับภาคอุตสาหกรรม (Talent Mobility) และควรพิจารณาเพิ่มเติมประเด็นการพิจารณาวัคซีนในสัตว์ เนื่องจากโรคในสัตว์หลายชนิดมีความสำคัญทั้งทางด้านสาธารณสุขและด้านเศรษฐกิจ ซี่งควรมีแผนและนโยบายที่ชัดเจน เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
134 | รายงานผลการประเมินองค์การมหาชนและผู้อำนวยการองค์การมหาชน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 | นร12 | 29/10/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอ
๑. รับทราบรายงานผลการประเมินองค์การมหาชนและผู้อำนวยการองค์การมหาชน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ ผลการประเมินองค์กรในระดับคุณภาพ จำนวน ๔๖ แห่ง เช่น ศูนย์ส่งเสริมศิลปาชีพระหว่างประเทศ (องค์การมหาชน) โรงพยาบาลบ้านแพ้ว (องค์การมหาชน) และคุรุสภา และระดับมาตรฐาน จำนวน ๘ แห่ง เช่น สถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดิน (องค์การมหาชน) สำนักงานพัฒนาพิงคนคร (องค์การมหาชน) และสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา ไม่มีองค์การมหาชนใดได้รับการประเมินอยู่ในระดับต้องปรับปรุง และไม่มีการประเมินองค์การมหาชน จำนวน ๑ แห่ง คือ สำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (องค์การมหาชน) เนื่องจากระบบการประเมินคุณภาพการศึกษายังไม่เป็นที่ยุติ จึงไม่สามารถประเมินผลงานที่เป็นภารกิจหลักได้ ๑.๒ ผลการประเมินผู้อำนวยการองค์การมหาชน มีผลการประเมินในระดับคุณภาพ จำนวน ๔๕ แห่ง เช่น สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) โรงพยาบาลบ้านแพ้ว (องค์การมหาชน) และสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ ระดับมาตรฐาน จำนวน ๓ แห่ง ได้แก่ สถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (องค์การมหาชน) สถาบันรับรองคุรภาพสถานพยาบาล (องค์การมหาชน) และศูนย์คุณธรรม (องค์การมหาชน) ต้องปรับปรุง จำนวน ๒ แห่ง ได้แก่ สำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (องค์การมหาชน) และสถาบันวัคซีนแห่งชาติ (องค์การมหาชน) และไม่มีการประมิน จำนวน ๕ แห่ง เหตุผลส่วนใหญ่เนื่องจากการเปลี่ยนผ่านของผู้อำนวยการที่ได้รับการแต่งตั้งในช่วงใกล้สิ้นปีงประมาณ เช่น สำนักงานความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน (องค์การมหาชน) สถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดิน (องค์การมหาชน) และสถาบันส่งเสริมความปลอดภัยอาชีวอนามัยและสภาพแวดล้อมในการทำงาน (องค์การมหาชน) ๑.๓ ผลการประเมินตัวชี้วัดบังคับและตัวชี้วัดของสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ มีตัวชี้วัด ๕ ตัวชี้วัด โดยในภาพตัวชี้วัด (๑) ระดับความพึงพอใจและพัฒนาการให้บริการ (๒) ร้อยละของการเบิกจ่ายตามแผนการใช้จ่ายเงิน (๓) ระดับการพัฒนากำกับดูแลกิจการของคณะกรรมการองค์การมหาชน) (๔) ผลคะแนนการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงาน (ITA) ขององค์การมหาชนที่จัดตั้งตามพระราชบัญญัติองค์การมหาชน พ.ศ. ๒๕๔๒ และที่แก้ไขเพิ่มเติม มีค่าคะแนนตัวชี้วัด (๔ ตัวชี้วัด) มากกว่าองค์การมหาชนที่จัดตั้งตามพระราชบัญญัติเฉพาะ ๒. มอบหมายให้กระทรวงศึกษาธิการ (สำนักงานเลขาธิการคุรุสภาและสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา) ดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๘ พฤศจิกายน ๒๕๖๑ (เรื่อง ขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับการบริหารองค์การมหาชน และขอจัดกลุ่มองค์การมหาชน) อย่างเคร่งครัด
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
135 | ขอความเห็นชอบต่อร่างปฏิญญาทางการเมืองของการประชุมระดับสูงว่าด้วยหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า | สธ | 17/09/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างปฏิญญาทางการเมืองของการประชุมระดับสูงว่าด้วยหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า (Political Declaration of the High-Level Meeting on Universal Health Coverage) มีสาระสำคัญเป็นการแสดงเจตนารมณ์ทางการเมืองเพื่อบรรลุหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ได้แก่ ยืนยันความสำคัญของหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าและความมุ่งมั่นทางการเมืองที่จะเร่งและขยายความพยายามในการบรรลุหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าของโลก ซึ่งเป็นส่วนสำคัญของการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals) ภายในปี พ.ศ. ๒๕๗๓ การให้ความสำคัญแก่ผู้นำทางยุทธศาสตร์ คำนึงถึงสุขภาพในทุกนโยบาย และการทำงานร่วมกันอย่างบูรณาการและการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน รวมถึงธรรมาภิบาล การเข้าถึงบริการสุขภาพ ผลิตภัณฑ์สุขภาพ ยาและวัคซีน ความเท่าเทียมและเป็นธรรมด้านสุขภาพและสังคม และสนับสนุนความเป็นหุ้นส่วนในระดับโลกและความร่วมมือระหว่างประเทศเพื่อบรรลุหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าและเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนร่วมกัน โดยจะมีการรับรองร่างปฏิญญาทางการเมืองฯ ในการประชุมระดับสูงว่าด้วยหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า (High-Level Meeting on Universal Health Coverage) ในวันที่ ๒๓ กันยายน ๒๕๖๒ ณ สำนักงานใหญ่สหประชาชาติ นครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา ในช่วงระหว่างการประชุมสมัชชาสหประชาชาติสมัยสามัญ ครั้งที่ ๗๔ (Seventy-Fourth Session of the United Nations General Assembly) ๑.๒ อนุมัติให้หัวหน้าคณะผู้แทนไทยในการประชุมสมัชชาสหประชาชาติสมัยสามัญ สมัยที่ ๗๔ หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายร่วมรับรองร่างปฏิญญาทางการเมืองฯ ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างปฏิญญาทางการเมืองฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงสาธารณสุขดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
136 | หลักเกณฑ์การกำหนดเบี้ยประชุมและประโยชน์ตอบแทนอื่นของประธานกรรมการ กรรมการ ที่ปรึกษา ประธานอนุกรรมการ และอนุกรรมการในคณะกรรมการวัคซีนแห่งชาติ | สธ | 28/05/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบการกำหนดเบี้ยประชุมของประธานกรรมการ กรรมการ ที่ปรึกษา ประธานอนุกรรมการ และอนุกรรมการในคณะกรรมการวัคซีนแห่งชาติ ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ ทั้งนี้ ในส่วนของการกำหนดหลักเกณฑ์เกี่ยวกับประโยชน์ตอบแทนอื่นเฉพาะในการเดินทาง ได้แก่ เบี้ยเลี้ยง ค่าเช่าที่พัก ค่าพาหนะในการเดินทาง และค่าใช้จ่ายอื่นที่เกี่ยวข้อง ให้เป็นไปตามความเห็นของกระทรวงการคลัง ดังนี้ ๑.๑ ประธานกรรมการ รองประธานกรรมการ กรรมการ ที่ปรึกษาในคณะกรรมการวัคซีนแห่งชาติ ที่เป็นข้าราชการพลเรือนหรือข้าราชการการเมือง ให้ได้รับค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการตามสิทธิที่กำหนดในพระราชกฤษฎีกาค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการ พ.ศ. ๒๕๒๖ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ประกอบระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการเบิกค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการ พ.ศ. ๒๕๕๐ และที่แก้ไขเพิ่มเติม และสำหรับบุคคลที่มิได้เป็นข้าราชการให้เบิกค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการดังกล่าวโดยเทียบตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (ผู้ดำรงตำแหน่งอธิบดี) ๑.๒ ประธานอนุกรรมการและอนุกรรมการในคณะกรรมการวัคซีนแห่งชาติ ที่เป็นข้าราชการให้ได้รับค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการตามสิทธิที่กำหนดในพระราชกฤษฎีกาค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการ พ.ศ. ๒๕๒๖ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ประกอบระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการเบิกค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการ พ.ศ. ๒๕๕๐ และที่แก้ไขเพิ่มเติม สำหรับบุคคลที่มิได้เป็นข้าราชการให้เบิกค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการดังกล่าวโดยเทียบตำแหน่งประเภทอำนวยการระดับสูง ๒. ให้กระทรวงสาธารณสุขรับความเห็นของสำนักงบประมาณ สำนักงาน ก.พ. และสำนักงาน ก.พ.ร. ที่เห็นว่า การใช้จ่ายงบประมาณในเรื่องดังกล่าวจะต้องเป็นไปตามความจำเป็นและเหมาะสม โดยคำนึงถึงหลักความคุ้มค่าและประหยัดตามนัยพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ อย่างเคร่งครัดด้วย และควรให้นำความเห็นของกระทรวงการคลังมาประกอบการพิจารณากำหนดหลักเกณฑ์เกี่ยวกับประโยชน์ตอบแทนอื่นเฉพาะในการเดินทาง เพื่อให้เกิดความสอดคล้องกันในภาพรวม และสถาบันวัคซีนแห่งชาติต้องเสนอขอรับการประเมินค่างานและจัดกลุ่มองค์การมหาชนจากคณะกรรมการพัฒนาและส่งเสริมองค์การมหาชน ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๖ มีนาคม ๒๕๖๒ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
137 | การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการวัคซีนแห่งชาติ (จำนวน 10 คน 1. นายภูมิรักษ์ ชมแสง ฯลฯ) | อื่นๆ | 17/04/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการวัคซีนแห่งชาติ จำนวน ๑๐ คน โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๑๗ เมษายน ๒๕๖๒) เป็นต้นไป ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ฉัตรชัย สาริกัลยะ) ในฐานะประธานกรรมการวัคซีนแห่งชาติเสนอ ดังนี้ ๑.๑ นายภูมิรักษ์ ชมแสง ๑.๒ รองศาสตราจารย์ประสบศรี อึ้งถาวร ๑.๓ นายเจษฎา โชคดำรงสุข ๑.๔ ศาสตราจารย์สิริฤกษ์ ทรงศิวิไล ๑.๕ ศาสตราจารย์พรทิพภา เล็กเจริญสุข ๑.๖ นายอำนวย กาจีนะ ๑.๗ รองศาสตราจารย์พิเศษทวี โชติพิทยสุนนท์ ๑.๘ นางวิชชุดา จริยะพันธุ์ ๑.๙ รองศาสตราจารย์วรากรณ์ สามโกเศศ ๑.๑๐ นายวิโรจน์ ตั้งเจริญเสถียร ๒. ให้สถาบันวัคซีนแห่งชาติดำเนินการแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการวัคซีนแห่งชาติในครั้งต่อไปให้เป็นไปตามกรอบระยะเวลาที่กฎหมายกำหนดไว้อย่างเคร่งครัด ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๙ (เรื่อง การดำเนินการแต่งตั้งกรรมการในคณะกรรมการต่าง ๆ ตามที่กฎหมายบัญญัติให้เป็นไปตามกรอบระยะเวลาตามกฎหมาย)
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
138 | ขอความเห็นชอบการขยายระยะเวลาและขยายฐานรายได้ของกลุ่มเป้าหมายการรับเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิด | พม | 26/03/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบการขยายระยะเวลาให้เงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิด ตั้งแต่แรกเกิด-๖ ปี แบบขยายฐานรายได้ไม่เกิน ๑๐๐,๐๐๐ บาท/คน/ปี โดยเริ่มตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ ซึ่งการขยายฐานรายได้ดังกล่าวสอดคล้องกับการใช้ฐานเกณฑ์รายได้ของผู้มีรายได้น้อยตามโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ แต่จะมีผลทำให้เกิดภาระงบประมาณเพิ่มขึ้นในระยะยาว ซึ่งจะต้องคำนึงถึงแผนการคลังระยะปานกลางและการจัดเก็บรายได้แผ่นดิน ตามนัยพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ โดยในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ คาดการณ์กลุ่มเป้าหมาย จำนวน ๑,๔๔๓,๔๙๖ คน งบประมาณทั้งสิ้น ๑๐,๓๙๓,๑๗๑,๒๐๐ บาท เพิ่มขึ้นจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ ที่ตั้งรองรับไว้แล้ว จำนวน ๖,๙๐๘,๑๓๔,๔๐๐ บาท ๑.๒ ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์กำหนดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการตรวจสอบคุณสมบัติเป็นไปตามข้อเท็จจริงของฐานรายได้ผู้มีสิทธิ์ในแต่ละปี และจำนวนเด็กที่มีสิทธิ์ให้มีความชัดเจน ถูกต้องและครอบคลุม โดยเชื่อมโยงฐานข้อมูลผู้ได้รับสิทธิ์จากโครงการเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิดกับโครงการลงทะเบียนบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ และมอบหมายให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์และกระทรวงการคลังศึกษาการจ่ายเงินอุดหนุนดังกล่าวผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ เพื่อพัฒนาฐานข้อมูลผู้มีสิทธิ์ไม่เกิดความซ้ำซ้อนกับการจัดสวัสดิการของรัฐในกลุ่มเป้าหมายเดียวกัน กำหนดให้มีกลไกและมาตรการการติดตามตรวจสอบที่รวดเร็ว ถูกต้อง สำหรับภาระค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นจากการขยายระยะเวลาให้เงินอุดหนุนและการขยายฐานรายได้ดังกล่าว เห็นควรให้กรมกิจการเด็กและเยาวชนจัดทำรายละเอียด ข้อมูล กลุ่มเป้าหมาย พร้อมแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ให้สอดคล้องกับข้อเท็จจริงกับฐานเกณฑ์รายได้ของผู้มีรายได้น้อยตามโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ เพื่อขอทำความตกลงกับสำนักงบประมาณให้เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง สำหรับภาระงบประมาณในปีต่อ ๆ ไป ให้ดำเนินการตามนัยพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ต่อไป ๒. ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์รับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรพัฒนาระบบฐานข้อมูลอย่างสม่ำเสมอ พร้อมทั้งติดตามประเมินผลสัมฤทธิ์ของโครงการในระยะยาว รวมถึงพิจารณาปรับเปลี่ยนรูปแบบการให้เงินจากการให้เงินแบบให้เปล่าไปสู่การให้เงินแบบมีเงื่อนไข (Conditional Cash Transfer) เช่น การให้พ่อแม่นำเด็กเข้ารับวัคซีนตามเกณฑ์ที่กำหนด การเข้ารับการตรวจสุขภาพตามระยะเวลา การเข้าเรียนตามเกณฑ์เพื่อสนับสนุนให้เด็กมีพัฒนาการที่เหมาะสมอย่างต่อเนื่องในการเตรียมความพร้อมก่อนเข้าสู่ช่วงวัยเรียน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
139 | ขออนุมัติงบประมาณสำหรับงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 และกรอบงบประมาณกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 | สปสช. | 12/02/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติกรอบวงเงินงบประมาณสำหรับงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ จำนวนรวม ๒๐๑,๘๙๖,๕๐๗,๘๐๐ บาท และให้คณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติขอตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณก่อนดำเนินการต่อไป โดยให้นำข้อเสนอแนะของคณะกรรมการควบคุมคุณภาพและมาตรฐานบริการสาธารณสุข ในคราวประชุมครั้งที่ ๑๒/๒๕๖๑ เมื่อวันที่ ๒๗ ธันวาคม ๒๕๖๑ เช่น การเตรียมจัดทำคำของบประมาณปี พ.ศ. ๒๕๖๓ เพื่อรองรับ Rotavirus vaccine และการประเมินประสิทธิภาพระบบการบริหารจัดการยาและวัคซีน การทบทวนขอบเขต นิยามกลุ่มเป้าหมายบริการผู้ป่วยติดบ้านติดเตียงที่มีภาวะพึ่งพิงทุกสิทธิ และการทบทวนกลุ่มเป้าหมายนำร่องบริการป้องกันการติดเชื้อ HIV (PrEP) เป็นต้น ไปประกอบการพิจารณาด้วย ๒. ในส่วนของกรอบงบประมาณกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔ ให้สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติดำเนินการให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๕ รวมทั้งกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ ให้สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติวางแผนขอรับการจัดสรรงบประมาณสำหรับงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติประจำปีให้สอดคล้องกับปฏิทินงบประมาณ ตลอดจนแนวทางต่าง ๆ ตามที่สำนักงบประมาณกำหนดต่อไปด้วย ๓. ให้คณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ กระทรวงสาธารณสุข และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรบริหารจัดการและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณค่ารักษาพยาบาล โดยเฉพาะการบริการผู้ป่วยในให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและมีคุณภาพตามมาตรฐาน และควรมีการศึกษาถึงรูปแบบการเงินการคลังที่มีแหล่งเงินที่หลากหลาย อาทิ การจ่ายเงินสมทบจากค่าจ้าง การร่วมจ่ายตามระดับรายได้ที่มีการจำกัดเพดานค่าใช้จ่ายสูงสุด และการใช้เงินภาษีท้องถิ่น เพื่อสร้างความยั่งยืนให้แก่ระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติในระยะยาว รวมทั้งข้อสังเกตของกระทรวงการคลังเกี่ยวกับงบประมาณสำหรับค่าชดเชยป้องกัน หัด คางทูม และหัดเยอรมัน (MMR) เพื่อแก้ไขปัญหาการระบาดในภาคใต้ ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑-๒๕๖๒ จำนวน ๔๕,๐๑๕,๐๐๐ บาท เนื่องจากเป็นกรณีที่กรมควบคุมโรคได้ยืมวัคซีนดังกล่าวจากสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ หากจะขอตั้งงบประมาณเพื่อชดใช้การยืมดังกล่าวแทนการคืนพัสดุ จะต้องขอผ่อนผันการปฏิบัติตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. ๒๕๖๐ ข้อ ๒๑๐ ด้วย สำหรับค่าใช้จ่ายบุคลากรตามบริหารจัดการของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เห็นควรให้ดำเนินการตามกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
140 | รายงานผลการดำเนินการตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติความมั่นคงด้านวัคซีนแห่งชาติ พ.ศ. .... | สธ | 29/01/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติความมั่นคงด้านวัคซีนแห่งชาติ พ.ศ. .... โดยกระทรวงสาธารณสุขได้จัดประชุมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้ว โดยการขอรับจัดสรรงบประมาณจะจัดทำงบประมาณในลักษณะวาระแห่งชาติการพัฒนางานด้านวัคซีนของประเทศ โดยมีกลไกการบูรณาการการจัดทำงบประมาณของหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องให้สอดคล้องกับเป้าหมายและวัตถุประสงค์ของร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้ รวมทั้งมีการติดตามและประเมินผลการใช้จ่ายงบประมาณ ส่วนการปรับแผนยุทธศาสตร์ด้านวัคซีน ๒๐ ปี (พ.ศ. ๒๕๖๑-๒๕๗๙) ให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ นั้น จะร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ดำเนินการต่อไป และบรรจุเรื่องการขยายกำลังการผลิตวัคซีนสำหรับสัตว์ให้เพียงพอต่อความต้องการใช้ภายในประเทศในระยะที่ ๑ และระยะที่ ๒ สำหรับการตั้งคณะอนุกรรมการต่าง ๆ จะพิจารณาให้มีตัวแทนจากภาครัฐและภาคเอกชนที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนั้นเข้าร่วมเป็นคณะอนุกรรมการด้วย นอกจากนี้ จะจัดทำข้อเสนอเชิงนโยบาย และปรับปรุงแก้ไขระเบียบต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องและอุปสรรคต่าง ๆ ในการจัดหาและการกระจายวัคซีน เพื่อให้สามารถจัดหาวัคซีนที่มีคุณภาพและมีการกระจายวัคซีนให้แก่ประชาชนอย่างทั่วถึงและเป็นธรรม รวมทั้งจะได้ดำเนินการจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน ผู้เชี่ยวชาญด้านวัคซีน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและภาคเอกชนต่อไป ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติทราบต่อไป
|