ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 10 จากทั้งหมด 14 หน้า แสดงรายการที่ 181 - 200 จากข้อมูลทั้งหมด 268 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
181 | การพิจารณาการตรวจลงตราเข้าราชอาณาจักรไทยแก่ชาวเอธิโอเปียเพื่อการท่องเที่ยวไม่เกิน 15 วัน ณ ช่องทางอนุญาตของด่านตรวจคนเข้าเมือง (Visa-On-Arrival) | กต | 08/06/2553 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. เห็นชอบตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ 1.1 ให้บุคคลสัญชาติเอธิโอเปียสามารถขอรับการตรวจลงตราเข้าราชอาณาจักรไทยเพื่อการท่องเที่ยว ไม่เกิน 15 วัน ณ ช่องทางอนุญาตของด่านตรวจคนเข้าเมือง 1.2 ให้สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองเสนอร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง กำหนดชื่อประเทศที่คน ต่างชาติต้องขอรับการตรวจลงตรา ณ ช่องทางอนุญาตของด่านตรวจคนเข้าเมือง (กำหนดรายชื่อประเทศเอธิโอเปีย เพิ่มขึ้น) ให้รัฐมนตรีว่าการมหาดไทยลงนามเพื่อประกาศใช้บังคับในราชกิจจานุเบกษาต่อไป 2. ให้กระทรวงการต่างประเทศและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแจ้งผู้ที่จะเดินทางจากสหพันธ์สาธารณรัฐประชา ธิปไตยเอธิโอเปียทุกรายรับวัคซีนป้องกันโรคไข้เหลือง ก่อนการเดินทางไม่น้อยกว่า 10 วัน และนำใบสำคัญรับรอง การให้วัคซีนหรือการใช้ยาป้องกันโรคระหว่างประเทศ ที่มีรูปแบบตามภาคผนวก 6 ของกฎอนามัยระหว่างประเทศ มาแสดงต่อเจ้าพนักงานสาธารณสุขประจำด่านควบคุมโรคติดต่อระหว่างประเทศ ก่อนขอรับการพิจารณาการตรวจ ลงตราเข้าราชอาณาจักรไทยฯ (Visa-On-Arrival) ตามความเห็นของกระสาธารณสุขด้วย |
||||||||||||||||||
182 | สถานการณ์สินค้าเกษตรสำคัญ [ด้านการผลิตและการตลาด (ข้าวนาปรังและ มันสำปะหลัง) ฯ] | พณ | 07/04/2553 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงพาณิชย์รายงานสถานการณ์สินค้าเกษตรสำคัญ สรุปได้ดังนี้
1. แนวโน้มสถานการณ์ 1.1 ข้าวนาปรัง สภาพภัยแล้งในปีนี้คาดว่าจะมีความรุนแรงมากกว่าปีที่ผ่าน ๆ มา เนื่องจากปริมาณ น้ำในอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ลดลง ประกอบกับการระบาดของเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล โรคใบหงิก โรคเขียวเตี้ยที่เกิด ขึ้นในพื้นที่หลายจังหวัดของภาคเหนือตอนล่างและภาคกลาง ส่งผลให้ผลผลิตที่จะเก็บเกี่ยวในระยะต่อไปมีแนวโน้ม ต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้มากจนอาจเกิดผลกระทบต่อภาวะการค้าโดยเฉพาะการส่งออกที่จะเพิ่มขึ้นในระยะต่อไปด้วย 1.2 มันสำปะหลัง ปัจจุบันยังไม่สามารถควบคุมการระบาดของเพลี้ยแป้งในพื้นที่เพาะปลูกสำคัญ 25 จังหวัดได้ ทำให้ปริมาณผลผลิตที่คาดว่าจะผลิตได้ 27.759 ล้านตัน ลดลงเหลือเพียง 23.22 ล้านตัน และแนวโน้ม ผลผลิตอาจจะลดลงอีก 1.3 สุกร จากการระบาดของโรคทางเดินหายใจ และโรคอุบัติใหม่ ซึ่งยังไม่มีวัคซีนป้องกัน ทำให้อัตรา การสูญเสียลูกสุกรและสุกรขุนมีมากขึ้น ส่งผลให้ต้นทุนการผลิตปรับตัวสูงขึ้น และสุกรมีชีวิตที่เข้าสู่ตลาดมีปริมาณ ลดลงและขาดช่วงทำใก้ราคาสุกรมีชีวิตได้ปรับสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ช่วงต้นเดือนมกราคม 2553 เป็นต้นมา นอก จากนี้ ในช่วงเดือนมีนาคม-เมษายน 2553 ซึ่งสภาพอากาศร้อนจะเป็นปัจจัยสำคัญให้ขาดแคลนสุกรมากขึ้น เนื่อง จากสุกรจะกินอาหารได้น้อยและโตช้า 2. แนวทางการแก้ไข 2.1 เร่งดำเนินการแก้ไขปัญหาโรคและแมลงศัตรูพืช และการบริหารจัดการน้ำในพื้นที่ขาดน้ำในการ เพาะปลูกข้าว 2.2 เร่งดำเนินการชี้แจงและประชาสัมพันธ์ให้เกษตรกรผู้ปลูกมันสำปะหลังทราบถึงแนวทางแก้ไขและ การป้องกันการระบาดของเพลี้ยแป้ง พร้อมทั้งจัดตั้งชุดรณรงค์ให้ความรู้ในการป้องกันและกำจัดเพลี้ยแป้งในระดับ พื้นที่ 2.3 ให้ความช่วยเหลือด้านวัคซีนป้องกันและควบคุมโรคระบาดในสุกร เพื่อบรรเทาภาระความสูญเสีย ของเกษตรกรผู้เลี้ยงสุกร รวมทั้งได้กำหนดมาตรการบริหารจัดการอุปสงค์อุปทานมิให้เกิดผลกระทบต่อระบบการ ผลิต/การตลาด ตลอดจนเกษตรกรผู้เลี้ยงสุกร ผู้ประกอบการและผู้บริโภคในประเทศ
|
||||||||||||||||||
183 | ผลการดำเนินงานการสร้างหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ปีงบประมาณ 2552 (1 ตุลาคม 2551 - 30 กันยายน 2552) | สช | 05/01/2553 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีรับทราบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ประธานกรรมการหลักประกันสุขภาพ
แห่งชาติเสนอผลการดำเนินงานการสร้างหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ปีงบประมาณ พ.ศ. 2552 (1 ตุลาคม 2551 -30 กันยายน 2552) สรุปได้ดังนี้ 1. ความครอบคลุมในระบบหลักประกันสุขภาพ ประชาชนมีหลักประกันสุขภาพเพิ่มขึ้นครอบคลุมประชา ชนผู้มีสิทธิ จำนวน 62.36 ล้านคน คิดเป็นร้อยละ 99.47 ของประชากรทั้งประเทศ (62.69 ล้านคน) โดยมีประชา กรลงทะเบียนสิทธิหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า จำนวน 47.56 ล้านคน ในส่วนของการใช้บริการทางการแพทย์ เฉพาะผู้มีสิทธิในระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ประกอบด้วย การใช้บริการผู้ป่วยนอก จำนวน 140.88 ล้าน ครั้ง/39.02 ล้านคน และผู้ป่วยใน จำนวน 5.20 ล้านคน/21.17 ล้านวัน สำหรับการแพทย์แผนไทย มีผู้รับบริการ ทั้งสิ้น 306,755 คน/689,292 ครั้ง การใช้บริการตติยภูมิเฉพาะด้านโรคหัวใจและหลอดเลือดมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ในด้านผู้ติดเชื้อเอชไอวีและผู้ป่วยเอดส์ มีผู้มารับบริการ VCT สะสม (คลินิกให้คำปรึกษาและตรวจเลือด) 335,362 ราย ด้านการฟื้นฟูสมรรถภาพคนพิการมีผู้พิการในระบบหลักประกันสุขภาพ 567,703 ราย ด้านการสร้างเสริม สุขภาพและป้องกันโรค มีการให้บริการวัคซีนไข้หวัดใหญ่กลุ่มโรคเรื้อรัง 1,355,180 ราย และด้านการใช้บริการผู้ ป่วยโรคเฉพาะ โรคเลือดออกง่าย มีผู้รับบริการมากที่สุด คิดเป็นร้อยละ 449.03 2. การควบคุมคุณภาพและมาตรฐานบริการสาธารณสุข มีหน่วยบริการที่ได้รับการรับรองคุณภาพตาม มาตรฐาน Hospital Accreditation (HA) ในขั้นที่ 1 ขั้นที่ 2 และขั้นรับรองคุณภาพ HA 963 แห่ง มีเรื่องร้องเรียน ผ่านช่องทางโทรศัพท์สายด่วน สปสช. 1330 ณ เดือนมิถุนายน 2552 จำนวน 105 เรื่อง 3. การคุ้มครองสิทธิ การให้บริการประชาชนเพื่อช่วยเหลือผู้มีสิทธิและผู้ให้บริการในระบบหลักประกัน สุขภาพถ้วนหน้า มีการให้บริการทั้งสิ้น 783,487 เรื่อง และในด้านการชดเชยความเสียหายกรณีผู้รับบริการได้รับ ความเสียหายจากการใช้บริการสาธารณสุขในระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า มีผู้ได้รับความเสียหายได้รับการ ชดเชย จำนวน 660 ราย เป็นเงิน 73.22 ล้านบาท 4. การสนับสนุนการมีส่วนร่วมของภาคี มีศูนย์ประสานงานหลักประกันสุขภาพประชาชน 102 ศูนย์ ใน 76 จังหวัด เครือข่ายผู้ติดเชื้อเอชไอวี 337 กลุ่ม เครือข่ายผู้ป่วยโรคไตวายเรื้อรัง (ชมรมเพื่อนโรคไต) 26 ชมรม และเครือข่ายศูนย์ส่งเสริมมิตรภาพบำบัด เป็นต้น 5. การบริหารกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ได้เบิกจ่ายงบกองทุน ฯ ทั้งสิ้น 71,785.70 ล้านบาท 6. โครงการพัฒนาระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ได้มีการพัฒนาโครงการที่เอื้อประโยชน์แก่ประชา ชนในการเข้าใช้บริการได้สะดวก รวดเร็ว ใกล้บ้าน 7. ปัญหา อุปสรรค และแนวทางแก้ไข พบว่า สถานะการเบิกจ่ายเงินกองทุนไม่เป็นปัจจุบัน การโอนเงิน งบประมาณกองทุนในแต่ละงวดล่าช้า การดำเนินงานกองทุนตำบลมีแนวทางปฏิบัติที่ไม่ชัดเจน รวมทั้งการจัดทำ สัญญากับหน่วยบริการไม่เป็นไปในมาตรฐานเดียวกัน เป็นต้น
|
||||||||||||||||||
184 | การสั่งจองวัคซีนไข้หวัดใหญ่สายพันธ์ใหม่ ชนิดเอ (เอช1 เอ็น1) | สธ | 14/07/2552 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการสั่งจองวัคซีนไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ ชนิดเอ (เอช 1 เอ็น 1) จำนวน
2,000,000 โด๊ส เป็นเงิน 600 ล้านบาท และการสั่งซื้อยา Oseltamivir จำนวน 10 ล้านเม็ด เป็นเงิน 250 ล้าน บาท ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ โดยให้องค์การเภสัชกรรมสำรองจ่ายเงินมัดจำการสั่งจองวัคซีน ฯ จาก เงินรายได้ขององค์การเภสัชกรรม ส่วนค่าใช้จ่ายเพื่อการดำเนินการข้างต้น วงเงิน 850 ล้านบาท ให้กระทรวง สาธารณสุขประสานงานกับสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) เพื่อขอใช้จ่ายจากเงินกองทุนระบบ ประกันสุขภาพแห่งชาติไปก่อน แล้วให้สำนักงบประมาณจัดสรรงบประมาณชดใช้คืนให้ สปสช. ใ นระยะเวลาที่ เหมาสมและความจำเป็นตามกำลังเงินงบประมาณแผ่นดินต่อไป
|
||||||||||||||||||
185 | ขออนุมัติและสนับสนุนงบประมาณดำเนินโครงการเพิ่มกำลังการผลิตวัคซีนโรคปากและเท้าเปื่อย | กษ | 09/07/2552 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. อนุมัติโครงการเพิ่มกำลังการผลิตวัคซีนโรคปากและเท้าเปื่อย ปี พ.ศ. 2553-พ.ศ. 2555 (รวม 3 ปี) ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ โดยงบประมาณสำหรับดำเนินโครงการ ฯ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมปศุสัตว์) พิจารณาขอแปรญัตติเพิ่มเติมงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2553 ต่อคณะกรรมา ธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2553 หรือปรับแผนการ ปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2553 ของกรมปศุสัตว์มาดำเนินงาน ตามความจำเป็น โดยให้ขอตกลงกับสำนักงบประมาณเมื่อพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2553 ประกาศใช้แล้วต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ และให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์นำโครง การนี้เสนอคณะกรรมการกลั่นกรองโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 (แผนฟื้นฟูเศรษฐกิจ ระยะ ที่ 2) อีกทางหนึ่งด้วย 2. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมปศุสัตว์) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงาน คณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่ให้มีการศึกษาและประมาณการข้อมูลความต้องการวัคซีน โรคปากและเท้าเปื่อยในช่วง 10 ปีข้างหน้า ที่อาจเพิ่มขึ้นมากกว่าในปัจจุบันที่มีความต้องการปีละ 46 ล้านโด๊ส โดยคำนึงถึงโอกาสในการขยายตัวของปริมาณฝูงสัตว์ตามการขยายตัวของตลาดสินค้าปศุสัตว์ และผลกระทบจาก การเปิดตลาดตามข้อตกลงเขตการค้าเสรีอาเซียน รวมทั้งศึกษาและนำเสนอทางเลือกในการลงทุนผลิตวัคซีนที่มี ความเป็นไปได้ทางเทคนิคในการผลิตวัคซีน และมีความคุ้มค่าจากการลงทุนระยะยาว ตลอดจนศึกษาแนวทางการ เพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารโรงงานผลิตวัคซีนโรคปากและเท้าเปื่อย เพื่อให้มีศักยภาพในการรองรับภารกิจใน ปัจจุบันและอนาคต นอกจากนี้ ควรให้ความสำคัญกับการควบคุมดูแลไม่ให้เกิดการลักลอบนำเข้าฝูงปศุสัตว์ที่ผิด กฎหมายจากประเทศเพื่อนบ้านอย่างเคร่งครัด และดำเนินมาตรการป้องกันการระบาดโรคสัตว์ควบคู่กับการให้วัค ซีนอย่างต่อเนื่อง ไปพิจารณาดำเนินการด้วย 3. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมปศุสัตว์) รับข้อสังเกตของคณะรัฐมนตรีไปพิจารณดำเนินการ ด้วยว่า การเพิ่มกำลังการผลิตวัคซีนโรคปากและเท้าเปื่อยตามโครงการ ฯ ควรให้ความสำคัญกับการนำวัคซีนไปใช้ แก้ไขปัญหาในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เป็นลำดับต้น เพื่อสนับสนุนการดำเนินโครงการต่าง ๆ ในพื้นที่ดัง กล่าวด้วย |
||||||||||||||||||
186 | รายงานผลการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านการเกษตรและป่าไม้ ครั้งที่ 29 และการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านการเกษตรและป่าไม้กับรัฐมนตรีของจีน ญี่ปุ่น และสาธารณรัฐเกาหลี ครั้งที่ 7 | กษ | 27/11/2550 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รายงานผลการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้าน
การเกษตรและป่าไม้ (ASEAN Ministers on Agriculture and Forestry-AMAF) ครั้งที่ 29 และการประชุมรัฐมนตรี อาเซียนด้านการเกษตรและป่าไม้กับรัฐมนตรีของจีน ญี่ปุ่น และสาธารณรัฐเกาหลี (AMAF+3) ระหว่างวันที่ 29 ตุลา คม-4 พฤศจิกายน 2550 โดยผลการประชุม AMAF ครั้งที่ 29 ที่ประชุมรับทราบความก้าวหน้าในความร่วมมือทางวิชา การด้านอาหาร พืช ประมง ปศุสัตว์ ป่าไม้ สหกรณ์การเกษตร การส่งเสริมและฝึกอบรมด้านการเกษตร และโครงการ ริเริ่มของประเทศสมาชิก กับเห็นชอบเรื่องต่าง ๆ รวม 13 เรื่อง อาทิ ค่าสารพิษตกค้างสูงสุดของอาเซียน (ค่า MRLs) สำหรับสารกำจัดศัตรูพืช 16 ชนิด มาตรฐานอาเซียน สำหรับ มะละกอ ส้มโอ และ เงาะ และร่างมาตรฐานอาเซียน สำหรับวัคซีนป้องกันโรคหลอดลมอักเสบชนิดเชื้อเป็น (Live Infectious Bronchitis Vaccine) ฉบับปรับปรุง และวัคซีน ป้องกันโรคหลอดลมอักเสบชนิดเชื้อตาย (Inactivated Infectious Bronchitis Vaccine) ฉบับปรังปรุง เป็นต้น รวมทั้ง รับทราบความก้าวหน้าของความร่วมมือกับองค์กรระหว่างประเทศ เช่น FAO, IRRI และ SEAFDEC และการลงนามใน เอกสาร 2 ฉบับ ได้แก่ พิธีสารแก้ไขความตกลงว่าด้วยการก่อตั้งกองทุนสุขภาพสัตว์อาเซียน (Protocol to Amend the Agreement for the Establishment of ASEAN Animal Health Trust Fund-AHTF) และหนังสือความเข้าใจว่าด้วยพันธ มิตรทางยุทธศาสตร์อาเซียน-ซีฟเดค [Letter of Understanding (LOU) on ASEAN-SEAFDEC Strategic Partnership (ASSP)] ส่วนผลการประชุม AMAF+3 ที่ประชุมรับทราบความก้าวหน้าของโครงการความร่วมมือระหว่างอาเซียนกับ ประเทศจีน ญี่ปุ่น และสาธารณรัฐเกาหลี ในสาขาต่าง ๆ โดยมีโครงการของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ 2 โครงการ คือ โครงการนำร่องเพื่อระบบการสำรองข้าวในเอเชียตะวันออก (East Asia Emergency Rice Reserve-EAERR) และ โครงการจัดทำระบบสารสนเทศเพื่อความมั่นคงทางอาหารในภูมิภาคอาเซียน (ASEAN Food Security Information System-AFSIS) และเห็นชอบข้อเสนอแผนการดำเนินงานโครงกานระยะที่สอง ระยะเวลา 5 ปี ตั้งแต่เดือนมกราคม 2551 ถึงเดือนธันวาคม 2555 โดยได้รับการสนับสนุนด้านงบประมาณจากญี่ปุ่น รวมทั้งเห็นชอบข้อเสนอโครงการ ใหม่ 9 โครงการที่เสนอโดยประเทศจีน ญี่ปุ่น และเกาหลีเหนือ ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาศักยภาพให้แก่บุคลากร ของประเทศสมาชิกอาเซียน
|
||||||||||||||||||
187 | ขอปรับปรุงรายละเอียดงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2551 กระทรวงสาธารณสุข กรณีพิเศษ | สธ | 12/06/2550 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติในหลักการตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอให้สำนักงบประมาณปรับปรุงรายละ
เอียดงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2551 ของกระทรวงสาธารณสุข วงเงิน 65 ล้านบาท ดังนี้ ปรับ ปรุงงบประมาณที่ได้รับจัดสรรให้องค์การเภสัชกรรม จำนวน 13.8 ล้านบาท จากค่าใช้จ่ายในการออกแบบอาคาร โรงงานผลิตวัคซีนและค่าจ้างที่ปรึกษาออกแบบ ควบคุมงาน เปลี่ยนเป็น งบลงทุน จำนวน 13.8 ล้านบาท ตามมติที่ ประชุมคณะกรรมการองค์การเภสัชกรรม ครั้งที่ 9/2550 เมื่อวันที่ 8 มิถุนายน 2550 เห็นชอบให้ใช้งบประมาณ ขององค์การเภสัชกรรมสำหรับค่าใช้จ่ายในการออกแบบ ค่าจ้างที่ปรึกษาและควบคุมงานฯ และปรับปรุงงบประมาณ เพื่อนำมาสมทบเป็นงบลงทุน ในปี 2551 เพิ่มเติม จำนวน 51.2 ล้านบาท จากงบดำเนินงานจากหน่วยงานในสังกัด กระทรวงสาธารณสุข ตามสัดส่วนของงบดำเนินงานของแต่ละหน่วยงาน ดังนี้ สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข 11.00 ล้านบาท กรมการแพทย์ 5.00 ล้านบาท กรมควบคุมโรค 14.00 ล้านบาท กรมพัฒนาการแพทย์แผนไทย และการแพทย์ทางเลือก 0.90 ล้านบาท กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ 4.00 ล้านบาท กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ 2.50 ล้านบาท กรมสุขภาพจิต 5.00 ล้านบาท กรมอนามัย 4.50 ล้านบาท และสำนักงานคณะกรรมการอาหารและ ยา 4.30 ล้านบาท รวมทั้งอนุมัติผูกพันงบประมาณสำหรับโครงการก่อสร้างโรงงานผลิตวัคซีน ฯ ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2552-2553 เฉพาะในส่วนการก่อสร้างโรงงานวัคซีน ฯ รายการ 1.3.1-1.3.4 เป็นเงินจำนวน 256 ล้านบาท ทั้งนี้ ให้กระทรวงสาธารณสุขเสนอขอแปรญัตติต่อคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณ รายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2551 ตามขั้นตอนต่อไป
|
||||||||||||||||||
188 | คณะกรรมการต่างๆ ที่คณะรัฐมนตรีแต่งตั้ง (กระทรวงสาธารณสุข) | สธ | 03/01/2550 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอดังนี้ ให้คณะกรรมการคงอยู่ปฏิบัติหน้าที่
ต่อไป โดยมีอำนาจหน้าที่และองค์ประกอบคงเดิม จำนวน 9 คณะ ได้แก่ คณะกรรมการควบคุมโรคขาดสารไอโอ ดีนแห่งชาติ คณะกรรมการโภชนาการ คณะกรรมการอาชีวอนามัยและสิ่งแวดล้อม คณะกรรมการวัคซีนแห่งชาติ คณะกรรมการป้องกันและควบคุมโรคมะเร็งแห่งชาติ คณะกรรมการพิจารณาจัดสรรนักศึกษาแพทย์ผู้ทำสัญญา การเป็นนักศึกษาแพทย์ คณะกรรมการพิจารณาจัดสรรนักศึกษาทันตแพทย์ผู้ทำสัญญาการเป็นนักศึกษาทันต แพทย์ คณะกรรมการพิจารณาจัดสรรนักศึกษาเภสัชศาสตร์ผู้ทำสัญญาการเป็นนักศึกษาเภสัชศาสตร์ และคณะ กรรมการแห่งชาติว่าด้วยการพัฒนายุทธศาสตร์การจัดการสารเคมี และให้คณะกรรมการคงอยู่ปฏิบัติหน้าที่ต่อ ไป โดยมีการปรับปรุงองค์ประกอบ จำนวน 4 คณะ ได้แก่ คณะกรรมการควบคุมการบริโภคยาสูบแห่งชาติ คณะ กรรมการแห่งชาติด้านยา คณะกรรมการแห่งชาติด้านอาหาร และคณะกรรมการจัดทำตำรายาของประเทศไทย
|
||||||||||||||||||
189 | แผนปฏิบัติการตามนโยบายรัฐบาลด้านสุขภาพ ประจำปีงบประมาณ 2550 | สธ | 21/11/2549 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอแผนปฏิบัติการตามนโยบายรัฐบาลด้าน
สุขภาพ ประจำปีงบประมาณ 2550 ดังนี้ (1) การออกกฎหมายเพื่อการพัฒนาระบบสุขภาพในระยะยาว (2) การพัฒนาระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า (3) การจัดตั้งศูนย์บริหารการพัฒนาสุขภาพจังหวัดชายแดนภาคใต้ (4) การจัดการปัญหาทุจริตที่สำคัญและเป็นที่สนใจของสังคม (5) การพัฒนาและทดลองรูปแบบการกระจายอำนาจด้านสุขภาพ (6) การจัดตั้งโรงงานผลิตวัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ (7) การฟื้นฟูวัฒนธรรมและค่านิยมที่เหมาะสม
|
||||||||||||||||||
190 | ขออนุมัติจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2549 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ตามมติคณะรัฐมนตรี | นร | 29/09/2549 | |||||||||||||||
หัวหน้าคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ได้มี
คำสั่งเมื่อวันที่ 29 กันยายน 2549 เห็นชอบตามที่สำนักงบประมาณเสนองบประมาณรายจ่ายประจำปีงบ ประมาณ พ.ศ. 2549 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน 37,967,000 บาท ให้กระทรวงสาธารณสุข เพื่อดำเนินงานในโครงการควบคุมโรคไข้หวัดนก ได้แก่ โครงการปรับปรุงห้องผู้ป่วย พิเศษเป็นห้องแยกโรคผู้ป่วยแพร่เชื้อทางอากาศในโรงพยาบาลชุมชน จำนวน 21,790,000 บาท โครงการ ประชาสัมพันธ์ข้อมูลข่าวสารด้านสุขภาพ และสร้างความมั่นใจในบริการของสถานบริการสาธารณสุข จำนวน 14,000,000 บาท และโครงการอาสาสมัครสาธารณสุขเคาะประตูบ้านต้านไข้หวัดนก จำนวน 2,177,000 บาท ส่วนค่าใช้จ่ายของโครงการอาสาสมัครสาธารณสุขเคาะประตูบ้านต้านไข้หวัดนก เฉพาะที่เป็นการอบรม อาสาสมัครสาธารณสุขและจัดทำเอกสาร จำนวน 7,823,000 บาท เนื่องจากเป็นรายการที่ซ้ำกับรายการที่ ได้รับอนุมัติงบกลาง จากนายกรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 25 สิงหาคม 2549 จึงไม่สมควรสนับสนุนเพิ่มเติม นอกจาก นี้ กรณีการเปลี่ยนแปลงรายการงบประมาณ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ที่ กระทรวงสาธารณสุขได้รับการจัดสรรงบประมาณไปแล้ว ในส่วนที่เป็นค่าใช้จ่ายดำเนินโครงการป้องกันแก้ไข โรคไข้หวัดนกและการเตรียมความพร้อมรับการระบาดใหญ่ของโรคไข้หวัดใหญ่ ซึ่งกรมควบคุมโรคขอปรับแผน ดำเนินการ โดยเปลี่ยนแปลงงบดำเนินงาน รายการจัดหาวัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ เป็นงบดำเนินงาน โครงการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดของกรมสุขภาพจิต สมควรให้ดำเนินการตามขั้นตอน โดยให้กรม ควบคุมโรคส่งคืนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2549 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อ กรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน 20,000,000 บาท ที่หมดความจำเป็นแล้วให้สำนักงบประมาณก่อน เพื่อ สำนักงบประมาณจะได้จัดสรรงบประมาณดังกล่าวให้แก่กรมสุขภาพจิต ตามที่มีความจำเป็นและประสงค์จะใช้ จ่ายงบประมาณต่อไป และสำหรับกรณีของกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ขอเปลี่ยนแปลงงบประมาณ จากงบ ดำเนินงาน จำนวน 10,000,000 บาท ไปเป็นงบลงทุน นั้น เป็นอำนาจของหัวหน้าส่วนราชการสามารถ ดำเนินการได้ตามระเบียบว่ด้วยการบริหารงบประมาณ พ.ศ. 2548 ข้อ 24 และข้อ 33
|
||||||||||||||||||
191 | ขอรายงานการเฝ้าระวังโรคไข้หวัดนกในคนและผลการดำเนินการป้องกันและควบคุมโรคไข้หวัดนก | สธ | 08/08/2549 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงสาธารณสุขรายงานสถานการณ์โรคไข้หวัดนกในคน และ
ผลการดำเนินการป้องกันและควบคุมโรคไข้หวัดนก โดยสถานการณ์โรคในประเทศไทย พ.ศ. 2549 มีผู้ป่วยอยู่ ในข่ายเฝ้าระวังโรคไข้หวัดนกที่จังหวัดอุทัยธานี 2 ราย รายที่ 1 เป็นชาย อายุ 19 ปี ขณะนี้อาการผู้ป่วยดีขึ้น เกือบเป็นปกติแล้ว และรอผลตรวจทางห้องปฏิบัติการยืนยันอีกครั้งหนึ่ง และรายที่ 2 เป็นชายอายุ 73 ปี ผล การตรวจยืนยันทางห้องปฏิบัติการว่าเป็นไข้หวัดใหญ่ธรรมดา ส่วนผู้ป่วยยืนยันไข้หวัดนกมีจำนวน 2 ราย เสีย ชีวิตทั้งสองราย โดยรายที่ 1 เป็นชาย อายุ 17 ปี อยู่ที่จังหวัดพิจิตร และรายที่ 2 เป็นชาย อายุ 27 ปี อยู่ ที่จังหวัดอุทัยธานี สำหรับความก้าวหน้าการดำเนินงานป้องกันและควบคุมโรคไข้หวัดนก องค์การเภสัชกรรม รายงานผลการศึกษาการดื้อยา Oseltamivir เพื่อผลิตไว้ใช้ในประเทศไทย ซึ่งขณะนี้กำลังรวบรวมข้อมูลเสนอ คณะกรรมการอาหารและยา คาดว่า จะแล้วเสร็จขึ้นทะเบียนและรักษาผู้ป่วยได้ภายในปี พ.ศ. 2549 ส่วนการ เตรียมการด้านวัคซีนไข้หวัดนกอยู่ระหว่างการดำเนินการทดลอง การเตรียมการด้านการผลิตวัคซีน เนื่องจาก ต้องใช้เงินทุนจำนวนมากจึงได้บรรจุไว้ในโครงการ Partnership for Development (Modernize Thailand) นอก จากนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขจะเป็นประธานในการประชุมนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด และผู้ อำนวยการโรงพยาบาลศูนย์/โรงพยาบาลทั่วไป 26 จังหวัดในพื้นที่เสี่ยง เพื่อกำหนดมาตรการเข้มแข็งในการ เฝ้าระวังป้องกันควบคุมโรค
|
||||||||||||||||||
192 | รายงานผลการดำเนินงานโครงการศูนย์บริการข้อมูลภาครัฐเพื่อประชาชน (GCC) ประจำปีงบประมาณ 2549 ของไตรมาสแรก ไตรมาสที่สอง และเดือนเมษายน 2549 | ทก | 27/06/2549 | |||||||||||||||
สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอรายงานผลการดำเนินงานโครงการศูนย์บริการข้อมูลภาครัฐเพื่อ
ประชาชน (GCC) ประจำปีงบประมาณ 2549 ของไตรมาสแรก ไตรมาสที่สอง และเดือนเมษายน 2549 ดังนี้ สถิติการให้บริการ จำนวนการเรียกเข้าปีงบประมาณ พ.ศ. 2549 ในช่วงไตรมาสแรก และไตรมาสที่สอง มี จำนวนที่มากกว่าเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนและมีค่าเฉลี่ยต่อเดือน 378,198 มีจำนวนเรียกเข้าอยู่ใน ช่วงระหว่าง 300,000 ถึง 400,000 โดยข้อมูลที่ประชาชนสนใจสอบถามเข้ามามาก ได้แก่ การจดทะเบียน ซิมการ์ด การแจ้งย้ายเข้า-ออกจากทะเบียนบ้านและเอกสารที่ใช้ การทำบัตรประจำตัวประชาชนกรณีสูญหาย หมดอายุ ผลการออกรางวัลสลากกินแบ่งรัฐบาล การทำหนังสือเดินทางและเอกสารที่ใช้ ราคาประเมินที่ดิน เป็นต้น หน่วยงานที่ประชาชนสนใจใช้บริการมากที่สุด 5 ลำดับแรก ได้แก่ กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศ และการสื่อสาร กระทรวงมหาดไทย กระทรวงการคลัง การทรวงคมนาคม และกระทรวงพลังงาน สำหรับ ผลการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนเกี่ยวกับการใช้ศูนย์บริการข้อมูลภาครัฐเพื่อประชาชนปี 2549 โดย สำนักงานสถิติแห่งชาติ ประชาชนที่เคยใช้บริการ GCC มีความพึงพอใจต่อการให้บริการในเรื่องต่างๆ ในระดับ ปานกลางถึงมาก อยู่ในสัดส่วนที่สูงที่สุด คือ หมายเลขโทรศัพท์จำง่าย ใช้สะดวก พนักงานมีความสุภาพอ่อน โยนในการให้บริการ การให้บริการข้อมูลได้ถูกต้องและตรงตามความต้องการ ความสะดวกรวดเร็วในการให้ บริการข้อมูล และจากการสอบถามความคิดเห็นของประชาชนต่อการประชาสัมพันธ์ให้รู้จัก GCC พบว่า ส่วน ใหญ่เห็นว่ามีการประชาสัมพันธ์น้อย หากมีการส่งเสริมและสนับสนุนในเรื่องการประชาสัมพันธ์ให้มากกว่าที่ เป็นอยู่ในปัจจุบันนี้ อาจทำให้ประชาชนได้รู้จักและใช้บริการ GCC มากขึ้น ส่วนความคืบหน้าการดำเนินการ ตามแผนบูรณาการ GCC ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2549 สำนักนายกรัฐมนตรีได้มอบหมายให้ศูนย์ GCC 1111 ประสานงานกับศูนย์บริการประชาชน สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี เพื่อดำเนินการเรื่องราว ร้องทุกข์ของประชาชนผ่านช่องทาง Contact Center ของ GCC 1111 การดำเนินงานให้บริการข้อมูลกับ หน่วยงานภาครัฐเพิ่มเติม ดังนี้ สมาชิกวุฒิสภา โครงการศึกษาวัคซีนเอดส์ทดลองระยะที่ 3 กรมควบคุมโรค ติดต่อ กระทรวงสาธารณสุข สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร และโครงการศูนย์อำนวยการต่อสู้เพื่อ เอาชนะความยากจนแห่งชาติ ส่วนการพัฒนารูปแบบการให้บริการใหม่ ๆ อยู่ระหว่างการเตรียมให้บริการ
|
||||||||||||||||||
193 | ผลการเยือนคิวบาและกัวเตมาลาของผู้แทนพิเศษของนายกรัฐมนตรี (วันที่ 13 - 16 กุมภาพันธ์ 2549) | นร | 11/04/2549 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีรายงานผลการเยือนคิวบาและกัว
เตมาลาของผู้แทนพิเศษของนายกรัฐมนตรี ระหว่างวันที่ 13-16 กุมภาพันธ์ 2549 เพื่อพบหารือกับผู้บริหาร ระดับสูงของประเทศทั้งสอง เกี่ยวกับความสัมพันธ์ทวิภาคีและความร่วมมือระหว่างกัน โดยการหารือระหว่าง ไทย-คิวบา ทั้งสองฝ่ายได้หารือเกี่ยวกับโครงการความร่วมมือด้านเทคโนโลยีชีวภาพ เรื่องการวิจัยและพัฒนา เพื่อผลิตวัคซีนป้องกันไข้หวัดนก และการวิจัยและพัฒนาเพื่อผลิตวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบ การหารือความ ร่วมมือด้านเทคโนโลยีชีวภาพทางการเกษตร เกี่ยวกับการเพาะพันธุ์ไม้ดอกและการตัดต่อพันธุกรรม และการ หารือความร่วมมือด้านการค้า เพื่อขยายความสัมพันธ์ทางการค้า โดยเฉพาะการอำนวยความสะดวกด้านสิน เชื่อและการเงินแก่ผู้ส่งออก-นำเข้าของไทยและคิวบา สำหรับการหารือระหว่างไทย-กัวเตมาลา ทั้งสองฝ่าย ได้หารือเรื่องการจัดทำความตกลงว่าด้วยความร่วมมือระหว่างสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนไทย- กัวเตมาลา และการจัดทำความตกลงว่าด้วยการส่งเสริมและคุ้มครองการลงทุน เพื่อพิจารณาความเป็นไปได้ใน เรื่องความร่วมมือระหว่างหน่วยงาน และพิจารณาให้ความเห็นเกี่ยวกับการจัดทำความตกลงว่าด้วยการส่งเสริม และคุ้มครองการลงทุน
|
||||||||||||||||||
194 | ขออนุมัติงบกลาง รายการสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น สำหรับดำเนินการแก้ไขปัญหาโรคไข้หวัดนก | กษ | 11/04/2549 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติและให้ดำเนินการตามความเห็นและข้อสังเกตของสำนักงบประมาณเกี่ยวกับ
การแก้ไขปัญหาโรคไข้หวัดนก โดยให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ดำเนินการแก้ไขปัญหาโรคไข้หวัดนกได้ตาม แนวทางที่เสนอ โดยให้ใช้จ่ายภายในกรอบวงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2549 ที่ได้รับ จัดสรรไว้แล้ว ซึ่งขณะนี้ยังคงมีวงเงินงบประมาณเหลืออยู่อีก จำนวน 155.92 ล้านบาท โดยปรับปรุงแนวทาง การดำเนินงาน โดยจัดลำดับความสำคัญเร่งด่วนให้สอดคล้องกับวงเงินที่ยังคงเหลืออยู่ สำหรับเรื่องการสร้าง และจัดการความรู้เรื่องไข้หวัดนกซึ่งเป็นการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับวัคซีนนั้น เนื่องจากกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมปศุสัตว์ ได้รับจัดสรรงบประมาณไปดำเนินการในปีงบประมาณ พ.ศ. 2548 แล้ว จึงควรนำผลการ ศึกษาวิจัยที่ได้ดำเนินการมาแล้วไปใช้ประโยชน์ก่อน หากยังมีความจำเป็นต้องศึกษาวิจัยเพิ่มเติม ก็สามารถนำ มาพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง |
||||||||||||||||||
195 | ผลการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยความร่วมมือทางเศรษฐกิจไทย - ฮังการี ครั้งที่ 1 (วันที่ 15 - 16 ธันวาคม 2548) | นร | 21/02/2549 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีรายงานผลการประชุมคณะกรรมา
ธิการร่วมว่าด้วยความร่วมมือทางเศรษฐกิจไทย-ฮังการี ครั้งที่ 1 ระหว่างวันที่ 15-16 ธันวาคม 2548 โดย มีผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการต่างประเทศ (นายวีระชัย วีระเมธีกุล) เป็นประธานร่วมฝ่ายไทย และ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศฮังการี (Mr. Andras Barsony) เป็นประธานร่วมฝ่ายฮังการี ทั้งสองฝ่ายได้มีการหารือในประเด็นสำคัญด้านการค้า การลงทุน การท่องเที่ยว ความร่วมมือด้านวิทยา ศาสตร์และเทคโนโลยี ความร่วมมือทางการเกษตร ความร่วมมือด้านการศึกษา ความร่วมมือทางวิชาการ ความร่วมมือทางภาคเอกชน โดยผลการหารือฝ่ายฮังการีพร้อมร่วมมือกับไทยในเรื่องไข้หวัดนก เนื่องจากมี ความเชี่ยวชาญ โดยเฉพาะการพัฒนาวัคซีนรักษาไข้หวัดนกในคน และขอให้ไทยยกเว้นการตรวจลงตราให้ คนชาติฮังการีเช่นเดียวกับประเทศสมาชิกสหภาพยุโรปเดิม (15 ประเทศ)
|
||||||||||||||||||
196 | ผลการดำเนินงานตามข้อตกลงความร่วมมือในการปกป้องคุ้มครองเด็กติดผู้ต้องขัง ผู้ถูกควบคุม และเด็กซึ่งคลอดในระหว่างที่มารดาถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำ สังกัด กรมราชทัณฑ์หรือถูกควบคุมอยู่ในสถานที่ควบคุม สังกัดกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน | พม | 21/02/2549 | |||||||||||||||
สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอข้อมูลของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
เกี่ยวกับผลการดำเนินงานตามข้อตกลงความร่วมมือในการปกป้องคุ้มครองเด็กติดผู้ต้องขัง ผู้ถูกควบคุม และ เด็กซึ่งคลอดในระหว่างที่มารดาถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำ สังกัดกรมราชทัณฑ์ หรือถูกควบคุมอยู่ในสถานที่ควบ คุม สังกัดกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน ซึ่งมีผลการดำเนินงานดังนี้ สถานสงเคราะห์เด็กบ้านเวียง พิงค์ จังหวัดเชียงใหม่ รับเด็กคนไทย 2 ราย ซึ่งเป็นพี่น้องกัน เมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน 2548 เนื่องจากบิดา มารดาต้องโทษ และอยู่ระหว่างรอการตัดสิน โดยทางสถานสงเคราะห์ ฯ ได้ให้การเลี้ยงดูและพัฒนาเด็กตาม ความต้องการพื้นฐาน และให้บริการที่จำเป็น ส่งเสริมพัฒนาการ ให้การศึกษา เตรียมความพร้อมก่อนวัย เรียน ตรวจสุขภาพให้วัคซีน เป็นต้น ส่วนสถานแรกรับเด็กชายปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี รับเด็กจำนวน 2 ราย ซึ่งติดผู้ต้องขังซึ่งเป็นเด็กต่างด้าวจากเรือนจำสมุทรปราการ เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2548 โดยรับฝากเป็น การชั่วคราวจำนวน 37 วัน ระหว่างวันที่ 9 ธันวาคม 2548-13 มกราคม 2549 โดยทางสถานสงเคราะห์ ฯ ให้การช่วยเหลือสงเคราะห์และคุ้มครองสวัสดิภาพตามพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก และส่งกลับประเทศ และ สถานสงเคราะห์เด็กชายบ้านมหาเมฆ กรุงเทพ ฯ รับเด็กคนไทย 1 ราย เมื่อวันที่ 22 ธันวาคม 2548 เนื่อง จากบิดาเสียชีวิตและมารดาต้องโทษโดยไม่ทราบสถานที่คุมขัง จึงไม่มีผู้ดูแล และอยู่ระหว่างติดตามมารดา
|
||||||||||||||||||
197 | ขอรายงานการเฝ้าระวังโรคไข้หวัดนกในคน | สธ | 13/12/2548 | |||||||||||||||
สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอข้อมูลของกระทรวงสาธารณสุขเกี่ยวกับการเฝ้าระวังโรคไข้หวัด
นกในคน โดยมีผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่ หรือปอดบวม อยู่ในข่ายเฝ้าระวัง ระหว่างวันที่ 1 มกราคม-8 ธันวาคม 2548 รวม 2,792 ราย จาก 76 จังหวัด ในวันที่ 8 ธันวาคม 2548 มีรายงานผู้ป่วยอยู่ในข่ายเฝ้าระวังโรค 17 ราย จากจังหวัดสุพรรณบุรี ฉะเชิงเทรา ปราจีนบุรี สงขลา กรุงเทพมหานคร พระนครศรีอยุธยา ลพบุรี ประจวบคีรีขันธ์ นครนายก เชียงใหม่ สุโขทัย และกาญจนบุรี มีผู้ป่วยยืนยันติดเชื้อไข้หวัดนก รายใหม่เพิ่มอีก 1 ราย ที่จังหวัดนครนายก และพบว่ามีผู้ป่วยเป็นโรคไข้หวัดนกในคนรวม 5 ราย เสียชีวิต 2 รายได้รับการรักษา 3 ราย สำหรับความก้าวหน้าของการดำเนินงานป้องกันและควบคุมโรคไข้หวัดนก ได้มีการเตรียมความพร้อมด้านวัคซีนโรคไข้หวัดนกและโรคไข้หวัดใหญ่ โดยแบ่งเป็น 3 ระดับ ได้แก่ การ วิจัยและพัฒนาในห้องปฏิบัติการ (Laboratory-Scale R&D) ซึ่งอยู่ระหว่างดำเนินการพัฒนากระบวน การผลิตและควบคุมคุณภาพวัคซีนทั้งที่ผลิตไข่ไก่ฟักและผลิตเซลล์เพื่อใช้ในโรงงานวัคซีนกึ่งอุตสาหกรรม ระดับการผลิตกึ่งอุตสาหกรรม (Pilot Production Scale) ซึ่งอยู่ระหว่างการดำเนินการเจรจากับต่าง ประเทศเพื่อความร่วมมือในการทดลองวัคซีนทางคลินิก รวมทั้งเจรจาเงื่อนไขในการร่วมทุนสร้างโรงงาน สำหรับผลิตวัคซีนไข้หวัดนก H5N1 และระดับการผลิตอุตสาหกรรม (Industrial Scale Production) ใน การเตรียมการแก้ปัญหาในระยะสั้น ได้เตรียมการนำ Bulk Vaccine ที่ผลิตในต่างประเทศมาบรรจุใน ประเทศไทยเพื่อสนับสนุนให้ประเทศไทยสามารถพึ่งตนเองได้ ส่วนระยะยาวหากมีโรงงานผลิตวัคซีนได้ แล้ว ให้กรมควบคุมโรคพัฒนาแผนการให้วัคซีนในกลุ่มเสี่ยงร่วมกับสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่ง ชาติ
|
||||||||||||||||||
198 | รายงานสถานการณ์และความก้าวหน้าในการดำเนินการแก้ไขปัญหาโรคไข้หวัดนก | กษ | 29/11/2548 | |||||||||||||||
สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอข้อมูลของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เกี่ยวกับสถานการณ์และ
ความก้าวหน้าในการดำเนินการแก้ไขปัญหาโรคไข้หวัดนก โดยในส่วนของสถานการณ์ของโรคไข้หวัดนกใน สัตว์ปีก มีพื้นที่พบเชื้อโรคไข้หวัดนกและอยู่ในระหว่างการเฝ้าระวังยังไม่ครบ 21 วัน ณ วันที่ 27 พฤศจิกายน 2548 รวม 1 จุด (ตำบล) ได้แก่ ตำบลวัดชลอ อำเภอบางกรวย จังหวัดนนทบุรี ส่วนสถานการณ์ของโรค ไข้หวัดนกในต่างประเทศ ได้เกิดการระบาดของโรคไข้หวัดนกในสัตว์ปีกหลาย ๆ มณฑลในประเทศจีนอย่าง ต่อเนื่อง และทำให้มีผู้ติดเชื้อไวรัสดังกล่าว จีนต้องทำลายสัตว์ปีกในรอบเดือนที่ผ่านมาประมาณ 20 ล้าน ตัว และได้ประกาศให้มีการฉีดวัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดนกเพื่อควบคุมโรคในสัตว์ปีก ทั้งประเทศประมาณ 14,000 ล้านตัว สำหรับความก้าวหน้าในการดำเนินการแก้ไขปัญหาโรคไข้หวัดนก ผลการจับกุมผู้ลักลอบ เคลื่อนย้ายสัตว์ปีกในพื้นที่จังหวัดต่างๆ ซึ่งกระทำผิดกฎหมายว่าด้วยโรคระบาดสัตว์มีผู้กระทำผิดและถูกจับ กุมทั้งสิ้น 24 ราย และเมื่อพิจารณาจากสถานการณ์การเกิดโรคไข้หวัดนกในประเทศไทยในปัจจุบันที่เป็น ผลมาจากการดำเนินมาตรการต่าง ๆ ที่เข้มงวด ซึ่งสามารถควบคุมโรคให้อยู่ในวงจำกัดได้ไม่มีการระบาด อย่างรุนแรง นอกจากนี้ ได้มีการกำหนดมาตรการควบคุมป้องกันโรคไข้หวัดนกตามกฎหมายว่าด้วยโรค ระบาดสัตว์ อาทิเช่น ให้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการจัดทำแผนยุทธศาสตร์การป้องกันควบคุมโรคไข้หวัดนก ในไก่ชนระดับจังหวัด การขึ้นทะเบียนไก่ชน การขึ้นทะเบียนสนามไก่ชน การจัดทำสมุดประจำตัวไก่ชน การจัดทำระบบการป้องกันโรคในสนามไก่ชน เป็นต้น
|
||||||||||||||||||
199 | ขอรายงานการเฝ้าระวังโรคไข้หวัดนกในคน | สธ | 22/11/2548 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงสาธารณสุขรายงานการเฝ้าระวังโรคไข้หวัดนกในคน
โดยมีผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่หรือปอดบวมอยู่ในข่ายเฝ้าระวัง ระหว่างวันที่ 1 มกราคม -20 พฤศจิกายน 2548 รวม 2,288 ราย จาก 75 จังหวัด ในวันที่ 21 พฤศจิกายน 2548 มีรายงานผู้ป่วยอยู่ในข่ายเฝ้าระวัง 38 ราย จากจังหวัดกาญจนบุรี 18 ราย กรุงเทพมหานคร นนทบุรี ฉะเชิงเทรา เชียงราย สุโขทัย กำแพงเพชร อุบลราชธานี จังหวัดละ 2 ราย และพระนครศรีอยุธยา สุพรรณบุรี นครปฐม สระแก้ว พิษณุโลก อุทัยธานี อีกจังหวัดละ 1 ราย ซึ่งไม่พบผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรงหรือเสียชีวิต และพบว่ามีผู้ป่วยไข้หวัดนกในคน รวม 4 ราย เสียชีวิต 1 ราย ได้รับการรักษาหาย จำนวน 3 ราย สำหรับความก้าวหน้าของการดำเนินงานป้องกัน และควบคุมโรคไข้หวัดนก กระทรวงสาธารณสุขร่วมกับกรุงเทพมหานคร จัดทำข้อตกลงร่วมกันในการเฝ้า ระวัง โดยร่วมกันฝึกอบรมทีมสอบสวนเคลื่อนที่เร็ว (SRRT) ของกรุงเทพ ฯ ให้ครอบคลุมทุกเขต จำนวน 67 ทีม หากพบผู้ป่วยสงสัยเป็นโรคไข้หวัดนกต้องแจ้งสำนักอนามัย กรุงเทพ ฯ และสำนักระบาดวิทยา โดยสำนักอนามัยจะรับผิดชอบการสอบสวนโรคในพื้นที่กรุงเทพ ฯ ทุกกรณี รวมทั้งการติดตามผู้สัมผัสผู้ ป่วย สัตว์ปีกที่ป่วยหรือตาย ผู้ที่สัมผัสใกล้ชิดและการให้ยา รวมถึงร่วมกันประชาสัมพันธ์เชิงรุกเพื่อให้ประ ชาชนมีความรู้ ความเข้าใจเรื่องไข้หวัดนกมากขึ้น นอกจากนี้ ได้เร่งรัดการดำเนินการเฝ้าระวังโรคไข้หวัด นกทั้งในคนและสัตว์ปีกและมีนโยบายยังไม่ให้วัคซีนในสัตว์ปีก
|
||||||||||||||||||
200 | ผลการเดินทางเยือนประเทศไทยของกรรมาธิการสหภาพยุโรปด้านสาธารณสุขและการคุ้มครองผู้บริโภค | กษ | 15/11/2548 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รายงานผลการเดินทางเยือนประเทศ
ไทยของกรรมาธิการสหภาพยุโรปด้านสาธารณสุขและการคุ้มครองผู้บริโภค (EC Commissioner for Health and Consumer Protection) ระหว่างวันที่ 8-16 พฤศจิกายน 2548 ในการนี้ได้มีการหารือระหว่างคณะ กรรมาธิการสหภาพยุโรป ฯ กับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และผู้บริหารระดับสูงของกระ ทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในประเด็นต่าง ๆ โดยในส่วนของสถานการณ์และความร่วมมือด้านไข้หวัดนก ทั้ง สองฝ่ายได้แลกเปลี่ยนสถานการณ์การระบาดของไข้หวัดนก โดยไทยได้ชี้แจงว่าการระบาดของโรคไข้หวัด นกในปี พ.ศ. 2548 พบเพียง 10 อำเภอเท่านั้น เนื่องจากได้เตรียมการเรื่องการควบคุมการระบาดจาก ประสบการณ์ในปี 2547 ได้มีการควบคุมการเคลื่อนย้ายสัตว์ปีก และการทำลายในกรณีที่พบการระบาด อย่างเข้มงวด รวมทั้งได้จัดทำโครงการอาสาสมัคร ซึ่งจะมีการรายงานข้อมูลจากอาสาสมัครประจำหมู่บ้าน ต่างๆ กว่า 600,000 คนทั่วประเทศทุกวัน ทำให้ได้รับข้อมูลอย่างทันท่วงทีและสามารถเข้าไปควบคุมสถาน การณ์ได้อย่างรวดเร็วเพื่อป้องกันไม่ให้มีการกระจายตัวของการระบาด และทั้งสองฝ่ายได้เห็นพ้องให้ร่วมกัน ดำเนินการในเรื่องควบคุมไข้หวัดนกในระดับภูมิภาคอย่างใกล้ชิดโดยมีไทยเป็นศูนย์กลางสำหรับเรื่องวัคซีน ป้องกันไข้หวัดนกในสัตว์ปีก สหภาพยุโรปมีความเห็นว่ายังไม่ใช่เครื่องมือที่มีความจำเป็นในขณะนี้ แต่เห็น ด้วยกับข้อเสนอของไทยที่จะให้มีความร่วมมืออย่างใกล้ชิดในเรื่องการศึกษาและวิจัยการใช้วัคซีน ส่วนความ ปลอดภัยอาหาร สหภาพยุโรปเห็นว่า ไทยได้ดำเนินนโยบายด้านความปลอดภัยอาหารของไทยมาอย่าง ถูกต้อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการให้ความสำคัญกับมาตรฐานสินค้า และการดำเนินงานในลักษณะตั้งแต่ต้น น้ำถึงปลายน้ำ สำหรับโครงการระบบเตือนภัยเร่งด่วนอาหารมนุษย์และอาหารสัตว์ (Rapid Alert System on Food and Feed - RASFF) สหภาพยุโรปเห็นว่าควรจัดทำเป็นต้นแบบในภูมิภาคอาเซียนโดยมีประเทศ เริ่มตั้น 4 ประเทศ ได้แก่ ไทย มาเลเซีย สิงคโปร์ และเวียดนาม ให้ไทยเป็นศูนย์กลางของระบบดังกล่าว ส่วนเรื่องอื่น ๆ ได้แก่ การค้าสินค้าประมง ไทยได้ดำเนินโครงการนำร่องระบบตรวจสอบย้อนกลับสำหรับ การผลิตกุ้งซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างไทยและสหภาพยุโรป โครงการเลี้ยงไก่และหมูระบบ Compartmen talization ไทยกำลังดำเนินโครงการ ฯ ดังกล่าวเพื่อจัดระบบเขตเฉพาะที่มี Biosecurity สูงสุด สามารถควบ คุมป้องกันโรคได้จากภายนอกโดยไทยจะได้ออกประกาศระเบียบในเรื่องดังกล่าวและดำเนินการโครงการ นำร่องเพื่อการเปิดตลาดสินค้าจาก Compartment ในระยะต่อไป และสินค้าเทคโนโลยีชีวภาพ (GMOs) ทั้งสองฝ่ายได้แลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นในเรื่องสินค้าเทคโนโลยีชีวภาพ ซึ่งไทยได้ชี้แจงว่าไทยยังไม่อนุญาตให้ มีการปลูกพืช GMOs เชิงพาณิชย์แต่อย่างใด แต่อนุญาตให้มีการทดลองเพื่อการศึกษาและวิจัย และได้ออก ระเบียบการติดฉลากเพื่อให้สินค้าที่มีส่วนประกอบจากผลิตภัณฑ์ GMOs ส่วนสหภาพยุโรปได้อนุญาตให้ มีการผลิตสินค้า GMOs เชิงพาณิชย์และต้องมีการติดฉลากภายใต้กฎระเบียบที่เข้มงวด
|
.....