ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1 จากทั้งหมด 137 หน้า แสดงรายการที่ 1 - 20 จากข้อมูลทั้งหมด 2735 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
1 | แนวทางการปฏิบัติหน้าที่ของคณะรัฐมนตรี กรณีศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้ความเป็นรัฐมนตรีของนายกรัฐมนตรีสิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 170 (4) | นร 05 | 30/08/2568 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่
๓๐ สิงหาคม ๒๕๖๘ เห็นชอบแนวทางการปฏิบัติหน้าที่ของคณะรัฐมนตรี
กรณีศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้ความเป็นรัฐมนตรีของนายกรัฐมนตรีสิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา ๑๗๐ (๔) ตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอ ดังนี้ ๑. สถานะของคณะรัฐมนตรีและรัฐมนตรี
๑.๓
การลงชื่อตำแหน่งของรัฐมนตรี ยังคงลงชื่อในตำแหน่งเดิม มิใช่เป็นการรักษาการหรือรักษาการในตำแหน่ง ๒. หลักการเกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ของคณะรัฐมนตรี ๒.๑ เรื่องที่เป็นนโยบายใหม่ซึ่งมีผลผูกพันคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ ไม่ควรพิจารณา ๒.๒ เรื่องที่จำเป็น เร่งด่วน
หรือเรื่องที่ต่อเนื่องให้พิจารณาดำเนินการเป็นเรื่อง ๆ ไป ๒.๓
ร่างพระราชบัญญัติในระหว่างที่รอคณะรัฐมนตรีที่ตั้งขึ้นใหม่เข้ารับหน้าที่ ๒.๓.๑ ร่างพระราชบัญญัติที่คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการก่อนวันที่ ๒๙
สิงหาคม ๒๕๖๘ และอยู่ระหว่างการตรวจพิจารณาของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
หากสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเสร็จแล้วและต้องเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้งหนึ่งให้รอเสนอคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ ๒.๓.๒ ร่างพระราชบัญญัติที่คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการก่อนวันที่ ๒๙ สิงหาคม
๒๕๖๘ และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเสร็จแล้ว ให้ส่งคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรเสนอสภาผู้แทนราษฎรต่อไปได้ ๒.๓.๓ ร่างพระราชบัญญัติที่กำลังจะเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติหลักการ หากมีความจำเป็นเพื่อรักษาประโยชน์ของรัฐ รักษาความปลอดภัยของประเทศ ความปลอดภัยสาธารณะ ความมั่นคงในทางเศรษฐกิจของประเทศ หรือป้องปัดภัยพิบัติสาธารณะให้พิจารณาดำเนินการได้ตามความเหมาะสม ทั้งนี้ ข้าราชการการเมืองที่นายกรัฐมนตรีแต่งตั้งตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการการเมือง พ.ศ. ๒๕๓๕ และที่แก้ไขเพิ่มเติม กรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยคณะกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี พ.ศ. ๒๕๔๖ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ผู้แทนการค้าไทยตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยผู้แทนการค้าไทย พ.ศ. ๒๕๕๒ และที่แก้ไขเพิ่มเติม และคณะกรรมการที่นายกรัฐมนตรีแต่งตั้งตามมาตรา ๑๑ (๖) แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. ๒๕๓๔ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ต้องพ้นจากตำแหน่งไปด้วย ซึ่งหากจะให้ปฏิบัติหน้าที่ต่อไป ให้ดำเนินการแต่งตั้งตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัดด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||
2 | ขอความเห็นชอบมาตรการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากกรณีเหตุการณ์สถานการณ์บริเวณชายแดนไทย - กัมพูชา | นร.08 | 05/08/2568 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑. เห็นชอบตามที่สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติเสนอ
ดังนี้ ๑.๑
เห็นชอบหลักเกณฑ์ให้เงินเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากกรณีเหตุการณ์สถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา
นับตั้งแต่วันที่ ๑๖ กรกฎาคม ๒๕๖๘ จนกว่าสถานการณ์จะเข้าสู่ภาวะปกติ ทั้งนี้
หากมีผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ดังกล่าวเพิ่มเติม
ให้หน่วยงานขอรับการจัดสรรงบประมาณตามขั้นตอนต่อไป ๑.๒
เห็นชอบกรอบอัตราเงินเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากกรณีเหตุการณ์สถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ๑.๓
เห็นชอบกรอบวงเงินงบประมาณเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากกรณีเหตุการณ์สถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา
(วันที่ ๑๖ กรกฎาคม - ๒ สิงหาคม ๒๕๖๘) จำนวน ๔๐๔,๖๐๐,๐๐๐ บาท ทั้งนี้
ให้กระทรวงกลาโหมและสำนักงานตำรวจแห่งชาติเป็นหน่วยรับผิดชอบและเป็นหน่วยเบิกจ่ายงบประมาณสำหรับดำเนินการเยียวยาเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ได้รับผลกระทบ
และให้กระทรวงมหาดไทยเป็นหน่วยรับผิดชอบและเป็นหน่วยเบิกจ่ายงบประมาณสำหรับดำเนินการเยียวยาประชาชนที่ได้รับผลกระทบ ทั้งนี้
การได้รับเงินช่วยเหลือเยียวยาของผู้ได้รับผลกระทบจากกรณีเหตุการณ์สถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา
ในครั้งนี้ไม่ทำให้ผู้ได้รับเงินช่วยเหลือเยียวยาดังกล่าวเสียสิทธิในการรับเงินหรือผลประโยชน์อื่นใดที่พึงได้รับตามกฎหมายอื่น
ๆ ด้วย ๒. ให้กระทรวงกลาโหม สำนักงานตำรวจแห่งชาติ
กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการให้ถูกต้องตามขั้นตอนของกฎหมาย
ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต่อไป รวมทั้งให้รับความเห็นของสำนักงบประมาณ
สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
เช่น สำนักงบประมาณ เห็นควรให้กระทรวงกลาโหม
สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และกระทรวงมหาดไทย เป็นหน่วยงานรับผิดชอบและเป็นหน่วยเบิกจ่ายงบประมาณสำหรับดำเนินการเยียวยาเจ้าหน้าที่ของรัฐและประชาชนที่ได้รับผลกระทบ
โดยปฏิบัติตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง และกำกับ ติดตาม ตรวจสอบ
การใช้จ่ายงบประมาณดังกล่าวให้มีประสิทธิภาพ ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ เงื่อนไข
อัตราที่กำหนด และสามารถตรวจสอบได้ทุกขั้นตอน และหากมีผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ดังกล่าวเพิ่มเติม
หรือมีลักษณะเฉพาะในบางกรณี เช่น กรณีผู้ได้รับบาดเจ็บสาหัสต่อมาเสียชีวิตลง
เป็นต้น
ให้หน่วยงานเสนอเรื่องต่อสำนักงานสภาความมั่นคงพิจารณาตามขั้นตอนก่อนให้หน่วยงานขอรับการจัดสรรงบประมาณต่อไป สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เห็นควรให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งขอรับการจัดสรรงบประมาณและเบิกจ่ายให้แก่ประชาชนและเจ้าหน้าที่ของรัฐโดยเร็วต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||
3 | การให้ความช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนจากสถานการณ์ปะทะตามแนวชายแดนไทย - กัมพูชา และสถานการณ์อุทกภัย | นร. | 29/07/2568 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายภูมิธรรม
เวชยชัย) รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรีเสนอว่า
สืบเนื่องจากสถานการณ์ปะทะตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา
และสถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่ภาคเหนือตอนบน ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา
ส่งผลให้เจ้าหน้าที่ของรัฐและประชาชนได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิต
รวมทั้งประชาชนอีกจำนวนมากได้รับความเดือดร้อนในการดำรงชีวิต ทรัพย์สินเสียหาย
และต้องอพยพไปยังพื้นที่ปลอดภัย
ซึ่งจำเป็นต้องได้รับการช่วยเหลือดูแลอย่างเร่งด่วน จึงขอมอบหมายการดำเนินการ
ดังนี้ ๑. ให้รัฐมนตรีทุกท่านใช้เวลาที่ว่างเว้นจากภารกิจประจำลงพื้นที่ที่เกิดสถานการณ์ดังกล่าว
เพื่อให้ความช่วยเหลือประชาชนและเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ได้รับความเดือดร้อนและผลกระทบ
ตลอดจนกำกับดูแล และอำนวยความสะดวกในการปฏิบัติงานของหน่วยงานต่าง ๆ
ในความรับผิดชอบที่อยู่ในพื้นที่ รวมทั้งบูรณาการการทำงานระหว่างหน่วยงานต่าง ๆ
ในพื้นที่ เพื่อให้การดูแลช่วยเหลือประชาชนและเจ้าหน้าที่ของรัฐเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
ทั้งนี้ ขอให้รัฐมนตรีหลีกเลี่ยงการดำเนินการใด ๆ
ที่อาจก่อให้เกิดปัญหาและอุปสรรคในการปฏิบัติงานของหน่วยงานต่าง ๆ
ในพื้นที่หน้างานด้วย ๒.
ให้กระทรวงมหาดไทยเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดดำเนินการจัดหาเครื่องอุปโภคบริโภคที่จำเป็น
เช่น อาหาร เครื่องนอน เครื่องนุ่งห่ม เวชภัณฑ์ น้ำสะอาด
เพื่อให้ประชาชนสามารถใช้ในการดำรงชีพในช่วงวิกฤตได้อย่างเหมาะสมและเพียงพอ
รวมทั้งให้กำกับดูแลการบริหารจัดการขยะในพื้นที่ให้เหมาะสมและไม่เกิดมลภาวะด้วย ๓. ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งจัดหาเครื่องใช้หรืออุปกรณ์ที่จำเป็นสำหรับผู้สูงอายุ
ผู้พิการ และผู้ป่วยติดเตียง เช่น รถเข็น ให้เพียงพอต่อความต้องการ
เพื่ออำนวยความสะดวกในการเคลื่อนย้าย และดูแลผู้ประสบภัยกลุ่มเปราะบางได้อย่างเหมาะสม ๔.
ให้กระทรวงสาธารณสุขจัดเตรียมบุคลากรทางการแพทย์ให้เพียงพอ
เพื่อดูแลรักษาผู้ป่วยในพื้นที่ รวมทั้งให้กำหนดมาตรการในการดูแลและคัดแยกผู้ป่วยที่ติดเชื้อออกจากผู้ป่วยอื่นและบุคคลทั่วไป
เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรคในพื้นที่พักพิงและสถานพยาบาลด้วย ๕. ให้กระทรวงมหาดไทย (จังหวัดที่เกี่ยวข้อง)
เร่งประสานกับกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
เพื่อดำเนินการเบิกจ่ายเงินช่วยเหลือ/เยียวยา/ชดเชยให้แก่ผู้บาดเจ็บ
ทายาทของผู้เสียชีวิต หรือผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ดังกล่าวข้างต้น ตามแต่กรณี
ให้ถูกต้อง ครบถ้วน และแล้วเสร็จโดยเร็ว
|
|||||||||||||||||||||||||||
4 | ภาวะสังคมไทยไตรมาสหนึ่ง ปี 2568 | นร.11 สศช | 22/07/2568 | ||||||||||||||||||||||||
|
|||||||||||||||||||||||||||
5 | แนวทางการผ่อนผันให้แรงงานสัญชาติกัมพูชาเข้ามาทำงานบริเวณชายแดนไทย - กัมพูชา | รง. | 22/07/2568 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบแนวทางการผ่อนผันให้แรงงานสัญชาติกัมพูชาเข้ามาทำงานบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา
และเห็นชอบในหลักการร่างประกาศของกระทรวงแรงงาน จำนวน ๑ ฉบับ
รวมถึงอนุมัติในหลักการร่างประกาศของกระทรวงมหาดไทย จำนวน ๑ ฉบับ รวม ๒ ฉบับ เพื่อบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว
และกระทรวงแรงงาน โดยกรมการจัดหางาน หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
และหน่วยงานในพื้นที่ประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้และความเข้าใจให้นายจ้าง/ผู้ประกอบการ
แรงงานต่างด้าว และผู้ที่เกี่ยวข้องรับทราบข้อมูลการดำเนินการดังกล่าวอย่างทั่วถึง
ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ ๒. เห็นชอบ ๒.๑ ร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การยกเว้นข้อห้ามมิให้คนต่างด้าวเข้ามาในราชอาณาจักรเป็นกรณีพิเศษ
สำหรับคนต่างด้าวสัญชาติกัมพูชาซึ่งได้รับอนุญาตให้ทำงานในราชอาณาจักร ตามมาตรา ๖๔
แห่งพระราชกำหนดการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ. ๒๕๖๐ ด้วยเหตุผลทางมนุษยธรรมตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
... ๒.๒ ร่างประกาศกระทรวงแรงงาน เรื่อง
การอนุญาตให้คนต่างด้าวทำงานในราชอาณาจักรเป็นกรณีพิเศษ
สำหรับคนต่างด้าวสัญชาติกัมพูชาซึ่งได้รับอนุญาตให้เข้ามาทำงานในราชอาณาจักร ตามมาตรา
๖๔ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ... รวม ๒ ฉบับ ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว
และให้ดำเนินการต่อไปได้ ๓.
ให้กระทรวงแรงงานและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำกับดูแลไม่ให้มีการเรียกรับผลประโยชน์กับแรงงานในการดำเนินการขั้นตอนต่าง
ๆ รวมทั้งให้กระทรวงแรงงานรับความเห็นของสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
ดังนี้ สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ
เห็นว่าแนวทางดังกล่าวถือเป็นมาตรการระยะเร่งด่วนเพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อสภาวการณ์ทางเศรษฐกิจของประเทศ
ตลอดจนไม่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อวิถีชีวิตของประชาชนบริเวณชายแดน
ควรพิจารณาถึงความจำเป็นและความเหมาะสมให้สอดคล้องกับข้อเท็จจริงที่เกี่ยวข้องอย่างต่อเนื่อง
จนกว่าความสัมพันธ์ระหว่างประเทศทั้งสองจะกลับคืนสู่ภาวะปกติ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
เห็นว่าในการดำเนินการกระทรวงแรงงานและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรมีการวางแนวปฏิบัติที่ชัดเจนเพื่อให้แรงงานกลุ่มดังกล่าวสามารถรายงานตัวได้ทันตามกรอบระยะเวลากำหนด
และควรพิจารณาจัดทำแนวทางในการบริหารจัดการความเสี่ยงทั้งในระยะสั้นและระยะยาว หากสถานการณ์ความขัดแย้งบริเวณชายแดนมีความยืดเยื้อ
เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อการขาดแคลนแรงงานและมีการลักลอบเข้ามาในประเทศอย่างผิดกฎหมาย |
|||||||||||||||||||||||||||
6 | ร่างปฏิญญาระดับรัฐมนตรีของการประชุมเวทีหารือทางการเมืองระดับสูงว่าด้วยการพัฒนาที่ยั่งยืน (High - level Political Forum on Sustainable Development: HLPF) ประจำปี ค.ศ. 2025 | กต. | 22/07/2568 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบต่อร่างปฏิญญาระดับรัฐมนตรีของการประชุมเวทีหารือทางการเมืองระดับสูงว่าด้วยการพัฒนาที่ยั่งยืน
ประจำปี ค.ศ. ๒๐๒๕ และให้หัวหน้าคณะผู้แทนไทยที่จะเข้าร่วมการประชุม HLPF หรือเอกอัครราชทูต
ผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติ นครนิวยอร์ก ร่วมรับรองร่างปฏิญญาระดับรัฐมนตรีของการประชุมเวทีหารือทางการเมืองระดับสูงว่าด้วยการพัฒนาที่ยั่งยืน
ประจำปี ค.ศ. ๒๐๒๕ โดยร่างปฏิญญาฯ
มีสาระสำคัญเกี่ยวกับการกำหนดแนวทางดำเนินการเพื่อบรรลุวาระการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable
Development Goals : SDGs) ค.ศ. ๒๐๓๐ เช่น (๑)
การส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ต่อเนื่อง ครอบคลุม และยั่งยืน
การจ้างงานอย่างเต็มรูปแบบ และมีผลิตภาพ (๒) การเสริมสร้างการป้องกัน
การเตรียมพร้อมรับมือ และการตอบสนองต่อภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุข และ (๓)
การส่งเสริมความเสมอภาคระหว่างเพศ รวมทั้งการจัดการกับความรุนแรงทางเพศและการเลือกปฏิบัติต่อสตรีและเด็กหญิง
ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างปฏิญญาฯ
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว
และให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ที่เห็นควรติดตามประเมินผล และสื่อสารผลลัพธ์ของการดำเนินงานให้สาธารณชนและทุกภาคส่วนได้ทราบถึงประโยชน์ที่ไทยพึงจะได้รับ
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||
7 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมรถยนต์ขนาดใหญ่ที่ใช้เครื่องยนต์แบบจุดระเบิดด้วยประกายไฟต้องเป็นไปตามมาตรฐาน พ.ศ. .... | อก. | 24/06/2568 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมรถยนต์ขนาดใหญ่ที่ใช้เครื่องยนต์แบบจุดระเบิดด้วยประกายไฟต้องเป็นไปตามมาตรฐาน
พ.ศ. ....
มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมรถยนต์ขนาดใหญ่ที่ใช้เครื่องยนต์แบบจุดระเบิดด้วยประกายไฟต้องเป็นไปตามมาตรฐานเลขที่
มอก. ๓๐๔๔ - ๒๕๖๓ โดยเป็นการปรับปรุงมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมดังกล่าว
เพื่อให้สอดคล้องกับการพัฒนาเทคโนโลยีและเป็นไปตามมาตรฐานระดับสากล
รวมทั้งให้สอดคล้องกับแผนปฏิบัติการขับเคลื่อนวาระแห่งชาติ “การแก้ไขปัญหามลภาวะด้านฝุ่นละออง”
ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว
และให้ดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||
8 | การออกกฎหมายเพื่อกำกับดูแลแพลตฟอร์มดิจิทัล | นร.09 | 24/06/2568 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. รับทราบแนวทางการออกกฎหมายเพื่อกำกับดูแลแพลตฟอร์มดิจิทัล
สรุปได้ ดังนี้ ๑) การออกกฎหมายเพื่อกำกับดูแลแพลตฟอร์มดิจิทัลอย่างได้สัดส่วนและมีประสิทธิภาพตามหลักสากล
ยังมีความจำเป็นในสภาวะการพัฒนาทางเทคโนโลยีที่รวดเร็วในปัจจุบัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการคุ้มครองผู้บริโภคและผู้ใช้บริการ
ซึ่งกลไกของร่างกฎหมายว่าด้วยเศรษฐกิจแพลตฟอร์มดิจิทัลจะช่วยให้การกำกับดูแล
การบังคับใช้ และบทกำหนดโทษมีประสิทธิภาพมากขึ้นกว่าพระราชกฤษฎีกาการประกอบธุรกิจบริการแพลตฟอร์มดิจิทัลที่ต้องแจ้งให้ทราบ
พ.ศ. ๒๕๖๕ ที่ใช้บังคับอยู่ในปัจจุบัน
และยังอาจใช้เป็นประโยชน์ในการต่อรองกับมาตรการทางภาษีศุลกากร (Tariffs) ของประเทศสหรัฐอเมริกาได้
ทั้งยังจะช่วยให้แพลตฟอร์มดิจิทัลต่าง ๆ มีสถานะที่เท่าเทียมกันมากยิ่งขึ้น (level
playing field) อันจะเป็นประโยชน์แก่ผู้บริโภคตลอดจน SMEs ในประเทศไทยอีกด้วย และ ๒)
เพื่อให้มีความพร้อมในการดำเนินการและหลีกเลี่ยงความซ้ำช้อน ควรมีการศึกษาตลาดและเตรียมบุคลากรให้พร้อมก่อนการกำกับดูแลแพลตฟอร์มดิจิทัลและควรมีกลไกการทำงานร่วมกันระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้การกำกับดูแลมีประสิทธิภาพมากขึ้น
และพิจารณาการแบ่งหน้าที่และความรับผิดชอบให้ชัดเจน ๒. มอบหมายให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
(สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์)
และสำนักงานคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้าเร่งหาข้อยุติเกี่ยวกับแนวทางและมาตรการส่งเสริมและกำกับดูแลเศรษฐกิจแพลตฟอร์มดิจิทัลที่เหมาะสมสำหรับบริบทของประเทศไทย
แล้วให้รายงานแนวทางการดำเนินการต่อคณะรัฐมนตรีทราบโดยเร็วต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
9 | สถานการณ์ระหว่างประเทศที่ส่งผลกระทบต่อประเทศไทย | นร. | 24/06/2568 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า สถานการณ์ระหว่างประเทศที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน
โดยเฉพาะความขัดแย้งระหว่างสาธารณรัฐอิสลามอิหร่านและรัฐอิสราเอล
ซึ่งประเทศสหรัฐอเมริกาให้การสนับสนุนและเข้าร่วมการโจมตีสาธารณรัฐอิสลามอิหร่านด้วยอาจนำไปสู่การขยายตัวของสถานการณ์ดังกล่าวในวงกว้างออกไปโดยไม่สามารถคาดเดาระยะเวลาสิ้นสุดได้อย่างแน่ชัด
และจะส่งผลกระทบต่อการเจรจาของประเทศต่าง ๆ เกี่ยวกับนโยบายกำหนดอัตราภาษีตอบโต้ (Reciprocal Tariff) ของประเทศสหรัฐอเมริกา
ซึ่งล่าสุดได้กำหนดกรอบระยะเวลาผ่อนปรนไว้ ๙๐ วัน และจะครบกำหนดในช่วงต้นเดือนกรกฎาคม
๒๕๖๘ โดยในส่วนของประเทศไทยได้ดำเนินการเจรจาเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวกับประเทศสหรัฐอเมริกาไปแล้ว
อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ความขัดแย้งดังกล่าวย่อมส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศไทย
ทั้งในด้านปริมาณและราคาพลังงาน การเงิน การคมนาคมขนส่ง และการท่องเที่ยว ตลอดจนชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนเป็นอย่างมาก
รวมถึงได้รับผลกระทบจากสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย - กัมพูชาด้วย
จึงขอให้รัฐมนตรีทุกท่านติดตามสถานการณ์ต่าง ๆ ดังกล่าวอย่างใกล้ชิด
พร้อมทั้งเตรียมการและกำหนดมาตรการในการดำเนินการเรื่องต่าง ๆ
ที่เกี่ยวข้องตามหน้าที่และอำนาจ เพื่อรองรับและลดผลกระทบในด้านต่าง ๆ
ที่อาจจะเกิดขึ้นกับประชาชนให้เหลือน้อยที่สุด และขอให้อยู่ใกล้ชิดประชาชน เพื่อสร้างความมั่นใจในการดำเนินการของรัฐบาล
และหากมีปัญหาใด ๆ ก็ให้เร่งรัดดำเนินการแก้ไขปัญหาดังกล่าวให้เสร็จสิ้นโดยเร็ว
และขอย้ำว่าภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ เสถียรภาพของรัฐบาลและความสามัคคีภายในประเทศเป็นสิ่งสำคัญที่สุด
ทั้งนี้
ในสถานการณ์ปัจจุบันมีประเด็นปัญหาที่รัฐบาลให้ความสำคัญและขอมอบหมายการดำเนินการ
ดังนี้ ๑. ปัญหาภัยคุกคามความมั่นคงของชาติ
โดยเฉพาะกรณีอาชญากรรมข้ามชาติ (Transnational Crimes) ซึ่งปรากฏตามรายงานของสำนักงานว่าด้วยยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ
(UNODC) ว่ามีความเชื่อมโยงกับสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย -
กัมพูชา จึงขอมอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (นายภูมิธรรม เวชยชัย)
รับไปบูรณาการการดำเนินงานกับกระทรวงกลาโหม กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
กระทรวงมหาดไทย กระทรวงยุติธรรม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าวตามหน้าที่และอำนาจของหน่วยงาน
โดยขอเน้นย้ำให้ใช้แนวทางสันติวิธี
เพื่อให้สถานการณ์กลับคืนสู่ภาวะปกติและเกิดประโยชน์กับประชาชนทั้งสองฝ่ายโดยเร็ว ๒. ปัญหาความมั่นคงด้านพลังงาน
ขอมอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค) รับไปพิจารณากำหนดมาตรการเตรียมความพร้อมรับมือกับสถานการณ์ด้านพลังงาน
ทั้งในส่วนของการจัดหาพลังงานสำรองและการบรรเทาผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นกับประชาชน
โดยเฉพาะในกรณีที่เกิดภาวะขาดแคลนพลังงานหรือราคาพลังงานปรับตัวสูงขึ้น ๓. ปัญหาเศรษฐกิจและการเงิน
โดยเฉพาะการแก้ไขปัญหาหนี้สินของประชาชน ขอมอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (นายพิชัย
ชุณหวชิร) รับไปหารือร่วมกับหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนที่เกี่ยวข้อง เพื่อกำหนดมาตรการแก้ไขปัญหาดังกล่าวให้เหมาะสม
พร้อมทั้งกำหนดเป้าหมายในการดำเนินงานให้ชัดเจนและเป็นรูปธรรมด้วย ๔. ปัญหาราคาพืชผลทางการเกษตร
ขอมอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (นายพิชัย ชุณหวชิร) รับไปหารือในประเด็นปัญหาดังกล่าวร่วมกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
เพื่อกำหนดมาตรการแก้ไขปัญหาอย่างเร่งด่วน โดยเฉพาะในส่วนของปัญหาราคาข้าวที่จะต้องเร่งสรุปมาตรการเยียวยาและช่วยเหลือเกษตรกรให้แล้วเสร็จโดยเร็ว
และปัญหาการลักลอบนำเข้าสินค้าเกษตรจากประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งส่งผลกระทบให้ราคาที่พืชผลทางการเกษตรในประเทศตกต่ำ
และให้กระทรวงการคลัง (กรมศุลกากร) เร่งประสานกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
กระทรวงพาณิชย์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อสรุปปัญหาอุปสรรคและกำหนดมาตรการในการแก้ไขปัญหาการลักลอบนำเข้าสินค้าเกษตรดังกล่าว
รวมทั้งมาตรการยกระดับราคาพืชผลทางการเกษตรในประเทศ
แล้วให้นำเสนอต่อคณะรัฐมนตรีโดยเร็วในสัปดาห์หน้า ๕. ปัญหายาเสพติด ขอมอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี
(นายภูมิธรรม เวชยชัย) รับผิดชอบเกี่ยวกับการเตรียมการจัดประชุมผู้ว่าราชการจังหวัดและผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดทั่วประเทศในสัปดาห์หน้า เพื่อให้นายกรัฐมนตรีมอบนโยบายและกำชับการดำเนินมาตรการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด
โดยให้กำหนดเป้าหมายในการดำเนินงานให้ชัดเจน เป็นรูปธรรม
และเป็นการขยายผลอย่างต่อเนื่องจากมาตรการ “Seal Stop
Safe” ที่ดำเนินการอยู่แล้ว ๖. ปัญหาการท่องเที่ยว ขอมอบหมายให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งพิจารณาปรับปรุงมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวทั้งในประเทศและจากต่างประเทศให้เหมาะสมและสอดคล้องกับสถานการณ์ในปัจจุบัน
รวมถึงกำหนดมาตรการรักษาความปลอดภัยแก่นักท่องเที่ยวให้ชัดเจน เป็นรูปธรรม และสามารถดำเนินการให้เกิดผลได้อย่างรวดเร็ว
แล้วให้นำมาตรการดังกล่าวข้างต้น เสนอต่อคณะรัฐมนตรีโดยเร็วในสัปดาห์หน้า ๗. การกำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ
ขอมอบหมายให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานเร่งนำ เรื่อง
การกำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ ปี ๒๕๖๘ เสนอต่อคณะรัฐมนตรีโดยเร็วในสัปดาห์หน้า
เพื่อให้สามารถประกาศให้มีผลใช้บังคับได้ทันในช่วงต้นเดือนกรกฎาคม ๒๕๖๘ นี้
|
|||||||||||||||||||||||||||
10 | รายงานผลการดำเนินงานของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ประจำครึ่งหลังของปี พ.ศ. 2567 | กค. | 17/06/2568 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินงานของคณะกรรมการนโยบายการเงิน
(กนง.) ประจำครึ่งหลังของปี พ.ศ. ๒๕๖๗ สรุปได้ ดังนี้ ๑) เป้าหมายนโยบายการเงิน คณะรัฐมนตรีมีมติ
(๒๖ ธันวาคม ๒๕๖๖) อนุมัติให้ใช้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปในช่วงร้อยละ ๑ - ๓
เป็นเป้าหมายนโยบายการเงินด้านเสถียรภาพราคาสำหรับระยะปานกลางและสำหรับปี ๒๕๖๗ ๒)
ภาวะและแนวโน้มเศรษฐกิจ เงินเฟ้อ และเสถียรภาพระบบการเงิน เศรษฐกิจไทยโดยรวมขยายตัว
แต่แตกต่างกัน (ระหว่างภาคเศรษฐกิจ) มากขึ้น อัตราเงินเฟ้อทั่วไปช่วงครึ่งหลังของปี
๒๕๖๗ ปรับเพิ่มขึ้นเล็กน้อย โดย กนง. คาดการณ์ว่าปี ๒๕๖๘ เศรษฐกิจไทยขยายตัวร้อยละ
๒.๙ และอัตราเงินเฟ้อทรงตัวอยู่ใกล้เคียงขอบล่างของเป้าหมาย
ส่วนระบบการเงินโดยรวมในช่วงครึ่งหลังของปี ๒๕๖๗ มีเสถียรภาพแต่ยังเปราะบางในบางจุด
และ ๓) การดำเนินนโยบายการเงิน กนง. ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย จากร้อยละ ๒.๕
เป็นร้อยละ ๒.๒๕ ต่อปี ในเดือนตุลาคม ๒๕๖๗
โดยประเมินว่าเศรษฐกิจมีแนวโน้มขยายตัวใกล้เคียงกับศักยภาพ เงินเฟ้อโน้มเข้าสู่กรอบเป้าหมาย
ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี ๒๕๖๗ ส่วนความเสี่ยงด้านเสถียรภาพระบบการเงินจะลดลงจากกระบวนการปรับลดสัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อรายได้
(Household Debt
Deleveraging) ที่เกิดขึ้นต่อเนื่อง ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||
11 | รายงานประจำครึ่งปี (กรกฎาคม - ธันวาคม 2567) ของธนาคารแห่งประเทศไทย | กค. | 17/06/2568 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานประจำครึ่งปี (กรกฎาคม - ธันวาคม ๒๕๖๗)
ของธนาคารแห่งประเทศไทย สรุปได้ ดังนี้ ๑) ภาวะเศรษฐกิจช่วงครึ่งหลังปี ๒๕๖๗
เศรษฐกิจไทยขยายตัวร้อยละ ๓.๑ เพิ่มขึ้นจากร้อยละ ๒.๐ ในช่วงครึ่งแรก อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ
๐.๘๐ เพิ่มขึ้น จากร้อยละ ๐.๐๐ ในช่วงครึ่งแรก
เสถียรภาพด้านต่างประเทศของไทยอยู่ในเกณฑ์ดี ค่าเงินบาทเฉลี่ยแข็งค่าขึ้น ๒)
นโยบายการเงิน คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายจากร้อยละ
๒.๕ เป็นร้อยละ ๒.๒๕ ต่อปี ในเดือนตุลาคม ๒๕๖๗
โดยประเมินว่าเศรษฐกิจมีแนวโน้มขยายตัวใกล้เคียงกับศักยภาพ
เงินเฟ้อโน้มเข้าสู่กรอบเป้าหมาย ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี ๒๕๖๗
ส่วนความเสี่ยงด้านเสถียรภาพระบบการเงินจะลดลงจากกระบวนการปรับลดสัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อรายได้
(Household Debt
Deleveraging) ที่เกิดขึ้นต่อเนื่อง ๓) นโยบายสถาบันการเงิน คณะกรรมการนโยบายสถาบันการเงิน
(กนส.) คำนึงถึงปัจจัยรอบด้าน ความสมดุลระหว่างการแก้ไขปัญหาระยะสั้น และผลกระทบต่อเสถียรภาพระบบการเงินในระยะยาว
โดยออกมาตรการช่วยเหลือกลุ่มลูกหนี้เปราะบาง และผลักดันให้ภาคการเงินสนับสนุนการปรับตัวเข้าสู่เศรษฐกิจดิจิทัลและการเติบโตอย่างยั่งยืน
และ ๔) นโยบายระบบการชำระเงิน คณะกรรมการระบบการชำระเงิน (กรช.) วางแนวทางดูแลภายใต้หลักการ
Openness (เช่น โครงสร้างพื้นฐานระบบฯ ที่เปิดกว้าง
พัฒนาพร้อมเพย์ให้รองรับการโอนเงินจากต่างประเทศ บูรณาการข้อมูลธุรกรรมการชำระเงิน
กำกับดูแลพร้อมเพย์เพื่อส่งเสริมการแข่งขัน) Inclusivity (เช่น
ส่งเสริมการใช้ Digital Payment ทุกภาคส่วน) และ Resiliency
(เช่น ระบบฯ มีความยืดหยุ่นรองรับความเสี่ยงใหม่
ดูแลความปลอดภัยจากภัยทุจริตทางการเงิน) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||
12 | รายงานภาวะและแนวโน้มเศรษฐกิจไทยประจำไตรมาสที่ 4 ปี 2567 | กค. | 17/06/2568 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานภาวะและแนวโน้มเศรษฐกิจไทยประจำไตรมาสที่ ๔ ปี ๒๕๖๗
สรุปได้ดังนี้ ๑) เศรษฐกิจ เงินเฟ้อ และเสถียรภาพระบบการเงินของไทย โดยอัตราเงินเฟ้อทั่วไปปี
๒๕๖๘ มีแนวโน้มทรงตัวอยู่ในระดับต่ำ เศรษฐกิจขยายตัวแตกต่างกันมากขึ้น
โดยบางภาคเศรษฐกิจ (เช่น ท่องเที่ยว อิเล็กทรอนิกส์) มีแนวโน้มดีขึ้น
และบางภาคเศรษฐกิจ (เช่น ยานยนต์ สินค้าที่ได้รับผลกระทบจากการแข่งขันจากจีน)
มีพัฒนาการแย่ลงเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทยมีความไม่แน่นอนสูงขึ้นจากนโยบายของสหรัฐฯ
สินเชื่อโดยรวมปรับลดลง ๒) ภาวะการเงิน ในไตรมาสที่ ๔ ปี ๒๕๖๗ ค่าเงินบาทเทียบดอลลาร์สหรัฐ เฉลี่ยอยู่ที่ ๓๓.๙๖ แข็งค่าขึ้นจากไตรมาสก่อน
และ ๓) การดำเนินนโยบายการเงินในช่วงไตรมาสที่ ๔ ปี ๒๕๖๗ คณะกรรมการนโยบายการเงิน กนง. ในคราวประชุมเมื่อวันที่ ๑๘ ธันวาคม ๒๕๖๗
คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ร้อยละ ๒.๒๕ ต่อปี ทั้งนี้ กนง. ประเมินว่า
อัตราดอกเบี้ยนโยบายยังควรสอดคล้องกับจุดยืนของนโยบายการเงินที่เป็นกลาง (Broadly Neutral Stance) เศรษฐกิจที่มีแนวโน้มขยายตัวใกล้เคียงกับศักยภาพเงินเฟ้อที่ทยอยเข้าสู่กรอบเป้าหมาย
และการรักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจการเงินในระยะยาว ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||
13 | ขออนุมัติโครงการเช่ารถโดยสารประจำทางปรับอากาศพลังงานสะอาด (EV) ขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ | คค. | 17/06/2568 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑.
อนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๒
(ด้านการต่างประเทศ การคมนาคม การท่องเที่ยว และวัฒนธรรม) ในคราวประชุมครั้งที่
๑/๒๕๖๘ เมื่อวันที่ ๙ มิถุนายน ๒๕๖๘ ดังนี้ ๑.๑
ประเด็นอภิปราย ผู้อำนวยการองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพชี้แจงว่า
โครงการเช่ารถโดยสารประจำทางปรับอากาศพลังงานสะอาด
(EV) ขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพมีวัตถุประสงค์เพื่อจัดหารถโดยสารประจำทางปรับอากาศพลังงานสะอาด
(EV) จำนวน ๑,๕๒๐ คัน
เพื่อทดแทนรถโดยสารเดิมขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพที่มีอายุการใช้งานมากกว่า ๒๐ -
๓๐ ปี และมีปัญหาด้านการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงและมีค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาสูง
ซึ่งการเปลี่ยนมาใช้รถโดยสารประจำทางปรับอากาศพลังงานสะอาด (EV) โดยวิธีการเช่าเป็นระยะเวลา ๗ ปี นอกจากจะช่วยลดค่าใช้จ่ายด้านเชื้อเพลิง
ยังสามารถถ่ายโอนความเสี่ยงด้านการจัดหารถและบำรุงรักษาต่าง ๆ ให้แก่เอกชนได้
รวมทั้งช่วยลดปัญหามลพิษทางอากาศ ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ส่งเสริมให้สภาพแวดล้อมในเมืองดีขึ้น
ทั้งนี้ ในส่วนรถโดยสารใช้เชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติ (NGV)
ที่องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพจัดซื้อมาแล้ว จำนวน ๔๘๙ คัน ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๙ เมษายน ๒๕๕๖ [เรื่อง โครงการจัดซื้อรถโดยสารใช้เชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติ
(NGV) จำนวน ๓,๑๘๓ คัน
เพื่อนำมาให้บริการทดแทนรถโดยสารเดิมที่ใช้น้ำมันดีเซลขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ]
ยังมีสภาพดีและสามารถนำมาใช้งานต่อไปได้
องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพจึงจะยังไม่มีการปลดระวางรถดังกล่าวแต่อย่างใด ๑.๒
คณะกรรมการกลั่นกรองฯ มีข้อสังเกต ดังนี้ ๑.๒.๑
โดยที่ปัจจุบันสภาวะเศรษฐกิจของไทยมีแนวโน้มชะลอตัว ดังนั้น
การเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการของไทยที่มีศักยภาพเข้าร่วมแข่งขันในกระบวนการจัดซื้อจัดจ้าง
และการกำหนดให้ผู้ประกอบการผลิตรถโดยสารประจำทางปรับอากาศพลังงานสะอาด (EV) ใช้วัตถุดิบหรือชิ้นส่วนที่ผลิตในประเทศ (Local
Content) ไม่น้อยกว่าร้อยละ ๔๐ หรือในสัดส่วนที่เหมาะสม
จะช่วยกระตุ้นให้เกิดเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ
และสนับสนุนให้เกิดการพัฒนาของอุตสาหกรรมยานยนต์พลังงานไฟฟ้าของประเทศไทยต่อไป ๑.๒.๒
กระทรวงคมนาคม (องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ) ควรพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องเพื่อให้รถโดยสารประจำทางปรับอากาศพลังงานสะอาด
(EV) ที่จะเช่าเพิ่มเติม จำนวน ๑,๕๒๐ คัน ในครั้งนี้ สามารถรองรับการใช้บัตรโดยสารอิเล็กทรอนิกส์ประเภทอื่น
ๆ นอกจากบัตรโดยสารอิเล็กทรอนิกส์ขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ เช่น บัตรรถไฟฟ้าสายต่าง
ๆ หรือบัตรเรือโดยสาร รวมทั้งรองรับการพัฒนาระบบตั๋วร่วมที่จะดำเนินการในระยะต่อไปด้วย
เพื่อลดภาระให้ผู้ใช้บริการระบบขนส่งสาธารณะไม่ต้องพกบัตรโดยสารอิเล็กทรอนิกส์หลายประเภท ๑.๓ มติคณะกรรมการกลั่นกรองฯ อนุมัติการขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๔ เมษายน ๒๕๕๖ ที่อนุมัติให้องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพดำเนินโครงการจัดซื้อรถโดยสารใช้เชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติ
(NGV) จำนวน ๓,๑๘๓
คัน เพื่อนำมาให้บริการทดแทนรถโดยสารเดิมที่ใช้น้ำมันดีเซล ในวงเงินรวม ๑๓,๑๖๒.๒๐ ล้านบาท และให้องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพดำเนินโครงการเช่ารถโดยสารประจำทางปรับอากาศพลังงานสะอาด
(EV) จำนวน ๑,๕๒๐ คัน ระยะเวลา ๗ ปี
ซึ่งมีความพร้อมในการดำเนินการในขณะนี้ ในกรอบวงเงินลงทุนโครงการ ๑๕,๓๕๕.๖๐ ล้านบาท และให้องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพเป็นผู้บริหารโครงการ
โดยใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๘ - ๒๕๗๕ ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ให้กระทรวงคมนาคม องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
กระทรวงมหาดไทย กระทรวงอุตสาหกรรม และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
(หนังสือสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ด่วนที่สุด ที่ นร ๑๑๐๖/๑๙๕๔
ลงวันที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๖๘) และข้อสังเกตของสำนักงบประมาณ (หนังสือสำนักงบประมาณ
ด่วนที่สุด ที่ นร ๐๗๐๙/๒๓๖๐ ลงวันที่ ๒๗ มกราคม ๒๕๖๘) ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
เช่น กระทรวงคมนาคม เห็นควรให้กระทรวงคมนาคมดำเนินการตามระเบียบและกฎหมายที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด กระทรวงอุตสาหกรรม เห็นว่ารถโดยสารประจำทางปรับอากาศพลังงานสะอาด
(EV) ที่จะเช่า
ควรเป็นรถโดยสารที่ผลิตในประเทศ และใช้ชิ้นส่วนที่ผลิตในประเทศ เช่น แบตเตอรี่
และตัวถังรถยนต์โดยสาร
เพื่อส่งเสริมการลงทุนอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าและชิ้นส่วนภายในประเทศ รวมทั้ง
สนับสนุนการจ้างงาน และการพัฒนาแรงงานฝีมือ เพื่อสร้างความมั่นคงของห่วงโซ่อุปทาน
และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทยให้บรรลุเป้าหมายการเป็นฐานการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าที่สำคัญของภูมิภาค ๑.๔
ให้กระทรวงคมนาคม (องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ)
พิจารณาดำเนินกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างโครงการเช่ารถโดยสารประจำทางปรับอากาศพลังงานสะอาด
(EV) โดยคำนึงถึงประเด็นต่าง ๆ ดังนี้ ๑.๔.๑
ส่งเสริมและเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการของไทยที่มีศักยภาพเข้าร่วมแข่งขันอย่างเป็นธรรม ๑.๔.๒
กำหนดเงื่อนไขให้ผู้ประกอบการผลิตรถโดยสารประจำทางปรับอากากาศพลังงานสะอาด (EV) ใช้วัตถุดิบหรือชิ้นส่วนที่ผลิตในประเทศ (Local
Content) ไม่น้อยกว่าร้อยละ ๔๐ หรือในสัดส่วนที่เหมาะสม ๑.๔.๓
กำหนดเงื่อนไขให้รถโดยสารประจำทางปรับอากาศพลังงานสะอาด (EV) ที่จะเช่าเพิ่มเติม จำนวน ๑,๕๒๐ คัน ในครั้งนี้ สามารถรองรับการใช้บัตรโดยสารอิเล็กทรอนิกส์ประเภทอื่น
ๆ นอกจากบัตรโดยสารอิเล็กทรอนิกส์ขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ เช่น
บัตรรถไฟฟ้าสายต่าง ๆ หรือบัตรเรือโดยสาร
รวมทั้งรองรับการพัฒนาระบบตั๋วร่วมที่จะดำเนินการในระยะต่อไปด้วย ทั้งนี้ จะต้องดำเนินการให้ถูกต้อง
เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||
14 | รายงานผลการดำเนินงานตามนโยบายและแผนยุทธศาสตร์ความมั่นคงด้านวัคซีนแห่งชาติ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 | กวช. | 10/06/2568 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินงานตามนโยบายและแผนยุทธศาสตร์ความมั่นคงด้านวัคซีนแห่งชาติ
ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๖ ภายใต้ยุทธศาสตร์ทั้ง ๔ ด้าน ได้แก่ ยุทธศาสตร์ที่ ๑
การพัฒนาระบบและบริหารจัดการงานสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคให้มีประสิทธิภาพทั้งในภาวะปกติและภาวะฉุกเฉิน
ยุทธศาสตร์ที่ ๒ การส่งเสริม สนับสนุนการวิจัยพัฒนา และอุตสาหกรรมการผลิตวัคซีนอย่างครบวงจร
ยุทธศาสตร์ที่ ๓ การพัฒนาศักยภาพบุคลากรรองรับภารกิจความมั่นคงด้านวัคซีน และยุทธศาสตร์ที่
๔ เสริมสร้างขีดความสามารถขององค์กรภาคีเครือข่ายด้านวัคซีนของประเทศ และมีการกำหนดค่าเป้าหมายจำนวน
๒๗ ค่าเป้าหมาย ซึ่งมีผลการดำเนินงานที่ผ่านค่าเป้าหมายทั้งสิ้น ๑๖ ค่าเป้าหมาย
คิดเป็นร้อยละ ๕๙.๒๖ ของค่าเป้าหมายทั้งหมด ตลอดจนปัญหาอุปสรรค
ซึ่งส่งผลให้การดำเนินงานไม่เป็นไปตามค่าเป้าหมายรายปีตามที่กำหนดไว้ เช่น
การทำงานในลักษณะโครงการที่ต้องใช้ทรัพยากรจากหน่วยงานต่าง
ๆ ทำให้เกิดความล่าช้าในการดำเนินงาน เนื่องจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีภาระงานอื่น
โดยสถาบันวัคซีนแห่งชาติได้เสนอข้อเสนอแนะเพื่อนำไปปรับใช้ในการดำเนินงานครั้งถัดไป
เช่น ควรมีการประชุมติดตามงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อย่างน้อยเดือนละ ๑
ครั้ง ตามที่คณะกรรมการวัคซีนแห่งชาติเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||
15 | สถานการณ์ความไม่สงบบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชาในพื้นที่อำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี | นร. | 04/06/2568 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า ตามที่ได้เกิดสถานการณ์ความไม่สงบบริเวณชายแดนไทย
- กัมพูชา บริเวณช่องบก อำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี เมื่อวันที่ ๒๘ พฤษภาคม
๖๕๖๘ นั้น กระทรวงกลาโหม โดยกองทัพบก
และกระทรวงการต่างประเทศได้ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดและเป็นเอกภาพ
และขอยืนยันว่า รัฐบาลมีความมุ่งมั่นที่จะรักษาอธิปไตยของประเทศไทยอย่างเต็มที่
โดยจะดำเนินมาตรการต่าง ๆ เพื่อคลี่คลายสถานการณ์ภายใต้กรอบกฎหมายและข้อตกลงกับฝ่ายกัมพูชา
(MoU43) อย่างสันติ
และได้เร่งรัดให้มีการเจรจาร่วมกันผ่านกลไกคณะกรรมาธิการจัดทำหลักเขตแดนทางบกร่วมไทย - กัมพูชา (Joint
Boundary Commission : JBC) หรือคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม
โดยเร็ว ซึ่งฝ่ายกัมพูชาจะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมขึ้นในวันที่ ๑๔ มิถุนายน ๒๕๖๘
นี้ เพื่อคลี่คลายสถานการณ์ให้กลับสู่สภาวะปกติโดยเร็วที่สุดและหลีกเลี่ยงการเกิดความสูญเสียหรือความเสียหายที่ไม่จำเป็น
ในการนี้ จึงขอมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการ ดังนี้ ๑. ให้กระทรวงการต่างประเทศเป็นหน่วยงานรับผิดชอบการแถลงข่าวเกี่ยวกับสถานการณ์ความไม่สงบดังกล่าวเป็นระยะ
ๆ อย่างต่อเนื่อง โดยให้ประสานงานและบูรณาการข้อมูลข่าวสารกับกระทรวงกลาโหม
เหล่าทัพ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดและต่อเนื่องด้วย ๒. ให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมร่วมกับเหล่าทัพและหน่วยงานความมั่นคงต่าง
ๆ เร่งดำเนินการติดตามและควบคุมการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารอันเป็นเท็จ (Fake News) เกี่ยวกับสถานการณ์ดังกล่าวข้างต้นผ่านสื่อและช่องทางการสื่อสารต่าง
ๆ อย่างเข้มงวด รวมทั้งขอความร่วมมือจากสื่อมวลชน สื่อสังคมออนไลน์ และภาคส่วนต่าง
ๆ ที่เกี่ยวข้องให้นำเสนอข่าวอย่างเหมาะสมและรอบคอบ
เพื่อไม่ให้เกิดการปลุกเร้าความขัดแย้งให้มีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น ๓. ขอส่งกำลังใจไปยังกำลังพลของกองทัพไทย
โดยเฉพาะทหารซึ่งปฏิบัติหน้าที่ในพื้นที่แนวหน้า และขอให้ปฏิบัติหน้าที่รักษาอธิปไตยของประเทศด้วยความอดทน
อดกลั้น เพื่อความสงบสุขของประชาชนไทยทั้งประเทศ
|
|||||||||||||||||||||||||||
16 | ขอมอบหมายการดำเนินการสืบเนื่องจากการลงพื้นที่ตรวจราชการและสำรวจตลาดผลไม้ของไทยในจังหวัดจันทบุรีของนายกรัฐมนตรี | นร. | 20/05/2568 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า
จากการลงพื้นที่ตรวจราชการในจังหวัดจันทบุรี
ซึ่งเป็นจังหวัดที่ปลูกผลไม้ที่สำคัญของประเทศไทย (เช่น ทุเรียน เงาะ มังคุด)
เมื่อวันที่ ๑๗ พฤษภาคม ๒๕๖๘ และได้รับฟังปัญหาของสินค้าผลไม้ในเรื่องคุณภาพและภาวะผลไม้ล้นตลาด
รวมทั้งอุปสรรคในกระบวนการและขั้นตอนของการส่งออกสินค้าผลไม้ไปยังตลาดต่างประเทศ
จึงขอมอบหมายการดำเนินการ ดังนี้ ๑.
ให้กระทรวงมหาดไทยเร่งรัดติดตามให้ผู้ว่าราชการจังหวัดจันทบุรีจัดการประชุม (workshop) ร่วมกับทุกภาคส่วนภายในจังหวัดทั้งภาครัฐและเอกชนที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการผลิตและส่งออกสินค้าผลไม้ให้ครบทั้งกระบวนการตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ
เพื่อรับฟังปัญหา ความเห็น ข้อเสนอแนะ และแนวทางการดำเนินการ
แล้วนำมาใช้เป็นต้นแบบให้กับจังหวัดอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องต่อไป ทั้งในด้านของการตรวจสอบคุณภาพของสินค้าผลไม้ให้ได้มาตรฐานตามที่กำหนด
รวมทั้งการดำเนินการตามกระบวนการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องอย่างมีประสิทธิภาพด้วย
ซึ่งจะนำไปปรับปรุงแก้ไขกฎหมาย กฎ และระเบียบที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนกำหนดบทลงโทษ
ให้มีความเหมาะสมและชัดเจนมากยิ่งขึ้นต่อไป ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
กระทรวงพาณิชย์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำกับดูแลการดำเนินการตามหน้าที่และอำนาจของเจ้าหน้าที่ในสังกัดที่บังคับใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้องให้เหมาะสม
ถูกต้อง อย่างเคร่งครัด เช่น
การควบคุมสินค้าเกษตรตามมาตรฐานการปฏิบัติทางการเกษตรที่ดี (Good Agriculture Practice :
GAP) รวมทั้งให้เร่งพิจารณาทบทวนและปรับปรุงแก้ไขกฎหมาย ระเบียบ หลักเกณฑ์ต่าง
ๆ ที่ใช้อยู่ในปัจจุบันให้เหมาะสมสอดคล้องกับสภาพการณ์ที่เกิดขึ้นจริง
และให้กำหนดบทลงโทษให้เหมาะสมและชัดเจนด้วย ๓.
ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ร่วมกับกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาความเหมาะสมและเป็นไปได้ในการจัดให้มีห้องปฏิบัติการประจำจังหวัด
(Lab) เพื่อใช้ตรวจสอบคุณภาพของสินค้าผลไม้
โดยเฉพาะในพื้นที่ที่จะมีการส่งออกสินค้าผลไม้ไปยังต่างประเทศมาก ๔.
ให้กระทรวงมหาดไทยร่วมกับกระทรวงแรงงานและหน่วยงานความมั่นคงที่เกี่ยวข้องศึกษาความเหมาะสมและเป็นไปได้ในการออกใบอนุญาตเพื่อให้แรงงานต่างด้าวสามารถทำงานข้ามจังหวัดได้ในช่วงระยะเวลาที่กำหนดตามความจำเป็นในแต่ละกรณี
เช่น ช่วงระยะเวลาที่จังหวัดมีผลิตผลทางการเกษตรออกสู่ตลาดมากและขาดแคลนแรงงานเก็บเกี่ยว
โดยให้กำหนดมาตรการควบคุมและบทลงโทษตามกฎหมายที่เหมาะสมและชัดเจนด้วย ๕.
ให้กระทรวงการต่างประเทศประสานงานกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และกระทรวงพาณิชย์ ในการประสานขอความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของสาธารณรัฐประชาชนจีนในการกำหนดให้มีด่านตรวจสอบคุณภาพสินค้าผลไม้เพียงด่านเดียวจากฝั่งประเทศไทย
รวมทั้งเร่งกำหนดมาตรการร่วมกันเพื่อลดระยะเวลาการตรวจกักสินค้าผลไม้ให้เหลือเพียงไม่เกิน
๗ วัน เพื่อให้สินค้าผลไม้ของไทยออกสู่ตลาดของสาธารณรัฐประชาชนจีนได้ภายในเวลาอันควรและสามารถรักษาคุณภาพมาตรฐานของสินค้าผลไม้ไว้ได้ตลอดจนลดความเสียหายอันอาจเกิดขึ้น
รวมทั้งขอให้พิจารณาจัดหาพื้นที่หรือโกดังสินค้าที่เหมาะสมและมีคุณภาพในการรองรับการเก็บสินค้าผลไม้ของไทยเพื่อให้สามารถรักษาคุณภาพของสินค้าผลไม้ดังกล่าวให้คงอยู่ได้อย่างยาวนานด้วย ๖.
ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ร่วมกับกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมเร่งศึกษานวัตกรรมและเทคโนโลยีต่าง
ๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อจะได้นำมาประยุกต์ใช้เพื่อลดต้นทุนการผลิตสินค้าผลไม้ต่าง ๆ
ของไทย
รวมทั้งพัฒนาสายพันธุ์ของผลไม้ที่เหมาะสมกับประเทศไทยและตรงตามความต้องการของตลาดมากยิ่งขึ้น ๗.
ให้กระทรวงแรงงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งศึกษาความเหมาะสมและเป็นไปได้ในการออกใบรับรองวิชาชีพสำหรับเกษตรกรที่ได้รับการฝึกอบรมและมีประสบการณ์และความชำนาญเพื่อเป็นนักคัดนักตัดทุเรียน
เพื่อให้สามารถควบคุมคุณภาพของการเก็บเกี่ยวผลผลิตทุเรียนให้เป็นไปอย่างถูกต้องตามมาตรฐานและความต้องการของตลาด
|
|||||||||||||||||||||||||||
17 | การบริหารจัดการปริมาณผลไม้ฤดูการผลิตปี 2568 | นร. | 13/05/2568 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า ตามที่ได้รับรายงานจากกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ว่า
ปริมาณผลไม้ของไทยหลายชนิด เช่น ทุเรียน มังคุด มะม่วง ลำไย ในฤดูกาลผลิตปี ๒๕๖๘
นี้ จะมีผลผลิตออกสู่ตลาดมากกว่าหลายปีที่ผ่านมาในอัตราร้อยละ ๑๐ - ๓๐
ซึ่งอาจจะทำให้เกิดปัญหาราคาผลไม้ตกต่ำได้
จึงขอให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งบูรณาการการดำเนินการในเรื่องต่าง
ๆ ที่เกี่ยวข้องเพื่อบริหารจัดการปริมาณผลผลิตให้เหมาะสม
โดยกระจายผลผลิตให้สมดุลกับความต้องการของตลาดทั้งเพื่อการบริโภคภายในประเทศและเพื่อการส่งออกไปยังต่างประเทศเพื่อไม่ให้เกิดภาวะสินค้าล้นตลาดและสามารถรักษาเสถียรภาพด้านราคาของผลผลิตไว้ได้
โดยให้ประสานความร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชนที่เกี่ยวข้อง
เพื่อผลักดันการส่งออกผลไม้ไทยไปยังประเทศที่มีความต้องการผลไม้ไทยให้รวดเร็วและแพร่หลาย
โดยจะต้องตรวจสอบคุณภาพของผลไม้ให้ได้มาตรฐานและมีความปลอดภัยตามข้อกำหนดของประเทศปลายทางอย่างเคร่งครัดด้วย
นอกจากนี้ ให้พิจารณาดำเนินการส่งเสริมให้มีการเพิ่มมูลค่าทางการตลาดของผลไม้ดังกล่าวข้างต้น
เช่น การแปรรูปผลผลิต รวมทั้งการขยายและเพิ่มช่องทางการตลาดในรูปแบบใหม่ ๆ เช่น
การใช้ระบบพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ (e-Commerce) ด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||
18 | การทบทวนแนวทางการดำเนินงานในสภาวการณ์ทางเศรษฐกิจที่ผันผวน | นร. | 06/05/2568 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า สถานการณ์เศรษฐกิจโลกในปัจจุบันอยู่ในภาวะผันผวนอันเนื่องมาจากสงครามการค้าและการประกาศนโยบายการจัดเก็บภาษีศุลกากรตอบโต้
(Reciprocal Tariff) ของประเทศมหาอำนาจ
ซึ่งส่งผลกระทบถึงประเทศต่าง ๆ ที่เป็นคู่ค้าด้วย ทำให้ธนาคารโลกและสถาบันต่าง ๆ
ได้คาดการณ์ว่า การเติบโตทางเศรษฐกิจของโลกและของประเทศไทยจะต่ำกว่าที่ได้เคยคาดการณ์ไว้
โดยสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือ Moody’s (Moody’s
Investors Service) ได้ปรับมุมมองความน่าเชื่อถือของประเทศไทยเป็น Negative
Outlook และผลของปัจจัยเชิงลบต่าง ๆ
จะส่งผลให้รายได้ของประชาชนในภาพรวมลดลง โดยเฉพาะรายได้จากภาคการส่งออกของประเทศที่ต้องพึ่งพาตลาดต่างประเทศ
การจัดเก็บภาษีรายได้ของรัฐจะต่ำกว่าเป้าหมายอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้รวมไปถึงแผนงานและโครงการต่าง
ๆ ของรัฐบาลที่ได้วางแผนไว้จำเป็นต้องพิจารณาทบทวนให้สอดคล้องกับสถานการณ์ดังกล่าวและรายได้ของรัฐที่ลดลง
เช่น การใช้งบประมาณรายจ่ายงบกลางประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๘
ค่าใช้จ่ายเพื่อการกระตุ้นเศรษฐกิจและสร้างความเข้มแข็งของระบบเศรษฐกิจ
การดำเนินแผนงาน/โครงการในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๙
รวมทั้งจะต้องเร่งปรับเปลี่ยนโครงสร้างทางเศรษฐกิจ โดยให้ความสำคัญกับการสร้างการเติบโตของเศรษฐกิจในประเทศ
(Domestic Economy) ให้มากขึ้น เน้นการลงทุน
และสร้างความเข้มแข็งให้กับเศรษฐกิจฐานรากและผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม
(Small and Medium Enterprises : SMEs) เพื่อให้ประเทศสามารถรับมือกับความผันผวนของเศรษฐกิจโลกได้อย่างเข้มแข็งต่อไป
อย่างไรก็ตาม ขอเน้นย้ำกับทุกท่านว่า “ท่ามกลางวิกฤตย่อมมีโอกาส”
และขอให้เชื่อมั่นว่าเราจะสามารถฟันฝ่าวิกฤตเศรษฐกิจในครั้งนี้ไปได้ด้วย “ความสามัคคีของทุกคนในประเทศ”
ดังนั้น จึงขอมอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (นายพิชัย ชุณหวชิร)
และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังรับเรื่องนี้ไปพิจารณารายละเอียดในคณะกรรมการนโยบายโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจให้ชัดเจน
แล้วนำเสนอต่อคณะรัฐมนตรีโดยเร็วต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
19 | ขอผ่อนผันการใช้ประโยชน์พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 บี เพื่อทำเหมืองแร่ของบริษัท ศิลาสัมพันธ์ จำกัด ที่จังหวัดพัทลุง | อก. | 22/04/2568 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติผ่อนผันให้บริษัท
ศิลาสัมพันธ์ จำกัด ใช้ประโยชน์พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ ๑ บี เพื่อทำเหมืองแร่ ตามคำขอประทานบัตรที่
๑/๒๕๕๙ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๗ พฤศจิกายน ๒๕๓๒ (เรื่อง
มติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ เรื่อง การกำหนดชั้นคุณภาพลุ่มน้ำภาคใต้
และข้อเสนอแนะมาตรการการใช้ที่ดินในเขตลุ่มน้ำ) และวันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๕๓๓ (เรื่อง
การอนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในพื้นที่ป่าไม้) ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ ให้กระทรวงอุตสาหกรรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงสาธารณสุข
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
เช่น กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เห็นควรมีการตรวจสอบ
กำกับ และติดตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมอย่างเคร่งครัดตามรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมด้านเหมืองแร่
พร้อมทั้งคำนึงถึงความสามารถในการควบคุมแหล่งกำเนิดมลพิษอันเนื่องมาจากการทำเหมืองแร่หินหรือกิจการที่ก่อให้เกิดมลพิษ
และควรจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนหรือผู้มีส่วนได้ส่วนเสียที่เกี่ยวข้อง
ให้เข้ามามีส่วนร่วมในการแสดงผลกระทบและความรุนแรงที่อาจเกิดขึ้นภายหลังจากการทำเหมืองแร่ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
เห็นว่ากรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
ควรดำเนินการติดตามตรวจสอบพื้นที่คำขอประทานบัตรทั้งก่อน ระหว่าง และหลังการดำเนินโครงการเหมืองแร่ดังกล่าว
เพื่อตรวจสอบสภาพพื้นที่คำขอประทานบัตรว่ามีสภาพแวดล้อมและการใช้ประโยชน์พื้นที่เปลี่ยนแปลงไปจากรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมหรือไม่
และเพื่อป้องกันมลภาวะที่อาจส่งผลกระทบต่อพื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ ๑ บี ที่อยู่รอบบริเวณของพื้นที่โครงการ |
|||||||||||||||||||||||||||
20 | ภาวะสังคมไทยไตรมาสสี่และภาพรวม ปี 2567 | นร.11 สศช | 22/04/2568 | ||||||||||||||||||||||||
|