ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 85 จากทั้งหมด 155 หน้า แสดงรายการที่ 1681 - 1700 จากข้อมูลทั้งหมด 3089 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
1681 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "การพัฒนาท่าเรือน้ำลึกปากบารา" | สสป | 15/10/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "การพัฒนาท่าเรือน้ำลึกปากบารา" และรับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของกระทรวงคมนาคมร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กรมเจ้าท่า กรมทางหลวง กรมทางหลวงชนบท สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร การรถไฟแห่งประเทศไทย การท่าเรือแห่งประเทศไทย การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ โดยในส่วนความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษา สรุปได้ ดังนี้
๑. แต่งตั้งหน่วยงานให้ทำหน้าที่หลักในการกำหนดทิศทางการพัฒนาโครงการก่อสร้างท่าเรือน้ำลึกปากบาราให้ชัดเจนว่าจะดำเนินโครงการต่อไปอย่างไร และจะมีโครงการเกี่ยวเนื่องอะไรที่เป็นข้อกังวลของภาคประชาชน ๒. มอบให้หน่วยงานที่มีหน้าที่ในการกำหนดทิศทาง นโยบาย ยุทธศาสตร์ในการพัฒนาประเทศ เช่น สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เป็นหน่วยงานในการกำหนดทิศทาง ยุทธศาสตร์ แผนพัฒนาโครงการขนาดใหญ่ของรัฐในภาคใต้ให้ชัดเจน โดยเปิดโอกาสให้ภาคประชาชน ผู้เกี่ยวข้อง นักวิชาการ มีส่วนร่วมตั้งแต่เริ่มจนแล้วเสร็จ ๓. จัดตั้งคณะกรรมการสื่อสารประชาสัมพันธ์ข้อมูลการพัฒนาพื้นที่ภาคใต้ขึ้น โดยมีหน้าที่ในการสื่อสารประชาสัมพันธ์ข้อมูลแนวนโยบายของรัฐ แนวทางและแผนการพัฒนาพื้นที่ภาคใต้ทั้งหมดของหน่วยราชการทุกหน่วย โดยจะต้องสื่อสารและประชาสัมพันธ์ข้อมูลตามความเป็นจริงทั้งในด้านบวกและลบ และอยู่บนหลักการที่ถูกต้องอย่างจริงใจ ทั้งนี้ คณะกรรมการควรประกอบด้วยหน่วยงานที่สามารถประสานกระทรวงต่าง ๆ ที่มีโครงการพัฒนาพื้นที่ภาคใต้ คือ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เป็นหน่วยงานหลักในการทำหน้าที่นี้และหน่วยงานราชการอื่นที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนภาคเอกชน และภาคประชาชนเข้าร่วมด้วย และควรมีรองนายกรัฐมนตรีเป็นประธานเหมือนกับคณะกรรมการพัฒนาพื้นที่ชายฝั่งทะเลตะวันออก (Eastern Seaboard) ที่ประสบความสำเร็จมาแล้ว ๔. เปิดโอกาสให้ภาคประชาชนผู้มีส่วนได้เสีย ในพื้นที่โดยรอบซึ่งเป็นที่ตั้งของท่าเรือน้ำลึกปากบาราให้เข้ามามีส่วนร่วม ตั้งแต่เริ่มต้นจนสามารถเปิดดำเนินการให้บริการแล้วอย่างเต็มที่ โดยกำหนดให้มีกลไกการมีส่วนร่วมของประชาชนในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมให้ชัดเจน โดยใช้แนวทางการประเมินสิ่งแวดล้อมระดับยุทธศาสตร์ (Strategic Environmental Assessment : SEA) ๕. โครงการก่อสร้างท่าเรือน้ำลึกปากบารา ระยะที่ ๑ ที่ได้รับความเห็นชอบรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (Environmental Impact Assessment : EIA) ไปแล้วนั้น สมควรที่จะต้องมีการจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม สำหรับโครงการหรือกิจการที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อชุมชนอย่างรุนแรง ทั้งทางด้านคุณภาพสิ่งแวดล้อม ทรัพยากรธรรมชาติและสุขภาพ (Environmental and Health Impact Assessment : EHIA) ตามกฎหมายใหม่ ๖. ให้กำหนดระยะการพัฒนาในภาพรวมให้ชัดเจน พร้อมทั้งระบุระยะการพัฒนาในแต่ละเฟสให้ชัดเจนด้วย โดยให้พัฒนาในเฟสแรกก่อน และเมื่อมีความจำเป็นต้องพัฒนาในระยะต่อไป ให้ประเมินความพร้อมและความคุ้มค่า รวมทั้งจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมตามกฎหมายก่อน ๗. ต้องมีการบูรณาการระบบการคมนาคมขนส่งเชื่อมโยงพื้นที่ของภาคต่าง ๆ กับท่าเรือน้ำลึกปากบาราอย่างชัดเจน มีมาตรการรองรับและสนับสนุนทั้งโครงสร้างพื้นฐาน สาธารณูปโภคต่าง ๆ ที่จำเป็น รวมถึงกฎหมาย ระเบียบที่เอื้อต่อการลงทุน และการดำเนินโครงการมีมาตรการชดเชย เยียวยา การอุดหนุนต่าง ๆ เพื่อผลักดันการเปลี่ยนโหมดการขนส่งมาใช้ท่าเรือน้ำลึกปากบารา ๘. ต้องมีหลักประกันให้แก่ชุมชนที่ได้รับผลกระทบจากการก่อสร้างท่าเรือน้ำลึกปากบาราเป็นลำดับแรกด้วยการจัดหาพื้นที่รองรับการย้ายถิ่นฐานของชุมชน มีการพัฒนาที่ดิน พัฒนาอาชีพ มีระบบโครงสร้างพื้นฐาน สาธารณูปโภค-สาธารณูปการ การสาธารณสุข การศึกษา อย่างต่อเนื่องเป็นธรรมและมีส่วนร่วมของประชาชน ๙. การพัฒนาท่าเรือน้ำลึกปากบารา ให้คำนึงถึงการใช้เทคโนโลยีที่มีความทันสมัยและประสิทธิภาพสูง รวมทั้งระบบการบริหารท่าเรือสมัยใหม่ที่มีประสิทธิภาพในระดับสากล โดยปฏิบัติตามแผนปฏิบัติการด้านสิ่งแวดล้อม (Environmental Impact Mitigation Plan : EIMP) และอื่น ๆ ที่เสนอในรายงาน EIA และหรือรายงาน EHIA อย่างเคร่งครัด ๑๐. ต้องมีมาตรการจูงใจส่งเสริมสนับสนุนให้มีการใช้ประโยชน์จากท่าเทียบเรือน้ำลึกปากบาราอย่างเต็มศักยภาพ ส่งเสริมให้มีปริมาณสินค้าที่มากพอที่เรือทางยุโรปจะเข้าเทียบท่า รวมทั้งมีมาตรการส่งเสริมการใช้ท่าเรือ เช่น การคิดค่าธรรมเนียมการใช้ท่าเรือที่ต่ำกว่าท่าเรือใกล้เคียง การให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีแก่สินค้าที่ใช้ท่าเรือน้ำลึกปากบารา เป็นต้น ๑๑. ให้ความสำคัญกับท่าเรือน้ำลึกปากบาราในด้านความมั่นคงของชาติด้วย
|
||||||||||||||||||||||||
1682 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "การจัดการขยะมูลฝอยอย่างยั่งยืน กรณีองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น" | สสป | 15/10/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "การจัดการขยะมูลฝอยอย่างยั่งยืน กรณีองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น" และรับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของกระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กระทรวงพลังงาน กระทรวงอุตสาหกรรม กรุงเทพมหานคร และสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ โดยในส่วนความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ สรุปได้ ดังนี้
๑. ด้านการจัดการฐานข้อมูล ได้แก่ ส่งเสริมการจัดทำฐานข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับปริมาณ ประเภท และชนิดของขยะมูลฝอย รวมถึงการส่งผ่านข้อมูลที่เป็นปัจจุบันไปยังประชาชนในท้องถิ่นเพื่อให้ได้รับทราบและตรวจสอบข้อมูลการจัดการขยะมูลฝอยในชุมชนของตนเอง และร่วมมือลดปริมาณ จำนวน และประเภทขยะมูลฝอยทุกชนิดจนให้เหลือน้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ ๒. ด้านมาตรการทางกฎหมาย ได้แก่ ส่งเสริมให้ท้องถิ่นออกเป็นข้อบัญญัติของเทศบาลหรือมาตรการการจัดการขยะมูลฝอยที่สอดคล้องกับสภาพทางเศรษฐกิจและสังคมของชุมชน รวมถึงให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการติดตามและการบังคับใช้ข้อบัญญัติดังกล่าวอย่างเคร่งครัด ส่งเสริมให้ภาครัฐร่วมลงทุนกับภาคเอกชนในการบริหารขยะมูลฝอยอย่างครบวงจรทั้งระบบ และจัดการขยะอันตราย รวมทั้งรัฐควรอำนวยความสะดวกด้วยการปรับปรุง แก้ไขกฎหมาย และกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องให้เอกชนดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพตามหลักการบริหารจัดการอย่างมีธรรมาภิบาล ๓. ด้านงบประมาณและบุคลากร ได้แก่ สนับสนุนหรืออุดหนุนงบประมาณแก่ท้องถิ่นที่มีรายได้ไม่เพียงพอในการจัดการขยะมูลฝอยให้สามารถดำเนินการเดินระบบการจัดการในเบื้องต้นได้ตามความเหมาะสมกับสภาพจริงของท้องถิ่นนั้น ๆ และสนับสนุนให้มีบุคลากรสำหรับดำเนินการจัดการขยะมูลฝอยอย่างเพียงพอ และต้องกำหนดค่าตอบแทนที่ครอบคลุมทั้งเงินเดือนและสวัสดิการในอัตราที่สามารถดำรงชีพได้อย่างไม่ขัดสน ๔. ด้านการมีส่วนร่วมของประชาชน ได้แก่ ส่งเสริมและสนับสนุนปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของประชาชนในการจัดการขยะมูลฝอยตั้งแต่ระดับครอบครัว จนถึงสังคมเมืองขนาดใหญ่ให้มีความตระหนักในการลด และคัดแยกขยะมูลฝอยนำกลับมาใช้ใหม่ รวมทั้งส่งเสริมให้ร่วมรับผิดชอบในการจ่ายค่าจัดการขยะมูลฝอยในอัตราที่เหมาะสมและสอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจของท้องถิ่น ๕. ด้านการใช้เทคโนโลยีจัดการขยะมูลฝอย ได้แก่ สนับสนุนให้มีการบริหารจัดการขยะมูลฝอยแบบรวมกลุ่ม เพื่อให้มีต้นทุนในการดำเนินงานด้วยการใช้เครื่องมือและเครื่องจักรกลเพียงพอ ดังที่มีการดำเนินการไปแล้วในบางพื้นที่ เพื่อให้เหมาะสมกับปริมาณขยะมูลฝอยที่เกิดขึ้น
|
||||||||||||||||||||||||
1683 | รายงานประจำปี 2555 ของกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ | สสส. | 08/10/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบรายงานประจำปี ๒๕๕๕ ของกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ประธานกรรมการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ การบริหารงบประมาณในปีงบประมาณ ๒๕๕๕ กองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ใช้จ่ายงบประมาณเพื่อสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพรวม ๓,๕๓๑ ล้านบาท และมีการเบิกจ่ายเพื่อสนับสนุนโครงการใหม่ และโครงการต่อเนื่อง จำนวน ๓,๒๒๔ ล้านบาท ๑.๒ ผลงานเด่นประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๕ ได้แก่ ขยายต้นแบบสถานประกอบการปลอดบุหรี่ ระดมความร่วมมือขยายพื้นที่วัฒนธรรมปลอดเหล้า ความร่วมมือทุกภาคส่วนเพื่อความปลอดภัยทางถนน ขับเคลื่อนมาตรการเพื่อคนไทยปลอดภัยจากแร่ใยหิน สร้างคุณค่าผู้พิการทางสายตาเป็นผู้ประกอบโรคศิลปะด้านการนวดไทย ร่วมคิดร่วมสร้างจังหวัดอุบลราชธานีเป็นเมืองต้นแบบส่งเสริมการเรียนรู้เพื่อเด็กและเยาวชน เพิ่มพื้นที่สุขภาวะและพื้นที่สร้างสรรค์เพื่อคุณภาพชีวิตคนไทย สร้างสุขภาวะในวัด เสริมสุขภาพที่ดีของพระสงฆ์ สร้างแรงจูงใจใหม่ เพิ่มจำนวนคนไทยออกกำลังกาย ฟื้นฟูชุมชนทั่วไทย และเตรียมพร้อมรับมือภัยพิบัติ จุดกระแสสวดมนต์ข้ามปี สร้างค่านิยมเริ่มต้นปีใหม่คนไทย ๑.๓ สำนักงานตรวจเงินแผ่นดินได้ตรวจสอบงบแสดงฐานะการเงิน ณ วันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๕ และ ๒๕๕๔ งบรายได้และค่าใช้จ่าย และงบกระแสเงินสดสำหรับปีสิ้นสุดวันเดียวกันของแต่ละปีของ สสส. แล้วเห็นว่า รายงานการเงินแสดงฐานะการเงิน ณ วันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๕ และ ๒๕๕๔ ผลการดำเนินงานและกระแสเงินสด สำหรับปีสิ้นสุดวันเดียวของแต่ปีของ สสส. ถูกต้องตามที่ควรในสาระสำคัญตามหลักการบัญชีที่กระทรวงการคลังกำหนด ๒. ให้ สสส. รับความเห็นและข้อเสนอแนะของกระทรวงการคลัง สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ คณะกรรมการประเมินผลการดำเนินงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ และคณะอนุกรรมการกำกับดูแลการตรวจสอบภายใน ที่เห็นว่า สสส. ควรกำหนดตัวชี้วัดผลการดำเนินงานที่เป็นรูปธรรม และนำข้อเสนอแนะในประเด็นต่าง ๆ ของคณะกรรมการประเมินผลฯ ไปดำเนินการปรับปรุงการดำเนินงานของ สสส. รวมทั้งควรให้มีการจัดทำแผนลดโรคไม่ติดต่อเรื้อรังร่วมกันระหว่าง สสส. กระทรวงสาธารณสุข และสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ และเห็นควรพิจารณาประสิทธิภาพและประสิทธิผลของมาตรการ แนวทางการจัดสรรและบริหารจัดการงบประมาณที่มุ่งเน้นผลสัมฤทธิ์ในการดำเนินงานสำหรับลดปัจจัยเสี่ยงและสร้างเสริมสุขภาพ เพื่อความคุ้มค่าของการลงทุนในระยะต่อไป ตลอดจนควรมีการทบทวนระบบการควบคุมภายใน และการบริหารความเสี่ยงอย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่อง เพื่อให้เกิดการพัฒนาองค์กรอย่างยั่งยืน เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๓. ให้กระทรวงสาธารณสุขและสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติในเรื่องการเน้นการควบคุม/ป้องกันและรับช่วงต่อในการดูแลรักษาผู้ป่วยเรื้อรังอย่างต่อเนื่องไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||||||||
1684 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "แนวทางการแก้ไขปัญหาเรื่องข้าวอย่างยั่งยืน" | สสป | 08/10/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "แนวทางการแก้ไขปัญหาเรื่องข้าวอย่างยั่งยืน"และรับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี สมาคมที่เกี่ยวข้องกับข้าว และสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ โดยในส่วนความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ สรุปได้ ดังนี้
๑. ด้านการผลิต ๑.๑ การบริหารจัดการพื้นที่ปลูกข้าว ได้แก่ การจัดพื้นที่การทำนาให้เพียงพอ เร่งผลักดันการออกโฉนดชุมชน การจัดโซนนิ่ง (Zoning) กำหนดเขตพื้นที่เพาะปลูกตามความเหมาะสม วิจัยและพัฒนาปัจจัยการผลิตที่สำคัญ ใช้เทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศในการจัดทำข้อมูลการเพาะปลูกข้าว ๑.๒ การจัดการต้นทุนการผลิต ได้แก่ ลดการใช้ปุ๋ยและสารเคมี การเพิ่มผลผลิตต่อไร่ การลดต้นทุนการขนส่ง ถ่ายทอดความรู้และประสบการณ์เพื่อลดต้นทุนการผลิต สนับสนุนและส่งเสริมศูนย์พันธุ์ข้าวชุมชน ส่งเสริมและสนับสนุนให้แรงจูงใจในการทำเกษตรอินทรีย์ ส่งเสริมการวิจัยและพัฒนาเครื่องมือและอุปกรณ์ทางการเกษตร เพื่อนำมาใช้ให้เป็นประโยชน์อย่างเป็นรูปธรรม ส่งเสริมให้ชุมชนใช้ระบบสหกรณ์และระบบวิสาหกิจชุมชน โดยมีรัฐเป็นผู้ให้คำชี้แนะและช่วยผลักดัน ส่งเสริมระบบสหกรณ์อย่างจริงจัง ส่งเสริมให้ใช้ปัจจัยการผลิตร่วมกัน ทั้งในด้านเครื่องจักรกล แรงงาน และส่งเสริมการรวมที่ดินโดยรวมกลุ่มเกษตรกรทำนาร่วมกัน ๓,๐๐๐-๕,๐๐๐ ไร่ ส่งเสริมระบบการออมเพื่อเป็นหลักประกันและสวัสดิการเกษตรกร และการวางแผนการผลิต ๑.๓ การจัดการพันธุ์ข้าวปลูก ได้แก่ ส่งเสริมให้มีการวิจัยพันธุ์ข้าวที่มีคุณภาพ ปรังปรุงพันธุ์ข้าวการค้าให้ตอบสนองปุ๋ยอินทรีย์ ปรับปรุงพันธุ์ข้าวให้เหมาะสมกับพื้นที่ ตลาด และฤดูกาล จดสิทธิบัตรพันธุ์ข้าวเพื่อคุ้มครองความหลากหลายทางชีวภาพ และแหล่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ รวมถึงการผลักดันให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการจดสิทธิบัตรพันธุ์พืช และความหลากหลายทางชีวภาพในภูมิภาคอาเซียน โดยให้เป็นที่ยอมรับของสากล รวมทั้งแก้ไขพระราชบัญญัติค้าข้าวให้ครอบคลุมถึงผู้ผลิตและผู้จำหน่ายเมล็ดพันธุ์ข้าว ๒. ด้านการตลาด ๒.๑ การยกระดับคุณภาพข้าวไทยให้ตรงตามความต้องการของตลาด ได้แก่ วิเคราะห์จุดเด่นของข้าวแต่ละพันธุ์ ทั้งลักษณะทางภายภาพ (Physical) และทางเคมี (Chemical) สร้างมาตรฐานวิธีการตรวจสอบคุณภาพข้าวที่เป็นมาตรฐานเดียวกัน สร้างมาตรฐานการจัดลำดับชั้นคุณภาพข้าวเปลือกไม่ปลอมปนพันธุ์ข้าว คัดแยกคุณภาพข้าวตามเกรด ให้มีการควบคุมการแปรรูปจากข้าวเปลือกเป็นข้าวสารต้องแยกตามสายพันธุ์ สร้างตราสินค้าข้าวไทยโดยเริ่มต้นจากการควบคุมกระบวนการผลิตในพื้นที่ให้ได้คุณภาพมาตรฐาน ทำข้อตกลงการซื้อขายล่วงหน้าร่วมระหว่างโรงสีกับเกษตรกรในพื้นที่ ๒.๒ ส่งเสริมและสร้างเอกลักษณ์ข้าว ได้แก่ สร้างเอกลักษณ์ข้าวไทย โดยร้อยเรียงเรื่องเล่าที่มีต่อเนื่องกันมาเป็นประวัติศาสตร์พันธุ์ข้าว กระบวนการผลิต และการแปรรูป ให้เป็นเอกลักษณ์ เพื่อเพิ่มมูลค่าของข้าวไทย จำแนกประเภทข้าว ตามคุณสมบัติทั้งทางกายภาพ ทางเคมี คุณประโยชน์ทางโภชนาการ และเพิ่มข้อมูลเปรียบเทียบมูลค่าเพิ่มระหว่างข้าวที่ผลิตในระบบปกติ กับข้าวที่แปรรูปในลักษณะพิเศษโดยนำราคาขายของข้าวแต่ละประเภทมาเปรียบเทียบ ๒.๓ กลไกการตลาด ได้แก่ วิเคราะห์หาปริมาณความต้องการของผู้บริโภคภายในประเทศ และต่างประเทศ แยกความแตกต่างทางการตลาดของข้าวสาร ชนิดต่าง ๆ ตามประเภทของตลาด ทั้งในด้านปริมาณและคุณภาพที่มีผลต่อสถานการณ์ โดยให้กระทรวงพาณิชย์เป็นเจ้าภาพ ขายข้าวตามคุณภาพในระดับราคาที่ต่างกัน ทั้งตลาดภายในประเทศและต่างประเทศ เชื่อมโยงเมนูอาหารไทยต้องมีวัตถุดิบจากข้าวไทย เพิ่มช่องทางการจำหน่ายข้าวนอกเหนือจากในรูปวัตถุดิบ สร้างมูลค่าเพิ่มด้วยการแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ชนิดต่าง ๆ และให้ความสำคัญในการรวมกลุ่มประเทศผู้ผลิตและผู้ค้าข้าวในภูมิภาค ๓. การบริหารจัดการโครงสร้างการแบ่งปันรายได้ ได้แก่ ๓.๑ จัดโครงสร้างการแบ่งปันรายได้โดยมีระบบการจัดสรรผลประโยชน์อย่างเหมาะสมและเป็นธรรมแก่ทุกฝ่าย ตั้งแต่เกษตรกรผู้ปลูกข้าวในกระบวนการผลิต ไปสู่โรงสีในกระบวนการรวบรวมผลผลิตและการแปรรูปซึ่งนับเป็นกลางน้ำ ไปจนถึงผู้ส่งออกและผู้บริโภค โดยคำนึงถึงระบบห่วงโซ่การผลิต (Supply chain) และระบบห่วงโซ่คุณค่า (Value chain) โดยอาจมีการกำหนดสัดส่วนรายได้ตามข้อตกลงของทุกฝ่ายที่เหมาะสม ๓.๒ การแปรรูป ภายใต้แนวคิด เกษตรกรเป็นเจ้าของผลผลิตตั้งแต่ต้น จนถึงมือผู้บริโภค และกระบวนการผลิตสินค้าเป็นการลงทุนร่วมกันของระบบ ผลตอบแทนที่ได้เป็นของระบบที่ต้องมาจัดสรรแบ่งกันด้วยความเป็นธรรม โดยคำนึงถึงต้นทุนในการผลิตทุกขั้นตอน ๓.๓ ส่งเสริมสนับสนุนการขับเคลื่อนภารกิจตามข้อ ๓.๑ โดยใช้วิสาหกิจหรือระบบสหกรณ์เพื่อขับเคลื่อนให้องค์กรของเกษตรกรมีความเข้มแข็งอย่างยั่งยืน ๓.๔ ควรพิจารณาให้ข้าวสารสำหรับบริโภคภายในประเทศเป็นสินค้าควบคุมราคา
|
||||||||||||||||||||||||
1685 | รายงานผลการจัดงานเสวนา "กระทรวงอุตสาหกรรมพบนักลงทุน - หนุนการสร้างงาน" พื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ | อก | 08/10/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมรายงานผลการจัดงานเสวนา “กระทรวงอุตสาหกรรมพบนักลงทุน-หนุนการสร้างงาน” ของพื้นที่ ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งจัดขึ้นเมื่อวันที่ ๒๒ กันยายน ๒๕๕๖ ณ โรงแรม ซี เอส จังหวัดปัตตานี โดยมีผู้เข้าร่วมทั้งผู้ประกอบการในพื้นที่ ๓ จังหวัด (จังหวัดปัตตานี ยะลา และนราธิวาส) และนอกพื้นที่ (จังหวัดสงขลาและสตูล) ประมาณ ๕๐๐ คน รวมทั้งกงสุลมาเลเซียประจำจังหวัดสงขลาได้เข้าร่วมการเสวนาในครั้งนี้ด้วย สรุปผลการจัดงานเสวนาฯ ดังนี้
๑. ผู้บริหารระดับสูงทุกหน่วยงานในสังกัดกระทรวงอุตสาหกรรมได้ร่วมกันให้ข้อมูลประเภทอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพสูงสำหรับนักลงทุน นำเสนอสิทธิประโยชน์พิเศษ และโครงการเสริมสร้างความสามารถในการแข่งขันต่าง ๆ สำหรับผู้ประกอบการที่จะลงทุนในพื้นที่ให้ได้รับทราบและเข้าใจ ๒. กระทรวงอุตสาหกรรมรับทราบปัญหาอุปสรรคและข้อเสนอแนะจากสภาอุตสาหกรรมจังหวัดปัตตานีและสตูล หอการค้าจังหวัดปัตตานี ตลอดจนผู้ประกอบการจังหวัดปัตตานี ยะลา และนราธิวาส ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อการส่งเสริมการลงทุนและการประกอบการอุตสาหกรรมในทุกมิติ โดยมีประเด็นที่สำคัญ ได้แก่ ๒.๑ มาตรการส่งเสริมการลงทุนใหม่สำหรับ ๔ จังหวัดภาคใต้ (จังหวัดปัตตานี ยะลา นราธิวาส และสตูล) และ ๔ อำเภอในจังหวัดสงขลา (อำเภอจะนะ นาทวี สะบ้าย้อย และเทพา) ซึ่งให้สิทธิประโยชน์เท่าเทียมกัน จึงทำให้ผู้ประกอบการหันมาลงทุนในจังหวัดสตูลและ ๔ อำเภอของจังหวัดสงขลาแทนที่จะลงทุนในจังหวัดปัตตานี ยะลา และนราธิวาส ๒.๒ ขอรับการสนับสนุนจากรัฐให้สร้างโรงงานแปรรูปผลิตผลทางการเกษตรเป็นโรงงานต้นแบบ (เนื่องจากไม่มีเอกชนลงทุน) เช่น โรงหีบน้ำมันปาล์มในจังหวัดนราธิวาส ๒.๓ โครงการที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุนเมื่อครบกำหนดการยกเว้นภาษีเงินได้แล้ว ขอให้สามารถนำเงินภาษีที่ต้องชำระ (เช่น ปีที่ ๙ หลังจากครบกำหนด ๘ ปี) มาลงทุนเพิ่มได้ ๒.๔ การช่วยเหลือผู้ประกอบการเดิมซึ่งได้รับผลกระทบจากการปรับค่าแรงขั้นต่ำในสภาวะที่เศรษฐกิจชะลอตัวให้อยู่รอดได้ ซึ่งกระทรวงอุตสาหกรรมมีโครงการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันแล้วหลายโครงการ เช่น สนับสนุนการพัฒนาการแปรรูปอาหาร-บรรจุภัณฑ์/ออกแบบแฟชั่นมุสลิม/อุดหนุนดอกเบี้ยเงินกู้ในการเปลี่ยนเครื่องจักร/ผู้ประกอบการสามารถรวมกลุ่มขอรับเงินอุดหนุนจากสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม เป็นต้น ๓. ประเด็นที่ผู้ประกอบการร้องขอ ได้แก่ การจัดตั้งศูนย์ส่งเสริมการลงทุนในพื้นที่แบบครบวงจร (One stop service) การเข้าถึงแหล่งเงินทุนของผู้ประกอบการใน ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นไปอย่างยากลำบาก โครงการในพื้นที่มักไม่ได้รับการอนุมัติ การขออนุญาตตั้งโรงงานในกรณีขัดผังเมืองรวม การสนับสนุนการตลาด การแสดงสินค้า โดยเฉพาะตลาดเพื่อส่งออกต่างประเทศและการค้าชายแดน รวมทั้งการขอปะการังเทียมเพิ่มเติมเพื่อเพิ่มปริมาณสัตว์น้ำเป็นวัตถุดิบสำหรับโรงงานแปรรูปอาหาร ๔. กงสุลใหญ่มาเลเซียประจำจังหวัดสงขลาได้เสนอให้เพิ่มการประชาสัมพันธ์รายละเอียดเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์ในพื้นที่ ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้และความร่วมมือระหว่างไทยและมาเลเซียเผยแพร่ให้นักธุรกิจมาเลเซียได้รับทราบ
|
||||||||||||||||||||||||
1686 | รายงานผลการตรวจสอบและประเมินผลภาคราชการ และรายงานผลการประเมินตนเองของคณะกรรมการตรวจสอบและประเมินผลภาคราชการคณะต่างๆ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2555 | นร12 | 01/10/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและเห็นชอบตามมติคณะกรรมการตรวจสอบและประเมินผลภาคราชการ (ค.ต.ป.) ในการประชุมครั้งที่ ๒/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๕๕๖ ตามที่ ค.ต.ป. เสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบรายงานผลการตรวจสอบและประเมินผลภาคราชการ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ของ ค.ต.ป. ประจำกระทรวง คณะอนุกรรมการตรวจสอบและประเมินผลภาคราชการ (อ.ค.ต.ป.) กลุ่มกระทรวง และ อ.ค.ต.ป. กลุ่มจังหวัด ที่ได้ดำเนินการสอบทานผลการปฏิบัติงานของส่วนราชการและจังหวัด โดยมีสรุปภาพรวมจากรายงานข้อค้นพบของส่วนราชการและจังหวัดตามประเด็นการตรวจสอบและประเมินผลภาคราชการที่กำหนด พบว่า ส่วนราชการและจังหวัดมีการพัฒนาการดำเนินงานในประเด็นที่ได้สอบทานทั้ง ๕ ด้าน ได้แก่ การตรวจราชการ การตรวจสอบภายใน การควบคุมภายในและการบริหารความเสี่ยง การปฏิบัติราชการตามคำรับรองการปฏิบัติราชการ และรายงานการเงิน อย่างต่อเนื่อง ๑.๒ เห็นชอบข้อเสนอแนะตามความเห็นของ ค.ต.ป. และให้หน่วยงานที่พบปัญหาและผู้รับผิดชอบรายงานผลความก้าวหน้าในการดำเนินการทุก ๖ เดือน ต่อ ค.ต.ป. คณะต่าง ๆ ตามที่รับผิดชอบ ๑.๓ รับทราบรายงานผลการประเมินตนเองของคณะกรรมการตรวจสอบและประเมินผลภาคราชการคณะต่าง ๆ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ซึ่งพบว่า คณะกรรมการฯ มีผลการประเมินตนเองในภาพรวมรายคณะอยู่ในเกณฑ์ระดับดีเยี่ยม ๒. ให้ ค.ต.ป. รับความเห็นของคณะรัฐมนตรีที่เห็นควรปรับวิธีการตรวจสอบและประเมินผลภาคราชการเพิ่มขึ้นใน ๒ มิติ คือ มิติด้านการเงิน โดยมุ่งเน้นการตรวจสอบและประเมินผลด้านประสิทธิภาพในการใช้จ่ายงบประมาณ ความสามารถในการลดต้นทุนและลดความซ้ำซ้อนในการดำเนินการ และความสามารถในการกระตุ้นเศรษฐกิจ และมิติด้านการบริหารจัดการ โดยคำนึงถึงความโปร่งใส ประสิทธิภาพและประสิทธิผลของการบริหารจัดการ ซึ่งควรกำหนดตัวชี้วัดให้ชัดเจนและใช้เป็นกลไกในการบริหารจัดการ และในการตรวจสอบและประเมินผลควรพิจารณาขยายไปถึงราชการส่วนท้องถิ่น มีการวางมาตรการในการตรวจสอบที่กระชับมากขึ้น และให้ฝ่ายเลขานุการของ ค.ต.ป. ควรมีพื้นฐานความรู้ที่หลากหลายและสามารถตรวจสอบในเชิงลึกได้ รวมทั้งความเห็นของกระทรวงมหาดไทย และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นควรเพิ่มอัตรากำลังผู้ตรวจสอบภายในจังหวัด จากเดิมจังหวัดละ ๓ คน เป็นจังหวัดละ ๕-๗ คน เพื่อให้เหมาะสมกับขอบเขตปริมาณงานของแต่ละจังหวัด นอกจากนี้ เห็นควรให้นำข้อค้นพบและแนวทางแก้ไขในรายงานดังกล่าวเชื่อมโยงเข้ากับระบบการติดตามผลการดำเนินงานตามนโยบายสำคัญของรัฐบาลผ่านระบบเทคโนโลยีสารสนเทศซึ่งเป็นระบบที่เชื่อมโยงกับศูนย์ปฏิบัติการของนายกรัฐมนตรี (PMOC) เพื่อคณะรัฐมนตรีจะได้ใช้ประโยชน์ในการกำกับการบริหารราชการของส่วนราชการอย่างบูรณาการ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
1687 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "ยุทธศาสตร์การบริหารจัดการงานบริการและการส่งสินค้าข้ามแดนเพื่อการค้าระหว่างประเทศ" | สสป | 01/10/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "ยุทธศาสตร์การบริหารจัดการงานบริการและการส่งสินค้าข้ามแดนเพื่อการค้าระหว่างประเทศ" และรับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของกระทรวงพาณิชย์ร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา กองบัญชาการกองทัพไทย กรมศุลกากร สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน สำนักนโยบายและยุทธศาสตร์การพาณิชย์ สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร สำนักงานความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน สำนักผู้แทนการค้าไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย และสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ โดยในส่วนความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ สรุปได้ ดังนี้
๑. การดำเนินการด้านเชิงนโยบาย ได้แก่ ๑.๑ ดำเนินยุทธศาสตร์การพัฒนาความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านแบบองค์รวม ๑.๒ จัดตั้งหน่วยงานพิเศษขึ้นตรงต่อสำนักนายกรัฐมนตรี เพื่อทำหน้าที่ในการวางแผนและบริหารจัดการพื้นที่จังหวัดชายแดนที่เป็นประตูเศรษฐกิจการค้าและงานบริการ โดยมีการจัดตั้งในระดับภูมิภาคและระดับท้องถิ่นในจังหวัดที่มีการค้าชายแดน เพื่อปฏิบัติการและอำนวยความสะดวกในการบริหารจัดการการค้าชายแดน ๑.๓ เร่งรัดแก้ไข จัดทำ และเจรจา ข้อตกลง เงื่อนไข กฎหมายที่เกี่ยวข้อง และดำเนินงานตามข้อตกลงการขนส่งข้ามพรมแดนอย่างเป็นรูปธรรม และเป็นมาตรฐานสากล ๑.๔ เร่งดำเนินการปรับปรุงพิธีการที่เกี่ยวข้องกับการนำเข้า-ส่งออกสินค้าชายแดนให้สอดคล้องกับกฎระเบียบองค์การการค้าโลก (WTO) และข้อตกลงความร่วมมืออาเซียน รวมถึงข้อตกลงความร่วมมือในกลุ่มประเทศอนุภูมิภาค ๑.๕ ควรพิจารณากำหนดนโยบายจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดน พร้อมกับผลักดันร่างพระราชบัญญัติเขตเศรษฐกิจพิเศษให้มีผลบังคับใช้โดยเร็ว ๑.๖ เร่งดำเนินการพัฒนาองค์ความรู้ และทักษะในด้าน ๆ แก่บุคลากรให้มีศักยภาพ ๑.๗ จัดตั้งศูนย์ข้อมูลที่เกี่ยวกับแผนการพัฒนาเขตพื้นที่จังหวัดชายแดน ในทุกด้านทั้งการวางแผนผังภูมิประเทศ อาคารสถานที่ต่าง ๆ พร้อมรูปแบบโครงสร้างการบริหารจัดการงานบริการ และการบริหารจัดการส่งสินค้าข้ามแดน ๑.๘ ส่งเสริมสนับสนุนให้นักลงทุนไทยมีการย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศเพื่อนบ้าน ๑.๙ ส่งเสริมสนับสนุนการจัดตั้ง เมืองคู่แฝดทางการค้าระหว่างจังหวัดชายแดนกับจังหวัดในประเทศเพื่อนบ้าน ๑.๑๐ ส่งเสริมการลงทุนระหว่างรัฐกับเอกชนที่เกี่ยวกับพื้นที่การพัฒนาและปรับปรุงคุณภาพสินค้า ประกอบด้วยอาคารโกดังสินค้า พื้นที่การค้า เพื่อเป็นการประหยัดงบประมาณการลงทุน ๒. การดำเนินการด้านเชิงการบริหารจัดการ ได้แก่ ๒.๑ การบริหารจัดการงานบริการ โดยเร่งดำเนินการก่อสร้างอาคารและสถานที่ต่าง ๆ เช่น อาคารบริการด้านสินค้าและบุคคลแบบเบ็ดเสร็จ ศูนย์เปลี่ยนถ่ายรูปแบบการขนส่งสินค้า สถานีตรวจปล่อยสินค้า พื้นที่ขบวนการพัฒนาและปรับปรุงคุณภาพสินค้า ถนน ระบบรางและสะพานในจังหวัดที่ขาดความพร้อม เช่น ด่านสะเดา จังหวัดสงขลา อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก บ้านพุน้ำร้อน จังหวัดกาญจนบุรี บ้านคลองลึก จังหวัดสระแก้ว ๒.๒ การบริหารจัดการส่งสินค้าข้ามแดน โดย ๒.๒.๑ ดำเนินการพัฒนา ปรับปรุง โครงสร้างพื้นฐาน ถนน ระบบราง และสะพาน เพื่อให้การบริหารจัดการระบบการขนส่งสินค้าและคนให้ไหลเคลื่อนได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ โดยเร่งรัดการพัฒนาระบบการขนส่งต่อเนื่องหลายรูปแบบ ให้สามารถเชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะทางบก ทางราง และทางน้ำ รวมทั้งพัฒนาการขนส่งระบบราง เพื่อเป็นการเพิ่มทางเลือกในระบบโลจิสติกส์ให้มีต้นทุนการขนส่งต่ำลงสามารถแข่งขันได้ ด้วยการขยายเส้นทางเชื่อมต่อระบบรางไปถึงพื้นที่จังหวัดชายแดนที่สำคัญ ๆ ที่เป็นประตูเศรษฐกิจการค้า และงานบริการ ตลอดจนปรับปรุงการวางผังเมือง การจัดภูมิประเทศ อาคารสถานที่ต่าง ๆ และโครงสร้างพื้นฐานในพื้นที่จังหวัดชายแดน เพื่อรองรับการพัฒนาให้เป็นศูนย์กลางด้านโลจิสติกส์ ๒.๒.๒ ดำเนินการพัฒนา ปรับปรุง สิ่งอำนวยความสะดวกด้านการบริหารจัดการงานบริการ โดยเร่งรัดการนำเทคโนโลยีระบบสารสนเทศ พัฒนาระบบเชื่อมโยงข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์แบบไร้เอกสารมาใช้ในการนำเข้าส่งออก เร่งจัดทำข้อตกลงทวิภาคีกับประเทศเมียนมาร์ กัมพูชา มาเลเซีย ในการเดินรถทุกประเภท และในกรณีที่มีการตรวจปล่อยสินค้า ที่จำเป็นต้องมีใบรับรองประเภทต่าง ๆ ที่ต้องสำแดง ณ ด่านศุลกากรกรุงเทพฯ เมื่อมีการตรวจปล่อยที่ด่านอื่น ๆ โดยเฉพาะประตูเศรษฐกิจการค้าและบริการที่เชื่อมต่อ ๔ ประเทศเพื่อนบ้าน ควรมีการปรับปรุงข้อกำหนดให้ยืดหยุ่นกับสถานการณ์การส่งออกในด้านนี้ด้วย ๒.๒.๓ ดำเนินการพัฒนาผู้ประกอบการธุรกิจการค้าชายแดน โดยส่งเสริมสนับสนุนให้มีการพัฒนาองค์ความรู้ และข้อมูลให้แก่ผู้ประกอบการธุรกิจการค้าชายแดนเกี่ยวกับการค้าระหว่างประเทศ รวมถึงความรู้ด้านการพัฒนาด้านการผลิตของผู้ประกอบการรายย่อย ส่งเสริมสนับสนุนให้เกิดการรวมตัวของผู้ประกอบการ ตลอดจนส่งเสริมสนับสนุนด้านเงินลงทุนให้แก่ผู้ประกอบการ โดยผ่านระบบของธนาคารในเครือของรัฐ
|
||||||||||||||||||||||||
1688 | การกู้เงินของธนาคารอาคารสงเคราะห์ในปีงบประมาณ 2557 จำนวน 11,000 ล้านบาท | กค | 01/10/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ให้ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) กู้เงินในประเทศในปีงบประมาณ ๒๕๕๗ จำนวน ๑๑,๐๐๐ ล้านบาท เพื่อป้องกันปัญหาการขาดสภาพคล่องในการดำเนินงานของ ธอส. ๑.๒ ให้กระทรวงการคลังเป็นผู้พิจารณาการกู้เงิน วิธีการกู้เงิน เงื่อนไข และรายละเอียดต่าง ๆ ของการกู้เงิน และการค้ำประกันในแต่ละครั้งได้ตามความเหมาะสมและจำเป็น ๒. ให้ ธอส. รับข้อเสนอแนะเพิ่มเติมของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการป้องกันการเกิดปัญหาการขาดสภาพคล่องในระยะยาว โดยให้ ธอส. พิจารณาออกผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่มีระยะเวลายาวขึ้น เพื่อให้สอดคล้องกับอายุของทรัพย์สินที่เป็นสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยระยะยาว โดยเฉพาะอย่างยิ่งการออกผลิตภัณฑ์เงินฝากเฉพาะกลุ่มสำหรับผู้ฝากเงินรายใหญ่ เช่น กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ และบริษัทประกันชีวิต ที่มีความต้องการลงทุนระยะยาว และประสานกับกระทรวงการคลังในการวางแผนเพื่อระดมทุนระยะยาวผ่านตลาดตราสารหนี้ให้มีความเหมาะสมมากขึ้น เพื่อลดภาระของภาครัฐและให้การบริหารหนี้สาธารณะของภาครัฐมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||
1689 | มติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ 4/2556 | ทส | 01/10/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบมติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ในการประชุมครั้งที่ ๔/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๑๙ มิถุนายน ๒๕๕๖ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้
๑. การปรับปรุงมาตรฐานระดับเสียงรถยนต์ ๑.๑ เห็นชอบให้ปรับปรุงประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดระดับเสียงรถยนต์ ลงวันที่ ๗ กรกฎาคม ๒๕๕๖ ให้เป็นไปตามร่างประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดมาตรฐานระดับเสียงของรถยนต์ ตามความเห็นของคณะกรรมการควบคุมมลพิษ และคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ๑.๒ ให้กรมควบคุมมลพิษนำร่างประกาศฯ ที่ปรับแก้ไขตามความเห็นของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ เสนอรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมลงนามและประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป และให้กรมการขนส่งทางบกระบุความเร็วรอบของเครื่องยนต์ที่ให้กำลังสูงสุดไว้ในสมุดทะเบียนรถ สำหรับรถยนต์ที่จดทะเบียนใหม่นับจากวันที่ประกาศฯ มีผลใช้บังคับ ๒. แนวทางการนำกลับและส่งกลับของเสียอันตรายที่เคลื่อนย้ายข้ามแดนอย่างผิดกฎหมาย ๒.๑ เห็นชอบแนวทางการนำกลับและส่งกลับของเสียที่เคลื่อนย้ายข้ามแดนอย่างผิดกฎหมาย ตามความเห็นของคณะอนุกรรมการอนุสัญญาบาเซล ในการประชุมครั้งที่ ๓๖-๒/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๑๕ มีนาคม ๒๕๕๕ และ ๔๐-๒/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๒๒ เมษายน ๒๕๕๖ ๒.๒ ให้กรมควบคุมมลพิษนำแนวทางดังกล่าวเผยแพร่ให้แก่ผู้เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ผู้ประกอบการขนส่งสินค้า และผู้สนใจทั่วไป และประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อสาธารณะต่าง ๆ เพื่อให้ผู้เกี่ยวข้องได้รับทราบและนำไปใช้เป็นแนวทางปฏิบัติได้อย่างมีประสิทธิภาพ และให้รับความเห็นของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๓. ร่างรายงานสถานการณ์คุณภาพสิ่งแวดล้อม พ.ศ. ๒๕๕๕ ๓.๑ เห็นชอบร่างรายงานสถานการณ์คุณภาพสิ่งแวดล้อม พ.ศ. ๒๕๕๕ และให้สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมปรับปรุงข้อมูลด้านพลังงานในร่างรายงานฯ ให้สมบูรณ์ ก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบต่อไป ๓.๒ ให้สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมแจ้งประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการให้เป็นไปตามข้อเสนอแนะเชิงนโยบายเพื่อการบริหารจัดการสิ่งแวดล้อมแบบองค์ร่วม และนำความเห็นของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติไปใช้เป็นกรอบในการจัดทำรายงานสถานการณ์คุณภาพสิ่งแวดล้อม พ.ศ. ๒๕๕๖ ต่อไป ๔. ร่างประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม บริเวณทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๑๐๖ ในพื้นที่บางส่วนในท้องที่ตำบลวัดเกต ตำบลหนองหอย อำเภอเมืองเชียงใหม่ ตำบลหนองผึ้ง ตำบลยางเนิ้ง และตำบลสารภี อำเภอสารภี จังหวัดเชียงใหม่ และในพื้นที่บางส่วนในท้องที่ตำบลอุโมงค์ อำเภอเมืองลำพูน จังหวัดลำพูน พ.ศ. .... ๔.๑ เห็นชอบร่างประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม บริเวณทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๑๐๖ ในพื้นที่บางส่วนในท้องที่ตำบลวัดเกต ตำบลหนองหอย อำเภอเมืองเชียงใหม่ ตำบลหนองผึ้ง ตำบลยางเนิ้ง และตำบลสารภี อำเภอสารภี จังหวัดเชียงใหม่ และในพื้นที่บางส่วนในท้องที่ตำบลอุโมงค์ อำเภอเมืองลำพูน จังหวัดลำพูน พ.ศ. .... และให้สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมนำร่างประกาศฯ เสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบตามที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๓๕ ต่อไป ๔.๒ ให้สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมไปพิจารณาดำเนินการ ๕. โครงการปรับปรุงขยายท่าอากาศยานนราธิวาส ของกรมการบินพลเรือน ๕.๑ เห็นชอบตามความเห็นของคณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมด้านคมนาคม ของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หรือโครงการร่วมกับเอกชน ต่อรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม โครงการปรับปรุงขยายท่าอากาศยานนราธิวาส ของกรมการบินพลเรือน โดยให้กรมการบินพลเรือนดำเนินการตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม รวมทั้งมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมอย่างเคร่งครัด ตามที่กำหนดไว้ในรายงานฯ และให้ตรวจสอบข้อมูลในเอกสารให้ถูกต้องครบถ้วน ก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรี ๕.๒ นำความเห็นของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ๖. โครงการเร่งรัดขยายทางสายประธานให้เป็น ๔ ช่องจราจร (ระยะที่ ๒) ทางหลวงหมายเลข ๑๐๕ ตอน ตาก-อ.แม่สอด ของกรมทางหลวง ๖.๑ เห็นชอบตามความเห็นของคณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมด้านคมนาคมของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หรือโครงการร่วมกับเอกชน ต่อรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม โครงการเร่งรัดขยายทางสายประธานให้เป็น ๔ ช่องจราจร (ระยะที่ ๒) ทางหลวงหมายเลข ๑๐๕ ตอน ตาก-อ.แม่สอด ของกรมทางหลวง เพื่อประกอบการพิจารณาของคณะรัฐมนตรีต่อไป โดยให้กรมทางหลวงดำเนินการตามมาตรการป้องกัน แก้ไข และลดผลกระทบสิ่งแวดล้อม รวมทั้งมาตรการติดตามตรวจสอบคุณภาพสิ่งแวดล้อม ตามที่กำหนดไว้ในรายงานฯ ๖.๒ ให้นำความเห็นของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อประกอบการพิจารณาตามมาตรา ๔๗ แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๓๕ ต่อไป ๗. รายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมภายหลังการทำเหมืองแร่โครงการเหมืองแร่สังกะสี ของบริษัท ผาแดงอินดัสทรี จำกัด (มหาชน) ประทานบัตรที่ ๓๐๗๖๙/๑๕๕๒๕ ร่วมแผนผังโครงการทำเหมืองเดียวกันกับประทานบัตรที่ ๓๐๗๗๙/๑๕๗๙๗ ตั้งอยู่ที่ตำบลพระธาตุผาแดง อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก ๗.๑ เห็นชอบตามความเห็นของคณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมด้านเหมืองแร่ และอุตสาหกรรมถลุง หรือแต่งแร่ ซึ่งให้ความเห็นชอบรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมภายหลังการทำเหมืองแร่ โครงการเหมืองแร่สังกะสีฯ เพื่อประกอบการพิจารณาของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในการอนุญาตให้บริษัท ผาแดงอินดัสทรี จำกัด (มหาชน) เข้าทำประโยชน์หรืออยู่อาศัยภายในเขตป่าสงวนแห่งชาติ ป่าแม่สอด เพื่อการทำเหมืองแร่ โดยให้บริษัทฯ ปฏิบัติตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม และมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมที่กำหนดไว้ในรายงานฯ อย่างเคร่งครัด และรายงานผลการปฏิบัติตามมาตรการที่กำหนดให้กรมป่าไม้และสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเพื่อพิจารณาเสนอคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติทราบปีละ ๑ ครั้ง ๗.๒ ให้กรมป่าไม้นำมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม และมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมที่กำหนดไว้ในรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมภายหลังการทำเหมืองแร่โครงการฯ ไปกำหนดเป็นเงื่อนไขแนบท้ายหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์หรืออยู่อาศัยภายในเขตป่าสงวนแห่งชาติ รวมทั้งให้กรมป่าไม้และกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่กำกับดูแลให้บริษัทฯ ปฏิบัติตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม และมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมที่กำหนดไว้ในรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมภายหลังการทำเหมืองแร่โครงการฯ ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับอำนาจหน้าที่ของแต่ละหน่วยงาน ๗.๓ ให้กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่นำมาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหาผลกระทบสิ่งแวดล้อม และมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมที่กำหนดไว้ในรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมภายหลังการทำเหมืองแร่ไปกำหนดเป็นเงื่อนไขเพิ่มเติมแนบท้ายใบอนุญาตประทานบัตรเหมืองแร่ และให้ถือเป็นแนวปฏิบัติสำหรับโครงการลักษณะเดียวกันทุกโครงการ ๗.๔ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติเกี่ยวกับการให้ผู้ประกอบกิจการโครงการเหมืองแร่ทุกโครงการดำเนินการตามขั้นตอนการขอต่ออายุหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์หรืออยู่อาศัยภายในเขตป่าสงวนแห่งชาติล่วงหน้าได้เป็นเวลาไม่น้อยกว่า ๒ ปี ก่อนที่อายุหนังสือขออนุญาตฯ จะสิ้นสุดลง และประสานแจ้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทราบ ๘. โครงการวางท่อส่งก๊าซธรรมชาติบนบกจากชายแดนไทย-สหภาพพม่า มายังสถานีควบคุมก๊าซที่ BVW 01 ของบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ตั้งอยู่ที่ตำบลปิล๊อก อำเภอทองผาภูมิ จังหวัดกาญจนบุรี ๘.๑ เห็นชอบตามความเห็นของคณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมด้านโรงไฟฟ้าพลังความร้อน ต่อรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม โครงการวางท่อส่งก๊าซธรรมชาติบนบกจากชายแดนไทย-สหภาพพม่าฯ เพื่อประกอบการพิจารณาของคณะรัฐมนตรี โดยให้บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ดำเนินการตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมและมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมอย่างเคร่งครัด ตามที่กำหนดไว้ในรายงานฯ ๘.๒ ให้นำความเห็นของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อประกอบการพิจารณาต่อไป ๙. โครงการท่อส่งก๊าซธรรมชาติบนบก นครสวรรค์ (เพื่อขยายโอกาสใช้พลังงานสะอาดและลดมลภาวะในภาคขนส่ง และอุตสาหกรรมเขตภาคกลางและภาคเหนือตอนล่าง) ของบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ตั้งอยู่ที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา จังหวัดอ่างทอง จังหวัด
|
||||||||||||||||||||||||
1690 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "นโยบายการบริหารจัดการน้ำในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ" | สสป | 01/10/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "นโยบายการบริหารจัดการน้ำในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ" และรับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมร่วมกับระทรวงกลาโหม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมชลประทาน กรมพัฒนาที่ดิน) กระทรวงมหาดไทย สำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สำนักงบประมาณ สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ สำนักงานงานนโยบายและบริหารจัดการน้ำและอุทกภัยแห่งชาติ กรมทรัพยากรน้ำ กรมทรัพยากรน้ำบาดาล กรมป่าไม้ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช กรมควบคุมมลพิษ สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม และสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ โดยในส่วนความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ สรุปได้ ดังนี้
๑. สร้างความสมบูรณ์ในระบบนิเวศลุ่มน้ำ ๑.๑ จัดให้มีพื้นที่ป่าไม้ในสัดส่วนไม่น้อยกว่าร้อยละ ๕๐ ของพื้นที่ทั้งหมดของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภายในปี พ.ศ. ๒๕๖๗ ๑.๒ ปรับปรุง ฟื้นฟู และอนุรักษ์พื้นที่ป่าอนุรักษ์ที่ประกาศเขตไว้แล้ว ๓๕๐ ป่าในเนื้อที่ ๓๔.๒๗ ล้านไร่ มีสัดส่วนร้อยละ ๓๒.๔๘ ๑.๓ อนุรักษ์พื้นที่ป่าต้นน้ำที่เหลืออยู่ ๘.๕๕ ล้านไร่ ให้คงอยู่อย่างยั่งยืน ๑.๔ กำหนดมาตรการการป้องกันและแก้ไขการชะล้างหน้าดินในพื้นที่เสี่ยงระดับรุนแรง ๑๗.๗๘ ล้านไร่ ๑.๕ กำหนดมาตรการการควบคุมและป้องกันพื้นที่แพร่กระจายดินเค็ม ๑๗.๘๐ ล้านไร่ ๑.๖ สงวนรักษาพื้นที่ป่าเสื่อมโทรม เพื่อปรับปรุงให้คืนสภาพเป็นป่าอนุรักษ์ และยกเลิกนโยบายการนำป่าเสื่อโทรมไปใช้ประโยชน์เพื่อการอื่น รวมทั้งการนำไปจัดสรรให้กับประชาชน ๑.๗ ปรับปรุง ฟื้นฟู และอนุรักษ์ทางน้ำและแหล่งน้ำ รวมทั้งพื้นที่ชุ่มน้ำให้อยู่ในสภาพดี ๑.๘ กำหนดกรอบวงเงินงบประมาณ และสนับสนุนให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีระบบบำบัดน้ำเสียรวมและระบบจัดการขยะที่ได้มาตรฐานให้ครบทุกท้องถิ่น ๑.๙ จัดให้มีระบบตรวจสอบและแสดงผลคุณภาพน้ำในลำน้ำที่ผ่านแหล่งชุมชนให้ประชาชนทราบสถานการณ์ ๒. สร้างความสมดุลน้ำ ๒.๑ จัดหาน้ำและพัฒนาแหล่งกักเก็บน้ำเพื่อเพิ่มปริมาณน้ำต้นทุนที่ขาดแคลนอยู่ในปัจจุบัน ๒.๒ นำโครงการพัฒนาลุ่มน้ำอันเนื่องมาจากพระราชดำริ เป็นต้นแบบการพัฒนาแหล่งน้ำขนาดเล็ก และโครงการผันน้ำข้ามลุ่มน้ำใกล้เคียง ๒.๓ จัดสรรงบประมาณเพิ่มเติมเพื่อสนับสนุนการปฏิบัติการฝนหลวงให้ครอบคลุมทุกพื้นที่ ๒.๔ เร่งดำเนินการพัฒนาระบบชลประทานในพื้นที่ที่มีความเหมาะสม ในส่วนที่ยังไม่ดำเนินการอีก ๑๖.๖๐ ล้านไร่ให้เสร็จ ภายในปี พ.ศ. ๒๕๖๗ ๒.๕ จัดสรรงบประมาณสนับสนุนโครงการขุดสระน้ำในไร่นาให้ครอบคลุมพื้นที่นอกเขตชลประทานตามความต้องการของประชาชน ๒.๖ พัฒนาระบบการนำน้ำใต้ดินที่สามารถใช้ในการเพาะปลูกขึ้นมาใช้ ๒.๗ ส่งเสริมและสนับสนุนให้ประชาชนสามารถบริหารจัดการในระดับครัวเรือนได้ โดยน้อมนำโครงการเกษตรทฤษฎีใหม่มาเป็นแบบอย่างในการดำเนินการ ๒.๘ จัดให้มีแหล่งน้ำประจำหมู่บ้านและชุมชน โดยการขุดสระน้ำใหม่ หรือขุดลอกแหล่งน้ำเดิมที่เสื่อมโทรมให้กลับมาใช้ได้ตามปกติ ๓. สร้างเอกภาพการบริหารจัดการ ให้ส่วนราชการที่รับผิดชอบและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่เกี่ยวข้องบูรณาการการทำงานให้เป็นไปตามแผนปฏิบัติการบริหารทรัพยากรน้ำแบบบูรณาการ เพื่อแก้ไขปัญหาให้เกิดประสิทธิภาพ และบังเกิดผลสัมฤทธิ์ที่ยั่งยืน ๓.๑ ปรับปรุงระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการบริหารทรัพยากรน้ำแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๕๐ โดยปรับปรุงโครงสร้างองค์กรบริหารจัดการ ทรัพยากรน้ำ ให้มีอำนาจหน้าที่ในการประสานความร่วมมือได้อย่างเป็นเอกภาพ เพิ่มหมวดความร่วมมือ ให้ส่วนราชการและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่เกี่ยวข้องกับงานบริหารทรัพยากรน้ำ ต้องให้ความร่วมมือในการปฏิบัติงานกับคณะกรรมการลุ่มน้ำและสำนักงานเลขานุการคณะกรรมการลุ่มน้ำอย่างเคร่งครัด และเพิ่มหมวดงบประมาณ ให้สำนักงบประมาณกำหนดกรอบวงเงินตามแผนบริหารทรัพยากรน้ำของลุ่มน้ำหลัก และให้ส่วนราชการที่เสนองบประมาณที่เกี่ยวข้องกับทรัพยากรน้ำต้องผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมการลุ่มน้ำก่อน ๓.๒ บูรณาการบริหารจัดการโดยใช้วิธีการบริหารจัดการที่สำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริดำเนินการ เป็นแนวทางการประสานความร่วมมือกับหน่วยงานที่รับผิดชอบและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่เกี่ยวข้อง ๓.๓ เร่งรัดการออกพระราชบัญญัติการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ พ.ศ. .... ให้เสร็จภายในปี พ.ศ. ๒๕๕๖ ๓.๔ จัดทำแผนแม่บทเพื่อใช้ในการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำของประเทศ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องใช้เป็นแนวทางดำเนินการไปสู่การปฏิบัติอย่างบูรณาการ ๓.๕ บริหารจัดการทรัพยากรน้ำเป็นระบบลุ่มน้ำสาขา เพื่อให้สอดคล้องกับสภาพภูมิประเทศและระบบนิเวศ ๓.๖ จัดตั้งองค์กรบริหารลุ่มน้ำในระดับท้องถิ่นและชุมชน ให้ท้องถิ่นและชุมชนสามารถบริหารทรัพยากรน้ำในพื้นที่ของตนเองได้ และรัฐต้องให้การส่งเสริมและสนับสนุนอย่างจริงจังทั้งด้านความรู้ ประสบการณ์ และงบประมาณ ๓.๗ พัฒนาระบบฐานข้อมูลและจัดตั้งศูนย์กลางข้อมูลทรัพยากรน้ำ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องใช้ดำเนินการได้อย่างเป็นเอกภาพและเป็นไปในทิศทางเดียวกัน รวมทั้งให้ประชาชนสามารถเข้าถึงข้อมูลข่าวสารได้อย่างถูกต้อง แม่นยำ และทันต่อเหตุการณ์ปัจจุบัน ๓.๘ สนับสนุนให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องก้าวทันการพัฒนาเทคโนโลยีข้อมูลภูมิสารสนเทศอย่างต่อเนื่อง ๓.๙ ปลูกจิตสำนึกและให้ความรู้กับประชาชนในการใช้น้ำอย่างประหยัด คุ้มค่า และเกิดประโยชน์สูงสุดอย่างต่อเนื่อง
|
||||||||||||||||||||||||
1691 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "การกัดเซาะชายฝั่งผลกระทบต่อทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง" | สสป | 24/09/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "การกัดเซาะชายฝั่งผลกระทบต่อทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง" และรับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมร่วมกับกระทรวงกลาโหม กระทรวงการคลัง กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กระทรวงมหาดไทย กระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ และสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ โดยสภาที่ปรึกษาฯ มีความเห็นและข้อเสนอแนะให้รัฐดำเนินการสรุปได้ ดังนี้
๑. ข้อเสนอการแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งระดับประเทศ ได้แก่ ควรให้มีการจัดการดูแลพื้นที่ชายฝั่งที่ยังคงอยู่ในสภาพปกติหรือเสี่ยงต่อความเสียหาย ควรให้มีการบูรณาการการแก้ปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งของทุกองค์กรและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ควรให้มีการดำเนินการบังคับใช้กฎหมายหรือกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องกับการแก้ปัญหาและการพัฒนาชายฝั่งอย่างจริงจัง และควรจัดสรรงบประมาณสนับสนุนการศึกษาวิจัยการแก้ปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งที่มีความเหมาะสมกับระบบนิเวศของแต่ละสภาพพื้นที่ รวมทั้งสนับสนุนการทำรายงานผลกระทบต่อด้านสิ่งแวดล้อม เพื่อให้สามารถแก้ปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งได้อย่างยั่งยืน รวมถึงควรมีการบรรจุการกัดเซาะในส่วนของการวิเคราะห์ วิจัยในหลักสูตรของการศึกษา และให้ความรู้กับประชาชนในท้องที่ ๒. ข้อเสนอการแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งระดับพื้นที่ ได้แก่ ควรเร่งฟื้นฟูและเร่งแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งที่เสียหายอยู่ในขั้นวิกฤติอย่างเร่งด่วน และพื้นที่วิกฤติที่เสียหายในระดับปานกลางให้เหมาะสมกับพื้นที่ ควรมีการประเมินพื้นที่ที่อยู่อาศัยและพื้นที่สาธารณะที่เสียหายจากการกัดเซาะชายฝั่ง และต้องหาแนวทางการเยียวยาให้ประชาชน
|
||||||||||||||||||||||||
1692 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "สถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ในการส่งเสริมความมั่นคงของประเทศ" | สสป | 24/09/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "สถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ในการส่งเสริมความมั่นคงของประเทศ" และรับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีร่วมกับกระทรวงกลาโหม กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงยุติธรรม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงวัฒนธรรม สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ กรมประชาสัมพันธ์ กรมการศาสนา และสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ โดยในส่วนความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ สรุปได้ ดังนี้
๑. สถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ กับความมั่นคงของประเทศ ได้แก่ ๑.๑ รัฐบาลควรถือเป็นนโยบายที่สำคัญที่จะต้องพิทักษ์รักษาไว้ซึ่งความมั่นคงของสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ให้สถิตสถาพรตลอดไป ๑.๒ ควรมีนโยบายและมาตรการที่ชัดเจนในการส่งเสริมความมั่นคงของสถาบันชาติฯ ให้ทุกภาคส่วนของสังคมทั้งภาครัฐ ภาคประชาสังคม ภาคประชาชน ภาคธุรกิจ และคนไทยทุกคน ให้ร่วมกันในการพิทักษ์รักษาความมั่นคงของสถาบันชาติฯ ๑.๓ รัฐบาลควรน้อมนำพระบรมราโชวาทพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ที่ให้ประชาชนผู้อยู่ในแผ่นดินไทย ต้องมีหน้าที่ร่วมกันประกอบกรณียกิจ เพื่อป้องกันรักษาผืนแผ่นดินไทยไว้ ให้ดำรงมั่นคงอยู่ตลอดไป มาปฏิบัติ ๑.๔ รัฐบาลควรน้อมนำอุดมการณ์แผ่นดินธรรม แผ่นดินทอง มาเป็นอุดมการณ์ของชาติ และเป็นนโยบายที่สำคัญของรัฐบาล ๑.๕ รัฐบาลควรน้อมนำปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมาเป็นอุดมการณ์ของชาติ และเป็นนโยบายที่สำคัญที่สุดของรัฐบาล ๒. การรักษาและส่งเสริมสถาบันชาติ โดยรัฐบาลควรผนึกกำลังของทุกภาคส่วนในสังคม ได้แก่ ๒.๑ การอนุรักษ์เอกลักษณ์ไทยที่ดีงาม ให้เป็นมรดกของชาติและทุนที่สำคัญของสังคมตลอดไป ๒.๒ การส่งเสริมความจงรักภักดีต่อชาติ โดยร่วมกันอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่ดี รักษาและส่งเสริมวัฒนธรรมที่ดีงาม ร่วมกันส่งเสริมความมั่นคงของสถาบันชาติ สถาบันศาสนา และสถาบันพระมหากษัตริย์ ๒.๓ การป้องกัน แก้ไข และปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชัน ซึ่งเป็นปัญหาสังคมที่ร้ายแรงที่สุดปัญหาหนึ่ง ที่บ่อนทำลายความมั่นคงของชาติ ๒.๔ การส่งเสริมวัฒนธรรมประชาธิปไตย ปลูกฝัง วัฒนธรรมประชาธิปไตยให้ฝังแน่นในจิตใจของคนทุกคนและทุกระดับ รู้จักใช้สิทธิและปฏิบัติหน้าที่อย่างถูกต้อง เป็นประโยชน์และเป็นธรรม ๓. การรักษาและส่งเสริมสถาบันศาสนา ๓.๑ กำหนดนโยบาย ยุทธศาสตร์ ยุทธวิธี โครงการ และมาตรการที่ชัดเจนในการอุปถัมภ์คุ้มครองพระพุทธศาสนา และศาสนาอื่นที่ทางราชการรับรอง รวมทั้งการส่งเสริมความเข้าใจอันดีและความสมานฉันท์ระหว่างศาสนิกชนของทุกศาสนา สนับสนุนการนำหลักธรรมของศาสนามาใช้เพื่อเสริมสร้างคุณธรรมและพัฒนาคุณภาพชีวิต ๓.๒ รัฐบาลควรปฏิบัติตามพระบรมราโชวาทพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่ฯ ที่ได้พระราชทานไว้เกี่ยวกับศาสนาและการศึกษา โดยถือเป็นนโยบายที่สำคัญที่คนไทยโดยเฉพาะเยาวชนซึ่งเป็นทรัพยากรที่สำคัญและอนาคตของชาติ เป็นผู้มีทั้งศาสนาและการศึกษาควบคู่กัน ๓.๓ รัฐบาลควรน้อมนำพระบรมราโชวาทพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ที่ได้พระราชทานไว้เกี่ยวกับหลักของใจอันมั่นคงมาปฏิบัติตาม สนับสนุนให้ทุกภาคส่วนและทุกคนได้ประพฤติปฏิบัติ เพื่อให้ทุกคนมีหลักของใจอันมั่นคง มีศรัทธาและปัญญาที่ถูกต้อง และปฏิบัติด้วยศรัทธาและปัญญาอันถูกต้อง ๓.๔ รัฐบาควรมีนโยบาย แผนงาน และโครงการที่จะส่งเสริมสนับสนุนให้องค์การศาสนาและผู้นับถือศาสนาต่าง ๆ โดยเฉพาะศาสนาที่ทางราชการรับรอง คือ พระพุทธศาสนา ศาสนาอิสลาม ศาสนาคริสต์ ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู และศาสนาซิกข์ มีความเข้าใจอันดี มีการส่งเสริมสนับสนุนกัน ๓.๕ ควรน้อมนำคุณธรรม ๔ ประการ ตามพระบรมราโชวาทพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ มาเป็นคุณธรรมประจำใจ อาทิ การที่ทุกคนคิด พูด ทำ ด้วยเมตตากรุณา มุ่งดีมุ่งเจริญต่อกัน การที่แต่ละคนช่วยเหลือเกื้อกูลกัน การที่ทุกคนประพฤติปฏิบัติตนอยู่ในความสุจริต และการที่ต่างคนต่างพยายามทำความเห็นของตนให้ถูกต้อง เที่ยงตรง และมั่นคงอยู่ในเหตุผล เป็นคุณธรรมของชาติ เป็นต้น ๓.๖ รัฐบาลควรจัดให้มีการทำแผนทำนุบำรุงส่งเสริมพระพุทธศาสนาแห่งชาติ โดยการมีส่วนร่วมของคณะสงฆ์ องค์การ และสถาบันทางพระพุทธศาสนา ผู้ทรงคุณวุฒิ และประชาชน ผู้มีความสนใจ ความรอบรู้ และความห่วงใยในพระพุทธศาสนา ๓.๗ ควรจัดให้มีการปฏิรูปการศึกษารอบใหม่ เพื่อสู่การศึกษาที่มีคุณภาพอย่างมีคุณค่า คุณประโยชน์ และคุณธรรม โดยการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง โดยการนำพุทธปรัชญาการศึกษา ปรัชญาการศึกษาพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ มาประกอบในการปฏิรูปการศึกษารอบใหม่ ๔. การรักษา การส่งเสริมสถาบันพระมหากษัตริย์ ๔.๑ รัฐบาลควรมีนโยบาย โครงการ และมาตรการที่ชัดเจน ในการธำรงรักษาไว้ซึ่งความมั่นคงของสถาบันพระมหากษัตริย์ ๔.๒ รัฐบาลและภาคส่วนต่าง ๆ ควรร่วมกันเผยแพร่พระราชกรณียกิจ พระเกียรติคุณ พระมหากรุณาธิคุณของสถาบันพระมหากษัตริย์ โดยเฉพาะพระมหาราชของชาติไทยทั้ง ๙ พระองค์ ๔.๓ ในวันสำคัญของมหาราชแต่ละพระองค์ ทุกภาคส่วนในสังคมไทย สื่อมวลชนทั้งภาครัฐและภาคเอกชนควรจะมีการเผยแพร่พระราชประวัติ พระราชกรณียกิจ เพื่อให้ประชาชนทราบถึงพระมหากรุณาธิคุณ มีความกตัญญูกตเวทีที่จะสนองพระมหากรุณาธิคุณ ๔.๔ ส่งเสริมพ่อแม่ผู้ปกครอง ครู อาจารย์ พระสงฆ์ ผู้นำขององค์การและสถาบันต่าง ๆ ควรร่วมกันเผยแพร่พระเกียรติคุณ และพระมหากรุณาธิคุณของพระมหากษัตริย์ที่ได้ทรงเสียสละความสุขส่วนพระองค์เพื่อประโยชน์สุขของพสกนิกร ๔.๕ รัฐบาลควรร่วมกับทุกภาคส่วนในสังคมประกอบความดี เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่สมเด็จพระบูรพมหากษัตริยาธิราช และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวองค์ปัจจุบัน ๔.๖ รัฐบาลและทุกภาคส่วนในสังคมควรร่วมกันปฏิบัติตามรอยพระยุคลบาทพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ และที่สำคัญที่สุดคือ ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ซึ่งประกอบด้วย ๓ หลักการ ได้แก่ ความพอประมาณ ความมีเหตุผล การมีภูมิคุ้มกันที่ดีในตัว และเงื่อนไข ๒ ประการ คือ ความรอบรู้และการมีคุณธรรม โดยเฉพาะความซื่อสัตย์สุจริต เพื่อสร้างสรรค์แผ่นดินไทยให้เป็นแผ่นดินแห่งปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง
|
||||||||||||||||||||||||
1693 | กรอบและงบประมาณของรัฐวิสาหกิจประจำปีงบประมาณ 2557 | นร11 | 24/09/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบประมาณการงบทำการประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๗ ที่คาดว่าจะมีกำไรสุทธิประมาณ ๗๖,๔๔๓ ล้านบาท โดยสามารถจัดหาเงินสดเพื่อใช้ลงทุนได้ประมาณ ๒๑๕,๒๙๘ ล้านบาท และรับทราบประมาณการแนวโน้มการดำเนินงานช่วงปี ๒๕๕๘-๒๕๖๐ ของรัฐวิสาหกิจที่คาดว่าผลประกอบการจะมีกำไรสุทธิรวม ๒๗๑,๙๘๗ ล้านบาท หรือเฉลี่ยประมาณปีละ ๙๐,๖๖๒ ล้านบาท และการเบิกจ่ายลงทุนรวม ๒,๓๕๗,๓๔๙ ล้านบาท หรือเฉลี่ยประมาณปีละ ๗๘๕,๗๘๓ ล้านบาท ๑.๒ เห็นชอบกรอบและงบประมาณของรัฐวิสาหกิจประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๗ วงเงินดำเนินการ จำนวน ๑,๘๒๓,๔๑๕ ล้านบาท และวงเงินเบิกจ่ายลงทุน จำนวน ๕๗๖,๘๘๘ ล้านบาท ประกอบด้วย ๑.๒.๑ กรอบการลงทุนโครงการต่อเนื่องที่ได้รับอนุมัติให้ดำเนินการแล้วและงานตามภารกิจปกติ วงเงินดำเนินการ จำนวน ๙๗๓,๔๑๕ ล้านบาท และวงเงินเบิกจ่ายลงทุน จำนวน ๕๑๖,๘๘๘ ล้านบาท ๑.๒.๒ กรอบการลงทุนสำหรับการเพิ่มเติมระหว่างปี วงเงินดำเนินการ จำนวน ๘๕๐,๐๐๐ ล้านบาท และวงเงินเบิกจ่ายลงทุน จำนวน ๖๐,๐๐๐ ล้านบาท สำหรับโครงการที่ยังไม่ได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี และการลงทุนที่ใช้เงินงบประมาณตามพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ เห็นควรให้ดำเนินการได้เมื่อได้รับอนุมัติตามขั้นตอนแล้ว ทั้งนี้ กำหนดเป้าหมายให้รัฐวิสาหกิจเบิกจ่ายลงทุนไม่น้อยกว่าร้อยละ ๙๕ ของกรอบวงเงินอนุมัติเบิกจ่ายลงทุน ๑.๒.๓ ให้กระทรวงเจ้าสังกัดรับข้อเสนอแนะเชิงนโยบายระดับกระทรวง และระดับองค์กร ไปพิจารณาดำเนินการ รวมทั้งรายงานความก้าวหน้าของการดำเนินงานและการเบิกจ่ายลงทุนในปีงบประมาณ ๒๕๕๗ ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติทราบภายในทุกวันที่ ๕ ของเดือนอย่างเคร่งครัด และให้รายงานผลการดำเนินงานตามข้อเสนอแนะดังกล่าวและความก้าวหน้าการดำเนินโครงการลงทุนทุกไตรมาส ทั้งนี้ เพื่อประโยชน์ในการติดตามประเมินผลการดำเนินงานและการลงทุนของรัฐวิสาหกิจได้อย่างต่อเนื่อง ๑.๑.๔ เห็นชอบในหลักการให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติปรับวงเงินลงทุนของรัฐวิสาหกิจประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๗ ให้สอดคล้องกับผลการจัดสรรงบประมาณตามพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ และการอนุมัติของคณะรัฐมนตรี ๒. ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ส่วนราชการ และรัฐวิสาหกิจที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลังเกี่ยวกับการพิจารณากรอบและงบประมาณลงทุนของรัฐวิสาหกิจ ควรคำนึงถึงความสามารถในการเบิกจ่ายลงทุนในอดีต ความพร้อม และประสิทธิภาพของรัฐวิสาหกิจประกอบด้วย รวมทั้งให้กระทรวงเจ้าสังกัดและรัฐวิสาหกิจเร่งนำเสนอโครงการตามแผนการลงทุนของรัฐวิสาหกิจที่มีความพร้อมในการดำเนินการต่อคณะรัฐมนตรีโดยเร็ว เพื่อให้รัฐวิสาหกิจสามารถเริ่มดำเนินโครงการลงทุนต่าง ๆ ตั้งแต่ต้นปีงบประมาณ และเพื่อเป็นการกระตุ้นให้เกิดการลงทุนภาครัฐตามนโยบายของรัฐบาล ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
1694 | รายงานของคณะกรรมาธิการวิสามัญตรวจสอบข้อเท็จจริงการติดตั้งกล้องโทรทัศน์วงจรปิด | สผ | 24/09/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานของคณะกรรมาธิการวิสามัญตรวจสอบข้อเท็จจริงการติดตั้งกล้องโทรทัศน์วงจรปิด พร้อมข้อสังเกตกับผลการดำเนินการตามรายงานดังกล่าวที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรทราบต่อไป โดยในส่วนรายงานของคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ สรุปได้ ดังนี้
๑. คณะกรรมาธิการวิสามัญฯ ได้ประชุมพิจารณาตรวจสอบข้อเท็จจริงการติดตั้งกล้องโทรทัศน์วงจรปิด (CCTV) ของกรุงเทพมหานคร และตรวจสอบข้อเท็จจริงการติดตั้งกล้องโทรทัศน์วงจรปิด (CCTV) ในพื้นที่ ๕ จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยเชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาร่วมประชุมเพื่อให้ข้อมูล ข้อเท็จจริง ตลอดจนชี้แจงแสดงความคิดเห็นจำนวนรวม ๑๖ ครั้ง ๒. คณะกรรมาธิการวิสามัญฯ ได้พิจารณาศึกษาข้อเท็จจริงและรายละเอียดข้อมูลเรื่องนี้จากเอกสาร ข้อมูล คำชี้แจงจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรวมทั้งรายละเอียดจากแหล่งข้อมูลต่าง ๆ โดยนำมาประกอบการพิจารณาศึกษาข้อเท็จจริงของคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ ๓. สรุปผลการดำเนินการตามรายงานของคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ ในประเด็นเกี่ยวกับ ๓.๑ การติดตั้งกล้องพราง โดยหน่วยงานรับผิดชอบ ได้แก่ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร สำนักงบประมาณ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และกรุงเทพมหานคร ๓.๒ การจัดซื้อจัดจ้าง โดยหน่วยงานรับผิดชอบ ได้แก่ กระทรวงมหาดไทย และกรุงเทพมหานคร ๓.๒.๑ การคิดราคากลางงานจ้างเหมาไม่ควรนำรายการอื่น ๆ มารวม เช่น ค่าสำรวจ ค่าประกันภัย ควรคิดแยกเป็นเนื้องานที่ชัดเจน ๓.๒.๒ การติดตั้งกล้องโทรทัศน์วงจรปิด (CCTV) ควรใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยและเหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบัน ๓.๒.๓ การเทียบเคียงราคาในการจัดซื้อควรพิจารณาถึงจำนวนกล้องโทรทัศน์วงจรปิดที่ติดตั้งด้วย ๓.๒.๔ ควรพิจารณาถึงรายละเอียดวิธีการจัดซื้อในแต่ละพื้นที่ว่าเหมือนกันหรือแตกต่างกัน เช่น การติดตั้ง การเชื่อมต่อ จำนวนกล้องที่ใช้ ๓.๓ ข้อเสนอแนะ โดยหน่วยงานรับผิดชอบ ได้แก่ กระทรวงมหาดไทย และกรุงเทพมหานคร ๓.๓.๑ ให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร และศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (NECTEC) เป็นผู้ดูแลทางวิชาการ ข้อกำหนด และราคากลาง ๓.๓.๒ เจ้าหน้าที่ที่ควบคุมหน้าจอแสดงผลสามารถเห็นเหตุการณ์อาชญากรรมได้อย่างชัดเจน แจ้งเหตุการณ์ไปยังเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ทันท่วงที ๓.๓.๓ ควรมีการเก็บข้อมูลสัญญาณภาพมากกว่า ๑ เดือน ๓.๓.๔ การเก็บสัญญาณภาพทั้งหมดควรเก็บไว้หลาย ๆ จุด แต่ละจุดสามารถเชื่อมโยงเป็นเครือข่ายได้ ทำให้ประหยัดค่าใช้จ่าย ๓.๓.๕ กรณีมีเหตุการณ์ผิดปกติควรเก็บข้อมูลไว้หลาย ๆ ทาง และทำการบันทึกโดยเจ้าหน้าที่รับผิดชอบบันทึกเอง |
||||||||||||||||||||||||
1695 | ร่างแถลงการณ์ร่วมของการประชุมรัฐมนตรีพลังงานอาเซียน ครั้งที่ 31 และการประชุมอื่นที่เกี่ยวข้อง | พน | 24/09/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างแถลงการณ์ที่จะรับรองในช่วงการประชุมรัฐมนตรีพลังงานอาเซียน ครั้งที่ ๓๑ (The 31th ASEAN Ministers of Energy Meeting : AMEM) และการประชุมอื่นที่เกี่ยวข้อง ในระหว่างวันที่ ๒๕-๒๖ กันยายน ๒๕๕๖ ณ เกาะบาหลี เมืองเดนปาซาร์ สาธารณรัฐอินโดนีเซีย ได้แก่ ๑.๑.๑ ร่างแถลงการณ์ร่วมของการประชุมรัฐมนตรีพลังงานอาเซียน ครั้งที่ ๓๑ เป็นแถลงการณ์ร่วมสรุปผลการประชุม ประกอบด้วยสาระหลัก คือ ความพยายามของประเทศสมาชิกในการบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ตามแผนปฏิบัติการพลังงานของอาเซียน ระหว่างปี ๒๕๕๓-๒๕๕๗ (ASEAN Plan of Action on Energy Cooperation APAEC 2012-2015) ความพยายามของอาเซียนในการรักษาเสถียรภาพความมั่นคง การพัฒนาพลังงานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน และการผลักดันการดำเนินการโครงการเชื่อมโยงท่อส่งก๊าซธรรมชาติอาเซียน (Trans-ASEAN Gas Pipeline : TAGP) และโครงการเชื่อมโยงสายส่งไฟฟ้าอาเซียน (ASEAN Power Gird-APG) การดำเนินตามเป้าหมายของการใช้พลังงานหมุนเวียนในภูมิภาคให้เพิ่มขึ้นร้อยละ ๑๕ ของการใช้พลังงานไฟฟ้าทั้งหมด การส่งเสริมความร่วมมือด้านเทคโนโลยีถ่านหินสะอาด ความร่วมมือด้านพลังงานนิวเคลียร์สันติ และการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพในอาเซียน การพัฒนาขีดความสามารถของศูนย์พลังงานอาเซียน (ASEAN Centre for Energy : ACE) การสร้างเครือข่ายการกำกับกิจการพลังงานของอาเซียน การสนับสนุนข้อเสนอแนะของการศึกษาวิจัยเรื่องการบูรณาการตลาดพลังงานอาเซียน (ASEAN Energy Market Integration : AEMI) ของคณะนักวิจัยจากคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยร่วมกับเครือข่ายคณะนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยในประเทศสมาชิกอาเซียน และการส่งเสริมความร่วมมือด้านพลังงานกับประเทศคู่เจรจาและองค์การระหว่างประเทศอื่น ๆ เป็นต้น ๑.๑.๒ ร่างแถลงการณ์ร่วมของการประชุมรัฐมนตรีพลังงานอาเซียน+๓ (จีน ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้) ครั้งที่ ๑๐ เป็นแถลงการณ์ร่วมสรุปผลการประชุม ประกอบด้วยสาระหลัก คือ การหารือเกี่ยวกับบทเรียนจากกรณีเหตุการณ์โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟุกุชิมาไดอิชิ การร่วมมือกันในด้านการเก็บสำรองน้ำมัน (Oil Stockpiling) การสนับสนุนเทคโนโลยีถ่านหินสะอาด การแบ่งปันและแลกเปลี่ยนข้อมูลเกี่ยวกับตลาดพลังงาน การส่งเสริมการใช้พลังงานหมุนเวียน การเพิ่มขีดความสามารถของบุคลากรในภูมิภาคนี้ตามโครงการอบรมด้านการอนุรักษ์พลังงานและประสิทธิภาพการใช้พลังงาน เป็นต้น ๑.๑.๓ ร่างแถลงการณ์ร่วมของการประชุมสุดยอดรัฐมนตรีพลังงานเอเชียตะวันออก ครั้งที่ ๗ แถลงการณ์ร่วมสรุปผลการประชุม ประกอบด้วยสาระสำคัญ คือ การประกาศจุดยืนที่จะร่วมมือกันอย่างจริงจังในสาขาพลังงานต่าง ๆ อาทิ การปรับปรุงการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ การพัฒนาโครงการเชื้อเพลิงชีวภาพเพื่อการขนส่งและวัตถุประสงค์อื่น ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการจัดทำฐานข้อมูลเชื้อเพลิงชีวภาพในประเทศเอเชียตะวันออก และการร่วมมือในโครงการมองภาพอนาคตด้านพลังงาน (Energy Outlook) เป็นต้น ๑.๒ อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (หรือผู้ที่ได้รับมอบอำนาจจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน) เป็นผู้ให้การรับรองในร่างแถลงการณ์ร่วมฯ นี้ ร่วมกับรัฐมนตรีพลังงานของกลุ่มประเทศสมาชิกดังกล่าวได้ ๑.๓ เห็นชอบให้กระทรวงพลังงานสามารถพิจารณาปรับปรุงถ้อยคำในร่างแถลงการณ์ร่วมฯ ทั้ง ๓ ฉบับ ในส่วนที่มิใช่สาระสำคัญได้ตามความเหมาะสมก่อนที่จะมีการรับรองร่างแถลงการณ์ร่วมฯ ในที่ประชุมได้ โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้ง ๒. ให้กระทรวงพลังงานรับข้อสังเกตเกี่ยวกับถ้อยคำของร่างแถลงการณ์ร่วมฯ ของกระทรวงการต่างประเทศ และความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเกี่ยวกับการดำเนินกิจกรรมภายใต้กรอบความร่วมมือที่อาจส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม อาทิ การก่อสร้างโครงข่ายสายส่งไฟฟ้าอาเซียน และโครงการเชื่อมโยงท่อส่งก๊าซอาเซียน หากมีการดำเนินการในประเทศไทย ขอให้มีการดำเนินการตามกฎระเบียบภายในประเทศอย่างเคร่งครัด เช่น การศึกษาผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมก่อนการดำเนินการ เพื่อป้องกันผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต และให้เกิดความยั่งยืนทางสิ่งแวดล้อม ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||||||||
1696 | ผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2556 | กษ | 24/09/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ (กนป.) ครั้งที่ ๑/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๔ กันยายน ๒๕๕๖ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล) เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การแก้ไขปัญหาปาล์มน้ำมันและข้อร้องเรียน ๑.๑ ให้กระทรวงพลังงานผลักดันการใช้ไบโอดีเซล (B100) และ BHD ให้เป็นไปตามเป้าหมายแผนพัฒนาพลังงานทดแทนและพลังงานทางเลือกร้อยละ ๒๕ ใน ๑๐ ปี รวมถึงการใช้เพื่อทดแทนน้ำมันเตาของโรงไฟฟ้ากระบี่ ในสัดส่วนร้อยละ ๑๐ อย่างต่อเนื่อง ๑.๒ เกษตรกรผู้ปลูกปาล์มน้ำมันในพื้นที่ที่ไม่มีเอกสารสิทธิและอยู่ในความดูแลรับผิดชอบของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และต้องการเข้าร่วมโครงการแก้ไขปัญหาน้ำมันปาล์มและราคาผลปาล์มตกต่ำ ปี ๒๕๕๕-๒๕๕๖ ให้เกษตรกรทำหนังสือแจ้งต่อฝ่ายเลขานุการฯ เพื่อรวบรวมและเสนอให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมพิจารณาต่อไป ๑.๓ การขึ้นทะเบียนเกษตรกรเพื่อเข้าร่วมโครงการฯ ให้ขยายพื้นที่ปลูกปาล์มน้ำมันของเกษตรกร จากเดิมไม่เกิน ๕๐ ไร่ เป็นไม่เกิน ๘๐ ไร่ โดยให้ความช่วยเหลือตามพื้นที่ปลูกจริง แต่ไม่เกิน ๕๐ ไร่ ๑.๔ การขยายระยะเวลาโครงการฯ ให้คณะอนุกรรมการเพื่อบริหารจัดการปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์มด้านการตลาดพิจารณา และนำเสนอ กนป. ต่อไป ๒. ร่างแผนพัฒนาอุตสาหกรรมปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์ม ปี ๒๕๕๗-๒๕๖๔ ๒.๑ ให้กรรมการพิจารณาให้ความเห็น/ข้อเสนอต่อร่างแผนพัฒนาอุตสาหกรรมปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์ม ปี ๒๕๕๗-๒๕๖๔ และส่งให้ฝ่ายเลขานุการฯ ภายใน ๒ สัปดาห์ ๒.๒ ให้ฝ่ายเลขานุการฯ รวบรวมข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะของกรรมการและให้ปรับปรุงร่างแผนพัฒนาฯ รวมทั้งจัดทำแผนงาน/โครงการ งบประมาณ และเสนอ กนป. เพื่อพิจารณาภายใน ๖ สัปดาห์ ๓. การเปิดตลาดน้ำมันปาล์มและน้ำมันเนื้อในเมล็ดปาล์มภายใต้กรอบการค้าระหว่างประเทศ ๓.๑ เห็นชอบให้เปิดตลาดน้ำมันปาล์มและน้ำมันเนื้อในเมล็ดปาล์มภายใต้กรอบองค์การการค้าโลก (World Trade Organization : WTO) ปี ๒๕๕๖ และ ๒๕๕๗ ตามข้อผูกพันคือ ปริมาณในโควตา ๔,๘๖๐ ตัน อัตราภาษีในโควตาร้อยละ ๒๐ นอกโควตาร้อยละ ๑๔๓ และการบริหารการนำเข้าให้องค์การคลังสินค้าเป็นผู้นำเข้าและกระจายให้ผู้ผลิตภายในประเทศตามที่สมาคมโรงกลั่นน้ำมันปาล์มเป็นผู้จัดสรร ๓.๒ เห็นชอบให้เปิดตลาดน้ำมันปาล์มและน้ำมันเนื้อในเมล็ดปาล์มภายใต้กรอบการค้าเสรีอาเซียน (ASEAN Free Trade Area : AFTA) และ (Free Trade Area : FTA) ปี ๒๕๕๖ และ ๒๕๕๗ ตามข้อผูกพันของทุกกรอบการค้า และให้บริหารการนำเข้าเช่นเดียวกับ WTO คือ ให้องค์การคลังสินค้าเป็นผู้นำเข้าและกระจายให้ผู้ผลิตภายในประเทศตามที่สมาคมโรงกลั่นน้ำมันปาล์มเป็นผู้จัดสรร
|
||||||||||||||||||||||||
1697 | ข้อเสนอแนะ "แนวทางที่จะสร้างความปรองดองของคนในชาติ" | ยธ | 17/09/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบข้อเสนอแนะ “แนวทางที่จะสร้างความปรองดองของคนในชาติ” ของศาสตราจารย์ อุกฤษ มงคลนาวิน ประธานกรรมการอิสระว่าด้วยการส่งเสริมหลักนิติธรรมแห่งชาติ ตามที่ฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการอิสระว่าด้วยการส่งเสริมหลักนิติธรรมแห่งชาติเสนอ และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณาดำเนินการตามข้อเสนอแนะฯ ดังนี้
๑. หลักนิติธรรม การออกกฎหมาย การใช้การบังคับใช้กฎหมาย การตีความกฎหมายและการดำเนินการในกระบวนการยุติธรรมต้องอยู่ภายใต้หลักนิติธรรม หรือกฎหมายต้องไม่ขัดต่อหลักนิติรัฐหรือนิติธรรม หากกฎหมายใดขัดต่อหลักดังกล่าวจำเป็นที่จะต้องยกเลิกและแก้ไขปรับปรุงให้เป็นไปตามหลักนิติธรรม หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง กระทรวงยุติธรรม และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ๒. หลักความยุติธรรม กระบวนการยุติธรรมหรือการบังคับใช้กฎหมายตามหลักนิติธรรมที่ให้ความเป็นธรรมอย่างเท่าเทียม ซึ่งสังคมไทยมีปัญหาที่สำคัญ คือ ปัญหาความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมและปัญหาประสิทธิภาพของกระบวนการยุติธรรม โดยมีสาเหตุจากระบบกฎหมายไทยนำโทษทางอาญามาใช้เกินความจำเป็น การเน้นวิธีการลงโทษทางอาญาด้วยการจำคุก และปัญหาจากการกำหนดโทษปรับ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง กระทรวงยุติธรรม สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ๓. หลักเมตตาธรรม เป็นหลักการอีกประการหนึ่งที่จะช่วยสร้างความสามัคคีปรองดองของคนในชาติได้ โดยเฉพาะหากศาลยุติธรรมหรือหน่วยงานในกระบวนการยุติธรรมซึ่งเป็นองค์กรที่มีบทบาทสำคัญยิ่งในการคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของประชาชน จะได้ทบทวนแนวทางในการบังคับใช้กฎหมายด้วยการยึดมั่นในหลักความยุติธรรม ความเสมอภาค และคำนึงถึงสิทธิผู้ต้องหาและจำเลยในคดีอาญา โดยเฉพาะการใช้ดุลพินิจเพื่อปล่อยชั่วคราวผู้ต้องหาหรือจำเลยที่ถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิดโดยเฉพาะการกระทำความผิดซึ่งไม่ได้เป็นอาชญากรรมแต่เกิดจากความคิดเห็นทางการเมืองแตกต่างกัน หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง กระทรวงยุติธรรม และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
|
||||||||||||||||||||||||
1698 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "การดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงโดยชุมชน/ท้องถิ่น" | สสป | 17/09/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "การดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงโดยชุมชน/ท้องถิ่น" และรับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของกระทรวงมหาดไทย ร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงสาธารณสุข สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ กรมโยธาธิการและผังเมือง สมาคมองค์การบริหารส่วนจังหวัดแห่งประเทศไทย สมาคมสันนิบาตเทศบาลแห่งประเทศไทย สมาคมองค์การบริหารส่วนตำบลแห่งประเทศไทย และสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ โดยในส่วนความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ สรุปได้ ดังนี้
๑. ระดับนโยบาย ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้แก่ กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กำหนดนโยบายให้มีนักบริบาลประจำหมู่บ้านหรือในชุมชน โดยมีองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) เป็นผู้ดำเนินการหลัก อีกทั้งควรให้มีระเบียบและข้อกำหนดในด้านงบประมาณให้มีความคล่องตัวและเอื้อต่อการปฏิบัติงานในระดับพื้นที่ ๒. ระดับพื้นที่ ให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) มีบทบาทสำคัญในการดำเนินการ ดังนี้ ๒.๑ ประสานงานกับผู้บริหารโรงพยาบาล และโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพประจำตำบลในพื้นที่ เพื่อจัดบริการสุขภาวะผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงในชุมชนที่มีนักบริบาลประจำหมู่บ้านหรือชุมชน ตลอดจนสร้างความเข้มแข็งของครอบครัวผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิง โดยจัดบริการให้ครบทุกมิติสุขภาวะทั้ง ๔ ด้าน คือ กาย ใจ สังคม และปัญญา ๒.๒ สนับสนุนการจัดบริการสังคมอื่น ๆ เพื่อสุขภาวะของผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิง เช่น ยานพาหนะในการรับส่ง กายอุปกรณ์ และการปรับปรุงสิ่งแวดล้อม ที่อยู่อาศัย ๒.๓ สนับสนุนให้เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ขยายแนวคิดการพัฒนารูปแบบของกระบวนการทำงาน ในลักษณะการมีส่วนร่วมและเชื่อมประสานของทุกฝ่าย (ชุมชน อปท. ทีมนักวิชาการวิชาชีพสุขภาพ) ร่วมเสริมสร้างความเข้มแข็งของระบบสุขภาพชุมชน โดยเฉพาะการดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงให้เกิดสังคมไม่ทอดทิ้งกัน มีชุนชน บ้านของเขาเป็นฐาน
|
||||||||||||||||||||||||
1699 | รายงานผลการดำเนินงานของระบบประกันภัยและพัฒนาการที่สำคัญพร้อมอุปสรรคจากการดำเนินการของสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย รอบ 12 เดือน ปี พ.ศ. 2555 | กค | 17/09/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินงานของระบบประกันภัยและพัฒนาการที่สำคัญ พร้อมอุปสรรคจากการดำเนินงานของสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (สำนักงาน คปภ.) รอบ ๑๒ เดือน ปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. มาตรการที่ ๑ เสริมสร้างความเชื่อมั่นและเข้าถึงระบบประกันภัย มีการสร้างความรู้ความเข้าใจด้านการประกันภัย รวมทั้งกรมธรรม์ประกันภัยพิบัติ ผ่านโครงการต่าง ๆ มีการพัฒนาช่องทางการเข้าถึงระบบประกันภัย และการพัฒนากรมธรรม์ประกันภัยให้สอดคล้องกับสภาวการณ์ ความเสี่ยงภัย และความต้องการของประชาชน รวมทั้งการจัดตั้งกองทุนส่งเสริมการประกันภัยพิบัติ สำหรับอุปสรรคจากการดำเนินงาน ได้แก่ ประชาชนยังขาดความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องในหลักการประกันภัย ระยะเวลาที่ใช้ในการประชาสัมพันธ์บางโครงการมีน้อย และแนวทางปฏิบัติของการรับประกันภัยของกองทุนฯ ยังมีความซับซ้อน ๒. มาตรการที่ ๒ เสริมสร้างเสถียรภาพของระบบประกันภัย มีการพัฒนาระบบการกำกับเงินกองทุนตามระดับความเสี่ยง มีการจัดทำแนวปฏิบัติเรื่องการบริหารความต่อเนื่องทางธุรกิจ และการจัดทำแผนรองรับการดำเนินธุรกิจอย่างต่อเนื่องของบริษัทประกันภัย มีการติดตามและตรวจสอบบริษัทประกันภัยเพื่อสร้างเสถียรภาพที่มีต่อระบบประกันภัย รวมทั้งสร้างความร่วมมือระหว่างประเทศ สำหรับอุปสรรคจากการดำเนินงาน ได้แก่ ความเห็นที่แตกต่างกันของบริษัทประกันภัยในเรื่องการคำนวณอัตราส่วนความพอเพียงของเงินกองทุนรายเดือน บริษัทประกันภัยบางแห่งไม่ให้ความร่วมมือในการแสดงความคิดเห็นและข้อเสนอแนะในการออกประกาศ ข้อกำหนด และแนวทางปฏิบัติของสำนักงาน คปภ. ๓. มาตรการที่ ๓ พัฒนากฎหมายและระบบการคุ้มครองสิทธิประโยชน์แบบครบวงจร มีการพัฒนากฎหมายแม่บทด้านการประกันภัยให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากลในการกำกับดูแลธุรกิจประกันภัย ผลักดันร่างพระราชบัญญัติประกันชีวิต (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และร่างพระราชบัญญัติประกันวินาศภัย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีการพัฒนาระบบ E-Claim เชื่อมต่อระหว่างโรงพยาบาลและบริษัทประกันภัย และการเร่งช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากเหตุการณ์อุทกภัยเมื่อปลายปี พ.ศ. ๒๕๕๔ สำหรับอุปสรรคจากการดำเนินงาน ได้แก่ ประชาชนขาดความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องในหลักการประกันภัยและเงื่อนไขความคุ้มครองของกรมธรรม์ประกันภัย และปัญหาจากการไล่เบี้ยเรียกเงินคืนกองทุนทดแทนผู้ประสบภัยที่มีขั้นตอนเพิ่มมากขึ้น ๔. มาตรการที่ ๔ ส่งเสริมโครงสร้างพื้นฐานด้านการประกันภัย มีการพัฒนาระบบทรัพยากรบุคคล และจัดทำโครงสร้างฐานข้อมูลการประกันภัย มีการนำหลักการกำกับดูแลกิจการที่ดีมาใช้ มีการพัฒนายุทธศาสตร์ด้านการประกันภัย และมีการพัฒนาความรู้ด้านวิชาการประกันภัย สำหรับอุปสรรคจากการดำเนินงาน ได้แก่ ความไม่ชัดเจนของการจัดทำแผนพัฒนาบุคลากรและการสื่อสารแนวทางการพัฒนาบุคลากรทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาค การวางแผนอัตรากำลังไม่สอดคล้องต่อการเปลี่ยนแปลง ปัญหาด้านการพัฒนาระบบฐานข้อมูลการประกันภัยที่ต้องประสานและขอความร่วมมือจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่ยังมีความล่าช้า การจัดการความเสี่ยงของสำนักงาน คปภ. ยังอยู่ในขั้นเริ่มต้น รวมทั้งการตรวจสอบภายในที่ยังไม่ได้รับความร่วมมือจากผู้รับการตรวจสอบ
|
||||||||||||||||||||||||
1700 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "วิสาหกิจชุมชนเพื่อเสริมสร้างเศรษฐกิจไทย กรณีศึกษาวิสาหกิจชุมชนมาบตาพุด" | สสป | 10/09/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "วิสาหกิจชุมชนเพื่อเสริมสร้างเศรษฐกิจไทย กรณีศึกษาวิสาหกิจชุมชนมาบตาพุด" และรับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของกระทรวงอุตสาหกรรมร่วมกับกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงสาธารณสุข สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ โดยในส่วนความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ สรุปได้ ดังนี้
๑. ควรเร่งรัดการพัฒนาอุตสาหกรรมและเป้าหมายการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ โดยคำนึงถึงผลกระทบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมเป็นสำคัญ ๒. ส่งเสริมการอยู่ร่วมกันระหว่างชุมชนกับโรงงานอุตสาหกรรม ในลักษณะการพึ่งพาซึ่งกันและกัน โดยชุมชนเป็นศูนย์กลางการพัฒนา อุตสาหกรรมเป็นฝ่ายร่วมหนุนเสริมกลไก และรัฐมีบทบาทเป็นฝ่ายประสานความร่วมมือ (Co-empowerment) ๓. จัดตั้งคณะกรรมการร่วมระดับพื้นที่ขึ้น ในรูปแบบองค์กรเบญจภาคี ประกอบด้วย ผู้แทนหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคการเมือง ภาคองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และภาคประชาชน เพื่อให้ทุกฝ่ายร่วมกันแก้ไขปัญหาในเชิงสร้างสรรค์ ภายใต้กรอบการดำเนินงานตามพระราชบัญญัติส่งเสริมวิสาหกิจชุมชน โดยมีตัวอย่างที่มาบตาพุด (มาบตาพุดโมเดล) ๔. ศึกษาขยายผล ประยุกต์รูปแบบการประสานงานและแนวทางการดำเนินงานร่วมกันระหว่างวิสาหกิจชุมชนมาบตาพุดและโรงงานอุตสาหกรรม ให้เป็นรูปแบบที่เหมาะสมและสอดคล้องกับวัฒนธรรมวิถีชุมชนในพื้นที่ต่าง ๆ ที่ยังมีปัญหาระหว่างโรงงานอุตสาหกรรมกับชุมชน ๕. ควรมีมาตรการให้โรงงานอุตสาหกรรมเกื้อกูลและเอื้อประโยชน์ให้แก่ชุมชนบริเวณโดยรอบ เช่น ร่วมกันจัดทำแผนกลยุทธ์ความรับผิดชอบต่อสังคม (CSR Roadmap) โดยรัฐจะให้มีการส่งเสริมและสนับสนุนผู้ประกอบการโรงงานอุตสาหกรรมที่เข้าร่วมมาตรการดังกล่าว ๖. สำหรับนิคม/เขตอุตสาหกรรมที่เหมาะสมและมีความพร้อม ควรมีมาตรการจัดทำต้นแบบโรงงานอุตสาหกรรมและวิสาหกิจชุมชนที่มีกระบวนการสอดคล้องกัน ระหว่างการพัฒนาห่วงโซ่อุปทานของภาคอุตสาหกรรมกับการกระจายรายได้ไปยังชุมชน เพื่อให้ชุมชนได้เป็นส่วนหนึ่งของการร่วมรับผลประโยชน์จากการพัฒนาอุตสาหกรรม ๗. ควรมีมาตรการจูงใจทางภาษีในการส่งเสริมให้โรงงานอุตสาหกรรมชำระภาษีในพื้นที่ที่ตั้งโรงงาน เพื่อให้ประโยชน์ตกแก่ท้องถิ่นนั้น ๆ เป็นสำคัญ
|
.....