ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 147 จากทั้งหมด 169 หน้า แสดงรายการที่ 2921 - 2940 จากข้อมูลทั้งหมด 3379 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
2921 | การจัดทำแผนความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์และวิชาการระหว่างกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี รัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐอินเดีย | วท | 22/03/2548 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเสนอดังนี้ เห็นชอบร่างแผนความร่วมมือ
ด้านวิทยาศาสตร์และวิชาการระหว่างกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี รัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทย และ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี รัฐบาลแห่งสาธารณรัฐอินเดีย โดยสาระของร่างแผนความร่วมมือ ฯ ทั้ง สองฝ่ายจะร่วมมือในด้านวัสดุขั้นสูง ยางธรรมชาติและผลิตภัณฑ์จากยางธรรมชาติ วิทยาศาสตร์และเทคโนโล ยีเพื่อสิ่งแวดล้อม มาตรวิยทา พลังงาน วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีขนาดจิ๋ว การสื่อสารด้านวิทยาศาสตร์ วัสดุ ก่อสร้าง อาหารเพื่อสุขภาพและผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติ โดยลักษณะความร่วมมือจะเป็นไปในรูปของการแลก เปลี่ยนการเยือนของผู้เชี่ยวชาญ การดำเนินโครงการวิจัยและพัฒนาร่วม การสัมมนา การฝึกอบรม และการ จัดสรรทุน ทั้งนี้ ให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสามารถเปลี่ยนแปลงถ้อยคำในส่วนที่ไม่กระทบต่อ สาระสำคัญของแผนความร่วมมือ ฯ ได้ และอนุมัติให้ผู้ที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มอบหมาย เป็นผู้ลงนามในแผนความร่วมมือ ฯ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2922 | มาตรการและโครงการตามกรอบยุทธศาสตร์การฟื้นฟูอุตสาหกรรมท่องเที่ยว 6 จังหวัดชายฝั่งทะเลอันดามัน | นร | 08/03/2548 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ) ประธานกรรมการ
ฟื้นฟูการท่องเที่ยวชายฝั่งทะเลอันดามัน รายงานผลการประชุมคณะกรรมการฟื้นฟูการท่องเที่ยวชายฝั่งทะเล อันดามันครั้งที่ 7/2548 เมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2548 โดยที่ประชุม ฯ ได้มีมติเห็นชอบแผนปฏิบัติการโครงการ ตามกรอบยุทธศาสตร์การฟื้นฟูอุตสาหกรรมท่องเที่ยว 6 จังหวัด ชายฝั่งทะเลอันดามัน โดยให้หน่วยราชการ รับผิดชอบโครงการตามกรอบยุทธศาสตร์ดังกล่าว ในการนี้ ที่ประชุม ฯ ได้แต่งตั้งผู้จัดการโครงการ (Project Manager) ตามกรอบยุทธศาสตร์เป็นรายโครงการ และได้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการประสานงานโครงการตาม กรอบยุทธศาสตร์การฟื้นฟูอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว 6 จังหวัด ชายฝั่งทะเลอันดามัน เพื่อทำหน้าที่ในการ อำนวยการ ติดตาม และประสานงาน ตลอดจนแก้ไขปัญหาและอุปสรรคต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งคณะอนุ กรรมการอำนวยการโครงการจัดสร้างอนุสรณ์สถานเหตุการณ์ภัยพิบัติจากคลื่นยักษ์สึนามิแห่งชาติ จังหวัด พังงา ทำหน้าที่ในการจัดหาพื้นที่ก่อสร้างและกำกับดูแล และให้ความเห็นชอบการออกแบบและการก่อสร้าง สำหรับงบประมาณค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการต่าง ๆ ให้ผู้จัดการโครงการทุกโครงการพิจารณาทบทวน งบประมาณค่าใช้จ่าย เน้นความประหยัดและประสิทธิภาพของผลงาน โดยทุกโครงการจะต้องแล้วเสร็จภาย ในเดือนธันวาคม 2548 และเนื่องจากเมื่อวันที่ 5 มีนาคม 2548 ได้เกิดวาตภัยในบริเวณอ่าวพังงา ทำให้เรือ โดยสารล่ม มีผู้เสียชีวิตและสูญหาย โดยมีสาเหตุมาจากผู้บังคับเรือไม่เชื่อข่าวอากาศ และยังได้บรรทุกผู้โดย สารเกินระวาง จึงมอบหมายให้กองทัพเรือในฐานะผู้จัดการโครงการรักษาความปลอดภัยการท่องเที่ยวทาง ทะเล ประชุมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อกำหนดมาตรการรักษาความปลอดภัยให้กับประชาชนและนัก ท่องเที่ยวโดยเร็วที่สุด
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2923 | การปรับปรุงกระบวนการพิจารณาอนุญาตประทานบัตรเหมืองแร่ | อก | 08/03/2548 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 2.2 (ฝ่ายการ
เกษตร ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม) ที่มีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอการแก้ไขปัญหา ความล่าช้าในการพิจารณาอนุญาตประทานบัตรเหมืองแร่ ตามผลการพิจารณาร่วมกันของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยปรับลดขั้นตอนกระบวนการพิจารณาอนุญาตประทานบัตรในพื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 เอ และ 1 บี จากที่กำหนด ไว้ในปัจจุบัน จะลดระยะเวลาการพิจารณาอนุญาตการต่ออายุประทานบัตร และการขอประทานบัตรในขั้นตอน การขออนุมัติผ่อนผันการใช้พื้นที่ดังกล่าวจากคณะรัฐมนตรีลงเหลือไม่เกิน 150 วัน และให้กรมทรัพยากรธรณี ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำหนดพื้นที่เขตศักยภาพแร่เพื่อการทำเหมืองแร่ (Mining Zone) ในพื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 และพื้นที่ป่าอนุรักษ์ตามมติคณะรัฐมนตรี (ยกเว้นพื้นที่อุทยานแห่งชาติ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า เขตห้ามล่าสัตว์ ป่า) เสนอคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบ เพื่อให้สามารถอนุญาตประทานบัตรและต่ออายุประทานบัตรได้อย่าง เหมาะสมและรวดเร็วขึ้น แทนการขอผ่อนผันการทำเหมืองในพื้นที่ดังกล่าวจากคณะรัฐมนตรีเป็นแต่ละรายคำขอ หรือรายผู้ประกอบการ รวมทั้งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องปรับปรุงทบทวนระเบียบปฏิบัติเพื่อแก้ไขปัญหาความล่า ช้าในการพิจารณาอนุญาตประทานบัตร และให้ดำเนินการตามข้อเสนอดังกล่าวโดยเร็วต่อไป และให้รับประเด็น อภิปรายของคณะกรรมการกลั่นกรองฯ ที่เห็นควรกำหนดให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องใช้หลักฐานหรือข้อมูลเอกสาร ประกอบการพิจารณาอนุญาต ที่หน่วยงานแต่ละแห่งจะสอบถามไปยังองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นให้สามารถใช้ เอกสารขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่แจ้งไปยังกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ร่วมกันได้ โดยให้ กระทรวงอุตสาหกรรม โดยกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ ประชุมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อ กำหนดแบบพิมพ์ ที่สามารถเก็บรายละเอียดในเรื่องที่จะขอความเห็นจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นครอบคลุม ทุกประเด็นที่หน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องต้องการในแบบพิมพ์เดียวกัน และควรกำหนดระยะเวลาการดำเนิน การของเจ้าหน้าที่ในแต่ละขั้นตอนให้ชัดเจน โดยให้เป็นไปตามพระราชกฤษฎีกาหลักเกณฑ์และวิธีการบริหาร กิจการบ้านเมืองที่ดี พ.ศ. 2546 และระเบียบ ก.พ.ร ที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ ให้มีการรายงานเหตุที่ไม่สามารถดำเนิน การตามกำหนดเวลาต่อผู้บังคับบัญชา ตลอดจนแจ้งผู้ที่ขออนุญาตให้ทราบโดยพลันเมื่อได้รับการสอบสวน ไป พิจารณาดำเนินการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป นอกจากนี้ ให้กระทรวงอุตสาห กรรมรับไปพิจารณาร่วมกับกรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อสร้างระบบและกติกาสำหรับใช้ประกอบ การพิจารณาของหน่วยงานของรัฐกรณีที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีความเห็นไม่สอดคล้องกับหน่วยงานของ รัฐหรือผู้ประกอบการในการดำเนินโครงการต่าง ๆ ในพื้นที่ว่า จำเป็นต้องหยุดดำเนินการเนื่องจากหลักกฎ หมายใด และหากไม่มีกฎหมายห้ามมิให้ดำเนินการตามความเห็นขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หน่วยงาน ของรัฐหรือผู้ประกอบการควรมีแนวทางดำเนินการอย่างใดต่อไปโดยเร็ว เพื่อส่งเสริมการประกอบกิจการที่มี ผลต่อความเจริญของประเทศโดยรวม และเป็นการดำเนินการตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญอีกโสดหนึ่งด้วย โดยให้กระทรวงอุตสาหกรรมรับประเด็นอภิปรายดังกล่าวไปหารือร่วมกับกระทรวงมหาดไทยและนำเสนอคณะ รัฐมนตรีเพื่อพิจารณากำหนดแนวทางปฏิบัติในเรื่องนี้ที่เหมาะสมและสอดคล้องกับหลักกฎหมาย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2924 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (โครงการ Water Grid : ความเป็นไปได้ และความคุ้มค่าต่อการลงทุน) | สสป | 08/03/2548 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 2.2 (ฝ่าย
การเกษตร ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม) ที่มีมติรับทราบตามที่สำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและ สังคมแห่งชาติเสนอความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษา ฯ เรื่อง โครงการ Water Grid : ความเป็นไป ได้ และความคุ้มค่าต่อการลงทุน เกี่ยวกับความเป็นไปได้ของโครงการ ฯ ทั้งในด้านศักยภาพของแหล่งน้ำและ สมรรถนะของที่ดิน ความเป็นไปได้ทางด้านวิศวกรรมในเรื่องชลศาสตร์ท่อน้ำ ชลศาสตร์เครื่องสูบน้ำ และ การดูแลรักษาซ่อมแซม ความคุ้มค่าต่อการลงทุน และแนวทางในการบริหารโครงการ ฯ รวมทั้งรับทราบผล การพิจารณาและการดำเนินการ ตามที่คณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ กระทรวงสาธารณสุข กระทรวง อุตสาหกรรม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ร่วมกันพิจารณาข้อเสนอแนะดังกล่าว โดยให้คณะกรรมการทรัพยา กรน้ำแห่งชาติ รับความเห็นและข้อเสนอแนะและประเด็นอภิปรายของคณะกรรมการ ฯ ที่เห็นควรให้หน่วย งานที่รับผิดชอบกำหนดขอบเขตการศึกษาให้ชัดเจนและครอบคลุมมิติต่าง ๆ เพื่อให้สามารถกำหนดขั้นตอน (Phasing) ความเหมาะสมของพื้นที่ที่จะดำเนินการจัดทำโครงการ ฯ ตามลำดับก่อนหลัง และใช้ข้อมูลเกี่ยว กับน้ำที่กรมชลประทานได้ดำเนินการไว้แล้วประกอบการศึกษาโดยไม่ไปจัดเก็บใหม่ยกเว้นข้อมูลที่ต้องมีการ ศึกษาเพิ่มเติม โดยให้คณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติรับผิดชอบเป็นเจ้าภาพหลัก นอกจากนี้ ควรระดม ผู้เชี่ยวชาญที่มีความรู้ความชำนาญ ตลอดจนผู้เชี่ยวชาญจากประเทศที่ประสบความสำเร็จในการบริหารจัด การน้ำมาช่วยงานคณะกรรมการ ฯ ทั้งนี้ ในการดำเนินโครงการ ฯ ควรเลือกพื้นที่ที่มีความเหมาะสมและมี ความเป็นไปได้สูงก่อน แล้วจึงขยายไปยังพื้นที่อื่น ๆ ส่วนวิธีการส่งน้ำควรให้ความสำคัญกับการใช้แรงโน้ม ถ่วงมากกว่าวิธีการใช้ความดันซึ่งมีต้นทุนสูงกว่ามาก ไปประกอบการพิจารณาดำเนินการและประสานการติด ตามผลการดำเนินงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อประกอบการพิจารณารายงานสภาที่ปรึกษา ฯ โดยเร็ว ต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2925 | สรุปผลการดำเนินงานโครงการนำร่องเพื่อพัฒนาเกษตรกรรมยั่งยืนของเกษตรกรรายย่อย | กษ | 08/03/2548 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รายงานสรุปผลการดำเนินงานโครงการ
นำร่องเพื่อพัฒนาเกษตรกรรมยั่งยืนของเกษตรกรรายย่อย โดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้ออกระเบียบ ว่าด้วยเงินอุดหนุนโครงการนำร่องเพื่อพัฒนาเกษตรกรรมยั่งยืนของเกษตรกรรายย่อย พ.ศ. 2543 และได้ ปรับแก้เป็นระเบียบกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ว่าด้วยเงินอุดหนุนโครงการนำร่องเพื่อพัฒนาเกษตรกรรมยั่ง ยืนของเกษตรกรรายย่อย พ.ศ. 2546 และได้มีคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีแต่งตั้งคณะกรรมการบริหารโครง การนำร่อง ฯ โดยมีรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธาน ทั้งนี้ได้แต่งตั้งคณะอนุกรรม การฯ ช่วยปฏิบัติงาน 3 ชุด ได้แก่ คณะอนุกรรมการติดตามควบคุมการใช้จ่ายเงินและการปฏิบัติงานโครงการ นำร่อง ฯ คณะอนุกรรมการติดตามแผนการดำเนินโครงการนำร่อง ฯ คณะอนุกรรมการดูแลและติดตามการ จ้างที่ปรึกษาประเมินผล นอกจากนี้ ได้มีการแต่งตั้งคณะเจ้าหน้าที่ตรวจสอบภายในเกี่ยวกับการดำเนินงาน การเงินและการบัญชีของโครงการนำร่อง ฯ โดยหัวหน้าหน่วยงานตรวจสอบภายในสำนักงานปลัดกระทรวง เกษตรและสหกรณ์ เป็นหัวคณะ และคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 2 กันยายน 2546 เห็นชอบให้ขยายระยะ เวลาการดำเนินงานโครงการจากระยะเวลาเดิมปีงบประมาณ พ.ศ. 2544-2546 ออกไปจนถึงเดือนกันยายน 2547 โดยผลการใช้จ่ายเงินโครงการนำร่อง ฯ ตั้งแต่ปี 2544-2547 ในส่วนของงบประมาณโครงการ รวม ทั้งสิ้น 633,000,000 บาท อนุมัติแผนงานรวม 630,100.728 บาท และการเบิกจ่ายรวม 543,385,566.48 บาท คงเหลือคืนคลัง 89,614,433.52 บาท จากรายงานการติดตามประเมินผลหลังสิ้นสุดโครงการ พิจารณาจากการเปลี่ยนแปลงของเกษตรกรในด้านต่าง ๆ ทั้งการปรับเปลี่ยนแนวคิด การปรับเปลี่ยนแบบ แผนการผลิตและการบริหารจัดการกลุ่มองค์กรแล้ว พบว่าประสบความสำเร็จระดับสูง เกษตรกรพึ่งตนเอง ได้และบริหารจัดการได้แล้ว โดยเฉพาะการพึ่งตนเองในเรื่องอาหารหลัก เช่น ข้าว ผัก ปลา และพืชสมุนไพร แต่รายได้ยังพึ่งตนเองไม่ได้ต้องเพิ่มกิจกรรมการแปรรูปและการตลาดเพื่อเพิ่มมูลค่าของผลผลิต ฯลฯ ส่วน การจัดการด้านทรัพย์สิน หลังสิ้นสุดโครงการนำร่อง ฯ เป็นอำนาจของมูลนิธิฯ ตามระเบียบมูลนิธิ ฯ ว่าด้วย โครงการนำร่อง ข้อ 41 กำหนด "เมื่อสิ้นสุดโครงการนำร่อง ให้วัสดุครุภัณฑ์ ที่ใช้สำหรับสำนักงานและ ได้ซื้อจากการดำเนินงานโครงการให้ตกเป็นของมูลนิธิฯ" และปัจจุบันสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน อยู่ ระหว่างตรวจสอบหลักฐานการเบิกจ่ายเงินโครงการ ฯ ปี 2546 ทั้งนี้ ได้ตรวจสอบปี 2544-2545 เสร็จ เรียบร้อยแล้ว โดยมีข้อคิดเห็นเสนอกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นระยะ ๆ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2926 | รายงานการช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากคลื่นสึนามิ (ระหว่างวันที่ 27 ธันวาคม 2547 - 2 มีนาคม 2548) | รง | 08/03/2548 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงแรงงานรายงานการช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากคลื่น
สึนามิระหว่างวันที่ 27 ธันวาคม 2547-2 มีนาคม 2548 โดยผลการรับขึ้นทะเบียนผู้ประกันตันกรณีว่าง งานที่ประสบภัย มีผู้ประกันตัน ฯ ที่ประสบภัยมาขึ้นทะเบียน 6,024 คน ส่วนการให้บริการจัดหางานใน 6 จังหวัดที่ประสบภัย มีผู้ประสบภัยแจ้งความประสงค์สมัครงาน 13,970 คน โดยได้รับการบรรจุงาน 3,867 คน เป็นการบรรจุงานในจังหวัดประสบภัย 3,835 คน และการบรรจุงานในจังหวัดอื่น 32 คน ทั้งนี้ ผลการบรรจุงานก่อให้เกิดรายได้ 21,407,826 บาท เฉลี่ยต่อคนเดือนละ 5,536 บาท สำหรับผล การดำเนินโครงการสร้างอาชีพใหม่ให้ผู้ประสบภัยในพื้นที่ 6 จังหวัดภาคใต้ที่ประสบธรณีพิบัติได้ดำเนิน การแล้ว 32 รุ่น จากเป้าหมาย 38 รุ่น จำนวนผู้เข้าร่วมโครงการ ฯ 640 คน โดยอาชีพที่ฝึกในแต่ละรุ่น อาทิ ทำกะปิ น้ำปลา เครื่องแกง อบรมภาษาอังกฤษเพื่อการท่องเที่ยว ทำผ้าบาติก เป็นต้น
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2927 | ขออนุมัติจัดทำโครงการและงบประมาณ (โครงการสร้างเสริมศักยภาพการเฝ้าระวังทางระบาดวิทยาและการควบคุมป้องกันโรคอุบัติใหม่และอุบัติซ้ำในกลุ่มประเทศอาเซียน+3) | สธ | 01/03/2548 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติและให้ดำเนินการตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ดังนี้ ให้กระทรวง
สาธารณสุข โดยกรมควบคุมโรค ดำเนินโครงการสร้างเสริมศักยภาพการเฝ้าระวังทางระบาดวิทยาและการ ควบคุมโรคอุบัติใหม่และอุบัติซ้ำในกลุ่มประเทศอาเซียน+3 ระยะเวลาดำเนินการ 5 ปี (พ.ศ. 2548-2552) สำหรับค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการ ฯ ให้กรมควบคุมโรคปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่าย งบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2548 ที่ได้รับไปดำเนินการก่อน ส่วนในปีงบประมาณ พ.ศ. 2549- พ.ศ. 2552 ให้เสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ทั้งนี้ กระทรวง การคลังมีความเห็นและข้อเสนอแนะเพิ่มเติมว่า ควรทบทวนวิธีการบริหารโครงการ ฯ โดยให้กำหนดวิธีการ บริหารให้สอดคล้องกับลักษณะการดำเนินงานของโครงการ ฯ เพื่อให้การบริหารงานเกิดความชัดเจนและ บรรลุวัตถุประสงค์ และความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็น ควรสร้างเครือข่ายทางวิชาการร่วมกับประเทศนอกกลุ่มสมาชิกที่มีความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี เพื่อสร้าง ความพร้อมในการรองรับการระบาดของโรคเหล่านี้ในอนาคต ตลอดจนการพัฒนาศักยภาพและเสริมสร้าง ความเข้มแข็งของเครือข่ายชุมชนในการเฝ้าระวังโรค และสามารถจัดการกับการระบาดมในระยะแรกได้ทัน ท่วงที ไปพิจารณาดำเนินการด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2928 | รายงานผลการดำเนินมาตรการแทรกแซงราคาข้าวของรัฐบาล ปี 2547 | พณ | 15/02/2548 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงพาณิชย์รายงานผลการดำเนินมาตรการแทรกแซงราคา
ข้าวของรัฐบาลปี 2547 สรุปดังนี้ กระทรวงพาณิชย์ได้ดำเนินโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปี 2546/47 และนาปรังปี 2547 ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2546 ถึงวันที่ 31 ตุลาคม 2547 ในส่วนของข้าวเปลือกนาปี ปริมาณรวม 9.0 ล้านตัน ข้าวเปลือกนาปรัง ปริมาณรวม 2.5 ล้านตัน จากปริมาณเป้าหมายรวมทั้งสิ้น 11.5 ล้านตัน มีเกษตรกรชาวนานำข้าวเปลือกมาจำนำในโครงการ ฯ เพียง 2.502 ล้านตัน เพราะราคาข้าวเปลือก ในตลาดซื้อขายกันสูงกว่าที่รัฐบาลรับจำนำ ส่วนงบประมาณดำเนินโครงการ ฯ ได้รับการสนับสนุนจากกอง ทุนรวมเพื่อช่วยเหลือเกษตรกร ในวงเงิน 1,729.4 ล้านบาท ต่ำกว่างบประมาณที่ได้รับในโครงการรับจำนำ ข้าวเปลือกนาปี 2545/46 และนาปรังปี 2546 ซึ่งได้รับในวงเงิน 3,206.8 ล้านบาท เป็นจำนวน 1,477.4 ล้านบาท หรือลดลงร้อยละ 46 สำหรับผลการดำเนินโครงการ ด้านการยกระดับราคาข้าวเปลือกปีการผลิต 2546/47 ราคาข้าวเปลือกในตลาดสูงขึ้นจากปีการผลิต 2545/46 ทำให้เกษตรกรขายข้าวเปลือกได้ราคา สูงขึ้นโดยเฉลี่ย ด้านปริมาณและมูลค่าการส่งออกข้าวปี 2547 ได้บริหารสต๊อกข้าวที่หลุดจำนำ และระบาย โดยการประมูลขายให้เอกชนส่งออกในช่วงที่ข้าวขาดตลาดในราคาที่สูง ทำให้ปี 2547 มีปริมาณการส่งออก ทั้งสิ้นสูงถึง 10.14 ล้านตัน มูลค่า 110,376 ล้านบาท สูงขึ้นจากปี 2547 ที่ส่งออก 7.60 ล้านตัน มูล ค่า76,368 ล้านบาท เป็นปริมาณ 2.54 ล้านตัน และมูลค่า 34,008 ล้านบาท จะเห็นได้ว่ารัฐบาลใช้งบ ประมาณในการดำเนินโครงการรับจำนำข้าวเปลือก ปีการผลิต 2546/47 น้อยกว่างบประมาณที่ใช้ในปี การผลิต 2545/46 เกือบเท่าตัว ในขณะที่ผลตอบแทนที่ได้รับคุ้มค่าและเพิ่มขึ้น จึงถือได้ว่ามาตรการแทรก แซงราคาข้าวดังกล่าวประสบผลสำเร็จอย่างดียิ่ง
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2929 | การขออนุม้ติใช้ร่างบันทึกข้อตกลง และขอยกเว้นภาษีอากรทุกชนิดสำหรับเครื่องจักร อุปกรณ์ และวัสดุที่ได้รับความช่วยเหลือในโครงการวิจัยเพื่อปรับปรุงคุณภาพพลังงานไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ และระบบป้องกันการไหลย้อนกลับของไฟฟ้าเข้าสู่ระบบ | อก | 25/01/2548 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 7 (ฝ่าย
กฎหมาย ระบบราชการและการประชาสัมพันธ์) ที่มีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอใช้บันทึก ข้อตกลงความเข้าใจร่วมกับองค์การพัฒนาพลังงานใหม่และเทคโนโลยีอุตสาหกรรมแห่งประเทศญี่ปุ่น (New Energy and Industrial Technology Development Organization - NEDO) ในการดำเนินการโครงการวิจัยเพื่อ ปรับปรุงคุณภาพพลังงานไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์และระบบป้องกันการไหลย้อนกลับของไฟฟ้าเข้าสู่ระบบ และ ยกเว้นภาษีอากรทุกชนิดสำหรับเครื่องจักร อุปกรณ์ และวัสดุต่าง ๆ ในส่วนที่องค์การพัฒนาพลังงานใหม่ และเทคโนโลยีอุตสาหกรรมแห่งประเทศญี่ปุ่นจัดหามาในโครงการวิจัย เพื่อปรับปรุงคุณภาพพลังงานไฟฟ้า จากแสงอาทิตย์ และระบบป้องกันการไหลย้อนกลับของไฟฟ้าเข้าสู่ระบบ และให้กระทรวงอุตสาหกรรมรับ ความเห็นของกระทรวงการคลัง ที่เห็นว่า ร่างบันทึกข้อตกลง ฯ ดังกล่าวยังขาดความชัดเจนเกี่ยวกับการโอน กรรมสิทธิ์เครื่องจักรอุปกรณ์ทั้งหมดที่ใช้ในโครงการ ฯ และการถ่ายทอดเทคโนโลยีแก่ประเทศไทย รวมทั้ง การกำหนดแผนงานรองรับภายหลังสิ้นสุดโครงการ ฯ และการระบุมิให้เปิดเผยข้อมูลใด ๆ ซึ่งถือว่าเป็นข้อ มูลลับแก่บุคคลที่สามยังเป็นอุปสรรคในการนำข้อมูลทางวิชาการที่เกิดขึ้นระหว่างการดำเนินโครงการ ฯ ไป ผยแพร่หรือขยายผลต่อไป นอกจากนี้ ควรระบุรายละเอียดเกี่ยวกับวัสดุอุปกรณ์ที่ใช้ในการดำเนินโครงการ ที่จะนำเข้า หรือจัดซื้อในประเทศไว้ในโครงการดังกล่าวให้ชัดเจน เพื่อให้การพิจารณายกเว้นภาษีอากรภาย ใต้กฎหมายและกฎระเบียบที่มีอยู่เป็นไปอย่างเหมาะสม และมีความชัดเจนในทางปฏิบัติ ไปพิจารณาดำเนิน การด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2930 | รายงานการดำเนินงานโครงการบิน และแอร์โฮสเตสเอื้ออาทร | คค | 25/01/2548 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม (นายวิเชษฐ์ เกษมทองศรี)
รายงานความคืบหน้าการดำเนินโครงการนักบิน และแอร์โฮสเตสเอื้ออาทร สรุปได้ดังนี้ โครงการนักบินเอื้อ อาทร บริษัทการบินไทย จำกัด (มหาชน) บริษัทไทยแอร์เอเชีย จำกัด และบริษัทการบินกรุงเทพ จำกัด ได้ร่วมกันสนับสนุนทุนฝึกอบรมในหลักสูตรนักบินพาณิชย์ตรี ระยะเวลาศึกษา 1 ปี จำนวน 115 ทุนต่อปี (ค่าใช้จ่ายในการศึกษา 1,765,520 บาท/คน) โดยให้ทุนติดต่อกันเป็นเวลา 3 ปี (แบ่งเป็น 2 รุ่นต่อปี) โดยเยาวชนที่ผ่านการคัดเลือกทั้งหมดมีเพียง 24 คน (ทุน) ได้เริ่มศึกษาตั้งแต่วันที่ 9 กันยายน 2547 ส่วน โครงการแอร์โฮสเตสเอื้ออาทร บริษัทการบินไทย จำกัด (มหาชน) ได้มอบทุนการศึกษาในหลักสูตรพนัก งานต้อนรับบนเครื่องบิน รวม 60 ทุน ๆ ละ 60,000 บาท มีผู้รับการคัดเลือกเข้ารับทุนรวม 60 คน โดย สำเร็จการอบรมเมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน 2547 และได้เข้าทำงานกับสายการบินทั้งในและต่างประเทศ เกือบครบทุกคนแล้วเช่น บริษัท ไทยแอร์เอเชีย จำกัด บริษัทสกายเอเชีย จำกัด (นกแอร์) บริษัท การบิน กรุงเทพ จำกัด บริษัท ภูเก็ตแอร์ จำกัด สายการบิน เจแปน แอร์ไลน์ และสายการบิน EVA AIR เป็นต้น
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2931 | การจำหน่ายมันเส้นตามโครงการแทรกแซงตลาดมันสำปะหลัง ปี 2547/48 | พณ | 25/01/2548 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงพาณิชย์รายงานความคืบหน้าการดำเนินโครงการแทรก
แซงตลาดมันสำปะหลัง ปี 2547/48 เพิ่มเติม สรุปดังนี้ คณะกรรมการนโยบายและมาตรการช่วยเหลือเกษตร กร ได้ปรับเปลี่ยนการดำเนินโครงการ ฯ ใหม่เพื่อให้เกิดประโยชน์กับเกษตรกรสูงสุด โดยปรับเพิ่มปริมาณ รับจำนำ จาก 5 ล้านตันหัวมันสด เป็น 10 ล้านตันหัวมันสด ปรับราคารับจำนำจากกิโลกรัมละ 1.20 บาท เป็นกิโลกรัมละ 1.50 บาท ให้แปรสภาพหัวมันสดเป็นมันเส้นและแป้งมัน ฯ และจำหน่ายมันเส้นและแป้งมัน ฯ เพื่อการส่งออก เกษตรกรสามารถนำหัวมันสดมาจำนำกับโครงการฯ รายละไม่เกิน 500 ตัน หรือคิดเป็นมูล ค่าไม่เกิน 750,000 บาท รวมทั้งให้องค์การคลังสินค้าประกาศจำหน่ายผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังที่แปรสภาพ จากหัวมันสำปะหลังสด จำนวน 5 ล้านตัน ด้วยวิธีการประมูล สำหรับปริมาณการจำหน่ายสามารถกำหนด แต่ละครั้งในปริมาณที่เหมาะสมกับภาวะตลาดภายในและการส่งออก นอกจากนี้ ได้จัดให้มีการประมูลเพื่อ จำหน่ายมันสำปะหลังเส้น จำนวน 210,000 ตัน ที่ได้จากการแปรสภาพหัวมันสดที่รับจำนำตามโครงการ แทรกแซงตลาดมันสำปะหลังฤดูการผลิต ปี 2547/48 มีผู้สนใจยื่นซองประมูลจำนวน 7 ราย ในปริมาณ ระหว่าง 32,400-210,000 ตัน ราคาระหว่าง 3,200-4,220 บาท/ตัน และได้อนุมัติให้ขายมันสำปะหลัง เส้นจำนวน 210,000 ตัน ให้กับบริษัทเยเนรัล มิลล์ จำกัด ในราคาตันละ 4,220 บาท มูลค่า 886.20 ล้าน บาท ตามที่คณะกรรมการระบายมันเส้น ปี 2547/48 เสนอ เนื่องจากบริษัทได้เสนอซื้อในปริมาณและราคา ที่สูงที่สุดจากผู้เสนอซื้อทั้ง 7 ราย และราคาที่บริษัท ฯ เสนอซื้อสูงกว่าราคามันเส้นในประเทศที่ซื้อขายกันอยู่ ระหว่างราคา 2,880-3,650 บาท/ตัน และสูงกว่าประมาณการต้นทุนมันเส้นที่แปรสภาพแล้ว คือ 4,183 บาท/ตัน ทำให้รัฐสามารถได้กำไรจากการขายประมาณ 8 ล้านบาท ทั้งนี้ องค์การคลังสินค้าจะได้แจ้งผลให้ ผู้ชนะการประมูลมาทำสัญญาซื้อขาย และวางหลักประกันสัญญา ร้อยละ 5 ของมูลค่า ภายใน 5 วันทำการ นับจากวันที่ได้รับทราบผล
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2932 | โครงการเขียนเรียงความสำหรับเด็กและเยาวชนเพื่อขอรับทุนการศึกษาตามนโยบายของรัฐบาล | ศธ | 18/01/2548 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงศึกษาธิการรายงานผลการดำเนินโครงการเขียนเรียงความ
สำหรับเด็กและเยาวชนเพื่อขอรับทุนการศึกษาตามนโยบายของรัฐบาล โดยได้ดำเนินโครงการดังกล่าวไปแล้ว 2 ภาคเรียน มีจำนวนเด็กและเยาวชนที่ได้รับทุนการศึกษาทุกระดับการศึกษา กลุ่มที่ 1 จำนวนรวมทั้งสิ้น 25,348 คน กลุ่มที่ 2 จำนวนรวมทั้งสิ้น 53,666 คน และกลุ่มที่ 3 เป็นเด็กและเยาวชนได้รับค่าตอบแทนการ เขียนเรียงความคนละ 500 บาท จำนวน 344,410 บาท รวมผู้ได้รับทุนทั้ง 3 กลุ่ม จำนวน 423,424 คน และได้ดำเนินการติดตามผลเด็กและเยาวชนที่ได้รับทุนการศึกษาทุกกลุ่ม พบว่าเด็กและเยาวชนผู้ได้รับทุนการ ศึกษาได้รับทุน ฯ ตามกำหนดเวลา ในภาพรวมทั้งหมดคิดเป็นร้อยละ 93.05 โดยเด็กและเยาวชนที่ได้รับทุนฯ ในภาพรวมนำเงินไปใช้จ่ายในด้านที่เกี่ยวกับการศึกษาเป็นส่วนใหญ่ ในภาพรวมทั้งหมดมีพฤติกรรมการเรียน ดีขึ้น คิดเป็น ร้อยละ 40.37 พฤติกรรมการเรียนลดลง ร้อยละ 0.31 และพฤติกรรมการเรียนไม่เปลี่ยนแปลง ร้อยละ 59.32 ผู้ได้รับทุน ฯ มีความต้องการศึกษาต่อสูงสุดถึงร้อยละ 99.66 ส่วนระดับวิชาชีพไม่ต้องการ ศึกษาต่อ ในส่วนของข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย รัฐบาลควรดำเนินการโครงการฯ ดังกล่าวต่อเนื่องจากโครงการ เดิม โดยขยายการให้ทุนการศึกษาต่อเนื่อง และจัดให้มีโครงการ ฯ ดังกล่าวครั้งต่อไป เพื่อเปิดโอกาสให้เด็ก และเยาวชนที่ครอบครัวมีฐานะยากจนและได้รับความเดือดร้อนจากเศรษฐกิจและสังคมปัจจุบัน ซึ่งยังไม่ได้รับ การดูแลได้มีโอกาสศึกษาต่อ ซึ่งผลจากการดำเนินโครงการ ฯ ดังกล่าว ส่งผลให้ผู้ได้รับทุนการศึกษาได้มี โอกาสทางการศึกษา มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2933 | ขอรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี (การขอผ่อนผันมติคณะรัฐมนตรีเพื่อให้กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ดำเนินการโครงการศึกษาวิจัยทางธรณีวิทยาในเขตป่าสงวนแห่งชาติ) | อก | 11/01/2548 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงอุตสาหกรรม โดยกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมือง
แร่รายงานผลการดำเนินงานตามมติคณะรัฐมนตรี เกี่ยวกับการขอผ่อนผันมติคณะรัฐมนตรี เพื่อให้กรมอุตสาห กรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ดำเนินโครงการศึกษาวิจัยทางธรณีวิทยาในเขตป่าสงวนแห่งชาติ พื้นที่ศักยภาพ แร่ทองแดง ภูหิน เหล็กไฟ-ภูหัวเขา อำเภอเมืองเลย จังหวัดเลย ซึ่งอยู่ในพื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 เอ กรมอุตสาห กรรมพื้นฐาน ฯ ได้แต่งตั้งคณะทำงานโครงการศึกษาวิจัยทางธรณีวิทยาในเขตป่าสงวนแห่งชาติดังกล่าว เพื่อทำ หน้าที่ควบคุม ตรวจสอบ และกำกับดูแลการดำเนินการโครงการ และตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมเพื่อป้อง กันและแก้ไขในทุกระยะการศึกษา ขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาอนุญาตให้ใช้พื้นที่จากกรมป่าไม้ และสำนัก งานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้ประชุมส่วนราชการที่เกี่ยวข้องเพื่อพิจารณากำหนด หลักเกณฑ์เงื่อนไขในการใช้พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 เอ โดยจะเสนอความเห็นต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากร ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ก่อนส่งเรื่องให้กรมป่าไม้ออกหนังสืออนุญาตให้ใช้พื้นที่โครงการดังกล่าว และคณะทำ งานโครงการ ฯ ได้เห็นชอบในหลักการกับแผนงานการดำเนินโครงการ ฯ โดยมีเงื่อนไขว่า แผนงานดังกล่าว ต้องสอดคล้องกับเงื่อนไขการอนุญาตให้ใช้พื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ ทั้งนี้ ให้คณะทำงาน ฯ ร่วมตรวจสอบพื้นที่ โครงการในเดือนมกราคม 2548 เมื่อกรมป่าไม้อนุญาตให้ใช้ประโยชน์ในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติเพื่อดำเนินการ โครงการดังกล่าวแล้ว กระทรวงอุตสาหกรรมจะได้เร่งรัดให้กรมอุตสาหกรรมพื้นฐาน ฯ ดำเนินการโครงการ ฯ ให้เสร็จสิ้นโดยเร็ว
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2934 | ขออนุมัติก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ โครงการกรุงเทพฯ เมืองแฟชั่น | อก | 11/01/2548 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอขอก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณโครงการ
กรุงเทพ ฯ เมืองแฟชั่น จำนวน 1,810,267,500 บาท โดยใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. 2546 งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการปรับปรุงโครงสร้างทางเศรษฐกิจและสังคม จำนวน 824,640,000 บาท และงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2547 งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายเพื่อการเสริมสร้างศักย ภาพการแข่งขันและการพัฒนาที่ยั่งยืนของประเทศ (59,000 ล้านบาท) จำนวน 512,735,500 บาท และงบ ประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2549 จำนวน 472,982,000 บาท และให้รับความเห็นของสำนัก งานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่าการดำเนินโครงการ ฯ ควรให้ความสำคัญกับ การพัฒนากำลังคน โดยเฉพาะนักออกแบบรุ่นใหม่ และระดับจัดการของอุตสาหกรรมแฟชั่น (สิ่งทอ อัญมณี และเครื่องหนัง) เพื่อให้สามารถยกระดับอุตสาหกรรมจากการรับจ้างไปสู่การผลิตสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่มบนฐาน ของการคิดสร้างสรรค์ และในระยะต่อไปควรเพิ่มการทำงานที่เป็นบูรณาการกับหน่วยงานที่มีประสบการณ์ การดำเนินงานที่เกี่ยวข้องมากขึ้น โดยเฉพาะกรมส่งเสริมการส่งออก รวมถึงทบทวนระบบบริหารจัดการโครง การในช่วงที่ผ่านมาและแก้ไขปัญหาอุปสรรคทั้งในระดับบริหารจัดการที่ต้องอาศัยมืออาชีพ รวมทั้งระบบสนับ สนุนที่มีประสิทธิภาพ เพื่อให้โครงการสามารถดำเนินการเป็นไปตามแผนและบรรลุการเป็นกรุงเทพ ฯ เมือง แฟชั่นได้อย่างแท้จริง ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2935 | การดำเนินงานโครงการ/กิจกรรม เพื่อปกป้องคุ้มครองและพัฒนาเด็ก | พม | 04/01/2548 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอการ
ดำเนินงานโครงการ/กิจกรรมเพื่อปกป้องคุ้มครองและพัฒนาเด็ก ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ทุกภาคส่วนของ สังคมได้มีส่วนร่วมในการปกป้อง คุ้มครอง และพัฒนาเด็ก เพื่อสงเคราะห์ คุ้มครองสวัสดิภาพและส่งเสริม ความประพฤติของเด็กที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี บริบูรณ์ ตามนัยของพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ. 2546 และเพื่อเป็นการเสริมสร้างและพัฒนาเด็กไทยให้เป็นทรัพยากรที่มีศักยภาพของประเทศไทย โดยมีโครง การและกิจกรรมที่กำหนดดำเนินการ ได้แก่ โครงการเด็กไทยร้อยดวงใจห่างไกลอบายมุข โครงการร่วม มือปกป้องคุ้มครองเด็กในระดับรากหญ้า โครงการพัฒนาผู้นำเยาวชนสร้างสรรค์สังคม รวมทั้งโครงการ พัฒนาคุณภาพเด็กและเยาวชนเพื่อเป็นศรีแห่งแผ่นดิน ประกอบด้วย 2 กิจกรรม ได้แก่ กิจกรรมค่ายวาท ศิลป์ และกิจกรรมค่ายพุทธบุตร สำหรับผลที่คาดจะได้รับจากการดำเนินโครงการ ฯ คือ ทุกภาคส่วนของ สังคมได้มีส่วนร่วมในการปกป้อง คุ้มครอง และพัฒนาเด็ก รวมทั้งเด็กที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปีบริบูรณ์ ตาม นัยของพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ. 2546 ได้รับการสงเคราะห์ คุ้มครองสวัสดิภาพและส่งเสริมความ ประพฤติที่ดี นอกจากนี้ เด็กไทยได้รับการเสริมสร้างและพัฒนาให้เป็นทรัพยากรที่มีศักยภาพของประเทศ ไทยในอนาคต
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2936 | การดำเนินโครงการตรวจลงตราทำงานและท่องเที่ยว (Arrangement on a Working Holiday Scheme) ระ หว่างไทยกับนิวซีแลนด์ | กต | 04/01/2548 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ เห็นชอบร่างเอกสารข้อตกลงว่าด้วย
โครงการตรวจลงตราทำงานและท่องเที่ยว (Arrangement on a Working Holiday Scheme) ระหว่างรัฐบาล แห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งนิวซีแลนด์ โดยร่างเอกสารฉบับนี้มีหลักการพื้นฐานเดียวกับโครงการ ระหว่างไทยกับออสเตรเลีย คือ เป็นโครงการแลกเปลี่ยนการเยือนในลักษณะการเดินทางไปท่องเที่ยวเพื่อ เรียนรู้และสั่งสมประสบการณ์เป็นเวลา 1 ปี โดยสามารถหางานทำชั่วคราว เพื่อเป็นรายได้ในช่วงที่อยู่ใน ประเทศนั้น ซึ่งบุคคลที่เข้าร่วมโครงการต้องมีอายุระหว่าง 18 - 30 ปี และจบการศึกษาอย่างน้อยในระดับ ปริญญาตรี และอนุมัติให้กระทรวงการต่างประเทศสามารถปรับปรุงถ้อยคำในร่างเอกสารซึ่งไม่มีผลเปลี่ยน แปลงสาระสำคัญได้ และให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ หรือผู้ได้รับมอบอำนาจจากรัฐมนตรี ว่าการกระทรวงการต่างประเทศลงนามในเอกสารในนามรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทย รวมทั้งให้กระทรวง การต่างประเทศดำเนินการทางการทูตเพื่อให้เอกสารฉบับนี้มีผลบังคับใช้ต่อไป ทั้งนี้ ให้เผยแพร่ข้อมูลเกี่ยว กับข้อตกลงเนื่องนี้ให้หน่วยงานต่าง ๆ เช่น กระทรวงศึกษาธิการทราบเพื่อเป็นประโยชน์แก่นักศึกษา และผู้ ที่สนใจเดินทางไปท่องเที่ยวเพื่อเรียนรู้และสั่งสมประสบการณ์ต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2937 | โครงการจัดตั้งตลาดกลางสินค้าเกษตรจังหวัดตราด | พณ | 04/01/2548 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 2.2 (ฝ่าย
การเกษตร ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม) ที่มีมติเกี่ยวกับโครงการจัดตั้งตลาดกลางสินค้าเกษตรจังหวัด ตราด ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ โดยเห็นชอบในหลักการให้มีการสร้างตลาดกลางสินค้าเกษตรเพื่อแก้ไข ปัญหาผลผลิตด้านการเกษตร โดยเฉพาะในเรื่องผลไม้ของเกษตรกรในภาคตะวันออกเพื่อเชื่อมโยงการส่งออก สำหรับสถานที่จัดตั้ง มอบให้กระทรวงพาณิชย์เป็นเจ้าภาพร่วมกับจังหวัดในกลุ่มภาคตะวันออก 3 จังหวัด คือ จังหวัดระยอง จันทบุรี และตราด กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร และสำนัก งานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติรับไปพิจารณาเปรียบเทียบการตั้งตลาดกลางสินค้า เกษตร ที่จังหวัดตราดและจันทบุรีว่า มีประโยชน์ที่จะเป็นกลไกสนับสนุนระบบการรับซื้อและจัดจำหน่าย การ กระจายสินค้าเกษตร โดยเฉพาะผลไม้ในภาคตะวันออกซึ่งอาจรวมถึงสินค้าประเภทอื่น ๆ อาทิ ไม้และผลิต ภัณฑ์จากไม้ สินค้าหนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ เพื่อสนองวัตถุประสงค์ของตลาดภายในประเทศและเพื่อการส่ง ออกมากน้อยกว่าอย่างไร ซึ่งจากผลการศึกษา เห็นว่า ควรกำหนดให้ตลาดกลางที่จังหวัดตราด หรือจังหวัด จันทบุรีแห่งใดเป็นตลาดหลักเพื่อการซื้อขายสินค้าเกษตร โดยเฉพาะผลไม้ในภาคตะวันออก เพื่อสนองความ ต้องการในท้องถิ่นและภายในประเทศ และตลาดใดควรเป็นตลาดกลางเพื่อการส่งออกโดยเฉพาะการส่งออก ไปประเทศเพื่อนบ้าน เช่น ประเทศกัมพูชา และเวียดนาม เป็นต้น โดยพิจารณาปัจจัยด้านโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure) ระบบสนับสนุน (Logistics) รวมทั้งพิจารณาเปรียบเทียบการขนส่งสินค้าเกษตรไปประเทศ กัมพูชา และเวียดนาม ทั้งทางบกและทางทะเลประกอบด้วย และพิจารณาจัดทำแผนงานและโครงการดำเนิน การจัดตั้งตลาดกลางสินค้าเกษตร ทั้งที่เป็นตลาดเพื่อการส่งออก และตลาดที่เน้นตอบสนองความต้องการ ภายในซึ่งจะสนับสนุนตลาดเพื่อการส่งออกดังกล่าวในพื้นที่จังหวัดที่เหมาะสมตามวัตถุประสงค์แต่ละประเภท โดยให้มีรายละเอียดและกรอบระยะเวลาดำเนินการที่ชัดเจน และเรียงลำดับความสำคัญของการจัดหาเครื่อง มืออุปกรณ์และระบบสนับสนุน อาทิ การจัดทำห้องเย็นเก็บรักษาผลไม้ ระบบการป้องกันการแพร่เชื้อโรค (Quarantine) รวมถึงแผนการใช้จ่ายงบประมาณตามโครงการ ทั้งนี้ ให้คำนึงว่าการดำเนินโครงการเกษตร กรจะต้องได้รับประโยชน์สูงสุด นอกจากนั้นควรพิจารณาปรับปรุงระบบการขนส่งทางน้ำโดยเฉพาะท่าเทียบ เรือสินค้า ให้สามารถรองรับปริมาณการขนส่งสินค้าในพื้นที่จังหวัดที่จะจัดตั้งตลาดกลางเพื่อการส่งออก ให้ เหมาะสมด้วย สำหรับชื่อตลาดกลางสินค้าเกษตรที่เชื่อมโยงการส่งออก นั้น ควรสะท้อนเป้าหมายการจัดตั้ง ตลาด เช่น อาจใช้ชื่อว่า ตลาดกลางเพื่อการส่งออกไปต่างประเทศ เป็นต้น
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2938 | ขออนุมัติดำเนินงานโครงการรถไฟฟ้าส่วนต่อขยายและสายใหม่ ส่วนที่เหลือ รวม 3 โครงการ | คค | 04/01/2548 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติและให้ดำเนินการต่อไปได้ ตามความเห็นของสำนักงบประมาณให้การ
รถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ดำเนินการว่าจ้างที่ปรึกษาศึกษารายละเอียดความเหมาะ สม ออกแบบรายละเอียดในเส้นทางยกระดับ ออกแบบกรอบรายละเอียดในเส้นทางใต้ดิน และจัดทำเอก สารประกวดราคาโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน ช่วงหัวลำโพง-บางแค และช่วงบางซื่อ-ท่าพระ โครงการ รถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงบางกะปิ-บางบำหรุ และโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงบางซื่อ-ราษฎร์บูรณะ รวม 3 สาย โดยใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2547 งบกลาง รายการค่าใช้ จ่ายเพื่อการเสริมสร้างศักยภาพการแข่งขันและการพัฒนาที่ยั่งยืนของประเทศ จำนวน 300 ล้านบาท ที่ ได้รับจัดสรรแล้วหากไม่เพียงพอให้ รฟม. กู้เงินจากสถาบันการเงินภายในประเทศ ตามวงเงินที่ต้องใช้จ่าย จริง โดยให้กระทรวงการคลังพิจารณาหาแหล่งเงินกู้ที่เหมาะสม และค้ำประกันวงเงินกู้ดังกล่าว รวมทั้ง ชำระหนี้จนกว่าการพิจารณารูปแบบการระดมทุนในโครงการที่อยู่ระหว่างการพิจารณาของกระทรวงการ คลังและกระทรวงคมนาคมจะได้ข้อยุติแล้ว ทั้งนี้ ให้กระทรวงคมนาคม (รฟม.) ควบคุมดูแลการดำเนินการ ว่าจ้างที่ปรึกษา ฯ ให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และให้เร่งดำเนินการพิจารณารูปแบบของการระดม ทุน ฯ ให้ได้ข้อยุติโดยเร็ว รวมทั้งให้เร่งพิจารณาความเหมาะสมและความเป็นไปได้ในการดำเนินโครงการ ส่วนต่อขยายในสายทางอื่น ๆ ที่เหลือเพื่อให้ระบบขนส่งมวลชนมีความสมบูรณ์ และสามารถรองรับความ ต้องการในการเดินทางของประชาชนได้มากยิ่งขึ้น
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2939 | การดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม 2547 ผ่อนผันให้อยู่ชั่วคราว 1 ปี ของบุคคลบนพื้นที่สูงและชุมชนบนพื้นที่สูง (ยกเลิกโดยมติ 23042/53) | มท | 04/01/2548 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอโครงการเร่งรัดให้สถานะตามกฎหมาย
กับกลุ่มบุคคลบนพื้นที่สูงและชุมชนบนพื้นที่สูง ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 24 สิงหาคม 2547 โดยสนับ สนุนงบประมาณในปีงบประมาณ พ.ศ. 2548 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน 9,139,220 บาท และให้ใช้หลักเกณฑ์การพิจารณาให้สัญชาติไทยกับบุตรคนต่างด้าว ตามมาตรา 7 ทวิ แห่งพระราชบัญญัติสัญชาติ พ.ศ. 2508 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2535 สำหรับงบ ประมาณค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการเร่งรัดให้สถานะตามกฎหมายกับกลุ่มบุคคลบนพื้นที่สูงและชุมชน บนพื้นที่สูง จำนวน 9,139,200 บาท ให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2548 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น โดยให้กรมการปกครองขอทำความตกลงกับ สำนักงบประมาณโดยตรงต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ และให้รับความเห็นของสำนักงาน สภาความมั่นคงแห่งชาติ ที่ให้กรมการปกครองนำรายละเอียดในข้อยุทธศาสตร์การจัดการปัญหาสถานะ และสิทธิของบุคคลที่ได้ผ่านการพิจารณาจากสภาความมั่นคงแห่งชาติแล้ว ไปประกอบการดำเนินงานของ กรมการปกครอง ในเรื่องการกำหนดหลักเกณฑ์การพิจารณาให้สัญชาติไทยกับบุตรคนต่างด้าว ฯลฯ ไป ประกอบการดำเนินงานด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2940 | รายงานผลการดำเนินโครงการทักษะการใช้คอมพิวเตอร์เพื่อการเรียนการสอน | ศธ | 28/12/2547 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงศึกษาธิการรายงานผลการดำเนินโครงการทักษะการใช้
คอมพิวเตอร์ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ครู/อาจารย์จากสถานศึกษาขนาดเล็กและขนาดกลาง มีโอกาสเข้ารับ การอบรมทั้งในประเทศและต่างประเทศ เพื่อเพิ่มพูนความรู้ ความสามารถ และประสบการณ์ของครูในการใช้ คอมพิวเตอร์เพื่อการเรียนการสอน และเสริมสร้างความสัมพันธ์และความเข้าใจอันดีในหมู่ครู/อาจารย์ ที่เข้า รับการอบรม และเป็นการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ในการปฏิบัติงาน โดยได้ดำเนินโครงการฯ ในช่วงปิดภาค เรียนเดือนตุลาคม 2547 มีครู/อาจารย์จากสถานศึกษาขนาดเล็กและขนาดกลางภายในประเทศเข้ารับการ อบรม จำนวน 3,500 คน ใช้เวลาอบรม 6 วัน โดยใช้สถานที่ฝึกอบรมที่เขตพื้นที่การศึกษาจัดหา จำนวน 20 จุด ได้แก่ เชียงราย เชียงใหม่ ลำปาง กำแพงเพชร พิษณุโลก ลพบุรี พระนครศรีอยุธยา นนทบุรี กรุงเทพมหา นคร ระยอง ชลบุรี อุดรธานี ขอนแก่น มหาสารคาม นครราชสีมา สงขลา ภูเก็ต สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรม ราช และประจวบคีรีขันธ์ และอบรมในต่างประเทศ จำนวน 400 คน ใช้เวลาอบรม 14 วัน โดยได้รับความร่วม มือจากนานยางโพลีเทคนิค ซึ่งกระทรวงศึกษาธิการประเทศสิงคโปร์เป็นผู้ประสานติดต่อให้ ซึ่งผลจากการ ฝึกอบรมครู/อาจารย์ในครั้งนี้ ทำให้ครูที่เข้ารับการอบรมได้รับการพัฒนาและสามารถนำความรู้และประสบ การณ์ที่ได้รับไปพัฒนาคุณภาพการเรียนการสอน รวมไปถึงคุณภาพชีวิตของครู/อาจารย์ ในการนี้ สำนักงาน คณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ ได้เตรียมจัดทำโครงการครู/อาจารย์ที่ผ่านการ อบรมทั้งในประเทศและต่างประเทศ ร่วมกันจัดทำสื่อมัลติมีเดียในทุกกลุ่มสาระการเรียนรู้ เพื่อให้โรงเรียนได้ ใช้กันอย่างแพร่หลายเช่นเดียวกับประเทศที่พัฒนาแล้วต่อไป
|
.....